เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มแผดแสงส่องความวุ่นวายได้เริ่มต้นขึ้นแต่ในวันที่ 18 เดือนแรกแห่งการเริ่มต้น ของปีจงหยวนศกที่ 3 ในตำหนักตระกูลอันหรูหราท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ เสียงร้องแผดดังของเด็กทารกแรกเกิดพร้อมเสียงกรีดร้องของฉี ชิงหยวน ผู้ให้กำเนิดเด็กชายผู้ส่อแววความปวดหัวให้แต่ยังเล็ก เด็กทารกหน้าตาจิ้มลิ้มกว่าใครไหนแต่ใบหน้าเปื้อนด้วยน้ำตา เขาค่อยๆถูกหุ้มด้วยผ้าฝ้ายคุณภาพดีก่อนที่จะได้นำไปให้นายหญิงแห่งตระกูล ฉี
” เด็กผู้ชายเจ้าค่ะ นายหญิง “
เสียงสุขุมดูมีอายุของสาวใช้ผู้ช่วยทำคลอดพร้อมกับหมอตำแยมามากกว่าสามครั้งได้อุ้มห่อเด็กทารกน้อยที่ยังคงดิ้นไปมาให้เห็นหน้าผู้กำเนิด เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ที่เสียงร้องได้เงียบลงแต่ความสงบนั้นมีได้ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงคล้ายหัวเราะของเด็กทารก ดูแล้วช่างน่าเกลียดน่าชังเสียนี่กระไร
“ ช่างเด็กเด็กที่น่ารักแข็งแรงอะไรอย่างนี้ ”
เสียงเบาจากความเหนื่อยของนายหญิงของตำหนักได้เอ่ยขึ้นสายตาอ่อนโยนได้มองไปยังเด็กทารก ก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นเข้ามาภายในห้องที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ ฉี ฮวงฮุน ผู้เป็นใหญ่แห่งตำหนักฉีได้เดินเข้ามาหลังจากร้อนใจอยู่นาน มือหนาที่หยาบกร้านจากการฝึกฝนและออกรบมาเป็นเวลานานได้ลูบไปยังแก้มนุ่มของเด็กชายอย่างเบามือและถนุถนอมเป็นที่สุด
“ เจ้าพูดถูกเขาช่างเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบเจอ ”
แม้เด็กผู้นี้จะเป็นลูกคนที่สี่ของเขาทั้งสองแต่หน้าตาของเขาช่างโดดเด่นเกินกว่าเด็กๆคนอื่นที่เขาทั้งคู่เคยพบเจอมา ถึงแม้สีผิวของเขาจะมีความเข้มมากกว่าพิมพ์นิยมนักแต่สิ่งนั้นกลับขับกับสีผมทำให้ดูสดุดตา
“ การเกิดมาของเขาช่างกังวาลและน่าภูมิใจอะไรเช่นนี้ ข้าขอมอบชื่อให้เจ้าว่า ชิงหลง “
เสียงทุ้มได้เอ่ยขึ้นอย่างฉะฉานก่อนที่จะมีเด็กผู้ชายปละเด็กผู้หญิงอายุไล่เลี่ยได้เดินเข้ามา สีหน้ายังมีความงัวเงียแต่ภายในสายตากลับตื่นเต้นกับชีวิตที่เกิดใหม่ ฉี เฮาอยู๋ ฉี ต้าฟู๋ และ ฉี เหมยยิ่น พี่ชายและพี่สาวในสายเลือดได้เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง สายตาได้จับจ้องไปยังห่อเด็กทารกที่ในตอนนี้อยู่ภายในอ้อมอกของผู้เป็นมารดาของเขาทั้งสาม
“ ท่านแม่ ข้าอยากเห็นหน้าน้องชัดๆ ”
ต้าฟู๋ผู้เป็นพี่ชายคนรองพูดพร้อมปีนตั่งขึ้นไปดูหน้าน้องชายของตัวเอง ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความน่ารักของน้องของเขา
“ พี่เฮา น้องเหมย รีบขึ้นมาดูสิ น้องของเราน่าตาหน้ารักจิ้มลิ้มอย่างกับเจ้าแม่ดอกท้อแหน่ะ เอ๋… “
” ต้าฟู๋ น้องของเราเป็นผู้ชายนะ “
เฮาอยู๋ผู้เป็นพี่ชายคนโตได้เอ่ยขึ้นหลังจากต้าฟู๋ได้พูดจบ ที่เขารู้นั้นเพราะเขามาแอบดูการคลอดของแม่พวกเขาตั้งแต่เริ่มจึงได้ยินการบอกเพศของทารกผู้นี้
” ถ้างั้นก็ต้องเป็นเจ้าพ่อดอกท้อหรือเปล่าคะท่านพี่ “
เสียงใสของเด็กสาวหนึ่งเดียวในห้องได้ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะยกแขนขึ้นมาป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก ก่อนที่แม่ของทั้งสี่จะได้ห้ามปรามเด็กทั้งสามแล้วลดอ้อมแขนของเธอลงให้พอดีกับสายตาของเด็กๆทั้งสาม
.
