123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-7-5 14:51:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามจื่อ เวลา 23.00 - 00.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก คุณชายอันเล่อ


ยามจื่อคล้อยเข้าสู่ความเงียบสงัดของค่ำคืน บ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมทางสายหลักของถนนสิบลี้เงียบสงบ มีเพียงแสงตะเกียงน้ำมันโคมเล็กที่ลุกโชนสั่นรไหวเบา ๆ ตามสายลม และกลิ่นอ่อนของขนมหอมหวานที่ยังลอยคลุ้งเจือปนกลิ่นไม้สุกจากเตาอบในครัว ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายสีหม่นเดินเข้าไปหยิบกล่องไม้ไผ่ถักฝีมือประณีตที่วางอยู่บนหิ้งในห้องด้านใน ก่อนจะส่งให้หญิงสาวที่ยืนรออยู่หน้าโต๊ะไม้ซึ่งเรียงขนมหลากสีเอาไว้เต็ม ทั้งกุ้ยฮวาเซาปิ่งไหมฟ้าและขนมไร้กังวลต่างวางเรียงละเมียดละไมราวกับสวนดอกไม้ย่อส่วนในฤดูใบไม้ผลิ


"หรงเล่อชอบขนมพวกนี้ เจ้านำไปให้นางสิ" น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ดวงตาไม่ได้มองหญิงสาวโดยตรงหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือที่ยื่นให้แทน


หลินหยาหันไปมองเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขันในใจ "อ้าวท่าน หรงเล่อไม่ได้ไปนอนที่จวนใหญ่หรอกหรือเจ้าคะ?" เธอแกล้งถามเสียงใสมือก็เรียงขนมลงกล่องอย่างตั้งอกตั้งใจ แป้งบาง ๆ ที่แทรกไส้และน้ำผึ้งเยิ้มถูกวางเคียงถั่วหอมบดละเอียด ใส่กระดาษรองลายเมฆมงคลในแต่ละชั้น หลิวอันตอบโดยไม่หันกลับมา “ไม่ไป” ก่อนจะทิ้งช่วงแล้วเอ่ยเสียงราบแต่ฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ชวนนางมา เพราะนางน่าจะหลับไปแล้ว” คำพูดนั้นไม่หวาน ไม่อ่อนโยนเหมือนชายอื่นที่เคยผ่านชีวิตหญิงสาวมานับไม่ถ้วน ทว่ากลับเต็มไปด้วยน้ำหนักของความรู้สึกที่เก็บไว้เงียบ ๆ อย่างคนที่ไม่ค่อยชินกับการเปิดเผย


หลินหยาไม่ได้พูดอะไรต่อ นางเพียงยิ้มบาง ๆ คล้ายเข้าใจ ใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณเขาที่มีเจตนาดีแบบนั้น อีกใจก็ปนขำเบา ๆ กับความซื่อดื้อเงียบของคนตรงหน้าที่ไม่รู้เลยว่าแม้ไม่พูดนางก็สัมผัสได้…กับบุตรสาวตัวเองยังปากแข็งแล้วกับนางจะไปเหลืออะไรล่ะ?


และเมื่อขนมบรรจุลงกล่องแล้วเรียบร้อยกลับไม่ใช่แค่กล่องเดียวแต่ต้องใช้ถึงสองกล่องในการใส่ขนมเพราะจำนวนมันเยอะและของที่หลินหยาทำนั้นไม่ใช่แค่ขนม แต่มันเต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยและความสุขเล็ก ๆ ที่อบอวลอยู่ในแต่ละคำ นางถือกล่องทั้งสองเดินออกจากห้องครัวแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ ทิ้งให้กลิ่นขนมยังคงอบอวลในห้องครัวที่ควันจางแล้ว ขณะที่ดวงดาวบนฟ้าสะท้อนในดวงตาเธอเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือนใหญ่ของบ้านหลังเล็กเพื่อไปหาใครคนหนึ่ง


ภายในเรือนกลางหรงเล่อหลับสนิทอยู่บนเตียง บนโต๊ะข้างหัวเตียงยังมีโคมจันทน์เล็ก ๆ จุดไว้ส่องแสงเรืองรอง หลินหยาไม่กล้าปลุกนางขึ้นมานางเพียงวางกล่องขนมลงอย่างแผ่วเบาและหยิบกระดาษพับสองทบออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะเขียนข้อความสั้น ๆ ด้วยลายมือสุดห่วยที่เหมือนไก่เมายาบ้ากระโดดลงไปข่วนกระดาษ


‘เจ้าชอบขนมใช่ไหม ข้าทำมาให้...หวังว่าจะอร่อยนะ ข้าคิดถึงเจ้า ข้อความสั้น ๆ ไม่ได้แต่งเป็นกลอน ไม่ได้มีวาทศิลป์หวานใด ๆ มีเพียงถ้อยคำธรรมดาจากหัวใจของคนธรรมดาคนหนึ่งที่ห่วงใยคนอีกคน หลินหยาแนบจดหมายไว้ข้างหัวเตียง วางมือเบา ๆ ลงบนผ้าห่มของหรงเล่อครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบงัน ราวกับเงาที่แทรกผ่านแสงดาวในยามค่ำคืน


คืนนั้น ถนนสิบลี้ยังเงียบสงบเหมือนเดิม มีเพียงสายลมที่หอบเอากลิ่นหอมของขนมหวานลอยกรุ่นไปทั่วตรอกเล็กตรอกน้อย และชายหนุ่มที่นั่งรอใต้ต้นไม้แสงดาวในยามค่ำคืนนั้นพราวพรายเต็มฟ้า ราวกับม่านผืนใหญ่ที่พระพายบรรจงกางออกเหนือหลังคาบ้านหลังเล็ก เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาในพุ่มไม้คลอไปกับสายลมเย็นที่พัดโชยตัดกลิ่นขนมหวานที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ


ใต้ต้นหลิวใหญ่หลังบ้าน โต๊ะม้าหินทรงกลมที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นมุมสงบที่มีไว้สำหรับความเงียบมากกว่าคำพูด ชายหนุ่มในชุดเรียบนั่งทอดสายตามองขึ้นฟ้ามือเรียวยาววางบนโต๊ะอย่างไม่เร่งรีบ เขาไม่พูดอะไรจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของใครบางคนดังขึ้นจากทางเดินกรวด หลินหยาก้าวออกมาจากในเรือน สะโพกกลมกลึงเอียงเล็กน้อยตามจังหวะเดินเมื่อเธอเห็นร่างสูงนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้านั้นแม้จะเงียบขรึมทว่าในเงาสลัวใต้โคมไม้ที่แขวนไว้กับกิ่งต้นหลิวกลับดูอ่อนลงอย่างประหลาด


“ท่านยังไม่นอนหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงนุ่ม เธอยกมือไพล่หลังแล้วเดินเข้ามาใกล้ แววตาใสกระจ่างใต้เส้นผมที่ปล่อยสยายอย่างเป็นธรรมชาติแม้มันจะไม่ได้ยาวดังเคยแต่มันก็ทำให้สายลมพัดผ่านได้ตลอด


หลิวอันไม่หันมามองทันที เขาเพียงขยับนิ้ว “ข้ายังไม่นอน… เห็นเจ้ากลับมาแล้วเลยคิดว่า...เจ้ากับหรงเล่อคงเข้ากันได้ดี” เมื่อได้ยินหลินหยาก็ยิ้มบางขยับตัวเข้าใกล้อีกนิดก่อนจะหยุดลงตรงขอบโต๊ะ “หรงเล่อนอนแล้วเจ้าค่ะ” แล้วเสียงหวานก็ลดต่ำลง “...ข้านั่งข้าง ๆ ท่านได้ไหม?” ครั้งนี้ชายหนุ่มหันมามองเธอ ดวงตานิ่งลึกและอบอุ่นในเงาของแสงตะเกียง "อืม" เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมขยับตัวเปิดที่ว่างข้างตัวเธออย่างไม่ต้องเอ่ยคำซ้ำ


