[บันทึกการเดินทาง] : ความวุ่นวายที่ใจกลางหัวซาน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-21 01:15















แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 1958 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2025-5-16 01:51
โพสต์ 2025-5-17 00:49:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:32






วันที่ 15 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11

เมื่อแสงตะวันคล้อยต่ำลงจนเงาของยอดไม้ทอดยาวราวจะกลืนกลบลานกระบี่เหินมรรคา กลิ่นจาง ๆ ของสุราหอมยังลอยอบอวลอยู่ในสายลมเย็นยามย่ำสนธยา หลังการร่ำสุราเฉลิมฉลองมิตรภาพจบลงอย่างชื่นมื่น ซิ่วอิงจึงลุกขึ้นพลางค้อมกายเล็กน้อย

“เวลานี้ก็เย็นย่ำแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับค่ายพยัคฆ์แล้วเจ้าค่ะ”

นางยกง้าวของตนเองสะพายหลัง เตรียมหันกายออกจากลานกระบี่ ทว่าทันใดนั้นเอง…

ครืดดด…

เสียงสั่นสะเทือนอันเบาบางแต่หนักแน่นแล่นขึ้นมาจากพื้นดินใต้ฝ่าเท้า ก้อนกรวดเล็ก ๆ กระเพื่อมขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ลมที่เคยพัดเอื่อยกลับสะบัดแรงเพียงพริบตา ใบสนสูงสั่นไหวราวกับบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวจากใต้พิภพ และหยุดลงอย่างรวดเร็ว

ซิ่วอิงชะงักก้าวทันที พลันหันกลับไปมองยังคุณชายตงฟางซึ่งในยามนั้นยืนสงบเงียบ ทว่าสีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คิ้วเรียวขมวดแน่น แววตาเคยสงบเยือกเย็นกลับขุ่นมัวคล้ายมีม่านหมอกหมุนวนอยู่ภายใน

“มีอะไรหรือเจ้าคะ?”

"พลังปราณของข้าสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนบางอย่าง… คล้ายมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่ใจกลางภูเขาหัวซาน" คุณชายตงฟางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความกังวล

"อันตรายหรือเจ้าคะ? หรือว่ามีศัตรูแฝงตัวเข้ามา?"

คุณชายตงฟางส่ายหน้าช้า ๆ

คุณชายตงฟางส่ายหน้าช้าๆ "มิใช่ศัตรูที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อนัก... มันเป็นความผิดปกติของพลังแห่งภูเขาเอง คล้ายมีบางสิ่งกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น... หากปล่อยไว้ อาจส่งผลร้ายแรงต่อความสงบของหัวซานและผู้คนโดยรอบ"

เขาหันมาสบตาซิ่วอิง ดวงตาคมลึกฉายแววแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความไว้วางใจ

"แม่นางหรง... ข้าเกรงว่าการเข้าไปตรวจสอบเพียงลำพังอาจเป็นอันตรายยิ่งนัก ด้วยพื้นเพของเจ้าที่เป็นทหาร มีความชำนาญในการเดินทางในป่าเขา และแข็งแกร่งทางร่างกาย... เจ้าพอจะร่วมทางไปกับข้าได้หรือไม่?"

โอ้โห! บุรุษมาชวนเช่นนี้…

สำหรับซิ่วอิง ผู้ซึ่งเพิ่งจะได้เป็นสหายกับคุณชายตงฟางผู้มีพระคุณผู้นี้ คำขอความช่วยเหลือนี้เปรียบเสมือนคำมั่นแห่งมิตรภาพอันแท้จริง นางไม่ลังเลแม้ชั่วครู่และพยักหน้ารับอย่างเด็ดเดี่ยว

"แน่นอนเจ้าค่ะคุณชาย! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด หากข้าพอจะช่วยได้ ข้ายินดีเสมอเจ้าค่ะ!"

การเดินทางมายังเขาหัวซานนั้น สำหรับซิ่วอิงมิใช่เรื่องแปลกใหม่แต่ประการใด นางเคยย่างกรายผ่านป่าเขาแห่งนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน(เพื่อมาหาคุณชายตงฟางนั่นแล) ตั้งแต่เส้นทางแถบตะวันออกไปจนถึงช่องเขาตะวันตกล้วนอยู่ในความทรงจำของนางอย่างชัดเจน หากแต่เส้นทางที่คุณชายตงฟางกล่าวถึงในยามนี้ เส้นทางที่มุ่งตรงสู่ใจกลางของหัวซาน หาใช่เส้นทางธรรมดาไม่

แม้ซิ่วอิงจะเป็นทหารผู้ได้รับการฝึกฝนให้ช่ำชองในการบุกป่าฝ่าดง และคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่นางก็ย่อมทราบดีว่าเส้นทางภายในของหัวซานนั้นซับซ้อนและลี้ลับยิ่งนัก ที่นั่นเต็มไปด้วยหน้าผาสูงชันที่ทอดตัวเหมือนกำแพงฟ้า ถ้ำลึกลับที่ลึกจนไม่รู้จุดสิ้นสุด และบางพื้นที่ยังถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาแน่นตลอดทั้งวัน ทั้งหนาวชื้นและบดบังทัศนวิสัย แม้เพียงก้าวพลาดหนึ่งคร้งอาจหลงวนอยู่ในหุบเหวแห่งภาพลวงตาไปทั้งวันทั้งคืนก็เป็นได้

สายลมเย็นยามสนธยาเริ่มพัดแผ่วผ่านยอดไม้สูง เสียงใบสนเสียดสีกันเบา ๆ พลางโอบล้อมลานหินกลางเขาด้วยความเงียบสงัดที่ไม่ธรรมดา ซิ่วอิงชำเลืองมองไปยังทิศทางเบื้องหน้าซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เส้นทางลึกภายใน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย

“งั้นก็…” นางเว้นคำไว้เพียงเท่านั้น

คุณชายตงฟางเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าแฝงความสงสัย

“เรียกมาได้เลยเจ้าค่ะ?” ซิ่วอิงหันไปยิ้มบาง ๆ

“เรียกอะไรหรือ?” คุณชายเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจนักหรืออาจจะเข้าใจแต่แกล้งถาม

“กระเรียนขาวไงเจ้าคะ ที่คุณชายขี่มาเมื่อครานั้น”

“เรียกทำไม?”

“ก็พวกเราจะไปใจกลาง…”

คุณชายตงฟางหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะของเขานุ่มนวลและแฝงความสุภาพ

“เราจะไม่ใช้กระเรียน”

“มะ…ไม่ใช้หรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเลิกคิ้วด้วยความตกใจ เสียงสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิด

“หากคิดจะใช้ก็คงไม่ชวนแม่นางไปด้วยกัน ข้าคิดว่าควรสำรวจความผิดปกติตามเส้นทางไปด้วย แม่นางไม่ต้องกังวลข้าจะใช้ปราณช่วยสัมผัสทิศทางของพลังงานนั้น ข้าเชื่อว่าเราทำได้…”

เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน

“และข้า…ก็เชื่อใจเจ้า”

เพียงคำกล่าวสั้น ๆ ประโยคนั้น กลับแทรกลึกเข้าไปในห้วงจิตของซิ่วอิงยิ่งกว่าคำชมใด นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่คุณชายตงฟางมีให้ ไม่ใช่เพียงในฐานะสหาย แต่ในฐานะผู้เห็นคุณค่าของนางอย่างแท้จริง ซิ่วอิงยืดตัวตรงขึ้น แววตาแน่วแน่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตใจพร้อมเผชิญหน้ากับอุปสรรค ต่อให้เส้นทางเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยหมอกลวง ภูผาสูงชัน หรือภัยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเงามืด นางก็จะไม่ถอย!

“ได้เจ้าค่ะ เรามาเริ่มเดินทางกันเลยมุ่งสู่ใจกลางเขาหัวซาน” 

เส้นทางที่ทอดลึกสู่ใจกลางของเขาหัวซานหาใช่ทางเดินธรรมดา หากแต่คือช่องเขาแคบ ๆ ที่คดเคี้ยว สลับซับซ้อน ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงตระหง่าน ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเถาวัลย์และพืชพันธุ์แปลกตาที่ไม่ค่อยพบเห็นตามทางขึ้นเขาทั่วไป แสงแดดที่เคยลอดผ่านยอดไม้ก็เริ่มเลือนรางลงทีละน้อย เหลือเพียงแสงเรืองรองจากอาทิตย์ยามเย็นที่ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า

ทั้งสองเคลื่อนไปอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเงียบงันที่มีเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาและเสียงลมพัดลอดร่องผา ซิ่วอิงเดินอยู่ด้านหน้า พยายามใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาในกองทัพ ประกอบเข้ากับความรู้เรื่องภูมิประเทศ เพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด นางก้าวอย่างมั่นคง หูตาไวราวอสรพิษ หลีกเลี่ยงพื้นหินที่ลื่นไถลหรือทางที่อาจพังทลายได้ง่าย

ข้างหลังของนางมีคุณชายตงฟางเดินติดตามไปไม่ห่าง เขามิได้ใช้ตาเนื้อเพียงอย่างเดียว หากแต่แผ่กระแสพลังปราณออกไปเบื้องหน้า คล้ายมีเข็มทิศไร้รูปร่างชี้นำทิศทางสู่พลังงานแปลกประหลาดที่ยังคงรบกวนฟ้าดินอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา การเดินทางเป็นไปอย่างเงียบงันและต่อเนื่องจนครบชั่วยาม แสงสุดท้ายของวันก็เริ่มเลือนหายเหลือเพียงแสงสีครามจาง ๆ

ขณะนั้นเอง...หูของซิ่วอิงก็พลันได้ยินเสียงเบา ๆ เป็นเสียงเสียดสีของหินกับเล็บ เสียงฝีเท้าที่แม้จะพยายามซ่อนตัวอย่างแนบเนียนแต่ก็ยังไม่อาจหลบพ้นจากประสาทสัมผัสของนักรบสาวได้ ฝีเท้าของนางหยุดกึกในทันที ข้อมือที่จับด้ามง้าวพลันแน่นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเงยขึ้นมองซอกผารอบด้าน ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับเปล่งเสียงเตือนอย่างเร่งด่วน

“คุณชายระวังมีปีศาจ!”

เสียงยังไม่ทันจางหาย คุณชายตงฟางก็กระชับพัดไม้ในมือพร้อมเอี้ยวตัวหลบไปทางซ้ายอย่างว่องไว ท่าทางของเขาเบาและพริ้วคล้ายจะล่องลอยไปกับสายลม ดูหลบง่ายดายเสียเหลือเกิน

ฟึ่บ!

บางสิ่งพุ่งแหวกอากาศมาตรงที่เขายืนเมื่อครู่ ทว่า... สิ่งที่โดนเข้าเต็มเปาคือ…

โป้ก!!!

เสียงทึบหนักดังขึ้น ซิ่วอิงถึงกับเซไปหนึ่งก้าว มือซ้ายยกขึ้นมากุมหน้าผากทันที ความเจ็บแล่นปราดขึ้นกลางคิ้ว น้ำตานางซึมเล็กน้อยจากแรงกระแทก นางพยายามลืมตาทั้งที่ยังมึนงง ก่อนจะเห็นบางสิ่งกลิ้งลงบนพื้นดินเบื้องหน้า...

“ผล...ท้อ?” ซิ่วอิงกระพริบตาถี่ ก่อนจะหันขวับไปยังต้นทางที่มันถูกขว้างมา

เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังมาจากกิ่งไม้เบื้องบน ใบไม้สั่นไหวก่อนร่างของปีศาจวานร สองตนจะโผล่ออกมาท่ามกลางเงาไม้ ผิวหนังของมันปกคลุมด้วยขนสีเทาดำ ดวงตาเรืองแสงสีเหลืองเจิดจ้า

“ปีศาจวานร!” 

เมื่อเจ้าปีศาจทั้งสองรู้ว่าเหยื่อของมันรู้ตัวแล้ว มันไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียวเสียงคำรามต่ำคำรามแหลม ดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งสองตัวกระโจนลงมาจากกิ่งไม้สูงพุ่งเข้าใส่ซิ่วอิงด้วยความป่าเถื่อนและดุดัน ร่างมันแยกออกโจมตีจากสองทิศ หนึ่งตัวเข้าทางซ้าย อีกหนึ่งตัววกหลังมาทางขวา เป็นการโจมตีจากมุมตัดที่ไม่มีเวลาให้ลังเลแม้แต่น้อย

ซิ่วอิงคว้าง้าวยาวออกจากด้านหลังอย่างแม่นยำ ร่างของนางหมุนเล็กน้อย เท้าขวาทิ้งน้ำหนักยกปลายง้าวขึ้นรับศึก เสียงโลหะเสียดอากาศหวีดหวิวพร้อมการเคลื่อนไหวอันทรงพลัง

วานรตัวแรกกระโจนเข้ามา กรงเล็บของมันฟาดเฉียดคางนางไปเพียงปลายนิ้ว ซิ่วอิงหมุนง้าวจากล่างขึ้นบน ปลายใบง้าวฟาดแนวเฉียงทะยานขึ้นปัดกรงเล็บมันออกไปกลางอากาศ ก่อนจะหมุนกายอีกครึ่งรอบ ง้าวกวาดลงใส่พื้นหวังจะบังคับทิศการเคลื่อนไหวของอีกตัว

“แม่นางหรง อย่าเสียแรงสู้พร้อมกัน!”

