รุ่งอรุณเวียนกลับมาอีกครา แสงทองแรกแห่งยามเช้าเล็ดลอดผ่านช่องหินผุพังของซากโบราณเก่าแก่ ทาบลงบนพื้นหินเย็นชืดเป็นประกายอ่อนจาง สายลมบางเฉียบพัดลอดผ่านช่องว่างของกองหินเก่า นำกลิ่นอายชื้นของดินและซากศิลาโบราณมาแตะจมูกอย่างแผ่วเบา กลิ่นนั้นเปรียบเสมือนเสียงสะท้อนจากอดีตกาลที่มิอาจเลือนหาย
คุณชายตงฟางยืนนิ่งมองไปยังทางเดินเบื้องหลังกองซากหินของผู้พิทักษ์ที่ถูกปราบลงเมื่อวาน เขาไม่พูดอะไร แต่ในดวงตามีความคิดมากมายวนอยู่ไม่หยุด
“มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงถามขณะย่างเท้าเข้ามาข้างเขา
“ข้าสัมผัสถึงพลังงานที่ปั่นป่วน... มันอยู่ใกล้กว่าครั้งก่อน ๆ ยิ่งนัก”
"ใกล้เพียงใดหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเลิกคิ้ว
เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบ
“ข้าคิดว่า... ผู้พิทักษ์หินตนนี้ย่อมมิได้ถูกสร้างขึ้นโดยไร้เหตุ หากแต่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องเฝ้ารักษาไว้... แสดงว่าข้างในนี้มีของสำคัญซ่อนอยู่เป็นแน่”
“หมายความว่า…” ซิ่วอิงหรี่ตาเบา ๆ อย่างใคร่ครวญ
“เรามาอยู่ ณ ใจกลางเขาหัวซานแล้วจริง ๆ” ตงฟางตอบ ดวงตายังคงมองตรงไปยังเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเงามืดของช่องเขา
“ถ้าเช่นนั้นเราเข้าไปสำรวจด้านในเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเดินนำระวังภัยให้เอง”
ซิ่วอิงเดินสาวเท้าออกนำไปก่อน ง้าวในมือถูกกำไว้แน่น นางกวาดสายตามองไปทั่วทุกมุมของทางเดินอย่างระแวดระวัง ฝ่าเท้าประคองร่างอย่างสมดุลราวนักรบผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วน (ทั้งที่ไม่เคยผ่านศึกใด)
ข้างหลังนาง คุณชายตงฟางเดินตามมาอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งลูบผ่านผนังหินเพื่อจับสัมผัสของพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ภายในโพรงเขาเก่าแก่ แววตาเขาฉายแววความเคร่งเครียด ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาราวกับจับต้องได้ถึงบางสิ่งที่กำลังคลายตัว… บางสิ่งที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา…
เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังก้องสะท้อนในอุโมงค์แคบสายหนึ่งซึ่งทอดยาวลึกเข้าไปในอ้อมอกของเขาหัวซาน เส้นทางเบื้องหน้าถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา แต่ยังคงมีร่องรอยของฝีมือมนุษย์จากยุคโบราณปรากฏอยู่
ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าผนังหินเรียบผืนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากบริเวณอื่นโดยสิ้นเชิง แผ่นหินขนาดมหึมานั้นตั้งตระหง่าน เงียบงันและมั่นคง หากแต่ทอแสงประกายแปลกประหลาดอยู่ภายใน เมื่อเพ่งพินิจดี ๆ จะพบว่าใจกลางของแผ่นหินนั้นมีรอยร้าวบาง ๆ แผ่กระจายเป็นใยแมงมุม ลำแสงสีครามแผ่วเบารั่วไหลลอดออกมาเป็นระยะ
คุณชายตงฟางยกมือแตะเบา ๆ ที่ผิวหิน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แฝงอยู่ใต้เปลือกผนึก ดวงตาเขาเหลือบมองเส้นอักขระที่เรืองแสงอยู่รอบผนึกนั้น ก่อนจะหลับตาลงเพียงครู่
“ไม่ผิดแน่…” เขากระซิบแผ่วราวพูดกับตนเอง “ผนึกนี้กำลังคลายตัว…”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
