ปีที่ 10 แห่งรัชศกเจี้ยนหยวน รัชสมัยฮั่นอู่ตี้ ในห้วงซวงเจี้ยง — ยามต้นเหมันตฤดู น้ำค้างเย็นจับเกล็ดบนปลายพฤกษา ลมเย็นเยือนฉางอันใต้ม่านหมอกบาง
ยามสายอันเงียบสงัดเหนือวังหลวง แสงดาวเปล่งประกายบนม่านฟ้าสีม่วงหม่น ห้วงนภาถูกเจาะด้วยรัศมีของ ดาวจื่อเวย (紫微) ส่องแสงม่วงอมทองเฉกเช่นหยกจักรพรรดิ ลอยค้างอยู่ตรงศูนย์กลางฟ้า ตรงตำแหน่งเหนือยอดตำหนักตงเฉิน
กลุ่มดาว ชิงหลง ขดกายดั่งมังกรสวรรค์ ลอยวนอยู่เบื้องซ้าย ดาวศุกร์แห่งโลหะ (金星) ทอประกายดุจง้าวสวรรค์ ตีแสงกับดาวอังคาร (火星) ที่ร้อนดั่งเพลิงแห่งอำนาจ
ขณะนั้น พระสนมจากต่างภพผู้ได้รับเมตตาจากสัจเทพอี๋เหอ กำลังประสูติโอรสที่ก่อกำเนิดโดยจิตวิญญาณผู้ล่วงลับจากโลกอื่น ดาราห้าธาตุ พร้อมใจกันเคลื่อนเข้าสู่ “ลำดับประสานห้า” ราวกับฟ้ากำหนด
“ยามหนึ่งดาวเหนือจรัสฟ้า
เหนือตําหนักมหาราชาเลิศศรี
จื่อเวยเคลื่อนคล้อยราวบ่งชี้
บุตรฟ้าผู้มีโชคชะตา
‘ดาวห้าเรียงร้อยกระจ่างฟ้า
มังกรฟาดหางวาดเวหาโบยบิน
ลมเหนือกระซิบสัจธรรมจินต์
องค์ชายนี้สิ้น เงาฟ้าเงาไฟ’
ชาติก่อนจากสิ้นวิญญาณหนึ่ง
ชาตินี้จึงซึ้งฟ้ากําหนดใหม่
แม้ยังเยาว์วัยไร้อํานาจใด
แม้ไร้สำเนียง โลกกลับฟัง…”
“หรูเสวียน” (如璇) — นามซึ่งเปล่งประกายเฉกเช่นดาวพร่างเหนือห้วงนภา
พระนามนี้ได้รับพระราชทานโดยจักพรรดิฮั่นอู่ตี้ ด้วยทรงสดับพระประสงค์แห่งลู่กุ้ยเฟย ผู้เชื่อมั่นในพลังของชื่อ ซึ่งมิใช่เพียงคำเรียกขาน หากคือคำอธิษฐานที่ฝากไว้กับฟ้าดิน
โอรสสวรรค์ปรารถนาให้บุตรเติบโตขึ้นเป็นบุรุษผู้เฉิดฉายดุจดวงดาวบนสรวงสวรรค์ งามสง่าในคุณธรรม เปี่ยมแสงส่องนำผู้คน มิคล้อยตามเงามืดของโชคชะตา ดังนั้น จึงเลือกนามว่า “หรูเสวียน” ซึ่งหมายถึง “ประหนึ่งดวงดาวศักดิ์สิทธิ์” หรือ “หยกงามล้ำที่ฉายประกายเหนือเวหน” เพื่อสะท้อนความหวังลึกซึ้งให้ผู้ถือครองพระนามก้าวสู่เส้นทางที่สง่างามดั่งหยกฟ้า
เมื่อหลิวหรูเสวียนได้ถือกำเนิดในวังหลังแห่งราชวงศ์ฮั่น ท่ามกลางฤกษ์ดาวพิเศษที่ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ข่าวการประสูติของพระโอรสองค์แรกจากพระสนมลู่ ณ ตำหนักแรกอรุณแห่งเหมันต์ สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วตำหนักฝ่ายใน
กระนั้น สิ่งที่ทำให้เหล่าข้าราชบริพารพูดถึงไม่ใช่เพียงฐานะของพระมารดา หากแต่เป็นลักษณะการเติบโตขององค์ชายผู้ไม่เหมือนใคร
ในช่วงห้าเดือนแรกหลังถือกำเนิด ร่างกายของหรูเสวียนเจริญวัยรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ จากทารกอ่อนแอในอ้อมแขนแม่ กลายเป็นเด็กวัย 12 ขวบ ภายในระยะเวลาอันสั้น
ช่วงเวลาการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้สิ้นสุดลงเมื่ออายุร่างกายครบสิบสองปี นับจากนั้น ร่างขององค์ชายก็จะเจริญเติบโตตามเวลาปกติเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป
กล่าวกันว่าองค์ชายหลิวหรูเสวียนเติบโตในห้วงฝันแห่งแดนเร้นจิต ท่ามกลางอักขระแสงและเสียงสอนของเหล่าเทพ จึงสามารถเจริญวัยจากทารกจนถึงวัยสิบสองในเวลาเพียงห้าเดือน เพื่อให้ร่างกายสามารถประคองดวงวิญญาณพิเศษนี้ได้ทันฤกษ์ฟ้า
