
วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามจื่อ เวลา 23.00 - 00.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก คุณชายอันเล่อ
ยามจื่อคล้อยเข้าสู่ความเงียบสงัดของค่ำคืน บ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมทางสายหลักของถนนสิบลี้เงียบสงบ มีเพียงแสงตะเกียงน้ำมันโคมเล็กที่ลุกโชนสั่นรไหวเบา ๆ ตามสายลม และกลิ่นอ่อนของขนมหอมหวานที่ยังลอยคลุ้งเจือปนกลิ่นไม้สุกจากเตาอบในครัว ชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายสีหม่นเดินเข้าไปหยิบกล่องไม้ไผ่ถักฝีมือประณีตที่วางอยู่บนหิ้งในห้องด้านใน ก่อนจะส่งให้หญิงสาวที่ยืนรออยู่หน้าโต๊ะไม้ซึ่งเรียงขนมหลากสีเอาไว้เต็ม ทั้งกุ้ยฮวาเซาปิ่งไหมฟ้าและขนมไร้กังวลต่างวางเรียงละเมียดละไมราวกับสวนดอกไม้ย่อส่วนในฤดูใบไม้ผลิ
"หรงเล่อชอบขนมพวกนี้ เจ้านำไปให้นางสิ" น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ดวงตาไม่ได้มองหญิงสาวโดยตรงหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือที่ยื่นให้แทน
หลินหยาหันไปมองเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขันในใจ "อ้าวท่าน หรงเล่อไม่ได้ไปนอนที่จวนใหญ่หรอกหรือเจ้าคะ?" เธอแกล้งถามเสียงใสมือก็เรียงขนมลงกล่องอย่างตั้งอกตั้งใจ แป้งบาง ๆ ที่แทรกไส้และน้ำผึ้งเยิ้มถูกวางเคียงถั่วหอมบดละเอียด ใส่กระดาษรองลายเมฆมงคลในแต่ละชั้น หลิวอันตอบโดยไม่หันกลับมา “ไม่ไป” ก่อนจะทิ้งช่วงแล้วเอ่ยเสียงราบแต่ฟังดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ชวนนางมา เพราะนางน่าจะหลับไปแล้ว” คำพูดนั้นไม่หวาน ไม่อ่อนโยนเหมือนชายอื่นที่เคยผ่านชีวิตหญิงสาวมานับไม่ถ้วน ทว่ากลับเต็มไปด้วยน้ำหนักของความรู้สึกที่เก็บไว้เงียบ ๆ อย่างคนที่ไม่ค่อยชินกับการเปิดเผย
หลินหยาไม่ได้พูดอะไรต่อ นางเพียงยิ้มบาง ๆ คล้ายเข้าใจ ใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณเขาที่มีเจตนาดีแบบนั้น อีกใจก็ปนขำเบา ๆ กับความซื่อดื้อเงียบของคนตรงหน้าที่ไม่รู้เลยว่าแม้ไม่พูดนางก็สัมผัสได้…กับบุตรสาวตัวเองยังปากแข็งแล้วกับนางจะไปเหลืออะไรล่ะ?
และเมื่อขนมบรรจุลงกล่องแล้วเรียบร้อยกลับไม่ใช่แค่กล่องเดียวแต่ต้องใช้ถึงสองกล่องในการใส่ขนมเพราะจำนวนมันเยอะและของที่หลินหยาทำนั้นไม่ใช่แค่ขนม แต่มันเต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยและความสุขเล็ก ๆ ที่อบอวลอยู่ในแต่ละคำ นางถือกล่องทั้งสองเดินออกจากห้องครัวแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ ทิ้งให้กลิ่นขนมยังคงอบอวลในห้องครัวที่ควันจางแล้ว ขณะที่ดวงดาวบนฟ้าสะท้อนในดวงตาเธอเมื่อย่างเท้าเข้าสู่เรือนใหญ่ของบ้านหลังเล็กเพื่อไปหาใครคนหนึ่ง
ภายในเรือนกลางหรงเล่อหลับสนิทอยู่บนเตียง บนโต๊ะข้างหัวเตียงยังมีโคมจันทน์เล็ก ๆ จุดไว้ส่องแสงเรืองรอง หลินหยาไม่กล้าปลุกนางขึ้นมานางเพียงวางกล่องขนมลงอย่างแผ่วเบาและหยิบกระดาษพับสองทบออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะเขียนข้อความสั้น ๆ ด้วยลายมือสุดห่วยที่เหมือนไก่เมายาบ้ากระโดดลงไปข่วนกระดาษ
‘เจ้าชอบขนมใช่ไหม ข้าทำมาให้...หวังว่าจะอร่อยนะ ข้าคิดถึงเจ้า
