เจ้าของ: Watcher

[โรงเตี้ยมชางลั่งถิง] โถงกลาง

[คัดลอกลิงก์]

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2024-9-15 00:01:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mingchunshui เมื่อ 2024-9-15 01:28

         เช้าวันใหม่ในเมืองฉางอัน

         เสียงนกและแสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาภายในห้องช่างน่าลำคาน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มบนเตียงคิดอยากเปิดเปือกตาขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งใบหน้าดุจหยกสลักสัมผัสได้ถึงเปียกชื้นและสากที่บริเวณข้างแก้ม หมิงชุนสุ่ยเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะขยับยันตัวลุกขึ้นมานั่งมองก้อนขนสีขาวบนหว่างขานิ่งเพื่อประมวลผลอยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่ก่อนเสียงกุกกักจากนอกห้องจะดังขึ้นเรียกความสนใจของหมิงชุนสุ่ยให้หันไปมอง

        “คุณชายตื่นแล้วหรือขอรับ ข้าเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ คุณชายจะเดินทางกลับจวนเลยหรือไม่ขอรับ”เจียวจ้านกล่าวกับผู้เป็นนายพร้อมกับเดินถือถังน้ำพร้อมผ้าสะอาดไปวางที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะลุกไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะอุ้มเจ้าแมวน้อยที่นั่งอยู่ในอยู่บนเตียงไปวางไว้ในตะกร้าโดยไม่คิดสนใจเสียงร้องประท้วงของเจ้าตัวน้อย

        เมี๊ยววววว!!!

        “กลับเลย..ข้าวเช้าค่อยไปกินที่จวน” หมิงชุนสุ่นกล่าวเสียงงึมงำมือเนียนนุ่มเพราะไม่เคยต้องทำงานหนักจุ่มลงไปวัดอุณหภูมิในถังน้ำเมื่อพบว่าน้ำด้านในอุ่นกำลังดีจึงหดมือกลับมาปลดเสื้อที่สวมใส่ปกปิดท่อนบนของตนเองออกเผยให้เห็นผิวกายขาวราวน้ำนมที่เจ้าตัวดูแลเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้สูงใหญ่กำยำเยี่ยงบุรุษคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ดูผอมแห้งแรงน้อยราวคนขาดสารอาหาร จะเรียกว่าสมส่วนดีก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก เพราะเดิมหมิงชุนสุ่ยก็เป็นบุรุษที่ตัวเล็กกว่าคนในวัยเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งนิสัยรักสวยรักงามราวสตรีและขี้เกียจขยับตัวด้วยเพราะไม่ชอบเวลาที่อากาศหรืออุณหภูมิในร่างกายร้อนหมิงชุนสุ่นจึงทำเพียงแค่การขยับออกกำลังกายธรรมดาไม่เป็นจริงเป็นจังเพราะขอแค่ไม่มีพุงน้อยๆ ให้เห็นเจ้าตัวก็พึงพอใจมากแล้ว

ชายหนุ่มขยับกายไล่ความปวดเมื่อยก่อนจะหยิบเอาผ้าที่พาดอยู่ลงไปจุ่มแล้วยกขึ้นบิดหมาดๆ มาเช็ดหน้าเช็ดตา ตามด้วยร่างกายของท่อนบนของตนเองพลางมองคนสนิทของตัวเองที่เดินไปเก็บสิ่งของลงกล่องและถุงผ้าอย่างขยันขันแข็ง

        “ยามใดแล้วเจียวจ้าน”

        “ปลายยามเหม่าแล้วขอรับคุณชาย ยามนี้หากเดินผ่านจตุรัสกลางเมืองคงมีพ่อค้าแม่ขายนำของมาขายเยอะแยะ คุณชายอยากแวะก่อนกลับจวนหรือไม่ขอรับ อ้อวันนี้คุณชายอยากใส่ชุดสีอะไรดีขอรับ” เจียวจ้านกล่าวตอบคุณชายของตนพร้อมกับเปิดหีบเพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้คุณชายของตนด้วยความเคยชิน

        “อืมมม…เอาเป็นชุดที่พึ่งซื้อมาจากไท่โจวตัวที่เป็นสีเขียวยอดไผ่”

        “ขอรับ งั้นเครื่องเป็นปิ่นหยกสีเขียวอ่อนที่แกะเป็นลายปล้องไผ่ประดับทองและหยกเนื้อแก้วที่แกะสลักเป็นลวดลายใบไผ่ดีหรือไม่ขอรับ”

        “เจ้านี่นับวันยิ่งรู้ใจข้านักนะ สิงอยู่ในหัวข้ารึ”หมิงชุนสุ่ยแย้มยิ้มออกมาพร้อมยืดตัวลุกเดินไปหยิบเสื้อชุดให้ขึ้นมาสวมโดยมีเจียวจ้านรีบเดินเข้ามาช่วยสวมชุด

        “แหม่…คุณชาย เจียวจ้านอยู่กับท่านมาตั้งแต่ท่านท่านหัดเดินจะไม่รู้ใจคุณชายได้อย่างไร”ชายหนุ่มคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่ขณะที่มือยังคงช่วยผูกเชือกที่เสื้อตัวในให้กับนายของตนเอง

        “พูดจาลื่อนเปื่อน ข้ากับเจ้าอายุห่างกันเพียงหนึ่งขวบปี หากข้าหัดเดินเจ้าหรือจะเดินเก่งกว่าข้ารึ”

        “เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น คุณชายของบ่าวเก่งกาจยิ่ง เป็นเจียวจ้านที่กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไปเอง คุณชายอย่าโกรธบ่าวเลย”

        “เหอะ”หมิงชุนสุ่นแค่นหัวเราะแต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล่าวโทษคนสนิทแม่แต่น้อย กลับรีบแต่งตัวเสียให้เสร็จเพื่อที่จะได้เดินทางกลับจวนเสียที เพราะตนมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับท่านพ่อท่านแม่แล้วก็พี่ใหญ่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทั้งสามนั้นจะเห็นด้วยกับคำขอนี้ของตนหรือไม่
        

        หลังจัดการกับตัวเองเสร็จหมิงชุนสุ่ยก็เดินมารอเจียวจ้านอยู่ที่ด้านหน้าโรงเตี้ยมอากาศในเมืองฉางอันยามนี้ค่อนไปทางเย็นสบายๆแถมยังมีเมฆมากแม้ไม่ถึงกับมืดครึ้มแต่ก็นับว่าปลอดโปร่งเหมาะแก่การเดินเล่นยิ่งนัก

        นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองดูชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา มือก็ขยับโบกพัดเรียบๆ สีขาวบนบ่าคือก้อนขนตัวเล็กเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ หางสีขาวฟูปัดป่ายไปมาอย่างอารมรณ์ดี โดยที่หนึ่งคนหนึ่งแมวมิได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่ลอบมองตนอยู่แม้แต่น้อย แม้เหล่าชาวบ้านจะรู้จักหน้าคราตาของคุณชายน้อยของสกุลหมิงดีว่าเต็มไปด้วยฤทธิ์เดชเพียงใดแต่ก็มิอาจห้ามสายตามิให้มองใบหน้าดุจหยกสลักของชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย

        ครึก ครึก

        เสียงล้อรถม้าที่บดกับพื้นถนนเคลื่อนมาหยุดที่เบื้องหน้าของหมิงชุนสุ่ยอย่างพอดิบพอดีพร้อมกับเจียวจ้านที่กระโดดลงจากที่นั่งคนบังคับรถม้าลงมาเป็นประตูรถม้าให้ผู้เป็นนาย

        “ไปกันเถอะขอรับคุณชาย”

        “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

        “ขอรับ?”

        “ข้าจะไปเดินเที่ยวที่จตุรัสกลางเมืองก่อนแล้วค่อยกลับจวน อาหารเจ้าก็ไปหาซื้อเอาที่จตุรัสแล้วกันกว่าจะถึงจวนหิ้วท้องรอไม่ไหว”

        “เข้าใจแล้วขอรับ งั้นเชิญคุณชาย”

        

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 13823 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-15 00:01
โพสต์ 13,823 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-9-15 00:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
โพสต์ 2025-6-1 16:46:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-1 17:02








เล่าขานจากเบื้องหลัง


1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามเฉิน < 07.00 น. - 08.59 น. >



ท้องฟ้ายามเช้าสาดแสงสีทองอ่อนผ่านยอดเจดีย์สูงประจำวังหลวง เงาของเมฆบางลอยเรี่ยริมหลังคาหงส์ที่ประดับยอดตำหนักอย่างเงียบงัน ราวฟ้ากำลังเฝ้าดูบางสิ่งบางอย่างอย่างอ่อนโยน



แต่ภายใต้เงานิ่งสงบของวังหลวง กลับมีใครบางคนที่หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น... และคันไม้คันมือยิ่งกว่าแมวที่เห็นลูกไหมพรม


ภายในตำหนักเล็กริมฝั่งสระ องค์ชายน้อยกำลังก้มหน้าก้มตายัดห่อผ้าใบเล็กลงในกระเป๋าคู่ใจด้วยความเร็วชนิดที่คนรับใช้หากเห็นเข้าคงเป็นลมล้มพับกลางลานกระเบื้องหยก


“ถุงเงิน... มีแล้ว เสื้อผ้าเปลี่ยน... เอาแค่ชุดเดียวก็พอ ถ้าเอาเยอะจะเดินไม่สะดวก...”


เขาพึมพำกับตัวเองพลางผูกสายกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว ดวงตากลมดำเปล่งประกายราวดาวบนฟ้ายามราตรี


วันนี้... โลกข้างนอกต้องตกเป็นของข้า!


เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่เมื่อรู้ว่า “พระมารดา” และ “พระบิดา” อยู่ในตำหนักกันสองต่อสอง เพราะมารดาของเขาป่วยและเสด็จพ่อก็ห้ามใครเข้าเยี่ยม  เช่นนี้แล้ว จะมีโอกาสใดที่เหมาะแก่การสำรวจโลกภายนอกเท่าตอนนี้อีก?



เมื่อยัดของเสร็จเรียบร้อย เขาเปิดกล่องไม้เล็กใต้โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบชุดสามัญชนที่ขโมยจากโรงเก็บของใช้คนสวนเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาสวมอย่างใจเย็น เสื้อผ้าธรรมดาสีหม่นอาจดูเก่าไปหน่อย แต่ยิ่งทำให้ไม่เตะตา อาจจะเพราะเป็นชุดของเด็กจึงสามารถสวมเข้ากับสรีระองค์ชายน้อยนี้ได้อย่างพอดิบพอดี


“เรียบร้อยแล้ว...” เด็กน้อยหมุนตัวดูเงาสะท้อนจากกระจกทองเหลือง แล้วอดขำกับภาพของตัวเองไม่ได้ “ช่างเหมือนชาวบ้านยิ่งนัก ฮ่า...!”


เขาเปิดหน้าต่างด้านหลังตำหนักอย่างเชี่ยวชาญ พุ่งตัวออกทางหลังคาเตี้ยที่เคยปีนเล่นเมื่อคราวเด็กกว่านี้อีกสองหนาว แทบจะเป็นเส้นทางลับที่เขาเชี่ยวชาญกว่าใคร ขยับผ่านระเบียง ต้นไม้ใหญ่ และแอบอ้อมหลังเรือนโรงเก็บเสบียง ก่อนจะโผล่พ้นกำแพงวังออกมาทางประตูเล็กด้านทิศเหนือ 



แล้วเด็กน้อยก็หันหลังพรวดพลาดไปในเงาไม้ร่มรื่น ตรงดิ่งออกสู่ถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปยังใจกลางเมืองหลวง


ทุกก้าวย่างของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น บางช่วงเผลอเดินเร็ว บางคราวก็หยุดมองร้านขนมด้วยสายตาเป็นประกายราวจะกลืนขนมผ่านม่านตา เสียงล้อเกวียน เสียงตีกลองเรียกลูกค้า เสียงหม้อไฟเดือด เสียงเด็กเร่ขายขนมเปี๊ยะ ทุกอย่างคือโลกที่เขาไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน แม้แต่กลิ่นโคลนแห้งผสมกลิ่นหญ้าก็ยังชวนให้ใจพองโต


“ข้าจะไปที่โรงเตี๊ยมก่อน...” เขาพึมพำกับตัวเองพลางเดินตัดตลาดอย่างมั่นใจ


ที่นั่นแหละ ศูนย์รวมข่าวสารของชาวบ้านและจอมยุทธ์


แม้จะยังไม่รู้ว่าจะพบอะไร หรือจะซวยกลับมาก่อนมื้อค่ำไหม แต่เด็กชายกลับรู้สึกว่า... วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เขาจะไม่มีวันลืม


.......


กลิ่นน้ำมันจากเตาหม้อไฟลอยอ้อยอิ่งผสมกลิ่นหอมของเหล้าหมักข้าวสาลีเก่าแก่ในโรงเตี๊ยมกลางเมืองหลวง ฉางอันเป็นดังหม้อแปลงกลิ่น เสียงหัวเราะคิกคักปะปนกับเสียงถกเถียงของจอมยุทธ์ไร้สำนัก ชาวบ้านร้านตลาด และขุนนางที่ปลดหัวโขนมานั่งคลายเมื่อยอยู่ปะปนกัน บางคนตบไหล่เรียกขานกันด้วยนามเล่น บางคนก็ประคองถ้วยเหล้าแนบอกคล้ายหวงแหนความอบอุ่นของฤทธิ์สุราเสียยิ่งกว่าฟูเหรินในเรือน


ตรงมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม โต๊ะไม้เก่าแอบในเงาสะท้อนของแสงตะเกียง องค์ชายน้อยในชุดผ้ากระสอบที่ดูเก่าเกินฐานะกำลังยกชามซุปขึ้นจิบแบบประสาเด็กหนุ่มสามัญชน ดวงตากลมดำขลับที่ควรสดใสดังหยดน้ำค้างยามเช้ากลับวาวโรจน์ด้วยความเงี่ยหู เด็กน้อยมิได้มาตามกลิ่นหอมของอาหาร หากแต่มาตามกลิ่นคาวของถ้อยคำที่ลอยลมอยู่ในห้วงอากาศ เหมือนคนเดินป่าที่ฝึกฟังเสียงงูในพงไพร 


โต๊ะข้างเคียงห่างไปเพียงสองช่วงไหล่ มีชายแก่ผิวซีดคนหนึ่งนั่งคุยกับกลุ่มพ่อค้าผิวกร้านจากทางต่างเมือง หัวข้อสนทนาของพวกเขาน่าขนลุกยิ่งกว่าข่าวเรื่องโจรป่าหรือขุนศึกปล้นเมือง เพราะมันกล่าวถึงผู้ที่องค์ชายไม่ต้องการให้เอ่ยถึงในที่เช่นนี้... พระมารดาของเขา!


"ข้าได้ยินมา..." ชายแก่ผู้หนึ่งพูดพลางมองซ้ายขวา ดึงเสียงให้แหบพร่าเหมือนจะตั้งใจให้ขนลุกเล่น "ว่าในคืนที่ลู่กุ้ยเฟยให้กำเนิดทารก... ฟ้ามืดเหมือนมีผีตนนึงลากม่านราตรีลงมาปกคลุมวังหลวง เงียบสงัดเสียจนได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของวิญญาณที่ล่องลอย..."


อีกคนที่นั่งอยู่เยื้องหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ เขาเติมเหล้าให้ตัวเองแล้วว่า "ไม่ใช่แค่เงียบหรอกนะ ข้าได้ยินว่าแม้แต่แมวหน้าวังยังหนีหายไปหมด ไม่มีแม้เสียงร้อง มันน่าขนหัวลุกนัก"


เด็กหนุ่มผู้แสร้งเป็นชาวบ้านตัวเล็กข้างโต๊ะเหล่านั้นลูบปลายจมูกเบา ๆ คล้ายจะเกาหายคัน แต่แท้จริงแล้วกำลังกลบยิ้มขื่นในลำคอ มืออีกข้างกำแน่นอยู่ใต้ชายเสื้อ ความสงบที่เขาเคยฝึกฝนมาในวังหลวงยังคงคอยย้ำเตือนเขาว่า อย่าเพิ่งผลีผลาม อย่าเพิ่งเหวี่ยงอารมณ์ แม้หัวใจจะร้อนราวไฟโชน แต่ปากต้องเย็นเยือกยิ่งกว่าเหมันต์บนภูเขาเซียงลั่ว


"ว่าไปแล้ว เด็กนั่น—" เสียงหนึ่งเอ่ยต่ออย่างตื่นเต้น "มีคนเห็นตอนเพิ่งประสูติยังกับอสูรร้ายจากคัมภีร์ปีศาจ มีฟันขึ้นตั้งแต่วันแรก! ผิวขาวซีดเหมือนศพ จ้องใครก็เหมือนจะกลืนวิญญาณของผู้นั้นเข้าไป!"