คุณชายตงฟางค่อย ๆ ลืมตามองตรงไปยังแผ่นหิน สีหน้าเขาสงบนิ่งหากแต่แววตากลับเคร่งเครียด
“พลังของภูเขานี้ไม่ได้นิ่งสงบอีกต่อไป มีบางอย่างรบกวนสมดุลของมัน…” เขาหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เป็นไปได้ว่าจุดหลอมรวมพลังปราณใต้เขาหัวซานกำลังสั่นคลอน และผนึกนี้คือสิ่งที่ค้ำจุนมันไว้”
ซิ่วอิงชะงัก ดวงตานางหันไปมองแผ่นหินอีกครั้งอย่างตื่นตัว
“หรือว่า…” คุณชายตงฟางพูดช้าลง “วิญญาณของภูเขาอาจกำลังพิโรธ อาจมีใครบางคนทำลายกฎเก่าบางประการ หรือใช้พลังในทางที่ผิด ความไม่สมดุลจึงขยายตัวออกเรื่อย ๆ และถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานจุดหลอมรวมนั้นอาจระเบิดได้จริง ๆ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น…เราต้องปิดผนึกนี้ให้กลับคืนสภาพเดิมใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงถามเสียงเคร่งเครียด
“ข้าจะลองใช้ปราณของข้าลองปิดผนึกมันกลับอีกครั้งดู”
คุณชายตงฟางจ้องแผ่นหินนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ สูดลมหายใจลึก แล้วรวบรวมพลังปราณภายใน ส่งกระแสปราณไปยังใจกลางของแผ่นหินนั้นอย่างระมัดระวัง กระแสพลังไหลเข้าไปแตะกับผนึกโบราณภายใน แต่ทันทีที่สัมผัสถึงกัน แสงแห่งอักขระกลับสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะผลักพลังนั้นกลับมาอย่างรุนแรงจนคุณชายตงฟางต้องถอยหลังหนึ่งก้าว
“คุณชาย! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงเอ่ยถามพร้อมเข้ามาพยุงอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไร” เขาส่ายหน้าเบา ๆ ขณะหายใจเข้าออกเพื่อปรับสมดุลพลังในกาย “ผนึกนี้ไม่รับพลังปราณโดยตรง”
เขาหันกลับไปจ้องลึกลงไปในลายอักขระบนแผ่นหิน แววตาเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ดูจากลักษณะผนึกแล้ว…” เขาพึมพำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด “นี่มิใช่เพียงผนึกพลังธรรมดา แต่น่าจะเป็นผนึกระดับสูงที่ใช้วิชาอาคมควบรวมกับพลังแห่งฟ้าและดิน”
เขาเดินวนรอบแผ่นหินช้า ๆ ปลายนิ้วแตะผ่านอักขระแต่ละเส้นราวกับพยายามอ่านใจมัน
“การจะปิดมันกลับไปอีกครั้ง คงไม่อาจใช้เพียงพลังปราณบริสุทธิ์ แต่จำต้องมีคาถาผนึกหรือพิธีกรรมบางอย่างประกอบร่วมด้วย”
ซิ่วอิงนิ่งไปชั่วครู่ นางรู้ดีว่าคุณชายตงฟางต้องเป็นนักปราชญ์ที่ไม่ธรรมดา จึงเอ่ยถามไปอย่างมีความหวัง
“คาถาผนึกหรือเจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นคุณชายพอจะรู้คาถาหรือไม่?”
คุณชายตงฟางไม่ได้ตอบในทันที เขาหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนสูดลมหายใจลึกราวกับพยายามทบทวนตำราทั้งหมดที่เคยผ่านตา
“ข้าเองก็ไม่ทราบคาถาผนึกนั้น” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แต่หากมีใครบางคนเป็นผู้สร้างผนึกนี้ขึ้น ย่อมต้องมีผู้บันทึกวิธีควบคุมมันไว้เช่นกัน บางที…คัมภีร์นั้นอาจยังหลงเหลืออยู่ ณ ที่แห่งนี้”
“หมายความว่า…” ซิ่วอิงเอ่ยแผ่วเบา สายตากวาดมองไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง “คัมภีร์นั้นอาจถูกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งภายในภูเขาแห่งนี้หรือเจ้าคะ?”
