วันที่ สิบหก ถึง สิบเจ็ด เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไฮ่ถึงยามจื่อ เวลา 23.00 - 01.00 น. แม่น้ำเว่ย (พบ เว่ย ชิง)
แม่น้ำเว่ยในยามฤดุร้อนที่ท้องฟ้าหม่นไร้ดวงจันทร์นั้นดูคล้ายกับสายหมึกที่เจือจางไหลทอดยาวอยู่ใต้ร่มเงาไม้ หลินหยาก้าวผ่านแนวหญ้าที่เอนไหวดตามแรงลมพลางบิดไหล่เล็ก ๆ อย่างรำคาญใจกับเนื้อผ้าที่เปียกชื้อไปด้วยเหงื่าอจากการเดินเท้ากลับเมือง เสียงของ ซุน ที่ดังแผ่วเบาลอยมาเหนือผิวน้ำ คล้ายเรียกหาความทรงจำที่ไม่มีเจ้าของ หลินหยานั้นหยุดฝีเท้าของตัวเองในทันที ปลายเสียงของซุนนั้นไม่ต่างจากเงาของใครสักคนหนึ่งที่นั่งอยู่เบื้องหน้าแสงตะเกียงริบหรี่ตรงโหดหินริมแม่น้ำ ลมเย็นกรุ่นจากแม่น้ำพัดเส้นผมของหญิงสาวปลิวแนบแก้ม ขณะที่เสียงนั้นยังไม่หยุดลง
แม้จะอ่อนโยนแต่กลับไม่กล่อมใจ มีเพียงรสขมของอดีตบางอย่างที่สะท้อนออกมาผ่านทุกลมหายใจของตัวโน้ต หลินหยาหรี่ตาพอที่จะเห็นรุปร่างโปร่งในชุดสีดำเข้ม ผมยาวสยายมัดไว้หลวม ๆ พาดบ่าข้างหนึ่ง เขานั่งหันข้างให้ แม้เธอจะยังไม่เห็นใบหน้าเต็ม ๆ แต่เพียงท่าทางเครื่องเป่าก็ทำให้รู้ว่าคงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา คนผู้นี้มีความเงียบสงบแบบอะไรยางอย่างที่แฝงอยู่ในยามราตรี เธอยกยิ้มมุมปาก ตอนแรกเธอก็ไม่รู้หรอกว่าใคร แต่มีจังหวะหนึ่งที่เขาเหมือนจะเอียงหน้าทำให้เห็นว่าเขาหน้าตาเหมือนคนที่เคยพบเมื่อวันก่อน ๆ
“แหม่..ข้าก็นึกว่าเสียงซุนจากภูติผีเสียอีกเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงติดจะล้อเล่นแต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวลจากผุ้ที่ไม่คิดว่าใครจะมานั่งเป่าเครื่องดนตรีอยู่ริมแม่น้ำกลางดึกเช่นนี้
ชายหนุ่มหยุดเอาเครื่องดนตรีออกจากปาก ปลายนิ้วยังแตะอยู่ตรงช่องลมของซุนที่น่าจะทำจากหินหรือเขาสัตว์ ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยแต่สายตายังคงเหม่อมองผิวน้ำเบื้องหน้า เงาสะท้อนใบหน้าคมเข้มตัดกับลแสงไฟลางเลือนจาง ๆ เผยให้เห็นว่าเขาคือ..ใช่..