เสียงของคุณชายตงฟางดังขึ้นเบื้องหลัง เขายืนพิงต้นไม้มือถือพัดไม้สะบัดเบา ๆ สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของการต่อสู้เบื้องหน้า

“แยกมันออกก่อน แล้วจัดการทีละตัว” เขาว่าต่อพลางก้าวหลบก้อนดินที่ถูกวานรเตะกระเด็นมาพอดิบพอดี เขาหลบโดยไม่มองด้วยซ้ำ เพียงเอียงตัวเล็กน้อยร่างก็พ้นจากวิถีอย่างงดงามราวกับนักระบำ

"หึ!" เขายิ้มเล็กน้อย เหมือนกำลังดูอะไรสนุก ๆ อยู่

ซิ่วอิงตวัดง้าวรอบตัวท่วงท่าอ่อนช้อยแต่ทรงพลัง ง้าวปะทะกับกรงเล็บดังกึง! แรงปะทะสะเทือนถึงไหล่ นางเบี่ยงกายแล้วพุ่งต่ำ ง้าวลากผ่านพื้นดินก่อนจะดีดขึ้นเข้าที่สีข้างของปีศาจวานรตัวซ้าย มันเซถอยกรูดไป วานรอีกตัวไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่นางแทนอย่างดุดัน

แต่แล้วสายตาเจ้าปีศาจวานรก็หันไปเห็น คุณชายตงฟางที่ยืนอยู่ลำพังห่างออกไปไม่ไกล มันคำราม แล้วเปลี่ยนเป้าหมายในทันใด แล้วพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มแทนราวกับจับไต๋ได้ว่าเจ้านี่มันไม่ลงมือเองนี่หว่า!

“เฮ้อ...” คุณชายตงฟางเพียงถอนหายใจเบา ๆ

พริบตาเดียวร่างวานรก็ถึงตัวเขาแล้ว กรงเล็บแหลมของมันจ่อใกล้หน้าอกของคุณชายตงฟาง แต่ทันใดนั้น...คุณชายตงฟางก็ก้าวเท้าข้างเดียวไปด้านหลัง ร่างเขาเอียงหลบออกจากวิถีการพุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำ คล้ายกับว่าเขาแค่ถอยหนึ่งก้าวอย่างเกียจคร้านเท่านั้น กรงเล็บอันคบกริบเฉียดหน้าอกเขาไปเพียงปลายผ้า ชายเสื้อปลิววาบแต่ไม่ทันจะขาด

“น่าเสียดาย” เขาว่าเบา ๆ พร้อมสะบัดพัดขึ้นปัดเศษใบไม้เข้าตาวานร

มันคำรามลั่น โกรธจัดที่จับใครไม่ได้เลย จึงวกกลับไปของตาย นั่นคือหาซิ่วอิงแทนเหมือนเห็นนางเป็นสนามอารมณ์ แต่หารู้ไม่ว่ามันพลาดแล้วที่ตัดสินใจเช่นนั้น 

ซิ่วอิงซึ่งเตรียมตัวรอไว้แล้ว สะบัดง้าวปลายใบมีดโค้งแหวกอากาศ ฟาดลงกลางหลังมันอย่างเต็มแรง

ฉัวะ!!!

เสียงกระดูกแหลกดังสะท้อนกลางหุบผา ปีศาจวานรล้มลงทั้งร่างทรุดกองกับพื้น มันดิ้นกระตุกก่อนจะแน่นิ่งไป อีกตัวเมื่อเห็นดังนั้นก็พยายามหนีแต่นางไม่ให้โอกาสนั้นแก่มันแม้แต่น้อย ซิ่วอิงหมุนตัวครั้งสุดท้ายฟาดง้าวเป็นรอบวงกว้าง ปีศาจวานรตนนั้นพยายามต้านแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว มันถูกปลายง้าวเฉาะเข้ากลางอกร่างกระเด็นชนต้นไม้อย่างแรงจนแน่นิ่งไป

ซิ่วอิงยืนหอบเบา ๆ ง้าวในมือวางเฉียงลงกับพื้น ใบหน้าเปื้อนไปด้วยเหงื่อ จะปล่อยให้ร่างทั้งสองตายเปล่าก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร นางจึงดึงมีดแล่เนื้อออกมาจากฝักและทำการแล่เนื้อเก็บไว้เป็นเสบียงให้เรียบร้อย

คุณชายตงฟางก้าวเข้ามาใกล้ พัดไม้ในมือยังอยู่ครบ เสื้อตัวยาวสีอ่อนของเขาเปื้อนฝุ่นอยู่บ้างตามปลายชาย แต่ทว่าไม่มีแม้แต่รอยขาดใด ๆ กิริยาท่าทางของเขายังคงสงบนิ่ง เขาหยุดยืนห่างจากซิ่วอิงเพียงไม่กี่ก้าว ดวงตาทอดมองนางด้วยสายตาประเมิน แต่ไม่ใช่เพื่อวัดฝีมือ หากแต่เป็นความนับถือใจจากใจจริง

“กระบวนท่าเมื่อครู่งดงามมาก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำชมนั้นชัดเจนจนสัมผัสได้ถึงความจริงใจ

“ข้าเพียงทำตามที่คุณชายแนะนำเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างถ่อมตน

คุณชายตงฟางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย 

“เป็นอย่างที่ข้าว่าหรือไม่?… แยกศัตรูออกก่อน แล้วค่อยจัดการทีละตัว”

ซิ่วอิงพยักหน้าเบา ๆ

“คำแนะนำของคุณชายช่วยข้าได้มากจริง ๆ เจ้าค่ะ… แล้วข้าก็ไม่คิดว่าจะมีใครหลบลูกท้อ ลูกหิน ก้อนดิน และปีศาจวานรได้พร้อมกันในเวลาเดียวได้…กระทั่งเมื่อครู่นี้…” นางพูดก่อนปรายตามองเขาอย่างหยอกล้อ

คุณชายตงฟางชะงักเล็กน้อย สีหน้าเขาเหมือนพยายามเก็บรอยยิ้มไม่ให้แสดงออก แต่ไม่อาจปิดบังความภูมิใจที่ฉายชัดออกมาได้ เขายืดอกขึ้นเล็กน้อย

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่เคยถูกแตะต้องแม้ชายผ้าในยามคับขัน…”

ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบหรือแสดงท่าเท่ให้เต็มที่ เท้าขวาเจ้ากรรมของเขาก็ก้าวพลาดเล็กน้อยเหยียบลงบนหินก้อนเล็กที่นูนขึ้นมาจากพื้น

พรืด!!!

เขาเซเล็กน้อยก่อนจะย่อตัวลง มือข้างหนึ่งคว้าข้อเท้าตนเอง ซิ่วอิงเบิกตากว้างก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาคุณชายตงฟาง

“คะ…คุณชาย! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?!”

คุณชายตงฟางขมวดคิ้วเบา ๆ ขณะสำรวจข้อเท้าตัวเอง

“เหมือนว่าข้อเท้าจะพลิก…”

คุณชายตงฟางที่เมื่อครู่ก้มมองเท้าตัวเอง หันมามองซิ่วอิงแล้วพบว่านางก้มหน้าไหล่สั่นอยู่ ก่อนจะรู้ว่าที่จริงตอนนี้นางกำลังนั่งขำเล็ก ๆ 

“แม่นาง…หัวเราะข้างั้นหรือ?” เขาถามออกมาอย่างอดไม่ได้

“ขออภัยเจ้าค่ะ ก็ใครจะไปคิดว่าบุรุษที่การหลบหลีกพริ้วไหวเช่นที่ข้าเห็นเมื่อครู่จะมาพลาดพลั้งเอากับหินก้อนเล็ก ๆ เช่นนี้ได้” ว่าแล้วก็หัวเราะต่อ คราวนี้ไม่กลั้นเสียงแล้ว เสียงหัวเราะของนางนั้นใสบริสุทธิ์ดั่งสายลมยามเย็นในหุบเขา

คุณชายตงฟางหลุบตาลงนิดหนึ่ง ใบหน้าเรียบเฉยแต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเหมือนซ่อนรอยยิ้มไว้ในความอาย

“คุณชายคงจะเดินไม่ไหวแล้วล่ะเจ้าค่ะ ข้าว่านี่ก็ใกล้มืดแล้วเราหาที่ค้างแรมกันดีกว่าเจ้าค่ะ ด้านหน้าอีกไม่ไกลมีถ้ำอยู่” ซิ่วอิงว่าพลางมองท้องฟ้าด้านบนที่ใกล้มืดเต็มที

“ถ้าเช่นนั้นก็เอาตามที่แม่นางว่า” คุณชายตงฟางพยักหน้าช้า ๆ

สิ้นเสียงคุณชายตงฟางซิ่วอิงก็ย่อตัวลงด้านหน้าเขา

“แม่นางทำอะไร?”

“ขึ้นมาเจ้าค่ะ”

“ขึ้น?”

“คุณชายขาพลิกเดินไม่ได้ ข้าก็จะแบกไปเองเจ้าค่ะ”

เขานิ่งงัน

“…แบก?”

“เห็นข้าตัวเท่านี้แต่ข้าแข็งแรงมากนะเจ้าคะ มาเถอะ!”

เขาลังเลเล็กน้อย มองแผ่นหลังเล็กตรงหน้า แต่สุดท้ายก็ยอมพยุงตัวขึ้นหลังของนาง

“แม่นางไหวแน่หรือ?”

ซิ่วอิงไม่ได้ตอบในทันที แต่พอพยุงเขาขึ้นหลังอย่างมั่นคงได้แล้วก็กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“คุณชายอย่าได้กังวล ตราบใดที่คุณชายยังเดินไม่ได้ ข้าจะปกป้องท่านเอง ข้าสัญญาด้วยเกียรติของทหารนักรบ…ว่าต่อให้ต้องแบกท่านไปจนถึงใจกลางเขาหัวซาน ข้าก็จะทำ!”

น้ำเสียงของนางมั่นคงจนเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจ คุณชายตงฟางที่อยู่บนแผ่นหลังซิ่วอิงแอบยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว และเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นกว่าครั้งใด เหมือนมีบางสิ่งในใจถูกปลุกให้ตื่นเล็กน้อย เขาเอนหัวลงเบา ๆ ให้ปลายผมสัมผัสบ่าของนาง แล้วมองไกลออกไปทางเบื้องหน้า ยามที่แสงตะวันค่อย ๆ หลบลับขอบฟ้า

และค่ำคืนนั้นก็จบลงที่ถ้ำริมผา ซิ่วอิงจัดแจงที่ให้คุณชายตงฟางเอนกายพักผ่อน ส่วนตนเองก็นั่งเฝ้ายามข้างกองไฟ ใบหน้างามเงียบสงบภายใต้แสงเปลวไฟสีส้มเรืองรอง คุณชายตงฟางมองแผ่นหลังของนางอยู่เนิ่นนานก่อนจะปิดตาลงในที่สุด

โดยไม่ปริปากบอกความจริงข้อหนึ่งกับนางเลย…

…ว่าอาการขาพลิกของเขานั้น หากเพียงเรียกพลังปราณกระเรียนขาวขึ้นมาก็คงฟื้นตัวได้ในเวลาเพียงครู่ แต่ไม่รู้ทำไม…เขาถึงไม่อยากทำเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว…


หลักฐานการต่อสู้
ปีศาจวานร 1


 ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): 
เนื้อสัตว์ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)
ลูกท้อ (เลขไบต์รองสุดท้าย = จำนวนได้)

อัตราดรอป: เศษเสี้ยววานร 1 ชิ้น
(เลขไบต์ 7 และ 9)

ศาสตร์การล่าสัตว์  (มือฉมังแห่งนักล่า)
ทุกการแล่วัตถุดิบจากสัตว์ที่คุณล่าจะได้รับทรัพยากรจากสัตว์ได้ถึงสองเท่า x2
ทุกการล่าปีศาจหรือมาร จะได้รับโบนัส +20 ตบะฝึกฝน และ เพิ่มอัตราดรอปเลข 5 เข้าไปในตัวแปรอัตราดรอป










แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 66682 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2025-5-17 00:49
โพสต์ 66,682 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +40 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-5-17 00:49
โพสต์ 66,682 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-5-17 00:49
โพสต์ 66,682 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก เกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-5-17 00:49
โพสต์ 66,682 ไบต์และได้รับ +9 EXP +10 คุณธรรม จาก ตำรากฎทหาร  โพสต์ 2025-5-17 00:49

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +20 ย่อ เหตุผล
Admin + 20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x18
x1
x55
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-5-18 14:48:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:32





วันที่ 16 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11

สายหมอกยามเช้ายังไม่ทันจางหายไปจากปลายโขดผา กลิ่นเหม็นไหม้อันแปลกปลอมก็ปะปนมากับกลิ่นหญ้าเปียกและไอหินเย็นของถ้ำจนชวนให้ระแวง คุณชายตงฟางลืมตาขึ้นย่างเชื่องช้า แสงแดดอ่อน ๆ จากทางเข้าถ้ำสะท้อนเงาร่างเล็กของผู้หนึ่งที่กำลังนั่งเป่าไฟด้วยท่าทีมุ่งมั่นเกินเหตุ

“อ้าว คุณชายตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? พอดีเลย ข้าเตรียมมือเช้าไว้แล้ว” เสียงใสเจื้อยแจ้วดังขึ้นตามด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

ชายหนุ่มประคองกายขึ้นนั่ง พินิจเงาสะท้อนของหญิงสาวเบื้องหน้าผ่านเปลวไฟที่สั่นไหว ดวงหน้าแม้นจะมีรอยเปื้อนเขม่าควันกลับเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันสดใส

“แม่นางได้พักผ่อนบ้างหรือยัง?”