"นั่นสิ!" คนที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าก็ผงกศีรษะเออออ "เด็กนั่นโตเร็วผิดธรรมชาติ! แค่ไม่กี่เดือนกลับตัวสูงเท่าเด็กสิบสองหนาว แววตาคมเสียยิ่งกว่าดาบประจำกองทัพหลวง"


แล้วเสียงหนึ่งที่ฟังเหมือนกลัวจนหัวหดก็เอ่ยขึ้นอย่างเงียบเชียบ "บางคนว่า ลู่กุ้ยเฟยนั้นมิใช่หญิงมนุษย์... นางอาจเป็นสาวกของลัทธิปีศาจที่แฝงตัวมาเพื่อบั่นทอนราชวงศ์..."


"แหมๆๆๆ" เสียงใส ๆ ที่แทรกขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ในการสนทนาเดิม แต่ดันดังพอที่จะทำให้โต๊ะข้างเคียงหันขวับมา


เจ้าหนุ่มร่างเล็กคนเดิม ผู้ที่แม้สวมชุดเก่าแต่ดวงตากลับแพรวพราวเกินเด็กธรรมดา เท้าคางพูดขึ้นโดยไม่หันหน้าไปหาผู้ใดโดยตรง


"พวกท่านนี่นะ ช่างจินตนาการเก่งเสียยิ่งกว่าแม่หมอในตรอกท้ายซอย ข้าฟังแล้วแทบจะเอาไปแต่งเป็นนิทานขายได้เลย"


เสียงตะเกียงดังเปาะในจังหวะที่พวกนั้นหันมองเด็กน้อยเป็นตาเดียว ท่าทีคล้ายโดนจับได้ว่าโกหกในงานศพ


"เจ้าหนู..." ชายคนหนึ่งส่งเสียง "เจ้าพูดอะไร?"


เด็กน้อยลุกขึ้นพลางปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนเศษอาหาร เสียงเขาแม้เบาแต่กลับแทรกทะลุเสียงจอแจรอบตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ


"ฟ้าร้อง ฟ้ามืด นางปีศาจ ลูกปีศาจ โตเร็วผิดปกติ..." เขาทำท่าไล่นิ้วนับข้อ ๆ แล้วส่ายหัวเบา ๆ "ข้าแปลกใจอยู่เรื่องเดียว ทำไมถึงไม่มีใครเล่าว่าเด็กคนนั้นบินได้ หรือแปลงร่างเป็นมังกรกลางดึกล่ะ?"


กลุ่มผู้ชายที่มั่วสุมกันเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ดังขึ้นเหมือนจะกลบเกลื่อน


"ก็แค่ข่าวลือ... เอ้อ... เราแค่เล่าสนุก ๆ"


"สนุกงั้นหรือ?" เขาแสร้งเบิกตาโต "แล้วถ้าเด็กคนนั้นเป็นแค่เด็กธรรมดา ที่บังเอิญเกิดมาในวันฟ้ามืดล่ะ? ถ้าแม่ของเขาเป็นแค่หญิงที่โชคร้าย เพราะดันมีคนไม่ชอบหน้าอยู่ในวังล่ะ?"


ไม่มีใครตอบ เด็กชายกวาดตามองคนทั้งโต๊ะแล้วคลี่ยิ้มที่ไม่คล้ายยิ้ม "ข้ารู้มานะ ว่าเรื่องที่แต่งแบบนี้ มันไม่ได้เกิดจากจินตนาการหรอก... มันเกิดจาก ‘เจตนา’"


ผู้ชายบางคนเริ่มหงุดหงิด บางคนขมวดคิ้วขัดใจ เสียงขลุกขลักดังอยู่ใต้ลำคอของชายแก่ที่เปิดหัวสนทนา


"แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเถียงข่าวลือของชาวบ้าน?" เขาแค่นเสียง


"ข้าเป็นแค่ชาวบ้านคนหนึ่ง" องค์ชายตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ "แต่ข้าไม่ชอบเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นเพื่อทำลายคนที่ตนไม่รู้จัก... โดยเฉพาะคนที่ไม่อาจออกมาตอบโต้ได้"


เด็กน้อยหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม หยิบชามซุปขึ้นจิบอีกครั้ง ปล่อยให้คำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในหัวของพวกผู้ใหญ่ที่กำลังหวาดระแวงตนเอง ไม่ใช่เพราะกลัวปีศาจ... แต่เพราะกลัวว่า ‘เด็กนั่น’ จะฟังอยู่ตรงไหนสักที่


ใบหน้าซุกในไอร้อนของชามไม้ใบเดิม ริมฝีปากบางขยับเบา ๆ อย่างไม่ให้ใครได้ยิน


“เอ้อเหนียง... หรูเสวียนไม่ปล่อยให้ผู้ใดดูหมิ่นท่านหรอกนะ”


หลังตอกกลับกลุ่มชายแก่หัวหงอกพวกนั้นจนสะอึกสะอื้นในอารมณ์ เสมือนโดนเด็กเปลือยเท้ากลางตลาดเอาไม้ไผ่เคาะหัวกบาลอย่างแม่นยำ หรูเสวียนก็หันกลับมาให้ความสำคัญกับข้าวในชามเสียที ใบหน้ากลมมนที่ยังมีคราบน้ำซุปค้างบนริมฝีปากล่างคลี่ยิ้มราวคนเพิ่งถอนหายใจได้เต็มปอด หลังจากระบายอารมณ์ออกไปในคราเดียว


พอพวกนั้นลุกฮึดฮัดกลับออกไป ราวกับหอบเอาไอหม่นในอากาศไปด้วย บรรยากาศรอบข้างก็ดูสว่างไสวขึ้นอย่างประหลาด ไฟตะเกียงในโรงเตี๊ยมคล้ายส่องแสงชัดขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเพราะเด็กน้อยใจเบาขึ้นจึงคิดไปเองก็สุดรู้


เขาวางถ้วยชาข้างชามข้าว เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะไม้กรุบกรับอย่างมีจังหวะ แววตาคมดุจหยกดำนั้นมิได้หยุดนิ่ง ขยับไปตามความเคลื่อนไหวของผู้คนรอบข้างที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาในโรงเตี๊ยม บ้างเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เดินโซซัดโซเซพร้อมกลิ่นสุราฉุนจมูก บ้างเป็นหญิงสาวหอบลูกติดผ้าห่มมาอิงไฟขอข้าวเพียงถ้วยเดียว บ้างก็เป็นจอมยุทธ์คิ้วเฉียงที่มากับกระบี่ห้อยข้างเอว


นี่แหละหนา ที่ที่ชีวิตจริงสะท้อนความหลากหลายของโลก หากจะหาข่าวสารอะไรในฉางอัน โรงเตี๊ยมย่อมไม่เป็นรองหน่วยข่าวแน่นอน


แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้ดื่มซุปจนหมดถ้วย โสตประสาทอันเฉียบไวก็สะดุดเข้ากับเสียงเล่าเรื่องของกลุ่มสตรีวัยกลางคนที่กำลังล้อมวงจิบชาร้อนกับขนมถั่วเหลือง กลิ่นหอมของของหวานแม้แต่องค์ชายน้อยยังต้องเงยหน้ามอง แต่ที่ทำให้มือเล็กหยุดกลางอากาศไม่ใช่กลิ่นขนม หากเป็นบทสนทนาแผ่วเบาที่ลอยมาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ


"นางน่ะ...เป็นเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเชียวนะ!" สตรีนางหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเบาราวขนนก แต่แววตากลับเปล่งประกายแรงกล้าเสียยิ่งกว่าหัวหน้ากองกงสุล


"จริงหรือแม่ซื่อ? ข้าได้ยินแต่ว่า นางเป็นสาวชาวบ้านจากสกุลคหบดี ที่งามจับใจขนาดเทพเจ้ายังหลง" อีกคนเอ่ยแทรกพลางหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวกรุบ ๆ


"นั่นแหละน่ะสิ! ถ้าธรรมดา คงไม่สามารถทำให้หวงตี้ตกหลุมรักทันทีที่ได้สบตาเช่นนั้น!" คนแรกยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น เสริมด้วยการขยับกายเข้ามาใกล้เพื่อนร่วมโต๊ะอย่างตื่นเต้น "ได้ยินว่าคืนแรกที่ได้เข้าเฝ้า ยังไม่ทันจะกราบทูลประโยคแรก หวงตี้ก็ตรัสว่า 'ให้แต่งตั้งนางเป็นเหม่ยเหริน' ทันที! แถมยังข้ามขั้นไปจนถึงกุ้ยเฟยเพียงไม่กี่เดือน!"


หรูเสวียนยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ น้ำซุปที่กำลังจะจิบถูกวางลงอีกรอบ ครานี้เด็กชายไม่แสดงความไม่พอใจแบบก่อนหน้า แต่แววตากลับจับจ้องอย่างสนอกสนใจยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่า


"และพอคลอดลูกสาว ข้าเน้นนะว่า ลูกสาว กลางท้องฟ้าก็บังเกิดประกายแสงเจิดจ้าเหนือวัง! เหมือนเทพเซียนบนฟ้าจะลงมารับรู้ถึงการกำเนิดของเทพธิดาตัวน้อย! มีคนนอกวังเห็นด้วยนะ เขาเล่าว่าจู่ ๆ เมฆที่คลุมฟ้าก็แหวกออก เผยให้เห็นดวงจันทร์กลมโตสุกใสดั่งมุกมังกร!"


หญิงอีกนางที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอียงคอมองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ก็อดพึมพำไม่ได้ "เทพธิดาตัวน้อย... ช่างน่าเอ็นดูนัก หากข่าวนั้นเป็นจริง ก็แสดงว่าองค์หญิงน้อยต้องงดงามไม่ต่างจากมารดาแน่ ๆ"


เด็กน้อยหรี่ตาลงช้า ๆ เหมือนแมวที่กำลังวางมือลงบนหมอนร้อน ก่อนจะหัวเราะหึในลำคออย่างยากจะบอกว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์แกล้งประชด คำว่า ‘เทพธิดาตัวน้อย’ สะกิดใจเขาอยู่เล็กน้อย เขามั่นใจว่าไม่ใช่พูดถึงตนเป็นแน่ ถึงจะมีใครลือว่าตนเป็นปีศาจบ้างล่ะ กึ่งเทพบ้างล่ะ แต่คำว่าสาวน้อยน่ะ ไม่มีวันที่จะหมายถึงองค์ชายที่หายใจอยู่ตรงนี้


หรือว่าข่าวลือดี ๆ จะมีอยู่จริงในโลกด้วย? องค์ชายน้อยถอนหายใจแผ่ว แล้วคิดในใจอย่างขบขันว่า แม้จะฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่มันก็ยังน่าฟังกว่าข่าวที่กล่าวหาว่าเอ้อเหนียงของเขาเป็นพวกปีศาจ


“อืม...” เขาพึมพำเบา ๆ “เทพธิดาตัวน้อย งั้นหรือ... น้องสาวเจ้าช่างได้หน้าเหลือเกิน”


ว่าจบก็ยิ้มบาง ๆ พลางยกชามซุปขึ้นซดต่อจนหมด มือเล็ก ๆ วางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนจะเช็ดริมฝีปากด้วยชายแขนเสื้อที่แม้ดูเก่าแต่สะอาดเป็นอย่างยิ่ง


ในใจเขานั้นไม่มีความขุ่นเคือง เหมือนเมฆคลุ้มที่ถูกลมพัดผ่านแล้วปลอดโปร่ง เด็กชายมองไปรอบตัวอย่างสงบเยือก เยี่ยงคนที่ไม่ต้องปะทะฝีปากใครอีก แม้จะยังเหลือเวลาอีกมากสำหรับการท่องเที่ยวในฉางอัน แต่นี่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าสนุกไม่น้อย


“ถ้าได้ข่าวลือน่าขันกว่านี้อีกสักสองเรื่อง ข้าคงต้องเอาไปเขียนขายเองเสียแล้วล่ะมั้ง” เขาพึมพำขำ ๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมมาคิดเงิน


เจ้าตัวลุกขึ้นในคราเดียวกับที่ตะวันเอียงแสงทอดยาวเข้ามาในช่องไม้ของประตูโรงเตี๊ยม เงาของเขายืดยาวไปบนพื้นไม้ ขณะสายตาสำรวจข้างทางอย่างละเอียด


ดวงตานั้นสดใสปานดาวในคืนเดือนมืด หากแต่ซ่อนเปลวไฟที่อาจลุกไหม้ได้ทุกเมื่อไว้ภายใน


เพียงแต่วันนี้... ไฟนั้นสงบดี เพราะข่าวลือในครานี้ มันช่างน่าฟังนัก เทพธิดาตัวน้อยหรือ? ถ้าเจอน้องหญิงเมื่อไร จะต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟังเสียหน่อย ดูสิ นางจะทำหน้าเช่นไร!



ก่อนเท้าเล็กจะก้าวข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ดวงตาสีดำวาวดุจหยกนิลของเด็กชายก็กระทบกับภาพบางอย่างที่สะดุดใจเข้าอย่างจัง มุมเงียบด้านข้างเสาใหญ่โตต้นหนึ่ง มีชายวัยกลางคนสวมชุดจอมยุทธ์สีกลางเก่ากลางใหม่ กำลังก้มหน้าขีดเขียนอะไรบางอย่างบนแผ่นกระดาษ เห็นได้ชัดว่ามือเรียวใหญ่ของเขาขยับเป็นจังหวะมั่นคง ท่าทีจริงจังสมเป็นผู้ฝึกยุทธ์มาอย่างช่ำชอง ข้างตัวมีสตรีวัยสาวใบหน้านวลเรียบสงบ รอยยิ้มที่มุมปากนางมีแววเมตตา บางคราวก็โน้มตัวลงไปชี้ชัดคำบางคำบนกระดาษให้บุรุษนั่นอย่างอ่อนโยน


กลิ่นความใคร่รู้ขององค์ชายน้อยโผล่พรวดออกมาในเสี้ยวลมหายใจ เหมือนแมวที่ได้กลิ่นปลาทูย่าง เด็กชายค่อย ๆ เขยิบปลายเท้าเข้าไปใกล้โดยไม่ให้เกิดเสียง กระทั่งยืนชะเง้อมองแผ่นกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาเปล่งประกาย


“พี่ชายจอมยุทธ์... ท่านกำลังเขียนสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” เด็กน้อยถามอย่างอารมณ์ดี ปลายเสียงนั้นใสเสียจนแทบแยกไม่ออกว่าเอาจริงหรือแกล้ง


ชายผู้ถูกถามขมวดคิ้วพลางหันมามองเจ้าหนูน้อยตรงหน้า สีหน้ามิได้รังเกียจหากก็ไม่ใคร่ยินดีนัก “เจ้าหนู เรื่องนี้ของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเจ้าควรไปวิ่งเล่นข้างนอกดีกว่า อย่าให้เสียเวลาเลย”


คำตอบที่ออกมาแม้สุภาพแต่ก็ตัดบทชัดเจน หรูเสวียนเม้มปากน้อย  คล้ายคนโดนเฉือนศักดิ์ศรีนิด ๆ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงมิได้ดูแคลน แต่ด้วยความเป็นเด็กที่คุ้นชินกับการได้ยินเสียงโค้งคำนับมากกว่าสั่งให้ไปเล่นทราย จึงอดมิได้ที่จะประชดในใจ


ด้วยความอยากรู้อย่างสุดหัวใจเขากระโจนไปยังมุมกระดาษเปล่าอีกแผ่นหนึ่งที่ยังวางอยู่ข้างชายผู้นั้น คว้ามาไว้ในมือในชั่วพริบตาอย่างคล่องแคล่ว


“อะไรน่ะ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เป็นเสียงของสตรีผู้ให้คำแนะนำที่ยังคงมองเด็กน้อยด้วยแววตานุ่มนวล “หนูน้อย เจ้ารู้หรือเปล่าว่านั่นคือแบบลงทะเบียนรับจ้างงาน?”


“รับจ้างงานหรือขอรับ?” เขาถามเสียงใสพลางมองกระดาษในมือ “เช่นว่าจ้างทำอะไรได้บ้าง?”


“แล้วแต่จะตกลงกับผู้ว่าจ้าง” นางตอบยิ้ม ๆ “มีทั้งขนของ ขุดสระ คุ้มครองคาราวาน เป็นผู้ส่งข่าวสาร หรือแม้แต่เป็นผู้ช่วยตามร้านค้า... แต่เจ้ารู้อักษรใช่ไหม?”


องค์ชายยืดอกทันที หน้าตาเปื้อนความภูมิใจ “ขอรับ ข้ารู้อักษร อ่านได้ เขียนได้ด้วย!”