หลินหยาจึงค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้างเขา ชายกระโปรงแตะข้างเข่าอีกฝ่ายเบา ๆ กลิ่นหอมจาง ๆ จากเนื้อตัวหญิงสาวคล้ายกลิ่นดอกไม้ในยามค่ำ ดึงให้บรรยากาศตรงนั้นเงียบงันและนุ่มนวลจนเหมือนโลกทั้งใบสงบลงชั่วคราว เธอเงยหน้ามองฟ้าแล้วพ่นลมหายใจบางเบา “คืนนี้ดาวสวยดีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของเธอเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังพึมพำกับตัวเอง แต่กลับทำให้หลิวอันหันไปมองเธออีกครั้ง


เขาไม่พูดอะไรในตอนแรก เพียงเฝ้ามองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวข้างกาย ริมฝีปากนุ่มที่ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้ม ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายในเงา เธอดูสงบเรียบง่ายแต่ชวนให้อยากอยู่ใกล้อย่างประหลาด "เจ้า..." เขาเริ่มเอ่ยเสียงต่ำช้า "เป็นคนแปลก ข้าไม่เข้าใจเจ้าทั้งหมดหรอก…แต่บางครั้ง...ข้าก็ไม่อยากเข้าใจเท่าไร"


เมื่อได้ยินหลินหยาก็เหลือบมองเขาพลางยกคิ้วเล็กน้อย “หืม? นี่ชมข้าหรือกำลังบอกว่าไม่อยากยุ่งกับข้ากันแน่เจ้าคะ?”


“เปล่า...แค่บางอย่าง...ไม่ต้องเข้าใจก็ดีพอแล้ว แค่นั่งเงียบ ๆ ด้วยกันแบบนี้ก็พอ” คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่กลับมีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างน่าประหลาด หญิงสาวมองหน้าเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วเอนศีรษะพิงไหล่อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรอีก แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านใบไม้ ส่องลอดระหว่างกิ่งไม้กระทบผิวขาวนวลของเธอราวกับทอแสงสีเงินบนผืนผ้าไหม บรรยากาศเย็นสบายในยามดึกทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ท่ามกลางความเงียบงันและดาวพราวเต็มฟ้า มีเพียงลมหายใจสองสายที่เคลื่อนไหวเบา ๆ ข้างกัน


หลิวอันยังคงมองฟ้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะยกมือเรียวยาวขึ้น ชี้ไปยังดาวสว่างดวงหนึ่งที่ตั้งมั่น ณ ใจกลางฟากฟ้า “นั่นคือ...ดาวเหนือ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงไม่เหมือนทุกทีแทบจะนุ่มละมุนราวกับไม่ใช่เสียงของชายที่เด็ดขาดและเงียบขรึมมาตลอด “หากวันใดเจ้าทุกข์ใจ หากเจ้าหลงทาง...มองไปที่ดาวดวงนั้น มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ…คอยนำทางผู้คน” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มนุ่มจะแทรกซึมเข้ามาอีก “เหมือนกับข้าที่จะอยู่ตรงนั้น...ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดจะเคียงข้างเจ้าเสมอไป”


คำพูดนั้นเหมือนคมมีดบางเฉียบที่ห่อหุ้มด้วยแพรไหมบาดลึกอย่างน่าประหลาด หลินหยาเหลือบตามองใบหน้าเขาด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งนัก มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ฉาบแสงจันทร์ละมุนบนแก้มนวล ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหน้ากลับไปมองท้องฟ้า “รู้ไหมเจ้าคะ...ครั้งที่สองที่เราพบกัน” หลินหยากล่าวเบา ๆ ราวเสียงของสายลม “เราพบกันที่หอดาราเฟยเทียน คืนที่ฟ้ามืดสนิทแต่เต็มไปด้วยดาว ข้ายังจำได้อยู่เลยว่าท่านใส่ชุดสีเข้ม ถักเปียเล็ก ๆ ตรงเส้นผม” นางหัวเราะเบา ๆ เมื่อย้อนคิด พลางกระซิบต่อ “ตอนนั้นข้าเป็นฝ่ายชวนคุย ท่านกลับตอบว่า…ท่านหลับยากมาโดยตลอด และประโยคสุดท้ายคือข้างล่างมันเสียงดัง”


เสียงหัวเราะนั้นเบาราวเสียงกระดิ่งประดับหน้าวัง แต่กลับก้องอยู่ในใจชายข้างกายยิ่งนัก หลิวอันไม่หันไปมองเธอโดยตรง ทว่าแววตาที่ทอดไปยังดวงดาวกลับสั่นไหวเล็กน้อย เขาเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมืออีกครั้งชี้ไปยังกลุ่มดาวเล็ก ๆ ทางทิศใต้ “และตรงนั้น...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าครั้งใด “คือดาวที่เจ้าบอกว่า...เป็นดาวบ้านเกิดของเจ้า” เขาชี้ดวงดาวดวงน้อยที่วางตัวอยู่อย่างเงียบงันใต้กลุ่มดาวใหญ่ มองจากตรงนี้มันเล็กมากจนแทบไม่เห็น หากไม่จ้องจริงจังก็คงผ่านไปแล้วไม่รู้ตัว “ใต้ดาวดวงนั้น...เจ้าว่าเมืองเกิดของเจ้าอยู่ตรงนั้น”


หลินหยาหันมองเขาช้า ๆ แววตาสั่นไหวในแสงตะเกียงและแสงดาราปลายนิ้วนางขยับขึ้นมาซ้อนทับบนหลังมือของเขาโดยไม่รู้ตัว “ท่านยังจำได้…”


หลิวอันไม่ได้ตอบในทันทีเขาเพียงเบือนหน้าไปทางเธอช้า ๆ แววตานิ่งสงบแต่ปั่นป่วนในความเงียบ ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นสายตาคู่นั้นของหลินหยาที่มองมา ความอ่อนโยน ความสดใส ความทรงจำและความจริงใจทั้งหมดที่นางเป็น ได้หลอมรวมกันเป็นบางสิ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาในหัวใจเขาช้า ๆ โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้อีก


"เจ้าทำให้ข้าจำได้" เขากล่าวเสียงเบาลมหายใจติดขัดเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นเคย หลินหยาไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงยิ้มแล้วเลื่อนมือจากมือของเขามาวางบนหัวเข่า นางานั่งข้างเขาในความเงียบอันอบอุ่น ใบหน้าของนางสะท้อนแสงดาวเรืองรองอย่างอ่อนโยนในยามค่ำที่เงียบงันนั้น เส้นผมปลิวเบา ๆ ไปตามแรงลมอ่อนของราตรี นางหันหน้าไปมองเขาแผ่วเบา ราวกับจะมองให้ชัดเจนกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ใช่ด้วยดวงตา...แต่ด้วยใจที่เปิดออกอย่างไม่มีสิ่งใดกั้น


"ขอบคุณนะเจ้าคะ…" น้ำเสียงนางเบาเหมือนสายลมพัดผ่านแนวซุ้มดอกไม้ในยามปลายฤดูหนาว “ที่ท่านทำให้เมืองฉางอัน...ไม่ลำบากเกินไปนัก” คำพูดนั้นฟังดูเรียบง่าย แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความรู้สึก นางเหลือบตามองเขาอีกครั้งมุมปากยกยิ้มบาง ๆ ก่อนที่สายตาจะทอดมองออกไปไกลตามแนวสวนหลังบ้านที่เงียบสงบราวสวรรค์ซ่อนตัวในเงามืดของค่ำคืน 


“เมืองนี้น่ะเจ้าค่ะ...มันหนาวมากเลยตอนข้ามาถึงครั้งแรกหนาวไม่ใช่เพราะอากาศหรอกนะเจ้าคะ แต่เพราะไม่มีใครเลยไม่มีอะไรต้อนรับ ไม่มีที่ยืนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอยู่เพื่ออะไร” นางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสาอดีตของตนเอง ก่อนจะพูดต่อในน้ำเสียงที่กลับมาอบอุ่น “แต่ท่าน...ท่านกับทุกคนทำให้มันเปลี่ยนไป” นางหันมาสบตาเขาตรง ๆ คราวนี้ไม่หลบ ไม่เบนหน้าไปทางอื่น "ท่านเป็นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อุ่นและหอมหวาน...ไม่ร้อนแรงจนแผดเผา ไม่เย็นชาให้เจ็บปวด…แม้ตอนแรกจะเหมือนเย็นชามาก ๆ ก็เถอะเหมือนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินั้นแหละ" เสียงนางอ่อนโยนจนหัวใจแทบละลายแล้วนางก็ยิ้ม ยิ้มเล็ก ๆ ที่อ่อนหวานอย่างแท้จริงไม่ใช่ยิ้มเย้า ไม่ใช่ยิ้มล้อเล่น แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากเบื้องลึกของหัวใจ