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ แค่นี้สบายมาก ข้าเฝ้ายามที่ค่ายพยัคฆ์บ่อยจนเคยชินแล้วเจ้าค่ะ”

ว่าจบ นางก็ยื่นไม้เสียบเนื้อที่เกรียมดำราวกับถ่านมาให้เขา คุณชายตงฟางรับมาด้วยสีหน้าแฝงแววระแวดระวัง เขาเป่าลมเบา ๆ ไล่ไอร้อน ก่อนจะใช้นิ้วค่อย ๆ แกะส่วนที่ไหม้ออกเผยให้เห็นเนื้อที่มีทั้งส่วนแห้งแข็งและส่วนที่ยังชุ่มเลือดอยู่ด้านในที่เหมือนจะยังไม่สุก

“นี่...แม่นางทำเองหรือ?”

“เจ้าค่ะ ปกติที่ค่ายไม่มีใครยอมให้ข้าเข้าเวรครัวเลย พวกเขาบอกว่ายอมกินดินกินทรายเสียดีกว่ากินอาหารที่ข้าทำ ข้าก็พอรู้ว่าข้าทำอาหารไม่ค่อยเป็น แต่คนเรากินเพื่ออยู่ มิได้อยู่เพื่อกิน ใช่ไหมเจ้าคะ?” นางพูดพร้อมรอยยิ้มกลบเกลื่อนความกระดากใจ

คุณชายตงฟางกัดฟันเล็กน้อยก่อนตัดใจกัดคำเล็ก ๆ ลงไป รสสัมผัสแห้งฝาด ผสมกลิ่นควันและความขมติดปลายลิ้น เขากลืนน้ำลายฝืด ๆ พลางฝืนยิ้มออกไป

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอกินได้หรือไม่?”

“ก็…ดี…”

“ถ้ากินไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนหรอกเจ้าค่ะ ข้ายังพอมีเจ้านี่อยู่ในกระเป๋า” นางพูดพลางยื่นหมั่นโถวสีขาวนวลที่แม้จะดูแข็งไปเล็กน้อยแต่ก็ยังน่ากินกว่าไม้เสียบเนื้ออันแสนโหดร้ายนี่

“ขอบใจแม่นางหรง” เขารับมันมา

ในขณะเดียวกันซิ่วอิงก็นำไม้เสียบเนื้อนั้นกลับไปลองกัดเอง ครั้นเพียงแตะปลายลิ้น นางก็ถึงกับสำลักออกมาในทันที

“เมื่อครู่คุณชายกลืนลงคอไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ นี่มันแย่สุด ๆ ข้าเกือบฆ่าคุณชายด้วยเนื้อลิงนี่เสียแล้ว!” นางรีบโยนมันทิ้งลงพื้น

“คนเรากินเพื่ออยู่ มิได้อยู่เพื่อกิน มิใช่หรือ?” คุณชายตงฟางเอ่ยเสียงเรียบแต่ฟังก็รู้ว่ากำลังย้อนคำพูดของซิ่วอิงเมื่อครู่



ก่อนหน้านี้ไม่นานนักในยามดึกสงัด ท่ามกลางเสียงลมคร่ำครวญลอดเข้ามาตามรอยแยกของหิน ซิ่วอิงยังคงนั่งอยู่ใกล้กองไฟ นางนั่งกอดเข่าเงียบ ๆ เฝ้ากลางคืนโดยไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลอวางใจ ทว่าด้วยความเหนื่อยล้า ร่างของนางก็ค่อย ๆ โน้มพิงผนังถ้ำ ดวงตาปิดลงโดยไม่รู้ตัว นางหลับไปโดยที่ยังคงจับง้าวแน่นในมือ

คุณชายตงฟางซึ่งตอนแรกเหมือนยังหลับไหล กลับลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน เขาค่อย ๆ ขยับร่างจากจุดที่นอนอย่างระวังมิให้เกิดเสียง พลางก้มมองข้อเท้าของตนที่บาดเจ็บ ในพริบตาเดียวเขานั่งขัดสมาธิลง หลับตาและรวบรวมลมหายใจเข้าสู่ตันเถียนล่าง เขาก็ค่อย ๆ โคจรปราณเข้าสู่จุดชีพจรที่ข้อเท้า ไล่ความชื้นและเลือดคั่งออกไปอย่างเชื่องช้า ปราณสีขาวนวลจาง ๆ โคจรจากกลางอกไหลเวียนลงขา ดวงตาของเขาปิดสนิทแต่ใจมั่นคงราวหินผา ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ เสียงลมหายใจจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พร้อมกับความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ เลือนหายไป

เมื่อแน่ใจว่าข้อเท้าหายดีแล้ว เขาจึงผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังร่างเล็กที่ยังคงหลับอยู่

“บอกว่าเฝ้ายามให้ข้ายังจะหลับเสียเอง” เขาพูดเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

แม้จะแอบเหน็บเล็ก ๆ ในใจ แต่ดวงตาที่ทอดมองหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาคลานเข้าไปเงียบ ๆ ใช้ไม้แห้งที่เหลืออยู่สุมเข้ากองไฟ เติมเปลวให้พุ่งขึ้นอีกนิดเพื่อไล่ความเย็นจากอากาศยามดึก เขายังหยิบผ้าคลุมเล็ก ๆ ที่นางใช้เป็นเสื่อปูนอนมาห่มไหล่ของนางไว้ ก่อนจะกลับไปนอนที่เดิมอย่างเงียบเชียบ

ไม่มีผู้ใดรู้… แม้แต่ซิ่วอิงเอง ว่าคุณชายตงฟางที่นางแบกฝ่าเหวมาจนถึงถ้ำแห่งนี้ ได้ฟื้นพลังจนหายดีแล้วในยามราตรี



ครั้นมื้อเช้าจบลง กลิ่นควันไฟจาง ๆ ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในโพรงถ้ำริมหน้าผา ซิ่วอิงสาวน้อยแห่งค่ายพยัคฆ์เริ่มเก็บกวาดเศษฟืนที่เหลือและถุงเสบียงเล็ก ๆ ของนางอย่างทะมัดทะแมง แม้ใบหน้าจะมีรอยเขม่าควันเปื้อนอยู่บ้าง แต่แววตามุ่งมั่นกลับไม่มีเสื่อมคลายนางสะพายถุงเสบียงขึ้นบ่าแล้วหันกลับมาหาคุณชายตงฟางที่นั่งพิงผนังถ้ำเงียบ ๆ

“คุณชาย… พอจะลุกไหวไหมเจ้าคะ… หรือจะให้ข้าแบกเหมือนเมื่อวาน?”

น้ำเสียงของนางเปล่งออกมาอย่างนุ่มนวล ปลายเสียงแฝงแววความห่วงใยที่ไม่เสแสร้ง ทั้งแววตาและท่าทีล้วนแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าหากเขาเพียงพยักหน้า นางก็พร้อมจะอุ้มแบกเขาเดินไปทั่วหุบเขาร้อยแปด

คุณชายตงฟางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทฉายแววขบขันนิด ๆ ราวกับรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่ยังไม่อาจหักใจทำลายความกระตือรือร้นของนางได้ในตอนนี้

“ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อย แต่ยังเดินไม่ถนัดเท่าใดนัก” เขาว่าเสียงเรียบ แสร้งถอนใจเบา ๆ แล้วเสริมด้วยสีหน้าฝืน ๆ ราวกับยังเจ็บอยู่จริง

แท้จริงแล้วเขาหายดีตั้งแต่ราตรีที่ผ่านมา แต่ใจเขายังมิอาจผลักไสความใส่ใจของแม่นางตรงหน้าออกไปได้ เขาจึงเลือกที่จะสำออยต่ออีกสักหน่อย

“งั้นก็อย่าเพิ่งเดินเลยเจ้าค่ะ ข้าแบกเอง” ซิ่วอิงตอบกลับทันควันด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกับว่าความลำบากคือเรื่องเล็กน้อยที่สุดในใต้หล้า

นางหันหลังให้เขาแล้วย่อตัวลงอย่างคล่องแคล่ว ครานี้คุณชายตงฟางไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย เขาขยับตัวเบา ๆ แล้วขึ้นหลังนางอย่างสงบเสงี่ยม แม้จะยังคงทำสีหน้าอดกลั้นเหมือนต้องพยายามสุดแรง แต่ในใจกลับรู้ดีว่าเขากำลังแกล้งแม่นางน้อยตรงหน้าอยู่

ทั้งสองออกเดินทางต่อในความเงียบสงัดที่มีเพียงเสียงลมเย็นของหุบเขาเคล้าคลอ ซิ่วอิงแบกร่างของคุณชายไว้แน่นบนหลัง นางก้าวเดินมั่นคง แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยกรวดหิน ตะไคร่ชื้น และเถาวัลย์พันระโยงระยาง

คุณชายตงฟางไม่ได้เอ่ยคำใด เขาเพียงหลับตาเบา ๆ แล้วระดมสมาธิ ใช้ปราณสื่อกับธรรมชาติรอบกาย ลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ พลังของเขาแผ่สัมผัสออกไปรอบทิศ คล้ายค้นหาเส้นทางของกระแสพลังลี้ลับที่ไหลวนอยู่ในหุบเขาแห่งนี้

ทว่าไม่นาน… ฝีเท้าของซิ่วอิงก็ชะงักลง นางหยุดยืนกลางทางเดินหินแคบที่ชื้นลื่นและรกเรื้อด้วยใบไม้เก่าฤดู ดวงตาของนางจับจ้องไปยังสิ่งเบื้องหน้า

“อา…หินก้อนนี้อีกแล้ว ข้าว่าพวกเราเดินมาเจอหินก้อนนี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะเจ้าคะ”

คุณชายตงฟางลืมตาขึ้น หรี่ตามองหินสีเทาก้อนใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทาง รูปทรงกลมมนมีรอยแตกคล้ายรากตะขาบทอดผ่านกลาง เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้าเบา ๆ คล้ายจะเคยเห็นจริง

“เพื่อความแน่ใจ ข้าจะทำสัญลักษณ์ไว้”

ซิ่วอิงวางคุณชายลงเบา ๆ แล้วควักมีดสั้นออกมา มือข้างหนึ่งยันเข่า อีกข้างขีดลงบนผิวหินเย็นเยียบ เป็นรูปดอกเหมยแบบหยาบ ๆ

นางลุกขึ้นแล้วหันมาย่อตัวลงอีกครั้ง

“เชิญเจ้าค่ะคุณชาย”

คุณชายตงฟางขึ้นหลังนางอีกหนอย่างไม่กล่าวอะไร

เส้นทางหลังจากนั้นเต็มไปด้วยรากไม้ขรุขระ พุ่มไม้รกทึบและแสงอาทิตย์ที่ถูกบดบังด้วยเรือนยอดไม้ใหญ่ ซิ่วอิงยังคงแบกเขาเดินไปอย่างมุ่งมั่นโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย

จนกระทั่ง…

“เดี๋ยวก่อน…” นางหยุดกึก ดวงตาเบิกโพลงเมื่อพบสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

“หินก้อนนี้…” เสียงของนางแผ่วลง ราวกับกลืนหายไปกับเสียงลมในพงไพร

สัญลักษณ์รูปดอกเหมยยังคงอยู่บนผิวหิน ณ จุดเดิม… ไม่มีผิดเพี้ยน!

“นี่พวกเรา…กลับมาอยู่ที่เดิมนี่เจ้าคะ น่าแปลกจริง…”

คุณชายตงฟางหรี่ตาลงอีกครั้ง ริมฝีปากขยับช้า ๆ

“เอาข้าลงตรงนี้ก่อน”

ซิ่วอิงทำตามคำสั่งโดยไม่ลังเล วางร่างของเขาลงอย่างระมัดระวัง

คุณชายตงฟางรวบรวมลมปราณไว้ที่ปลายนิ้ว แสงเรืองจาง ๆ แผ่ออกทั่วฝ่ามือก่อนที่เขาจะชี้ตรงไปยังความว่างเปล่าข้างหน้า ทันใดนั้นเองเส้นทางเบื้องหน้าก็ปรากฏม่านหมอกรูปร่างบิดเบี้ยว คลื่นพลังบางอย่างแทรกตัวขึ้นจากใต้พื้นหิน ลึกและหนักหน่วง ราวกับสิ่งที่เก็บกดมานานนับศตวรรษกำลังค่อย ๆ แทรกซึมออกมา เป็นแรงปะทุของธรรมชาติอันเก่าแก่ที่เริ่มตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน

“มนต์บังตา… ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่อาคมทั่วไป…พลังที่ข้าสัมผัสได้เหมือนจะเก่าแก่มาก”

ซิ่วอิงหันมามองเขา สีหน้าวางเฉยเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด

“แล้วมันคืออะไรหรือเจ้าคะ?”