หญิงสาวอมยิ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนผายมือให้เขานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอีกตัวข้างโต๊ะ “ถ้าเช่นนั้นก็ลองกรอกดูสิ แต่ต้องใส่ชื่อ สกุล และนามรองลงไปด้วยนะ”


เด็กชายเลิกคิ้วนิด ๆ คำถามผุดในหัวทันทีเหมือนฟองอากาศกลางบ่อน้ำ ชื่อจริงหรือ? แค่คิดก็ปัดทิ้งในทันที ความเป็นองค์ชายจะเขียนโพล่งลงไปตรง ๆ ให้โลกได้ประจักษ์คงไม่ต่างจากโยนป้ายทองลงกลางตลาด


แถมนามรองก็ยังมิได้กำหนดให้จากผู้ใหญ่ เขายังไม่ทันพ้นขวบปีแรกแรกของชีวิต การประดับหมวกยังอีกไกล จะให้อ้างชื่อไหนล่ะ?


เจ้าตัวนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจ ราวกับสวรรค์กระซิบชื่อให้ผ่านสายลม เด็กน้อยหยิบพู่กันจุ่มหมึกแล้วค่อย ๆ เขียนอักษรอย่างประณีต


ในช่องชื่อและสกุล เขาใส่ลงไปว่า ไม่ประสงค์แจ้ง


ในช่องนามรอง เขาเขียนว่า...


เสวียนอิ๋ง (玄影) — เงาดำแห่งความลึกลับ


เขาลงมือเขียนด้วยลายมืออ่อนช้อยอย่างคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พอลงเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นส่งกระดาษให้หญิงสาว พร้อมรอยยิ้มระคนภาคภูมิและเจ้าเล่ห์แบบเด็กขี้เล่น


หญิงสาวอ่านข้อมูลในมือ แล้วพยักหน้าพอใจ จากนั้นหยิบแผ่นกระดองเต๋าใบเล็กที่มีหมึกประทับอยู่ ยื่นส่งให้เด็กน้อย


“เก็บไว้นะ หนูน้อย ในอนาคตอาจกลายเป็นสิ่งสำคัญของเจ้า ไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดจะพาเจ้ากลับมาที่นี่อีกก็ได้”


องค์ชายน้อยรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ประคองอย่างทนุถนอมยิ่งกว่าถ้วยหยกจากห้องเครื่องหลวง แววตาวาวระยับราวได้สมบัติชิ้นใหม่ที่ไม่มีใครรู้ค่า


หลังใช้เวลาในโรงเตี๊ยมนานเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ตอนแรก เจ้าหนูในคราบสามัญชนก็หันหลังออกจากชางลั่งถิง ลมเย็นโชยปะทะปลายผมดำสนิทที่ปล่อยระใบหูอย่างไม่เป็นระเบียบ


มือข้างหนึ่งของเขายังลูบไล้แผ่นกระดองในอกเสื้อ ราวกับไม่อยากปล่อยมันไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินออกสู่ถนนเมืองหลวงที่คึกคัก ดวงตากลมดำมองไปยังโลกกว้างเบื้องหน้าอย่างผู้กล้าที่ยังมีเรื่องราวรอให้ค้นหาอีกมากมายนัก…




+15 EXP ผู้ฟังข่าวลือเทพธิดาลู่ไป๋หรั่นและการกำเนิดขององค์หญิงน้อย


+15 EPX ผู้ฟังข่าวลือกลุ่มลัทธิชั่วร้าย (ลู่กุ้ยเฟยให้กำเนิดทารกปีศาจ?)



แบบฟอร์มลงทะเบียนจอมยุทธ์


ชื่อสกุล : ไม่ประสงค์แจ้ง


ชื่อทางการ : ไม่ประสงค์แจ้ง


ชื่อรอง : เสวียนอิ๋ง


ระดับจอมยุทธ์เริ่มต้นที่ลงทะเบียน(Level) : ระดับ 3


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-1 16:47
โพสต์ 55765 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 16:46
โพสต์ 55,765 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-1 16:46
โพสต์ 55,765 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 เกียรติยศ +8 ความศรัทธา จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-1 16:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผู้มีบุญ
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x30
x1
x5
x1
x2
x2
x2
x2
x10
x5
x10
x10
x60
x4
x100
x4
x1
x47
x30
x20
x10
x10
x20
x5
x5
x2
x3
x12
x70
x64
x60
x20
x1
x1
x1
x1
x4
x3
x2
x4
x2
x4
x10
โพสต์ 2025-6-5 22:13:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด




         เสียงนกร้องยามเช้าเริ่มขานรับแสงอรุณในช่วงเช้าตรู่แบบที่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่ครบดวงที่ขอบหลังคาของโลก อีกมุมหนึ่งของศาลเจ้าแห่งหนึ่งในตรอกเล็ก ๆ ด้านหลังเมืองฉางอัน มีเงาเล็ก ๆ ขดตัวนอนใต้แท่นบูชาที่เป็นไม้ผุพัง มือหนึ่งกอดถุงผ้าสีน้ำตาลอยู่แน่น ๆ แล้วมืออีกข้างหนึ่งก็ยันหัวขึ้นมานอนจากเสี่ยเก่าอย่างงัวเงีย… งึม ๆ กลิ่นแสงอาทิตย์

         หลินหยาลืมตาปรือช้า ๆ ราวกับเพิ่งฟื้นจากสงครามกลางเมืองแบบคนเร่ร่อนเมื่อคืน ใต้ตาบวมหน่อย ๆ จากการโดนยุงกัดแหละ ตรงคอก็ปวดตึงจากการที่ต้องนอนหมอนธรรมชาติที่เป็นไม้ไผ่หน้าศาลเจ้า เหมือนพยายามบังคับตัวเองให้ตื่นอย่างเงียบ ๆ ฮืออ ไม่ต้องปลุกด้วยอะไร ร่างกายที่แสนอ่อนล้าก็ตื่นเองแหละ “อือออ ตื่นก็ได้จ้าา..งึม ๆ” เธอไม่คิดว่าชีวิตตอนนี้มันช่างลำบากจริง ๆ เลยนะเนี้ย เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วเหมือนคนที่ร่างกายไม่อยากเคลื่อนไหวจากความยากจนของตนเองที่มี เรียกว่าแรงก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ที่พักยังไม่มีเลย สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแค่หน้าตาและสันดานที่ติดตัวแหละ

         ด้วยจิตวิญญาณจของลูกคุณหนูเจ้าเมืองกว่างโจว เธอปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าชุดเดิมที่ยับยู่ยี่ยิ่งกว่ารองเท้าคนจนเสียอีกแล้วก้าวออกมาจากศาลเจ้าราวกับเป็นคนที่พึ่งออกจาำถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์หรือพึ่งไปบำเพ็ญตบะมานั้นเอง ถึงแม้ว่าจะมีเศษใบไม้ติดอยู่บนหัวนิดหน่อยก็ตามที

        “เอือก ไปไหนดีนะ?”

         เธอคิดก่อนที่จะเดินไปเรื่อย ๆ กะว่าจะไปหาที่พักแล้วล่ะ สุดท้ายเท้าของเธอก็นำเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าสิ่งปลูกสร้างอันโอ่อ่าราวกับตำหนักย่อม ๆ แห่งหนึ่ง เธอมองป้ายไม้แกะสลักที่เด่นเป็นสง่าเหนือประตูว่า โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง นี้คือป้ายทางเข้ากว้างพอที่รถม้าจะผ่านได้สบาย ๆ เลยแหละ โคตรใหญ่

         "อะ...อันนี้... โรงเตี้ยมหรอ?" เสียงในใจหลุดออกมาทางปากอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาเบิกกว้างแล้วกลอกซ้ายกลอกขวาอย่างหวาดระแวง "ไม่มีอันที่มัน...เล็กกว่านี้แล้วหรออออ?" แต่เมื่อมาถึงแล้วจะลองเข้าไปถามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะ แล้วก็พยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็แอบ ๆ เดินฝ่าเข้าไปในประตูด้านในด้วยยอารมณ์คนจนของตัวเอง พร้อมกับสายตาที่คนรับแขกจ้องมาอย่างสุภาพ(?) ใช่ไหมนะ เหมือนประเมินค่าเธอเต็มขั้นตั้งแต่หัวจรดหาง..

         “เอ่อ..ขอโทษนะเจ้าคะ..” เธอเอ่ยขึ้นแล้วมองคนที่เหมือนเป็นพนักงานต้อนรับแบบกล้า ๆ กลัว ๆ “อยากทราบราคาห้องเดี่ยวเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นบอกแบบนั้น พนักงานชายในชุดผ้าซาตินสีเงินยิ้มอย่างนุ่มนวลเหมือนมีลมดอกเหมยพัดผ่าน กล่าวเสียงสุภาพปานเสนาบดีตอบปัญหาชาวบ้านว่า

         “ห้องเดี่ยวธรรมดา คืนละ 20 ตำลึงเงินขอรับ”

         เมื่อได้ยิน สมองของหลินหยาก็เหมือนว่าจะหยุดประมวลผลชั่วครู่ แล้วเธอก็หันหลังกลับช้า ๆ แบบคนโดนฟาดด้วยกระทะทองคำ สมองก้องคำว่า ยี่สิบตำลึงเงิน’ อย่างไม่จบสิ้น! ยี่สิบตำลึงงง!? ข้าพเจ้าในมือมีอยู่แค่หกกก!! หกกกก!!! หก!! ยากจังเลยชีวิตนี้เธออยากบ่นออกมาแต่ทำไม่ได้อ่ะสิ

         เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่พนักงานต้อนรับ สภาพของหลินหยาที่กำลังเดินออกจากหน้าเคาน์เตอร์ไปยังป้ายกระดานงานด้านข้างโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ากึ่งสงสารกึ่งขำ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ไม่ถึงสองเค่อถัดมา หลินหยาก็เดินกลับมาอีกรอบอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งนักสู้ที่พ่ายแพ้ในเวทีประลองยังไงยังงั้น ใบหน้าเธอยังคงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ หน้าขาว ๆ กับแก้มยุ้ย ๆ นั่นขึ้นสีชมพูเรื่อด้วยอารมณ์ปนเป “จะสมัครงานต้องเป็นจอมยุทธ์ก่อนหรอเจ้าคะ?!” เอ่ยถามแบบนั้นแล้วอึ้งสุด ๆ พนักงานเลยพยักหน้ารัว ๆ หลินหยาเลยแทบทรุด จะไปเป็นได้ไงวะเนี้ย เป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีอะไรแบบนั้นสักหน่อย เธอหันกลับมาทางเสี่ยวเอ้อร์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงกึ่งกดดัน "ไม่มีงานอย่างอื่นเหรอเจ้าคะ? แบบที่ไม่ต้องมีตำแหน่งจอมยุทธ์เลยอ่ะเจ้าค่ะ”

         เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเจื่อนนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจในชีวิตคนไร้ตราและไร้ตังค์ "ก็มีนะแม่นาง...งานชั่วคราวไง ตามร้านค้าในเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็มีกันหมดนั้นแหละ พวกทำความสะอาด ล้างจาน ยกของ เติมถ่าน ยกเกี้ยว เช็ดหน้าต่าง เดินตะเกียง...หลาย ๆ ร้านจะเป็นทำทุกวันได้เงินทุกวัน แต่ส่วนใหญ่โรงเตี๊ยมของเราก็เป็นแค่ 3 วันครั้งเท่านั้น เพราะคนแย่งกันมาทำเยอะเลย"

         "ตกลงเจ้าค่ะ ข้าจะทำ!" เธอพูดอย่างมั่นใจแบบไม่คิดชีวิต “ข้าขอทำงานวันนี้เลย!”

         “เช่นนั้นแล้วขอบอกไว้ว่าราคาค่าจ้างต่อวันคือ 200 อีแปะนะ” พนักงานเอ่ยบอกกับทางหลินหยาแบบนั้น เด็กสาวรัวหัวจิก ๆ เหมือนกับคนที่ตื่นเต้นสุด ๆ พยักหน้าแรงจนผมที่ตกลงมากระเด้งขึ้นแล้วหล่นลงมาใหม่อย่างพร้อมเพรียง “…ดีใจมากเลยเจ้าค่ะ! อย่างน้อยก็ซื้อหมั่นโถวได้หลายเข่ง ซาลาเปาอีกสักตะกร้าฟังดูหรูหรากว่าหมอนไม้ไผ่เมื่อคืนเยอะ!”

         งานแรกของหลินหยาไม่ได้อะไรมาก แต่ก็นับว่าไม่เบาเลยสำหรับคนตัวบาง ๆ แบบนี้ เสี่ยวเอ้อร์ที่เพิ่งจะรู้ว่าเธอไม่ได้มางานจอมยุทธ์หรือแม่ค้าขายผลไม้แต่อย่างใด จึงมอบหน้าที่อัน 'พอเหมาะกับแรง' คือ แบกของเข้าห้องครัว เป็นกล่องลังจากเกวียนที่มาส่งอุปกรณ์การทำอาหาร แต่พอเห็นหญิงสาวยืนมองรถเข็นไม้ที่เต็มไปด้วยตะกร้าไม้ไผ่ซ้อนสูงเกือบถึงอกเธอ…โอ้ยตาย..แขนเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีแรงอะไรเลยกลับขยับเข็นรถพร้อมดันประตูเข้าไปแล้วแบกลังและตะกร้าเหล่านั้นเข้าไปในห้องครัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จเรียบร้อย

         พอทุกอย่างเรียบร้อย หลินหยาก็ยกชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผากนิด ๆ พลางถอนหายใจอย่างสะใจ เหมือนนักรบเพิ่งลงจากม้าหลังเสร็จศึก หลังจากนั้นเธอก็เดินไปที่เดิม “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เอ่ยบอกแล้วยิ้มรับอย่างภูมิใจสุด ๆ เลย เสี่ยวเอ้อร์เลยพยักหน้าก่อนที่เขาจะยื่นถุงผ้าสีหม่นให้ด้านในมีเหรียญอีแปะกระทบกันเบา ๆ






พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: ค่าจ้าง 200 อีแปะ 15 EXP


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-5 22:45
โพสต์ 16098 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-6-5 22:13
โพสต์ 16,098 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-5 22:13

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3
โพสต์ 2025-6-8 22:17:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ แปด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว ถึง ต้นยามซวี เวลา 17.00 - 20.00 น.
ไปทำงาน โรงเตี้ยมชางลั่งถิ


         ตะวันลับฟ้า ท้องฟ้าก็ทาสีดำ…แค่ก ยามโหย่วลมหอบไอของยามเย็นไล่ผ่านเมืองหลวงอย่างฉางอันเหมือนเคย สีทองแดงจากตะวันรอนสาดแสงทาบปลายชายคาเหมือนเคย และไล้ผ่านสถานที่ต่าง ๆ ของเมือง แสงจากโคมไฟกระดาษเริ่มโดนจุดขึ้นทีละดวง ทีละดวงหน้าประตูและตามถนน เสียงขลุ่นหวานจากซอยฝั่งตรงข้ามคลอเคลียลอยมากับกลิ่นของเหล้าต้มบ๊วยที่พึ่งถูกอุ่นส่งจนมีกลิ่นไอหอมของมัน โรงเตี๊ยมชางลั่งถิงนั้นยังคงงดงามเหมือนเดิม อาคารหลังใหญ่ที่โดนปลูกจากไม้อายุหลายสิบปีมากมายหลายต้น ผนังทาด้วยสียางสนแล้วก็มีพื้นหินขัดสะอาดตา แสงจากตะเกียงแล้วก็กระจกหลากสี โคมไฟสีทองแขวนไหวด้วยแรงลมเหนือทางเดินยาว

         หลินหยาเดินมาที่ตรงนี้แล้วพ่นลมหายใจ เธอเปลี่ยนชุดจากชุดที่เปียกแล้วเรียบร้อยตั้งแต่ที่อยู่ตรงโรงหมอ ตอนนี้ก้าวมาที่นี่ด้วยจังหวะที่มั่นใจแววตาของเด็กสาวในราวกับน้ำจาบนยอดเขาเหลียงซาน แม้เหนื่อยล้ามาทั้งวันแต่ก็ยังมีพลังเหนือพอให้จับลงอย่างสวยงามอยู่เหมือนกัน

         “แม่นางมาอีกแล้วหรอ?” เสียงของพนักงานหนุ่มคนเดิมเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงความเอ็นดูอยู่ในน้ำเสียง ชายวัยกลางคนร่างเจ้าเนื้อในชุดสีเข้มยืนอยู่ตรงนั้นแล้สผ่ายมือไปทางห้องครัวเพราะเมื่อสามวันก่อนเธอก็มาทำงานที่นี่แล้วก็ช่วยแบกของอย่างขยันขันแข็งเลยล่ะ มันก็ดีนะ แต่สตรีตัวเล็กถึงเพียงนี้ดันยกของได้อย่างงั้น ก็ดีเหมือนกัน เอาเถอะ ตอนนี้มีงานอยู่ด้วยก็ทำดี ๆ แล้วกัน “วันนี้มีแขกกลุ่มใหญ่มาจากต่างเมือง ม้าสิบตัว คนยี่สิบ เถ้าแก่บอกว่าเขาให้ข้าหาคนช่วยยกของขึ้นห้องอยู่พอดี เจ้าทำได้ใช่ไหม?”

