ณ ที่ราบกว้างใหญ่ไกลสุดสายตายังมีรถม้าเคลื่อนตัวเอื่อยอาดไปตามเส้นถนน ภายนอกดูเผิน ๆ คล้ายขบวนพ่อค้าที่ได้รับการคุ้มกันแน่นหนา แต่ใครเล่าที่จะรู้ว่าคนภายในนั้นเป็นถึงพระสนมเอกของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่ตกลงปลงใจตามการนำทางของขันทีแปลกหน้ามาตลอดทั้งทาง
“ พระสนม ยามนี้ออกนอกเมืองแล้วเพคะ ”
ไป๋หรั่นที่หลับตาพิงฉากรถม้าส่งเสียงรับในลำคอเบา ๆ นางนั่งนับเวลาในใจมาหนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงปลายทาง หากไม่ใช่ว่าพอขึ้นมาแล้วพบเสื้อคลุมโอรสสวรรค์วางเอาไว้ ป่านนี้นางคงนึกว่าตัวเองถูกลักพาตัวเข้าให้แล้วจริง ๆ
“ ใจเย็นไว้ .. ดีหรือร้ายยังตัดสินไม่ได้จนกว่าจะถึงปลายทาง ” ผู่เยว่ร้อนใจจนเริ่มไม่เหลือพื้นที่บนใบหน้าให้แสดงออกซึ่งความลนลานแล้ว ผิดกับผู้เป็นนายที่สงบนิ่งเกินคาด.. ไป๋หรั่นเริ่มที่จะหิวแล้ว นางปรือตาขึ้นมองของว่างที่ถูกเตรียมไว้บนรถม้า หากว่าคนที่ส่งรถมาเป็นเขาผู้นั้นจริงก็เชื่อได้เลยว่าของว่างนี้ไม่ใช่ความคิดของอีกฝ่ายแน่นอน หากบอกว่าเป็นจางกงกงยังฟังดูเข้าท่ากว่ามาก
“ พระสนมทรงบรรทมไปหรือยังพ่ะย่ะค่ะ? ”
เสียงถามไถ่จากภายนอกช่วยผลักให้มุมปากบางยกขึ้นอย่างช้า ๆ “ เส้นทางขรุขระถึงปานนี้ เกรงว่าคงไม่ง่ายนักหากอยากพักผ่อนสักช่วง ” พวกนางนั่งหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในรถม้าที่ไม่รู้ปลายทางมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ต่อให้เบื่อหรืออ่อนล้าอย่างไรไม่ว่าใครก็คงหลับไม่ลงอยู่ดี
“ นับว่าเป็นข้อผิดพลาดของกระหม่อมที่ไม่อาจทำให้การเดินทางราบรื่น ทว่าถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญพระสนมเสด็จลงมาเถิด ” ขันทีหนุ่มเปรยเสียงไม่ดังไม่เบาพอให้คนด้านในได้เตรียมตัวก่อนจะลงมา ทีแรกเขานึกว่าจะมีเสียงตอบรับ แต่ไม่.. หลังจากยืนรออยู่กับความเงียบอันไร้ที่สิ้นสุดได้ราว ๆ ครึ่งเค่อ ในที่สุดประตูรถม้าก็ถูกผลักออก พร้อมด้วยร่างของนางกำนัลคนสนิทที่ก้าวลงมาก่อนเพื่อช่วยประคองนายหญิงของนาง
นานมากแล้วที่ไม่ได้สัมผัสกับสายลมเหนือทุ่งหญ้า
