เด็กสาวที่กำเนิดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน หลินหยาเป็นบุตรคนที่ 6 ของเจ้าเมืองผานอวี้ ครอบครัวสกุลใหญ่ที่มีบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน การที่นางกำเนิดมาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ท้องฟ้าเย็นลงแต่ยังอบกวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานของเปลือกไม้ทรงคุณค่าอย่างกฤษณาและดอกไม้ที่กำลังโรยราพีชพรรณสุกงอมคาต้นพร้อมให้เก็บเกี่ยว ชื่อของนางจึงถูกตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจของบิดาอันหลงใหลในความงามตามธรรมชาติและความสงบของชีวิตป่าไม้และเป็นการสื่อถึงช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว
楠 หนาน คือไม้กฤษณาที่หอมหวานมีค่าเกินจะเอื้อมได้ แข็งแรง เติบโตงดงามมั่นคง มีความสง่างามภายในดั่งเช่นเปลือกไม้หอมล้ำค่า
林 หลิน คือป่าไม้และต้นไม้มากมาย
雅 หยา คือความสง่างาม เรียบร้อย รักกความสุนทรีย์
ชื่อของหลินหยา จึงรวมกันเป็น ต้นไม้หอมทรงคุณค่า ผู้สง่างามและสุขุมลึกซึ่งดั่งเช่นธรรมชาติ
ชื่อของนางบิดาและมารดาคาดหวังให้นางเติบโตมาเป็นสตรีที่สง่างาม ละเมียดละไม มีความรักวัฒนธรรมจิตใจที่เยือกเย็นราวกับสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ แต่หลินหยากลับเติบโตมาในทิศทางที่ต่างออกไปจนเกือบจะตรงกันข้าม แม้ว่าจะมีใบหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิต เสียงหัวเราะที่เบาใสเหมือนสายลมพัดกระดิ่งกังวานงาม และมีท่าทีร่าเริงเข้าหาใครต่อใครได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าในสายตาของคนรอบตัวนางก็เหมือนกับผีเสื้อในสวน ไม่อาจควบคุมได้ จับต้องหรือหยุดนิ่ง ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าในวันพรุ่งนี้นางจะหยิบรองเท้าฟางไปใส่ผิดข้างหรือว่าจะวางกล่องขนมแล้วเอาขนมไปเผาดมกลิ่นอีกหรือไม่ ภายใต้ใบหน้าตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเครื่องเล่นดวงตาของนางซุกซนและแฝงอะไรบางอย่างที่ไม่อาจทราบได้ว่านางคิดอะไร
วัยเด็กของหลินหยาผ่านไปในจวนใหญ่ที่มีพี่น้องเต็มบ้าน ผ่านการสูญเสียผ่านซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างแต่กลับไม่มีประสบการณ์ตามที่นางสมควร มารดาพยายามที่จะอบรบบุตรสาวให้หลายเป็นกุลสตรีที่สมบูรณ์ปแบบ รู้จักการเดินเหินราวกับหงษ์ขาว พูดจานิ่มนวลดุจน้ำผึ้งหวานล้ำ และการยอมรับโดยไม่โต้แย้งสิ่งใดอย่างที่สตรีควรทำ แต่กับหลินหยาแล้วการนั่งนิ่งอย่างสง่างามเฉย ๆ แล้วยกจอกจิบน้ำชาโดยไม่ถามถึงการห้ามวิ่งหรือปีนต้นไม้ คลุกฝุ่นทรายนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสักครา ทุกครั้งที่นางพยายามเก็บผมให้เรียบร้อยมักจะหลุดออกมาในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อเพราะสะบัดหัวบ่อยเกินควร ชุดสีอ่อนที่มารดาเตรียมไว้ให้มักจบลงที่รอยดิน คราบน้ำเป็นวงหรือรอยน้ำตาลจากลูกไม้ที่แอบเอาเก็บมากินเป็นประจำจนสงสัยว่านางแอบเก็บกระเป๋นไว้ส่วนใดในชุดของนาง กระทั่งลายมือที่ควรบรรจงสวยงามแต่กลับไม่เคยเขียนได้ดีใครอ่านก็ต้องใช้เวลาตีความและแกะผลงานศิลปะจากน้ำหมึกอย่างพิศวงจนกระทั่งบิดานั่งให้คัดตำรามากมายแต่ลายมือกลับไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อยนิดรังแต่จะเขียนหวัดจนแต่ละตัวราวกับลายกนก
