12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

[ถนนนอกเมือง] ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-4 16:04:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเซิน (เวลา 15.00 - 17.00 น.)



วันต่อมาในยามเซิน หลังจากซูเหยาเสร็จสิ้นภารกิจที่ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอเรียบร้อยแล้ว แม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ แต่นางก็ตัดสินใจเดินทางกลับมายังศาลเจ้าเถียนฉิงเวยอีกครั้ง เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านไต้ซือจื่อหลิง


เมื่อก้าวเข้าสู่บริเวณศาลเจ้าความเงียบสงบยามบ่ายก็ปกคลุมไปทั่ว ลมพัดเอื่อย ๆ พาเอาเศษใบไม้แห้งไหวระริกบนพื้นหิน ซูเหยาสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมสมาธิ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปยังส่วนหลังของศาลเจ้าตามที่ไต้ซือบอก


ไม่นานนักสายตาก็ปะทะเข้ากับอาคารเล็กๆ เก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ใบประตูไม้ที่ดูทรุดโทรมเผยอออกเล็กน้อยราวกับเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ซูเหยาเดินตรงเข้าไปอย่างลังเล แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของท่านไต้ซือที่ว่า ‘หากจิตโยมไม่หวั่นไหว ศาลเจ้าจะเปิดทางเอง’ นางก็รวบรวมความกล้า ก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้าไปในห้องนั้น


ภายในห้องมืดสลัว อากาศเย็นยะเยือกจับใจ กลิ่นอายเก่าแก่และกลิ่นธูปจางๆ ลอยอบอวล แทบไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามา มีเพียงแท่นบูชาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับเสื่อฟางผืนหนึ่งวางอยู่เบื้องหน้า ทุกสิ่งดูเรียบง่ายและสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับเวลาหยุดนิ่งอยู่ภายในห้องแห่งนี้


ซูเหยาค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้แท่นบูชา มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ไม่มีปริศนา ไม่มีข้อความ หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่จะชี้นำ ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาเบา ๆ พลังงานที่มิได้น่ากลัว แต่นิ่งสงบและบริสุทธิ์อย่างน่าประหลาด


นางตัดสินใจนั่งลงบนเสื่อฟาง หันหน้าเข้าหาแท่นบูชา หลับตาลงช้า ๆ พยายามทำจิตใจให้ว่างเปล่า ปล่อยวางความกังวล ความสับสน และความกลัวที่เคยมี พยายามจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ


จิตของซูเหยาเริ่มหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความคิด แม้ในตอนแรกจะยังมีความรู้สึกอยากควบคุมการทำสมาธินี้อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความปรารถนาเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป นางปล่อยให้ลมหายใจไหลเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยให้ความคิดลอยผ่านไปเหมือนสายน้ำ ไม่ยึดติด ไม่ตัดสิน เมื่อจิตของนางเข้าสู่สภาวะที่นิ่งสงบอย่างสมบูรณ์ก็เหลือเพียงความว่างเปล่าอันไร้ขีดจำกัด


นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างจางๆ ยามเย็นได้สาดส่องเข้ามาในห้อง แท่นบูชายังคงตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง แต่ความรู้สึกภายในของนางได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หัวใจของซูเหยารู้สึกโปร่งเบา โล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



นั่งสมาธิกำหนดจิต


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7751 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 16:04
โพสต์ 7,751 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-4 16:04
โพสต์ 7,751 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-4 16:04
โพสต์ 7,751 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-4 16:04
โพสต์ 7,751 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-4 16:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-6 18:27:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



ซูเหยาหลับตาลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปเหมือนกับบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นเล่นงานจิตใจของนาง แสงเทียนริบหรี่ในความมืดมิดของห้องเล็ก ๆ แห่งนั้นไม่ได้สว่างพอจะขับไล่เงามืดในจิตใจของซูเหยาได้เลย เสียงสะท้อนแผ่วเบาในหัวที่คล้ายเสียงตนเองนั้นยังคงก้องกังวาน ไม่ใช่เสียงที่ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ หากแต่เป็นเสียงที่ดึงรั้งจิตวิญญาณของนางให้ดำดิ่งลงไปสู่ห้วงแห่งความทรงจำอันเจ็บปวด


“ท่านตา...ข้ายังช่วยท่านไม่ได้เลย...” เสียงนั้นสั่นไหวปนเปื้อนความเศร้า “ข้ายังไร้ความสามารถ ยังคงอ่อนแอ”


นิมิตเริ่มผุดขึ้นในห้วงสำนึก ภาพซูเหยากำลังร่ำไห้เบื้องศพท่านตา มือของนางสั่นเทา พยายามจับชีพจรของร่างไร้ลมหายใจนั้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังก้องในหัวนาง นางเห็นตนเองวิ่งไล่ตามแสงโคมของขบวนศพ ร้องเรียกอย่างสิ้นหวัง


“ข้าจะต้องเป็นหมอที่ยิ่งใหญ่...ข้าต้องช่วยทุกคน...ข้าจะไม่ยอมสูญเสียใครอีก!” คำปณิธานที่เคยเป็นดั่งแสงนำทาง บัดนี้กลับกลายเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความล้มเหลวของตนเอง


ความเจ็บปวดที่ถูกเก็บซ่อนไว้เบื้องลึกของจิตใจปะทุขึ้น ซูเหยาหลับตาแน่น พยายามขับไล่ภาพเหล่านั้นออกไป แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ภาพก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกผิดและความเสียใจหลั่งไหลเข้าท่วมท้น จิตใจที่เคยสงบนิ่งจากการทำสมาธิเมื่อครู่พลันปั่นป่วนวุ่นวาย ความโล่งโปร่งที่เคยสัมผัสได้มลายหายไป เหลือเพียงความมืดมิดที่เข้าปกคลุมราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ


ในศาลเจ้าที่เงียบสงบ พลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเริ่มบีบรัดซูเหยาพุ่งตรงเข้าสู่ห้วงลึกที่สุดของจิตใจนาง ราวกับกำลังบำบัดจิตวิญญาณของนางด้วยการบังคับให้นางเผชิญหน้ากับความทุกข์ระทมที่ฝังรากลึก ความรู้สึกผิดที่รุนแรงกัดกินจิตใจของซูเหยา ผสมผสานกับความโศกเศร้าที่มิอาจเยียวยา และความกลัวที่จะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้ง ทุกสิ่งถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ ซัดสาดจิตวิญญาณของนางจนแทบจมดิ่ง ยิ่งนางพยายามต่อต้านภาพนิมิตที่ผุดขึ้นตรงหน้า ภาพเหล่านั้นก็ยิ่งฉายชัดขึ้น ยิ่งนางพยายามสงบจิตใจที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ความสงบที่เคยมีก็ยิ่งแตกสลาย พายุอารมณ์โหมกระหน่ำในใจของนางอย่างไม่ลดละ


ซูเหยาตัวสั่นเทา เหงื่อไหลซึมออกมาจากหน้าผากที่ซีดเผือด นางกัดริมฝีปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือด ดวงตาที่ปิดสนิทเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมาเป็นทาง แม้จะพยายามรวบรวมสติเท่าไร ก็ไม่อาจควบคุมความรู้สึกที่เอ่อล้นได้เลย ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานนั้น ภาพของท่านตากลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มิใช่เพียงภาพนิมิต ซูเหยารู้สึกราวกับได้สัมผัสร่างอันไร้วิญญาณนั้นอีกครั้ง ความเย็นเยียบจากการสัมผัสปลายนิ้วยังคงตราตรึงอยู่ในใจ


ในห้วงแห่งความทรมานนั้น พลันมีเสียงกระซิบแผ่วเบาที่แตกต่างออกไปแทรกเข้ามา เสียงนั้นไม่ได้ดังมาจากภายในใจของนางเอง หากแต่เป็นเสียงที่สงบนิ่งราวกับมาจากเบื้องบน 


“ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป…ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนเป็นเพียงชั่วคราว”


ซูเหยาได้ยิน แต่ยังคงจมดิ่งในความเสียใจ ภาพท่านตายังคงหลอกหลอน ความรู้สึกผิดยังคงกัดกิน 


“ข้าอ่อนแอเกินไป ข้าช่วยท่านตาไม่ได้!” เสียงของนางสะท้อนก้องในหัว


“ความตายมิใช่ความล้มเหลว” เสียงนั้นเอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน “ความตายคือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องพบเจอ”


ทันใดนั้นเอง ภาพนิมิตที่เคยชัดเจนราวกับมีชีวิตก็เริ่มเลือนรางลงทีละน้อย ซูเหยารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังคลี่คลายความตึงเครียดในจิตใจของนาง มิใช่การบังคับให้ลืม แต่เป็นการนำพาให้เผชิญหน้ากับความจริงอย่างเข้าใจ


“สิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้จากความสูญเสีย มิใช่จมอยู่กับมัน” เสียงกระซิบนั้นยังคงดำเนินต่อไป “การยึดติดกับอดีตคือการสร้างพันธนาการให้ตนเอง”


ซูเหยาเริ่มหายใจได้ลึกขึ้น นางพยายามรวบรวมสติ แม้จะยังคงสั่นเทาอยู่บ้าง นางค่อยๆ นึกถึงคำสอนที่ท่านตาเคยพร่ำสอนเรื่องการปล่อยวาง และความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ท่านตาผู้ซึ่งเป็นหมอชาวบ้าน ไม่เพียงรักษาโรคทางกาย แต่ยังสอนนางเรื่องการรักษาใจด้วย


“กายนี้ไม่เที่ยง จิตใจก็ไม่เที่ยง” นางพึมพำกับตัวเอง “ความเจ็บปวดนี้ก็ไม่เที่ยงเช่นกัน”


เมื่อนางเริ่มยอมรับ ภาพของท่านตาก็ไม่ได้ดูน่าหวาดกลัวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นภาพที่เปี่ยมด้วยความรักและความเมตตา นางเห็นท่านตายิ้มให้ เหมือนกับจะบอกว่าไม่เป็นไร


หยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของซูเหยามิได้เกิดจากความเศร้าอีกต่อไป แต่เป็นน้ำตาแห่งการปลดปล่อย นางเริ่มเข้าใจว่าความปรารถนาที่จะเป็นหมอที่ยิ่งใหญ่ของนางมิได้เป็นเพียงภาระ แต่เป็นแรงบันดาลใจที่ท่านตาได้ทิ้งไว้ให้


“ความสามารถที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การป้องกันความตายได้ทุกครั้ง” เสียงนั้นยังคงกระซิบอยู่ข้างหูนาง “หากแต่อยู่ที่การเยียวยาจิตใจของผู้คน และการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในทุกขณะ”


ซูเหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงเทียนยังคงริบหรี่ แต่นางกลับรู้สึกว่าห้องสว่างไสวขึ้นกว่าเดิมมาก นางสัมผัสได้ถึงความสงบที่กลับคืนมาในจิตใจ แม้ความเจ็บปวดในอดีตยังคงอยู่ แต่บัดนี้มันไม่ได้เป็นเครื่องบงการนางอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่ทำให้นางเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น



แก้ปัญหาภาพนิมิต


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15502 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-6 18:27
โพสต์ 15,502 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-6 18:27
โพสต์ 15,502 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-6 18:27
โพสต์ 15,502 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-6 18:27
โพสต์ 15,502 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-6 18:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-7 05:57:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-7 07:22

วันที่ 07 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย


ยามเฉินต้นยาม ลมเช้าตรู่พัดแผ่วเหมือนเสียงกระซิบจากอดีตกาล พาเอากลิ่นหญ้าชื้นจากหมอกขาวริมทางให้โชยเบา ๆ เข้าสัมผัสผิวนวลของหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าศาลเจ้าเถียนฉิงเวยอันเงียบงัน ท่ามกลางเสียงนกกระจิบตัวเล็ก ๆ บนต้นไม้วิเวก เธอสวมชุดเรียบง่ายสีขาวควันบุหรี่คลุมทับด้วยผ้าคลุมบางสีคราม กลีบผมรวบหลวม ๆ แก้มซีดเล็กน้อยเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ดวงตากลมโตราวดอกเหมยที่ยังไม่ผลิบาน มองผ่านม่านสายลมไปยังศาลเจ้าหินที่แตกร้าวและผุกร่อนตามกาล


หลินหยาไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา…แค่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ สักพัก ก่อนจะถอดรองเท้าฟางแล้วก้าวขึ้นบันไดสามขั้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง เธอคุกเข่าลงหน้าศาลเจ้าเก่า ดวงตาก้มต่ำมองกระถางธูปเก่าที่ไม่มีควันหลงเหลือ มีเพียงเถ้าธูปเก่าและดอกไม้แห้งกรังวางอยู่ข้าง ๆ เธอพนมมือขึ้นเงียบ ๆ…ไม่ได้สวดบทใด ไม่ได้เอ่ยนามเทพเจ้าแต่เสียงในใจกลับดังอย่างชัดเจนยิ่งกว่าคำภาวนา


“ข้าวอนขอขอให้ท่านช่วยให้เขาปลอดภัย…ขอให้จางทังรอดพ้นจากอันตรายทุกประการที่กล้ำกลาย ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นเทพองค์ไหน เป็นวิญญาณหรือภูติผีแต่ถ้าท่านยังเหลือเมตตาอยู่...ช่วยข้าอันไร้ที่พึ่งเถิดเจ้าค่ะ”


หญิงสาวหลับตาลง คำขอพรในใจไหลรินราวกับน้ำผึ้งอุ่นที่หลั่งออกจากรอยร้าวบางอย่างในอกซ้าย ใจหนึ่งก็ระทมกับความไม่รู้ของสถานการณ์จางทัง อีกใจก็ปวดแปลบแปลบกับภาพในหัวที่ปัดยังไงก็ไม่หลุดรอยจูบนั้น…กับแววตาของเขาที่ไม่แยแสอะไรเลยราวกับว่านางเป็นเพียงคนผ่านทางในชีวิตเขา เธอกัดริมฝีปากแน่น หยิบหยดน้ำมันหอมกลิ่นกฤษณาเจือดอกลั่นทมจากถุงผ้าเล็กในแขนเสื้อออกมา หยดลงบนเตาน้ำมันเก่าในศาล รอให้กลิ่นหอมอบอวลกลางความเงียบ กลิ่นกฤษณาที่หลินหยาชอบนักมักใช้คลายใจและทำให้นางรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กหญิงในผานอวี้ที่ยังมีชีวิตอิสระ


“ทำให้เขาปลอดภัยด้วยเถอะเจ้าค่ะ…ขอให้คนที่ข้าห่วงใยได้เป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ..” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่แน่นหนักกว่าคำไหน แม้ในอกจะหนักอึ้ง แต่เธอพยายามยิ้ม…ยิ้มให้ตัวเองอย่างที่เคยทำเมื่อตอนยังเด็ก ยิ้มให้กับภาพในความทรงจำที่จางทังเคยเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้ครั้งนั้น..และการที่เขาถามเธอว่าหนีไปไหม..ไม่รู้ว่าศาลเจ้าจะศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ไม่รู้ว่าพรของนางจะถูกฟังไหม แต่แค่ได้มายืนที่นี่ ได้สูดกลิ่นกฤษณา ได้ขออะไรสักอย่างแทนที่จะปล่อยให้ใจเงียบจนหล่นหายไปในห้วงเวิ้งว้าง…ก็พอแล้ว


หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองท้องฟ้า ฝนไม่ตกเหมือนเมื่อวันวาน…แต่ยังมีหมอก "ท่านจางทัง...ท่านได้ยินหรือไม่..." เธอกระซิบเสียงเบาที่แทบไม่มีใครได้ยิน


เสียงกิ่งไม้แห้งไหวกระทบกันเบา ๆ เหมือนเสียงกระดูกเสียดสีกลางลมหยอกยามเช้า ขณะที่หลินหยายังคงหลับตาแนบแน่นอยู่หน้าศาลเจ้าเถียนฉิงเวย กลิ่นกฤษณาอ่อน ๆ ยังอวลอยู่รอบกาย ทว่าในห้วงหนึ่งของลมหายใจ…เงาสีดำกลับทอดยาวเข้ามาใกล้เธอโดยไม่มีเสียงฝีเท้าแม้สักครึ่ง เมื่อเธอลืมตาขึ้น พลันพบว่าตรงประตูไม้เก่าของศาล มีร่างหนึ่งยืนอยู่…สูงโปร่ง สวมเสื้อคลุมยาวสีเทาเข้ม ผ้าคลุมหน้าสีหม่นกับหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าเสียจนมองไม่เห็นว่าภายใต้นั้นเป็นผู้ใด เขายืนเงียบราวกับรูปสลักเก่าแก่ในความฝัน


"...เจ้ามีเคราะห์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง..." เสียงของเขาเปล่งออกมาโดยไม่ทันมีบทสนทนาใดนำพา น้ำเสียงคล้ายทั้งเสียงคนพูด ทั้งเสียงก้องสะท้อนของโพรงลึกในภูเขา ไม่อ่อนโยนไม่หยาบกร้าน แต่แฝงพลังบางอย่างที่ทำให้สั่นสะท้านเข้าไปถึงสันหลัง "...แม้จะหนีไปไกลแค่ไหนก็ไม่พ้น...แม้แต่ผู้มีอำนาจสูงส่งยังไม่อาจช่วยเจ้าได้"


หลินหยาชะงักหันมองอีกฝ่ายเต็มตา ในแวบหนึ่งดวงตาของเธอสั่นไหวราวกับถูกลมหนาวพัดเข้ากระทันหัน "ท่าน..." นางเอ่ยออกไปเพียงคำเดียวแต่น้ำเสียงนั้นกลับแผ่วเบาอย่างไร้เรี่ยวแรง


"เส้นทางเคราะห์ของเจ้าถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ใช่เพราะชะตาฟ้า แต่เพราะความผูกพันที่เจ้าสานไว้เองด้วยโชคชะตา ด้วยเส้นใยสีชาด ด้วยกงล้อแห่งจิตวิญญาณ" เขาเดินเข้ามาช้า ๆ ราวเงามืดเลื้อยคลานในลานศาล "โดยเฉพาะกับบุรุษผู้หนึ่ง...สองหน้ากาก สองเงา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาคือใคร?" หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่อีกคนพูดถึง..สองหน้ากาก?...ก็มีแค่เขาจนลมหายใจสะดุดไปครู่ "ท่านชายห่าวหมิง...เขาเป็นเพื่อนข้าเจ้าค่ะ"


"เพื่อนหรือ?" ชายปริศนาหัวเราะในลำคอเบา ๆ "เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นจริงหรือ?" เธอเงียบไปในฉับพลัน หัวใจเต้นกระหน่ำราวกับเพิ่งถูกกระแทกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ราวกับอีกฝ่ายรู้…รู้ทุกการพบ ทุกถ้อยสนทนา ทุกความรู้สึกอันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจนางกับชายผู้สวมหน้ากากผู้นั้น "เขา...ไม่ใช่ผู้เดียวกับที่เจ้าเห็น เขาคือผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเงาเงียบ เขาเคยทำอะไร? เขาอยู่เบื้องหลังอะไร? เจ้ารู้ทั้งหมดหรือยัง?" น้ำเสียงไม่เร่งเร้า แต่เหมือนแหลมทิ่มแทงกลางทรวงอกทีละคำอย่างเจ็บลึก


"ข้า..." หลินหยาพูดไม่ออก สีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้คือใครแต่น้ำเสียงของเขาทำให้หัวใจนางคล้ายถูกแหวกเปิด เขาวางคำถามเหมือนเข็มลงบนแผ่นหินบางที่ชื่อว่า ‘ศรัทธา’ ของนาง แล้วกดลงอย่างเงียบเชียบทีละเล่ม


"เจ้ากล้าพอจะมองเขาในยามที่เขาถอดทุกหน้ากากหรือไม่?"


"แต่..ท่านชาย...เขาไม่เคยทำร้ายข้า..."


"หรือว่าเจ้ามองไม่เห็น? หรือว่าเจ้ารู้...แต่ยอมหลับตากัน?"


หลินหยาสะอึกคำ มองตรงไปที่ชายปริศนาอย่างไม่แน่ใจ ระหว่างกลิ่นกฤษณาที่เคยปลอบโยนใจกับเสียงของเขาที่เหมือนผ่ากลางอกเธอเริ่มไม่รู้แล้วว่าความอบอุ่นที่เคยรู้สึก…มาจากความจริง หรือจากกับดักอันชาญฉลาดของใครคนหนึ่ง 


"จำไว้ แม่นางน้อย...บางครั้งความใสซื่อไม่ได้เป็นเกราะกำบังมันคือเชือกที่ผูกตรวนไว้กับคนที่เจ้าควรหนีให้ไกลที่สุด" หลินหยานิ่งงันร่างกายของนางเหมือนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นระริก ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว...แต่เพราะในอกน้อย ๆ ของนางมีบางอย่างไหวสะเทือนอย่างรุนแรงจนนางไม่อาจเอ่ยคำใดตอบ


"บุรุษผู้หนึ่ง...สองหน้ากาก สองเงา...เจ้าเชื่อใจเขาหรือไม่?"


คำถามนั้นราวกับเสียงระฆังต้องห้ามที่ดังกังวานสะท้อนในโพรงความรู้สึกที่หล่อนพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด ทั้งที่ในใจบอกว่าคนผู้นั้นคือสหาย…ทั้งที่ในยามอยู่ใกล้ เขาคือที่พักพิงในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล แต่เมื่อถูกสะกิด...หลินหยากลับไม่สามารถตอบว่าเชื่อใจได้เต็มปาก มือน้อย ๆ ที่เคยแนบอกเงียบงัน ค่อย ๆ ชะงักค้างขณะชายคนนั้นกล่าวต่อ ถ้อยคำที่ไหลมาเหมือนกระแสน้ำไหลรินจากหุบเขาสูง ไม่ใช่เพียงการเตือน...แต่เป็นการชี้ชะตาอย่างไร้ทางหลีก


“ได้ลองมองสายตาของเขาหรือไม่…ได้เห็นเขาในยามถอดหน้ากากหรือยัง…”


ดวงใจของหลินหยาหล่นวูบขณะภาพในอดีตผุดขึ้นวาบครั้งที่เขาเคยมองนางเงียบ ๆ ท่ามกลางม่านฝน…ครั้งที่เขายื่นมืออุ่น ๆ นั้นมาแตะแก้มนางราวกับคนละคน…หรือแม้แต่คำพูดบางคำที่แฝงอะไรบางอย่างลึกเกินจะเข้าใจ เขา…คือใครกันแน่?....แล้วสิ่งที่นางรับรู้อยู่…มันคือความจริงในแสงหรือเป็นเพียงเงาที่แฝงมากับรอยยิ้ม? "...ข้า...ไม่รู้แล้ว..." นางกระซิบเบา ๆ อย่างคนที่ไม่แน่ใจอะไรอีกต่อไปความอบอุ่นในหัวใจที่เคยมีเริ่มกลายเป็นคำถามพันร้อยที่ถักทอเป็นเส้นเงาสลับซับซ้อนในใจนาง


ทันใดนั้น บุรุษปริศนากลับยื่นบางสิ่งมาจากปลายแขนเสื้อ…เป็นแผ่นไม้เล็ก ๆ แกะสลักลายเถาวัลย์ราวกับเงาที่เลื้อยไต่ไปบนเสาไม้โบราณ มีกลิ่นหอมประหลาดไม่ใช่กลิ่นไม้ธรรมดา…แต่เป็นกลิ่นของคำเตือนกลิ่นของโชคชะตา “ของนี่มีไว้ปกป้องผู้ที่ยืนอยู่บนทางสายบางเฉียบ...หากถึงเวลาที่ 'เงา' จะกลืนแสง…เจ้าค่อยใช้มัน” มือหลินหยารับมันมาโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวสัมผัสพื้นผิวเย็นเฉียบของไม้เก่าที่ดูธรรมดา…แต่กลับมีน้ำหนักแปลกประหลาดราวต้องมนตร์ นางอยากถาม...อยากรู้ว่า ‘เงา’ ที่ว่า...หมายถึงใคร? หรือหมายถึง ‘เขา’ คนนั้นที่อยู่ในความคิดของนางตลอดมา?


