ไต้กงกงยามนี้อายุล่วงเข้าเลขห้าแล้ว เนื่องจากเป็นขันทีที่ทำงานหนักมาแต่เยาว์วัยใบหน้าจึงมีรอยประทับแห่งโมงยามที่ผันผ่าน ทว่าร่างที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ทำให้เขาเปล่งปลั่งอวบอิ่ม แฝงกลิ่นอายอันเมตตาอยู่ในท่วงท่ากิริยา แม้นจะมีร่างอวบใหญ่และแก่ตัวลงกลับมิได้ทำให้ความปราดเปรียวว่องไวสูญหายแต่อย่างใด ไต้กงกงยังคงกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวายิ่ง
“...ฝ่าบาทเชี่ยวชาญการเดินหมากยิ่ง ครึ่งชั่วยามก่อนตรัสว่านายหญิงน้อยเป็นคู่มือที่ไม่เลว จึงโปรดให้จัดกระดานหมากไว้ที่ศาลาเฟิงมู่ ให้เกล้ากระหม่อมเชิญนายหญิงน้อยไปประชันหมากพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีชราโน้มตัวเอ่ยชี้แจงหลงเยวี่ยอย่างระมัดระวัง ถ้อยคำประดา ‘เชี่ยวชาญ’ หาใช่ ‘โปรดปราน’ แฝงไว้ด้วยความนัย
หลงเยวี่ยหาได้มีแก่ใจคิดให้ลึกซึ้งสรุปแต่เพียงว่าฝ่าบาทโปรดให้นางเดินหมากเป็นเพื่อน
ศาลาเฟิงมู่อยู่ทางด้านหนึ่งของอุทยานชุนเหอจิ่งหมิง มองไกลๆ เห็นตัวศาลาตั้งอยู่กึ่งกลางทิวทัศน์อันงดงามทั้งหกทิศ ด้านบนและด้านล่างล้วนสวยงามเหมาะสม ประกายคลื่นน้ำในทะเลสาบสะท้อนแสงอาทิตย์สวยสดราวกับอัญมณี ในตัวศาลามีเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งประทับอยู่อย่างโดดเดี่ยว ท่วงท่าทรนงองอาจ แม้นมองจากจุดนี้ยังคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
หลงเยวี่ยประสานมือแล้วย่อตัวลงคุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท ก้มหน้าเอ่ย “หญิงสกุลตวนมู่แห่งตำหนักเมิ่งเหยาถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้พยักหน้า ปราดเดียวไต้กงกงก็รีบประคองหลงเยวี่ย เชิญนางนั่งที่โต๊ะตรงข้ามฝ่าบาท หลงเยวี่ยรับผ้าเช็ดมือจากบ่าวรับใช้ยื่นให้พระองค์ ด้านหนึ่งขันทีระดับล่างกำลังเก็บเม็ดหมากบนกระดานใส่กล่อง เมื่อสักครู่ดูเหมือนพระองค์จะเดินหมากกับตนเองตาหนึ่งแล้ว “ช้ายิ่งนัก ยังคิดว่าแม้แต่ไต้กงกงที่รับใช้ในวังมาถึงสี่สิบปีก็หลงทางเป็น?” ใบหน้ามีรอยยิ้มแต่น้ำเสียงกลับเย็นเยียบ ไต้กงกงเหงื่อกาฬไหลพลั่ก ตัวสั่นเป็นลูกนก รีบโขกศีรษะขอพระราชทานอภัยโทษ
“วันนี้หม่อมฉันไปบูชาบูรพกษัตริย์ที่ศาลบรรพชนแต่เช้าตรู่ ไต้กงกงไปที่ตำหนักเมิ่งเหยาก่อนจึงคลาดกับหม่อมฉัน…” หลงเยวี่ยพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับปาก ใบหน้าเริ่มเก้อกระดาก นางพลันทรุดกายคุกเข่า “พูดไปแล้วล้วนแต่เป็นความผิดของหม่อมฉัน ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว”
“เอะอะอะไรก็คุกเข่า เราเบื่อหน่ายเต็มทน” ฮ่องเต้คล้ายเมินเฉยคล้ายบึ้งตึง กระนั้นยังสัมผัสได้ถึงพระสุรเสียงที่อ่อนโยนขึ้นเมื่อกล่าวถึงเหตุผลนั้น “เลิกร่ำไรได้แล้ว”