         “เจ้าค่ะ …ข้ายกได้ ถ้าช่วงท้ายได้เงินก็คุ้มแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยแบบนั้นแล้วระบายยิ้มก่อนที่จะเริ่มเดินไปดูว่าต้องยกอะไรขึ้นห้องชั้นที่สองบ้าง ดูเหมือนว่าจะเยอะพอสมควร หลินหยาหัวเราะเล็กน้อย แล้วเริ่มลไเลียงของและสัมภาระเหล่านั้นของแขกกลุ่มใหญ่เข้าสถานที่ของเขาแล้วจัดการแบกถุงผ้าหนักหลายใบขึ้นบันไดไปทีละรอบ แม้ว่าแขนจะเริ่มล้าและฝ่ามือเริ่มช้ำแต่เธอก็ยังคงไม่หยุดทำ เดินฉับ ๆ ไปด้วยสปิริตของสาวที่ได้รับรู้ว่าการทำงานหนักจะส่งผลอะไรบางอย่างกับเธออีก บางทีมีรเดินสวนกับแขกชาย พวกเขาก็จะหันมามอบเธอบ้าง บางคนก็หยิบถุงต่อให้ก็มี...เธอค่อนข้างไม่ค่อยชอบนะเนี้ย แต่แสดงออกอะไรไม่ได้

         หลินหยาอาจจะเกร็งนิดหน่อยแต่ไม่แสดงออก นางทำเพียงโค้งรับขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วไม่พูดอะไรมาก เธอรู้หน้าที่ของตัวเองดีและไม่คิดจะทำหน้าที่อื่น และไม่คิดจะให้ใครมาทำแทนเหมือนกัน เมื่อยกของเสร็จยังช่วยจัดเครื่องนอนให้ห้องพักสำรองเหมือนกัน กวาดพื้น จัดตำแหน่งโ๖๊ะในห้องอาหาร แล้วก็ขนช่วยนำถ้วยชากลับสถานที่ จุดตะเกียงให้เรียบร้อย เพื่อความสงบ แล้ววก็ไปเติมน้ำอาบ ต้มน้ำให้เรียบร้อย เมื่อทำเสร็จก็เดินเข้าเดินออกทีละห้อง ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินทางไปเรื่อย ๆ ตามห้องพักทั้งหลายนั้นแหละ

         พอเข้าสู่ช่วงต้นยาวซวีแขกเริ่มทยอยนั่งในห้องอาหารชั้นล้าง กลิ่นเต้าหู้ทอด น้ำแกง เห็ดหอม ทำให้หลินหยาเบ้หน้าหนีเล็กน้อย เธอขอรับแค่กลิ่นของหมูอบซอสน้ำแดงจะได้ไหม หลินหยาเปลี่ยนหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟต่อ มือซ้ายถือถาด มือขวาถือช้อน ไหล่แบกของ ปากยิ้มเสมออยู่ตลอดเวลา แขกพวกนั้นยังใช้บริการตามปกติ บางคนอาจจะมีมองแบบแปลก ๆ บ้างแต่เธอไม่เคยใส่ใจ ทำเพียงยิ้มรับหรือไม่พูดไม่จา โรงเตี๊ยมแห่งนี้ยังคงคึกคักยามเย็นราวกับสถานที่รวมตัวของผู้คน รสอาหารกลมกล่อม เสียงหัวเราะจาง ๆ เงาคนในผ้าคลุมเริ่มหมุนเวียนกันเรื่อย ๆ อาหารอย่างอื่นดูหน้ากินหมดยกเว้นอาหารที่มีถั่วเหลืองแหละ เพราะหลินหยาแพ้มัน เธอมองมันราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตรเหลือเกิน ไม่ชอบจริง ๆ นี้หน่า กินไปแล้วตายขึ้นมาทำยังไงอ่ะ สิ้นชื่อเลยนะ


         "ฮึบบบ อีกนิดหนึ้่งจะเสร็จแล้วล่ะ...เหนื่อยจังเลยวันนี้ จะนอนที่ไหนดีละเนี้ย.." เธอพึมพำเล็กน้อยจากนั้นก็พ่นลมหายใจกับตัวเอง เหนื่อยจังเลยนะ ไม่ค่อยได้นอนด้วยสิ การทำงานนี้มันลำบากจริง ๆ

         เธอช่วยงานเพียงเล็กน้อยเพราะหน้าที่ตัวเองมีแค่มาขนของเท่านั้น พอถึงเวลาก็เดินไปรับเงินจากตัวแทนของเถ้าแก่ให้เรียบร้อย วันนี้ก็น่าจะจบลงแต่มีคนบอกว่าที่หอรำมีงานได้เงินดีช่วงกลางคืน จะแวะไปที่นั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะ น่าสนใจเหลือเกิน…แต่ก่อนที่เธอจะได้ไปที่ไหนแล้วเธอก็พบใครบางคน เหมือนจะเป้นบุรุษ๋คนหนึ่งนะ? แต่เธอได้ยินว่าเขาชื่อ ชาง เยี่ยนเป่ย ...หืม? เถ้าแก่น่ะหรอ? ยังเด็กอยู่เลย เห็นมีคนอื่นเล่าให้ฟังว่าเขาคือคุณชายแห่งตระกูลมั่งคั่งผู้ถูกเรียกขานว่า เถ้าแก่ทองคำ แห่งเมืองใหญ่ รูปลักษณ์ของเขานั้นช่างราวกับหลุดออกมาจากบทกวี รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวสะอาดละเอียดราวหยกน้ำค้าง โครงหน้าคมสัน จมูกโด่งได้รูป ดวงตาเรียวยาวดั่งพู่กันจิ้มหมึก สะท้อนประกายความเจ้าเล่ห์แฝงไว้ใต้แววตาเฉยชา ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้ด้านบนประดับด้วยปิ่นทองหัวหงส์และทับทิมแดง เสื้อคลุมยาวผ้าไหมสีเหลืองทองอ่อน ตัดเย็บด้วยฝีมือช่างจากทางตะวันออก ปักลายเมฆมงคลด้วยไหมสีขาวงาช้างอย่างประณีต ขลิบชายด้วยด้ายทอง ตงไม่ต้องถามว่ามันราคาเท่าไร คงมากกว่าค่าขนมของหลินหยาทั้งเดือนแน่ ๆ


        หลินหยารีบขยับดวงตาก้มลงเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องมองเถ้าแก่ เพราะเธอจะโดนไล่ออกหากมองไม่รู้เรื่อง ก่อนที่จะรีบเดินทางออกไปจากตรงนี้เร็ว ๆ ได้เงินแล้ว ไปก่อนนะคะ หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะดูคนหล่อขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าคนที่พบวันแรกของวันนี้ที่หอดาราค่งหล่อมากที่สุดแล้วล่ะ ถ้าจะหล่อกว่านี้เธอคงตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นแน่ ๆ


@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: 200 อีแปะ - 15 EXP



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-8 22:58
โพสต์ 15283 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 22:17
โพสต์ 15,283 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-8 22:17
โพสต์ 15,283 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-8 22:17

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3
โพสต์ 2025-6-15 20:37:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ สิบห้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ไปทำงานโรงเตี้ยมชางลั่งถิง (พบ ต้าซือหม่า เว่ย ชิง)


          แสงแดดอ่อนของยาวโหย่วนั้นเร่ิมคล้อยไล่ปลายเงาลงบนหลังคาโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงเสียแล้ว ตัวอาหารนั้นสะท้อนเงาสะบัดตามแรงลมที่พัดผ่านมา หลินหยาก้าวเท้าเข้ามาด้านในด้วยจังหวะที่คล่องแคล่วแต่ก็ไม่รีบร้อน เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่วันนี้แม้จะผ่านการทำงานมาแล้วหลายช่วงเวลาแต่ก็ยังดูเรียบร้อยแล้วก็สะอาดมาก ๆ เหมือนกัน แววตาของหญิงสาวเต็มไแด้วยึความตั้งใจของเธอแม้จะรู้ว่างานที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอคุ้นชินเท่าไรนักก็ตาม โรงเตี๊ยมชางลั่งถิงนั้นเป็นการต้อนรับที่ดี เธอเห็นว่าตอนนี้ผู้ดูแลมองเธอก่อนที่จะพยักหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้มบลาง

          “โอ้..วันนี้แม่นางน้อยว่างมาทำงานกับเราจนได้สินะ” เขาเอ่ยทักเพราะเธอมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่หลินหยาก็ไม่เคยเจอเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งนี้หรอกนะ “เจ้าค่ะ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ ขออภัยที่ช่วงก่อนข้าไม่ได้แวะมาเลย งานแน่นจนแทบหายใจไม่ทัน” หลินหยาเอ่ยบอกหัวเราะนิดหน่้อย พร้อมกับประสานมือคำนับอย่างสุภาพ น้ำเสียงของเธอชวนให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างจากลมเย็นที่ลอดเข้าช่องทางของหน้าต่าง

          “ไม่เป็นอะไร วันนี้ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอก เจ้าช่วยยกของเข้าไปเก็บด้านหลังแล้วก็ช่วยเรียงโอ่งเหล้ากับถ้วยชาให้ดี” เขาว่าอย่างงั้นก่อนที่จะส่งไม้ส่งมือไปทางห้องเก็บของที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ หลินหยาจึงรับคำทันทีที่เห็น แล้วรีบเดินไปทางด้านหลังของโรงเตี๊ยมทันที มือเรียวยกถุงข้าว ถุงผักและโอ่งน้ำจืดขนาดไม่ใหญ่นักเข้าที่เข้าทาง เธอไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายแม้แต่น้อย กลับดูสนุกกับการขยับร่างกายเสียด้วยซ้ำ ด้วยจังหวะที่ราวกับกำลังเต้นรำอย่างเบาในท่ามกลางกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้เก่ากับกลิ่นข้าวสุกจากหม้อที่ตั้งต้มในครัว

          หลังจากนั้นเธอก็มาทำความสะอาดถาดไม้ถ้วยชาจีนที่แห้งหวาด ๆ วางเรียงรายกันอยู่ตรงผนังของห้องเก็บของแห่งนี้ นางหยิบมาแล้วผลักกันเช็ดด้วยผ้าแห้งผืนเล็ก สะบัดเช็ดจนมันสะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็นกลับออกมาอย่างสวยงามราวกัีบเคครื่องเคลือบราคาแพง บางครั้งก็ได้ยินเสียงของแขกที่เข้ามาพักหัวเราะเบา ๆ ปะปนกับเสียงของพนังงานรับแขกกล่าวคต้อนรับอย่างเป็นมิตรอยู่หน้าประตูด้านนอก มันทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตก็ไม่ได้วุ่นวายเท่าไรที่นี่แต่ก็มีการเคลื่อนยไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเต็มหัวใจของเธอเหมือนกัน

          ดวงตาของหลินหยาในยามนี้กลับเปร่งประกายเหมือนกำลังไล้เสงแดดเงียบ ๆ บนผิวนร้ำในยามเย็น มือที่เช็ดถ้วยก็เบาลงแล้วมีจังหวะเหมือนการบรรเลงขลุ่ยอย่างสงบ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอก็เหมือนกับเปล่งเสียงบางอย่างออกมาเสมอ ไม่ใช่เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย แต่มันคือเสียงของชีวิตที่ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ

          หลังจากทำงานเสร็จหลินหยาก็ก้าวออกจากประตูโรงเตี๊ยมเสียงนั้นทำให้เธอกำลังจะเดินตัวออกไปเสียงฝีเท้าของหลินหยาก็ดังสะท้อนเบา ๆ กับพื้นรหินเมื่อเธอเดินออกมาในตอนนี้ รัศมีสุดท้ายของอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าเป็นสีทอง วันนี้เธอยังไม่ได้ทำงานแบบเต็มเวลาเพราะงานเสร็จก่อนเพราะมีไม่เยอะเอาเถอะเข้าใจได้แหละ ตอนนี้เธอเห็นเงาของตึกแถวและร่มไม้เริ่มทอดยาวราวกับกำลังเตรียมตัวกลืนหลบเข้าสู่ช่วงรัตติกาลเสียแล้ว หญิงสาวสาวเท้าไปอย่างผ่อนคลานหลังจากทำงานมาทั้งวัน แต่เธอก็ยังเหลือที่สุดท้ายที่ต้องไป แต่ทว่า..

          ดวงหน้างามของแม่สาวน้อยที่เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบหรือตุ๊กตากระบอกกลับพลันเห็นร่างหนึ่งที่ยืน..ไม่สิ..น่าจะพึ่งเดินอยู่ แบบไม่ไกลนัก เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบขรึม ฝูงชนที่ผ่านไปมาไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้รัศมีรอบกายของเขามากนัก ราวกับกลิ่นอายที่ห่อหุ้มร่างในชุดคตลุ่มดำเข้มนั้นไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่มันคือแรงกดดันที่แม้จะไม่รุนแรงทว่ากลับเยือกเย็นจนน่าประหลาดใจ หลินหยาเห็นเพียงด้านข้างใบหน้าของเขาเธอก็จำได้ทันทีว่าชายคนนั้นคือคนที่เคยพาเด็ก ๆ มากินบะหมี่ที่ร้านเมื่อวานนี้เอง ชายคนนั้นที่่เหมือนจะเย็นชา แต่เขาเป็นคนดีแล้วก็สุภาพโคตร ๆ เลยล่ะ

          “ท่านชาย!!” หลินหยานั้นไม่คิดอะไรมากมายนัก เธอเดินเร็วขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะเรียกอีกคนออกไปเสียงใสจนชายหนุ่มชะงัก แล้วเมื่อหันหน้ามาทางต้นเสียงช้า ๆ ดวงตาคมเรียบนิ่งของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะมองหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว หัวคิ้วขยับขึ้นนิดหนึ่งเหมือนอยากจะถามโดยไม่ต้องเปล่งวาจา หลินหยานั้นก้มคำนับโค้งอีกคนตามมารยาทแล้วเอ่ยต่อเมื่อเขารับไหว้

          “ข้าขอโทษที่เรียกท่านโดยไม่บอกล่วงหน้าเมื่อครุ่เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อน ๆ ออกมาพลางล้่วงถุงผ้าข้างเอวแล้วหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่พอสมควรออกมามันขัดงันแบบชั้นดี ก่อนที่เธอจะยื่นไปเบื้องหน้าอีกคนแบบนอบน้อม “ท่านชาย นี้เป็นอาหารที่ข้าได้มาเมื่อวานหลังจากเล่นขลุ่นจากที่ทำงานเจ้าค่ะ เป็นต้วนลู่เจี้ยนจิงเย่าฉาย น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาตีนเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าน่าจะเหมาะกับท่านและเด็ก ๆ ที่ท่านดูแล”

          ชายหนุ่มมองกล่ิงไม้ในมือนางชั่วอึดใจก่อนที่จะยื่นมือไปรับอย่างเงียบ ๆ นิ้วเรียวยาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยการฝึกกระบี่นั้นรับมันอย่างมันคง กล่องนั้นเย็นนิด ๆ แต่กลิ่นหอมของสมุนไพรที่หลอมรวมกับกลิ่นเนื้อกวางอ่อนละมุนลอยออกมาราวกับมันจะเผยนคุณค่าที่แฝงอยู่ในตัวมันเองโดยไม่ต้องบอกอะไร

          “แม่นางตั้งใจมอบของมีค่าเช่นนี้ให้แก่ข้าจริงหรือ?” น้ำเสียงเขาเอ่ยเรียบราวและลึกแต่แฝงไปด้วยความสุภาพแบบไม่แข็งกร้าวเลยสักนิด มันมีประกายบางอย่างในแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

          “ข้าตัวคนเดียวกินขนาดนี้ไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ หากท่านคิดว่าไม่พอลองทานเองดูก่อนหรือแจกคนอื่นได้เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่าเมื่อวานท่านพาเด็ก ๆ มาทำให้ข้ารู้สึกดีมากเลย ข้าบังเอิญพบท่านพอดีเลยคิดว่าข้าควรจะให้ท่านเพราะหากข้ากินมันคงไม่เกิดประโยชน์อะไรนอกจากอิ่ม ให้เด็ก ๆ ได้ลองอะไรใหม่ ๆ บ้างสักมื้อก็คงจะดีนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยบอกอีกฝ่ายพลางยิ้ม

