ยามเมื่อพูดถึงงานฝีมือ ไม่ว่าจะรูปสลัก เครื่องประดับ ข้าวของเครื่องใช้ตั้งแต่เครื่องเรือนไปจนถึงเครื่องแต่งกายและประทินโฉม หลายคนต่างก็มีร้านในดวงใจที่นิยมใช้บริการ ทว่าที่การันตีคุณภาพจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วหล้าถึงขนาดที่แม้แต่เชื้อพระวงศ์ยังแวะเวียนมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้งเกรงว่าจะมีอยู่เพียงที่เดียว
ราวกับมังกรลับคอยหลับเฝ้าคลังสวรรค์ อดีตคาราวานร่อนเร่ไปไกลนับหมื่นลี้ ท้ายที่สุดก็ได้หวนคืนสู่ถิ่นฐานลำเนาเดิมพร้อมประกาศศักดาแห่งความรุ่งเรืองให้เป็นที่โจษจัน — กล่าวกันว่าผู้ปราดเปรื่องรอบรู้ในศาสตร์ศิลป์นั้นหาได้ร่ำไปตามสถานศึกษา แต่หากคิดอยากจะหาช่างฝีมือระดับยอดคน ทั่วใต้หล้านี้เมื่อกวาดตามองดูแล้ว เกรงว่าจะมีอยู่ที่เดียวที่พร้อมสรรพทั้งคนและของ
ที่แห่งนั้นก็คือ ‘หอชุนหลันฉี’
หอสูงราวแปดชั้น ภายใต้การดูแลของสกุลลู่แห่งลั่วหยางที่ต้องการจะสร้างตนให้กลายมาเป็น ‘ตัวกลางผู้น่าเชื่อถือ’ สำหรับเหล่าผู้ดีมีสตางค์ที่อยากจะสร้างสรรผลงานพิเศษชิ้นเดียวในโลก แม้ว่าตลอดการสร้างเนื้อสร้างตัวจะต้องผ่านมาทั้งความล้มเหลว ความสุ่มเสี่ยง การสูญเสีย หรือแม้แต่สารพัดปัญหาที่รุมเร้า แต่หอชุนหลันฉีก็ยังยืนหยัด ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองลั่วหยางจวบจนประสบความสำเร็จในขั้นที่ยากจะมีร้านค้าใดมาเทียบเคียง
ปัจจุบันหอชุนหลันฉีกล่าวได้ว่าเป็น ‘สังกัดยอดฝีมือ’
ที่ใต้หล้าให้การยอมรับ ขอเพียงข้าวของชิ้นใดมีตราประทับรูปหยกเมฆาจากสกุลลู่ คุณภาพของสิ่งนั้นจะถูกยกย่องให้เทียบได้กับรายการของบรรณาการที่มอบให้เชื้อพระวงศ์ อย่าว่าแต่ด้านธุรกิจที่รุ่งโรจน์ ด้านครอบครัวก็เลิศล้ำไม่แพ้กัน เมื่อบรรดาทายาทของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันอย่างลู่เหยียนและหลี่ซื่อ หลี่เหวินหลัน ผู้เป็นฮูหยินใหญ่ต่างก็โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่นบุตรสาวคนโต
‘ลู่อวี้หราน’ ผู้เติบโตมาพร้อมกับความสามารถด้านการออกแบบ อีกทั้งยังผ่านเกณฑ์การประเมินจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนถัดไปได้ตั้งแต่อายุยังน้อยแม้ว่าจะเป็นสตรีเพศ หรือบุตรชายคนรอง
‘ลู่ชางหรง’ ที่โชคดีสืบทอดศักยภาพด้านการต่อสู้จนหลายคนคาดกันว่าจะได้ครองตำแหน่งผู้ดูแลขบวนขนส่ง หรือไม่ก็รับราชการในฝ่ายทหารในอนาคต