ขันทีน้อยคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาประคองไต้กงกง หน้าผากของขันทีชราแดงเถือกก่อนจะขยับกายถอยเข้าไปประจำตำแหน่ง ขณะที่ขันทีอีกผู้ประคองนางนั่งบนเก้าอี้หิน
รับสั่งดังขึ้นอีกครา “ยกกล่องเม็ดหมากไปให้นาง”
ภาชนะเก็บหมากรูปทรงโค้งมนตลับหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าหลงเยวี่ย ลวดลายดำขลับตัดสีน้ำตาลแก่ถูกขัดจนขึ้นเงา ตรงฝาตลับสลักอักษรสามคำ “端木军” (ทัพสกุลตวนมู่) หลงเยวี่ยนิ่งมองคำนั้นอย่างอึ้งงัน ใบหน้าพลันบึ้งตึง แม้แต่ดวงตาสองข้างก็มีริ้วของโทสะวาดผ่าน ลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านผิวทะเลสาบหอบเอาความเย็นกระทบผ่านแก้มนวล ปิ่นไม้หนานมู่ห้อยพวงไข่มุกสั่นแว่วๆ ประหนึ่งกลองศึกในสมรภูมิอันห่างไกล หลงเยวี่ยตกอยู่ในห้วงภวังค์ยาวนาน ร่างกายราวกับหยุดอยู่บนผาที่สูงเสียจนหายใจไม่ออก ปลายนิ้วชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“ฝาหมากกล่องเดียวก็ทำเจ้าใจฝ่อถึงเพียงนี้แล้ว” หลิวเช่อคล้ายเป็นอสุรกายถือใบมีดเพชฌฆาตในสายตานาง “คนสกุลตวนมู่ล้วนกล้าหาญชาญชัยกลับเป็นเพียงคำเล่าลือ หมากตานี้คงไม่ต้องเดินแล้วกระมัง”
หลงเยวี่ยยิ้มบางๆ ริ้วความประหวั่นในจิตใจคลายออกอย่างเนิบช้า นางเกลียดการถูกดูแคลนเป็นที่สุด ฝ่าบาทช่างวาจาคมคายเราะร้ายยิ่งนัก! “ฝ่าบาททรงกลั่นแกล้งหม่อมฉัน หลงเยวี่ยใจฝ่อเสียที่ไหน” นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองปราดเห็นตลับหมากสลักนาม ‘ซงหนู’ อยู่ข้างพระหัตถ์ฝ่าบาท ไอน้ำแข็งในหัวใจยิ่งแผ่ขยายเป็นวงกว้าง นัยน์ตาของนางจับจ้องชื่อของเม็ดหมากคล้ายอ่อนหวานคล้ายสนใจ หากมีความอำมหิตบางอย่างแผ่กระจายไม่หยุด “เพียงแต่รู้สึกว่าวันนี้ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขันยิ่ง…”
ทั้งสองฝ่ายวางเรียงกองทัพของตนบนกระดาน
หลิวเช่อปรายตาคล้ายประเมินหญิงสาวตรงหน้า สตรีผู้นี้แสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าลุ่มหลงบูชาเขาราวกับเทพเจ้า เอ่ยอ้างบอกว่า ‘รักมั่น’ ทั้งที่มิเคยรับรู้ว่ามหาบุรุษที่พวกนางหลงใหลเป็นบุคคลเช่นไร ไม่อาจไม่รู้สึกขบขันแขนงหน่าย บัดนี้หลิวเช่อพลันรู้สึกว่าความลุ่มหลงของนางยิ่งฉาบฉวยเพียงเย้าหยอกให้มีโทสะ นางก็ไม่อาจตระกองกอดความ ‘รักมั่น’ ที่มีต่อตัวเขาไว้กลางใจ
วินาทีนั้น นัยน์ตาอันดำมืดของนางพลันคล้ายให้ความรู้สึกยากจะไขว่คว้า
การเดินหมากของหลงเยวี่ยแม้นจะบ้าระห่ำจนคล้ายคนเสียสติ ก็ยังแฝงไว้ด้วยการทิ่มแทงฉกฉวยประโยชน์จากช่องโหว่อย่างทันท่วงที หมากสำคัญตัวเดียวพลีชีพสังหารราบเป็นหน้ากอง ไม่รู้ควรเอ่ยว่า เยือกเย็นไร้น้ำใจ หรือไม่?
หลิวเช่อทอดตามองกระดานหมาก
“ยังไม่ถึงครึ่งกระดานเจ้าก็เดินหมากราชาแล้วหรือ?”