“แม่นางจากร้านบะหมี่?...” เขาเอ่ยเสียงต่ำ แต่เต็มไปด้วยเสียงที่กำลังเรียงร้อยถ้อยคำอย่างรอบขอบ “แม่นาง..มาเดินเล่นตอนกลางบดึกเช่นนี้คนเดียวหรือ?” น้ำเสียงนั้นไม่ได้เคร่งขรึมแบบตอนที่อยู่เมืองฉางอัน กลับให้ความรู้สึกเหมือนพูดกับคนที่ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากเวลาเป็นนักรบ ส่วนหลินหยานั้นยักไหล่พลางเดินไปนั่งตรงโขดหินข้าง ๆ ห่างกันพอสมควรแต่ยังคงได้ยินเสียงน้ำอยู่ เธอมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนตอบเรียบ ๆ
“ไม่เจ้าค่ะ ที่นี่อันตรายจะตาย ข้ากำลังจะเดินกลับฉางอันเจ้าค่ะ โดนคนบางคนโยนงานให้กลางดึก แต่ก็ไม่คิดว่าจะพบท่านชายเว่ย จ้งชิง ตรงที่ข้างทางแบบนี้หรอกเจ้าค่่ะ” หลินหยาเอ่ยบอก ส่วนเขาก็หันมองเธอแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ท่าทางไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เหมือนกับกำลังไตร่ตรองว่าตัวเองจะพูดอะไรต่อดีต่างหาก
“ข้าแค่..บังเอิญคิดถึงเสียงนี้น่ะ” เขาหมายถึงเสียงซุน แต่น้ำเสียงนั้นเหมือนหมายถึงบางสิ่งที่มากกว่านั้นมากโข หลินหยายิ้มบาง ๆ ไม่พูดต่อทันที ท่ามกลางสายลมยามค่ำที่พัดผ่าน เสียงจักจั้นร้องดังระงมใต้ใบไม้ที่อยู่ไกล ๆ ทั้งสองต่างนั่งนิ่ง เหมือนเงาที่ไม่เกี่ยวข้องกันแต่บังเอิญมาพบกันในค่ำคืนนี้
หลินหยาเหลือบตามองชายหนุ่มที่เป่าขลุ่ยอยู่เมื่อครู่ ในยามที่เขาไม่ได้มีดาบอยนู่ข้างจตัว หรือใต้สายตาของผู้อื่น เขากลับดูเหมือนใครสักคนที่ไม่ได้ยืนอยู่บนความกลัวอะไรนั้น แต่ยืนอยู่บนความทรงจำที่หล่อหลอมตัวตนของเขามาตอนนี้ ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นในใจของหลินหยา นั้นไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นความเงียบสงบที่ประหลาดใจนัก “เสียงซุนนั้น..” เธอเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ขณะที่มองไปยังเงาของเขาในสายน้ำที่สะท้อนลงไป “มันดูเศร้ามากเลยนะเจ้าคะ”
ชายหนุ่มนิ่งไปเพียงชั่วครู่ มือค่อย ๆ ลดเครื่องดนตรีลงไว้ข้างตัว ดวงตาเรียวคมนั้นเหม่อมองไกลไม่รู้จบ “ดนตรีไม่ได้เศร้าหรอกแม่นาง” เขาตอบเสียงแผ่ว ๆ “บางทีแค่คนเป่า ลืมวิธีเป่าให้มีความสุขไปมากกว่าก็เท่านั้น” เขาเอ่ยในท่ามกลางท้องฟ้ารที่ดำสนิท ก้อนเฆกไม่หลบให้ดวงจันทร์ ดั่งหัวใจใครบางคนที่ยังคงจมอยู่กับสิ่งที่หล่นหายระหว่างสงคราม
สายลมโอบอุ้มกลิ่นชื้นของแม่น้ำเว่ยที่ทอดผ่านกลางหุบเขา ท่วงทำนองโศกเศร้าเมื่อครู่เลือนหายไปกับกระแสลม คล้ายถูกกลบด้วยแววตากลมโตของหญิงสาวผู้หญึ่งที่นั่งอยู่เคียงข้างกันโดยไร้การนัดหมาย หลินหยาเหลือบมองชายหนึุ่มในความเงียบ ก่อนที่จะค่อย ๆ คลายมือออกจากชายเสื้อ หยิบขลุ่ยไม้สีเข้มออกมาช้า ๆ จากกระเป๋าที่คาดไว้
“ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะเป่าเพลงที่มีความสุขให้ท่านฟังเองนะ”