คุณชายตงฟางนิ่งไปอึดใจ สายตาของเขาไม่ได้มองนาง หากแต่จ้องลึกเข้าไปในม่านหมอกเบื้องหน้า ม่านหมอกที่เพิ่งสั่นไหวเมื่อครู่ คล้ายมีแรงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น

“ยังไม่แน่ชัด” เขาขมวดคิ้ว ดวงตาฉายแววกังวลเล็กน้อย

“แล้วคุณชายพอจะคลายมนต์ตรงหน้านี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”

“ข้าจะลองดู”

คุณชายตงฟางยกมือขึ้นช้า ๆ ฝ่ามือหันไปยังม่านหมอกเบื้องหน้า ลมหายใจแน่นิ่ง ราวกับตัดขาดจากทุกสิ่งรอบตัว พลังปราณภายในเริ่มแผ่ไหลตามเส้นลมปราณสะท้อนแสงจางสีฟ้าเรืองรองที่ปลายนิ้ว

ทันทีที่พลังของเขาแตะต้องม่านหมอก เสียงครวญต่ำลึกก็ดังก้องจากใต้ผืนดิน หมอกเบื้องหน้าบิดเบี้ยว เหมือนบางสิ่งกำลังขยับตัวใต้แผ่นเขา หินตามเชิงผาแตกร้าว ดินร่วนหล่นเป็นสาย กิ่งไม้เหนือศีรษะสะบัดไหวราวกับถูกปลุก

“ภูเขากำลังสะท้อนพลังกลับมา”

จากนั้นก็มีเสียงแตกดังจากฝั่งซ้ายของหินผา ผนังหินด้านข้างเกิดรอยปริร้าว เศษหินขนาดเท่าศีรษะหลายก้อนเริ่มร่วงหล่นลงมาใกล้ที่เขายืน

“คุณชาย ระวัง!” ซิ่วอิงตะโกน พลางพุ่งเข้ามาพร้อมกับง้าวในมือ

เธอวางเท้าลงพื้นอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งยึดด้ามง้าว อีกข้างเหวี่ยงใบง้าวขึ้นฟาดหินที่กำลังตกลงมา ตัดเส้นวิถีการร่วงได้อย่างแม่นยำ เศษหินแตกกระจายเป็นชิ้นเล็ก ๆ ออกจากวิถีที่อีกฝ่ายกำลังยืนอยู่

ทันใดนั้น กิ่งไม้เส้นหนึ่งจากต้นไม้ใหญ่เบื้องบนหักตกลงมาเฉียดศีรษะของคุณชายตงฟาง เขายังคงไม่ไหวติงต่อสิ่งใด สติจดจ่อกับจุดเดียวเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ ส่วนทุกสิ่งรอบข้างคือการวัดใจสหายข้างกายว่าจะช่วยปัดป้องภัยโดยรอบให้หรือไม่
ซิ่วอิงสะบัดตัวเข้าประชิดใช้ด้ามง้าวเบี่ยงกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่ร่วงลงในจังหวะเฉียดฉิว จากนั้นเหยียบพื้นตั้งหลักแน่น ก่อนปักปลายง้าวลงกับพื้นด้านข้างคุณชายค้ำยันตนเองท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เบื้องหน้าม่านหมอกเริ่มร้าวเหมือนกระจก เสียงครวญนั้นแผ่วลง พลังปราณของคุณชายตงฟางไหลผ่านเข้าไปอย่างมั่นคง จนในที่สุดหมอกทั้งหมดสลายเป็นเส้นละอองจาง เผยทางเดินที่ซ่อนอยู่หลังม่านลวง เขาลดมือลงช้า ๆ หายใจเข้าอย่างมั่นคง มองเส้นทางที่ปรากฏเบื้องหน้า

“คลายได้แล้ว” เขากล่าวเสียงเบานิ่งเรียบราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปัดฝุ่นบนแขนเสื้อ

จากนั้นก็หันหลังกลับมาทางซิ่วอิง ผู้ที่ยังยืนถือง้าวอยู่อย่างระแวดระวัง แม้ภัยจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่นางยังคงไม่วางใจง่าย ๆ หินพวกนั้นอาจตกลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาเดินเข้ามาทีละก้าวช้า ๆ ทำท่าเหมือนขาข้างขวาก้าวได้ไม่ถนัดนักคล้ายผู้ที่ยังเจ็บข้อเท้าอยู่

“แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

ซิ่วอิงไม่ได้ตอบในทันที แต่กะพริบตาพิจารณาเขาจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างละเอียด จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คุณชายข้อเท้าซ้ายพลิกมิใช่หรือเจ้าคะ…” ถ้อยคำนั้นเบาราบเรียบ แต่มากด้วยอานุภาพ เหมือนหยดน้ำหยดเดียวที่ทำให้ผิวทะเลเรียบสงบเกิดระลอกคลื่น

คุณชายตงฟางหยุดชะงักในชั่วพริบตา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่กล้ามเนื้อใบหน้าเขาสั่นไหวเล็กน้อยแต่นั่นเพียงพอให้นางรู้ได้ ดวงตาคมของเขาเหลือบลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับคืนสู่ท่าทีสุขุมเช่นเดิม

“ก็…” เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงนั้นฟังดูนิ่ง แต่คล้ายคนกำลังหาเหตุผลที่แม้แต่ตนเองก็ไม่มั่นใจนัก

ซิ่วอิงมองเขานิ่ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่หางคิ้วกระตุกเบา ๆ

“อย่าบอกนะเจ้าคะ… ว่าตลอดทางวันนี้ คุณชายแกล้งทำเป็นเจ็บเท้า?”

คุณชายตงฟางสูดลมหายใจเบา ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย

“ข้าขอโทษ... เมื่อวานนี้ข้อเท้าข้าพลิกจริง แต่ตอนนี้ก็รักษาหายแล้ว”

“เช่นนั้นแล้วเหตุใด…”

“ข้าเพียงไม่อยากขัดเจตนาของแม่นาง”

ซิ่วอิงนิ่งไปหนึ่งอึดใจ ใบหน้าเปลี่ยนจากนิ่งขรึมเป็นอมลมเบา ๆ แก้มพองน้อย ๆ อย่างคนไม่พอใจ นางมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก แล้วก้มลงมองเท้าเขาอีกครั้งให้แน่ใจ ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นด้วยท่าทีหงุดหงิด และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง…

ปึก!!!

เสียงรองเท้าผ้าเบา ๆ ย่ำลงกลางหลังเท้าคุณชายตงฟางอย่างไม่ทันให้เขาตั้งตัว แรงอาจไม่มากนักแต่ชัดเจนว่าตั้งใจเหยียบ ยังไม่ทันที่คุณชายตงฟางจะได้กล่าวอะไร นางก็หมุนตัวแล้วจ้ำเท้าเดินนำไปอย่างรวดเร็ว ง้าวในมือนางแกว่งไปตามแรงก้าวขา ร่างสะบัดเบา ๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก

“หน็อยแน่ะ…หลอกให้ข้าแบกมาทั้งวัน!” นางพึมพำเบา ๆ ขณะเดินเร็วขึ้นอีกนิด

หลายชั่วยามผ่านไป...

ซิ่วอิงยังคงเดินนำหน้าไปโดยไม่พูดอะไร ง้าวในมือนางแกว่งแรงขึ้นราวกับต้องการระบายอารมณ์ในทุกย่างก้าว สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากแนวป่าทึบเป็นโขดหินสูงตระหง่าน ต้นไม้ลดน้อยลง แม้ฟ้าจะเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นครามหม่นคล้ายฝนจะตก แต่ซิ่วอิงก็ยังไม่หยุด นางเดินลึกเข้าไปในหุบเขาหัวซานโดยไร้ทิศทางที่แน่ชัด ไม่แม้แต่จะหันมองว่ามีใครตามหลังมาหรือไม่

แน่นอนว่า... มี!

คุณชายตงฟางยังคงเดินตามนางอย่างเงียบ ๆ อยู่ในระยะห่างพอสมควร เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้ ไม่กล้าขัด และไม่กล้าเอ่ยคำใดออกไป ปล่อยให้นางระบายอารมณ์ให้เต็มที่ไปก่อนเผื่อจะอารมณ์ดีขึ้น แต่ตลอดทางก็ยังคงใช้ปราณในการสัมผัสทิศทางของพลังงานอยู่เรื่อย ๆ แม้แม่นางแสนขี้งอนข้างหน้าจะเดินมั่วซั่วไปทั่วแต่ตราบใดที่ยังไม่หลงทิศทางก็ยังถือว่าใช้ได้

เส้นทางเริ่มเปลี่ยนไปจากดินราบกลายเป็นทางลาดชัน มีหินผุพังแซมอยู่ทั่วพื้น ทางแคบลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเพียงร่องระหว่างโขดเขา 

จู่ ๆ ซิ่วอิงก็ชะงักฝีเท้า… พื้นหินเบื้องหน้าดูแปลกตา สีอ่อนกว่าหินรอบด้าน และมีลวดลายบางอย่างที่ถูกกาลเวลากลบไว้ เธอขมวดคิ้ว ก้มลงใช้ปลายง้าวเขี่ยสิ่งสกปรกออกเผยให้เห็นแผ่นศิลาสลักลายคล้ายตราประทับโบราณ และแล้วก่อนที่นางจะทันตั้งสติ…

แกร๊ก!!!

เสียงหินแตกระเบิดออกใต้ฝ่าเท้านางพร้อมแรงสั่นสะเทือนอย่างฉับพลัน ร่างของซิ่วอิงร่วงลงไปในช่องใต้พื้นโดยไม่ทันร้องสักแอะ

“แม่นาง!”

คุณชายตงฟางพุ่งตามลงไปโดยไม่ลังเล ช่องทางลึกและมืดราวกับถูกกลืน โดยเขาเองก็ไม่ทันได้มองว่าเบื้องล่างคืออะไร

ตึง!!!

ทั้งสองตกกระแทกลงบนพื้นหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่และเศษซากไม้ผุ ฝุ่นฟุ้งตลบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทุกอย่างจะค่อย ๆ สงบลง ซิ่วอิงยันตัวลุกขึ้น ใบหน้าเปื้อนฝุ่นเล็กน้อยแต่ยังคงหงุดหงิดเหมือนเดิม นางหันไปมองคุณชายตงฟางตาขุ่น

“ยังจะตามมาอีกหรือเจ้าคะ?”

“ข้าจะปล่อยให้แม่นางเดินหลงอยู่กลางเขาหัวซานคนเดียวได้อย่างไร...ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเหตุประหลาดนั่นเกิดขึ้นจากสิ่งใดกันแน่” เขาปัดฝุ่นจากแขนเสื้อพลางถอนหายใจเบา ๆ

ซิ่วอิงชะงักไปนิดหนึ่งใบหน้าฉายแววลังเล แม้จะยังวางมาดไม่เลิก แต่ลึก ๆ ในใจนางก็รู้ว่าเขาพูดถูก… หากเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ นางคงไม่อาจเผชิญมันเพียงลำพังได้ ยังไม่ทันที่นางจะพูดตอบ เสียงกลไกบางอย่างกลับดังขึ้นอีกครั้งจากผนังถ้ำ

ครืด... ครืดดด...

ร่องแสงบาง ๆ สีฟ้าเรืองรองเริ่มเคลื่อนไหวตามรอยสลักบนหินผนังอย่างช้า ๆ ราวกับมีใครจุดแสงขึ้นจากความมืด ลวดลายเรืองแสงพาดผ่านผนังโค้ง และค่อย ๆ เปิดเผยความจริงที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในเบื้องลึกของเขาหัวซาน

แสงนำสายตาทั้งคู่ไปสู่โถงกว้างขนาดใหญ่ ประตูหินทรุดโทรมที่อยู่เบื้องหน้าค่อย ๆ แยกออก เผยให้เห็นภายในที่เต็มไปด้วยเสาหินและก้อนหนึ่งที่เหมือนจะถูกสลักเป็นรูปร่างคนหรือนักรบบางอย่าง พื้นหินบางจุดถูกแกะเป็นลายวงเวียนซ้อนชั้นตรงศูนย์กลางโถง คล้ายบอกตำแหน่งอะไรสักอย่าง

คุณชายตงฟางยืนนิ่ง ก่อนจะหลับตา ใช้ลมหายใจควบคุมปราณแตะผิวหินเบื้องหน้า

“พลังงานบริเวณนี้แรงมาก…” เขาพูดเสียงเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “ใกล้มากแล้ว… จุดศูนย์กลางของสิ่งที่เราตามหา”

“ที่นี่มันอะไรกันแน่... เมืองร้างหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงหันมองรอบตัว บัดนี้นางต้องยอมลดทิฐิพักรบก่อนชั่วคราว

“อาจจะเก่าแก่ยิ่งกว่านั้น” คุณชายตงฟางเอื้อมมือไปแตะผนังหินอีกครั้ง ปัดฝุ่นออก เผยให้เห็นอักขระโบราณซ้อนทับเป็นชั้น เส้นสายบางส่วนถูกกัดกร่อนจนแปลไม่ออก แต่โครงสร้างยังคงแฝงพลังงานบางอย่างไว้อย่างแน่นหนา

ซิ่วอิงกับคุณชายตงฟางหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดเพิ่มเติม ในที่สุดทั้งสองก็ตกลงใจว่าจะพักแรม ณ ที่แห่งนี้ ใต้ความเงียบของซากโบราณที่จมหายอยู่ในใจกลางเขาหัวซาน… เมื่อยามรุ่งสางมาเยือน พวกเขาจะเริ่มต้นสำรวจอย่างจริงจังเพราะสิ่งที่พวกเขาตามหาอาจอยู่ไม่ไกลแล้วจริง ๆ ก็ได้…



@Admin  







แสดงความคิดเห็น

(ปลดความทรงจำสมัยเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้คุณเข้าใจคำที่เด็กสาวพูดหลังจากนั่งนึกในโรลหลังปลดความทรงจำ)  โพสต์ 2025-5-18 18:11
เด็กสาวคนนั้นหันมาทางคุณ https://i.imgur.com/Jwk9cBE.jpg ก่อนจะสลายไป แต่ปากของเธอพูดเป็นภาษาบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ (ภาษาอังกฤษ) [อย่าเข้าไป]  โพสต์ 2025-5-18 18:10
เพื่อเธอจะได้ใช้ไฟดวงนั้นให้ความอบอุ่นตัวเอง เธอกำลังดูสีหน้าซีดเผือก มีเสียงร้องลั่นรอบสี่ทิศ  โพสต์ 2025-5-18 18:09
ชิ่วอิงเห็นภาพบางอย่างในหมอกด้านขวา เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินหลงทางท่ามกลางพายุหิมะที่พัดลมแรง มองไปทิศทางไหนก็เต็มไปด้วยหิมะ เด็กสาวคนนั้นเรียกไฟขึ้นมาที่ฝ่ามือตัวเองราวกับปาฏิหารย์  โพสต์ 2025-5-18 18:08
โพสต์ 70380 ไบต์และได้รับ 42 EXP!  โพสต์ 2025-5-18 14:48
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x18
x1
x55
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-5-19 23:15:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:32