          เขานิ่งไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยถามเสียงเบาแต่จริงจังขึ้นมา “แม่นางชื่ออะไรหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม “ข้าน้อยมีนามว่า เว่ย จ้งชิง” เขาแนะนำตัวเอง ส่วนหลินหยาที่ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแล้วค้อมศีรษะให้อีกคนเล็กน้อย “ข้าน้อยมีนามว่า หนาน หลินหยาเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังหางานชั่วคราวทำที่ฉางอันอยู่ ข้ามาจากกว่าวโจวเจ้าค่ะท่านชาย” นางเอ่ยบอกอีกคนแบบร่าเริง

          ชายหนุ่มหลุบตามองลงกล่องไม้ในมืออีกครั้งแล้วจึงเก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง “ข้าจะจดจำชื่อของแม่นางเอาไว้” คำนั้นไม่มีคำสัญญาหรือวาจาหวานและดูเลิศหรูอะไร แต่มีความมั่นคงมาก ๆ อยู่ในนั้น

          “ขอบคุณเจ้าค่ะ แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าคะ ท่านชายเว่ย จ้งชิง” หลินหยาเอ่ยบอกพร้อมยิ้มหวานที่เปี่ยมไปด้วยความสบายใจก่อนที่จะโบกมือให้อีกคนน้อย ๆ แล้วหมุนตัวจากมา เธอเดินไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็วกะว่าจะกลับไปฝึกดนตรีที่หอว่านหงเหริน คิดว่าวันนี้ที่หอคงไม่มีอะไรน่าปวดหัวละมั้ง อาจจะมีการก้นด่าสักหน่อยแต่คงไม่อะไรมากหรอก



@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: 200 อีแปะ - 15 EXP
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-10] เว่ย ชิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
มอบ น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีน อาหารเกรดแดง ความสัมพันธ์ +30


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-15 20:41
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-10] เว่ย ชิง เพิ่มขึ้น 85 โพสต์ 2025-6-15 20:41
โพสต์ 20105 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-15 20:37
โพสต์ 20,105 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-15 20:37
โพสต์ 20,105 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-15 20:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3
โพสต์ 2025-7-25 17:38:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 23 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ เมืองฉางอัน โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง

อีเว้นท์ ภารกิจ “สหายร่วมค้า เหนือความคาดหมาย”


เช้านั้นแสงอาทิตย์ยามเฉินทอดส่องผ่านผืนหมอกบางเบารอบชานเมืองฉางอัน เสียงนกกระจิบร้องเจื้อยแจ้วเคล้ากับกลิ่นหอมของต้นอวี้หลานที่ปลูกอยู่รอบโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ทำให้บรรยากาศเช้าตรู่แถบนั้นดูสดชื่นและอบอุ่นผิดจากในเมืองใหญ่ ภายในโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงอันเป็นเรือนไม้สองชั้นติดลำธารน้ำใส หลินหยาในชุดสีอ่อนเรียบง่ายนั่งอยู่ริมโต๊ะไม้ใกล้หน้าต่าง ดวงตากลมหวานทอดมองลอดผ่านผ้าม่านลินินที่ลู่ไปตามลม เธอเดินทางลงมาจากเขาหัวซานแต่เช้า หอบความเงียบสงบติดตัวมาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก


บนโต๊ะไม้ตรงหน้านั้นมีจานเป็ดย่างซีอิ๊วร้อน ๆ ที่เธอสั่งมากับข้าวนึ่งและผักเคียงง่าย ๆ กลิ่นหอมลอยกรุ่นจนเด็กเสิร์ฟยังเหลียวมองแต่หลินหยาไม่ได้กินทันที นางหยิบถุงผ้าฝ้ายเล็ก ๆ ที่ปักลวดลายเมฆาและดอกเหมยออกมาจากสาบเสื้อ ถุงหอมที่นางทำเองเมื่อคืน…มีกลิ่นมะลิ กฤษณา และใบโหระพาป่าเจือผิวตะไคร้แห้ง อบแห้งแล้วบรรจงเย็บปิดปากถุงด้วยด้ายแดงทอง ละเมียดละไมทุกฝีเข็ม


เสียงไก่ขันขึ้นมาจากทางประตูหน้าของโรงเตี๊ยม แล้วตามมาด้วยเสียงรองเท้าหนังประทับบนพื้นกระเบื้องไม้ดังเป็นจังหวะก่อนที่ร่างของบุรุษหนุ่มเจ้าของดวงตาเจ้าเล่ห์จะปรากฏตัวโจวจินในชุดเดินทางลำลองสีหม่น กับเจ้าไก่แจ้ตัวแสบที่เดินตามตูดเจ้าของมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนขุนพลเข้าสนามรบ "อะฮ้า~ กลิ่นอาหารเช้าหรือกลิ่นแม่นางหลินหยากันนะที่หอมมาแต่ไกล" โจวจินทักอย่างล้อเลียนทันทีที่ก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะ "ท่านคงหมายถึงกลิ่นน้ำมันจากเป็ดย่างน่ะสิ" หลินหยายิ้มขำ ตักข้าวส่งให้เขาแล้วตบบริเวณว่างข้างตัวเบา ๆ "มานั่งสิ ท่านมาช้ากว่าข้าสิบห้านาทีนะ ข้าก็เลยกินรอไปก่อนแล้ว"


"โทษที ๆ พอดีเจ้าเฮยจีมัวแต่จะหวีขนหน้ากระจกอยู่ ข้าก็เลยต้องรอให้มันพอใจก่อน" โจวจินตอบอย่างหน้าไม่อาย ก่อนที่เจ้าตัวเล็กข้างเขาจะกะพริบตาแป๋วแล้วกระโดดขึ้นเก้าอี้ด้านข้างอย่างสง่างามราวกับเป็นแขกผู้มีเกียรติ


หลินหยาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหยิบถุงหอมส่งให้โจวจิน "นี่…ของขวัญจากข้าเอง ถุงหอมช่วยคลายความเครียดกับขับพลังงานอาฆาตได้ระดับหนึ่งนะ ข้าปรุงกลิ่นเองกับมือ หวังว่าเจ้าจะไม่แพ้โหระพาน่ะ" โจวจินรับมาอย่างประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะมันเป็นถุงหอม...แต่เพราะคนที่ให้มันกลับดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจให้อะไรพิเศษเสียด้วยซ้ำ ทว่า...การที่นางทำมันขึ้นมาโดยคิดถึงเขาในขณะที่อยู่คนเดียวนั่นแหละ คือความพิเศษ


"ถ้าอย่างนั้น...ข้าคงต้องใช้มันห้อยประตูร้านไปเลย จะได้กันขโมยกับภาษีจากทางการ" เขายิ้มกว้าง ขณะหมุนถุงหอมในมือเบา ๆ "หอมดีนี่ หอมแบบที่ไม่เหมือนถุงไหน...เหมือนคนทำมันเลย"


"พูดอีกทีสิ ข้าจะตีท่านด้วยช้อน" หลินหยาตีหน้าขึงขังใส่แต่หางคิ้วที่ยกขึ้นกับมุมปากที่ยิ้มอยู่ก็ทำลายความน่าเกรงขามนั้นไปหมด เช้านั้น พ่อค้าเจ้าเล่ห์กับเจ้าของร้านใจดีนั่งกินข้าวเคียงกันพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกฤษณาในถุงผ้าฝ้ายที่วางอยู่กลางโต๊ะไม้เป็นฉากง่าย ๆ แต่เงียบงามในโลกที่วุ่นวายเกินไปนิด เสียงตะเกียบกระทบจานเงียบลงอย่างฉับพลันเหมือนเงาสะบัดของคมดาบกลางลานประลอง…บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแปรเปลี่ยนจากกลิ่นเป็ดย่างหอมฉุยเป็นความอึดอัดอันยากจะอธิบายได้


“ข้าได้ยินมาว่า...” โจวจินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ขณะเคี้ยวข้าวพอดีคำ “ช่วงนี้พวกในเครือข่ายข่าวลือใต้ดินกำลังลือกันให้แซ่ด ว่ามีปีศาจบางกลุ่มกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ ‘จวนหวยหนานหวาง’...ว่ากันว่าจุดนั้นพลังงานอาฆาตมันกำเริบผิดปกติ คล้ายจะมีการสะสมของพลังปีศาจอะไรสักอย่างเลยล่ะ”


หลินหยาที่กำลังเคี้ยวผักกรุบกรอบถึงกับสะอึก เหวอกลางคำ กลืนน้ำไม่ลง แล้วหน้าเธอก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีชมพูของอากาศเช้าเป็นสี...อึนเทาหม่น ๆ อย่างช่วยไม่ได้ นี่มันบ้านเธอไม่สิ บ้านของ "เขา" ที่เธอไปประจำจนแมวในเรือนยังจำกลิ่นได้ เธอกำลังจะอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างว่า ‘ข้ารู้จัก...ข้าไปที่นั่นบ่อยมากกกก’ แต่ไม่ทัน…


“ที่สำคัญคือ...” โจวจินตักข้าวแล้วพูดต่อไม่หยุด “มีข่าวลืออีกว่า เมื่อเดือนที่แล้ว หวยหนานหวาง…ท่านหวยหนานหวางผู้ทรงอิทธิพลสุด ๆ ในฉางอันถึงกับรับอีหนูเข้าบ้านหลังน้อยแล้วรับโทษแทนนางที่เป็นชาวบ้าน! โห ฟังดูเป็นบุรุษแสนดีเลยใช่ไหม แต่ก็ไม่แน่นะ บางที...มันอาจจะเป็นแผนวางกล่องของขวัญคลุมด้วยทอง เพื่อปลุกกระแสในหมู่ชาวบ้าน...หวางเฟยในอนาคต? ทำดีหวังผลรึเปล่า ข้าก็ไม่แน่ใจนะ~” หลินหยาพ่นลมหายใจดังฟืด ยกมือขึ้นตัดบทแบบเหนื่อยใจสุด ๆ เหมือนคนจะทุ่มหมอนลงพื้นแล้วกรี๊ดแปดหลอดใส่ใครสักคน


“หยุดเลย! ไม่ต้องใส่ไฟเพิ่มอีก ข้ารู้ว่ามีข่าวลือ...แต่เจ้าไม่ต้องเอาน้ำมันมาราด!” โจวจินกระพริบตาปริบ ๆ หยุดมือค้างอยู่กลางอากาศ ยังไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร หลินหยาเลยยกชามข้าวขึ้นมาบังหน้าแวบหนึ่งราวกับหลบแสงแดดยามเช้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “คนที่ท่านหวยหนานหวางช่วยไว้...ที่เจ้าเรียกว่า ‘อีหนู’...คือข้าเองแหละ…”


จังหวะนั้นเหมือนทุกสิ่งหยุดหมุน เจ้าไก่แจ้เฮยจีกระพือปีกค้างอยู่กลางอากาศ ราวกับพยายามจะสบตาเจ้าของให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด โจวจินอ้าปากค้าง คิ้วขมวดเหมือนคนเพิ่งได้ยินคำว่า ‘เจ้ากลืนยาพิษไปแล้วใช่ไหม’ โจวจินขมวดคิ้วเป็นปม “…เอ๋?” เสียงเขาเบาและยืด


“อย่าเอ๋แบบนั้นสิ!” หลินหยาเขม่น


“แม่นาง…หมายถึงเจ้า...เป็นคนที่เขาอุ้มไป…เข้าบ้าน…แล้วก็...รับโทษโบยแทน?” โจวจินถามช้า ๆ เหมือนกำลังเรียงคำทีละตัวด้วยความระมัดระวัง เหมือนการเรียงของแตกในลังไม้ “ใช่!” หลินหยาเงื้อช้อนขึ้นขู่ “และถ้ายังจะเอ่ยอะไรแปลก ๆ อีกนะ ข้าจะเอาถุงหอมนี่ฟาดหัวท่าน!”


โจวจินยกมือขึ้นสองข้างแบบยอมจำนน “โอเค ๆ ข้าไม่พูดอะไรอีกแล้ว สาบานต่อหน้าไก่เลย!”


“ต๊าก!” เฮยจีเสริมเสียงให้อย่างมีจริต หลินหยาถอนหายใจแล้วตักข้าวต่อ “แค่นี้ก็ปวดหัวพอแล้ว...ยังดีที่ข้าไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาขอแต่งงานให้ท่านฟัง ไม่งั้นท่านอาจช็อกแล้วฟาดหัวกับชามข้าวตายคาโรงเตี๊ยมเลยก็ได้” โจวจินกลืนน้ำลายเอื๊อก “...หืม?”


“อะไรยะ?” หลินหยาขมวดคิ้วใส่อีก 


“เปล๊า ข้าแค่รู้สึกว่า...เราควรจะได้พูดกันอีกเยอะ” เขายิ้มขื่น ๆ ก่อนจะกระดกชาในถ้วยราวกับต้องการอะไรเย็น ๆ มาช่วยดับไฟแห่งความช็อกที่ลุกพรึ่บกลางอก หลินหยาทอดถอนใจยาวขณะช้อนข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วกรอกตาขึ้นพลางวางช้อนเสียงดังเบา ๆ กับถ้วยข้าว ราวกับเพื่อเน้นย้ำความเหนื่อยหน่ายในโลกใบนี้


“ถ้าพวกปีศาจมันจะรวมตัวกันจริง ข้าว่า...มันคงไม่กล้าเหยียบเข้า ‘จวนหวยหนานหวาง’ หรอก” น้ำเสียงของเธอจริงจังขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นส่องประกายประหลาดแบบคนที่เคยสัมผัสพลังบางอย่างมากับตัว “ปราณของท่านเขา...ข้าสัมผัสมาแล้ว มันเข้มข้นจนปีศาจไม่ต่างจากเถ้าไฟปลิวว่อนกลางพายุฤดูร้อน ถ้ามันจะมีก็อาจจะอยู่รอบ ๆ พื้นที่นั้นมากกว่า อย่างพวกลานฝึกยามค่ำ...หรือริมเนินทางทิศเหนือ...” โจวจินที่กำลังซดซุปหูฉลามเงยหน้าขึ้น มองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เริ่มคมขึ้นทีละน้อย "ก็สมเหตุสมผลอยู่ เจ้าคิดว่ายามค่ำพลังมันจะเปิดช่องทางมากกว่าสินะ?"


"นั่นแหละ..." หลินหยาเอ่ยขณะเอามือหมุนถุงหอมไปมาเบา ๆ แล้วชำเลืองไก่แจ้ข้างโต๊ะที่เอียงคอมองเหมือนฟังออกด้วย "แต่ข่าวลือที่ข้าได้...น่าสนใจกว่านั้นอีก" เธอเลื่อนตัวเข้ามาใกล้โจวจินเล็กน้อย กดเสียงลงราวกับกลัวโต๊ะข้าง ๆ จะได้ยิน “แขกคนหนึ่งจากโรงเตี๊ยมที่นี่เล่าให้ฟังว่า มีคนเห็นปีศาจกลุ่มหนึ่งโผล่มาทาง ‘ฝั่งตะวันตกของฉางอัน’ ตอนพลบค่ำ...แต่พวกมันไม่กล้าเฉียดเข้าเขตบ้านของขุนนางระดับสูงเลย เหมือน...มีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันหวาดกลัว ข้าคิดว่า...มันน่าจะเกี่ยวกับ ‘จวนหวยหนานหวาง’ แน่” เธอเว้นจังหวะ มองหน้าชายหนุ่ม “...หรือไม่ก็ ตัวเขาเอง”


โจวจินพยักหน้าช้า ๆ มือวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล แล้วพูดขึ้น “ข้าก็ได้ยินมาไม่ต่างกัน...แหล่งของข้าบอกว่า เมื่อคืนสองคืนก่อน มีพ่อค้าขายใบชากลางตลาดที่อ้างว่าได้ ‘ใบชาจากทิศตะวันตก’ มาในราคาถูกผิดปกติ กลิ่นแรงมาก...พอเอาไปต้มกลับมีพลังงานคล้ายปราณปีศาจอวลออกมา เขาว่ารู้สึกเหมือนถูกกดข่มจนหายใจไม่ออก ต้องรีบเททิ้งเลย”


หลินหยาขมวดคิ้วทันที “เป็นไปได้เหรอว่าพวกมันเริ่มปล่อยของปลอมมาปั่นตลาดโดยอาศัยปีศาจเป็นตัวต้นทาง?”