ครั้งหนึ่งวัยห้าขวบหลินหยากินขนมที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและสิ่งนั้นเกือบพรากลมหายใจและชีวิตของนางอย่างสมบูรณ์ตลอดกาล มารดาเล่าว่าร่างของนางนั้น เริ่มซีดเซียว เขียวคล้ำ หายใจติดขัดและร้องไห้ออกมาราวกับไม่มีเสียง ทั้งจวนไม่อาจนอนหลับลง ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่เคยที่จะแตะของที่ทำจากถั่วเหลืองอีกเลย ไม่ใช่แค่เพียงการกลัวตายชั่วครั้งชั่วคราว แต่เพราะนางเริ่มเกลียดกลิ่นของมันจับใจราวกับฝังรากลึกลงกระดูกสันหลังและความทรงจำในหัวสมองตนเอง
หลินหยาเป็นเด็กหญิงที่ไม่ใช่คนที่อธิบายอะไรได้มากนักเพราะนางขี้เกียจที่จะเอ่ยบอก มักทำอะไรแปลก ๆ โดยไม่บอกใคร ไม่ใช่เพราะตั้งใจปิดบังแต่เพราะอธิบายไปก็ไม่ค่อยจะมีคนเข้าใจแม้สักคราหรือบอกว่ามันผิดแปลก วันหนึ่งพี่ชายคนโตของนางมาพบว่าหลินหยาเก็บลูกหินธรรมดาในกล่องไม้อย่างดี จึงสอบถามและได้ความมาเพียงว่า ‘มันเหมือนความคิดข้าดี กลิ้งไปกลิ้งมา’ แล้วก็เดินถือมันเอาเข้าไปเก็บไว้ยังห้องนอนราวกับคำอธิบายนั้นลึกซึ้งกินใจเข้าใจง่าย
แม้จะไม่ใช่หญิงสาวที่เรียบร้อยตามขนมธรรมเนียม หลินหยาก็ไม่เคยหยาบคายหรือเอาแต่ใจ ตรงกันข้ามแล้วนางพยายามเต็มที่ที่จะเข้าใจวิถีของบ้านและชาวประชา แต่เพราะธรรมชาติของนางเหมือนกิ่งไม้ที่โน้มเอียงไปต่างทิศทางของสายลมจึงยากที่จะเข้าใจรูปแบบที่ผู้อื่นกำหนดกฎเกณฑ์ แม้จะฝึกการพูดเสียงเบา ฝึกการนั่งนิ่ง ๆ ฝึกการมองตาโดยไม่หลุกหลิกหรือกรอกไปมา สุดท้ายจึงสรุปกับตนเองได้ว่า ‘ทำเท่าที่ทำได้’ แล้วกัน แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับคนที่จะรู้จักนางจริง ๆ แล้ว แม้ว่าจะแปลกไปสักหน่อยแต่ทุกคนมีความแปลกเป็นของตัวเอง เป็นกลิ่นหอมจากไม้ที่ไม่ต้องเร่งโต ไม่ต้องแสดงอำนาจแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างที่ไม่อาจมีใครมาแทนที่ เพราะโลกใบนี้ ไม่มีใครแทนที่ใครได้เลย
ตลอดช่วงวัยเด็กจวบจนวัยรุ่นนางชอบการปลูกพืชกินได้โดยเฉพาะพีชที่ออกผลเพื่อนำมาทานและหมักเหล้าจากผลไม้ไม่รู้มันเป็นความหลงใหลเช่นไรแต่ก็ไม่อาจปฎิเสธเลยว่าชอบมากเกินกว่าจะทิ้งมันได้ จวบจนเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วก็ยังคงทำอยู่และอยากจะยึดมั่นเป็นอาชีพ..
จวบจนปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยออกเรือนหาคู่หมั้นนางก็คาดหวังว่าสักวันคงพบใครสักคนแต่หากให้เลือกระหว่างการละทิ้งตัวตนกับคนรักนางคงขอเลือกตัวตนของตนเองดีเสียกว่า..