ทว่า…เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บุรุษปริศนากลับหายไปราวไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกไร้เสียงไร้ร่องรอยไร้เงาสะท้อน แม้แต่ฝุ่นก็ไม่ทันฟุ้งเหลือเพียงลมวูบหนึ่งที่เย็นเฉียบพัดผ่านศาลเก่า และหญิงสาวผู้นิ่งงันอยู่กลางแสงเช้าจาง ๆ เพียงลำพัง เงาสะท้อนจากแสงอาทิตย์ส่องทาบร่างนางบนพื้นไม้ สองเงาซ้อนกันพอดิบพอดี หนึ่งของนาง…กับอีกเงาที่ลากยาวซ้อนมาจากเบื้องหลังอดีต ที่เธอเริ่มไม่แน่ใจว่า…เขาคือใครกันแน่ หลินหยาหลับตาแน่นหยิบแผ่นไม้ซุกเข้าใต้ร่มแขนเสื้อ ดวงตาคู่หวานที่เคยเปล่งประกายความสดใสในยามปกติ กลับขุ่นมัวและหม่นเศร้าราวหมอกหนาในฤดูหนาว ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นอย่างควบคุมตนเอง ทว่าภายในอก กลับปั่นป่วนเหมือนคลื่นที่พัดซัดแหลมหินไม่หยุดยั้ง


น้ำตาหยดหนึ่ง…จากดวงตาฝั่งขวา คลอหน่วยแล้วไหลลงอย่างเงียบงันและเกือบจะในจังหวะเดียวกันนั้น…เลือดสีเข้มหยดหนึ่งไหลจากปลายจมูกของนาง…ตามด้วยอีกหนึ่งหยดกลิ่นคาวโลหิตผสมกับกลิ่นหอมจาง ๆ จากแผ่นไม้ในร่มแขนเสื้อ กลายเป็นกลิ่นอันน่าหวาดหวั่นที่นางมิอยากรับรู้ "ถ้าเขาเป็นจริง ๆ …" เสียงของหลินหยาดังขึ้นช้าชัด และหนักแน่นดั่งศิลา "หากเขา…คือคนคนนั้น…"


หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม แม้แต่ปลายนิ้วยังเผลอกำแน่นจนเล็บจิกลงกับผ้าคลุมบาง ๆ ของชุดกลางวัน นางไม่เคยกลัวที่จะเจ็บ...แต่สิ่งที่นางหวาดกลัวกลับเป็นการ ‘รู้ความจริง’ ต่างหาก หากบุรุษผู้มีดวงตาแสนอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่น และท่วงท่าที่เอาใจใส่กลับเป็น เขา คนที่เคยทิ่มแทงนางจนแทบแหลกสลายเมื่อครั้งอยู่หอว่านหงเหรินและตำหนักจงฉางชื่อ


นางจะทนได้หรือ?..จะยอมให้ความหวั่นไหวที่เริ่มผลิบานกลายเป็นความเกลียดชังในพริบตาได้จริงหรือ?


ความทรงจำครั้งอดีตพรั่งพรูเข้ามาราวพายุ…น้ำเสียงหวานล้ำสัมผัสเยือกเย็นที่ผิวแก้ม น้ำเสียงที่ทิ่มแทงจนแทบขาดใจร่างและจิตวิญญาณที่โดนตรึงด้วยแรงบังคับขืนจิตใจ ดวงตาที่มองนางราวกับเครื่องมือทางอำนาจที่ใช้งานได้ แม้หลงใหลแต่คงหลงใหลเพียงนางเป็นแค่ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เขาสามารถขยับไปทางใดก็ได้..แต่กระนั้นทำไมกัน? ทำไมภาพเหล่านั้นกลับทับซ้อนกับใบหน้าอีกหนึ่งที่เคยหยิบผ้าให้เค้านางยามฝนตก พูดคุยเงียบ ๆ กับนางตอนเล่นขลุ่ย รับฟังเสียงหัวเราะของนางโดยไม่เอ่ยวาจาตำหนิ


หากเป็นจริงดังว่า…แล้วคนไหนกันแน่คือเขา?


"ถ้าวันนั้นมาถึง…ข้ายังจะทนมองหน้าเขาได้หรือไม่..." นางถามตนเองเบา ๆ เสียงสั่นราวสายลมลอดชายผ้าหรือสุดท้ายแล้ว...นางอาจจะไม่สามารถมองเขาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อน ศัตรู หรือแม้แต่ ‘ใครบางคน’ ที่เคยอยู่ในความคิดของนาง หลินหยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่มีคราบน้ำตาเปรอะตรงขอบมองทะลุผ่านผนังศาลร้างเก่า ๆ ออกไปสู่ท้องฟ้า...แผ่นฟ้าที่กว้างขวางและไร้คำตอบเหมือนหัวใจของนางในตอนนี้ ไม่มีใครช่วยไขความจริง ไม่มีใครยืนยันว่าความรู้สึกของนางนั้นผิดหรือถูก


มีเพียงสิ่งเดียวที่หลินหยารู้แน่...คือในตอนนี้ นางเริ่มหวั่นไหวกับบุรุษผู้นั้นและหากเขาคือคนเดียวกันกับผู้ที่เคย ‘ทำลาย’ นาง…บางทีสิ่งที่จะ ‘ตาย’ เป็นอย่างแรก อาจไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นหัวใจของนางเอง




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เควสปลดคุณพี่แต่คุณพี่ไม่มา แต่คุณพี่ไปเบียดเบียนเควสปลดคนอื่น คุณพี่เป็นไรอ๊าาา


รางวัล: ได้ แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา (ของใช้เควส/อีเว้นท์สำคัญ)

เปิดฉากลางเคราะห์ลึกลับครั้งใหญ่ + ปริศนาเบื้องหลังศาลเจ้า


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 49264 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 05:57
โพสต์ 49,264 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-7 05:57
โพสต์ 49,264 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-7 05:57
โพสต์ 49,264 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-7 05:57
โพสต์ 49,264 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-7 05:57
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-7-7 13:27:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



หลังจากที่ซูเหยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงเทียนที่เคยริบหรี่บัดนี้กลับสว่างไสวขึ้นในความรู้สึกของนาง มิใช่เพราะเปลวเทียนลุกโชนขึ้น แต่เป็นเพราะจิตใจของนางต่างหากที่ปลอดโปร่งจากเมฆหมอกแห่งความเศร้าหมอง ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่คราวนี้กลับเห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ความคับแค้นใจที่เคยกัดกินนางมาตลอดหลายวัน ดูเหมือนจะมลายหายไปในพริบตา เหลือเพียงความสงบนิ่งที่เข้ามาแทนที่


มุมหนึ่งของห้องที่เคยดูเหมือนผนังธรรมดา บัดนี้กลับมีช่องว่างที่เผยให้เห็นทางเดินแคบ ๆ ที่ซ่อนเร้นมานานนับปี ซูเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เคยมีใครบอกนางเกี่ยวกับทางลับนี้มาก่อน หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นปนกับความระแวง 


“นั่นมันห้องอะไรกัน?”


ความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกเก็บกดมานานพลุ่งพล่านขึ้นมาจับใจ เปลวเทียนในมือส่องนำทางขณะที่นางก้าวเท้าเข้าไปในช่องว่างนั้นอย่างลังเล


ทางเดินทอดลึกเข้าไปในความมืดมิดที่ไม่อาจหยั่งถึง กลิ่นอับชื้นและกลิ่นดินโชยขึ้นมาผสมกับกลิ่นสาบของกาลเวลาที่ผ่านมานับร้อยปี แสงจากเทียนสะท้อนกับผนังหินที่ดูเก่าแก่คร่ำคร่า ชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับ นางก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง แม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเองก็ยังดังอื้ออึงอยู่ในความเงียบงัน จนกระทั่งทางเดินนั้นสิ้นสุดลงที่ห้องโถงเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ทันทีที่เท้าของนางเหยียบย่างเข้าไป ความรู้สึกประหลาดก็ถาโถมเข้าใส่ ซูเหยารู้สึกราวกับถูกสายตาที่มองไม่เห็นจับจ้อง ร่างกายของนางเย็นวาบ แม้จะไม่มีลมพัด แต่ขนอ่อนบนแขนก็ลุกชันด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้


ห้องนั้นไม่เหมือนห้องใด ๆ ที่นางเคยเห็นมา ผนังทุกด้านเต็มไปด้วยอักขระโบราณที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง เป็นภาษาที่นางไม่รู้จัก ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในตำราแพทย์หรือคัมภีร์โบราณใด ๆ ที่เคยศึกษามา อักขระเหล่านั้นดูคล้ายจะเคลื่อนไหวได้ยามต้องแสงเทียน ราวกับพวกมันมีชีวิตและกำลังกระซิบเรื่องราวในอดีตที่ถูกจองจำอยู่ในห้องแห่งนี้ ซูเหยารู้สึกว่าห้องนี้มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่


“อ่านไม่ออกสักตัว หรือว่าข้าเรียนมาน้อยไปกัน?”


ใจกลางห้องนั้นมีผลึกสีดำทมิฬส่องประกายสีโลหิต ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือแท่นหินโบราณ อักขระโบราณถูกสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจงรอบผิวของมัน แสงเทียนของซูเหยาสะท้อนกับผิวของผลึก ทำให้เห็นถึงความลึกที่ไม่สิ้นสุดราวกับดวงตาของปีศาจ ผลึกนั้นดูเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับมันกำลัง เรียกหานาง เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่อาจได้ยินด้วยหู แต่สัมผัสได้ด้วยจิตใจดังขึ้นในความรู้สึกของซูเหยา มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความลึกลับที่ยากจะต้านทาน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เหนือกว่าความกลัวทั้งหมด ซูเหยาจึงเดินตรงเข้าไปหาผลึกนั้นช้า ๆ มือของนางเอื้อมออกไปอย่างไม่ลังเล และในที่สุดก็คว้าหยิบมันมาไว้ในกำมือ


“ผลึกนี้มันคืออะไร?” ซูเหยามองไปรอบ ๆ ห้องอีกครั้งจะมีใครบ้างไหมที่จะบอกนางได้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วศาลเจ้าแห่งนี้มันมีเรื่องลึกลับอะไรอยู่?



เลือกคว้าผลึกไททัน

ได้รับผลึกไททัน 1 ก้อน


แสดงความคิดเห็น

((ประลองระบบ ถ้าสู้แพ้ ไต้ซือจะมาพูดเทศนาหลัวซาจนศิโรราบและจากไปอย่างสงบ))  โพสต์ 2025-7-7 13:38
หลัวซาปรากฎตัวออกมา ในสภาพมือสองข้างมีโซ่ตรวนที่ขาด พื้นแตกแยกเผยทางออกมัน มันกระโดดออกมาและจ้องมองคุณก่อนโจมตี  โพสต์ 2025-7-7 13:38
โพสต์ 9246 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 13:27
โพสต์ 9,246 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-7 13:27
โพสต์ 9,246 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-7 13:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-7 15:22:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-7-7 15:30

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



หลังจากที่ซูเหยาคว้าผลึกสีดำทมิฬมาไว้ในกำมือได้ไม่นานนัก จู่ ๆ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงขึ้นทั่วทั้งห้องโถง เสียงดังครืนครั่นกึกก้องราวกับโลกกำลังจะถล่ม ผนังหินโบราณที่เคยดูมั่นคงเริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงจากเทียนในมือของซูเหยาเต้นระริกตามแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้น


พื้นค่อย ๆ แตกแยกออกมาเป็นแนวยาว เสียงหินแตกกระเด็นดังลั่น ตามมาด้วยกลุ่มควันสีดำทะมึนที่พวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแยกนั้น กลิ่นกำมะถันฉุนกึกปะทะจมูกซูเหยา พร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจและหวาดผวา


แล้วจากรอยแยกที่กว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั้น สิ่งที่ซูเหยาไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้น มันคือ ปีศาจรูปร่างคล้ายมนุษย์ ตัวใหญ่โตมหึมา สูงกว่าซูเหยาถึงสองเท่า ผิวหยาบกระด้าง เขี้ยวยาวแหลมคมโผล่ออกมาจากปากที่แสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง มันกระโดดออกมาจากรอยแยกพื้นนั้น ด้วยพละกำลังอันมหาศาลพร้อมกับเสียงโซ่เหล็กที่กระทบกันดังแคร้งคร้าง ซูเหยาเห็นว่ามือสองข้างของมันมีโซ่ตรวนที่ขาดห้อยร่องแร่ง บ่งบอกว่ามันเพิ่งหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ไม่นาน ร่างกายของปีศาจเต็มไปด้วยพลังงานที่มืดมิดและบ้าคลั่ง มันมองตรงมาที่ซูเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหายราวกับนางเป็นเพียงเหยื่ออันโอชะเท่านั้น