วันที่ 17 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11

ค่ำคืนอันเงียบงันภายใต้เงามืดของซากโบราณผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับสวรรค์เองก็เหนื่อยล้าไม่ปรารถนาให้รุ่งอรุณย่างกราย เสียงสายลมพัดครวญคล้ายเสียงร่ำไห้ของวิญญาณโบราณ ดอกหญ้าแห้งกรอบพลิ้วไหวตามแรงลมอันเยียบเย็น กองไฟเล็กที่จุดไว้เพียงเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นสั่นระริกมีแสงสีส้มที่วูบวาบสะท้อนในดวงตาของคุณหนูตระกูลหรงผู้ซึ่งนั่งกอดเข่ามองเปลวไฟอย่างเหม่อลอย

ซิ่วอิงยังคงอยู่ในท่วงท่าคล้ายคนกึ่งตื่นกึ่งหลับ แววตานางภายนอกแม้นดูสงบนิ่งดั่งหินผา แต่ข้างในนั้นกลับว้าวุ่นราวสายธารไหลเชี่ยว ห่างออกไปไม่กี่ช่วงแขน ร่างของชายหนุ่มในชุดคลุมสีอ่อนนั่งสงบเงียบเส้นผมบางเส้นปลิวไปตามลมเผยให้เห็นสันกรามคมและดวงตาเรียบนิ่งที่ทอดมองเปลวเพลิงด้วยความครุ่นคิด

แม้จะนั่งเคียงกัน หากแต่หัวใจของทั้งสองกลับห่างไกลราวขอบฟ้าและมหาสมุทร เสียงหายใจสม่ำเสมอของเขาไม่ได้ปลอบโยนใจนาง หากแต่กลับยิ่งตอกย้ำความขุ่นข้องหมองใจที่ยังไม่จางหาย

เมื่อถึงรุ่งเช้าแสงทองอ่อนของอรุณรุ่งค่อย ๆ ไล้ผ่านปลายยอดเขา แทรกซึมเข้าสู่โพรงหินซากโบราณ ก่อให้เกิดแสงสว่างบางเบา หมั่นโถวแห้ง ๆ ที่หลงเหลือเพียงไม่กี่ก้อนถูกหยิบออกมาเงียบ ๆ ซิ่วอิงยื่นก้อนหนึ่งให้ชายหนุ่มโดยไม่แม้แต่จะสบตา นางไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่จำเป็นต้องพูดด้วย

คุณชายตงฟางรับเอาหมั่นโถวไว้ในมือ มุมปากกระตุกขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีคล้ายรอยยิ้มที่มิได้ยิ้ม เขาเริ่มสังเกตได้ว่านางเริ่มใจอ่อนลงบ้างแล้ว

หลังมื้อเช้าทั้งสองเริ่มเดินลึกเข้าไปในเขตซากโบราณ สองฝีเท้าย่ำลงบนพื้นหินชื้นเย็น บรรยากาศโดยรอบยังคงมืดมัวราวกับแสงแดดไม่อาจฝ่าม่านหมอกหนาเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ได้ รากไม้ใหญ่ขดพันเศษอิฐหินแน่นหนาราวกับต้องการดึงทุกสิ่งกลับคืนสู่ห้วงดินลึก

ซิ่วอิงก้าวเดินนำคุณชายตงฟางไปเงียบ ๆ สายตาของนางกวาดมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ใบหน้าของนางยังคงเรียบตึง แม้คิ้วจะคลายลงจากเมื่อวานบ้างแล้ว แต่ดวงตากลับยังฉายแววขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ตลอดทางสำรวจหลายชั่วยามนางไม่พูดอะไรเกินจำเป็น มีเพียงคำเตือนสั้น ๆ หรือคำชี้แนะที่จำเป็นต่อภารกิจเท่านั้น

“คุณชายระวังพื้นตรงนั้นเจ้าค่ะ…” น้ำเสียงนางแม้มีความขุ่นเคืองนิด ๆ แต่ก็ดังชัด มีเหตุมีผล ไม่มีเยาะเย้ย ไม่มีประชดประชัน ราวกับใจหนึ่งยังไม่ยอมให้อภัย แต่ใจอีกข้างก็ยอมจำนนต่อพันธะที่ตนได้ผูกไว้ ในเมื่อนางตกปากรับคำว่าจะร่วมเดินทางกับเขาแล้วก็ย่อมต้องรับผิดชอบต่อคำพูดนั้น 

บางครั้งคุณชายตงฟางก็เหลือบมองมาทางนาง แต่ก็ไม่กล่าวอะไร เพราะเพียงเห็นแววตานั้นเขาก็รู้ว่านางยังงอนอยู่ แต่นางก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ยังคงใช้ความรู้และทักษะของตนปกป้องเขาเมื่อจำเป็น และนั่นสำหรับเขา… ก็เพียงพอแล้วในยามนี้ 

ทันใดนั้นคุณชายตงฟางก็หยุดฝีเท้าลง ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย ขณะที่เขาโน้มตัวแตะพื้นหินด้วยปลายนิ้ว

“สาเหตุของพลังงานปั่นป่วนต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่แน่”

ซิ่วอิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ

“หมายความว่าที่นี่คือใจกลางหรือเจ้าคะ?”

“อาจเป็นได้” เขาพยักหน้าเบา ๆ

ซิ่วอิงก้าวแยกจากเขาออกไปไม่กี่ช่วงร่าง สำรวจซากหินด้านข้างอย่างเงียบงัน ม่านหมอกคลุ้งหนาขึ้นเรื่อย ๆ สายลมพัดหมอกไปด้านขวา เผยให้เห็นบางสิ่งที่มิอาจอธิบายได้

นางเห็นเงาร่างของเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทางอยู่กลางพายุหิมะ พายุนั้นเกรี้ยวกราดจนแม้แต่หญ้าต้นเดียวก็ไม่อาจตั้งตรงได้ นางเงยหน้าขึ้น ผมยาวปลิวว่อน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเย็นเฉียบไร้สีเลือด แต่ในมือเล็ก ๆ ของนางกลับมีเปลวไฟสีส้มเรืองวาบขึ้นมา ไฟดวงนั้นลอยขึ้นจากฝ่ามือราวปาฏิหาริย์ ให้ความอบอุ่นท่ามกลางความเยือกเย็น 

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องประหลาดก็ดังขึ้นจากรอบสี่ทิศ เด็กสาวผู้นั้นหันขวับมาทางซิ่วอิง ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวปนวิงวอน ริมฝีปากของเธอขยับเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเป็นภาษาแปลกประหลาดที่ซิ่วอิงไม่อาจเข้าใจได้

“Don’t go in.”

สิ้นคำนั้นภาพทั้งมวลก็พังทลายลงราวกับหมอกที่ถูกลมกรรโชกซัดซ่าน นางกะพริบตาถี่ รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งถูกปลุกจากฝันร้าย มือของนางเย็นเฉียบใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

“มีอะไรหรือ แม่นางหรง?” เสียงของคุณชายตงฟางดังขึ้นที่ด้านหลัง

นางกลืนความลังเลลงคอ แล้วส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนเอ่ยตอบไป

“ไม่มีเจ้าค่ะ คงแค่… ตาฝาดกระมัง”

แววตาของคุณชายตงฟางหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายล่วงรู้ว่านางไม่ได้กล่าวความจริงทั้งหมด แต่ก็ไม่ซักไซ้อะไรต่อ เพียงทอดตามองม่านหมอกด้านข้างนั้นอย่างนิ่งสงบ

คำพูดนั้นไม่ใช่ถ้อยคำที่นางเข้าใจได้ แต่มันกลับกระทบใจนางอย่างมิอาจอธิบายได้ ทั้งที่เป็นถ้อยแปลกหู หากแต่กลับชวนให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา เหมือนกับเคยได้ยินมาแล้วในห้วงฝันลึกของคืนใดคืนหนึ่ง ซิ่วอิงขมวดคิ้วแน่น สะบัดศีรษะเบา ๆ คล้ายจะไล่ความรู้สึกพิลึกพิลั่นนั้นให้จางหายไป

“งั้น...เราลองเข้าไปดีหรือไม่เจ้าคะ?” แม้ในดวงตาของซิ่วอิงยังมีแววกังวล แต่น้ำเสียงกลับฟังดูแน่วแน่ 

แม้จิตใต้สำนึกจะพร่ำเตือนให้นางถอยห่างจากทางนั้น แต่ความรับผิดชอบในภารกิจและแรงผลักดันลี้ลับบางอย่างในใจ กลับผลักให้นางเลือกที่จะเดินหน้าต่อ

คุณชายตงฟางเหลือบตามองนางครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าโดยไม่กล่าวถ้อยคำใดเพิ่มเติม แต่เพียงก้าวเท้าผ่านแนวเสาหินได้ไม่ถึงสามก้าว พื้นดินเบื้องล่างก็บังเกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่ว ๆ ที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เสียงครืด... คราด… ดังมาจากรอบทิศ เศษฝุ่นเถ้าเก่าแก่หล่นกราวจากซอกหินด้านบน รูปสลักหินเริ่มสั่นไหว จู่ ๆ รอยแตกร้าวก็เผยออกช้า ๆ รอยร้าวนั้นเปล่งแสงจาง ๆ สีแดงคล้ำ ราวกับโลหิตของดินแดนโบราณได้ตื่นจากบรรพกาล แขนทั้งสองข้างค่อย ๆ แยกออกจากลำตัว หินที่เคยเป็นเพียงชั้นเดียว กลับซ้อนทับด้วยกลไกซับซ้อนภายใน ขาแยกออกจากแท่นรอง ลำตัวหมุนขยับเหมือนกำลังลุกขึ้นช้า ๆ ด้วยพลังอันลึกลับ ในที่สุดรูปสลักมนุษย์อันสูงใหญ่ก็ลุกขึ้นเต็มความสูง หัวไหล่กว้างราวหน้าผา ข้อมือขรุขระ ใบหน้าหินไร้อารมณ์ ทว่าแววตาที่ส่องสว่างสีแดงเข้ม เป้าหมายของมันคือการทำลายบุคคลทั้งสองเบื้องหน้า

“ผู้พิทักษ์หิน…” คุณชายตงฟางหรี่ตาเอ่ยเสียงต่ำ

“คืออะไรหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงถาม สายตามิได้ละจากร่างยักษ์ตรงหน้า

“มันถูกสร้างเพื่อพิทักษ์บางสิ่งบางอย่าง… ไม่ใช่สรรพชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ไร้วิญญาณเสียทีเดียว”

ผู้พิทักษ์หินขยับแขนข้างหนึ่งอย่างเชื่องช้า หากแต่เพียงการแกว่งเบา ๆ ของมันก็ทำให้กระแสลมรุนแรงพัดผ่านจนเศษฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่ว ซิ่วอิงก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ดวงตาเบิกโพลง นางพุ่งตัวเข้าหาหินยักษ์นั่นในเสี้ยวอึดใจ ง้าวในมือฟาดออกไปอย่างแรงจู่โจมใต้แขนข้างซ้ายของผู้พิทักษ์หิน ตำแหน่งที่ควรเป็นจุดอ่อนหากเป็นคน

เปรี้ยง!!!

เสียงกระแทกดังกึกก้อง ง้าวของนางกระทบกับเนื้อหินจนสะเก็ดแตกกระจาย แต่ร่างนั้นกลับไร้รอยตำหนิแม้แต่น้อยราวกับมันถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือเทพช่างจากสวรรค์เบื้องบน แรงสะท้อนทำให้ปลายเท้าของซิ่วอิงจมลึกลงในดินครึ่งชุ่น

“อะไรกัน เหตุใดฟันแทงไม่เข้าเช่นนี้”

ซิ่วอิงพึมพำ นางลองใช้ปลายง้าวในมือกระแทกใส่ข้อมือของผู้พิทักษ์หินอีกครั้งอย่างแม่นยำ เสียงหินปะทะเหล็กดังกังวานไปทั่ว ทว่าร่างยักษ์เบื้องหน้ากลับไร้รอยร้าว

ผู้พิทักษ์หินส่งเสียงต่ำคำรามในลำคอ ร่างมหึมาก้าวเท้าอันหนักแน่นเข้ามาแต่ละก้าวราวกับจะทำให้พื้นแผ่นดินยุบตัว

“แม่นางหรงฟังข้า! ผู้พิทักษ์หิน มิอาจทำลายได้ด้วยแรงกาย ต้องโจมตีอายตนะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกของมันเท่านั้น!” 

“อายตนะศักดิ์สิทธิ์?” นางย้อนถาม ทั้งที่ยังไม่หยุดการโจมตี

“ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ… มันซ่อนอยู่ในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ฝังไว้ตามร่างของมัน ต้องใช้พลังปราณในการทำลายเท่านั้น หากเจ้าหามันให้พบ ข้าจะใช้ปราณของข้าทำลายมันเสีย”

ซิ่วอิงหยุดมือชั่วขณะ นางไม่โต้แย้งเรื่องแผนการ แต่ริมฝีปากเม้มแน่น นัยน์ตากลับขุ่นหมองเล็กน้อย

“เหตุใดข้าต้องเป็นคนเสี่ยงตายวิ่งหามันเล่า?” นางเอ่ยพลางจ้องเขาอย่างกึ่งตำหนิ “เจ้าหินยักษ์นี่ หากมันตวัดมือใส่ข้าเพียงครั้ง ข้าก็แหลกละเอียดแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะทำลายมันได้ทันท่วงที ข้าจะไม่ตายเปล่าเสียก่อนหรือ?”