รอยยิ้มของนางแฝงความอ่อนหวานอย่างยิ่งยวด “พระองค์เคยบอกหม่อมฉัน ‘ถ้าราชาไม่เคลื่อนไหวราชบริพารก็ไม่ตามมา’ ”
“อ้อ—” คลับคล้ายมีอยู่ตาหนึ่งที่เขาเคยเอ่ยเช่นนั้น หลิวเช่อพลันรู้สึกกระเพื่อมไหวในใจ นางช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก
อาจเพราะหลงเยวี่ยแบกรับภาระทางใจ เมื่อในมือถือหมาก ‘ทัพสกุลตวนมู่’ นางก็ไม่อาจมองหมากกระดานตานี้เป็นเพียงการละเล่นผ่อนคลาย หลิวเช่อสามารถมองผ่านกระดานหมากทะลุไปถึงหัวใจที่กำลังวุ่นวายของหญิงตรงหน้า หากมิอาจออกความเห็นอย่างเป็นธรรมว่า…ในสนามรบผู้ที่ห้าวหาญไม่กลัวตายเป็นสิ่งที่ตึงมือยิ่ง เพราะพวกมันไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด
ทิศทางหมากที่คล้ายคลึงกับวิถีเดินของตน ทว่าคาดเดาได้ยากประหนึ่งม้าป่าพยศ ช่างชวนให้นึกขัน… เม็ดหมากฝ่ายของซงหนูถูกกองทัพสกุลตวนมู่กวาดล้อมกินเรียบ ขุนพลหมากบนกระดานถูกนิ้วเหยียดเรียวของนางหยิบออกไปตัวแล้วตัวเล่า ทัพเรือและทัพช้างถูกพิชิต นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของหลงเยวี่ยปรากฏแววสาแก่ใจ นางยกสายตามองราชันสุริยา รอยยิ้มพร่างพรายดั่งดวงดาราวาดผ่าน มองดูแล้วช่างเหมือนหญิงสาวบอบบางที่เติบโตท้าแสงตะวัน
…เป็นใบหน้าที่ทำให้คนตกตะลึงเสียจริง
“หม่อมฉันถือหมากพิฆาตแล้ว” นางเอ่ยอย่างยินดี ความปรีดาวาบผ่านดวงหน้างาม หลิวเช่อร้อง “อ้อ” หนึ่งคำ รอยยิ้มสง่างามแฝงความเย่อหยิ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม เอ่ยเสียงไม่ช้าไม่เร็ว “ยังเร็วไปที่จะจบกระดาน”
หลงเยวี่ยยิ้มค้างชะงักค้าง หางคิ้วกระตุกอย่างแผ่วเบา ชายหนุ่มสบตานางอย่างไม่ยี่หระ ราวกับการพ่ายแพ้ในหมากกระดานนี้เป็นเพียงมหรสพเล็กน้อย หาใช่การประชันที่ธำรงไว้ซึ่งเกียรติแห่งนักเลงหมาก หลิวเช่อเลื่อนตลับหมากกระดานที่ทำจากไม้พะยูงแดงมาไว้ที่ข้างมือ เม็ดหมากด้านในทำจากพะยูงแดงทั้งชิ้น ในวันที่อากาศร้อนแรงเช่นนี้สีแดงมองดูแล้วไม่สบายตายิ่งนัก
หลงเยวี่ยขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท…ทรงคิดจะเล่นโกงหรือเพคะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงระคนแง่งอน
“อย่างเจ้ากล้าตำหนิเราหรือ?” แม้น้ำเสียงจะห้วนและสีหน้าเย็นชากลับไร้โทสะ
หลงเยวี่ยลมหายใจสะดุด ดวงตาก้มลงต่ำอย่างนึกละอาย…เมื่อวานนางเพียงแต่หาทางแก้หมากตาจน กระทั่งเหนื่อยหน่ายจะรักษากฎของพวกวิญญูชน กลับถูกฝ่าบาทนำเรื่องนี้มายอกย้อนเสียได้ เสียงของนางแผ่วเบายิ่ง “หม่อมฉันมิกล้า…”
หลิวเช่อเคลื่อนหมากแดงลงสู่กระดานอย่างผ่าเผย “เจ้าทำให้เรานึกขึ้นได้…หมากกระดานล้าหลังเกินไป การศึกมิได้จบลงเพียงสิ้นราชา…”