ทันทีที่สองเท้าเหยียบลงกับพื้นดิน กลิ่นหอมสดชื่นของธรรมชาติก็ลอยพัดตลบครอบทุกลมหายใจให้ปลอดโปร่ง ไป๋หรั่นเงยหน้ามองท้องนภาสีฟ้าสดไร้เมฆจับกลุ่มด้วยความประหลาดใจ แต่ที่ทำให้ประหลาดใจยิ่งกว่าคือวัตถุขนาดยักษ์ทรงคล้ายเรือที่ตั้งอยู่ตรงหน้านาง ราวกับเรือรบที่ถอดเขี้ยวเล็บและได้รับการบูรณะตกแต่งให้งดงามโอ่อ่าหรูหราเกินกว่าเรือสำเภาโดยทั่วไป แม้จะมีเงาลางของลังสินค้ากระจัดกระจายอยู่มากมาย แต่ก็ยังไม่โดดเด่นเท่าเงาร่างสูงตระหง่านที่ชวนให้รู้สึก.. คุ้นตา
“ …. ”
นงคราญหยกยกมือขาวขึ้นกันแสงรำไรของดวงตะวันที่สาดลงมา พลางหรี่ตาลงพิศดูร่างนั้นอีกครั้ง กระทั่งมีเสียงกล่าวขึ้นจากด้านหลัง “ แม้กระหม่อมจะอยาก ทว่าด้วยหน้าที่เกรงว่ากระหม่อมจะไม่มีสิทธิ์ในการอธิบาย ” ขันทีจิ้งจอกผู้เดิมกล่าวไม่ทันจบ หัวหน้าขันทีอสรพิษก็แทรกตัวมาก่อนแล้ว จางห่าวหมิง จงฉางซื่อคนปัจจุบันเดินเข้ามาพร้อมระบายยิ้มพิมพ์ใจให้กับสาวงามที่ขึ้นชื่อว่าเลิศล้ำยิ่งกว่าใครในลั่วหยางพลางกล่าวอย่างยินดี
“ ฝ่าบาททรงรอพระสนมอยู่บนเรือแล้ว ”
จางกงกงผายมือเป็นการเชิญสตรีของฝ่ายในให้ก้าวขึ้นไปตามบันไดขึ้นเรือที่เตรียมไว้พร้อมสรรพสำหรับสุภาพสตรีที่คงไม่เหมาะสมนักหากจะให้มาปีนป่ายด้วยวิธีเดียวกับชายชาตรีพลางหันไปพยักหน้าแบบพอเป็นพิธีให้กับขันทีในการปกครองของเขาที่ค้อมกายส่งอำลา
“ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ” ถึงจะดูเหมือนถามไถ่ให้พอเป็นพิธี แต่ใครจะรู้ว่านี่คือการสนทนาของ (ป๋าดันและเด็กดัน) ทั้งสองในรอบหลายอาทิตย์ จางกงกงชำเลืองตามองดูท่าทางที่เปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยของพระสนมเอกข้างกาย
“ เขาเหมือนท่านอย่างกับแกะ ” และนี่คือคำตอบแรกในรอบหลายวันที่นางให้มันกับเขา
ห่าวหมิงหยุดฝีเท้าไปครู่หนึ่งพลางคิดว่าเขาและเด็กน้อยข้างหลังนั้นคล้ายคลึงกันอย่างไร ส่วนไป๋หรั่นที่ทิ้งคำตอบไว้อย่างนั้นก็แค่หันมองเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อไปจวบจนพ้นเขตบันไดและขึ้นสู่ตัวเรือได้สำเร็จ คารวะฟูเฟรินขอรับ เสียงขานรับดังกึกก้องทั่วเขตแดน ฝูหรงหยกที่เคยชินกับคำว่า ‘ พระสนม ’ เมื่อถูกเรียกว่า ‘ ฟูเหริน ’ ขึ้นมาก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ รายงานแจ้งมาว่าอู๋เว่ยมีเรื่องให้ต้องไปตรวจสอบ ”
ครั้งนี้เป็นเสียงของคนผู้นั้น..