ซูเหยาแข็งทื่ออยู่กับที่ ความกลัวเข้าครอบงำจนไม่อาจขยับตัวได้ ปีศาจตนนี้คืออะไร? มันหลุดออกมาได้อย่างไร? และมันต้องการอะไรจากนาง? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจ แต่สิ่งเดียวที่นางรับรู้ได้ในตอนนี้คือภัยร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที


“เจ้า... เจ้าเป็นใคร!?” ซูเหยาเปล่งเสียงถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เสียงของนางสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลม แม้จะหวาดกลัวจนแทบยืนไม่ไหว แต่สัญชาตญาณของการเอาตัวรอดก็กระตุ้นให้นางต้องพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์


ทว่าปีศาจตนนั้นหาได้สนใจที่จะตอบคำถามของนางไม่ ดวงตาแดงก่ำของมันจ้องมองไปยังผลึกสีดำในมือของซูเหยาอย่างไม่ลดละ ราวกับนั่นคือสิ่งเดียวที่มันปรารถนา ฟันแหลมคมของมันขบกันดังกึกก้อง เสียงคำรามต่ำ ๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอ ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าโจมตีนางทันทีด้วยความเร็วที่น่าตกใจ


ซูเหยาร้องลั่นด้วยความตกใจ ร่างกายของนางแทบไม่ตอบสนองต่อคำสั่งของสมอง นางนั้นไม่เป็นวรยุทธ์ ไม่เคยฝึกฝนการต่อสู้ใด ๆ มาก่อน เป็นเพียงหมอธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่กับการรักษาผู้คนและคลุกคลีกับตำราแพทย์เท่านั้น แต่ตอนนี้ทางเลือกเดียวที่มีคือนางต้องพยายามเอาตัวรอด!


ปีศาจตวัดกรงเล็บอันใหญ่โตเข้าใส่นาง ซูเหยาเบี่ยงตัวหลบอย่างลนลานจนเกือบหกล้ม แรงลมจากการเคลื่อนไหวของมันยังทำให้ผมของนางปลิวไสว ซูเหยาพยายามหลีกหนีการโจมตีอย่างสุดชีวิต นางกระโดดถอยหลังไปชนกับผนังห้องจนเจ็บแปลบ นางหันซ้ายแลขวามองหาสิ่งใดก็ได้ที่จะใช้ป้องกันตัว สายตาเหลือบไปเห็นก้อนหินเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งที่แตกจากพื้น นางจึงรีบคว้ามันขึ้นมา สัญชาตญาณดิบ ๆ บอกให้นาง สู้กลับแบบคนสู้ไม่เป็น ซูเหยาขว้างก้อนหินออกไปสุดแรง แต่ก้อนหินนั้นกลับกระดอนออกจากตัวปีศาจอย่างไม่สะทกสะท้านราวกับมันเป็นเพียงฝุ่นผงเท่านั้น เสียงหัวเราะเยาะเหยียดดังออกมาจากลำคอของปีศาจ มันก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ห้องโถงแคบลงไปถนัดตาเมื่อเผชิญหน้ากับร่างอันมหึมาของมัน


ในขณะที่ซูเหยากำลังหวาดกลัวสุดขีด จนคิดว่าตัวเองคงไม่รอดพ้นเงื้อมมือปีศาจร้ายนี้ไปได้แน่ จู่ ๆ ก็มี ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางหน้านางไว้ อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบระหว่างนางกับปีศาจยักษ์ นั่นคือ ไต้ซือจื่อหลิง! ใบหน้าอันสงบเยือกเย็นของท่านไต้ซือตัดกับความโกลาหลเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน มือที่ประสานกันแสดงถึงความเมตตาแต่แววตาดูมุ่งมั่น


“อหังการ์! หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าปีศาจ!” ไต้ซือจื่อหลิงเปล่งเสียงกังวานราวระฆังทอง “อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลย เจ้ามันช่างไม่รู้จักบุญคุณที่โลกนี้ให้เจ้าได้เกิดมามีชีวิต แต่กลับเอาไปใช้ในทางที่ผิด หนักแผ่นดิน! หูตาที่เจ้ามีก็ไม่เคยใช้มองสิ่งดี ๆ ปากที่เจ้ามีก็ไม่เคยใช้พูดจาดี ๆ เป็นได้แค่ปีศาจที่ไร้แก่นสาร!”


ปีศาจตนนั้นชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไต้ซืออย่างแปลกใจ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะเยาะหยันดังก้องห้องโถง


“ฮ่า ๆ ๆ! เจ้าพระหัวล้าน! มาเทศนาอะไรข้าที่นี่? ลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าคือใคร? โซ่ตรวนแค่นี้จะกักขังข้าได้ตลอดไปหรือ? หึ! อย่ามาอวดดี! จงหลีกทางไปซะ ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นอาหารอันโอชะอีกราย!”


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาคมกริบกว่าเดิม


“อาหารอันโอชะ? อ้อ...ถ้าเป็นบุญกุศล อาตมายินดีเป็นทาน แต่ถ้าเป็นบาปกรรม ก็เตรียมตัวสำลักคายออกมาเถอะ เจ้าปีศาจโง่เง่า! เกิดมามีแต่เขี้ยวกับเล็บ แต่สมองกลับมีแต่โคลนตม เห็นทีคงฝึกกินแต่ดินกินทรายจนลืมไปแล้วกระมังว่าอะไรควรไม่ควร?”


ปีศาจตนนั้นผงะไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าพระรูปนี้จะตอบโต้ได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้ มันคำรามด้วยความโมโห 


“เจ้า...เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าโง่! ข้าคือผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งได้!”


“แข็งแกร่ง? หึ! แข็งแกร่งจริงคงไม่ถูกโซ่ตรวนกักขังอยู่นานนมอย่างนี้หรอกกระมัง? ความแข็งแกร่งของเจ้ามันก็แค่เปลือกนอกที่หยาบกระด้างเหมือนหนังสัตว์ไร้ค่า! จิตใจข้างในเน่าเฟะยิ่งกว่าซากศพที่ถูกทิ้งขว้าง ไม่ต่างอะไรกับปีศาจชั้นต่ำที่เกิดมาเพื่อสร้างแต่ความวอดวายไร้สาระไปวัน ๆ! เกิดมาชาติหนึ่งมีดีแค่เป็นภาระให้ผืนแผ่นดินที่เจ้าเหยียบย่ำ!” ไต้ซือจื่อหลิงตอกกลับเสียงดังฟังชัด แต่ละคำราวกับมีดกรีดแทง


ปีศาจถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้างด้วยความตกใจปนความเจ็บใจ มันไม่เคยถูกใครต่อว่าได้เจ็บแสบถึงกระดูกดำเช่นนี้มาก่อน ลมหายใจของมันเริ่มติดขัด มันยกมือขึ้นกุมหน้าอกราวกับถูกทุบด้วยค้อน 


“เจ้า... เจ้ามันปากดี! ระวังจะไม่ได้ตายดี!”


“ปากดี? ก็ยังดีกว่าปากเน่าที่วัน ๆ เอาแต่พ่นพิษใส่คนอื่น! ตัวเจ้าก็ใหญ่โตโอหัง แต่จิตใจเล็กกระจิ๋วหลิวเท่าขี้ผง! มีตาแต่หามีแววไม่ มีหูแต่ไม่รู้จักฟังธรรม มีปากแต่พร่ำเพ้อถึงแต่ความมืดมิด! ชีวิตนี้เจ้าไม่คิดจะทำอะไรดี ๆ เลยใช่หรือไม่? เกิดมาเป็นปีศาจก็ขอให้เป็นปีศาจที่มีคุณธรรมบ้างเถิด อย่าให้เป็นปีศาจที่ไร้ค่าหนักโลกเลย!” ไต้ซือจื่อหลิงยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด แต่กลับแฝงด้วยเมตตาอันลุ่มลึกที่ชวนให้ปีศาจสำนึก


“เจ้าพระปากร้าย! มายุ่งอะไรกับเรื่องของข้า! รู้จักความสงบปากสงบคำบ้างไหม! หึ! คำพูดเหลวไหลของเจ้ามันไม่สะเทือนปีศาจอย่างข้าหรอก!” ปีศาจคำรามด้วยความหงุดหงิด ดวงตาแดงก่ำยิ่งลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ


“ไม่สะเทือนรึ? ถ้าไม่สะเทือนจะสำลักน้ำลายตัวเองทำไม? หึ! ปากเจ้ามันก็ดีแต่พ่นความมืดมิดออกมา! ไม่ต่างอะไรกับท่อน้ำเน่าที่รอวันแตก! เจ้าคิดว่าคำพูดหยาบกระด้างของเจ้ามันจะบดบังความจริงที่ว่าเจ้ามันก็แค่ปีศาจขี้แพ้ที่ถูกกักขังมานานนมได้หรือไง? โธ่เอ๊ย! เกิดมามีแต่เขี้ยวกับเล็บ! สมองดันมีแต่เศษตะกอน! ไม่ได้ใช้แยกแยะอะไรเลยแม้แต่น้อย! นี่ถ้ามีหางคงกระดิกให้ดูไปแล้วว่าโง่เง่าแค่ไหน!” ไต้ซือจื่อหลิงยังคงยิงคำพูดเผ็ดร้อนราวกับพริกขี้หนูสวน แต่แววตากลับฉายแววเยือกเย็นประหนึ่งพุทธรูปหิน


ปีศาจตนนั้นถึงกับหน้าเขียวหน้าแดง พลังงานสีดำทะมึนรอบกายมันพลุ่งพล่านรุนแรงยิ่งขึ้น กรงเล็บคมกริบตะปบอากาศเสียงดังฉับ ๆ 


"เจ้า...เจ้ากล้ามากที่มาสบประมาทข้า! ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่! ไม่ใช่พวกขยะที่เจ้าเอาไปเปรียบ!"


“ยิ่งใหญ่? ยิ่งใหญ่ตรงไหน? ยิ่งใหญ่แต่เรื่องไร้สาระ! ยิ่งใหญ่แต่เรื่องเบียดเบียน! ยิ่งใหญ่แต่เรื่องสร้างกรรม! ลองมองดูเงาตัวเองในบึงโคลนบ้างเถิด เจ้าจะเห็นว่าสิ่งที่เจ้าคิดว่ายิ่งใหญ่มันก็แค่ภาพลวงตา! เป็นแค่ปีศาจกระจอกงอกง่อยที่หลงระเริงในความมืดมิด! ชีวิตเจ้ามันน่าสมเพชยิ่งกว่าก้อนหินริมทางเสียอีก เพราะก้อนหินมันยังรู้จักอยู่นิ่งๆ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร! ส่วนเจ้า? มีแต่หนักแผ่นดิน!” ไต้ซือกล่าวเสียงดังก้อง แต่ละคำแทงทะลุหัวใจปีศาจ


ซูเหยาได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้า นางไม่เคยเห็นท่านไต้ซือในมุมนี้มาก่อนเลย จึงค่อนข้างแปลกใจ จะว่าไปไต้ซือปากแซ่บใช่ย่อย!


ไต้ซือจื่อหลิงยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยความหยามเหยียดราวกับต้องการกระตุ้นโทสะของปีศาจให้ถึงขีดสุด


“อ้อ! นี่เจ้าถึงกับสะอึกเลยรึ? นึกว่าปีศาจอย่างเจ้าจะหน้าหนากว่านี้เสียอีก! หรือว่าความจริงแล้วข้างในก็แค่ลูกแกะตัวน้อยที่ขี้ขลาดกันแน่? น่าสมเพชจริง ๆ! เกิดมามีรูปร่างใหญ่โตแต่ใจกลับเล็กเท่ามด! ช่างเป็นปีศาจที่ไร้ค่าสิ้นดี!”


คำพูดเหล่านี้เหมือนมีดคมกรีดแทงลงไปกลางใจปีศาจ พลังงานสีดำทะมึนรอบกายมันพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำลุกโชนราวกับจะแผดเผาทุกสิ่ง แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ปีศาจตนนั้นกลับ กระอักเลือดสีดำทะมึนออกมาจากปาก พลางยกมือกุมหน้าอกอย่างเจ็บปวด มันเซถอยหลังไปสองสามก้าว ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บแค้น



ซูเหยาแทบไม่เชื่อสายตา นี่มันอะไรกัน? แค่คำพูดของไต้ซือก็ทำให้ปีศาจที่น่ากลัวถึงกับกระอักเลือดได้เชียวหรือ?


“เจ้า… เจ้ามัน… ไอ้พระปากปีจอ!” ปีศาจคำรามด้วยเสียงแหบพร่า มันจ้องไต้ซือด้วยความอาฆาตแค้นราวกับจะฉีกเป็นชิ้น ๆ


“พระปากปีจอ? หึ! เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึว่าปากอาตมาที่เจ้าว่าปีจอนี่แหละ ที่มันกำลังฉีกกระชากม่านมายาที่เจ้าหลอกตัวเอง! เจ้าคิดว่าคำรามดัง ๆ แล้วจะกลบความจริงได้รึ? ลองฟังให้ดีนะ เจ้าปีศาจโง่เง่า! เจ้าไม่ได้ยิ่งใหญ่! เจ้าแค่กำลังเป็นทาสของความมืดบอดในใจตัวเอง!”


ปีศาจตนนั้นตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ มันพยายามจะพุ่งเข้าใส่ไต้ซืออีกครั้ง แต่กลับถูกพลังบางอย่างตรึงไว้ ไต้ซือจื่อหลิงยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังยิ่งขึ้น


“เจ้าคิดว่าการทำลายล้างคือความสุขรึ? เจ้าคิดว่าการเข่นฆ่าคือความยิ่งใหญ่รึ? โง่เขลาสิ้นดี! ความสุขที่แท้จริงหาได้มาจากการเบียดเบียนไม่! ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงมาจากจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา! เจ้ามันก็แค่ปีศาจที่ถูกความโลภครอบงำ! ไม่รู้จักพอ! ไม่รู้จักธรรมะ! หลงทางอยู่ในวังวนแห่งกิเลสตัณหา! น่าสังเวชยิ่งนัก!”


ปีศาจกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง มันทรุดเข่าลง ดวงตาแดงก่ำสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจ คำพูดของไต้ซือมันช่างบาดลึกยิ่งกว่ากรงเล็บแหลมคมใด ๆ มันไม่เคยถูกใครหยามเหยียดได้ถึงเพียงนี้ ไม่เคยมีใครเปิดเปลือยความจริงอันน่าสมเพชของมันได้ชัดเจนเช่นนี้


ซูเหยาได้แต่กลืนน้ำลายมองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าถ้อยคำของพระรูปหนึ่งจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ปีศาจที่เมื่อครู่ยังดูน่าเกรงขาม บัดนี้กลับทรุดฮวบลงกับพื้นราวกับถูกค้อนทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่า


ไต้ซือจื่อหลิงยังคงยืนสงบนิ่ง ใบหน้าเปี่ยมเมตตาแต่แววตานั้นเฉียบคมยิ่งกว่าคมมีด ท่านก้าวเข้ามาใกล้ปีศาจที่กำลังทรมานอีกก้าวหนึ่ง เสียงของท่านกังวานราวระฆังทองคำที่กำลังตีบอกทางสว่างให้ผู้หลงผิด


“เจ้ายังไม่สำนึกอีกรึ? ก้มหน้าก้มตาจมปลักอยู่ในความมืดมิด! คิดว่าการหลบหนีความจริงคือทางออกรึ? หึ! เจ้ามันก็แค่กบในกะลา ที่สำคัญคือเป็นกบแก่ที่ปากเน่าและตัวเหม็นคลุ้ง! ไม่เคยเห็นแสงตะวัน ไม่เคยได้ยินเสียงธรรมะ! วัน ๆ เอาแต่ร้องอ๊บ ๆ อย่างไร้สาระ! ดูถูกความเมตตาที่แผ่นดินให้เจ้าได้ยืน! เกิดมาทั้งทีเอาแต่สร้างเวรสร้างกรรม! คิดว่าชีวิตนี้จะอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่ต้องชดใช้รึ? เจ้ามันก็แค่ปีศาจงี่เง่าที่หลงคิดว่าตัวเองฉลาด! ตื่นเสียทีเถิด! ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นเพียงธุลีดินที่ไร้ค่าไปมากกว่านี้!”


ปีศาจกระอักเลือดสีดำออกมาอีกครั้ง ร่างกายของมันสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาแดงก่ำเริ่มสั่นคลอน ปราการพลังงานสีดำรอบกายเริ่มจางหายไป


“เจ้า...เจ้ามัน...พอแล้ว! พอได้แล้ว!” ปีศาจคำรามอย่างเจ็บปวด “ข้า...ข้ายอมแล้ว! ได้โปรด...ได้โปรดหยุดเถิด! คำพูดของเจ้า...มันเจ็บยิ่งกว่าโดนไฟนรกลนเสียอีก! ข้าไม่เคยพบเจอสิ่งใดที่จะทำให้ข้าเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้!”


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มบาง ๆ แววตาอ่อนลงเล็กน้อย แต่คำพูดของท่านยังคงดุจคมดาบที่ฟาดฟันความมืดมิด


“เจ็บปวดรึ? นั่นแหละคือธรรมะ! นั่นแหละคือการชดใช้ที่เจ้าต้องได้รับ! เจ้ามันใช้ชีวิตอย่างไร้ค่ามานานนม! มัวแต่หลงระเริงในอำนาจจอมปลอม! ไม่เคยแม้แต่จะเปิดใจรับรู้ความดีงาม! สมเพชยิ่งนัก! ยิ่งกว่าปีศาจชั้นต่ำก็คือปีศาจที่ไม่รู้จักประมาณตน! ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องชำระบาป! จะมาคร่ำครวญอะไรตอนนี้! ตอนที่เจ้าทำชั่วไม่เห็นเจ้าจะร้องไห้! ตอนนี้แค่ฟังธรรมะกลับจะตายเอาเสียให้ได้!”


ปีศาจทรุดลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มันยกมือขึ้นกุมศีรษะราวกับจะระเบิดออก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ


“ข้า...ข้าขอร้อง! ไต้ซือ...ข้า...ข้าทนไม่ไหวแล้ว! ถ้าท่านจะด่าข้าอีก...ข้าคงได้ตายจริง ๆ! ข้า...ข้าไปบวชก็ได้! ได้โปรด...พาข้าไปบวชทีเถิด! ข้าอยากจะขอขมา! อยากจะล้างบาป! เลิกด่าข้าเถอะ! ฮือออ...” ปีศาจตะโกนเสียงหลง ใบหน้าเปื้อนเลือดสีดำ ดวงตาแดงก่ำทอประกายแห่งความสิ้นหวังและความสำนึกผิดอย่างไม่น่าเชื่อ



ไต้ซือจื่อหลิงมองปีศาจที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญด้วยสายตาที่เปี่ยมเมตตา ท่านพยักหน้าช้า ๆ


“ดี! ในที่สุดก็สำนึกได้! จำไว้ให้ดีนะเจ้าปีศาจ! การบวชไม่ใช่แค่การโกนหัวห่มจีวร แต่เป็นการขัดเกลาจิตใจ! ถ้าบวชแล้วยังทำตัวหนักแผ่นดิน ปากเน่าเหมือนเดิม ข้าจะตามไปเทศน์ถึงกุฏิ! เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเถอะ! นี่แหละคือทางรอดเดียวที่เจ้ามี!”


ปีศาจตัวสั่นสะท้าน มันรีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าไต้ซือจะเปลี่ยนใจ


“ขอรับ! ข้าน้อยจะบวชขอรับ! ข้าน้อยจะตั้งใจปฏิบัติธรรม! จะไม่ให้ท่านไต้ซือต้องลำบากตามไปเทศน์อีกเลยครับ! สาธุ!”


ไต้ซือจื่อหลิงมองปีศาจที่บัดนี้ดูหงอลงถนัดตาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปทางรอยแยกบนพื้นดินที่ยังคงมีกลุ่มควันสีดำจาง ๆ ลอยขึ้นมา


“เอาล่ะ เจ้าจงกลับไปในที่ที่เจ้าจากมาซะ บำเพ็ญเพียรอยู่ในนั้นจนกว่าจิตใจจะบริสุทธิ์พอที่จะออกมาสู่โลกภายนอกได้อีกครั้ง” ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ลดความเผ็ดร้อนลง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยอำนาจบางอย่าง


ปีศาจก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม มันมองซูเหยาแวบหนึ่งด้วยสายตาที่ไม่มีแววหิวโหยอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงและกระโดดกลับลงไปในรอยแยกนั้นอย่างเงียบเชียบ รอยแยกบนพื้นค่อย ๆ ปิดสนิทลงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น กลุ่มควันสีดำจางหายไปในอากาศ กลิ่นกำมะถันฉุนกึกก็ค่อย ๆ จางลงเช่นกัน เหลือไว้เพียงความสงบที่กลับคืนมาสู่ห้องโถงโบราณอีกครั้ง



หลักฐานการต่อสู้
หลัวซา (แพ้)


แสดงความคิดเห็น

ไต้ซือหันมาเทศนาคุณต่อเรื่องการปลดปล่อยปีศาจ (จบ)  โพสต์ 2025-7-7 15:44
โพสต์ 40,909 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-7 15:22
โพสต์ 40,909 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-7 15:22
โพสต์ 40,909 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-7 15:22
โพสต์ 40909 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-7 15:22
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-8 23:54:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



ซูเหยามองรอยแยกบนพื้นหินที่ปิดสนิทลงอย่างตะลึงงัน นางยังคงยืนนิ่งคล้ายรูปปั้นหิน ไม่เชื่อว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่คือความจริง ปีศาจตนมหึมาที่น่าสะพรึงกลัว บัดนี้กลับหายลับไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน และทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของท่านไต้ซือ! นางหันไปมองไต้ซือจื่อหลิงที่ยืนสงบอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าเปี่ยมเมตตาของท่านกลับมาสู่สภาพปกติแล้ว ราวกับไม่ได้เพิ่งประชันฝีปากกับปีศาจมาเมื่อครู่


"ทะ…ท่านไต้ซือ...เมื่อครู่...เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?" ซูเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ความตกใจยังไม่จางหายไปจากสีหน้าและแววตา


ไต้ซือจื่อหลิงหันมายิ้มบาง ๆ ให้ซูเหยา ดวงตาของท่านทอประกายแห่งความเอ็นดู 


"อาตมาก็แค่เทศนาธรรมให้ปีศาจตนนั้นฟังเท่านั้นแหละโยม"


"เทศนาธรรมหรือเจ้าคะ?" ซูเหยาเลิกคิ้วสูง "แต่คำพูดของท่านไต้ซือ...มัน...มันช่าง..." นางหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้ แต่สิ่งที่ผุดขึ้นในใจคือคำว่า ‘ปากแซ่บ’ หรือ ‘ปากร้าย’ ซึ่งดูจะไม่เหมาะจะใช้กับพระสงฆ์รูปงามอย่างท่านไต้ซือเอาเสียเลย


"โยมซูคงแปลกใจสินะว่าทำไมอาตมาจึงใช้ถ้อยคำรุนแรงเช่นนั้น" ท่านเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อ "ปีศาจบางตนนั้นดื้อรั้นนัก ยึดมั่นในความมืดบอด หากไม่ใช้ถ้อยคำที่เฉียบคมราวคมดาบ ผ่าแทงเข้าไปถึงแก่นแท้ของจิตใจ มันก็จะไม่สำนึก อาตมาต้องกระตุ้นโทสะและบีบคั้นให้มันได้เผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสมเพชของตัวเอง จนมันอ่อนกำลังและพร้อมจะรับฟังธรรมะอย่างแท้จริง"


ซูเหยาพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ นางนึกย้อนถึงภาพปีศาจที่กระอักเลือดและทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดจากการถูกเทศนา ก็อดทึ่งในพลังของท่านไต้ซือไม่ได้


"แล้วปีศาจตนนั้น...มันคืออะไรหรือเจ้าคะ?" ซูเหยาถามด้วยความสงสัย


"ปีศาจตนนั้น คือ หลัวซาหรือที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนามยักษ์นั่นเองโยม" ไต้ซือจื่อหลิงอธิบาย "มันเป็นปีศาจประเภทหนึ่งในภพภูมิต่ำ มีกายใหญ่โต มีฤทธิ์เดชพอตัว แต่จิตใจยังคงเต็มไปด้วยกิเลส ตัณหา ความโลภ โกรธ หลง และความพยาบาท"


ซูเหยามองไปยังจุดที่ปีศาจหายไป 


"แล้วเหตุใดมันจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่เจ้าคะ?"