คุณชายตงฟางมิได้ตอบทันที แต่แววตาของเขานิ่งลึกดุจทะเลที่ไม่เคลื่อนไหว

“เพราะข้ารู้... ว่าแม่นางทำได้” เขาตอบในที่สุด

ซิ่วอิงกระตุกมุมปากคล้ายเยาะ

“ท่านมั่นใจเกินไปหรือไม่?”

“ข้ารู้ว่าแม่นางอาจไม่มั่นใจในตัวข้า” ชายหนุ่มเอ่ยช้า ๆ “แต่ข้ามั่นใจในตัวเจ้า”

ซิ่วอิงสะอึกในอก คำพูดนั้นเหมือนหอกแหลมที่แทงเข้าในจุดที่นางซ่อนไว้ลึกที่สุด

“ข้าควรเชื่อใจคนที่แสร้งเจ็บจนให้ข้าแบกข้ามหุบเขาหรือ?” ซิ่วอิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“แม้แม่นางจะสูญสิ้นความเชื่อใจข้า... แต่ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ ข้าสัญญาว่าจะไม่ยอมให้แม่นางสิ้นใจใต้เงายักษ์นี้เด็ดขาด”

ซิ่วอิงนิ่งงันแววตานางไหววูบ หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างไร้เหตุผล... ดวงหน้าคุณชายตงฟางยามนี้จริงจังยิ่งกว่าครั้งใด ราวกับกำลังมอบทุกอย่างให้แก่คำพูดนั้น นางอยากปฏิเสธ… แต่ไม่อาจทำได้อีกต่อไป

ซิ่วอิงสบตาคุณชายตงฟางอีกครา... ก่อนที่นางจะถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจนัก

“โธ่เว้ย!”

นางสบถในลำคอเบา ๆ เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าบัดนี้จะลองเปิดใจและเชื่อใจคุณชายอีกสักตั้ง ทันทีที่ตัดสินใจได้ ง้าวคู่ใจก็ถูกจับแน่นอีกครา ซิ่วอิงพุ่งตัวออกไปด้วยความคล่องแคล่ว สายตาคมปลาบไล่สำรวจทั่วร่างหินมหึมาดั่งนักล่าผู้เชี่ยวชาญ

ซิ่วอิงเริ่มไต่ขึ้นตามร่างหินมหึมา ง้าวในมือนางมิได้ใช้เพื่อฟาดฟัน ทว่าใช้เกี่ยว ยึด และส่งตัวเองขึ้นไปตามจุดต่าง ๆ  นางเพ่งมองผิวร่างของยักษ์หินอย่างละเอียดถี่ถ้วน มองหาสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างธรรมดาของมัน

“แม่นางจงจำไว้ว่า วัตถุที่เป็นอายตนะ… มิใช่อวัยวะ หากแต่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงกลมกลืนอยู่ในร่างของมัน…” คุณชายตงฟางตะโกนมาจากด้านล่าง เขายังคงจับตาทุกฝีก้าวของนางไม่วางตา

ซิ่วอิงแม้จะมิได้ตอบกลับ แต่ใจนางก็จดจำคำของเขาไว้ไม่ตกหล่น สายตาเฉียบคมของนางกวาดผ่านแนวสลักเกลียวหิน ทันใดนั้นก็สะดุดเข้ากับสัญลักษณ์ทรงกลมเล็กจิ๋วที่เรืองแสงจาง ๆ ตรงเบ้าตาซ้ายของผู้พิทักษ์หิน มันมิใช่เพียงการแกะสลัก แต่กลับคล้ายดวงแก้วที่ฝังอยู่กลางแผ่นหิน ลักษณะเหมือนดวงตาที่แฝงอยู่ในรูปวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ดวงตานางเบิกเล็กน้อยก่อนจะตะโกนลงไปเบื้องล่าง

“เจอแล้ว!” 

ทันใดนั้นนางก็ใช้ปลายง้าวในมือตวัดฟาดใส่เบา ๆ บริเวณที่พบเป็นสัญญาณ คุณชายตงฟางรับสัญญาณนั้นได้ในบัดดล ร่างของเขาทะยานขึ้นจากพื้นดิน ฝ่าอากาศอย่างสง่างามจนชายชุดยาวสะบัดปลิว เมื่อลอยตัวถึงตำแหน่งเป้าหมาย ฝ่ามือของเขาก็เรืองแสงปราณสีฟ้าเจิดจ้าก่อนจะตวัดออกไป พลังปราณกระแทกเข้ากลางดวงแก้วศักดิ์สิทธิ์อย่างแม่นยำ เสียงแตกร้าวดังกึกก้องข้ามผืนฟ้า ดวงตาหินนั้นแหลกสลายไปในพริบตา

ต่อมา ณ ช่วงสีข้าง มีวัตถุรูปหยดน้ำฝังแนบผิวหิน ซิ่วอิงสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็ก ๆ จากมัน ราวกับได้ยินเสียงสั่นของอากาศ

“อายตนะหู…” เสียงนางพึมพำเบาราวไม่อยากให้แม้แต่ผู้พิทักษ์ยักษ์ตนนั้นได้ยิน ก่อนจะสะบัดง้าวเป็นสัญญาณส่งให้คุณชายตงฟางที่รออยู่ด้านล่าง

เขาไม่ลังเลแม้ชั่วขณะเดียว ฝ่ามือซัดพลังปราณใส่จุดนั้นจนแสงในหยดน้ำดับวูบลงในพริบตา ทั้งสองร่วมมือกันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ซิ่วอิงไต่ปีนลอบสังเกต ส่วนคุณชายตงฟางจดจำ รับช่วง แล้วทำลายอย่างแม่นยำ ในไม่ช้าก็ทำลายอายตนะจมูกที่ฝังเป็นวัตถุรูปเกลียวลมตรงกลางใบหน้า ต่อด้วยอายตนะลิ้นที่แฝงเป็นกลีบดอกบัวหินขนาดเล็กอยู่ภายในรอยแยกมุมปาก และอายตนะกายซึ่งซ่อนตัวอยู่ในแผ่นหินลายยันต์บริเวณหน้าอก จนกระทั่งมาถึงอายตนะสุดท้าย คือ อายตนะใจ

ซิ่วอิงพลิกตัวปีนขึ้นสูงอีกระดับ ท่ามกลางลมกรรโชกที่ตีใบหน้า สายตานางสาดมองไปทั่วร่างของผู้พิทักษ์หาจุดอ่อนสุดท้าย ทว่าไม่มีสิ่งใดปรากฏเด่นชัดแม้แต่น้อย นางนิ่งงันครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกตั้งจิตสงบใจ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง

และแล้ว… นางก็แลเห็นดวงแก้วใสเรืองแสงวูบวาบ ราวประกายดาวในยามคืนเดือนดับฝังอยู่กลางหน้าผากของผู้พิทักษ์หิน มันมิใช่สิ่งที่สังเกตเห็นได้ด้วยสายตาธรรมดา หากต้องอาศัยความสงบของจิตและความเข้าใจที่ฝังลึกถึงภายใน ราวกับว่าผู้สร้างมิได้ตั้งใจให้สังเกตเห็นด้วยตา 

“คุณชาย ข้าเจอใจแล้วเจ้าค่ะ!”

เสียงนางแว่วลงมาเบื้องล่าง พร้อมสัญญาณจากง้าวในมือ คุณชายตงฟางพยักหน้ารับ เขาเหาะขึ้นเบื้องบน พลังปราณแผ่ซ่านทั่วฝ่ามือ เมื่อแสงปราณปะทะดวงแก้วนั้นเสียงก็สะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องไปทั่ว

ผู้พิทักษ์หินร่างมหึมาสูงกว่า 10 จั้งเริ่มโคลงเคลงคล้ายจะถล่มลงมา แผ่นหินที่ซิ่วอิงยืนอยู่สั่นสะเทือนรุนแรง นางพยายามกระโดดออกแต่แรงสั่นทำนางเสียหลัก ร่างของซิ่วอิงร่วงหล่นจากที่สูง

“แม่นางหรง!”

คุณชายตงฟางพุ่งกายทะยานขึ้นราวสายฟ้าแลบ ฝ่ามือคว้าร่างนางได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะหมุนตัวพานางร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล พื้นดินด้านหลังสั่นสะเทือนหนักหน่วง เสียงหินแตกราวโลกจะถล่ม เมื่อหันกลับไปสิ่งที่ปรากฏเบื้องหลังคือ ร่างหินของผู้พิทักษ์ที่ล้มครืนลงมากลายเป็นเพียงซากเศษหินระเนระนาด 

ซิ่วอิงยังคงนิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนเขา รู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจตนเอง นางรีบผละออกจากคุณชายตงฟางทันทีที่รู้ตัว ก่อนจะก้าวถอยออกมาด้วยสีหน้าประหม่าแต่พยายามเก็บอาการไว้

“เอ่อ…ขะขอบคุณเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเบา ไม่สบตาเขาโดยตรง

คุณชายตงฟางไม่ได้เอ่ยคำใดเพียงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

“ข้าบอกแม่นางแล้ว ว่าจะไม่ปล่อยให้แม่นางตาย” เขากล่าวพร้อมกลั้วหัวเราะบางเบา

ซิ่วอิงยืนมองเขาเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว คล้ายละลายความขุ่นเคืองทั้งหมดลงในลมหายใจนั้น

“งั้นก็…” นางเอ่ยเบา ๆ

“หืม?” คุณชายตงฟางเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ

“ถือว่าหายกันก็แล้วกันเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบ ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง

“หายกัน?” เขาย้ำถาม

“ก็… สงบศึก ข้าคิดว่าพอแล้วที่จะตีหน้านิ่งใส่กันไปมา” นางว่าเสียงเรียบ

คุณชายหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นมิได้เย้ยหยัน หากแต่เต็มไปด้วยความโล่งใจ

“ข้าก็หวังเช่นนั้น”

ทั้งสองยืนเคียงกันอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ท่ามกลางแสงยามสายัณห์ที่ทอดลงบนซากหินเบื้องหลัง บรรยากาศแม้จะเงียบแต่กลับไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีคำสัญญา ไม่มีถ้อยคำยิ่งใหญ่ มีเพียงความเข้าใจเงียบ ๆ ระหว่างสองผู้ร่วมทางที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน และเลือกจะก้าวต่อไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

แม้ทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่แน่นอน แต่ในยามนี้ความไว้ใจได้ก่อรากขึ้นแล้วและบางที… มิตรภาพก็อาจเริ่มต้นเช่นนี้เอง



หลักฐานการต่อสู้


ดูดซับแก่นวิญญาณผู้พิทักษ์: +30 ตบะ 
- เลขไบต์ 0-4 หินอัปเกรด 1 ก้อน
- เลขไบต์  5-9 หินตีบวก 2 ก้อน
(หากมี LUK 80 ขึ้นไป) เลขไบต์หลักสุดท้าย เท่ากับจำนวนหินที่ได้ 


พรสวรรค์: นักสู้ (ม่วง)
ทุกการต่อสู้ (ประลองระบบ) จะยิ่งทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ได้รับโบนัสค่าประสบการณ์เติบโต +30 EXP


ศาสตร์การล่าสัตว์  (มือฉมังแห่งนักล่า)
3) ทุกการล่าปีศาจหรือมาร จะได้รับโบนัส +20 ตบะฝึกฝน และ เพิ่มอัตราดรอปเลข 5 เข้าไปในตัวแปรอัตราดรอป


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 36 EXP โพสต์ 2025-5-20 13:14
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-5-20 13:14
โพสต์ 62,692 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก ง้าวปีศาจปลา  โพสต์ 2025-5-19 23:15
โพสต์ 62,692 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ช่อเมล็ดข้าวมงคล  โพสต์ 2025-5-19 23:15
โพสต์ 62,692 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-5-19 23:15

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x18
x1
x55
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-5-21 01:13:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:33





วันที่ 18 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11

รุ่งอรุณเวียนกลับมาอีกครา แสงทองแรกแห่งยามเช้าเล็ดลอดผ่านช่องหินผุพังของซากโบราณเก่าแก่ ทาบลงบนพื้นหินเย็นชืดเป็นประกายอ่อนจาง สายลมบางเฉียบพัดลอดผ่านช่องว่างของกองหินเก่า นำกลิ่นอายชื้นของดินและซากศิลาโบราณมาแตะจมูกอย่างแผ่วเบา กลิ่นนั้นเปรียบเสมือนเสียงสะท้อนจากอดีตกาลที่มิอาจเลือนหาย

คุณชายตงฟางยืนนิ่งมองไปยังทางเดินเบื้องหลังกองซากหินของผู้พิทักษ์ที่ถูกปราบลงเมื่อวาน เขาไม่พูดอะไร แต่ในดวงตามีความคิดมากมายวนอยู่ไม่หยุด

“มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงถามขณะย่างเท้าเข้ามาข้างเขา

“ข้าสัมผัสถึงพลังงานที่ปั่นป่วน... มันอยู่ใกล้กว่าครั้งก่อน ๆ ยิ่งนัก”

"ใกล้เพียงใดหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเลิกคิ้ว

เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตอบ

“ข้าคิดว่า... ผู้พิทักษ์หินตนนี้ย่อมมิได้ถูกสร้างขึ้นโดยไร้เหตุ หากแต่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ต้องเฝ้ารักษาไว้... แสดงว่าข้างในนี้มีของสำคัญซ่อนอยู่เป็นแน่”