“ท่านหลิวอัน...ท่านเป็นส่วนใหญ่เลยล่ะเจ้าคะ ที่ทำให้มันอุ่นเสมอมา”


หลิวอันนิ่งไป ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะพูดอะไร...แต่เพราะในชั่วขณะนั้น ใจของเขาแน่นจนไม่มีถ้อยคำใดสามารถล้นผ่านออกมาได้ ชายผู้เคยว่างเปล่า เคยตั้งตนอยู่นอกเหนือความรู้สึกนึกคิด เคยใช้ความเงียบแทนคำว่ารัก...วันนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกสายลมของหลินหยาห่มหุ้มใจตนเองเสียจนไม่อาจพูดอะไรออกมา


เสียงลมเบา ๆ พัดโชยผ่านยอดไม้เหนือเรือนเล็ก เสียงใบไม้เสียดสีกันคล้ายบทเพลงกล่อมจากธรรมชาติ สว่างเพียงแสงดาวบาง ๆ บนฟากฟ้าที่ทอดเงาอ่อนลงมากระทบใบหน้าหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งพิงข้างเขาอย่างแผ่วเบา หัวของนางเอนลงบนไหล่กว้างแน่นหนานั้นเหมือนแมวขี้เซาที่ไม่ทันระวังตัวไม่ได้ตั้งใจจะน่ารักแต่กลับน่ารักจนเขาไม่อาจถอนสายตา


หลิวอันหันหน้าไปมองนางซึ่งตอนนี้อยู่ใกล้มาก ใกล้เสียจนลมหายใจอุ่น ๆ ของนางกระทบเส้นผมด้านข้างของเขา ใกล้จนสามารถนับขนตางามที่เรียงตัวชัดเจนได้และในช่วงเวลานั้น...แม้นางไม่ได้แต่งหน้าใด ๆ แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดทว่าความอ่อนล้าอันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นของนางกลับทำให้เขาอยากจะยกมือขึ้นแตะใบหน้านั้นเบา ๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้


เขาเพียงจ้องมอง...จ้องมองเหมือนชายคนหนึ่งที่มองแมวเร่ร่อนตัวน้อยที่หลงเข้ามาในบ้าน แล้วนั่งเฝ้ามันจนเผลอรู้สึกปั่นป่วนใจอย่างประหลาด ดวงตาคู่นั้นของเขา...ไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาเลย แต่ในอกกลับปั่นป่วนจนยากจะอธิบาย 


หลิวอันกระชับแขนเสื้อของตนก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัว ล้วงมืออ้อมผ่านแผ่นหลังบาง แล้วประคองร่างน้อย ๆ นั้นขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมจนแทบไร้เสียง หลินหยายังไม่ตื่น ดวงตานางยังคงปิดสนิท ริมฝีปากสีระเรื่อคล้ายกลีบผลท้อหวานเผยอออกน้อย ๆ ตามแรงลมหายใจ เขาอุ้มนางไว้อย่างมั่นคงอ้อมแขนนั้นแข็งแรงแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตนเองเคยอุ้มใครด้วยความระวังเท่านี้มาก่อน ไม่เคยเลย...ตั้งแต่สูญเสียคนรักไปเมื่อสิบปีก่อน


เสียงฝีเท้าของเขาเบาดังสายลมขณะที่พาหลินหยาผ่านสวนหลังบ้าน เลี้ยวเข้าสู่เรือนรับรองที่เธอใช้นอนประจำ เขาเปิดประตูบานไม้เล็กเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาในห้องอันเงียบสงบ แสงตะเกียงที่ติดอยู่มุมห้องยังเรืองรองพอประมาณ เขาก้มตัวลงอย่างช้า ๆ วางนางลงบนฟูกอ่อนที่ปูเรียบ ดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นห่มให้ถึงอก ลมหายใจของนางยังคงสม่ำเสมอมือหนึ่งของเธอขยับเล็กน้อยคล้ายจะควานหาผ้าห่ม เขาจึงจับขอบผ้าคลุมให้แนบตัวนางอีกครั้ง


แล้วหลิวอันก็โน้มตัวลงกระซิบเสียงต่ำ ดวงตาคมคายกวาดมองใบหน้าอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวานั้นอีกครั้ง ดวงตานั้น ดื้อรั้น ใจไม่ยอมแพ้แต่เปราะบางในแบบที่เขาไม่อาจเมินเฉยได้ "...ราตรีสวัสดิ์...เจ้าแมวน้อยโง่เง่า.." เขาวางมือลงที่ข้างเตียงเบา ๆ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง...เงียบงัน ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้น ทว่ากลิ่นหอมอ่อนของซิ่งเหรินโต้ฟูที่นางทำไว้ยังคงอบอวลอยู่ไม่จางหายในความทรงจำ เช่นเดียวกับความรู้สึกบางอย่างในใจของเขาที่กำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่หยั่งรากลึก…เกินจะถอน




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: บทหวานขนาดนี้พระรองได้ไง..เอ่ออออ มันเริ่ดเด้อ


รางวัล: หัวใจ 10 ดวงแล้วจ้า ต้องรอปลดแถวสองแต่ทำยังไงอ่ะการปลดแถวสองอ่ะ


+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


(ใส่ไปทำไมไม่รู้แต่ก็จะใส่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะให้ปลดแถว 2) 


แสดงความคิดเห็น

3 วันจากนี้หลิวอันนัดคุณไปเจอจวนหวยหนาน แจ้งพ่อบ้านว่าชื่อหลินหยาแล้วเขาจะพาเจ้าไปพบข้าที่ศาลาในสวน  โพสต์ 2025-7-5 14:56
โพสต์ 59176 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-5 14:51
โพสต์ 59,176 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-7-5 14:51
โพสต์ 59,176 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-5 14:51
โพสต์ 59,176 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-5 14:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-8 15:28:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 08 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็กคุณชายอันเล่อ


ยามเหม่าแรกแสงอรุณสีอ่อนเริ่มปะทะขอบม่านหน้าต่างผ้าฝ้ายของบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ด้านปลายถนนสิบลี้ เสียงไก่ขันดังแว่วจากบ้านข้างเคียงทั้งที่ไก่บ้านนั้นไม่เคยขันตรงเวลาเลยสักวัน หลินหยาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ซุกใบหน้าลงกับหมอนนุ่มอีกข้างก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ เหมือนคนอยากจะนอนต่อแต่แล้ว...เธอก็นึกขึ้นได้


“งึม ๆ ..วันนี้ต้องไปหาวัตถุดิบมาเตรียมเปิดร้านนี้หว่า..ห่าววววว”


เสียงพึมพำงัวเงียตามมาด้วยการลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ร่างเล็กเดินเซไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำด้วยท่าทีเร่งรีบแต่ยังไม่ลืมจะถูแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อปลุกให้สดชื่น เมื่อแต่งตัวเสร็จ เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนกับกางเกงผ้าสีเข้มถูกสวมแบบสบาย ๆ พร้อมหมวกใบเล็กที่เธอเริ่มชอบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวหลินหยามองโต๊ะข้างเตียงที่มีถุงผ้าใบหนึ่งแขวนอยู่ เธอเดินไปหยิบอย่างคุ้นเคยกระเป๋าผ้าเจ็ดสมบัติ ที่ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งชื่อแต่ก็มีของสารพัดยัดแน่นจนดูเหมือนมันมีมิติย่อยของตัวเองอยู่ภายใน..ไม่สิ..มันมีมิติแยกจริง ๆ นี้หว่า วันนี้เธอหยิบทั้งพลั่วคู่ใจ (เพิ่งปลิดชีพพลทหารหนูไปเมื่อวาน) กับมีดแล่ปลาที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อวานใส่ถุงแล้วก็โยนใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋าสวมขึ้นม้วน ๆ ให้มันเล็ก ๆ แล้วเดินอย่างคล่องแคล่วพลางพึมพำกับตัวเอง..