หมากแดงไม่ทราบฝ่ายเคลื่อนกระบวนทัพบนกระดาน เนื่องจากมีพระหัตถ์ฝ่าบาทเป็นผู้ควบคุม ไม่ช้าก็กระจายทัพล้อมอยู่แนวหลังของหมากทัพสกุลตวนมู่
หลิวเช่อยกหมาก เสียง แป๊ก กึกก้องศาลา “และกระดานหมากใต้หล้ายังคงมีการสมรู้ร่วมคิดและทรยศหักหลัง”
เมื่อคำว่า “กระดานหมากใต้หล้า” ถูกสื่อออกมา แววตาที่ขุ่นมัวของหลงเยวี่ยก็เริ่มกระจ่าง กระบวนหมากฝ่าย “ทัพสกุลตวนมู่” ในยามนี้ถูกฝ่าบาทใช้ “หมากแดง” ผสานกับ “หมากซงหนู” โอบล้อมบีบรัดทั้งซ้ายขวา ไร้ทางรุกไร้ทางถอย ไม่นานวงล้อมก็ถูกบีบรัดเข้ามา การรับมือกับหมากซงหนูที่อ่อนแอเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อมีทัพหมากแดงที่กล้าหาญชาญชัยคอยโรมรันฉวยโอกาสสังหาร
อันความจริงการเล่นหมากสามฝ่ายเช่นนี้…เมื่อ ‘หนึ่ง’ ถูก ‘สอง’ รุมสังหารก็ยากที่จะชนะอยู่แล้ว
หลิวเช่อขยับมือหยิบ ‘หมากซื่อ’ ทิ้งลงฝาตลับหมาก กลับเป็นไต้กงกงที่มีสายตาว่องไว เขายกมือโบกไล่ข้าราชบริพารโดยรอบออกจากศาลา ในระยะสามจั้งมีเพียงเงาหลังไต้กงกงเฝ้าอยู่จากที่ไกลๆ หลิวเช่อเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สงคราม ณ ชายแดนระเบียงเหอซีในคราวนั้นไยมิใช่เช่นกัน”
ฝ่าบาทสะบัดชายพระภูษาลุกขึ้นทอดพระเนตรดอกบัวงามหลากสีที่เบ่งบานเหนือทะเลสาบอย่างเนิ่บช้า ดอกบัวสีขาวชูช่ออ่อนละมุนผละกลีบใบกระจายลงลำน้ำสีมรกต กลีบดอกก่อกลิ่นหอมกำจายทั่วผืนทะเลสาบ เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีดอกไม้อื่นๆ ปลูกแจมกลิ่นดอกบัวจึงบริสุทธิ์ยิ่ง เพียงแต่ใกล้สิ้นฤดูร้อนดอกบัวเริ่มโรยรา แม้นจะอวลกลิ่นหอมนุ่มนวลอย่างไรกลับยังใจให้เปล่าดายนัก
“แม่ทัพผู้อาวุโสแห่งสกุลตวนมู่มีฝีมือการรบเกรียงไกร แม้นจะออกรบอย่างกล้าหาญก็มิอาจระงับของพิพาทในยามนั้น เพราะมีมือที่มองไม่เห็นคอยก่อความวุ่นวาย ผู้ที่หลงเข้าใจว่าเป็นฝ่ายเดียวกันทรยศทำร้ายจนทิ้งร่างที่ชายแดน ระเบียงเหอซีสับสนวุ่นวายกลับไร้ผู้กล้าสามารถออกรบแทนเขาเพื่อสยบซงหนู จำต้องส่งองค์หญิงจากต้าฮั่นอภิเสกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพวกมัน หยุดยั้งสงครามและถ่วงดุลอำนาจ ช่างน่าขันนัก” ท้ายเสียงคล้ายเย้ยหยัน
ตัวหมากต่อหน้าหลงเยวี่ยล้มกระจัดกระจาย ทัพสกุลตวนมู่สิ้นจากกระดานแล้ว
หลงเยวี่ยยิ้มเย็นชา นัยน์ตามุ่งร้าย “เป็นผู้ใด…”
หลิวเช่อปรายเนตรชำเลืองมองนาง พบเพียงนัยน์ตาล้ำเสน่ห์คู่หนึ่งที่ฉาบทาบด้วยหมอกครึ้มบางเบา ทิวเมฆบดบังดวงตะวันทาบเงาดำลงสู่ศาลา พลันทำให้ความสงบเงียบเพริศแพร้วหมองหม่นลง ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงตะวัน…ทอดมองไปไกลจนคล้ายมีเป้าหมายเดียวกับนาง
หมากกระดานนี้ผู้ใดโศกาผู้ใดปรีดา
หลิวเช่อเอ่ยราวกับสัจธรรม “ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด”