ประวัติตัวละคร
วันที่ 19 อีเย่ว ปีที่ 11 แห่งรัชศกเจี้ยนหยวน รัชสมัยฮั่นอู่ตี้ ห้วงปลายเหมันตฤดู ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นหอมแรกของน้ำค้างยามเช้า บนยอดไม้พฤกษาแห่งตำหนักเฉินกง เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ก็พลันดังขึ้นภายใต้ลำแสงบางของดวงตะวันอ่อน…
ในยามซื่อของวันเดียวกัน ท้องพระโรงต้าหมิงยังคงคลาคล่ำด้วยเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ซึ่งกำลังว่าราชการตามธรรมเนียมฤดู ใต้ม่านทองโปร่งแสง เสียงพู่กันขีดเขียนและการอภิปรายแนวทางบริหารบ้านเมืองดำเนินไปด้วยจังหวะอันมั่นคง เงียบขรึม แต่สง่างาม
เพียงไม่นาน ข่าวสำคัญจากตำหนักฝ่ายในก็ถูกนำส่งผ่านมือขันทีน้อยผู้เร่งรีบ บรรยากาศทั่วท้องพระโรงพลันแปรเปลี่ยน เมื่อแจ้งว่า พระสนมลู่ ได้ประสูติธิดาโดยสวัสดิภาพ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นตามใบหน้าของเหล่าขุนนาง ทั้งจากผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและผู้ห่างไกล ท่ามกลางความชื่นชมที่ไม่เอิกเกริกเกินงาม หลายเสียงกระซิบกันว่าเป็นฤกษ์อันดีแห่งปลายเหมันต์ เป็นนิมิตหมายที่ฟ้ายังคงโปรดต่อราชวงศ์
ขณะเดียวกันนั้นเอง ณ ลานหินหยกด้านหน้าตำหนักเฉินกง ดอกเหมยต้นหนึ่งซึ่งหลับใหลใต้หิมะตลอดฤดูกาล กลับผลิดอกเพียงหนึ่งในยามนั้น กล่าวกันว่า มันผลิบานเพื่อต้อนรับการถือกำเนิดของพระธิดาน้อยผู้เป็นประหนึ่งแสงอ่อนของฤดูใหม่ที่กำลังจะมา
ยามนั้นเอง ฝีเท้าสงบนิ่งที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตำหนัก ผืนพรมไหมสะท้อนเงาร่างสูงสง่าใต้ครุยสีเข้ม องค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้เสด็จถึงโดยมิให้ขันทีป่าวประกาศหรือแม้แต่โหรใหญ่รู้ล่วงหน้า
ทุกก้าวที่พระองค์ก้าวเข้าใกล้เปลเล็ก ๆ กลับทำให้ทั้งตำหนักเหมือนสงบลงยิ่งกว่าเดิม เมื่อยืนหยุดอยู่ตรงหน้าเปลไม้ พระวรกายสูงใหญ่ของโอรสสวรรค์ก้มลงทอดพระเนตรเด็กหญิงที่ยังหลับอยู่ด้วยดวงเนตรแน่นิ่ง เงาของพระองค์ทอดคลุมร่างเล็กนั้นบางเบาราวแสงเมฆยามเช้า
ทว่า... ร่างน้อยในห่อผ้าขยับกายเล็กๆ ก่อนจะแย้มเสียงร่ำไห้ออกมาเ ครั้นได้กลิ่นอายแห่งผู้มาเยือน เสียงสะอื้นน้อย ๆ ก็พลันระบายออกมา แก้มแดงระเรื่อขยับเล็กน้อยขณะหยดน้ำใสไหลรินจากหางตา ทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท ราวกับว่าจิตวิญญาณน้อย ๆ รับรู้ถึงรัศมีของผู้เป็นบิดา
ทั้งนั้นไม่มีคำตำหนิ ไม่มีวาจาห้ามปรามใดๆ มีเพียงพระหัตถ์ใหญ่ที่อุ่นและมั่นคงลูบลงบนกลุ่มผมน้อยๆ อย่างอ่อนโยน พระโอษฐ์มิได้ขยับ กล่าวเพียงด้วยสายตาและสัมผัสเบาๆ นั้น ร่างเล็กในผ้าห่มจึงค่อยๆ สงบลงในเวลาไม่นาน ก่อนจะเข้าสู่นิทราอีกคราใต้การปกป้องของบิดาที่โลกเรียกว่าจักรพรรดิ
และเมื่อเงาเปลือกตาของเด็กหญิงนิ่งสนิทอีกครั้ง พระองค์จึงมีรับสั่งเบาๆ “หรูเหมย” - งามละมุนดุจแสงอ่อนแห่งรุ่งอรุณ
ในวัยเยาว์ นางเป็นเด็กหญิงตัวเล็กจ้อย มีสายตาซุกซน มือไม้ขยันเกินกว่าคำว่า “ กุลสตรี ” และเสียงหัวเราะที่ดังกังวานไปทั่วตำหนักเฉินกง ดอกไม้ในสวนคือสนามของนาง กระต่าย แมว และนกเล็ก ๆ คือเพื่อนเล่นที่จริงใจกว่านางในผู้ตามมารยาททุกกระเบียดนิ้ว นางไม่เคยหลงใหลในบทเรียนมารยาท หรือคำสอนจากสตรีชั้นในผู้เคร่งครัด และไม่มีสิ่งใดที่นาง ไม่ถนัดไปมากกว่าการนั่งคัดพู่กัน
เมื่อถึงคราวต้องเข้าเรียนตามพระราชประสงค์ของโอรสสวรรค์ นางมักจะอ้างเหตุผลสารพัด เช่น “ปวดท้องเพราะเผลอดื่มน้ำค้างบูด?” หรือ “ฝันร้ายว่าตัวเองกลายเป็นกระต่าย แล้วกระต่ายก็ไม่ต้องเรียน” จากนั้นก็มักจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และหากค้นหาให้ดีในสวนหลังวัง
คนที่นางเกลียดที่สุดในวังมิใช่นางสนมหรือขันทีฝ่ายตรงข้าม หากแต่คือ “ จางกงกง ” ขันทีหลวงผู้อยู่ประจำตำหนักเสร็จพ่อ เพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะหนีเรียนกี่ครั้ง ซุกซนเพียงใด ท้ายที่สุดข่าวก็มักไปถึงพระเนตรพระกรรณของจักรพรรดิ และต้นเสียงผู้รายงานก็แทบไม่ต้องเดา นางจึงตั้งสมญาให้เขาในใจว่า “ตะขาบทองแห่งวังใน*” พร้อมหลบหน้าทุกครั้งที่สวนกันในระยะหนึ่งจั้ง
กระนั้น แม้นนางจะดูซุกซนและร่าเริง แต่ในใจเด็กหญิงกลับมีบางอย่างที่ไม่เอ่ยออกมา ตั้งแต่จำความได้ หรูเหมยมักถูกดุเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหรูเยี่ยน น้องสาวผู้เรียบร้อยและว่าง่ายกว่าหลายเท่า ทุกครั้งที่มีเรื่องผิดพลาด ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใด สายตาแรกที่มองมาคือของท่านพ่อ และเสียงแรกที่กล่าวตำหนิย่อมไม่พ้นเสียงของท่านแม่
แม้พระสนมลู่จะไม่เคยตีหรือตะคอก แต่น้ำเสียงที่เฉยชากลับทำให้หรูเหมยรู้สึกว่าตนเป็นเพียงลูกคนหนึ่ง มิใช่ 'คนโปรด' ของมารดา นางจึงเรียนรู้ที่จะไม่อธิบายอะไรมากนัก ไม่โต้เถียง ไม่ร้องไห้ แต่เลือกจะหัวเราะกลบเกลื่อน หรือหลบไปเล่นคนเดียวในสวนด้านหลังเสียมากกว่า
บางคราว เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของหรูเยี่ยนขณะนั่งตักมารดา หรูเหมยก็จะหยุดอยู่ไกล ๆ มองภาพนั้นเงียบ ๆ โดยไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ทั้งที่ลึกในใจปรารถนาเพียงการโอบกอดหรือคำชมสักคำจากแม่เช่นกัน
กระทั่งวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ผู้บิดาอนุญาตให้หรูเหมยออกประพาสนอกวัง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศหลังอากาศดีเป็นพิเศษ นั่นนับเป็นครั้งแรกในความทรงจำของหรูเหมย ที่ได้ก้าวพ้นกำแพงสูงของวังหลวงและได้เห็นแสงแดดที่ไม่ผ่านม่านผ้า
ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหลวง เด็กหญิงตัวน้อยเห็นภาพของบรรดาแม่ค้าเรียงขนมในถาดไม้ เด็กชาวบ้านหัวเราะ วิ่งไล่กันจนรองเท้าหลุด เปลวแดดทอดทับบนพื้นถนนดิน หอมกลิ่นข้าวเหนียวปิ้งคละเคล้ากับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนที่มิได้ประสานคำนับผู้ใด
แม้จะไม่เคยเอ่ยออกมา แต่ภาพเด็กชาวบ้านที่กินขนมบนสะพานไม้ด้วยท่าทางสนุกสนาน วิ่งเล่นอย่างอิสระ โดยไม่มีผู้ใดตีหน้าขรึมกล่าวสั่งสอน กลับกลายเป็นความฝันเล็ก ๆ ที่ยังอวลอุ่นในใจของหรูเหมย
(*ตะขาบทองแห่งวังใน - ใช้เรียก จางกงกง)