’ ข้อความสั้น ๆ ไม่ได้แต่งเป็นกลอน ไม่ได้มีวาทศิลป์หวานใด ๆ มีเพียงถ้อยคำธรรมดาจากหัวใจของคนธรรมดาคนหนึ่งที่ห่วงใยคนอีกคน หลินหยาแนบจดหมายไว้ข้างหัวเตียง วางมือเบา ๆ ลงบนผ้าห่มของหรงเล่อครั้งหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบงัน ราวกับเงาที่แทรกผ่านแสงดาวในยามค่ำคืน
คืนนั้น ถนนสิบลี้ยังเงียบสงบเหมือนเดิม มีเพียงสายลมที่หอบเอากลิ่นหอมของขนมหวานลอยกรุ่นไปทั่วตรอกเล็กตรอกน้อย และชายหนุ่มที่นั่งรอใต้ต้นไม้แสงดาวในยามค่ำคืนนั้นพราวพรายเต็มฟ้า ราวกับม่านผืนใหญ่ที่พระพายบรรจงกางออกเหนือหลังคาบ้านหลังเล็ก เสียงจิ้งหรีดแผ่วเบาในพุ่มไม้คลอไปกับสายลมเย็นที่พัดโชยตัดกลิ่นขนมหวานที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
ใต้ต้นหลิวใหญ่หลังบ้าน โต๊ะม้าหินทรงกลมที่ตั้งอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นมุมสงบที่มีไว้สำหรับความเงียบมากกว่าคำพูด ชายหนุ่มในชุดเรียบนั่งทอดสายตามองขึ้นฟ้ามือเรียวยาววางบนโต๊ะอย่างไม่เร่งรีบ เขาไม่พูดอะไรจนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของใครบางคนดังขึ้นจากทางเดินกรวด หลินหยาก้าวออกมาจากในเรือน สะโพกกลมกลึงเอียงเล็กน้อยตามจังหวะเดินเมื่อเธอเห็นร่างสูงนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้านั้นแม้จะเงียบขรึมทว่าในเงาสลัวใต้โคมไม้ที่แขวนไว้กับกิ่งต้นหลิวกลับดูอ่อนลงอย่างประหลาด
“ท่านยังไม่นอนหรือเจ้าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงนุ่ม เธอยกมือไพล่หลังแล้วเดินเข้ามาใกล้ แววตาใสกระจ่างใต้เส้นผมที่ปล่อยสยายอย่างเป็นธรรมชาติแม้มันจะไม่ได้ยาวดังเคยแต่มันก็ทำให้สายลมพัดผ่านได้ตลอด
หลิวอันไม่หันมามองทันที เขาเพียงขยับนิ้ว “ข้ายังไม่นอน… เห็นเจ้ากลับมาแล้วเลยคิดว่า...เจ้ากับหรงเล่อคงเข้ากันได้ดี” เมื่อได้ยินหลินหยาก็ยิ้มบางขยับตัวเข้าใกล้อีกนิดก่อนจะหยุดลงตรงขอบโต๊ะ “หรงเล่อนอนแล้วเจ้าค่ะ” แล้วเสียงหวานก็ลดต่ำลง “...ข้านั่งข้าง ๆ ท่านได้ไหม?” ครั้งนี้ชายหนุ่มหันมามองเธอ ดวงตานิ่งลึกและอบอุ่นในเงาของแสงตะเกียง "อืม" เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมขยับตัวเปิดที่ว่างข้างตัวเธออย่างไม่ต้องเอ่ยคำซ้ำ
หลินหยาจึงค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงข้างเขา ชายกระโปรงแตะข้างเข่าอีกฝ่ายเบา ๆ กลิ่นหอมจาง ๆ จากเนื้อตัวหญิงสาวคล้ายกลิ่นดอกไม้ในยามค่ำ ดึงให้บรรยากาศตรงนั้นเงียบงันและนุ่มนวลจนเหมือนโลกทั้งใบสงบลงชั่วคราว เธอเงยหน้ามองฟ้าแล้วพ่นลมหายใจบางเบา “คืนนี้ดาวสวยดีนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของเธอเหมือนแมวตัวน้อยที่กำลังพึมพำกับตัวเอง แต่กลับทำให้หลิวอันหันไปมองเธออีกครั้ง
เขาไม่พูดอะไรในตอนแรก เพียงเฝ้ามองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวข้างกาย ริมฝีปากนุ่มที่ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้ม ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายในเงา เธอดูสงบเรียบง่ายแต่ชวนให้อยากอยู่ใกล้อย่างประหลาด "เจ้า..." เขาเริ่มเอ่ยเสียงต่ำช้า "เป็นคนแปลก ข้าไม่เข้าใจเจ้าทั้งหมดหรอก…แต่บางครั้ง...ข้าก็ไม่อยากเข้าใจเท่าไร"
เมื่อได้ยินหลินหยาก็เหลือบมองเขาพลางยกคิ้วเล็กน้อย “หืม? นี่ชมข้าหรือกำลังบอกว่าไม่อยากยุ่งกับข้ากันแน่เจ้าคะ?”