แต่แล้วภาพที่แสนสมบูรณ์นี้ก็พลันมลายหายโดยไร้ซึ่งคำเตือน เมื่อนานมาแล้วตามการจ้างวานของคนปริศนา หอชุนหลันฉีได้สร้างของสี่อย่างขึ้นมา ประกอบไปด้วย ยอดอาภรณ์อมรฟ้าจากฝีมือของสำนักเซียงซิ่ว เครื่องหอมร่ำบุปผา จากเทียบปรุงกลิ่นของฮูหยินรองสกุลหลวนแห่งเจียงหลิง แป้งชาดรัตนาฉายที่ถูกผสมโดยนางโลมอันดับหนึ่งแห่งหอเมิ่งกวงเหยา และประดับมรรคามลที่ถูกสร้างตามแบบร่างสร้างชื่อของลู่อวี้หราน ทั้งหมดล้วนถูกส่งจนถึงมือผู้ว่าจ้างมานานนับเกือบสิบปี ทว่าอยู่ ๆ ก็มีเทียบเชิญปริศนาส่งมายังหอชุนหลันฉี โดยแจ้งความประสงค์ว่าต้องการจะพบหน้าสี่ยอดฝีมือ ผู้มีส่วนช่วยในการสร้างของสี่สิ่งตามที่กล่าวไปข้างต้นเนื่องจากสินค้าเกิดความเสียหาย จึงต้องการเรียกผู้สร้างกลับมาให้คำแนะนำในการซ่อมบำรุง
แม้จะมีเสียงคัดค้านจากคนในครอบครัวในความไม่เหมาะสม แต่ลู่อวี้หรานก็ยืนยันที่จะเดินทางไปพร้อมยอดฝีมืออีกสามคนตามการนัดหมาย โดยหารู้ไม่เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้ออกหน้าไปทำงานไกลบ้าน
ลู่อวี้หรานและคณะหายตัวไป 2 ปีเต็มโดยไร้ร่องรอยที่จะสืบเสาะหา ทว่าในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก ลู่อวี้หรานก็กลับมาเยือนบ้านอีกครั้ง พร้อมกับทารกน้อยแรกเกิด กลับมาหนนี้ อวี้หรานดูสูบผอมไปมาก นางมาอย่างเร่งรีบพร้อมกับฝากฝังเรื่องสำคัญไว้ในมือครอบครัว
หนึ่งคือทารกน้อยปริศนานี้มีนามว่า ‘ลู่ไป๋หรั่น’ เป็นบุตรสาวของอวี้หรานและชายคนรักที่ไม่สะดวกเปิดเผยตัว สองคือนางไม่อาจเลี้ยงดูเด็กคนนี้ได้ จึงต้องการนำมาฝากฝังให้มารดาและบิดาช่วยมารับหน้าที่ผู้เลี้ยงดูสอนสั่ง รวมไปถึงเก็บงำความจริงที่นางเป็นหลาน และให้เลี้ยงดูไป๋หรั่นในฐานะบุตรสาวคนเล็กแทน สาม เมื่อถึงวันที่เป็นครึ่งหนึ่งของหนึ่งปี นางจะส่งสานส์ลับที่ช่วยชี้แนะเส้นทางการเลี้ยงดูมาให้ ไม่ว่าภายในนั้นจะเขียนอะไร ขอจงปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด สุดท้าย ยังมีของสองสิ่งที่ต้องรบกวนส่งมอบให้กับเด็กน้อยในยามที่นางเติบใหญ่ หนึ่งคือปิ่นหยกขาวรูปดอกฝูหรงที่ส่วนด้ามสลักอักษรไม่กี่ตัวเป็นประโยคว่า ‘เพียงจำไม่เลือน เสียงสะท้อนเยือนหา’ สองคือม้วนกวีหนึ่งม้วน ที่ถูกรังสรรอย่างใส่ใจ เนื้อความด้านในมีอยู่ว่า
เลื่องลือถึงแดนกันดาร ลมผ่านพัดเครื่องประทินโฉม
เสนาะเสียงสายพิณดีดประโคม บุปผาโลมพรมพร่างนางกรีดกราย
ทำนองขลุ่ยเสนาะวิเวกหวาน เปลี่ยนนงคราญสูงส่งเป็นอ่อนไหว