“ไม่ใช่แค่ของปลอม...” โจวจินพูดเบา ๆ พลางหยิบกระดาษพับยับ ๆ จากแขนเสื้อขึ้นมา “แต่บางอย่างในนั้นมีราคาพุ่งสูงเพราะมี ‘คน’ ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น...” หลินหยาเงียบ รอฟัง โจวจินคลี่แผ่นกระดาษช้า ๆ ก่อนพูดว่า “ตอนนี้สมุนไพรหายากบางชนิดในฉางอันราคากระโดดขึ้นเป็นสองถึงสามเท่าในเวลาแค่สิบวัน แถมของก็หายากกว่าปกติ มีคนบอกว่าเป็นเพราะพวกพ่อค้ากังฉินร่วมมือกับขุนนางกังฉินบางกลุ่ม กว้านซื้อแล้วกักตุนไว้...เพื่อปั่นราคาในตลาด”


“บัดซบ...” หลินหยากัดฟันพลางกำหมัดที่ถือถุงหอม “ถ้าขุนนางทำแบบนั้นจริง ชาวบ้านจะลำบากกันหมดน่ะสิ” โจวจินถอนใจ ลูบขนไก่ของเจ้าเฮยจีที่แอบแฝงความเครียดไว้ในจิกเบา ๆ “นี่แหละคือเมืองหลวงที่เจ้าหลงใหล...ฉางอันที่พวกเรายืนอยู่มันมีทั้งดอกไม้บาน และเหี้ยในสวนเดียวกัน”


หลินหยาเงียบ ก่อนจะยิ้มมุมปากเหมือนคนที่รับความจริงมาได้ตั้งนานแล้ว “ข้าไม่ได้หลงใหลมันหรอก ข้ารู้ดีว่ามันเน่าแค่ไหน...แต่ก็เพราะมันเน่าไง ข้าถึงอยากอยู่ เพื่อรู้ให้ได้ว่าข้างในมันซ่อนอะไรไว้บ้าง” โจวจินหัวเราะน้อย ๆ แล้วพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นชนกับถ้วยของเธอเบา ๆ “งั้นก็ยินดีต้อนรับเข้าสู่แดนกลิ่นอายปีศาจแม่นางหลินหยา” เจ้าเฮยจีร้อง "ก๊า!" เสียงเดียวแบบเบ้ปากใส่ใครไม่รู้ ก่อนจะหันหน้าเข้าจานข้าวของตัวเองแบบไม่แคร์โลก


แสงแดดยามสายสาดไล้ผิวกำแพงศิลาแห่งเมืองฉางอันเป็นเงายาวทอดทาบพื้นหิน พาให้บรรยากาศยามเช้าริมทางดูสงบงดงาม ทว่าในใจของหลินหยาไม่สงบตามบรรยากาศนั้นเลยเธอยกมือจับสายถุงหอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำออกมาขณะเดินเคียงข้างโจวจินว่า "เรื่องพวกนี้…มันใหญ่เกินไป ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่งมากกว่านี้แล้วจริง ๆ นะ" เธอไม่ได้กลัวหรอก...แต่ไม่อยากให้สิ่งที่กำลังสร้างไว้ในชีวิต ต้องพังทลายเพราะดันไปยื่นหน้าใส่ไฟที่ยังมองไม่เห็นจุดต้นปลาย


โจวจินหันมามองหญิงสาวข้างกายด้วยแววตาเข้าอกเข้าใจ ริมฝีปากหยักยิ้มเอื่อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น "เช่นนั้น…เราก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอะไรตอนนี้นี่นา" เขาเว้นจังหวะ หันหน้าไปมองถนนที่ทอดไปทางทิศใต้ของเมือง "มาสิ ไปไหว้ ‘สัจเทพอี๋เหอ’ กับข้าเถอะ"


"เทพอี๋เหอ…" หลินหยาทวนชื่ออย่างลังเล แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด เทพผู้ผดุงความยุติธรรมและเปิดเผยความจริง "บางทีท่านอาจมีคำตอบให้เจ้าก็ได้นะ" ชายหนุ่มเอ่ยเรียบ ๆ ก่อนจะโยกไหล่เหมือนไม่ใส่ใจนัก แล้วเสริมติดตลก "หรืออย่างน้อยก็อาจทำให้เจ้าไม่ต้องนอนฝันร้ายเรื่องจวนหวยหนานหวางอีกต่อไปน่ะนะ"


"ฮึ..." หลินหยาหลุดหัวเราะอย่างฝืน ๆ ขณะหมุนตัวตามอีกคนที่เริ่มก้าวเดินนำหน้า "ท่านมัน…"


"ข้ารู้ว่าข้าหล่อ" โจวจินขัดขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ตามแบบฉบับนักเจรจาหน้าเลือดประจำฉางอัน "ข้าจะบอกว่าท่านมันน่าหมั่นไส้ต่างหากเล่า!" หลินหยาแหวกลับพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเดินจ้ำเบียดเขาไปทั้งสองคนจึงมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองฉางอัน ท่ามกลางเสียงฝีเท้ากึกกักของเจ้าเฮยจีที่วิ่งตามหลังแบบอินเนอร์ผู้พิทักษ์บรรพกาล




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: อะไรวะเนี้ยยยย

รางวัล:  เพิ่มค่าชื่อเสียงในฉางอันเล็กน้อย(?)


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

exp 0  โพสต์ 2025-7-25 17:57
โพสต์ 51309 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-25 17:38
โพสต์ 51,309 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-7-25 17:38
โพสต์ 51,309 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-25 17:38
โพสต์ 51,309 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-25 17:38
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3
โพสต์ 2025-8-29 13:13:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 29 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ เมืองฉางอัน โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง

อีเว้นท์ ภารกิจ “เคล็ดลับขนมหวานและความลับขันที: แผนการพิชิตใจจงฉางชื่อ”


ยามซื่อแสงอาทิตย์เริ่มส่องลอดเข้ามาตามบานหน้าต่างไม้แกะสลัก โรงเตี๊ยมชางลั่งถิงในยามเช้าสว่างไสวด้วยแสงธรรมชาติ กลิ่นสมุนไพรหอมอวลเคล้าไปกับกลิ่นอาหารที่กำลังถูกปรุงในครัวด้านหลัง เสียงพูดคุยของผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองฉางอันดังประสานกับเสียงจอกสุราและเสียงหัวเราะเบา ๆ บรรยากาศดูคึกคักแต่ก็ยังคงความอบอุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงเตี๊ยมเก่าแก่แห่งนี้ หลินหยาเปิดประตูไม้ก้าวเข้ามา เส้นผมยาวปลิวตามแรงลมฤดูใบไม้ร่วงที่ยังติดตามเข้ามา นางก้าวเท้าเรียบร้อยไปนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้องโถง เลือกที่นั่งที่ไม่เป็นจุดสนใจนัก มือเรียวค่อย ๆ ดึงเสื้อคลุมให้กระชับแน่นขึ้น ปิดบังลำคอและแผ่นอกไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าที่ซับสีแดงระเรื่อเล็กน้อยจากทั้งความหนาวและสิ่งที่อยากปกปิด ทำให้ดวงตาของนางกะพริบถี่เล็กน้อยเหมือนพยายามกลบเกลื่อนความไม่สบายใจ


เด็กเสิร์ฟสาวของโรงเตี๊ยมรีบก้าวเข้ามาทักทาย “แม่นางจะรับอะไรดีเจ้าคะ สุราร้อนหนึ่งไห หรือจะเป็นน้ำสมุนไพรชูกำลังก็มีเจ้าค่ะ” หลินหยาเพียงโบกมือเบา ๆ เอ่ยตอบ “ข้านั่งรอคนอยู่ ไว้เดี๋ยวค่อยสั่ง”


นางกวาดตามองรอบ ๆ เห็นพ่อค้าต่างถิ่นกำลังนั่งเจรจาการค้า บางโต๊ะมีบัณฑิตสวมชุดยาวกำลังยกจอกสุราอภิปรายตำรากันอย่างเคร่งเครียด เสียงหัวเราะและเสียงสนทนาทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอยู่เล็กน้อย ยิ่งทำให้นางยกมือขึ้นมากอดอกแน่น กระชับเสื้อคลุมอีกครั้งในใจได้แต่พร่ำว่า ขอเพียงเสี่ยวจ้าวจื่ออย่ามองเห็นความผิดปกติในตัวนางก็พอ ไม่นาน เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังเข้ามาใกล้ สายตาอ่อนโยนที่คุ้นเคยสะท้อนผ่านแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านประตูไม้ เสี่ยวจ้าวจื่อในชุดเรียบง่ายก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจือความเก้อเขิน เมื่อเห็นหลินหยา เขารีบก้าวเข้าไปคำนับนางด้วยท่าทีเคารพและเอ่ยเสียงนุ่ม “แม่นางหลิน มาถึงก่อนแล้วหรือขอรับ”


หลินหยาสะดุ้งเล็กน้อย รีบยกมือแตะชายเสื้อเพื่อเช็กว่ายังปกปิดดีอยู่ ก่อนจะยกยิ้มบาง ๆ ตอบรับ “ข้าไม่กล้าผิดนัดกับเจ้าหรอกฮ่ะ ๆ” น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมแววตาพยายามซ่อนความกระอักกระอ่วน แต่ลึก ๆ ก็โล่งใจที่ได้เห็นเสี่ยวจ้าวจื่อ คนที่นางเชื่อว่าคงไม่ซักไซ้เกินความจำเป็นกับเรื่องการแต่งตัวของนาง


เสี่ยวจ้าวจื่อย่อตัวลงนั่งตรงข้ามกับหลินหยา ใบหน้าเรียบง่ายของเขามีรอยยิ้มขี้อายติดอยู่ตามแบบฉบับ มือเรียวที่เต็มไปด้วยร่องรอยการทำงานหนักประสานเข้าหากันบนโต๊ะไม้ เขาโน้มกายเล็กน้อยแล้วลดเสียงลงราวกับกลัวใครจะได้ยิน “แม่นางหลิน ข้าได้ยินข่าวมาอย่างหนึ่ง…” ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นเมื่อเลื่อนมองรอบข้างแล้วก้มกลับมาที่นาง “มีพ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงมาพักที่นี่ขอรับ เห็นว่ามาเพื่อทำอาหารให้คนสำคัญที่มาพักโรงเตี๊ยมนี้” หลินหยาเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยตอนได้ยิน ความสนใจถูกดึงทันทีใจที่ยังอึดอัดกับเรื่องก่อนหน้านี้คลายลงบ้าง นางเอนกายเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงน้อย ๆ คลี่ยิ้มมุมปากอย่างคนที่กำลังเจอเบาะแสสำคัญ “แล้วอย่างไรหรือ เสี่ยวจ้าวจื่อ พูดต่อเลย”


เขากระแอมเบา ๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น “ข้าว่าคนผู้นี้อาจจะมีข้อมูลที่ท่านตามหา…โดยเฉพาะเรื่องอาหารของท่านจางกงกง เพราะเขาเป็นหนึ่งในพ่อครัวที่ทำอาหารถวายตำหนักจงฉางชื่ออยู่บ่อย ๆ ขอรับ”


คำพูดนั้นทำให้หัวใจหลินหยาสะดุดเต้น นางเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะรีบลดสายตาลงเพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธได้ มือเรียวเลื่อนแตะถ้วยชาที่เด็กเสิร์ฟพึ่งยกมา ดวงตาคู่งามวาววับแฝงความตื่นเต้นอย่างยากจะปิดบัง “เจ้าหมายความว่าพ่อครัวคนนั้น…อาจจะรู้ว่าท่านจางกงกงชอบหรือไม่ชอบอะไรใช่หรือไม่” เสียงของนางแผ่วลงแทบเป็นกระซิบ เสี่ยวจ้าวจื่อพยักหน้ารัว ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ใช่แล้วขอรับ หากเราสามารถพูดกับเขาได้สักหน่อย บางทีแม่นางหลินอาจจะได้คำตอบที่ท่านเฝ้าคิดหา เรื่องนี้อาจทำให้ขนมหวานที่ท่านอยากทำ…กลายเป็นสิ่งที่ถูกใจท่านจางกงกงจริง ๆ เลยนะขอรับ”


หลินหยาเม้มริมฝีปากแน่นตอนที่เสี่ยวจ้าวจื่อเอ่ยทางสว่าง รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ภายในอกทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลปะปนกัน แต่แววตาของนางก็เริ่มเปล่งประกายราวกับเพิ่งค้นพบเส้นทางใหม่ที่จะเข้าใกล้คนผู้นั้นได้อีกก้าวหนึ่ง

 

หลังจากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนที่นั่งเลือกโต๊ะไม้ฝั่งติดหน้าต่าง บรรยากาศโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงคึกคักด้วยเสียงผู้คน เสี่ยวจ้าวจื่อยังคงทำตัวสงบเสงี่ยมตามนิสัย นั่งก้มหน้าอย่างสุภาพ ส่วนหลินหยาก็เป็นฝ่ายสั่งอาหารง่าย ๆ มาหลายอย่างทั้งข้าวผัดสมุนไพร ซุปกระดูกใสและไก่ผัดพริกหอม เมื่อของกินทยอยมาเสิร์ฟนางก็ยื่นตะเกียบไปจิ้มแล้วเลื่อนให้เขาก่อนพร้อมยิ้มละมุน “เจ้ากินเถิด เสี่ยวจ้าวจื่อ ข้าขอเลี้ยงเองวันนี้”


เขารีบยกมือโบกเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อจากความเกรงใจ “มะ…ไม่เป็นไรหรอกแม่นางหลิน ท่านทำข้าเกรงใจเกินไปแล้วนะขอรับ”


“โอ้ย ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า กินเถอะ ถือว่าเป็นการขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้ามาตลอด” หลินหยาพูดขัดแล้ววางตะเกียบในมือเขาเอง ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนเป็นประกายขี้เล่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเสี่ยวจ้าวจื่อหลบสายตาแต่ก็ยิ้มบาง ๆ ในที่สุดก็ยอมตักอาหารขึ้นมากินช้า ๆ “เช่นนั้น…ข้าจะไม่ขัดแล้วล่ะขอรับ”


ระหว่างที่ทั้งสองนั่งกินอยู่ เสียงสนทนาจากโต๊ะข้าง ๆ ดึงดูดความสนใจทันที หลินหยากับเสี่ยวจ้าวจื่อทำทีเป็นเพียงลูกค้าธรรมดา แต่หูทั้งสองก็เงี่ยฟังเต็มที่เสียงของพ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงนั้นทุ้มนุ่มแต่แฝงความเหน็ดเหนื่อย “ท่านจงฉางชื่อ…เอาแต่ใจเคร่งครัดเกินไปแล้วนะ” ชายผู้นั้นถอนหายใจยาว “ข้าว่าตลอดหลายปีที่ทำงานมา ไม่เคยเจอผู้ใดเข้มงวดเช่นนี้ ทั้งการเลือกวัตถุดิบ แม้แต่เกลือหนึ่งกำมือก็ต้องใช้ของดีที่สุดดอกเกลือขาวบริสุทธิ์หรือเกลือจากเทือกเขาเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ เขาไม่ให้แตะเลย” อีกคนหัวเราะแห้ง “แต่ก็เพราะอย่างนั้นมิใช่หรือ ทุกงานจึงสมบูรณ์ไร้ที่ติ ใครกล้าพูดว่ามีข้อบกพร่องบ้างเล่า? ข้าฟังแล้วหนาวหลังตลอด ทุกอย่างในตำหนักของเขาเป็นระเบียบไปเสียหมด ไม่มีที่ติราวกับว่า…คนทำงานอยู่ท่ามกลางเงาของปีศาจเสียมากกว่า”


หลินหยาที่กำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นชะงักเล็กน้อย ดวงตาคู่งามกะพริบไหวอย่างห้ามไม่อยู่ เสี่ยวจ้าวจื่อเองก็ชะงักตามก่อนก้มหน้ากินต่อ แต่เอ่ยเสียงเบาพอให้หลินหยาได้ยิน “ดูท่า…คนผู้นั้นเข้มงวดเกินกว่าที่ข้าคิดไว้นักขอรับ”


หญิงสาวเม้มริมฝีปากนัยน์ตาสะท้อนทั้งความกังวลและความรู้สึกที่ลึกซึ้งยากบรรยาย…เรื่องเล็กน้อยอย่างอาหารยังละเอียดอ่อนเช่นนี้ หากเกี่ยวพันกับหัวใจของนางแล้วเล่า จะยิ่งถูกกุมไว้แน่นเพียงใด? แต่เมื่อวานมันก็ชัดว่าเขากุมไว้แน่นยิ่งกว่าของในมือ ตรึงไว้ไม่มีทางหลุดจนหลินหยาหน้าร้อนจนต้องยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแก้เก้อ แต่ก็วางลงอย่างแรงกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนจะเท้าคางบ่นเสียงหงุดหงิดเบา ๆ “เฮ้อ…ไร้ประโยชน์จริง ๆ ฟังเสียตั้งนาน ได้แค่ว่าท่านจางกงกงเป็นคนเจ้าระเบียบ…เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วนี่นา” ดวงตาคู่หวานเหลือบไปทางเสี่ยวจ้าวจื่อที่นั่งก้มหน้ากินข้าวเงียบ ๆ เหมือนหาทางออกในใจ