.
.
เมื่ออายุของเด็กทารกผู้นั้นได้เข้าสู่ปีที่สามเหตุการณ์แปลกๆก็ได้เริ่มเกิดขึ้น เด็กชายเริ่มพูดสื่อสารกับอากาศและในหลายทีเขาก็จะปลีกตัวไปเล่นคนเดียวและมักจะเรียกคนที่เขาเล่นด้วยว่าแม่อยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้ได้พูดปากต่อปากกันในหมู่สาวใช้ว่า บุตรชายคนเล็กของตระกูลนั้นหน้าตาดีเสียจนมีผีมาตามติด เรื่องนี้ทำให้ทั้งนายใหญ่และนายหญิงตระกูลฉีนั้นเป็นห่วง จึงตระเวนไปตามหาทั้งนักบวช พระ หมอผีมาตรวจสอบและสิ่งนั้น พวกเขาได้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กผู้นี้มีคนตามหวงแหนอยู่ การทำพิธีไล่นั้นผ่านไปอย่างยาวนานหลายปียังไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นได้ถูกไล่ไปหรือยัง และไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
เมื่อเด็กน้อยได้เติบโตขึ้นเขายิ่งโตขึ้นหน้าตาของเขาก็ยิ่งดีขึ้นอย่างไม่สามารถรั้งไว้ได้ แต่นิสัยของเขานั้นกลับไม่ดีอย่างหน้าตา เขามักแต่งตัวไม่เรียบร้อยนัก การเรียนเขานั้นก็แทบไม่ได้สนใจวันๆเขาก็มักจะแอบหนีไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครดุเขาอย่างจริงจัง เพราะเพียงแค่สบสายตาก็ทำให้ผู้ที่จะดุเขาใจอ่อนและปล่อยเขาไปอยู่ทุกที เขานั้นเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั้งผู้สูงศักดิ์หรือชาวบ้านธรรมดาในพื้นที่ของพ่อแม่เขา เพราะเขานั้นมักทักทายผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ รอยยิ้มมักประดับอยู่บนใบหน้าของเขาพร้อมกับผ้าขนสีแดงเลือดหมูที่มาของผ้าผืนนี้ไม่แน่ชัดนักแต่เขาแทบไม่เคยไปไหนโดยไม่มีผ้าผืนนี้เลย ในหมู่คนพวกเขามักลือกันว่าบุตรชายลำดับสี่ของตระกูลฉีนั้น ไม่สามารถพบได้ที่ห้องเรียน แต่หากคต้องการพบต้องตามหาไปที่ตลาดหรืองานเทศกาล และที่แห่งสุดท้ายคือหอคณิกา แต่ผู้ทำงานในหอคณิกาได้ตอบกลับข่าวลือว่าชายผู้นั้นไม่เคยซื้อบริการเพียงมาร่ำสุราเท่านั้น