ไต้ซือจื่อหลิงมองไปที่ผลึกสีดำทมิฬในมือของซูเหยา 


"นั่นก็เพราะผลึกทมิฬในมือของโยมนี่แหละ มันมีพลังงานบางอย่างที่ดึงดูดปีศาจหลัวซาตนนี้มาแต่ไกล ยิ่งโยมคว้ามันมาไว้ในมือ หลัวซาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังงานที่มันปรารถนา มันจึงพยายามจะเข้าแย่งชิง"


ไต้ซือจื่อหลิงหันกลับมามองซูเหยาอีกครั้ง ใบหน้าเปี่ยมเมตตายังคงปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ แต่แววตาของท่านกลับจริงจังขึ้นเล็กน้อย


"โยมซู" ท่านเอ่ยเสียงนุ่มนวล "อาตมาเข้าใจดีว่าโยมอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่การที่โยมสัมผัสกับผลึกทมิฬนั้น ทำให้โยมได้ปลดปล่อยปีศาจตนนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว"


ซูเหยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ 


"ปลดปล่อยหรือเจ้าคะ? ขะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจเลยเจ้าค่ะ!" นางรีบปฏิเสธพัลวัน ความรู้สึกผิดแล่นวาบเข้ามาในใจ


"อาตมาทราบดีว่าโยมมิได้มีเจตนาชั่วร้าย" ไต้ซือปลอบโยน "แต่สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ล้วนมีกรรมเป็นของตน ปีศาจตนนั้นถูกกักขังมานานเพราะวิบากกรรมที่มันได้ก่อไว้ เมื่อมีพลังงานที่เหมาะสมไปกระตุ้นมันจึงหลุดพ้นจากพันธนาการ"


ท่านหยุดเล็กน้อย คล้ายจะให้ซูเหยาได้ทำความเข้าใจก่อนจะกล่าวต่อ


"โยมซูพึงระลึกไว้เถิดว่า ทุกการกระทำย่อมมีผลตามมา ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม การที่โยมได้ปลดปล่อยปีศาจหลัวซาออกมานั้น แม้จะมิได้ตั้งใจแต่ก็ถือเป็นการก่อกรรมหนึ่ง และกรรมนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อภพภูมิต่าง ๆ รวมถึงตัวโยมเอง"


ซูเหยาหน้าซีดเผือด นางไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำเพียงเล็กน้อยของตนจะส่งผลใหญ่หลวงได้ถึงเพียงนี้


"แล้วข้าควรทำอย่างไรเจ้าคะ?" ซูเหยาถามด้วยน้ำเสียงกังวล 


“โยมซู” ท่านไต้ซือเอ่ยขึ้น “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้แท้จริงแล้วเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ มิใช่เพียงสำหรับปีศาจตนนั้น แต่สำหรับโยมเองด้วย”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองท่านไต้ซือด้วยความฉงน


“การปลดปล่อยปีศาจหลัวซา มิใช่เพียงการก่อกรรมอย่างที่โยมเข้าใจเสียทั้งหมด หากมองในทางธรรมะ นั่นคือการปลดเปลื้องพันธนาการให้แก่สรรพสัตว์ตนหนึ่ง” ท่านไต้ซืออธิบาย “ปีศาจตนนั้นถูกจองจำด้วยกรรมของมัน แต่ในความมืดมิดนั้น มันก็ไม่อาจมองเห็นหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงได้ เปรียบดั่งคนที่หลงทางในถ้ำมืดสนิท ยิ่งดิ้นรนเท่าไหร่ก็ยิ่งจมดิ่ง” 


ไต้ซือจื่อหลิงเปรียบเปรย 


“แต่เมื่อมีแสงสว่างวาบขึ้นเพียงชั่วครู่ แม้จะทำให้ตกใจกลัว ทว่านั่นก็เป็นโอกาสให้มันได้เห็นทางออก…การที่โยมได้สัมผัสกับผลึกทมิฬนั้น ทำให้ปีศาจตนนั้นได้หลุดพ้นจากที่คุมขัง นั่นเป็นการกระตุ้นให้มันได้ออกมาเผชิญหน้ากับความจริงของตนเองอีกครั้ง เผชิญหน้ากับกิเลส ตัณหา ที่กัดกินจิตใจของมันมานับร้อยปี”


ซูเหยานิ่งฟังอย่างตั้งใจ ใบหน้าของนางค่อย ๆ คลายความกังวลลง


“ธรรมะที่อาตมาได้เทศนาออกไปเมื่อครู่ อาจฟังดูรุนแรง แต่เปรียบได้ดั่งมีดหมอที่ต้องกรีดเนื้อร้ายออก เพื่อให้บาดแผลหายขาด” ท่านไต้ซือกล่าวต่อ “ปีศาจตนนั้นจมอยู่กับความมืดบอดมานาน การที่จะให้มันสำนึกและกลับใจได้นั้น จำเป็นต้องมีแรงกระแทกที่รุนแรงพอจะทำให้มันตื่นจากภวังค์...นี่คือหนทางแห่งการโปรดสัตว์รูปแบบหนึ่ง ที่มิได้มีเพียงความอ่อนโยน แต่บางคราก็ต้องใช้ความเด็ดขาด เพื่อฉุดดึงสรรพสัตว์ที่หลงผิดให้กลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง”


“สำหรับโยมเอง เหตุการณ์นี้ก็ถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่า” ไต้ซือจื่อหลิงหันมามองซูเหยาด้วยรอยยิ้ม “โยมได้ตระหนักถึงผลของการกระทำ แม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท…ในโลกนี้ทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงถึงกันและกัน การกระทำใด ๆ ของเราย่อมส่งผลสะท้อนไปถึงผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม” ท่านไต้ซือเน้นย้ำ “การตระหนักรู้ในจุดนี้ จะทำให้โยมมีความระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น และเลือกที่จะกระทำแต่กรรมดี อันจะนำมาซึ่งความสุขสงบทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น”


“จงจำไว้เถิดว่าการสำนึกคือจุดเริ่มต้นของปัญญา การแก้ไขคือหนทางแห่งการเติบโต และการไม่ประมาทคือก้าวสำคัญสู่การหลุดพ้น”


ซูเหยาน้อมรับคำสอนของท่านไต้ซือด้วยความเคารพ นางรู้สึกได้ถึงความกระจ่างแจ้งในจิตใจที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


“ข้าจะจดจำคำสอนของท่านไต้ซือไว้ในใจเจ้าค่ะ และจะตั้งมั่นในความไม่ประมาท” ซูเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ขอบพระคุณท่านไต้ซือเป็นอย่างสูงที่ได้โปรดเมตตา”


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง


“ดีแล้วโยม” ท่านกล่าว “บัดนี้ได้เวลาที่โยมจะต้องกลับแล้ว หน้าที่ของโยมในการช่วยเหลือผู้คนยังรอโยมอยู่…ขอให้โยมใช้ปัญญาและความเมตตาที่โยมมี เพื่อบรรเทาทุกข์ให้กับผู้อื่น เฉกเช่นเดียวกับที่โยมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในวันนี้”


ซูเหยาโค้งคำนับท่านไต้ซือด้วยความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากศาลเจ้าไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบ และรอยยิ้มเปี่ยมเมตตาของไต้ซือจื่อหลิงที่ยังคงยืนมองตามหลังนางไป จนกระทั่งร่างของซูเหยาลับหายไปจากสายตา




-จบเควสปลดล็อกหัวใจ-


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 21695 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-8 23:54
โพสต์ 21,695 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-8 23:54
โพสต์ 21,695 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-8 23:54
โพสต์ 21,695 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-8 23:54
โพสต์ 21,695 ไบต์และได้รับ +5 EXP +12 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมอฝึกหัด  โพสต์ 2025-7-8 23:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-12 13:54:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 9 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย (เวลา 15.00 น.)



ภายในโรงหมอที่อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพร บรรยากาศที่เคยตึงเครียดเมื่อครู่พลันคลี่คลายลงทันทีที่ขบวนเสด็จอันโอ่อ่าของเซียวจื่อไท่โฮ่วเคลื่อนลับหายไปจากสายตา เสียงกระซิบกระซาบและฝีเท้าที่เคยหยุดนิ่งเริ่มกลับมาเคลื่อนไหว ผู้คนในโรงหมอต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ทว่าสายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องไปยังร่างอรชรของซูเหยาด้วยความชื่นชมระคนประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือการรักษา แต่ยังเป็นเพราะความโปรดปรานที่ไท่โฮ่วมีต่อนางนั้นปรากฏชัดเจนจนยากจะปฏิเสธ


ซูเหยากำลังจะหมุนกายกลับไปจัดยาที่ค้างไว้ เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาก็หยุดลงด้านหลังนาง


“หมอหญิงซู…”


เสียงนั้นนุ่มทุ้ม ทว่าแฝงความคมกริบดุจปลายมีดที่ซ่อนอยู่ในผ้าไหมเนื้อดี ซูเหยาหันกลับไปช้า ๆ พบกับขันทีผู้หนึ่งในชุดขาวสะอาดสะอ้าน มือเรียวประคองห่อผ้าไหมสีม่วงอ่อนปักลายดอกโบตั๋นละเอียดงดงามวิจิตรบรรจง สายตาของเขาดูลุ่มลึกยากคาดเดาราวกับห้วงน้ำวนที่ไร้ก้นบึ้ง


“ข้าน้อยคือเฉินอวี๋ ขันทีประจำองค์ไท่โฮ่ว” เขากระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ก่อนเสด็จกลับ ไท่โฮ่วทรงรับสั่งให้ข้านำของสิ่งนี้มามอบแก่ท่านหมอหญิงซู”


เขายื่นห่อผ้าไหมนั้นออกไป ซูเหยาแม้จะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ค้อมตัวลงรับไว้ด้วยความนอบน้อม


“ทรงฝากถ้อยคำอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” ซูเหยาเอ่ยถามพลางก้มหน้าลง


เฉินอวี๋คลี่ยิ้มจาง ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับกลัวว่าลมจะพัดพากลีบดอกโบตั๋นเหล่านั้นให้ปลิวหายไป


“ไท่โฮ่วตรัสว่า ‘เมื่อถึงยามที่หัวใจเจ้าหวั่นไหว ไม่อาจยึดมั่นในเจตนาเดิมได้ จงเปิดห่อนี้’”


หลังสิ้นคำกล่าวเฉินอวี่ค้อมตัวให้เล็กน้อย นัยน์ตาของเขายังคงจับจ้องซูเหยาเป็นวูบสุดท้าย ราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง ก่อนจะถอยกลับอย่างเงียบงัน ซูเหยาเบิกตากว้างเล็กน้อย สองมือของนางประคองห่อผ้าไหมไว้แน่น หัวใจของนางเต้นระส่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ





ในขณะเดียวกัน บริเวณด้านหลังโรงหมอที่ซึ่งราชรถของเซียวจื่อไท่โฮ่วจอดเทียบรอ เสียงสนทนาระหว่างพระองค์และขันทีคนสนิทดังแว่วลอดม่านราชรถออกมา เฉินอวี๋ผู้เพิ่งกลับจากภารกิจทูลถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมระคนสงสัย


“พระองค์ทรงโปรดหมอหญิงผู้นี้เป็นพิเศษหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


ไท่โฮ่วเซียวจื่อแย้มสรวลบางเบา คล้ายจะเป็นถ้อยคำพึมพำกับตนเองมากกว่าจะตอบคำถามนั้น 


“หญิงผู้นี้มีดวงใจมั่นคง…แต่ข้าเห็นเงาสะท้อนของข้าเมื่อยังเยาว์ในดวงตานาง…”