ดวงหน้าขาวผ่องของนางแม้ในยามไร้แสงจันทร์สะท้อนแววตาอ่อนโยนเป็นประกายจาง ๆ ใต้ไฟจากตะเกียงน้ำมันอันไกลโพ้น เสียงขลุ่นของเธอเปล่างออกมาไม่ใช่ดังกังวานอย่างนักเป่ามือฉมัง แต่กลับมีความใสสะอาดและรื่นรมย์ในจังหวะที่ลื่นไหลคล้ายสายน้ำที่กำลังไหลผ่านหินเรียบ ่อ่อนโยนแต่ทรงพลัง เป็นบทเพลงที่ไม่มีชื่อ เรียบง่ายแต่ชัดเจนในอารมณ์
ไม่หวือหวาเหมือนเสียงในห้องราชสำนัก ไม่บาดลึกเหมือนเสียงของเขา หากแต่นำพาความอบอุ่นล้อมรอบบรรยากาศ จังหวะบางช่วงคล้ายเสียงหัวเราะของเด็กน้อยในฤดูใบไม้ผลิที่ผลิบายน บางช่วงดั่งลมหายใจอันอ้อยนอิ่งหลังฝนตก ขณะที่อีกบางช่วงเหมือนเสียงน้ำที่หยดลงใบบัวในสวนหลังบ้านยามค่ำคืน
เว่ยชิงไม่ขยับแม้แต่น้อยขณะฟัง ใบหน้าที่มักคมคายเคร่งขรึมดูอ่อนลงราวกับบรรยากาศรอบตัวได้กล่อมเกลาเหลี่ยมมุมทั้งหมดนั้นให้เบาลง เสียงขลุ่ยชองหญิงสาวไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยนห้วงเวลาหนึ่งในใจของคนฟังไม่ให้เปลี้ยนวร้างไปมากกว่านี้ และเมื่อบทเพลงสุดท้ายจางหายไปพร้อมกับสายลม เธอลดขลุ่ยออกจากริมฝีปาก ลมหายใจค่อย ๆ ผ่อนออกอย่างช้า ๆ หันไปสบตากับชายหนุ่มผู้ไม่ได้ขยับทำเพียงกระพริบตาเวลาฟังเท่านั้น
เธอยิ้ม..ยิ้มแบบตัวเอง ไม่อวดดี ไม่ขอคำชม แต่ซนแบบมีเจตนาอ่อนโยนของตนเอง “เป็นไงเจ้าคะ? ฟังแล้วมีความสุขไหม?” เธอถามพร้อมกับหันศีรษะตัวเองเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายสดใสใต้เงาผมที่ปลิวกระจายอยู่ ณ เวลานี้
เว่ยชิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะคลี่ยริมฝีปากขึ้นช้า ๆ ไม่ใช่รอยยิ้มของนักรบ หรือของขุนนาง แต่มันเป็นรอยยิ้มของคนคนหนึ่ง ประชาชนคนหนึ่งที่ยอมให้โลกอ่อนลงชั่วขณะ เขาไม่ตอบในทันที แค่ปรายตามองไปยังแม่น้ำเว่ย แล้วกล่าวเสียงเบา “อืม..เสียงเพลงของแม่นางเหมือนขับไล่ฝันร้ายออกไปเลย” เขาเงียบอีกครั้งแล้วพูดต่อ “มันดีมาก” น้ำเสียงเหมือนกลัวว่าหากเปล่งเสียงดังเกินไป อารมณ์นี้จะหายไปกับสายลม แต่แค่เพียงท้อยคำสั้น ๆ เหล่านั้น หลินหยารู้สึกว่ามันไม่ใช่การชมธรรมดา แต่เป็นการรับรู้ว่าเขาเข้าใจบทเพลงเหมือนกัน
เปลวไฟจากตะเกียงไกลบลิบกระพริบไฟวตามแรงลม ณ เวลานี้ ปลายเสียงซุนที่จางหายไปนานแล้ว แต่ร่องรอยของบทสนทนาที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาดัง ๆ กลับยังอวลอยู่ในอากาศตอนนี้รอบตัว ทั้งสองนั่งอยู่กลางค่ำคืนที่ไร้ผู้คน ไร้เพราะ ไร้หน้าที่ ไม่มีสถานะชัดเจน มีเพียงหญิงสาวในชุดที่เรียบง่าย กับชายหนุ่มที่มองผืนน้ำ
แล้วจู่ ๆ เสียงของหลินหยาก็เปลี่ยนโทนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าความเศร้าทั้งหมดถูกผลักออกจากริมฝีปากเธอด้วยคำไม่กี่คำเท่านั้น “จริงสิ! ข้ามีอะไรให้ท่านกินด้วย..!!” เธอพูดพลางล้วงเข้าไปในห่ออาหารเก่าคร่ำที่คล้องอยู่ตรงข้างเอว ท่าทางร่าเริงเหมือนแม่ครัวพเนจรที่ยกของวิเศษออกมาจากกระเป๋า แต่ไม่ หลินหยาไม่ใช่แม่ครัวหรอก