“หมายความว่า…” ซิ่วอิงหรี่ตาเบา ๆ อย่างใคร่ครวญ

“เรามาอยู่ ณ ใจกลางเขาหัวซานแล้วจริง ๆ” ตงฟางตอบ ดวงตายังคงมองตรงไปยังเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเงามืดของช่องเขา

“ถ้าเช่นนั้นเราเข้าไปสำรวจด้านในเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเดินนำระวังภัยให้เอง” 

ซิ่วอิงเดินสาวเท้าออกนำไปก่อน ง้าวในมือถูกกำไว้แน่น นางกวาดสายตามองไปทั่วทุกมุมของทางเดินอย่างระแวดระวัง ฝ่าเท้าประคองร่างอย่างสมดุลราวนักรบผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วน (ทั้งที่ไม่เคยผ่านศึกใด) 

ข้างหลังนาง คุณชายตงฟางเดินตามมาอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งลูบผ่านผนังหินเพื่อจับสัมผัสของพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ภายในโพรงเขาเก่าแก่ แววตาเขาฉายแววความเคร่งเครียด ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาราวกับจับต้องได้ถึงบางสิ่งที่กำลังคลายตัว… บางสิ่งที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา…

เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังก้องสะท้อนในอุโมงค์แคบสายหนึ่งซึ่งทอดยาวลึกเข้าไปในอ้อมอกของเขาหัวซาน เส้นทางเบื้องหน้าถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา แต่ยังคงมีร่องรอยของฝีมือมนุษย์จากยุคโบราณปรากฏอยู่ 

ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าผนังหินเรียบผืนหนึ่งซึ่งแตกต่างจากบริเวณอื่นโดยสิ้นเชิง แผ่นหินขนาดมหึมานั้นตั้งตระหง่าน เงียบงันและมั่นคง หากแต่ทอแสงประกายแปลกประหลาดอยู่ภายใน เมื่อเพ่งพินิจดี ๆ จะพบว่าใจกลางของแผ่นหินนั้นมีรอยร้าวบาง ๆ แผ่กระจายเป็นใยแมงมุม ลำแสงสีครามแผ่วเบารั่วไหลลอดออกมาเป็นระยะ 

คุณชายตงฟางยกมือแตะเบา ๆ ที่ผิวหิน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แฝงอยู่ใต้เปลือกผนึก ดวงตาเขาเหลือบมองเส้นอักขระที่เรืองแสงอยู่รอบผนึกนั้น ก่อนจะหลับตาลงเพียงครู่

“ไม่ผิดแน่…” เขากระซิบแผ่วราวพูดกับตนเอง “ผนึกนี้กำลังคลายตัว…”

“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” 

คุณชายตงฟางค่อย ๆ ลืมตามองตรงไปยังแผ่นหิน สีหน้าเขาสงบนิ่งหากแต่แววตากลับเคร่งเครียด

“พลังของภูเขานี้ไม่ได้นิ่งสงบอีกต่อไป มีบางอย่างรบกวนสมดุลของมัน…” เขาหยุดเว้นวรรคครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เป็นไปได้ว่าจุดหลอมรวมพลังปราณใต้เขาหัวซานกำลังสั่นคลอน และผนึกนี้คือสิ่งที่ค้ำจุนมันไว้”

ซิ่วอิงชะงัก ดวงตานางหันไปมองแผ่นหินอีกครั้งอย่างตื่นตัว

“หรือว่า…” คุณชายตงฟางพูดช้าลง “วิญญาณของภูเขาอาจกำลังพิโรธ อาจมีใครบางคนทำลายกฎเก่าบางประการ หรือใช้พลังในทางที่ผิด ความไม่สมดุลจึงขยายตัวออกเรื่อย ๆ และถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานจุดหลอมรวมนั้นอาจระเบิดได้จริง ๆ”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น…เราต้องปิดผนึกนี้ให้กลับคืนสภาพเดิมใช่หรือไม่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงถามเสียงเคร่งเครียด

“ข้าจะลองใช้ปราณของข้าลองปิดผนึกมันกลับอีกครั้งดู” 

คุณชายตงฟางจ้องแผ่นหินนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ สูดลมหายใจลึก แล้วรวบรวมพลังปราณภายใน ส่งกระแสปราณไปยังใจกลางของแผ่นหินนั้นอย่างระมัดระวัง กระแสพลังไหลเข้าไปแตะกับผนึกโบราณภายใน แต่ทันทีที่สัมผัสถึงกัน แสงแห่งอักขระกลับสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะผลักพลังนั้นกลับมาอย่างรุนแรงจนคุณชายตงฟางต้องถอยหลังหนึ่งก้าว

“คุณชาย! เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงเอ่ยถามพร้อมเข้ามาพยุงอย่างห่วงใย

“ไม่เป็นไร” เขาส่ายหน้าเบา ๆ ขณะหายใจเข้าออกเพื่อปรับสมดุลพลังในกาย “ผนึกนี้ไม่รับพลังปราณโดยตรง”

เขาหันกลับไปจ้องลึกลงไปในลายอักขระบนแผ่นหิน แววตาเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“ดูจากลักษณะผนึกแล้ว…” เขาพึมพำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด “นี่มิใช่เพียงผนึกพลังธรรมดา แต่น่าจะเป็นผนึกระดับสูงที่ใช้วิชาอาคมควบรวมกับพลังแห่งฟ้าและดิน”

เขาเดินวนรอบแผ่นหินช้า ๆ ปลายนิ้วแตะผ่านอักขระแต่ละเส้นราวกับพยายามอ่านใจมัน

“การจะปิดมันกลับไปอีกครั้ง คงไม่อาจใช้เพียงพลังปราณบริสุทธิ์ แต่จำต้องมีคาถาผนึกหรือพิธีกรรมบางอย่างประกอบร่วมด้วย”

ซิ่วอิงนิ่งไปชั่วครู่ นางรู้ดีว่าคุณชายตงฟางต้องเป็นนักปราชญ์ที่ไม่ธรรมดา จึงเอ่ยถามไปอย่างมีความหวัง

“คาถาผนึกหรือเจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นคุณชายพอจะรู้คาถาหรือไม่?”

คุณชายตงฟางไม่ได้ตอบในทันที เขาหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนสูดลมหายใจลึกราวกับพยายามทบทวนตำราทั้งหมดที่เคยผ่านตา

“ข้าเองก็ไม่ทราบคาถาผนึกนั้น” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แต่หากมีใครบางคนเป็นผู้สร้างผนึกนี้ขึ้น ย่อมต้องมีผู้บันทึกวิธีควบคุมมันไว้เช่นกัน บางที…คัมภีร์นั้นอาจยังหลงเหลืออยู่ ณ ที่แห่งนี้”

“หมายความว่า…” ซิ่วอิงเอ่ยแผ่วเบา สายตากวาดมองไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง “คัมภีร์นั้นอาจถูกซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งภายในภูเขาแห่งนี้หรือเจ้าคะ?”

“ใช่” คุณชายตงฟางพยักหน้าช้า ๆ “หากที่นี่เป็นจุดหลอมรวมพลังงานหลักของเขาหัวซาน และเป็นศูนย์กลางของผนึก คัมภีร์หรือวัตถุบูชาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุล ก็ต้องถูกเก็บไว้ใกล้ ๆ ไม่ห่างจากที่นี่นัก”

เขาก้มลงใช้ปลายนิ้วลูบไปตามเส้นอักขระบนพื้นซึ่งทอดยาวจากแผ่นผนึกเข้าสู่เบื้องลึกของโพรงหิน 

“อาจมีห้องลับหรือวิหารโบราณที่ถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา เราจำเป็นต้องหามันให้พบ ก่อนที่สมดุลทั้งหมดจะพังทลายลง”

คุณชายตงฟางเดินช้า ๆ ไปทางผนังหินใกล้เคียง พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับพื้นผนังหินอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังอ่านสัญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่องรอยของหินผุกร่อน ซิ่วอิงถือคบไฟเดินมาข้าง ๆ แสงสลัวส่องสะท้อนผนังเผยให้เห็นลวดลายประหลาดที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

“ดูนี่สิเจ้าคะ...” ซิ่วอิงชะงัก แล้วชี้ไปยังผนังด้านหนึ่ง “เหมือนจะมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่างซ่อนอยู่”

คุณชายตงฟางหรี่ตาเพ่งตามแสงไฟ เมื่อเพ่งพินิจดี ๆ ก็พบว่าเป็นลายเส้นวงกลมซ้อนทับกันเจ็ดชั้น แต่ละชั้นเต็มไปด้วยอักขระโบราณที่มิอาจอ่านได้ทันที

“นี่มัน…” เขาขยับนิ้วเข้าไปใกล้ นิ้วของเขาแตะเบา ๆ บริเวณใจกลางของสัญลักษณ์นั้น

ทันใดนั้นผนังหินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงกลไกเก่าดังก้องอยู่ภายในผืนหิน ก่อนพื้นผนังจะเปิดเผยช่องเล็ก ๆ ขนาดประมาณหีบหนึ่งฝ่ามือ ภายในช่องนั้นมีหีบไม้ดำสนิทวางนิ่งอยู่ ฝุ่นหนาปกคลุมจนเกือบกลืนไปกับหินโดยรอบ

เขาเอื้อมมือหยิบหีบนั้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง กลไกโบราณยังคงสมบูรณ์ นั่นแสดงว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องมันมานานนับร้อยปี เขาเปิดฝากล่องออกอย่างช้า ๆ และภายในนั้นคือม้วนตำราเก่าแก่ถูกห่อด้วยผ้าไหมที่แทบกลายเป็นสีดำจากกาลเวลา

“นะ…นี่มัน… คัมภีร์?”

คุณชายตงฟางคลี่คัมภีร์ออกเต็มแผ่น แสงคบไฟสะท้อนกับอักขระโบราณที่เขียนด้วยหมึกสีดำเข้มบนผ้าไหมสีทองที่สีคล้ำจนเกือบดำ เขาขมวดคิ้วไล่สายตาอ่านอักขระโบราณนั้นที่แม้แต่ซิ่วอิงเองก็ไม่เข้าใจเลยสักคิดว่ามันเขียนว่าอะไร

“คัมภีร์นี้กล่าวถึงพิธีกรรมโบราณที่ใช้ประสานพลังธาตุทั้งห้าให้กลับคืนสู่สมดุล ต้องทำ ณ จุดหลอมรวมพลังปราณ และต้องประกอบพิธีให้จบโดยไม่หยุดชะงักแม้ชั่วลมหายใจ”


“ต้องไม่หยุดเลยหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเอ่ยถาม 

“ใช่” เขาพยักหน้า “หากพิธีถูกขัดจังหวะ ผนึกจะพังทลายและจุดหลอมรวมจะระเบิดออกทันที พลังนั้นอาจล้างทั้งยอดเขาให้เป็นเพียงฝุ่นธุลี”

เขาหยุดเว้นวรรค ก่อนมองสบตาซิ่วอิงอย่างแน่วแน่

“ข้าจะเป็นคนประกอบพิธีเอง ส่วนแม่นางหรง… ข้าขอฝากหลังไว้กับเจ้า”

ซิ่วอิงชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อสบตาคุณชายแล้วพบว่าสีหน้าของเขามีความไว้เนื้อเชื่อใจนางมากเพัยงใด นางจึงพยักหน้าเงียบ ๆ สายตาแน่วแน่

“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งใดเข้าใกล้ท่านได้แม้เพียงคืบ”

ใต้แสงสลัวของคบเพลิงและลำแสงที่ไหลซึมออกจากรอยร้าวบนแท่นหินผนึก ทั้งสองร่วมกันจัดเตรียมพิธีกรรม คุณชายตงฟางอ่านอักขระโบราณจากคัมภีร์ด้วยสายตาแน่วแน่ ในขณะที่ซิ่วอิงจัดวางอักขระยันต์ลงตามจุดเชื่อมปราณรอบผนึกตามคำแนะนำของเขา


“จุดธาตุทั้งห้าต้องเชื่อมต่อกันเป็นวงครอบใจกลางผนึก เมื่อพลังเคลื่อนไหวสมดุลพิธีจะเริ่มได้” คุณชายตงฟางกล่าว ขณะใช้พู่กันจุ่มหมึกวาดวงอักขระสุดท้ายลงบนพื้นหินตรงใจกลาง

“เจ้าวางยันต์ไว้ด้านทิศใต้ ส่วนข้าจะเปิดพลังนำเข้าทางเหนือ”

ซิ่วอิงพยักหน้ารับและปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล เมื่อจุดพลังทุกจุดถูกวางจนครบ คุณชายตงฟางจึงลุกขึ้นช้า ๆ แล้วหันไปพยักหน้าให้ซิ่วอิง

“จากนี้ไปข้าจะเริ่มพิธีและจะหยุดไม่ได้จนกว่าจะเสร็จสิ้น”

ซิ่วอิงถือง้าวขึ้นอย่างมั่นคง สองเท้ายืนตรึงแน่นบนพื้น ดวงตาเรียบนิ่ง

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะปกป้องพิธีนี้เอง!”

คุณชายตงฟางหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มเปล่งเสียงภาษาบรรพกาลออกมา เสียงบทสวดเริ่มต้นอย่างช้า ๆ ทว่าทรงพลังยิ่ง ราวกับเรียกขานบางสิ่งจากห้วงลึกของผืนดิน เส้นอักขระเริ่มเรืองแสงขึ้นทีละเส้นดุจพลังของโลกกำลังถูกปลุกให้ตื่น

และในวินาทีนั้นเอง พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แสงจากใจกลางผนึกกระพริบวาบแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงหม่น เสียงแหลมดังกรีดอากาศ แล้วร่างอันบิดเบี้ยวของมนุษย์มารตนหนึ่งก็ทะลุผ่านเงามืดออกมา จากหนึ่งกลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นห้า ร่างทั้งห้าแผ่กลิ่นอายมืดดำ แววตาเรืองแสงสีเลือดสะท้อนจิตสังหาร

คุณชายตงฟางไม่มีท่าทีไหวติง เขายังคงดำเนินพิธีต่อไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าเชื่อในฝีมือของซิ่วอิงว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ภายนอกได้

“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”

ซิ่วอิงยกง้าวขึ้นกระโจนออกไปยืนขวางเบื้องหน้า มนุษย์มารตนหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วผิดมนุษย์ นางหมุนตัวแล้วตวัดง้าวอย่างเฉียบคมทำลายร่างของมัน แรงปะทะสะท้อนกลับมาจนปลายผมสะบัด แต่ซิ่วอิงยังคงยืนมั่นไม่ถอยหนี 

มนุษย์มารอีกตนพุ่งโจมตีเข้ามาจากด้านข้าง นางพลิกตัวเบี่ยงหลบอย่างชำนาญ ก่อนเหวี่ยงง้าวเข้าใส่ร่างมารอย่างแม่นยำ จนร่างนั้นสลาย

เสียงคำรามของมนุษย์มารสลับกับเสียงบทสวดของคุณชายตงฟางกึกก้องอยู่ทั่วโถงพิธี พลังของพิธีเริ่มเคลื่อนไหวแรงขึ้น แผ่นดินสั่นถี่ขึ้นทุกขณะ

มนุษย์มารตนที่สามพุ่งเข้าหาพิธีตรงกลางพร้อมเสียงคำรามต่ำ ซิ่วอิงเปลี่ยนท่าจากรับเป็นรุก สะบัดปลายง้าวกวาดเป็นเส้นโค้งขึ้นจากพื้นตัดผ่านร่างของมันในพริบตา ร่างมารนั้นหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะค่อย ๆ แตกสลายเป็นผุยผงกลางอากาศ

เสียงบทสวดจากคุณชายตงฟางยังคงก้องกังวานรอบโถงพิธี พลังจากเส้นอักขระเรืองแสงเข้มขึ้นทุกขณะ มนุษย์มารสองตนที่เข้าหาซิ่วอิงพร้อมกัน สองมือแผ่พลังมารสีดำคล้ำออกเป็นระลอกคลื่นรุนแรง เสียงของมันแหลมต่ำ 

ซิ่วอิงรู้ทันทีว่าถ้าหากให้มันเข้าใกล้วงพิธีแม้เพียงครึ่งก้าว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดจะพังทลาย นางขบฟันแน่นพุ่งตัวออกไปกระแทกแรงด้วยด้านทู่ของง้าวเข้าที่ลำตัวของมารตนหนึ่ง มันลอยกระเด็นกระแทกผนังหินจนแตกเป็นรอยร้าว เสียงแตกดังลั่นไปทั่วโถง

แต่ยังไม่ทันที่นางจะตั้งหลักได้ดี พลังมารจากอีกตนก็สาดเข้าใส่จากทางด้านข้าง ดั่งคลื่นลมมืดซัดเข้ากลางอก

ตึง! 

ร่างของซิ่วอิงกระเด็นถอยไปสองก้าว กระอักเลือดเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่ยอมล้มลง มือยังคงกระชับง้าวมั่น

“แค่นี้เองหรือ?” นางแสยะยิ้ม

มารเงาตนที่สองไม่ยอมปล่อยโอกาสไปง่าย มันพุ่งตามเข้ามาอีกครั้ง ปล่อยกรงเล็บอาบพลังมารแหวกอากาศหวังเจาะลำคอของนาง ซิ่วอิงเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด ง้าวในมือนางหมุนกลับอย่างแม่นยำ ก่อนฟาดลงเฉียง ๆ เข้ากลางสีข้าง ราวกับตัดผ่านพลังมารด้วยแรงกล้าจากจิตวิญญาณนักรบ เสียงหวีดร้องดังลั่น ร่างมารสะบัดแรงครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ สลายไปในหมอกดำ 

ยังเหลือมนุษย์มารอีกตนที่บาดเจ็บแต่ยังไม่สิ้นใจ มันคำรามโกรธเกรี้ยว พลังมารพวยพุ่งออกจากฝ่ามือเป็นเกล็ดมืดราวกับเข็มพิษ พุ่งเข้าใส่เป็นชุด ซิ่วอิงหมุนตัวใช้ง้าวกวาดปัดการโจมตีอย่างแม่นยำ แม้จะถูกเฉียดที่แขนจนเลือดไหลซึม แต่นางไม่ยั้งมือ โถมเข้าใส่ศัตรูด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่

“ตายซะ!” 

ง้าวฟาดตัดเฉียงจากไหล่ถึงสะเอวอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังกรอบแกรบ มารตนนั้นทรุดลง พร้อมกับแสงดำที่หลุดลอยจากร่างของมันอย่างช้า ๆ

ความเงียบกลับมาเยือนในพื้นที่อีกครั้ง ซิ่วอิงทรุดตัวลงนั่งค้ำง้าวไว้กับพื้น นางหอบหายใจถี่ เหงื่อไหลอาบแก้มปะปนเลือดแต่แววตายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ตรงกลางวงพิธีคุณชายตงฟางยังคงไม่ไหวติงต่อสิ่งใด น้ำเสียงมั่นคงของเขาเอ่ยเป็นถ้อยคำสุดท้ายในบทพิธี พลังปราณบริสุทธิ์จากร่างของเขาค่อย ๆ ไหลหลอมรวมเข้าสู่รอยผนึกที่กลางหิน ผสานเข้ากับพลังของอักขระโบราณ

ทันใดนั้น แสงสีฟ้าเย็นจากอักขระโอบล้อมผนึกไว้โดยสมบูรณ์ รอยร้าวค่อย ๆ ปิดสนิท แผ่นหินกลับคืนสภาพมั่นคงดั่งเดิม ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน เสียงสวดจางหายไปพร้อมกับลมเย็นสายหนึ่งที่พัดผ่านโถง

คุณชายตงฟางลืมตาขึ้น มองแผ่นหินตรงหน้า แล้วยิ้มน้อย ๆ

“สำเร็จแล้ว”

แสงอักขระสุดท้ายค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนใต้พื้นดินที่สงบลง คุณชายตงฟางเดินตรงเข้ามาหาซิ่วอิง ผู้ยังคงนั่งพิงง้าวอย่างเหน็ดเหนื่อย เลือดที่ไหลจากบาดแผลบนแขนและไหล่ซึมเข้ากับเนื้อผ้า แต่ใบหน้าของนางกลับมีแต่รอยยิ้มที่สามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จเสร็จสิ้น

“แม่นางเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ข้าไม่เป็นไรมากหรอกเจ้าค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย แม้จะเจ็บแต่ก็ไม่ยอมแสดงออกมากนัก

“มานี่ ข้าขอดูแผลหน่อย” เสียงของคุณชายตงฟางฟังดูนุ่มนวลแต่จริงจัง

คุณชายตงฟางย่อตัวลงข้าง ๆ ซิ่วอิง ก่อนจะวางฝ่ามือเบา ๆ เหนือบาดแผลไม่แตะต้องโดยตรง แต่ส่งปราณอ่อน ๆ ผ่านฝ่ามือ กระแสพลังปราณอุ่นไหลซึมเข้าสู่ร่างของซิ่วอิงช้า ๆ 

“บาดแผลของแม่นางมิได้ลึกมาก ข้าแค่ช่วยห้ามเลือดให้แผลสมานได้เร็วขึ้น ที่เหลือก็คือพักผ่อนรักษาตัวให้ดี”

คุณชายตงฟางถอนมือกลับ แล้วนั่งลงข้าง ๆ นาง ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังผนึกเบื้องหน้าซึ่งบัดนี้สงบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ซิ่วอิงขยับตัวเล็กน้อยมองรอยแผลที่บนแขนตนเองที่เลือดหยุดลงแล้ว ก่อนจะปรายตามองคุณชายตงฟางซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง 

“ขอบคุณนะเจ้าคะ ที่ช่วยข้าอีกแล้ว”

“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณ พิธีนี้จะสำเร็จไม่ได้หากไม่มีแม่นางคอยช่วยเหลือ” เสียงของเขาราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

ซิ่วอิงส่ายหน้าช้า ๆ 

“ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ข้าพอจะทำได้เท่านั้นเจ้าค่ะ ไม่มีสิ่งใดน่ายกย่อง”

“ในช่วงพิธี ข้าได้ยินเสียงคำรามของพวกมัน ได้กลิ่นเลือดในอากาศ แต่ข้ากลับไม่แม้แต่จะหันไปมองเพราะข้าไว้ใจแม่นาง”

ถ้อยคำที่แม้จะกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยน้ำหนักจนหัวใจของซิ่วอิงสะท้าน นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวคำเดิมซ้ำอีกครั้ง

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

“ขอบคุณอีกแล้วหรือ?” ตงฟางเอ่ยแซวเบา ๆ พลางยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก

“คราวนี้ไม่ได้ขอบคุณในฐานะผู้มีพระคุณ แต่ขอบคุณที่ไว้ใจเจ้าค่ะ ข้าเองที่สามารถยืนหยัดสู้มาได้จนสำเร็จเพราะข้าเองก็ไว้ใจคุณชายเช่นกันว่าท่านต้องทำสำเร็จ”

แววตาของคุณชายตงฟางอ่อนลงทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนั้น

“ดูเหมือนพวกเราจะเชื่อใจกันและกันมากกว่าที่ข้าคิดไว้นะ”

“นั่นสิเจ้าคะ” ซิ่วอิงตอบด้วยรอยยิ้ม

ทันใดนั้นคุณชายตงฟางก็คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาควักบางสิ่งออกจากชายแขนเสื้อ เป็นหินสลักผิวของมันมีลวดลายอักขระโบราณบางเบา คล้ายพลังเร้นลับยังคงแฝงอยู่ภายใน จากนั้นก็ยื่นมันให้นาง

“อะไรหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงรับมาอย่างแปลกใจ

“ข้าได้มาตอนทำพิธีเจ้าเก็บไว้ก็แล้วกัน เป็นที่ระลึกสำหรับเหตุการณ์วันนี้”

ซิ่วอิงนิ่งมองหินในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม 

“แล้วเช่นนั้นคุณชายล่ะเจ้าคะ?”

คุณชายตงฟางยิ้มบาง แล้วยกหินสลักอีกชิ้นขึ้นมา 

“ข้าก็มีเช่นกัน”

“เช่นนั้น พวกเราก็มีกันคนละอัน เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพสินะเจ้าคะ”

คุณชายตงฟางพยักหน้าเบา ๆ

“ต่อไปนี้เจ้าคงปฏิเสธการเป็นสหายข้าไม่ได้แล้วกระมัง?”

ซิ่วอิงมองเขานิ่ง ก่อนจะยิ้มแทนคำตอบรับ ความสัมพันธ์ที่เคยคลุมเครือค่อย ๆ เปลี่ยนแปรเป็นสายใยแห่งมิตรภาพที่มั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้ทั้งคู่เห็นถึงความสำคัญของอีกฝ่าย แม้จะต่างคน ต่างที่มา แต่เมื่อได้ร่วมมือกันพวกเขาก็เป็นคู่หูที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และบัดนี้ทั้งคู่ก็ได้เป็นสหายกันแล้วอย่างแท้จริง…



-จบภารกิจปลดล็อกหัวใจ-
รางวัล: หัวใจ +1-2 ดวงขึ้นกับเนื้อหาการผจญภัยทั้งคู่ , +30 คุณธรรม -50 ความชั่ว


รางวัลที่เลือก
1) หินสลักโบราณ = เป็นส่วนหนึ่งของผนึกหรือกลไกที่พวกเขาช่วยกันซ่อมแซม หินก้อนนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและการทำงานร่วมกัน และพวกเขาได้แบ่งกันเก็บคนละชิ้นเพื่อสื่อถึงมิตรภาพ

รางวัลพิเศษ: ปลดล็อกความทรงจำโลกเดิม 1 เหตุการณ์ 


หลักฐานการต่อสู้

พรสวรรค์: นักสู้ (ม่วง)
ทุกการต่อสู้ (ประลองระบบ) จะยิ่งทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ได้รับโบนัสค่าประสบการณ์เติบโต +30 EXP

ศาสตร์การล่าสัตว์  (มือฉมังแห่งนักล่า)
3) ทุกการล่าปีศาจหรือมาร จะได้รับโบนัส +20 ตบะฝึกฝน และ เพิ่มอัตราดรอปเลข 5 เข้าไปในตัวแปรอัตราดรอป



@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-5-21 10:00
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 160 โพสต์ 2025-5-21 10:00
หญิงสาวคนนั้นโดนโจมตีอย่างหนักหน่วง บาดแผลสะบัดสะบอมเต็มตัว เสียงร้องเจ็บปวดก่อนภาพตัดไป  โพสต์ 2025-5-21 09:59
ในขณะคุณดูดาวคุณเห็นเพียงคนเดียว ใบหน้าของสาวน้อยที่เตือนคุณว่าอย่าเข้าไปแต่คุณก็ดื้อจนเกือบตาย และมียักษ์ตัวสีฟ้ากำลังต่อสู้กับหญิงสาวคนนั้นอย่างทุลักทุเล   โพสต์ 2025-5-21 09:59
ตงฟางซั่วชวนคุณไปส่วนลึกของที่นี่ และรอจนเวลากลางคืน บนแผ่นศิลานั่นบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ ๆ ดูดาวที่สวยที่สุดในไต้หล้า  โพสต์ 2025-5-21 09:57

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +20 ย่อ เหตุผล
Admin + 20

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x18
x1
x55
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้