"เอาน่า…ยังไม่มีร้านก็จริง แต่ของที่จะขายมันก็ต้องเริ่มจากอะไรสักอย่างก่อนปะวะ…ชีวิตแม่ค้าไม่ได้เริ่มจากป้ายร้านทองคำเสียหน่อย..." เธอเดินออกจากบ้านหลังเล็ก พลางหันกลับไปมองมันอีกครั้ง บ้านไม้เงียบสงบขนาดพอเหมาะเตียงไม่แข็งน้ำไม่ค่อยเย็นตำแหน่งบ้านอยู่ไม่ไกลตลาดมาก และที่สำคัญคือไม่มีเสียงบ่นของพวกขุนนางหรือกงกงให้เธอได้ยินทุกเช้า


หลินหยาระบายยิ้มบาง ๆ ….เธอหมุนตัวกลับ แล้วเดินก้าวยาว ๆ ออกจากถนนสิบลี้อย่างคึกคักกว่าเดิม ดวงตากลมหวานทอประกายแวววาว “วันนี้ออกนอกเมืองไปหาวัตถุดิบ...แต่พรุ่งนี้ไปหาหรงเล่อล่ะกัน คิดถึงหน้าเจ้าคุณหนูตัวน้อย ๆ เสียแล้วล่ะ เอาขนมไปฝากด้วย เดี๋ยวหน้ายู่เพราะไม่ได้กินขนมอีก”


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวที่เดินไปตามถนนร้างในยามรุ่งสาง ช่างเข้ากับแสงอ่อนของอรุณที่เพิ่งเริ่มคลี่ม่านได้พอดีอย่างประหลาดวันนี้...หลินหยาอาจยังไม่มีร้าน แต่เธอมีกระเป๋าที่เพิ่มได้ไม่จำกัด เย่ มีหัวใจที่ดื้อรั้น และพลั่วที่ใช้ทุบวิญญาณปีศาจเท่านี้ก็พอจะลุยต่อได้อีกวันแล้วล่ะ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15054 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-8 15:28
โพสต์ 15,054 ไบต์และได้รับ +6 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-8 15:28
โพสต์ 15,054 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความชั่ว +5 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-8 15:28
โพสต์ 15,054 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-8 15:28
โพสต์ 15,054 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-8 15:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-17 07:23:58 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 16 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก คุณชายอันเล่อ


เสียงนกกระจิบกระจอกแว่วเบาใต้แสงทองอ่อนยามเหม่าไล้ทาท้องฟ้าด้านนอก หน้าต่างไม้เลื่อนเผยให้เห็นม่านผ้าบางไหวระริกตามแรงลมสายแรกแห่งวัน หลินหยาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย แขนเล็กเหยียดยาวอย่างคนที่เพิ่งตื่นจากนิทราอันยาวนาน...ยาวนานเกินไปเสียด้วยซ้ำ "เมื่อวานโคตรบ้า…แฮ่ก...ข้า...หลับไปกี่วันเนี่ย..." เสียงพึมพำปนหาวหวานแผ่วเบา ขณะเจ้าตัวนอนแผ่หลาอยู่บนฟูกนุ่มของห้องรับรองเรือนหลังเล็กในจวนคุณชายอันเล่อ ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังชื่อเรียบง่ายของเรือนรับรองแห่งนี้ กลับเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัวของ 'หวยหนานหวาง หลิว อัน' ผู้เป็นหนึ่งในเสาหลักของราชสำนัก...แต่สำหรับหลินหยามันก็คือ "บ้าน" หลังชั่วคราวที่นอนยาวเหมือนจะฝังรากกลายเป็นเห็ดจริง ๆ แล้ว!


เธอลุกขึ้นบิดตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือลูบผมยุ่งของตัวเองแล้วหาวฟ่ออีกครั้งอย่างไม่สนภาพลักษณ์ใด ๆ สภาพตอนนี้คือยัยสาวขี้เซาที่เหมือนเพิ่งโดนเสกกลับมาจากนรกขี้เกียจ


"โอ๊ย...นอนจนขี้ตาจะกลายเป็นหินงอกหินย้อยอยู่ละ..." นางสบถเบา ๆ ขณะควานหาผ้าพันเอวและสายรัดถุงอุปกรณ์ประจำตัว มือไวหยิบมีดแล่ปลายัดกระเป๋าเจ็ดสมบัติไว้เช่นเคย ก่อนจะหยิบพลั่วคู่ใจขึ้นมาตวัดอากาศเบา ๆ พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "วันนี้เจ้าจะได้ออกไปสัมผัสโลกอีกครั้งแล้วนะ...พลั่วสะท้านฟ้า!" หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จนางก็มัดผมรวบง่าย ๆ ตามประสาคนที่ปล่อยผมยังไม่ได้เพราะมันยังไม่ยาวขนาดนั้น พร้อมสวมชุดแม่ค้าหน้าใหม่แบบเรียบสบายเดินตรงออกจากบ้านหลังเล็กโดยไม่ลืมทิ้งโน้ตขอบคุณเอาไว้ให้เจ้าบ้านคุณชายอันเล่อที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับมานอนที่นี่อีกหรือไม่


เดินข้ามเส้นทางไม้เล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนเรือนกับทางออกหลัก หลินหยาก็ยกมือขึ้นบังแดดยามเช้าแล้วพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้าร่าเริงปนกังวลเล็กน้อย 


"หรงเล่อน่าจะงอนเป็นตูดหมึกไปแล้วแน่ ๆ…สัญญาว่าจะไปหาแต่เจือกหลับยาวเกินมนุษย์…เฮ้อออ เอาน่า! วันนี้ต้องไปง้อนางให้ได้!" ว่าจบก็ก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงออกจากจวนมุ่งหน้าสู่จวนหวยหนานหวางในเมืองหลวงฉางอันทันที ระหว่างทางนางยังหอบถุงกระดาษเล็ก ๆ ใส่ขนมที่พกมาจากบ้านหลังเล็กมาด้วยตั้งใจจะเอาไปฝากหรงเล่อเพื่อเป็นของขอโทษ


แม้ยามเช้าจะอบอวลไปด้วยแสงแดดอ่อนโยน และกลิ่นขนมสดใหม่จากแผงขายของข้างถนน แต่ในห้วงใจของหลินหยานั้น กลับคล้ายมีม่านหมอกบาง ๆ คลี่คลุมอยู่เสมอ นางเดินทอดน่องไปตามถนนสิบลี้อย่างไม่รีบร้อนท่ามกลางเสียงเร่ขายของและผู้คนที่กำลังเริ่มต้นวันใหม่ หลินหยาก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าบางคราวสายตาก็ลอบชำเลืองภาพสะท้อนในแอ่งน้ำเล็ก ๆ ที่พื้นทางเดิน หญิงสาวหลับตาลงชั่วครู่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วปล่อยออกมาอย่างยาวนาน


"วันนี้ไม่ใช่วันของความฝัน ไม่ใช่เวลาสำหรับความเจ็บปวด..." เสียงพึมพำของเธอแผ่วเบาจนแทบกลืนหายไปกับเสียงลม


หลินหยารู้ดีว่าหัวใจตนเองยังคงเต้นแรงเมื่อคิดถึงภาพท่านชายห่าวหมิง…ไม่สิ จางกงกง กับอดีตนั้นเรื่องของพันธะในศาลา เรื่องปีศาจจิ้งจอก หรือแม้แต่เรื่องของชายผู้ถูกทำให้เสียสิ้นศักดิ์ศรีในความทรงจำล้วนแต่คือเรื่องที่ยังไม่อาจเปิดผนึกได้ในเวลานี้และใช่…นางรู้ดี แต่ก็เพราะรู้ดีเช่นนั้น หลินหยาจึงเลือกจะวางมันลงแม้ชั่วครู่ก็ยังดีกว่ามากนัก