“ใช่” คุณชายตงฟางพยักหน้าช้า ๆ “หากที่นี่เป็นจุดหลอมรวมพลังงานหลักของเขาหัวซาน และเป็นศูนย์กลางของผนึก คัมภีร์หรือวัตถุบูชาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุล ก็ต้องถูกเก็บไว้ใกล้ ๆ ไม่ห่างจากที่นี่นัก”
เขาก้มลงใช้ปลายนิ้วลูบไปตามเส้นอักขระบนพื้นซึ่งทอดยาวจากแผ่นผนึกเข้าสู่เบื้องลึกของโพรงหิน
“อาจมีห้องลับหรือวิหารโบราณที่ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา เราจำเป็นต้องหามันให้พบ ก่อนที่สมดุลทั้งหมดจะพังทลายลง”
คุณชายตงฟางเดินช้า ๆ ไปทางผนังหินใกล้เคียง พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับพื้นผนังหินอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังอ่านสัญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่องรอยของหินผุกร่อน ซิ่วอิงถือคบไฟเดินมาข้าง ๆ แสงสลัวส่องสะท้อนผนังเผยให้เห็นลวดลายประหลาดที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
“ดูนี่สิเจ้าคะ...” ซิ่วอิงชะงัก แล้วชี้ไปยังผนังด้านหนึ่ง “เหมือนจะมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่างซ่อนอยู่”
คุณชายตงฟางหรี่ตาเพ่งตามแสงไฟ เมื่อเพ่งพินิจดี ๆ ก็พบว่าเป็นลายเส้นวงกลมซ้อนทับกันเจ็ดชั้น แต่ละชั้นเต็มไปด้วยอักขระโบราณที่มิอาจอ่านได้ทันที
“นี่มัน…” เขาขยับนิ้วเข้าไปใกล้ นิ้วของเขาแตะเบา ๆ บริเวณใจกลางของสัญลักษณ์นั้น
ทันใดนั้นผนังหินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงกลไกเก่าดังก้องอยู่ภายในผืนหิน ก่อนพื้นผนังจะเปิดเผยช่องเล็ก ๆ ขนาดประมาณหีบหนึ่งฝ่ามือ ภายในช่องนั้นมีหีบไม้ดำสนิทวางนิ่งอยู่ ฝุ่นหนาปกคลุมจนเกือบกลืนไปกับหินโดยรอบ
เขาเอื้อมมือหยิบหีบนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลไกโบราณยังคงสมบูรณ์ นั่นแสดงว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องมันมานานนับร้อยปี เขาเปิดฝากล่องออกอย่างช้า ๆ และภายในนั้นคือม้วนตำราเก่าแก่ถูกห่อด้วยผ้าไหมที่แทบกลายเป็นสีดำจากกาลเวลา
“นะ…นี่มัน… คัมภีร์?”
คุณชายตงฟางคลี่คัมภีร์ออกเต็มแผ่น แสงคบไฟสะท้อนกับอักขระโบราณที่เขียนด้วยหมึกสีดำเข้มบนผ้าไหมสีทองที่สีคล้ำจนเกือบดำ เขาขมวดคิ้วไล่สายตาอ่านอักขระโบราณนั้นที่แม้แต่ซิ่วอิงเองก็ไม่เข้าใจเลยสักคิดว่ามันเขียนว่าอะไร
“คัมภีร์นี้กล่าวถึงพิธีกรรมโบราณที่ใช้ประสานพลังธาตุทั้งห้าให้กลับคืนสู่สมดุล ต้องทำ ณ จุดหลอมรวมพลังปราณ และต้องประกอบพิธีให้จบโดยไม่หยุดชะงักแม้ชั่วลมหายใจ”
“ต้องไม่หยุดเลยหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเอ่ยถาม
“ใช่” เขาพยักหน้า “หากพิธีถูกขัดจังหวะ ผนึกจะพังทลายและจุดหลอมรวมจะระเบิดออกทันที พลังนั้นอาจล้างทั้งยอดเขาให้เป็นเพียงฝุ่นธุลี”
เขาหยุดเว้นวรรค ก่อนมองสบตาซิ่วอิงอย่างแน่วแน่
“ข้าจะเป็นคนประกอบพิธีเอง ส่วนแม่นางหรง… ข้าขอฝากหลังไว้กับเจ้า”
ซิ่วอิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อสบตาคุณชายแล้วพบว่าสีหน้าของเขามีความไว้เนื้อเชื่อใจนางมากเพัยงใด นางจึงพยักหน้าเงียบ ๆ สายตาแน่วแน่
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดเข้าใกล้ท่านได้แม้เพียงคืบ”
ใต้แสงสลัวของคบเพลิงและลำแสงที่ไหลซึมออกจากรอยร้าวบนแท่นหินผนึก ทั้งสองร่วมกันจัดเตรียมพิธีกรรม คุณชายตงฟางอ่านอักขระโบราณจากคัมภีร์ด้วยสายตาแน่วแน่ ในขณะที่ซิ่วอิงจัดวางอักขระยันต์ลงตามจุดเชื่อมปราณรอบผนึกตามคำแนะนำของเขา