องค์ชายหลิวหรูเสวียนมิใช่เด็กเงียบ หากกลับร่าเริง สดใส มีชีวิตชีวา ไม่ถือตัวตามฐานะที่ได้รับ นอกจากจะจำนรรจาคล่องแคล่วและช่างพูดแล้ว ยังเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดเกินวัย เข้าใจคนง่าย และอ่านบรรยากาศรอบตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
มารยาทของเขาเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ แม้ในบางครั้งจะดูแกล้ง ๆ เฉไฉ หรือมีเล่ห์เหลี่ยมบ้างแบบเด็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยล้ำเส้นจนน่าหมั่นไส้ มีความสามารถในการละลายความตึงเครียดรอบตัวได้โดยไม่ต้องพยายามมากนัก
พระสนมลู่ ผู้ให้กำเนิดพระโอรส มีชื่อเสียงในวังว่าเป็นหญิงผู้มีความงามเป็นเลิศเกินพรรณา ทั้งมีกิริยามารยาทงดงาม และเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งวังหลวงว่าโอรสสวรรค์โปรดปรานพระชายายิ่งนัก เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าขุนนางและนางในทั้งปวง
นางเลี้ยงดูลูกชายด้วยตนเองในช่วงต้น เพื่อป้องกันสายตาผู้คนที่อาจมองเขาเป็น “ความผิดปกติ” ของสวรรค์ หรือข้อครหาที่แย่ยิ่งกว่า ซึ่งอาจจะมีผู้คิดขึ้นมาเพื่อติฉินสตรีผู้บริสุทธิ์ ดุจหยกขาว ให้มีรอยด่างด้วยใจริษยาอาฆาต
เมื่อเติบโตขึ้นในตำหนักตงเฉินที่สงบงาม หรูเสวียนจึงซึมซับความอ่อนโยนของมารดา และเรียนรู้มารยาทในราชสำนักจากเหล่านางกำนัลผู้มากประสบการณ์
นอกเหนือจากพระมารดาแล้ว องค์ชายหรูเสวียนกับหลิงหยวนกงจู่ผู้เป็นพระเชษฐภคินีหรือเว่ยจางกงจู่ผู้เป็นพระขนิษฐา มักถูกเชิญให้ไปยังตำหนักเซวียนเต๋อของ เซี่ยวจื่อไท่โฮ่ว อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่วัยยังไม่ทันลืมตาเต็มที่จนเติบใหญ่ในพริบตา ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชนัดดาและพระอัยยิกาจึงค่อย ๆ พัฒนาไปในทางที่ดี
แม้ในคราแรก หวงไท่โฮ่วจะออกอาการตื่นตระหนกเล็กน้อยต่อร่างกายที่พัฒนาเร็วกว่าธรรมชาติขององค์ชาย แต่ด้วยกิริยานอบน้อมและความพยายามอันน่ารักของเด็กชายที่มักพยายามเรียนรู้มารยาทต่าง ๆ อย่างตั้งใจ ท่านจึงเริ่มอ่อนลงและเปิดใจรับ
ในบางครา แม้หวงไท่โฮ่วจะอดบ่นไม่ได้ด้วยน้ำเสียงคร้าน ๆ ว่า “เหตุใดจึงโตเร็วนัก อ้ายเจียยังมิทันได้เห็นตอนคลานเสียด้วยซ้ำ” แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับมีแววเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
องค์ชายจึงเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในวังสองนาง ผู้หนึ่งคือพระมารดาผู้เงียบงาม และอีกผู้คืออัยยิกาผู้พูดตรงแต่ใจดี
ท่ามกลางสายตาของทั้งสองผู้เฝ้ามองการเติบโตของเขา หรูเสวียนเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์ หรือวัยที่แท้จริงของตน แต่จงเป็นคนที่ใช้หัวใจในการพัฒนาตัวเอง
หลิวหรูเสวียนยังคงเติบโตขึ้นท่ามกลางความคาดหวัง และคำถามมากมายที่ไม่มีใครตอบได้ และสิ่งที่เหล่าผู้เฝ้ามองเส้นทางบัลลังก์สงสัย… เขาคือเด็กชายที่มีโอกาสได้เป็น ‘ไท่จื่อ’ ในอนาคต หรือจะเป็นเพียงแค่มังกรที่ไร้โอกาสเหินสู่เมฆากันแน่