"ข้าจะใช้ชีวิตก่อน...ให้สมกับที่ยังหายใจอยู่" เสียงเธอเอ่ยกับตนเองอย่างหนักแน่นแม้แววตาจะยังคงหม่นเศร้าจากรอยฝันที่หลอกหลอน เพราะอย่างไรเสียวันนี้นางยังต้องไปที่เดิม สถานที่แห่งความลับและเงาในใจ สถานที่ที่ทั้งจางกงกงและท่านชายห่าวหมิงอาจจะรออยู่ไม่ว่าภายใต้ชื่อใดก็ชื่อหนึ่ง หลินหยาไม่คิดจะหนีไม่ใช่เพราะไม่กลัวแต่เพราะนางรู้...ว่าชีวิตของตน ไม่อาจถูกปกคลุมด้วยความกลัวตลอดไป


มือหนึ่งของหญิงสาวกำขอบพลั่วในกระเป๋าแน่นขึ้น พลั่วสะท้านฟ้า (แน่นอนว่าตั้งชื่อเอง) ที่ช่วยให้นางรอดจากปีศาจมาได้หลายคราวันนี้ก็จะเป็นเครื่องเตือนใจว่า “หลินหยา” ยังมีมือ มีเท้า มีลมหายใจและมีจุดยืนของตัวเอง "เจอก็เจอสิ...เจ้าขันทีบัดซบ" รอยยิ้มแผ่วแล่นผ่านมุมปากก่อนที่นางจะเร่งฝีเท้าเบา ๆ อย่างมีจังหวะ สะโพกแกว่งไปมาตามสไตล์แม่ค้าร้อยเล่ห์มืออีกข้างถือถุงขนมที่ตั้งใจจะเอาไปให้หรงเล่อเพราะก่อนจะเจอปีศาจในเงาเงียบเหล่านั้น นางยังมีเพื่อน มีชีวิต และยังมีรอยยิ้มที่ต้องมอบให้ผู้คน


และนั่น...คือสิ่งที่หลินหยาเลือกเสมอ




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ขอบคุณที่ได้ใช้เวลาสักกะที ดีใจจังค้าบ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20827 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-17 07:23
โพสต์ 20,827 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม +5 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-17 07:23
โพสต์ 20,827 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2025-7-17 07:23
โพสต์ 20,827 ไบต์และได้รับ +12 EXP +10 คุณธรรม +10 ความชั่ว +12 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-17 07:23
โพสต์ 20,827 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-17 07:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-7-26 18:26

วันที่ 20 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามโหย่ว (เวลา 17.00 - 19.00 น.)


การสะกดรอยตามเกวียนบรรทุกสมุนไพรนำพาซูเหยา ลึกเข้าไปในย่านที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบห่างไกลจากความวุ่นวายของตลาด ในที่สุดเกวียนก็หยุดลงที่หน้าเรือนไม้สูงหนึ่งชั้นขนาดกลางที่ตั้งอยู่ช่วงปลาย ถนนลิบลี้ซึ่งมีผู้สัญจรผ่านไปมามากมาย ตัวเรือนดูสะอาดสะอ้านและมีการดูแลเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้โอ่อ่าฟู่ฟ่า แต่ก็บ่งบอกถึงฐานะของผู้เป็นเจ้าของได้ เสียงกระซิบกระซาบและเสียงขยับเขยื้อนของวัตถุหนัก ๆ ดังออกมาจากภายในบ้าน ชายฉกรรจ์กลุ่มเดิมกำลังช่วยกันขนหีบไม้ขนาดใหญ่เข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ ท่าทางของพวกเขาดูรีบร้อนและกระสับกระส่าย คล้ายกำลังทำบางสิ่งที่ต้องปกปิดเป็นความลับ

ไม่นานนักหลังจากหีบไม้ทั้งหมดถูกขนเข้าไปในบ้าน ประตูก็ถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบ ความมืดและความเงียบสงัดเข้าปกคลุมอีกครั้ง ทิ้งให้ซูเหยาอยู่กับความรู้สึกประหลาดใจและสับสน ซูเหยารออยู่พักใหญ่จนแน่ใจว่าบริเวณนั้นปลอดคน จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้เรือนไม้ นางสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาจุดที่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ กำแพงบ้านดูแข็งแรงและหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท แต่สายตาของนางก็เหลือบไปเห็น ช่องเล็ก ๆ ใกล้กับพื้นดินที่ดูเหมือนจะเป็นช่องสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจจะพอให้คนร่างเล็กเช่นนางเบียดตัวเข้าไปได้

ซูเหยาค่อย ๆ สอดตัวผ่านช่องเล็ก ๆ ใกล้พื้นดินอย่างระมัดระวัง แม้จะคับแคบแต่ด้วยรูปร่างที่บอบบางของนางก็สามารถเบียดเสียดเข้าไปได้อย่างทุลักทุเล กลิ่นอับชื้นและกลิ่นสมุนไพรบางชนิดโชยเข้าจมูกทันทีที่เท้าของนางเหยียบย่างเข้ามาภายในตัวบ้าน ความมืดมิดภายในทำให้ซูเหยาต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นช่วยในการนำทาง นางย่างก้าวอย่างเงียบเชียบที่สุด พยายามไม่ให้เกิดเสียงแม้เพียงน้อยนิด

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของบุรุษหลายคนก็ดังแว่วมา ซูเหยารีบหลบเข้ามุมมืดที่กำบังตัวได้ดีที่สุด นางรอจนเสียงฝีเท้าเหล่านั้นค่อย ๆ จางหายไป ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความระทึกใจและความสงสัย ก้าวแต่ละก้าวพาให้นางลึกเข้าไปในความลับของบ้านหลังนี้

เสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ นำทางซูเหยาไปสู่โถงทางเดินแคบ ๆ ที่ปลายทางมีประตูไม้บานใหญ่ปิดสนิท แสงสลัว ๆ ลอดออกมาจากช่องว่างใต้บานประตู บ่งบอกว่ามีกิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้นภายในห้องนั้น ซูเหยาแนบหูลงกับบานประตู พยายามจับใจความบทสนทนาที่เล็ดลอดออกมา แต่เสียงพูดคุยนั้นเบาและอู้อี้เกินกว่าจะจับใจความได้ทั้งหมด

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไขปริศนา ซูเหยาตัดสินใจค่อย ๆ แง้มบานประตูออกเพียงเล็กน้อยพอให้สอดสายตาเข้าไปได้ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้นางแทบหยุดหายใจ ห้องขนาดใหญ่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยหีบไม้ที่คุ้นตา ตั้งเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเกือบจรดเพดาน กลิ่นสมุนไพรที่รุนแรงขึ้นจนแทบสำลักอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ชายฉกรรจ์กลุ่มเดิมที่นางเห็นขนหีบเข้ามา กำลังสาละวนอยู่กับการจัดเรียงหีบเหล่านั้น บางคนกำลังเปิดหีบออก เผยให้เห็นห่อสมุนไพรจำนวนมากที่บรรจุอยู่ภายใน

"กลิ่นสมุนไพรแรงขนาดนี้ คุณชายอันเล่อจะไม่สงสัยเอาหรือ?" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล "นี่เราแอบใช้บ้านนายท่านมากักตุนยาเถื่อนกันแบบนี้ หากจับได้พวกเราตายสถานเดียวนะ"

"เจ้าโง่เอ๊ย!" หัวหน้ากลุ่มดุขึ้น "คุณชายกลับมาถึงเรือนตั้งแต่ยามเซินแล้วก็อุ้มแม่นางหนานเข้าห้องไปไม่ยอมออกมาอีกเลย ข้าแอบไปส่องดูแล้ว ตอนนี้เขากำลังเฝ้าอาการนางจนฟุบหลับอยู่ข้างเตียง นั่นแหละคือโอกาสทองของเรา รีบจัดการให้เสร็จก่อนรุ่งสาง!"