“จุดธาตุทั้งห้าต้องเชื่อมต่อกันเป็นวงครอบใจกลางผนึก เมื่อพลังเคลื่อนไหวสมดุลพิธีจะเริ่มได้” คุณชายตงฟางกล่าว ขณะใช้พู่กันจุ่มหมึกวาดวงอักขระสุดท้ายลงบนพื้นหินตรงใจกลาง
“เจ้าวางยันต์ไว้ด้านทิศใต้ ส่วนข้าจะเปิดพลังนำเข้าทางเหนือ”
ซิ่วอิงพยักหน้ารับและปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล เมื่อจุดพลังทุกจุดถูกวางจนครบ คุณชายตงฟางจึงลุกขึ้นช้า ๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ซิ่วอิง
“จากนี้ไปข้าจะเริ่มพิธีและจะหยุดไม่ได้จนกว่าจะเสร็จสิ้น”
ซิ่วอิงถือง้าวขึ้นอย่างมั่นคง สองเท้ายืนตรึงแน่นบนพื้น ดวงตาเรียบนิ่ง
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะปกป้องพิธีนี้เอง!”
คุณชายตงฟางหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเปล่งเสียงภาษาบรรพกาลออกมา เสียงบทสวดเริ่มต้นอย่างช้า ๆ ทว่าทรงพลังยิ่ง ราวกับเรียกขานบางสิ่งจากห้วงลึกของผืนดิน เส้นอักขระเริ่มเรืองแสงขึ้นทีละเส้นดุจพลังของโลกกำลังถูกปลุกให้ตื่น
และในวินาทีนั้นเอง พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แสงจากใจกลางผนึกกระพริบวาบแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงหม่น เสียงแหลมดังกรีดอากาศ แล้วร่างอันบิดเบี้ยวของมนุษย์มารตนหนึ่งก็ทะลุผ่านเงามืดออกมา จากหนึ่งกลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นห้า ร่างทั้งห้าแผ่กลิ่นอายมืดดำ แววตาเรืองแสงสีเลือดสะท้อนจิตสังหาร
คุณชายตงฟางไม่มีท่าทีไหวติง เขายังคงดำเนินพิธีต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าเชื่อในฝีมือของซิ่วอิงว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ภายนอกได้
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”
ซิ่วอิงยกง้าวขึ้นกระโจนออกไปยืนขวางเบื้องหน้า มนุษย์มารตนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วผิดมนุษย์ นางหมุนตัวแล้วตวัดง้าวอย่างเฉียบคมทำลายร่างของมัน แรงปะทะสะท้อนกลับมาจนปลายผมสะบัด แต่ซิ่วอิงยังคงยืนมั่นไม่ถอยหนี
มนุษย์มารอีกตนพุ่งโจมตีเข้ามาจากด้านข้าง นางพลิกตัวเบี่ยงหลบอย่างชำนาญ ก่อนเหวี่ยงง้าวเข้าใส่ร่างมารอย่างแม่นยำ จนร่างนั้นสลาย
เสียงคำรามของมนุษย์มารสลับกับเสียงบทสวดของคุณชายตงฟางกึกก้องอยู่ทั่วโถงพิธี พลังของพิธีเริ่มเคลื่อนไหวแรงขึ้น แผ่นดินสั่นถี่ขึ้นทุกขณะ
มนุษย์มารตนที่สามพุ่งเข้าหาพิธีตรงกลางพร้อมเสียงคำรามต่ำ ซิ่วอิงเปลี่ยนท่าจากรับเป็นรุก สะบัดปลายง้าวกวาดเป็นเส้นโค้งขึ้นจากพื้นตัดผ่านร่างของมันในพริบตา ร่างมารนั้นหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะค่อย ๆ แตกสลายเป็นผุยผงกลางอากาศ
เสียงบทสวดจากคุณชายตงฟางยังคงก้องกังวานรอบโถงพิธี พลังจากเส้นอักขระเรืองแสงเข้มขึ้นทุกขณะ มนุษย์มารสองตนที่เข้าหาซิ่วอิงพร้อมกัน สองมือแผ่พลังมารสีดำคล้ำออกเป็นระลอกคลื่นรุนแรง เสียงของมันแหลมต่ำ
ซิ่วอิงรู้ทันทีว่าถ้าหากให้มันเข้าใกล้วงพิธีแม้เพียงครึ่งก้าว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดจะพังทลาย นางขบฟันแน่นพุ่งตัวออกไปกระแทกแรงด้วยด้านทู่ของง้าวเข้าที่ลำตัวของมารตนหนึ่ง มันลอยกระเด็นกระแทกผนังหินจนแตกเป็นรอยร้าว เสียงแตกดังลั่นไปทั่วโถง
แต่ยังไม่ทันที่นางจะตั้งหลักได้ดี พลังมารจากอีกตนก็สาดเข้าใส่จากทางด้านข้าง ดั่งคลื่นลมมืดซัดเข้ากลางอก
ตึง!