พระเนตรเรียวของไท่โฮ่วทอดยาวออกไปในระยะไกล ราวกับย้อนมองอดีตที่ผ่านพ้น 


“ครั้งหนึ่งข้าเองก็เคยคิดว่าหัวใจที่หนักแน่นจะพ้นทุกสิ่ง…แต่ความหวั่นไหวเพียงคราหนึ่ง กลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปชั่วชีวิต” แววตาของพระองค์ฉายแววความอาดูรที่ยากจะคาดเดา เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้ใดจะเข้าใจได้ง่าย ๆ


เฉินอวี๋รับฟังอย่างเงียบงัน เขารู้ดีว่าไท่โฮ่วทรงหมายถึงเรื่องราวในอดีตที่ฝังลึกอยู่ในใจพระองค์ เรื่องราวที่แม้แต่ขันทีคนสนิทอย่างเขาก็ไม่อาจล่วงรู้รายละเอียดทั้งหมดได้ นอกจากการเฝ้ามองและถวายการรับใช้อย่างจงรักภักดี


ภายในราชรถกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงเสียงล้อบดกับพื้นดินที่บ่งบอกว่าขบวนเสด็จกำลังเคลื่อนตัวออกจากโรงหมอไปช้า ๆ ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงความลับที่ยังคงแขวนอยู่กลางอากาศ และห่อผ้าไหมปริศนาในมือของซูเหยา





คืนนั้น...แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ภายในโรงหมอที่ซูเหยาพักอาศัย ความเหนื่อยล้าจากการงานทั้งวันไม่อาจทำให้ดวงตาของนางปิดสนิทได้เลย เสียงของเฉินอวี๋ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับกระซิบอยู่ข้างหูไม่ขาดสาย


‘เมื่อถึงยามที่หัวใจเจ้าหวั่นไหว ไม่อาจยึดมั่นในเจตนาเดิมได้ จงเปิดห่อนี้’


คำกล่าวที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง สร้างความว้าวุ่นในใจซูเหยาไม่น้อย นางลุกขึ้นจากที่นอนเก่า ๆ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับกาย เดินไปยังโต๊ะไม้ข้างเตียง ที่ซึ่งห่อผ้าไหมสีม่วงอ่อนวางอยู่ นางหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ สัมผัสถึงเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นและงานปักอันประณีตของดอกโบตั๋น พินิจมองมันด้วยความลังเล


จะเปิดดีหรือไม่? คำถามนี้ผุดขึ้นในความคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ลึก ๆ แล้วซูเหยารู้สึกได้ว่าการเปิดห่อผ้านี้อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่นางยังไม่พร้อมจะเผชิญ


“คงยังไม่ถึงเวลากระมัง…” นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในความเงียบสงัดของยามค่ำคืน


ในที่สุดซูเหยาก็ตัดสินใจวางห่อผ้าไหมกลับลงที่เดิม แม้จะมีความอยากรู้อยากเห็นรบกวนจิตใจ แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้นางรอคอย รอคอยจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึงอย่างแท้จริง นางเชื่อว่าหากไท่โฮ่วมีรับสั่งเช่นนั้น ย่อมต้องมีเหตุผลสำคัญ ห่อผ้านั้นคงจะถูกเปิดในไม่ช้า เมื่อหัวใจของนางถึงคราวต้องเผชิญหน้ากับความหวั่นไหวอย่างแท้จริง




ตัวเลือก : (1) ซูเหยาเก็บห่อผ้าไว้ ไม่เปิด จนกว่าจะมีเหตุการณ์ "หวั่นไหว"


แสดงความคิดเห็น

จบ  โพสต์ 2025-7-12 14:55
โพสต์ 15542 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-12 13:54
โพสต์ 15,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-12 13:54
โพสต์ 15,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-12 13:54
โพสต์ 15,542 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +4 คุณธรรม +5 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-12 13:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 2025-7-22 16:53:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 17 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเซิน (เวลา 15.00 - 17.00 น.)



ในที่สุดตะวันก็คล้อยต่ำลงสู่ทิศตะวันตกย้อมฟ้าให้กลายเป็นสีส้มอมชมพู ซูเหยาที่เพิ่งนำสมุนไพรไปให้หมอเจิ้งและจัดการธุระที่โรงหมอเสร็จสิ้น ก็ได้เวลายามเซินพอดิบพอดี นางเร่งฝีเท้าไปยังศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย ตะกร้าหวายในมือของนางบรรจุอาหารและอุปกรณ์ทำความสะอาดเล็กน้อย


เมื่อมาถึงศาลเจ้าแม้จะดูเก่าโทรมตามกาลเวลาด้วยกำแพงที่ซีดจางและประตูไม้ที่ผุกร่อนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดูรกร้าง เถาวัลย์ที่เลื้อยพันอยู่บ้างก็ได้รับการตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ แสดงให้เห็นว่าที่นี่มีการดูแลอยู่เสมอ ซูเหยาสูดหายใจลึก ๆ เตรียมพร้อมที่จะช่วยไต้ซือจื่อหลิงดูแลสถานที่แห่งนี้ นางวางตะกร้าลงข้างเสาหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำจาง ๆ แล้วเริ่มลงมือทำความสะอาด


มือเรียวหยิบไม้กวาดที่นำมาด้วย กวาดใบไม้แห้งและฝุ่นผงเพียงเล็กน้อยบนพื้นศาลเจ้าจนเกิดเสียงซู่ซ่า ฝุ่นคละคลุ้งขึ้นมารอบกายเพียงชั่วครู่ก็จางหายไป ผ้าชุบน้ำถูกนำมาเช็ดถูรูปปั้นเทพเจ้าที่เคยสง่างามแต่บัดนี้มีเพียงคราบฝุ่นบาง ๆ คราบสกปรกจาง ๆ ค่อย ๆ หายไป เผยให้เห็นร่องรอยของสีทองและสีแดงที่เคยสดใส แม้จะเลือนลางไปมากแล้วก็ตาม


นางขัดถูแท่นบูชาหินอ่อนอย่างเบามือ คราบราดำเพียงเล็กน้อยที่เกาะติดค่อย ๆ หลุดออก เผยให้เห็นเนื้อหินอ่อนสีขาวนวลที่ซ่อนอยู่เบื้องล่าง แสงจากตะวันที่เริ่มอ่อนแรงส่องลอดเข้ามาต้ององค์เทพ ทำให้รูปปั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย ซูเหยายิ้มบาง ๆ รู้สึกถึงความสงบที่แผ่ซ่านเข้ามาในใจ ยิ่งทำความสะอาดมากเท่าไหร่ จิตใจของนางก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น


เมื่อทุกอย่างสะอาดเรียบร้อยดี นางจุดธูปหอมที่นำมาด้วย ควันธูปสีขาวลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ ผสานกับกลิ่นอายของป่าเขาที่โอบล้อมศาลเจ้า เสียงกระพรวนลมที่แขวนอยู่หน้าศาลเจ้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบายามลมพัดมา


ภายในศาลเจ้าไต้ซือจื่อหลิง เพิ่งเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็นในห้องโถงหลัก ดวงตาอันลึกซึ้งของเขาพลันรับรู้ถึงการมาของผู้มาเยือน กลิ่นธูปหอมที่ไม่ใช่ของตนลอยมาแตะจมูกพร้อมกับเสียงขยับเขยื้อนภายนอก ไต้ซือคลี่จีวรออกอย่างแช่มช้า ก่อนจะก้าวเท้าออกมาจากความมืดสลัวของห้องโถง


เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู สายตาของไต้ซือจื่อหลิงก็จับจ้องไปยังร่างบอบบางที่กำลังจัดวางตะกร้าหวายข้างเสาหิน แสงอาทิตย์ยามอัสดงอาบไล้ร่างนั้นให้เปล่งประกาย โยมซูเหยาที่ท่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผู้ที่มักจะมาใส่บาตรที่ตลาดตะวันออกในทุกเช้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและจิตใจอันบริสุทธิ์


"โยมซู?" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นเบา ๆ ปนความประหลาดใจเล็กน้อย


ซูเหยาหันขวับ ใบหน้าเรียวสวยขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยเมื่อเห็นไต้ซือจื่อหลิงยืนอยู่ตรงหน้า นางรีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม 


"คารวะท่านไต้ซือเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนการบำเพ็ญของท่าน..."


ไต้ซือจื่อหลิงยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยเมตตา 


"ไม่รบกวนเลย แต่โยมมาที่นี่ได้อย่างไรในยามนี้?"


“คือ…วันนี้ข้าน้อยเพิ่งเสร็จธุระที่โรงหมอเจ้าค่ะ พอทำธุระเสร็จก็นึกถึงศาลเจ้าขึ้นมา เลยตั้งใจมาช่วยทำความสะอาด…แล้วก็...” นางเอื้อมมือไปหยิบอาหารจากในตะกร้าหวาย แล้วนำออกมาอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยทำน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนกับชาเบญจมาศมาเจ้าค่ะ คิดว่าท่านอาจยังไม่ได้ฉันเย็นนี้เลยอยากเอามาถวาย”


ไต้ซือจื่อหลิงก้มลงมองอาหารและเครื่องดื่มในมือของนาง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเครื่องยาสมุนไพรโชยมาตามสายลม เขายิ้มบาง ๆ ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยความละมุนละม่อม 


“โยมซู…อาตมาไม่สามารถฉันอาหารหลังเที่ยงได้ มันเป็นข้อวินัยของสงฆ์ อาตมาเคร่งครัดในพระธรรม ไม่อาจละเลยได้แม้เพียงน้อย”


เพียงสิ้นคำกล่าวซูเหยาก็หน้าเจื่อนทันที นางรีบโค้งตัวลงต่ำกว่าเดิม เสียงเอ่ยขอโทษร้อนรนปะปนความเก้อเขิน 


“ข้าน้อยมิได้ทราบเลยเจ้าค่ะ ต้องขออภัยท่านไต้ซืออย่างสูง ข้านับถือลัทธิเต๋า…จึงไม่คุ้นกับข้อวัตรปฏิบัติของฝ่ายพุทธนัก ข้าน้อยเพียงแค่…นึกเป็นห่วงท่าน กลัวว่าท่านจะไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องในยามเย็นเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”


ท่านไต้ซือนิ่งฟัง ไม่ได้แสดงท่าทีตำหนิแม้แต่น้อย เขาเพียงพยักหน้าช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปรับอาหารเหล่านั้นมาไว้ในมือ ก่อนกล่าวเสียงเรียบแต่เต็มไปด้วยเมตตา


“โยมมีเจตนาดี อาตมาย่อมเห็นความตั้งใจนั้นชัดเจน แม้จะไม่สามารถฉันได้ในตอนนี้ แต่อาตมาจะฝากสิ่งเหล่านี้ให้เด็กเร่ร่อนที่มักผ่านมาแถวนี้ยามค่ำ พวกเขาจะได้อิ่มในคืนนี้”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายอย่างโล่งใจ ความรู้สึกผิดในใจเจือจางลงเล็กน้อย 


“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดีแล้วเจ้าค่ะ”


“โยมซูมีเมตตา มีจิตใจดีงาม และมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นเสมอ” ไต้ซือจื่อหลิงกล่าวพลางมองไปยังตะกร้าอาหารในมือ “สิ่งนี้เปรียบเสมือนการให้ ซึ่งเป็นหนึ่งในบารมีที่นำไปสู่ความหลุดพ้น”


เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงตะวันยามอัสดงที่ทอแสงเรืองรองอยู่เบื้องบน 


“เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังโลก ไม่ว่าผู้ใดจะเห็นคุณค่าหรือไม่ แสงนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอ การให้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือไม่ สิ่งสำคัญคือเจตนาอันบริสุทธิ์ที่อยู่เบื้องหลัง”


ซูเหยาตั้งใจฟังทุกถ้อยคำของท่านไต้ซืออย่างสำรวม นางรู้สึกราวกับว่าจิตใจของนางได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น


“ธรรมะมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่พิธีกรรม หรือข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดเท่านั้นโยมซู” ไต้ซือจื่อหลิงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ธรรมะแท้จริงแล้วแฝงอยู่ในทุกการกระทำ ในทุกความคิด ขอเพียงเรามีสติและพิจารณาอย่างแยบคาย สิ่งเหล่านั้นจะนำพาเราไปสู่ความสงบสุขได้ในที่สุด”