หัวใจของซูเหยาเต้นระรัว เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น ความจริงปรากฏชัดขึ้นตรงหน้า ที่นี่ไม่ใช่แค่เรือนที่อยู่อาศัย แต่เป็นแหล่งกักตุนยาเถื่อน! และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ พวกมันกำลังใช้ประโยชน์จากความเจ็บป่วยของแม่นางหนาน (ใครกัน?) และความอ่อนเพลียของคุณชายอันเล่อเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรม

เสียงกระทบกันของภาชนะบางอย่างดังขึ้นเบา ๆ จากมุมหนึ่งของห้อง ด้วยความตกใจซูเหยาที่กำลังจดจ่อกับการฟังบทสนทนาจึง สะดุ้งสุดตัวและชนเข้ากับบานประตูอย่างแรง ประตูไม้ที่แง้มอยู่เล็กน้อยถูกผลักให้เปิดออกกว้างขึ้น เผยให้เห็นร่างของนางที่ยืนอยู่ด้านนอก สมุนไพรจำนวนมากที่ซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ใกล้ประตูถูกแรงกระแทกจน หีบไม้โยกโคลงเคลงก่อนจะล้มครืนลงมาพร้อมกับเสียงอันดังกึกก้อง สมุนไพรจำนวนมากทะลักออกมาจากหีบ กระจัดกระจายเต็มพื้น

"ใครน่ะ!" เสียงตะโกนของหัวหน้ากลุ่มดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ชายฉกรรจ์ทุกคนหยุดชะงักและหันขวับมาทางต้นเสียง ดวงตาคมกริบของพวกเขากวาดมองไปรอบห้อง ก่อนจะจับจ้องมาที่ซูเหยาซึ่งกำลังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่ามกลางกองสมุนไพรที่ร่วงหล่น

"จับตัวมัน!" หัวหน้ากลุ่มสั่งเสียงกร้าว ชายฉกรรจ์สองคนพุ่งตรงเข้ามาหาซูเหยาหมายจะจับกุมตัว นางไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องขัดขืน ถึงแม้จะไม่มีวรยุทธ์แต่สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดก็บอกให้นางต้องตอบโต้ ซูเหยาคว้าขวดโหลที่วางอยู่บนหีบใกล้ ๆ ขว้างใส่ชายคนหนึ่งเต็มแรง โหลแตกกระจายพร้อมกับของเหลวสีข้นที่สาดกระเซ็นไปทั่วใบหน้าของเขา

"อ๊ากกก!" ชายคนนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาแสบร้อนจนต้องยกมือขึ้นกุมใบหน้าไว้ ซูเหยาใช้จังหวะนั้นพุ่งตัวหนีไปอีกทาง พยายามหาทางออก แต่ชายอีกคนก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว นางคว้าสมุนไพรแห้งกำมือหนึ่งสาดใส่หน้าเขาไปอีก ชายผู้นั้นสำลักไออย่างรุนแรง แต่ก็ยังคงมุ่งหน้าเข้ามา

ขณะที่ซูเหยากำลังถูกไล่ต้อน สององครักษ์ที่เถียนเฟิงส่งมาติดตามก็มองเห็นเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลจากด้านนอก พวกเขาสังเกตเห็นความวุ่นวายภายในบ้านและร่างของซูเหยาที่กำลังถูกคุกคาม

“แย่แล้ว!” องครักษ์คนหนึ่งพึมพำ ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งทะยานตรงเข้าสู่ประตูหมายจะเข้าไปช่วยเหลือ

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะถึงประตู หัวหน้าคนร้ายก็เหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มของคนสองคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่นอกบ้าน

“นั่นใคร!” เขาตะโกนเสียงแข็ง ดวงตาหรี่ลงด้วยความสงสัย เมื่อเห็นการแต่งกายของคนทั้งสองที่ดูไม่ใช่คนของเรือน เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่แค่ผู้บุกรุกคนเดียว

“นังนี่มันมาพวกมาด้วย! ออกไปจัดการพวกมันด้านนอก!” หัวหน้าสั่งลูกน้องอีกสองคนที่เหลือ

ชายฉกรรจ์อีกสองคนพุ่งออกไปนอกบ้านทันทีเพื่อรับมือกับองครักษ์ของเถียนเฟิง เสียงปะทะกันของอาวุธและเสียงคำรามของบุรุษดังขึ้นจากด้านนอก บ่งบอกถึงการต่อสู้ที่ดุเดือด

ในขณะที่การต่อสู้นอกบ้านยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด ภายในห้องยาเถื่อนซูเหยาก็ถูกชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าลากเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว นางพยายามขัดขืนสุดกำลัง ทั้งถีบ ต่อย จิกข่วน เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าของชายผู้นั้น นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก สุดท้ายซูเหยาก็ถูกผลักลงกับพื้นอย่างแรง เขาก้มลงจับคอของนางและยกนางขึ้นจากพื้น ดวงตาของเขาฉายแววอำมหิต

“บอกมา! ใครส่งเจ้ามา!” เสียงของหัวหน้ากลุ่มกดต่ำลงจนน่ากลัว มือของเขาบีบคอของซูเหยาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนลมหายใจของนางเริ่มติดขัด ใบหน้าของซูเหยาเริ่มซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความทรมาน ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว แต่ถึงกระนั้นนางก็กัดฟันแน่น ไม่ยอมปริปากพูดอะไร

“ข้าถามว่าใครส่งเจ้ามา!” หัวหน้ากลุ่มตะคอกซ้ำ พลางออกแรงบีบคอเพิ่มขึ้นอีก ซูเหยาดิ้นรนเฮือกสุดท้าย อากาศในปอดร่อยหรอลงทุกที ร่างกายนางเริ่มอ่อนแรงลง แสงสว่างในดวงตาเริ่มเลือนหายไป…

ในขณะที่ซูเหยากำลังจะหมดลมหายใจพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างสงบแต่ทรงพลัง

“พอได้แล้ว ปล่อยนางเสีย”

เสียงนั้นทำให้คนในห้องหยุดชะงัก หัวหน้ากลุ่มหันขวับไปมองทางต้นเสียง ชายฉกรรจ์ที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านนอกก็ชะงักมือลงเช่นกัน

ร่างสูงโปร่งของหลวงจีนในจีวรสีเทา ก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้า ๆ ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยความสงบและเมตตา แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ ผมของท่านถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา มือของท่านประสานกันอยู่ด้านหน้า แววตาของท่านสงบและลึกซึ้งราวกับห้วงน้ำที่ไม่อาจหยั่งถึง บุคคลผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไต้ซือจื่อหลิงนั่นเอง

ไต้ซือจื่อหลิงมองมาที่หัวหน้ากลุ่มด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์ใด ๆ

“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง อย่าได้สร้างบาปไปมากกว่านี้เลย”

หัวหน้ากลุ่มคลายมือจากคอของซูเหยาโดยไม่รู้ตัว นางร่วงลงไปกองกับพื้น พยายามสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลวงจีนผู้มาเยือนอย่างไม่เข้าใจ ไม่เว้นแม้แต่ซูเหยาเอง นางสำลักอากาศอย่างแรง พยายามกอบโกยลมหายใจที่ร่อยหรอเข้ามาในปอด เมื่ออาการดีขึ้นเล็กน้อย นางก็หันไปมองไต้ซือจื่อหลิงด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย

"ท่านไต้ซือ...ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?"