เสี่ยวจ้าวจื่อถอนหายใจตามนางสายตาเว้าวอนผสมลังเล แต่สุดท้ายก็เงยหน้ามองนางด้วยประกายเด็ดเดี่ยวผิดวิสัย “แม่นางหลิน…ข้ามีอีกแผนหนึ่งนะขอรับ” เสียงของเขาเบาลงราวกลัวคนอื่นได้ยิน “ข้าจะลองแอบเข้าไปในห้องครัวของโรงเตี๊ยม ในเวลาที่พ่อครัวหลวงคนนั้นทำอาหารอยู่ อาจพอมีโอกาสได้ถามหรือสังเกตดูอะไรบางอย่างเกี่ยวกับท่านจงฉางชื่อ…แต่ข้าเกรงว่าท่านจะต้องช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของทหารยามที่เฝ้าด้านหน้าครัวเสียหน่อยแล้วล่ะขอรับ”


หลินหยาเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากแดงน้อย ๆ เม้มเข้าหากัน “หา? ให้ข้าดึงความสนใจของทหารยามน่ะหรือ…แล้วจะทำยังไงเล่า จะให้ไปยืนทำหน้าตลก ๆ รึไง?” นางส่ายหน้าแรงจนเส้นผมแกว่งไหว “ทหารพวกนั้นใช่ว่าจะกินหญ้าแทนข้าวเสียหน่อย”


“มะ…มิใช่ถึงขั้นนั้นหรอกขอรับ! แต่บางที…หากแม่นางทำทีเป็นลูกค้าที่มีปัญหากับอาหาร หรือเอะอะโวยวายเล็กน้อยหน้าครัว ข้าก็อาจจะลอบเข้าไปได้พอดีขอรับ” เสี่ยวจ้าวจื่อรีบโบกมือพัลวัน 


หญิงสาวตาโตทันที “ให้ข้าทำตัวเป็นลูกค้าวีนแตกหรือ? ฮึ่ย…ก็ได้หรอกนะ แต่ข้าบอกก่อนเลยว่าถ้าข้าต้องเล่นบทนี้จริง ๆ แล้วถูกจับได้ เจ้าจะต้องเป็นคนลากข้าออกมาให้ได้เลยนะ เสี่ยวจ้าวจื่อ ไม่งั้นไม่เอาด้วยเด็ดขาด” เสี่ยวจ้าวจื่อยกมือป้องอก ค้อมศีรษะอย่างจริงใจ “ข้าสัญญาขอรับ…หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะไม่ทิ้งแม่นางหลินเด็ดขาด” คำพูดหนักแน่นนั้นทำเอาหลินหยาชะงักเล็กน้อย หัวใจเต้นวูบอย่างไม่รู้เหตุผลจากความตื่นเต้น ก่อนที่นางจะพ่นลมหายใจแรง ๆ กลบเกลื่อนแล้วบ่นงึมงำ “ก็ได้…งั้นเดี๋ยวข้าจะเล่นละครก็แล้วกัน” ดวงตาคู่งามลอบวาวประกายขี้เล่นปนดื้อดึงราวกับเริ่มรู้สึกสนุกกับแผนการเสี่ยงอันตรายครั้งนี้เข้าเสียแล้ว


หลังจากนั้นหลินหยาเดินถือถาดอาหารด้วยสีหน้าเสแสร้งไม่พอใจ กะว่าจะไปโวยที่หน้าครัวว่ารสเข้มเกินไปสักหน่อยเพื่อเบี่ยงความสนใจ แต่จังหวะเดียวกันพ่อค้าร่างท้วมคนหนึ่งกลับเดินชนจนร่างบอบบางของนางล้มลงไปทั้งถาด อาหารกระจัดกระจายเต็มพื้น กลิ่นหอมที่ยังอุ่น ๆ ลอยขึ้นมาแต่ก็เสียเปล่าทั้งหมด ดวงตากลมโตของหลินหยาลุกวาวทันทีพร้อมแผนใหม่ที่ประกายในตัวนาง นางลุกขึ้นยืนปัดเสื้อผ้าตัวเองแรง ๆ ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น 


“ท่านเดินยังไงของท่านน่ะเจ้าคะ! อาหารที่ข้าอุตส่าห์ตั้งใจจะห่อกลับไปฝากสหาย หกหมดแล้วรู้หรือไม่! ท่านต้องชดใช้ให้ข้านะเจ้าคะ! รับผิดชอบมาเสียดี ๆ !!!”


พ่อค้าคนนั้นตอนแรกทำท่าจะโวยกลับ แต่พอได้มองหน้าสาวน้อยตรงหน้ากลับชะงักไป ดวงตาหื่นกามเป็นประกาย เขามองใบหน้าอ่อนเยาว์สดใสแล้วหัวเราะแห้ง ๆ “โอ้โห…แม่นางตัวน้อยนี่น่ารักจริง ๆ เสียนี่กระไร ข้าไม่เพียงชดใช้หรอกนะ ข้ายินดีเลี้ยงสุราทั้งคืนเลยดีหรือไม่ ฮ่า ๆ ๆ” มือหนาของเขาเหมือนจะยื่นมาจะโอบเอวหลินหยาเสียด้วยซ้ำ


“!!”


“ท่านกล้าดียังไง!” หลินหยากรีดเสียงสูง ใบหน้าขาวจัดแดงจัดเพราะทั้งโกรธทั้งขยะแขยง นางฟาดมือเขาออกเต็มแรง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน! สตรีในหอนางโลมหรือ! อยากเกี้ยวพาราสีก็ไปหาที่อื่น! มันน่าขยะแขยง!!” น้ำเสียงดังก้องจนผู้คนหันมามองกันเต็มโรงเตี๊ยม


เสียงอื้ออึงทำให้ทหารยามที่ยืนประจำครัวต้องรีบก้าวเข้ามา “มีเรื่องอะไรกันที่นี่!” เขาจ้องพ่อค้าด้วยสายตาดุดันแล้วเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้า! ถอยไปซะ อย่าได้มาลวนลามแม่นางอีก” พ่อค้าหน้าเหวอไปเล็กน้อย รีบยกมือปฏิเสธเสียงสั่น “ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นนะ แค่…แค่จะพูดเล่นเท่านั้นเอง!” ก่อนจะถอยกรูดออกไป หลินหยายืนกอดอก ใบหน้าบึ้งตึงแต่ในดวงตาแอบแพรวพราวอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะนี่คือโอกาสทองที่ต้องการจริง ๆ นางโวยวายเสียจนทหารยามทุกคนสนใจมาที่นางเพียงผู้เดียว


และในเงามืดตรงริมประตูครัวเสี่ยวจ้าวจื่อที่ก้มตัวหลบได้จังหวะชุลมุน เขากวาดสายตาซ้ายขวา ก่อนจะลอบแทรกตัวเข้าไปในครัวอย่างเงียบกริบ ความคล่องแคล่วผิดจากเด็กผ่าฟืนธรรมดา เขาเคลื่อนตัวเหมือนเงาไร้เสียง ราวกับสายลับ 007 ในคราบขันทีแสนซื่อ ก้าวเข้าสู่ห้องครัวโรงเตี๊ยมที่มีกลิ่นอาหารหรูหราลอยอบอวลเต็มไปหมด โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเลยแม้แต่คนเดียว


ระหว่างนั้นหลินหยาหันไปยิ้มบาง ๆ ให้ทหารยาม “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ หากไม่ได้ท่านช่วย ข้าคงลำบากแย่” นางโค้งคำนับเล็กน้อย ดึงเวลาอยู่นิดหนึ่งก่อนจะผละกลับไปยังโต๊ะของตนเอง ปล่อยให้คนงานเข้ามาเช็ดทำความสะอาดเศษอาหารที่เกลื่อนเต็มพื้น


เวลาผ่านไปไม่นานแต่ก็สักพักหนึ่งได้ เสี่ยวจ้าวจื่อก็เดินออกมาจากทางครัวอย่างเนียนกริบ ท่าทีราวกับลูกมือที่เพิ่งเสร็จงาน ลมหายใจของเขาสงบ ใบหน้าดูอารมณ์ดีเกินกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับเด็กผ่าฟืนธรรมดา เขาเดินมาตรงที่นั่งตรงข้ามหลินหยาและทรุดตัวลงโดยไม่ให้ใครสังเกตได้ผิดปกติแม้แต่น้อย หลินหยาก้มตัวเล็กน้อย กัดริมฝีปากพลางกระซิบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง…เจ้าเข้าไปได้จริง ๆ หรือ?”


แววตาเสี่ยวจ้าวจื่อเป็นประกายแห่งความภาคภูมิใจ เขาพยักหน้ายิ้มอาย ๆ ก่อนตอบ “สำเร็จแล้วขอรับ ข้าแสร้งทำตัวเป็นลูกมือ ลอบเก็บเศษผัก เศษหมู แล้วถือโอกาสถามพ่อครัวหลวงท่านนั้น…เขาก็ไม่ได้ระแวงอันใด คุยกับข้าเหมือนเป็นเด็กในครัวจริง ๆ”


“แล้วได้รู้อะไรหรือไม่?” หลินหยาเอนกายมาข้างหน้าเตรียมฟังด้วยใจเต้นแรง


เขาพยักหน้าหนักแน่น “ได้ความขอรับเขาบอกว่าว่า…จงฉางชื่ออย่างท่านจางกงกง หากเป็นของทานเล่นหรือของหวาน ท่านโปรดชารสอ่อน ๆ ขอรับ…ชาหนักไปไม่ชอบเลย ส่วนของหวานจัดท่านไม่แตะเลยแม้แต่น้อย ข้าถามอ้อม ๆ ถึงเม็ดบัว ถั่วแดง เขาก็บอกว่าไม่โปรดนัก แต่ที่สำคัญที่สุดคือท่านแพ้เกสรดอกไม้บางชนิดขอรับ” คำตอบนั้นทำเอาหลินหยาต้องเบิกตากว้าง นางไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุดในวังกลับมีข้อจำกัดเล็ก ๆ เช่นนี้ “แพ้เกสร…งั้นหรือ? อาจจะได้ก็ได้ เจ้ารู้แน่ว่าไม่ใช่แค่คนอื่นเล่าเล่น?”


เสี่ยวจ้าวจื่อยกมือขึ้นลูบท้ายทอย ยิ้มบาง “แน่ขอรับ พ่อครัวหลวงเขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่ผู้ทำครัว…ถึงได้คัดวัตถุดิบละเอียดนักไม่ให้ปนเปื้อนอะไรพวกนั้น”


หลินหยาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่เหมือนกำลังพิจารณาหลังจากได้ยิน ก่อนเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายแพรวพราวอย่างห้ามไม่อยู่ “ถ้าอย่างนั้น…ข้าก็พอมีทางแล้วสิ” เสี่ยวจ้าวจื่อรีบโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “แต่แม่นาง ต้องระวังด้วยขอรับ เรื่องพวกนี้หากเผลอใช้ผิดพลาดไปอาจเป็นภัยใหญ่เอาได้…”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เสียงใสซื่อแต่แฝงความเจ้าเล่ห์ “ข้ารู้หรอกน่า ข้าแค่อยากหาของหวานและน้ำชาที่เขาจะชอบ…ไม่ใช่อะไรเกินเลยหรอก” ท่าทางจริงจังของหลินหยาทำให้เสี่ยวจ้าวจื่อมองอย่างเงียบ ๆ แล้วพยักหน้าเบา ๆ เขารู้ดีว่าแม่นางตรงหน้านี้…ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน หากเป็นเรื่องของท่านจางกงกงนางก็จริงจังเสมอ


เสี่ยวจ้าวจื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเงียบ ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองหลินหยาแล้วเอ่ยเสียงเบา “งั้น…เรานัดกันใหม่ดีกว่าขอรับ ตอนนี้ที่นี่ก็คงพอได้ข้อมูลแล้ว หากข้าอยู่ต่ออาจเป็นที่น่าสงสัย ข้าจะกลับไปที่ห้องเครื่องหลวง ทำงานสักหน่อย เผื่อได้ยินอะไรเพิ่มเติมไม่มากก็น้อย…สักปลายยามเว่ยหรือต้นยามเซินข้าจะหาทางติดต่อแม่นางมาอีกทีขอรับ” หลินหยากะพริบตาถี่เล็กน้อย ก่อนยกยิ้มบาง ๆ “ได้เลย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ เจ้าก็รู้ว่าที่นั่นปลอดภัยสำหรับข้าที่สุด”


นางเหลือบมองถ้วยข้าวที่ว่างเปล่าตรงหน้าของเขา พลางหัวเราะเบา ๆ “ว่าแต่เจ้าอิ่มแล้วหรือ? ข้าสั่งมาเผื่อเจ้ากลับไปทำงานจะได้มีกำลังอร่อยไหม?” เสี่ยวจ้าวจื่อยกยิ้มตาโค้งอย่างจริงใจ ใบหน้าแดงเล็กน้อย “อิ่มแล้วขอรับ อาหารที่นี่อร่อยนัก ไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารนอกวังที่เข้มข้นและสดใหม่แบบนี้มาก่อน…ขอบคุณแม่นางหลินหยามากขอรับที่เลี้ยงข้าวข้าในวันนี้”


หลินหยายักคิ้วทำเป็นขึงขังแต่สายตาอบอุ่น “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่าพูดนักเลย เจ้าช่วยข้ามามากแล้ว ข้าว่างเจ้าได้กินมื้ออร่อย ๆ บ้างจะได้มีกำลังไปแอบฟังข่าวให้ข้าอีก”


“แม่นางพูดเช่นนี้ ข้ายิ่งมีกำลังใจนักขอรับ” เสี่ยวจ้าวจื่อหัวเราะค้อมศีรษะย้ำ หลินหยามองเด็กหนุ่มตรงหน้า พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ…เสี่ยวจ้าวจื่อไม่เคยเปลี่ยนเลย ใสซื่อ อ่อนโยน และพยายามเต็มที่เพื่อช่วยเหลือนาง ทั้งที่เขาเองก็มีชีวิตที่ถูกบีบคั้นในวังอยู่แล้ว แต่มิใช่ครั้งแรกที่นางคิดเสี่ยวจ้าวจื่อนี่ละคือสหายแท้จริงอีกคนที่นางพอจะพึ่งพาได้ในยามลำบาก




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เขินเลย ฟิวเพื่อนสาวมากกก


รางวัล:  ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความชอบของจางกงกง

(ชอบดื่มชารสอ่อน, ไม่ทานของหวานจัด, แพ้เกสรดอกไม้บางชนิด)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 66868 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-29 13:13
โพสต์ 66,868 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-29 13:13
โพสต์ 66,868 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-29 13:13
โพสต์ 66,868 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-29 13:13
โพสต์ 66,868 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-29 13:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3

1

กระทู้

9

ตอบกลับ

280

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
203
ตำลึงทอง
30
ตำลึงเงิน
56
เหรียญอู่จู
7376
STR
1+5
INT
5+0
LUK
2+0
POW
2+7
CHA
3+0
VIT
2+5
คุณธรรม
0
ความชั่ว
4
ความโหด
6
โพสต์ 2025-9-13 22:09:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด


   

..เรา เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่นะ..?


คำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถที่จะตอบมันได้อย่างชัดเจน.. ชายร่างใหญ่ร่างกายผอมเพรียว ผิวพรรณซีดเซียวราวกับหุ่นกระเบื้อง ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับผีปีศาจ ที่จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่เขาได้เห็นในดวงตาของเขานั้น มันคือภาพที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ.. ภาพคนเดินกันขวักไขว่ในอาคารไม้ขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะและผู้คนนั่งอยู่เรียงรายมากมาย เขานั้น ไม่เข้าใจอะไรเลย แถมยังรู้สึกถึงความแปลกประหลาดในตัวเองอีก มันผิดสังเกตอย่างไม่ต้องสงสัย เขาค่อยๆยืนขึ้น บิดเนื้อตัวที่เหมือนเส้นเอ็นร้อยรัดกันจนตึงไปหมด ราวกับตัวเขานั้นไม่ได้ขยับมานับสิบๆวันหรือร้อยวันเลย เรี่ยวแรงแทบไม่มี กับอีกอย่างนึงที่เขานั้นรู้สึกเหมือนกับว่ามันเคยมีอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับไม่รู้สึก.. 