หิมะพัดตามลมเหินกระจาย ก็ทำลายทุกข๋ในใจแห่งอิสตรี
เมื่อฝากฝังส่วนสำคัญจนครบถ้วน ลู่อวี้หรานก็ออกเดินทางไกลอีกครั้ง ทิ้งบุตรสาวที่ยังไม่รู้ความไว้ภายใต้การสร้างรากเง้าผ่านถ้อยคำลวงหลอก หลายปีต่อจากนั้น ลู่ไป๋หรั่นเติบโตอย่างเรียบง่าย ร่ำเรียนศาสตร์ศิลป์พื้นฐาน ชำนาญด้านการค้าเจรจา จนได้รับสมญาว่า ‘ หยกน้อยแห่งหอชุนหลันฉี ’ ที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็ย่อมต้องได้พบ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายความสงบสุขก็พังทลาย เมื่อรูปโฉมของหยกน้อยที่เดิมทีมองได้ไม่รู้เบื่อเริ่มกลายมาเป็นความงามพิลาสล้ำตรึงจิตใจของผู้คน นับแต่นั้นลู่ไป๋หรั่นก็ออกนอกจวนและหอชุนหลันฉีน้อยลง นิยมหาสิ่งแปลกปลอมมาบดบังใบหน้ามากยิ่งขึ้นประหนึ่งต้องการจะปกป้องพื้นที่ของตัวนางเอง
‘ต่อให้โลกถล่มฟ้าทลาย ชาตินี้ต่อให้หรั่นเอ๋อร์ไม่แต่งงาน สกุลลู่ก็ยังสามารถเลี้ยงดูได้ !’ คำประกาศกร้าวของลู่ชางหรงสร้างความผ่อนคลายระคนขบขันให้กับคนในบ้านได้เป็นอย่างดี ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยที่ลูกสาวคนเล็กสามารถออกเรือนได้ถือเป็นความกดดันขั้นสูง โดยเฉพาะตระกูลลู่ที่มีประสบการณ์พลัดพรากจากลูกสาวคนโตมาแล้วหนึ่งครั้งในช่วงวัยที่ใกล้เคียงกันกับไป๋หรั่นในตอนนี้ ดังนั้นเพื่อที่จะไม่เป็นการเปิดโอกาสให้สาวน้อยได้หนีไปไหนไกล ทั้งครอบครัวจึงตัดสินใจหอบแม่หยกขาวแสนงามไปเข้าเรียนสำนักศึกษาสตรีเพื่อที่จะได้พบปะสหายแก้เหงา
แม้เดิมทีนี่จะถือเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่สำหรับลู่ไป๋หรั่นแล้ว การได้ออกไปพบปะผู้คนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ชีวิตในรั้วสำนักศึกษาทำให้นางได้เรียนรู้ทั้งโลกกว้าง ความอันตรายของเล่ห์เหลี่ยม และสุดยอดเรื่องพิลึกพิลั่นอย่างความรัก—‐ โชคดีที่ไป๋หรั่นไม่ใช่คุณหนูช่างฝันที่จะแอบชอบคุณชายสักคน แต่อย่างน้อย ๆ นางก็เป็นผู้สังเกตการมากพอที่จะเห็นท่าทีพร่ำเพ้อของสตรีร่วมวัยเดียวกันทั้งยังมีเหตุผลมากพอที่จะถูกเรียกได้ว่าเป็น ‘ที่ปรึกษา’ คนโปรดของใครหลาย ๆ คน
ทว่าการเข้าเรียนสำนักศึกษา แม้จะทำให้ได้สังคมที่เกี่ยวพันกับคนใหญ่คนโตถึงสองคน ( เว่ยเจียเหลียนฮวา และ ซ่างกวนฝูมี่ ) แต่การมาถึงของจดหมายชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ประจำช่วงวัยสิบเจ็ดปีกลับระบุมาสองคำง่าย ๆ ที่ส่งผลสะเทือนฟ้าสะเทือนดินว่า ‘เข้าวัง’ !