"อาตมาเห็นโยมซูที่ตลาดตะวันตก โยมทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ คล้ายกำลังแอบติดตามผู้ใดอยู่ อดเป็นห่วงมิได้ จึงติดตามมาดู" ไต้ซือจื่อหลิงคลี่ยิ้มบางเบา ดวงตาเปี่ยมด้วยเมตตา

"ฮ่า ๆ ๆ หลวงจีนอย่างแกจะมาช่วยอะไรได้? ไม่ต้องให้คนอื่นลงมือหรอก ข้าคนเดียวก็จัดการพวกแกได้สบาย" หัวหน้ากลุ่มลักลอบตุนยาเถื่อนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

เสียงการต่อสู้จากด้านนอกกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง บ่งบอกว่าองครักษ์ของเถียนเฟิงกำลังปะทะกับลูกน้องของหัวหน้ากลุ่มอย่างดุเดือด ไต้ซือจื่อหลิงยืนขวางหน้าซูเหยาไว้ ร่างสูงโปร่งของท่านดูมั่นคงดุจภูผา

"แม้อาตมาจะไม่มีอาวุธใดติดตัว แต่ก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องโยมผู้นี้ได้เด็ดขาด"

"แล้วแกจะมีอะไรมาสู้กับข้า!" หัวหน้ากลุ่มกล่าวอย่างท้าทาย

ไต้ซือจื่อหลิงประสานมือเบื้องหน้า นัยน์ตาสงบแต่แฝงด้วยความเฉียบคม

"ปากของอาตมาอย่างไรเล่า"

หัวหน้ากลุ่มยาเถื่อนเลิกคิ้วขึ้นอย่างเย้ยหยัน

"ฮ่า ๆ ๆ จะเทศนาสั่งสอนให้ข้ากลับตัวกลับใจอย่างนั้นรึ? ฝันไปเถอะ!"

ไต้ซือจื่อหลิงยังคงยืนสงบนิ่ง ดวงตาของท่านทอประกายแห่งความเมตตา แต่แฝงเร้นด้วยความเฉียบคมที่ยากจะคาดเดา ท่านกวาดสายตามองหัวหน้ากลุ่มและสมุนที่เหลืออย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าทุกคำพูดกลับแฝงด้วยพลังที่สั่นสะเทือนจิตใจ

"พวกโยมนี่มันน่าสมเพชจริง ๆ! เกิดมาเป็นคนทั้งที แทนที่จะสร้างบุญกุศล กลับมัวแต่กอบโกยผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของผู้อื่น! จิตใจพวกโยมมันทำด้วยอะไรกันห๊ะ? ถึงได้ด้านชา ไร้สำนึกถึงขนาดนี้! โยมไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ!"

คำพูดของไต้ซือราวกับคมมีดที่กรีดแทง หัวหน้ากลุ่มถึงกับชะงัก สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน

"หุบปากไปเลยไอ้หลวงจีน! แกไม่รู้เรื่องอะไรก็อย่ามายุ่ง!"

ไต้ซือไม่สนใจคำสบถนั้น ท่านยังคงเทศนาต่อไป เสียงของท่านเริ่มหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับค้อนที่ฟาดลงบนก้อนหิน

"ไม่รู้เรื่อง? นี่โยมคิดว่าอาตมาโง่นักหรือไร? เห็นแก่ตัวจนตาบอดขนาดนี้ ยังจะมาอ้างว่าอาตมาไม่รู้เรื่องอีก! ทำเรื่องเลวร้ายถึงขนาดนี้ แล้วคิดว่าจะลอยนวลไปได้รึ? คิดว่ากฎแห่งกรรมมันไม่มีจริงหรือไร? หรือพวกโยมคิดว่านรกไม่มีอยู่จริง? พอตายไป โยมก็จะได้รู้เองว่านรกขุมไหนเหมาะกับพวกโยมที่สุด!"

หัวหน้ากลุ่มเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผาก เขาพยายามเบือนหน้าหนี แต่คำพูดของไต้ซือก็ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ราวกับเสียงก้องจากยมโลก

"พวกโยมทำนาบนหลังคน! เอาความเจ็บป่วยของคนอื่นมาเป็นบันไดไต่เต้า! ไม่ละอายใจเลยรึ? โยมคิดว่าพวกโยมจะร่ำรวยได้อย่างยั่งยืนด้วยการทำบาปแบบนี้งั้นหรือ? ฝันไปเถอะ! เงินที่ได้มาจากการกดขี่ผู้อื่นมันร้อนเป็นไฟนรก! ยิ่งร่ำรวยเท่าไหร่ จิตใจพวกโยมยิ่งเน่าเฟะเท่านั้นแหละ! โยมสมควรได้รับผลกรรม!"

ไต้ซือจื่อหลิงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว ใบหน้าเปี่ยมด้วยความสงบ แต่แววตาของท่านกลับสาดประกายแห่งความเดือดดาลที่ยากจะบรรยาย

"มองหน้าอาตมาสิ! มองให้อาตมาสิพวกโยม! พวกโยมเคยเห็นหน้าพ่อหน้าแม่ของตัวเองตอนพวกท่านตายแล้วร้องไห้เสียใจเพราะสิ่งที่พวกโยมทำไหม? ไม่เคยเลยใช่หรือไม่? เพราะพวกโยมมันไร้จิตสำนึกไง! อย่าหวังว่าจะได้ตายดีเลย! โยมจำคำอาตมาไว้! เวรกรรมมันตามทันแน่นอน! ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า โยมจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกโยมทำ!"

ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มบิดเบี้ยวด้วยความทุกข์ทรมาน เขาตัวสั่นเทิ้มราวกับถูกผีเข้าสิง เหงื่อไหลซึมไปทั่วร่าง เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยความหวาดกลัวและสำนึกผิด ลูกน้องคนอื่น ๆ ทรุดฮวบลงกับพื้น บางคนเริ่มร้องไห้คร่ำครวญราวกับเห็นนรกอยู่ตรงหน้า

"ยังไม่เจ็บพอหรือไรโยม! นี่โยมคิดว่าคำพูดอาตมามันเบาบางนักหรือ! หรือโยมต้องให้ยมทูตมาฉุดกระชากวิญญาณโยมลงไปในขุมนรก โยมถึงจะสำนึกได้! โยมคิดว่าชีวิตนี้โยมจะลอยนวลไปได้จริง ๆ หรือ! ฝันไปเถอะ! นรกมันรอโยมอยู่แล้ว! ทุกวินาทีที่โยมหายใจอยู่บนโลกนี้ คือการสะสมบาปกรรมที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ! โยมกำลังสร้างทางเดินให้ตัวเองลงสู่อเวจีที่มืดมิดและไร้ที่สิ้นสุด!"

ไต้ซือจื่อหลิงก้าวเข้าไปประชิดตัวหัวหน้ากลุ่มอีกก้าว ดวงตาของท่านเป็นประกายโชติช่วงไปด้วยเพลิงแห่งธรรมะที่เผาผลาญความชั่วร้าย

"ยาเถื่อนที่โยมกักตุนไว้ มันคือเชื้อไฟที่กำลังเผาผลาญชีวิตของโยมให้มอดไหม้! ทุกห่อสมุนไพรที่โยมขายออกไป คือตะปูที่ตอกลงบนฝาโลงของโยมเอง! โยมคิดว่าเงินทองที่ได้มามันหอมหวานนักหรือ! มันคือเลือด คือน้ำหนอง คือความทุกข์ทรมานของคนบริสุทธิ์! มันจะตามหลอกหลอนโยมไปทุกหนทุกแห่ง! โยมจะไม่ได้หลับได้นอน! โยมจะกินไม่ลง! ทุกคำข้าวที่กลืนลงไป มันจะกลายเป็นก้อนถ่านเพลิงที่เผาผลาญลำไส้โยมให้ปวดรวดร้าว! โยมจะใช้ชีวิตอย่างคนไร้ค่า! คนที่สังคมรังเกียจ! คนที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังไม่อยากคบหา!"

เสียงของไต้ซือดังราวกับฟ้าผ่า ผ่าลงกลางใจของหัวหน้ากลุ่มจนเขาสะดุ้งเฮือก

"โยมคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหน! คิดว่าจะรวยแล้วมีอำนาจค้ำฟ้าหรือ! ฝันไปเถอะ! ต่อให้โยมมีเงินทองกองเท่าภูเขา มีอำนาจเหนือกว่าใคร! แต่ในท้ายที่สุด โยมก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสมเพช! ความจริงที่ว่าโยมคือคนบาปหนา! คนที่ทำนาบนหลังคน! คนที่ขูดรีดเอาเปรียบผู้อื่น! คนที่จิตใจต่ำทรามยิ่งกว่าเดรัจฉาน! โยมมันแค่เศษสวะของสังคม! ไม่มีใครอยากจดจำโยมในฐานะคนดีหรอก! พวกเขาจะจดจำโยมในฐานะคนเลว! คนชั่วช้าสามานย์! และเมื่อโยมตายไป โยมจะไม่มีแม้กระทั่งที่ยืนในนรกภูมิ!"