ท่านไต้ซือยิ้มบาง ๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความเมตตา 


“การที่โยมมาช่วยทำความสะอาดศาลเจ้าในวันนี้ ก็ถือเป็นการบำเพ็ญทานอย่างหนึ่ง ช่วยให้สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน นี่คือทานบารมีที่โยมได้สร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว”


ซูเหยารู้สึกอบอุ่นในใจ นางพยักหน้ารับคำสอนของท่านไต้ซืออย่างนอบน้อม


“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านไต้ซือ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้เจ้าค่ะ”


แสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามาแทนที่ ซูเหยารู้สึกว่าถึงเวลาที่นางควรจะกลับแล้ว


“ท่านไต้ซือเจ้าคะ ข้าน้อยขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ” ซูเหยากล่าวพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงดงามอีกครั้ง “ขอบพระคุณสำหรับคำสอนอันล้ำค่าในวันนี้เจ้าค่ะ”


ไต้ซือจื่อหลิงพยักหน้าเล็กน้อย 


“ขอให้โยมเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพเถิดโยมซู”


ซูเหยาคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากศาลเจ้าไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของธูปและเสียงกระพรวนลมที่ยังคงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาในยามค่ำคืน



[NPC-21] มอบ น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีน และ ชาเบญจมาศ ให้ ไต้ซือจื่อหลิง

+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชาหรือสุราก็ได้ (+5)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-7-22 16:55
โพสต์ 21838 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 16:53
โพสต์ 21,838 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-22 16:53
โพสต์ 21,838 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-22 16:53
โพสต์ 21,838 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-22 16:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 31 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)



ในระหว่างที่ซูเหยาค่อย ๆ ก้าวเดินไปตามทางที่คุ้นเคย นางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของนาง นั่นก็คือ ศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวย ซึ่งเป็นที่พำนักของท่านไต้ซือจื่อหลิง ทางเดินไปยังศาลเจ้าร้างนั้นคดเคี้ยวและล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่จนร่มครึ้ม แต่ซูเหยาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะนางมาที่นี่หลายครั้งจนคุ้นเคยกับเส้นทางทุกซอกทุกมุม เมื่อมาถึงบริเวณศาลเจ้า นางก็พบว่าบรรยากาศยังคงเงียบสงบเช่นทุกครั้ง เสียงธรรมชาติรอบตัวดูเหมือนจะดังขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเมื่อเท้าของนางย่ำลงบนพื้นดิน หญิงสาวเดาได้ว่าเวลานี้ท่านไต้ซือคงกำลังทำวัตรอยู่ด้านใน นางจึงไม่คิดที่จะเข้าไปรบกวนแต่เลือกที่จะรออย่างเงียบ ๆ ที่ด้านนอก


ซูเหยาลดตะกร้าที่สะพายหลังลงอย่างเบามือ จากนั้นจึงวางตะกร้าถือที่บรรจุจีวรไว้ข้าง ๆ แล้วเงยหน้ามองไปยังลานหน้าศาลเจ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นลงมาตามกาลเวลา ด้วยความเคยชิน ซูเหยาเดินไปหยิบไม้กวาดที่วางพิงไว้ข้างอาคารขึ้นมา แล้วเริ่มกวาดลานอย่างช้า ๆ การเคลื่อนไหวของนางสงบนิ่งและอ่อนช้อยราวกับกำลังร่ายรำ การกวาดใบไม้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้จิตใจของนางสงบและมีสมาธิได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ไม้กวาดกระทบกับพื้น ก็จะเกิดเสียงดัง สวบ ๆ เบา ๆ ที่ไม่รบกวนความเงียบสงบโดยรอบ


ขณะที่กวาดไปเรื่อย ๆ ซูเหยาก็เริ่มนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่นางได้พบกับท่านไต้ซือจื่อหลิงเป็นครั้งแรก ท่านเป็นผู้มีเมตตาและคอยให้คำปรึกษาแก่นางเสมอ แม้จะเป็นเพียงการสนทนาสั้น ๆ แต่คำสอนของท่านก็เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ช่วยนำทางให้นางได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าอีกครั้ง นางรู้สึกขอบคุณท่านไต้ซืออย่างสุดซึ้ง และการมาเยือนศาลเจ้านี้ก็เปรียบเสมือนการแสดงความกตัญญูเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางสามารถทำได้ นอกเหนือจากการเย็บจีวรและการใส่บาตร


ในขณะที่ซูเหยากำลังกวาดลานเพลิน ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นที่พัดโชยมาเป็นระลอก กลิ่นหอมจาง ๆ ของธูปและดอกบัวในศาลเจ้าลอยมาแตะจมูก ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้น นางรู้สึกราวกับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอีกบ้านหนึ่งของนาง เป็นที่ที่นางสามารถมาพักพิงจิตใจจากความวุ่นวายภายนอกได้ทุกเมื่อ การได้ใช้เวลาอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพียงลำพัง ทำให้ซูเหยาได้ทบทวนตัวเอง ได้ใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของผู้ป่วยในโรงหมอ เรื่องราวของการปรุงยา หรือแม้แต่เรื่องราวที่ได้พบกับเจอกับผู้คนใหม่ ๆ ในฉางอัน


เมื่อกวาดลานจนสะอาดหมดจดแล้ว ซูเหยาก็นำไม้กวาดไปเก็บเข้าที่เดิมอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็เดินกลับมานั่งลงข้างตะกร้าที่นำมา นางหยิบผ้าสะอาดที่พับไว้ในตะกร้าออกมาปูบนพื้นหิน แล้วนั่งรออย่างสงบ สายตาของนางมองออกไปไกลยังทิวทัศน์เบื้องหน้าซึ่งเป็นภูเขาและป่าไม้ที่อยู่ห่างออกไป แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากสีส้มอมชมพูเป็นสีม่วงเข้ม บรรยากาศเงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดที่เริ่มส่งเสียงร้อง และเสียงนกตัวเล็ก ๆ ที่กำลังโผบินกลับรัง


ซูเหยาหลับตาลงอย่างช้า ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรับเอาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้ามาเต็มปอด นางรู้สึกได้ถึงความสงบที่แทรกซึมไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่นานนักนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกมาจากศาลเจ้าด้านใน หญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วหันไปมอง ก่อนจะพบกับร่างของท่านไต้ซือจื่อหลิงที่อยู่ในชุดจีวรสีเทาเก่า ๆ กำลังเดินออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและสงบนิ่งเช่นเคย ท่านยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า 


"โยมซูมาที่นี่มีเหตุอันใดหรือ?"


"เรียนท่านไต้ซือ ข้าน้อยเพียงแต่มาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า "ข้าน้อยได้เย็บจีวรผืนใหม่มาถวายท่านด้วยเจ้าค่ะ"


หญิงสาวค่อย ๆ หยิบตะกร้าที่บรรจุจีวรออกมาจากข้างตัว แล้วค่อย ๆ เปิดปากตะกร้าออกเผยให้เห็นจีวรที่ถูกพับเก็บไว้อย่างเรียบร้อย 


"ข้าน้อยเห็นว่าจีวรของท่านเก่ามากแล้ว จึงอยากถวายผืนใหม่เจ้าค่ะ"


เมื่อไต้ซือจื่อหลิงก้มลงมองไปในตะกร้าก็พบว่าเป็นผ้าเนื้อดีที่มีราคาค่อนข้างสูง คิ้วของท่านขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย ท่านมองซูเหยาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาเช่นเคย 


"ผ้าผืนนี้ดูแล้วน่ามีราคาค่อนข้างสูงนะโยม ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนี้หรอก"


"ข้าน้อยเพียงแค่รู้สึกอยากทำเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบอย่างนอบน้อม "ท่านไต้ซือได้โปรดรับไว้เถิดเจ้าค่ะ ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้าน้อย"


ไต้ซือจื่อหลิงมองซูเหยาอย่างพิจารณา ท่านเห็นความจริงใจที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของหญิงสาว จึงตัดสินใจที่จะไม่ปฏิเสธ 


"หากเป็นเช่นนั้นอาตมาก็จะขอรับไว้" ท่านยิ้มอย่างอ่อนโยน "แต่ในครั้งหน้า หากโยมมีจิตศรัทธาเช่นนี้อีก ขอให้เป็นผ้าที่หาได้ง่าย ๆ ก็พอ การใช้ของที่มีราคาแพงเกินจำเป็นนั้น อาจก่อให้เกิดกิเลสในใจได้นะโยม"


ซูเหยารับฟังคำสอนของท่านอย่างตั้งใจ แล้วพยักหน้าเข้าใจ 


"ข้าน้อยจะจำไว้เจ้าค่ะ"


ไต้ซือจื่อหลิงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ตะกร้าที่วางอยู่บนพื้น จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างยกตะกร้าขึ้นอย่างระมัดระวัง


"ขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ส่งผลให้โยมประสบแต่ความสุขความเจริญ และมีจิตใจที่บริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะ"


ซูเหยารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูกที่ท่านรับจีวรที่นางตั้งใจเย็บมาถวายไว้ในที่สุด นางลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า 


"ขอบพระคุณท่านไต้ซือมากเจ้าค่ะ"


หลังจากก้มศีรษะแสดงความเคารพ ซูเหยาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข นางมองจีวรในตะกร้าด้วยความภูมิใจและรู้สึกโล่งใจที่ท่านไต้ซือรับไว้ในที่สุด


"เรียนท่านไต้ซือ" ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความกังวลเล็กน้อย "ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าขนาดของจีวรจะพอดีตัวท่านหรือไม่ เพราะข้าน้อยกะขนาดโดยวัดจากตัวท่านหมอเจิ้ง ซึ่งอาจจะไม่พอดีกับท่านไต้ซือ ข้าน้อยเกรงว่าจีวรผืนนี้อาจจะสั้นหรือยาวเกินไปเจ้าค่ะ..."


เมื่อได้ยินดังนั้น ไต้ซือจื่อหลิงก็หันมามองซูเหยาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา ท่านยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกล่าวขึ้นว่า 


"ไม่เป็นไรหรอกโยมซู การที่โยมตั้งใจทำจีวรผืนนี้มาถวายก็เป็นบุญกุศลอย่างยิ่งแล้ว ขนาดของจีวรไม่สำคัญเท่ากับจิตใจที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจจริงของโยม"


ไต้ซือจื่อหลิงวางตะกร้าลงข้างตัว แล้วคลี่จีวรผืนนั้นออกอย่างช้า ๆ ผ้าไหมเนื้อดีทออย่างประณีตสะท้อนกับแสงยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องประกายงดงาม ซูเหยาเห็นว่าท่านมองจีวรด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความเมตตา ท่านลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าเบา ๆ แล้วยิ้มให้ซูเหยาอีกครั้ง


"อาตมาขอรับไว้ด้วยใจจริง" ท่านกล่าว "แต่วันนี้ดึกมากแล้ว โยมควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว การเดินทางในยามวิกาลอาจจะอันตรายได้"


"เจ้าค่ะ ท่านไต้ซือก็อย่าอยู่ดึกเกินไปนะเจ้าคะ"


เมื่อเอ่ยลากันเรียบร้อยแล้ว ซูเหยาก็เริ่มเดินทางกลับตามทางที่มา ทิ้งไว้เพียงร่างของไต้ซือจื่อหลิงที่มองตามหลังนางไปจนลับตา



[NPC-21] ไต้ซือจื่อหลิง

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



มอบไหมแก้วแสงจันทร์ (ที่มโนว่าเย็บเป็นจีวรแล้ว) ให้ ไต้ซือจื่อหลิง

(ส่วนนี้ไม่รู้มันบวกความสัมพันธ์ไหม ถ้าไม่บวกไม่เป็นไรถือว่าประกอบการโรล)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22,474 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว
โพสต์ 22,474 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว
โพสต์ 22,474 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว
โพสต์ 22,474 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว
โพสต์ 22,474 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D)  โพสต์ 8 นาทีที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x6
x20
x5
x2
x10
x15
x12
x6
x2
x20
x14
x19
x1
x5
x8
x6
x4
x53
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้