"เหวออ! อะไรเนี่ย?" ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อเขาเห็นแขนข้างซ้ายของเขากลายเป็นแขนเทียมสลักด้วยไม้เนื้อแข็งขัดเงา น่าประหลาดใจที่มันสามารถขยับได้ราวกับเป็นแขนจริงๆ หากแต่ในสายตา มันก็คือแขนเทียมที่เขาสามารถใช้มันได้เหมือนแขนจริงๆ 


ชายหนุ่มเดินออกจากที่แห่งนี้ออกไป เมื่อออกจากประตู แสงสว่างจากท้องฟ้าทำเอาเขาชะงักด้วยความที่นัยน์ของเขาไม่ถูกกับแสงมานาน คำถามเกิดขึ้นในหัว..


"นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่เนี่ย? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? เกิดอะไรขึ้นกับตัของฉันกัน?" 


คำถามเต็มหัวไปหมด ตอนนี้เขาทำได้เพียงเดินออกไปจากที่นั่น พร้อมกับความสงสัยที่เต็มหัว กับ.. ตุ็กตาหุ่นเชิดสองตัวที่เหน็บอยู่ข้างเอว.. 


ปล. ก็บอกแล้วให้ดู Tutorial ก่อนเข้ามา เป็นไงล่ะ มึนเลยสิ ฮะๆๆ








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 8002 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2025-9-13 22:09
โพสต์ 8,002 ไบต์และได้รับ +1 ความชั่ว +2 ความโหด จาก ปราณหมาป่าเหมันต์  โพสต์ 2025-9-13 22:09
โพสต์ 8,002 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก หุ่นเชิดกู้เยวี่ย  โพสต์ 2025-9-13 22:09
โพสต์ 8,002 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก หมวกถังเจียน  โพสต์ 2025-9-13 22:09
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณหมาป่าเหมันต์
หุ่นเชิดกู้เยวี่ย
หมวกถังเจียน
โพสต์ 2025-9-17 18:14:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 17 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเฉิน เวลา 07.00 - 08.00 น.
╰┈➤ พบเจอเถียนเฟิง

แสงเช้าของเมืองฉางอันลอดผ่านผ้าม่านโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง กลิ่นสุราและกลิ่นอาหารเช้าลอยคลุ้งไปทั่ว เสียงพูดคุยของบรรดานักเดินทางเจือปนกับเสียงตะโกนของเด็กเสิร์ฟ แต่ในมุมหนึ่งกลับเงียบสงัดผิดแผกจากบรรยากาศรอบข้าง เถียนเฟิงนั่งอยู่ลำพังในชุดลำลองเรียบง่าย แววตาเหม่อลอยไปยังไหสุราตรงหน้า มือที่ถือถ้วยกลับหนักอึ้งดุจมีพันธนาการผูกมัด

เสวี่ยซีเดินเข้ามาอย่างลังเล ร่างบอบบางที่เพิ่งผ่านค่ำคืนอันขมขื่นยังสั่นไหวจากความอ่อนล้า เขาใช้สายตากวาดหาเพียงคนเดียวที่หัวใจเฝ้าตามหา และเมื่อพบเถียนเฟิงจริงๆ ที่นั่งนิ่งอยู่ในมุมเงียบงัน หัวใจก็แทบเต้นหลุดออกมา ความโล่งใจและความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาพร้อมกัน

“เถียนเฟิง…” เสียงเอื้อนเอ่ยเบาแทบเป็นเพียงลมหายใจ “ข้าขอโทษ…ที่ทำให้ท่านผิดหวัง”

เถียนเฟิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแววตาคมที่มองกลับมาเหมือนมีม่านหนาทึบปกคลุมจนไม่อาจอ่านออกว่าแท้จริงคิดเช่นไร เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะ เสียงกระทบเบาแต่หนักหน่วงราวเสียงสะท้อนในใจ “ผิดหวังรึ ข้าไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

ประโยคนั้นแทงลึกยิ่งกว่าคำด่าใดๆ เสวี่ยซีเม้มริมฝีปาก น้ำตารื้นขอบตา เขาส่ายหน้าแรงจนเส้นผมปรกแก้ม

“ไม่จริง! ท่านโกหก ข้ารู้…ข้ารู้ว่าท่านรู้สึกอย่างไรกับข้า”

รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าของเถียนเฟิง เขายกถ้วยขึ้นจิบ กลิ่นสุราแรงขมกระแทกคอ แต่กลับขมยิ่งกว่าความคิดในใจ “แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้สึกเช่นไรเล่า สมเพชเจ้าที่ต่ำต้อย หรือบางที…ข้าอาจจะรังเกียจ”

คำพูดนั้นทำให้เสวี่ยซีถึงกับตัวสั่นสะท้าน เขาส่ายหน้าช้าๆ น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงแก้มซีดเซียว “ข้ารู้ว่าท่านห่วงข้า ท่านไม่เคยรังเกียจ”

เสียงถ้วยสุรากระแทกโต๊ะดังสนั่น เถียนเฟิงเอ่ยเสียงต่ำแต่เฉียบขาด ดวงตาคมดุดันเต็มไปด้วยไฟโทสะ “ห่วงใยงั้นรึแล้วสิ่งที่เจ้าทำเมื่อคืน สิ่งที่เจ้าปล่อยให้ผู้คนใช้ร่างกายเจ้าเช่นนั้น…มันสมควรแก่ความห่วงใยของข้าหรือไม่! เสวี่ยซี เจ้าก็แค่ชายขายเรือนร่าง”

ประโยคสุดท้ายรุนแรงราวคมกระบี่ฟาดกลางหัวใจ เสวี่ยซีสะดุ้งเฮือก ดวงตาพร่ามัวจากน้ำตา ไหล่เล็กสั่นเทาไม่อาจฝืนยืนมั่นคงได้อีกต่อไป “ข้า…ข้าไม่ได้เต็มใจ ข้าไม่เคยอยากให้เป็นเช่นนี้”

แต่เถียนเฟิงยังไม่ยอมอ่อนลง ความเจ็บปวดในใจผลักดันให้ถ้อยคำแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม “ถ้าไม่เต็มใจ เหตุใดจึงไม่มาหาข้า? หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่มีค่าพอจะปกป้องเจ้า เจ้าถึงเลือกยอมจำนน ปล่อยให้ร่างกายถูกย่ำยีเช่นนั้นต่อไป!”

เสวี่ยซีสะอื้นจนแทบขาดใจ พยายามจะก้าวเข้าใกล้ มือบางยื่นไปหาอีกฝ่ายเหมือนเด็กที่หลงทาง “ข้าไม่กล้า ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสื่อมเสียเพราะข้า ข้าไม่อยากเป็นภาระ”

เถียนเฟิงหัวเราะแค่น แววตาหม่นหมองสั่นไหว เขาเอ่ยด้วยเสียงประชดที่เต็มไปด้วยความบอบช้ำ “เจ้าช่างโง่เขลา! เจ้าคิดหรือว่าข้าแคร์เรื่องศักดิ์ศรีมากกว่าตัวเจ้า หรือที่แท้จริงแล้ว เจ้าคือคนที่ไม่เคยเห็นข้ามีค่าพอจะฝากชีวิตไว้ด้วยต่างหาก”

คำกล่าวหานั้นรุนแรงเกินกว่าที่เสวี่ยซีจะทนได้ ร่างเล็กทรุดฮวบลงตรงพื้นเย็นเฉียบ น้ำตาไหลพรากไม่หยุด “ไม่ใช่…ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด”

ความเงียบเข้าปกคลุม เถียนเฟิงยืนนิ่ง มองดูร่างบอบบางตรงหน้า หัวใจภายในสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ปากกลับแข็งกร้าวเอ่ยต่อ “คำพูดจากปากนายโลม มันไม่มีค่าพอจะทำให้ข้าเชื่อได้”

เขาหันหลังให้ทันที ร่างสูงสง่าเดินไปยังบันไดไม้ เสียงก้าวกระทบพื้นเป็นจังหวะชัดเจน ทว่าหนักหน่วงราวมีพันหมื่นความรู้สึกถ่วงไว้ “ข้า…สับสน ข้าไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรต่อเจ้าอีกแล้ว”

ประตูโรงเตี๊ยมถูกผลักเปิดออก ลมเช้าเย็นเยียบพัดเข้ามาแทนที่ กลิ่นสุราเจือจางในอากาศ เถียนเฟิงก้าวออกไปโดยไม่หันกลับมาแม้สักครั้ง เหลือเพียงเงาเบาบางที่ค่อยๆ ลับหาย

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 11742 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-17 18:14
โพสต์ 11,742 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2025-9-17 18:14
โพสต์ 11,742 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-17 18:14
โพสต์ 11,742 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-17 18:14
โพสต์ 11,742 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก ตำราอักษรภาพพื้นฐาน  โพสต์ 2025-9-17 18:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
โพสต์ 2025-9-19 23:20:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย XueXi เมื่อ 2025-9-19 23:26

วันที่ 19 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามจื่อ เวลา 23.00 - 01.00 น.


ใต้แสงตะเกียงนวลส้มของโรงเตี๊ยมชิงหมิง กลิ่นสุราขมกรุ่นผสมกลิ่นอาหารมันเลี่ยน เสียงหัวเราะคุยคักของเหล่าชายหนุ่มที่มานั่งดื่มหลังเสร็จงานประจำวันดังระงมอยู่รอบห้องโถง แต่ในมุมหนึ่งใกล้หน้าต่าง เสวี่ยซีกลับนั่งเงียบเหงา ร่างบอบบางในชุดผ้าไหมสีครามซีดขับผิวขาวผ่องยิ่งดูเปล่งราวกับหยกแกะสลัก ใบหน้าเรียวได้รูปคิ้วโก่งดุจวาด ดวงตายาวรีช้อนต่ำเหมือนมีม่านหมอกบางๆ คลุมไว้ ยามเขาเหม่อมองแก้วสุราในมือ ผู้คนรอบโต๊ะใกล้เคียงถึงกับเหลียวมองเป็นระยะ บ้างลอบกลืนน้ำลาย บ้างหัวเราะหยอกเพื่อนว่าหากมีเงินทองกว่านี้คงได้ลองลิ้ม “บุปผาว่านหง” ที่เลื่องชื่อ

เสวี่ยซีจิบสุราทีละน้อย ความขมไหลผ่านลำคอแต่กลับไม่ดับความขมในใจ ใบหน้างดงามสะท้อนแสงตะเกียงราวภาพวาดเศร้าสร้อย ความอ่อนล้าแฝงอยู่ในแววตาที่ครั้งหนึ่งเคยมีแต่รอยยิ้มยั่วเย้า หากวันนี้กลับมีเพียงเงามืดและความสับสน

ไม่นาน ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมบางสีน้ำตาลเข้มก็เดินตรงเข้ามา เพื่อนสนิทของเสวี่ยซี—"อวิ๋นเซียง" นายโลมอีกคนในหอว่านหงเหริน ผู้มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน เพียงเห็นสีหน้าหม่นเศร้าของเสวี่ยซี เขาก็ถอนหายใจนั่งลงข้างๆ อย่างรู้ทัน

“เจ้ามานั่งซึมอยู่นี่เอง ข้าตามหาทั่วหอ คิดว่าจะหนีแขกไปเที่ยวเสียแล้ว” อวิ๋นเซียงพูดพลางยกมือรินสุราเพิ่มให้

เสวี่ยซีหัวเราะแผ่ว รอยยิ้มปรากฏเพียงชั่ววูบก่อนดับวูบไป “หนีแขกหรือ…หากทำได้ ข้าคงหนีไปไกลแล้ว ไม่ต้องหันกลับมามองผู้ใด ไม่ต้องฟังเสียงใครเรียกชื่อข้าในฐานะที่ข้าไม่อยากเป็น”

อวิ๋นเซียงขมวดคิ้ว สายตามองเพื่อนที่เหมือนจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ “เรื่องเถียนเฟิงใช่หรือไม่? ข้าเห็นเขามารับเจ้าบ่อยๆ จนในหอต่างซุบซิบกันไปทั่ว”

เสียงชื่อที่ได้ยินบาดลึกลงกลางใจ เสวี่ยซีเม้มริมฝีปากแน่น พยายามยกแก้วขึ้นซ่อนความสั่นสะท้านของมือ “เขา…เขาไม่เคยเห็นค่าของข้าเลย เขาเพียงหวงห้าม ราวกับข้าเป็นสิ่งของที่เขาซื้อมาครอบครอง แต่ในสายตาเขา ข้าก็ยังเป็นเพียงนายโลม”

“แล้วแหวนที่เจ้าใส่?” อวิ๋นเซียงถามเสียงอ่อนลง “มันทำให้เขาเข้าใจผิดหรือไม่?”

เสวี่ยซีเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะทั้งน้ำตา “เป็นแหวนที่ชายผู้หนึ่งให้มาเขาไม่ได้สำคัญอะไร ข้าไม่ได้รักเขาแม้แต่น้อย แต่เถียนเฟิงเขากลับคิดไปไกล ข้าพยายามอธิบายแล้ว ทว่าเขาไม่ฟัง ข้ามีค่าอะไรในสายตาเขาเล่า”

อวิ๋นเซียงมองเพื่อนด้วยแววตาเวทนา ก่อนจะยกสุราขึ้นชนแก้วกับเขาเบาๆ “เสวี่ยซี เจ้าช่างโง่เสียจริง ทั้งที่เจ้างดงามราวกับดอกโบตั๋นแรกแย้ม ใครต่อใครก็ปรารถนา แต่เจ้ากลับยอมเจ็บปวดเพียงเพราะชายผู้เดียว หากเขาไม่เห็นค่าของเจ้า ก็อย่าทรมานตนเองนักเลย”

เสวี่ยซีหัวเราะทั้งที่น้ำตาคลอ “เจ้าว่าข้าโง่หรือ? ข้าก็รู้…แต่หัวใจข้าดื้อด้านไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่อยากได้ของเล่นเพียงชิ้นเดียว ไม่ว่ามีของเล่นงดงามกี่ชิ้น ข้าก็ไม่ต้องการ”

สุราถูกดื่มไปแก้วแล้วแก้วเล่า แก้มขาวของเสวี่ยซีเริ่มแดงจัด ดวงตาเปล่งประกายแวววาวราวกับหยาดน้ำฝนเกาะปลายกลีบ ดึงดูดสายตาโต๊ะรอบข้างจนต้องหันมองอย่างอดไม่ได้ เสียงกระซิบและหัวเราะหื่นห่ามดังแว่ว “ดูสิ นั่นเสวี่ยซีจริงหรือ ไม่คิดว่าจะได้เห็นเขาในโรงเตี๊ยมเช่นนี้”

อวิ๋นเซียงหันไปปรายตามองโต๊ะนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “อย่าใส่ใจเสียงพวกนั้นเลย พวกเขาเพียงอยากได้สิ่งที่เอื้อมไม่ถึง”

เสวี่ยซีหัวเราะเบาๆ “ข้าเคยชินแล้ว ต่อให้ร่างกายข้าเป็นของผู้ใด…แต่ใจข้ากลับอยากมอบเพียงให้เขาผู้เดียว”

ดวงตาเสวี่ยซีคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง แสงตะเกียงสะท้อนประกายวาววับราวหยกต้องแสงจันทร์ อวิ๋นเซียงเอื้อมมือมากุมมือเพื่อนแน่น ราวกับจะส่งพลังใจให้ผ่านสัมผัสนั้น

“หากเจ้าจะเจ็บปวดเพราะเขาต่อไป ข้าก็ไม่อาจห้ามได้ แต่โปรดจำไว้อย่างหนึ่งเสวี่ยซี เจ้าคือบุปผาที่ไม่มีใครเทียบ แม้แต่เขาก็ไม่มีสิทธิทำให้เจ้าดับสิ้นความงามนี้ลง”

สุราที่ขมกลืนกับน้ำตาที่เค็มปะปนอยู่ในลำคอ เสวี่ยซีพยักหน้าเบาๆ ราวกับยอมรับ แต่ในดวงตาที่แดงก่ำยังมีเพลิงรักสุมอยู่ไม่จางหาย รักที่เจ็บปวดและไม่อาจปล่อยวาง

“ข้าไม่รู้....” เสวี่ยซีมองแหวนบนนิ้วมือ


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 12492 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-9-19 23:20
โพสต์ 12,492 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2025-9-19 23:20
โพสต์ 12,492 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม จาก ยาหยกบูรพา  โพสต์ 2025-9-19 23:20
โพสต์ 12,492 ไบต์และได้รับ +4 EXP +4 คุณธรรม +4 ความโหด จาก พู่หยกสลักลายมังกร  โพสต์ 2025-9-19 23:20
โพสต์ 12,492 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก ตำราอักษรภาพพื้นฐาน  โพสต์ 2025-9-19 23:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้