ไต้ซือจื่อหลิงกวาดสายตามองไปที่ลูกน้องที่เหลือ เสียงของท่านยังคงดุดันและทรงพลัง

"พวกโยมก็เช่นกัน! คิดว่าตามน้ำไปกับหัวหน้าแล้วจะรอดพ้นหรือ! พวกโยมคือผู้สมรู้ร่วมคิด! พวกโยมคือมือที่ร่วมสร้างบาปกรรม! โยมจะหนีความผิดของตัวเองไม่ได้! ทุกหยาดเหงื่อที่เสียไปเพื่อขนยาเถื่อน คือเชื้อเพลิงที่กำลังเติมความร้อนให้นรกขุมที่พวกโยมจะต้องไปชดใช้! คิดว่าตัวเองเป็นคนดีพอที่จะเข้าสวรรค์หรือไง? ฝันไปเถอะ! พวกโยมมันน่าสมเพช! เกิดมาเป็นคนทั้งที กลับเลือกเส้นทางของอบายมุข! เลือกเส้นทางที่นำพาตัวเองไปสู่นรกอเวจี!"

ไต้ซือจื่อหลิงชี้ไปที่กองหีบสมุนไพรเถื่อนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

"พวกโยมเห็นไหม! นี่มันไม่ใช่แค่สมุนไพร! มันคือความเจ็บป่วย! มันคือความตาย! มันคือความหายนะที่โยมกำลังนำพาไปสู่ผู้คน! โยมจะหลับตาลงได้อย่างไรในเมื่อรู้ว่ายาที่โยมขายออกไป มันกำลังคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ไปทีละคนสองคน! เลือดเนื้อของพวกเขาจะไหลซึมลงมาเกาะติดมือของโยม! วิญญาณของพวกเขาจะตามหลอกหลอนโยมไปจนวันตาย! โยมจะไม่มีวันสงบสุขได้เลย!"

เสียงคำรามสุดท้ายของไต้ซือจื่อหลิงดังก้องไปทั่วห้อง ราวกับระเบิดที่ลงกลางใจ หัวหน้ากลุ่มยาเถื่อนกรีดร้องออกมาสุดเสียง ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป

"พอแล้ว! พอเถอะท่านไต้ซือ! ใครก็ได้! เอาข้าไปคุกเถอะ! ดีกว่าต้องมาฟังปากท่านเทศนา! พระอะไรด่าเจ็บชะมัด!" เขายื่นมือออกไปหาใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ลูกน้องที่เหลือก็ทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้คร่ำครวญ และยื่นมือออกไปเช่นกัน

"ใช่ ๆ! พอแล้ว! พาพวกเราไปเถอะ!" เสียงของสมุนคนหนึ่งแหบแห้งด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้นองครักษ์สองคนของเถียนเฟิง ก็พุ่งเข้ามาในห้อง พวกเขารีบเข้ามัดผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ผูกมือไพล่หลังแน่นหนา ก่อนที่กำลังเสริมจะตามมาหลังจากนั้นไม่นานเพื่อรวบรวมของกลางและพาคนร้ายไปส่งกรมราชทัณฑ์

ซูเหยาที่ยังคงยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า หันไปมององครักษ์ทั้งสองด้วยความประหลาดใจ

"พวกท่านเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?" ซูเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

องครักษ์คนหนึ่งก้มศีรษะลงเล็กน้อย

"เรียนแม่นางใต้เท้าเถียนส่งพวกข้ามาเพื่อช่วยเหลือแม่นางโดยเฉพาะขอรับ ท่านเป็นห่วงแม่นางยิ่งนัก (จริง ๆ คือกลัวแม่นางทำเสียแผน)"

ซูเหยาโค้งคำนับเล็กน้อย

"ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ และฝากคำขอบคุณไปถึงใต้เท้าเถียนด้วยนะเจ้าคะ"

ไม่นานนักคนของต้าซือคง ก็ทยอยเข้ามาในเรือนอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเริ่มรวบรวมหีบสมุนไพรเถื่อนและของกลางทั้งหมดอย่างเป็นระบบ ก่อนจะนำผู้ต้องหาที่ถูกมัดแล้วออกไปจากเรือนทีละคนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จัดการเก็บกวาดทำความสะอาดพื้นที่ที่เคยเป็นแหล่งกักตุนยาเถื่อนจนหมดจด ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน ความมืดและความเงียบสงัดกลับเข้ามาปกคลุมเรือนอีกครั้ง เหลือเพียงซูเหยาและไต้ซือจื่อหลิงยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ซูเหยาหันมาทางไต้ซือจื่อหลิง ใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยความตกใจ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

"ขอบพระคุณท่านไต้ซืออย่างสูงเจ้าค่ะ หากท่านไม่มาช่วย ข้าน้อยคงแย่ไปแล้ว" ซูเหยาประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม

ไต้ซือจื่อหลิงมองสำรวจรอยแดงช้ำรอบลำคอระหงของนางด้วยแววตาเป็นห่วง ใจหนึ่งอยากจะเอื้อมมือเข้าไปแตะเบา ๆ เพื่อตรวจดูอาการ แต่ก็ตระหนักว่าตนเป็นพระภิกษุ ไม่ควรกระทำการสัมผัสกายสตรี จึงได้แต่สำรวมอินทรีย์ประสานมืออยู่เบื้องหน้าแทน

"โยมซู เป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของท่านยังคงเปี่ยมด้วยความเมตตา

ซูเหยาคลี่ยิ้มบาง ๆ

"ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะท่านไต้ซือ เพียงแค่กลับไปดื่มยาขนานหนึ่งก็น่าจะหายดีแล้วเจ้าค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าน้อยเป็นหมอย่อมดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว"

ไต้ซือจื่อหลิงถอนหายใจเบา ๆ  

"โยมซู..อาตมาเข้าใจว่าโยมมีความมุ่งมั่น แต่การทำสิ่งใดที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวโยมเอง หากวันนี้อาตมามิได้บังเอิญมาพบเจอเรื่องราวนี้ โยมอาจจะตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรงกว่านี้"

ซูเหยาพยักหน้ารับคำอย่างเข้าใจ

"เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพึงระลึกไว้"

"เหตุการณ์ในวันนี้ ถือเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้โยมได้พึงระลึกถึงอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ในโลกใบนี้เสมอ" ไต้ซือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง "เอาล่ะ ถึงเวลาที่เราควรแยกย้ายกันกลับแล้ว อาตมาจะเฝ้ารอข่าวคราวความคืบหน้าของคดีนี้ในภายหลัง"

ซูเหยาพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะโค้งคำนับลาไต้ซือจื่อหลิงอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็เดินออกจากเรือนไม้ร้างไปตามเส้นทางที่แตกต่างกัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบในยามค่ำคืน รอคอยวันพรุ่งนี้ที่จะมีข่าวคราวความคืบหน้าของคดีนี้มาถึง





เควสปลดหัวใจ: สัจธรรมแห่งการเยียวยา (4)
เป้าหมาย : เผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่กักตุนยาและได้รับความช่วยเหลือจากไต้ซือจื่อหลิง
รางวัล
ค่าความสัมพันธ์กับไต้ซือจื่อหลิงเพิ่มขึ้นปานกลาง

หลักฐานการต่อสู้

เลื่อนขั้นพรสรรค์จาก หมอฝึกหัด (ไม้) เป็น หมอป่า (น้ำเงิน)

เงื่อนไขพัฒนาคลาส:
- Level 15 เป็นต้นไป
- สเตตัส INT 15 ขึ้นไป
- สเตตัส VIT 20 ขึ้นไป
คุณสมบัติพิเศษจำเพาะ
- สกิลพิเศษติดตัว: สุ่มวัตถุดิบของป่า ประเภท สมุนไพร อาทิ เม็ดเก๋ากี้


แสดงความคิดเห็น

ขำปอดโยก 555+  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 54274 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 54,274 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 54,274 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 54,274 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้