ร่างของซิ่วอิงกระเด็นถอยไปสองก้าว กระอักเลือดเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่ยอมล้มลง มือยังคงกระชับง้าวมั่น
“แค่นี้เองหรือ?” นางแสยะยิ้ม
มารเงาตนที่สองไม่ยอมปล่อยโอกาสไปง่าย มันพุ่งตามเข้ามาอีกครั้ง ปล่อยกรงเล็บอาบพลังมารแหวกอากาศหวังเจาะลำคอของนาง ซิ่วอิงเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด ง้าวในมือนางหมุนกลับอย่างแม่นยำ ก่อนฟาดลงเฉียง ๆ เข้ากลางสีข้าง ราวกับตัดผ่านพลังมารด้วยแรงกล้าจากจิตวิญญาณนักรบ เสียงหวีดร้องดังลั่น ร่างมารสะบัดแรงครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ สลายไปในหมอกดำ
ยังเหลือมนุษย์มารอีกตนที่บาดเจ็บแต่ยังไม่สิ้นใจ มันคำรามโกรธเกรี้ยว พลังมารพวยพุ่งออกจากฝ่ามือเป็นเกล็ดมืดราวกับเข็มพิษ พุ่งเข้าใส่เป็นชุด ซิ่วอิงหมุนตัวใช้ง้าวกวาดปัดการโจมตีอย่างแม่นยำ แม้จะถูกเฉียดที่แขนจนเลือดไหลซึม แต่นางไม่ยั้งมือ โถมเข้าใส่ศัตรูด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่
“ตายซะ!”
ง้าวฟาดตัดเฉียงจากไหล่ถึงสะเอวอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังกรอบแกรบ มารตนนั้นทรุดลง พร้อมกับแสงดำที่หลุดลอยจากร่างของมันอย่างช้า ๆ
ความเงียบกลับมาเยือนในพื้นที่อีกครั้ง ซิ่วอิงทรุดตัวลงนั่งค้ำง้าวไว้กับพื้น นางหอบหายใจถี่ เหงื่อไหลอาบแก้มปะปนเลือดแต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ตรงกลางวงพิธีคุณชายตงฟางยังคงไม่ไหวติงต่อสิ่งใด น้ำเสียงมั่นคงของเขาเอ่ยเป็นถ้อยคำสุดท้ายในบทพิธี พลังปราณบริสุทธิ์จากร่างของเขาค่อย ๆ ไหลหลอมรวมเข้าสู่รอยผนึกที่กลางหิน ผสานเข้ากับพลังของอักขระโบราณ
ทันใดนั้น แสงสีฟ้าเย็นจากอักขระโอบล้อมผนึกไว้โดยสมบูรณ์ รอยร้าวค่อย ๆ ปิดสนิท แผ่นหินกลับคืนสภาพมั่นคงดั่งเดิม ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน เสียงสวดจางหายไปพร้อมกับลมเย็นสายหนึ่งที่พัดผ่านโถง
คุณชายตงฟางลืมตาขึ้น มองแผ่นหินตรงหน้า แล้วยิ้มน้อย ๆ
“สำเร็จแล้ว”
แสงอักขระสุดท้ายค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนใต้พื้นดินที่สงบลง คุณชายตงฟางเดินตรงเข้ามาหาซิ่วอิง ผู้ยังคงนั่งพิงง้าวอย่างเหน็ดเหนื่อย เลือดที่ไหลจากบาดแผลบนแขนและไหล่ซึมเข้ากับเนื้อผ้า แต่ใบหน้าของนางกลับมีแต่รอยยิ้มที่สามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้น
“แม่นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่เป็นไรมากหรอกเจ้าค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่ยอมแสดงออกมากนัก
“มานี่ ข้าขอดูแผลหน่อย” เสียงของคุณชายตงฟางฟังดูนุ่มนวลแต่จริงจัง
คุณชายตงฟางย่อตัวลงข้าง ๆ ซิ่วอิง ก่อนจะวางฝ่ามือเบา ๆ เหนือบาดแผลไม่แตะต้องโดยตรง แต่ส่งปราณอ่อน ๆ ผ่านฝ่ามือ กระแสพลังปราณอุ่นไหลซึมเข้าสู่ร่างของซิ่วอิงช้า ๆ
“บาดแผลของแม่นางมิได้ลึกมาก ข้าแค่ช่วยห้ามเลือดให้แผลสมานได้เร็วขึ้น ที่เหลือก็คือพักผ่อนรักษาตัวให้ดี”