สาวงามดั่งหยกผินหน้ากลับไปเพื่อพบเข้ากับร่างสูงโปร่งของสวามีในรูปลักษณ์ที่แปลกตาไปมาก ฮั่นอู่ตี้ที่เคยสวมฉลองพระองค์สีเข้มลายมังกรไม่มีอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ปกคลุมบนร่างเขาคือเสื้อสีนิลเนื้อผ้าแปลกตาที่ทอออกมาให้แนบกับไปเรือนกายหนาโดยไร้เสื้อยาวส่วนนอกมาบดบัง แม้จะไม่เห็นชัดถึงมัดกล้ามที่หน้าท้อง แต่ก็ยังมีแขนทางฝั่งขวาที่แขนเสื้อกุดเสมอไหล่ที่เผยให้เห็นช่วงแขนแกร่งเล็กน้อยก่อนที่จะถูกปลอกแขนผ้าปล่อยชายระย้าลงมาบดบังไม่ให้แปลกไปจากขนบฮั่นจนเกินไป
ส่วนครึ่งร่างฝั่งซ้ายของอีกฝ่ายเดิมทีล้วนถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมยาวระพื้น กระทั่งเจ้าของร่างหนาขยับแขนวางมือซ้ายลงกับด้ามกระบี่จึงได้เห็นขอบผ้าที่เปิดออกเผยให้เห็นช่วงกางเกงและสายคาดเอวชั้นดีที่ประดับด้วยเงินแท้และพู่แดงสีชาดตัดกับผืนผ้าสีขาว
“ ครั้งก่อนที่รับมือคณะทูต เจ้าช่วยได้มาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน ”
โอรสสวรรค์กล่าวเสียงเรียบพร้อมยื่นห่อผ้าชิ้นหนึ่งไปให้สนมเอกได้รับไปถือในมือ “ เดินทางครั้งนี้เจิ้นใช้ฐานะพ่อค้าชาวนอกด่าน ส่วนเจ้า .. ” หลิวเช่อกดใบหน้าที่สวมหมวกปีกกว้างคล้ายหมวกไผ่ผ้าคลุมทว่าไร้ผ้าแพรลงมาเล็กน้อย ส่งให้เกศาดำขลับหลายส่วนที่ปล่อยสยายลงมาราวม่านน้ำหมึกคล้อยตกมาด้านหน้าผ่านบ่ากว้าง
“ เป็นอดีตนางรำในขบวนที่สุดท้ายแล้วตบแต่งเป็นฟูเหรินข้า ”
กระทั่งสรรพนามยังเปลี่ยนไปเพื่อรับกับบทบาทที่ต้องเป็น ในระหว่างที่เขาพูด ไป๋หรั่นก็ไม่ได้อยู่เฉย นางคลี่ห่อผ้าในมือจนเห็นว่าด้านในเป็นชุดนางรำนอกด่านแสนประณีตรับกับบทบาทที่เขาต้องการให้นางเป็นอย่างพอดิบพอดี “ ราชกิจนี้สำคัญถึงขนาดที่ทรงเสด็จไปไกลถึงอู๋เว่ยด้วยตัวพระองค์เอง พาหม่อมฉันไปเช่นนี้.. ”
“ ถือเสียว่าเป็นการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ที่หาได้ยากในชีวิตเจ้า ”
สตรีในห้องหอของต้าฮั่นผู้ใดจะเคยไปเยือนเขตทะเลทรายกัน ลู่เจาอี๋ .. หรือที่ตอนนี้สมควรกล่าวว่าเป็นนางรำหญิงผู้หนึ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ อย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ ประสบการณ์ครั้งนี้ตราบเท่าที่อยู่ภายใต้การดูแลของอีกฝ่าย อย่างไรนางก็คงปลอดภัย สาวงามผุดผาดหันกายดูรอบด้าน นอกจากกำลังคนประปรายที่ดูคล้ายคนในคารวานหรือไม่ก็คนคุ้มกันขบวนสินค้าก็ยังมีกล่องขนสัมภาระจำนวนมากที่บางส่วนเปิดออกอวดโฉมผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี
ดูเหมาะกับการเป็นพ่อค้าจริง ๆ หากไม่ใช่ว่าเรือนี้.. อลังการเกินไปมาก
“ แล้วเรือนี้มิใช่ว่า.. ”
“ ห่าวหมิงบอกว่าผู้ร่ำรวยนอกด่านบางจำพวกหันมาใช้เรือเช่นนี้ ”
ห่าวหมิง? นาง.. ไม่คุ้นชื่อนี้เท่าไหร่
“ อย่างที่นายท่านกล่าว ฟูเหรินวางใจเถิดขอรับ ” ห่าวหมิงที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเป็นนามของเขา ก้าวเข้ามาด้วยบทบาทพ่อบ้านที่ระบายยิ้มจนเต็มแก้ม ดูเหมือนจางกงกงจะสนุกกับการสวมบทบาทครั้งนี้มากเสียยิ่งกว่าตัวละครหลักทั้งสองเสียอีก “ บัดนี้มีผู้น้อยห่าวหมิงเป็นผู้ช่วยที่ติดตามนายท่านมาจากนอกด่าน และมีท่านจูชวีเฟิ่งดำรงฐานะองครักษ์พ่อค้าใหญ่ ”
เนตรหงส์ชำเลืองไปมองท่านจูชวีเฟิ่งที่ว่าเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นชายบรรยากาศเรียบเย็นคมกริบผู้หนึ่งที่ราวกับมีป้ายห้อยคอแขวนเอาไว้ว่า ‘ ข้าเป็นองครักษ์ ’ อะไรอย่างนั้น “ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว.. เช่นนั้นหม่อมฉัน— หมายถึง น้องขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อน โปรดรอสักครู่ ” นงคราญหยกหลุบตาลงหลบสายตาคมกริบของหลิวเช่อที่ตวัดมาเพื่อห้ามความชินปากของภรรยา
หลิวเช่อพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการอนุญาตให้นางปลีกตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะอย่างไรระหว่างนี้เขาก็ต้องไปสั่งการให้เตรียมออกเรือ ไป๋หรั่นย่อกายลงเล็กน้อยเพื่อขอปลีกตัวออกมาพร้อมกับผู่เยว่ที่โล่งอกขึ้นมาเมื่อการเดินทางครั้งนี้เหมือนจะมีผลดีมากกว่าร้าย
สองสตรีบนเรือลำยักษ์ได้รับการนำทางมายังห้องพักชั่วคราวเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทว่าเมื่อผู่เยว่ที่ตอนนี้เปรียบเสมือนสาวใช้ส่วนตัวเห็นชุดก็ถึงกับหมดคำพูดไปพักใหญ่..
“ เรือนี้เป็นผลงานของนักประดิษฐ์ชาวซูเล่อ แม้พวกเขาจะเป็นเพียงอาณาเขตแคว้นเล็ก ๆ … ”
ถ้อยคำของหลิวเช่อเลือนหายทันทีที่สองเนตรมังกรสะท้อนเงาร่างที่ก้าวเข้ามา สมแล้วที่เป็นโฉมงามในรอบหลายปีตามคำกล่าวขานของคนอื่น ๆ แค่เพียงนางปรากฏตัวเดิมทีก็พิลาสล้ำตรึงใจมากเพียงพอแล้ว ยิ่งได้เห็นเรือนกายที่เผยนอกร่มผ้า เกรงว่าบรรยากาศรอบกายของหลิวเช่อจะเหี้ยมเกรียมชึ้นหลายส่วนจนคนนอกที่แต่เดิมมองมายังต้องรีบเบือนหน้าหนี