เว่ยชิงเลิกคิ้วน้อย ๆ ดวงตานิ่ง ๆ คู่นั้นจับจ้องหญิงสาวในท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างอดขำไม่ได้ “อย่าบอกนะว่าแม่นาง..นำเสบียงมาจากจวนคนใหญ่คนโตน่ะ?” เขาเอ่ยถามเรียบ ๆ หลินหยาก็หัวเราะพรืกไปเลยสิ “เปล่าาา นี้ต่างหาก”
เธอคลี่ผ้าออก กลิ่นหอมร้อน ๆ ของหนังเป็ดย่างที่ยังกรอบอยู่ก็ลอยกระทบปลายจมูก ร้อนเสียจนมีควันจาง ๆ ลอยคลุ้งขึ้นจากกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ใช้เก็บรักษาความร้อน ชิ้นหนังเป็ดที่ถูกแล่บางพอดีคำวางเรียงบกันอย่างสวยงามแน่นขนัดในกลอ่ง เคียงด้วยแผ่นแป้งบาง ต้นหอมซอยสีขาวสะอาด กับแตงกว่าหั่นแท่งเล็ก ๆ เรียงกันอย่างพิถีพิถีด
“เป็ดเป่ยจิงเคายาาา” เธอประกาศเสียงกระตือรือร้นเหมือนเด็กได้ของเล่น “เนี้ย เมนูประจำต้าฮั่นเชียวนะ แต่ละชิ้นก็ต้องแล่ตอนมันร้อน ๆ ลงจากเตาใหม่ ๆ ข้าก็เลย แอบฉกมากินก่อนที่จะโดนลากไปโขกหัวสับ”
เว่ยชิงกระพริบตาช้า ๆ แล้วเอ่ยแบบกลั้นยิ้ม “แม่นางแอบขโมยมาจากเจ้านายหรือ?”
“หาาา ท่านอย่ามาปรับปรำข้านะ ข้าเรียกมันว่า ค่าตอบแทนทางศีลธรรมจากการโดนจิกหัวใช้ข้าอย่างไม่เป็นธรรม” เธอว่าพลางห่อแผ่นแป้งอย่างรวดเร็ว อดแผ่นหนังเป็ดลงบนแป้ง ตามด้วยแตงกวาและต้นหอม ราดซอสหวานสีเข้มก่อนจะพับปลายสองด้านอย่างคล่องแคล่ว “นี่ไง เสร็จแล้ว! ลองดูสิ รับรองอร่อย” เว่ยชิงรับห่อเป็ดจากมือเธอช้า ๆ นิ้วเรียวยาวที่ผ่านดาบมานับพันฟาดรับแผ่นแป้งราวกับถือหยก ลังเลชั่วครู่ก่อนที่จักัดคำหนึ่งเสียงกรอบจากหนังเป็ดผสมกับรสหวานเข้มของซอสและความสดของแตงกวาเคล้ากับกลิ่นหอมเฉพาะจากต้นหอมซอย รสชาตินั้นซึมซาบลึกอย่างประหลาด ไม่ใช่เพียงรสอาหารแต่มันคือรสของ ‘ช่วงเวลาหนึ่ง’ ที่ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีสงคราม ไม่มีแม้แต่ทหารคนใดคุกเข่าต่อหน้า
เขากัดอีกคำพลางเอียงหน้ามองหญิงสาวข้างกายที่กำลังกินด้วยกันอยู่ ไม่เข้ามาใกล้แต่ก็ยื่นอาหารมาให้กินซะงั้น “แม่นางทำให้ข้ารู้สึกเหมือนคนธรรมดา ในค่ำคืนที่ธรรมดา” เขาเอ่ยช้า ๆ ส่วนหลินหยาก็กระพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะยักไหล่แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์นิดหน่อย
“ก็ดีแล้วนี้ ข้าชอบทำเรื่องธรรมดาแบบนี้แหละ โดยเฉพาะสำหรับเรื่องเงินกับของกิน” เธอบอกแล้วหันกลับไปม้วนแป้งอีกคำ ส่งให้ท่านชายแล้วก็ตัวเอง กัดคำโต ริมฝีปากเปื้อนซอสเล็กน้อยแต่เธอไม่สนใจมันแม้แต่นิด เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเธอดังคลอแม่น้ำ ทำให้ความเงียบเมื่อครู่ถูกทาบทักด้วยบรรยากาศใหม่แทน
ก่อนที่จะได้แยกย้ายกันพร้อมกับความสนิทที่มากขึ้นกว่าเดิม นิดหนึ่ง
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-10] เว่ย ชิง หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5 มอบ เป็ดเป่ยจิง อาหารเกรดแดง ความสัมพันธ์ +30 (ส่งแล้ว)
|