คุณชายตงฟางถอนมือกลับ แล้วนั่งลงข้าง ๆ นาง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังผนึกเบื้องหน้าซึ่งบัดนี้สงบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ซิ่วอิงขยับตัวเล็กน้อยมองรอยแผลที่บนแขนตนเองที่เลือดหยุดลงแล้ว ก่อนจะปรายตามองคุณชายตงฟางซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง
“ขอบคุณนะเจ้าคะ ที่ช่วยข้าอีกแล้ว”
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ พิธีนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีแม่นางคอยช่วยเหลือ” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
ซิ่วอิงส่ายหน้าช้า ๆ
“ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ข้าพอจะทำได้เท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่มีสิ่งใดน่ายกย่อง”
“ในช่วงพิธี ข้าได้ยินเสียงคำรามของพวกมัน ได้กลิ่นเลือดในอากาศ แต่ข้ากลับไม่แม้แต่จะหันไปมองเพราะข้าไว้ใจแม่นาง”
ถ้อยคำที่แม้จะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยน้ำหนักจนหัวใจของซิ่วอิงสะท้าน นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวคำเดิมซ้ำอีกครั้ง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณอีกแล้วหรือ?” ตงฟางเอ่ยแซวเบา ๆ พลางยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก
“คราวนี้ไม่ได้ขอบคุณในฐานะผู้มีพระคุณ แต่ขอบคุณที่ไว้ใจเจ้าค่ะ ข้าเองที่สามารถยืนหยัดสู้มาได้จนสำเร็จเพราะข้าเองก็ไว้ใจคุณชายเช่นกันว่าท่านต้องทำสำเร็จ”
แววตาของคุณชายตงฟางอ่อนลงทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น
“ดูเหมือนพวกเราจะเชื่อใจกันและกันมากกว่าที่ข้าคิดไว้นะ”
“นั่นสิเจ้าคะ” ซิ่วอิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้นคุณชายตงฟางก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาควักบางสิ่งออกจากชายแขนเสื้อ เป็นหินสลักผิวของมันมีลวดลายอักขระโบราณบางเบา คล้ายพลังเร้นลับยังคงแฝงอยู่ภายใน จากนั้นก็ยื่นมันให้นาง
“อะไรหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงรับมาอย่างแปลกใจ
“ข้าได้มาตอนทำพิธีเจ้าเก็บไว้ก็แล้วกัน เป็นที่ระลึกสำหรับเหตุการณ์วันนี้”
ซิ่วอิงนิ่งมองหินในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม
“แล้วเช่นนั้นคุณชายล่ะเจ้าคะ?”
คุณชายตงฟางยิ้มบาง แล้วยกหินสลักอีกชิ้นขึ้นมา
“ข้าก็มีเช่นกัน”
“เช่นนั้น พวกเราก็มีกันคนละอัน เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพสินะเจ้าคะ”
คุณชายตงฟางพยักหน้าเบา ๆ
“ต่อไปนี้เจ้าคงปฏิเสธการเป็นสหายข้าไม่ได้แล้วกระมัง?”
ซิ่วอิงมองเขานิ่ง ก่อนจะยิ้มแทนคำตอบรับ ความสัมพันธ์ที่เคยคลุมเครือค่อย ๆ เปลี่ยนแปรเป็นสายใยแห่งมิตรภาพที่มั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ทั้งคู่เห็นถึงความสำคัญของอีกฝ่าย แม้จะต่างคน ต่างที่มา แต่เมื่อได้ร่วมมือกันพวกเขาก็เป็นคู่หูที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และบัดนี้ทั้งคู่ก็ได้เป็นสหายกันแล้วอย่างแท้จริง…