นางเหมาะกับสีแดงจนน่าเหลือเชื่อ ราวกับรูปสลักหยกที่พันกำบังกายด้วยแพรไหมสีสดเขียวสลับชาด ดูแล้วโดดเด่นเป็นสง่า แม้ว่ารูปแบบจะต่างไปจากอาภรณ์โดยธรรมชาติของต้าฮั่น ลู่ไป๋หรั่นยามนี้มีชิ้นผ้าขาวขอบแดงปักลายปักษาพาดพันช่วงอกอิ่มและปล่อยช่วงไหล่รวมไปถึงหน้าท้องอันแบนราบให้เปิดเปลือยสู่สายตาคน
ถัดลงมาจากช่วงบนที่วาบหวิวก็เป็นกางเกงสีแดงที่บุผ้าด้านในเป็นสีขาวจับมัดปลายผ้าที่ข้อเท้าด้วยสายคล้องสีทองจนเปิดร่องเว้าอวดหน้าขาเรียวตั้งแต่ช่วงหน้าแข้งจนเกือบถึงหัวเข่าดูเย้ายวนคล่องตัว หากมิใช่ว่ามีของประดับทองอื่น ๆ ไม่ว่าจะสร้อย หรือกำไล รวมไปถึงลายปักทองและผ้าคล้องแขนสองเส้นที่สีตัดกัน ป่านนี้คงไม่ต่างอะไรไปจากการสวมชุดนอนออกมาเดินร่อนในยามกลางวัน
ไป๋หรั่นวางมือข้างหนึ่งสัมผัสกับศอกอีกฝั่งของตนเอง พลางก้มหน้าด้วยความเขินอาย นางไม่ปฏิเสธว่าเสื้อผ้าอย่างนี้เหมาะนักกับทะเลทรายที่รับลมได้มาก ทั้งยังสมฐานะนางระบำนอกด่าน แต่ว่า.. “ ฝ่— .. ท่านพี่ ” ที่ร่วมทางกับนางมาไม่ใช่พี่ชายหรือครอบครัวบังเกิดเกล้า แต่เป็นสามีในนามที่ไม่ได้สมัครสมานรักใคร่กันมาก่อน ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะค่อนข้าง.. กระอักกระอ่วนกันอยู่ไม่น้อย
“ มานี่สิ ”
หลิวเช่อคาดว่านางคงไม่คุ้นชินที่ต้องปรับตัวกับวัฒนธรรมอื่นอย่างกะทันหัน โอรสสวรรค์ผู้เป็นสามียกแขนข้างที่เชื่อมกับผ้าคลุมเข้าประคองไหล่มนหลวม ๆ เนตรคู่คมเคลื่อนลงมองภรรยาเล็กน้อย นางรวบผมขึ้นเป็นมวยเดียวแล้วใช้แค่ชิ้นส่วนหล่อจากทองทรงกลมบางอย่างที่ประดับลงกับมวยผมโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปิ่น .. ถ้าจำไม่ผิดนางอัปสรของชาวนอกด่านน่าจะเรียกกันว่าตุนหวงเฟยเทียน ดูท่านางกำนัลของนางคงได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อเหล่านั้น
“ ก่อนหน้านี้ที่ข้าจะบอกเจ้า คือเรือลำนี้สร้างโดยคนของแคว้นซูเล่อ พวกเขาเป็นแคว้นขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยเหล่านักสู้ อีกทั้งในกองทัพหน่วยของผู้ใช้ปราณหมาป่า ถึงจะจำนวนน้อย แต่ก็มากความสามารถ ” คล้ายอาจารย์สอนวิชาเกี่ยวกับอาณาเขตและพื้นที่ หลิวเช่อกำลังเบี่ยงความสนใจของนางให้ออกจากความประหม่าและเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับเรื่องที่น่าตื่นตาเมื่อกำลังเห็นว่าตัวเรือยักษ์สามารถเคลื่อนที่บนบกได้จริง ๆ
สองสามีภรรยาประคองกันไปยังหัวเรือเพื่อรับชมทิวทัศน์ที่ยากจะมีใครได้ยลเช่นพวกเขา โดยทิ้งทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์อันสูงส่งไว้ข้างหลัง และมุ่งหน้าไปยังเส้นทางอันไม่แน่นอนที่ไร้คนคาดเดาได้..