“เปล่า...แค่บางอย่าง...ไม่ต้องเข้าใจก็ดีพอแล้ว แค่นั่งเงียบ ๆ ด้วยกันแบบนี้ก็พอ” คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่กลับมีอะไรบางอย่างในน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างน่าประหลาด หญิงสาวมองหน้าเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วเอนศีรษะพิงไหล่อีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรอีก แสงจันทร์ลูบไล้ผ่านใบไม้ ส่องลอดระหว่างกิ่งไม้กระทบผิวขาวนวลของเธอราวกับทอแสงสีเงินบนผืนผ้าไหม บรรยากาศเย็นสบายในยามดึกทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ท่ามกลางความเงียบงันและดาวพราวเต็มฟ้า มีเพียงลมหายใจสองสายที่เคลื่อนไหวเบา ๆ ข้างกัน
หลิวอันยังคงมองฟ้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ก่อนจะยกมือเรียวยาวขึ้น ชี้ไปยังดาวสว่างดวงหนึ่งที่ตั้งมั่น ณ ใจกลางฟากฟ้า “นั่นคือ...ดาวเหนือ” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงไม่เหมือนทุกทีแทบจะนุ่มละมุนราวกับไม่ใช่เสียงของชายที่เด็ดขาดและเงียบขรึมมาตลอด “หากวันใดเจ้าทุกข์ใจ หากเจ้าหลงทาง...มองไปที่ดาวดวงนั้น มันจะอยู่ตรงนั้นเสมอ…คอยนำทางผู้คน” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มนุ่มจะแทรกซึมเข้ามาอีก “เหมือนกับข้าที่จะอยู่ตรงนั้น...ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดจะเคียงข้างเจ้าเสมอไป”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดบางเฉียบที่ห่อหุ้มด้วยแพรไหมบาดลึกอย่างน่าประหลาด หลินหยาเหลือบตามองใบหน้าเขาด้วยแววตาอ่อนโยนยิ่งนัก มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่ฉาบแสงจันทร์ละมุนบนแก้มนวล ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันหน้ากลับไปมองท้องฟ้า “รู้ไหมเจ้าคะ...ครั้งที่สองที่เราพบกัน” หลินหยากล่าวเบา ๆ ราวเสียงของสายลม “เราพบกันที่หอดาราเฟยเทียน คืนที่ฟ้ามืดสนิทแต่เต็มไปด้วยดาว ข้ายังจำได้อยู่เลยว่าท่านใส่ชุดสีเข้ม ถักเปียเล็ก ๆ ตรงเส้นผม” นางหัวเราะเบา ๆ เมื่อย้อนคิด พลางกระซิบต่อ “ตอนนั้นข้าเป็นฝ่ายชวนคุย ท่านกลับตอบว่า…ท่านหลับยากมาโดยตลอด และประโยคสุดท้ายคือข้างล่างมันเสียงดัง”
เสียงหัวเราะนั้นเบาราวเสียงกระดิ่งประดับหน้าวัง แต่กลับก้องอยู่ในใจชายข้างกายยิ่งนัก หลิวอันไม่หันไปมองเธอโดยตรง ทว่าแววตาที่ทอดไปยังดวงดาวกลับสั่นไหวเล็กน้อย เขาเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมืออีกครั้งชี้ไปยังกลุ่มดาวเล็ก ๆ ทางทิศใต้ “และตรงนั้น...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าครั้งใด “คือดาวที่เจ้าบอกว่า...เป็นดาวบ้านเกิดของเจ้า” เขาชี้ดวงดาวดวงน้อยที่วางตัวอยู่อย่างเงียบงันใต้กลุ่มดาวใหญ่ มองจากตรงนี้มันเล็กมากจนแทบไม่เห็น หากไม่จ้องจริงจังก็คงผ่านไปแล้วไม่รู้ตัว “ใต้ดาวดวงนั้น...เจ้าว่าเมืองเกิดของเจ้าอยู่ตรงนั้น”
หลินหยาหันมองเขาช้า ๆ แววตาสั่นไหวในแสงตะเกียงและแสงดาราปลายนิ้วนางขยับขึ้นมาซ้อนทับบนหลังมือของเขาโดยไม่รู้ตัว “ท่านยังจำได้…”
หลิวอันไม่ได้ตอบในทันทีเขาเพียงเบือนหน้าไปทางเธอช้า ๆ แววตานิ่งสงบแต่ปั่นป่วนในความเงียบ ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นสายตาคู่นั้นของหลินหยาที่มองมา ความอ่อนโยน ความสดใส ความทรงจำและความจริงใจทั้งหมดที่นางเป็น ได้หลอมรวมกันเป็นบางสิ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาในหัวใจเขาช้า ๆ โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้อีก
"เจ้าทำให้ข้าจำได้" เขากล่าวเสียงเบาลมหายใจติดขัดเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นเคย หลินหยาไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงยิ้มแล้วเลื่อนมือจากมือของเขามาวางบนหัวเข่า นางานั่งข้างเขาในความเงียบอันอบอุ่น ใบหน้าของนางสะท้อนแสงดาวเรืองรองอย่างอ่อนโยนในยามค่ำที่เงียบงันนั้น เส้นผมปลิวเบา ๆ ไปตามแรงลมอ่อนของราตรี นางหันหน้าไปมองเขาแผ่วเบา ราวกับจะมองให้ชัดเจนกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ใช่ด้วยดวงตา...แต่ด้วยใจที่เปิดออกอย่างไม่มีสิ่งใดกั้น
"ขอบคุณนะเจ้าคะ…" น้ำเสียงนางเบาเหมือนสายลมพัดผ่านแนวซุ้มดอกไม้ในยามปลายฤดูหนาว “ที่ท่านทำให้เมืองฉางอัน...ไม่ลำบากเกินไปนัก” คำพูดนั้นฟังดูเรียบง่าย แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความรู้สึก นางเหลือบตามองเขาอีกครั้งมุมปากยกยิ้มบาง ๆ ก่อนที่สายตาจะทอดมองออกไปไกลตามแนวสวนหลังบ้านที่เงียบสงบราวสวรรค์ซ่อนตัวในเงามืดของค่ำคืน
“เมืองนี้น่ะเจ้าค่ะ...มันหนาวมากเลยตอนข้ามาถึงครั้งแรกหนาวไม่ใช่เพราะอากาศหรอกนะเจ้าคะ แต่เพราะไม่มีใครเลยไม่มีอะไรต้อนรับ ไม่มีที่ยืนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอยู่เพื่ออะไร” นางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ถือสาอดีตของตนเอง ก่อนจะพูดต่อในน้ำเสียงที่กลับมาอบอุ่น “แต่ท่าน...ท่านกับทุกคนทำให้มันเปลี่ยนไป” นางหันมาสบตาเขาตรง ๆ คราวนี้ไม่หลบ ไม่เบนหน้าไปทางอื่น "ท่านเป็นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ อุ่นและหอมหวาน...ไม่ร้อนแรงจนแผดเผา ไม่เย็นชาให้เจ็บปวด…แม้ตอนแรกจะเหมือนเย็นชามาก ๆ ก็เถอะเหมือนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลินั้นแหละ" เสียงนางอ่อนโยนจนหัวใจแทบละลายแล้วนางก็ยิ้ม ยิ้มเล็ก ๆ ที่อ่อนหวานอย่างแท้จริงไม่ใช่ยิ้มเย้า ไม่ใช่ยิ้มล้อเล่น แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากเบื้องลึกของหัวใจ
“ท่านหลิวอัน...ท่านเป็นส่วนใหญ่เลยล่ะเจ้าคะ ที่ทำให้มันอุ่นเสมอมา”
หลิวอันนิ่งไป ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะพูดอะไร...แต่เพราะในชั่วขณะนั้น ใจของเขาแน่นจนไม่มีถ้อยคำใดสามารถล้นผ่านออกมาได้ ชายผู้เคยว่างเปล่า เคยตั้งตนอยู่นอกเหนือความรู้สึกนึกคิด เคยใช้ความเงียบแทนคำว่ารัก...วันนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกสายลมของหลินหยาห่มหุ้มใจตนเองเสียจนไม่อาจพูดอะไรออกมา
เสียงลมเบา ๆ พัดโชยผ่านยอดไม้เหนือเรือนเล็ก เสียงใบไม้เสียดสีกันคล้ายบทเพลงกล่อมจากธรรมชาติ สว่างเพียงแสงดาวบาง ๆ บนฟากฟ้าที่ทอดเงาอ่อนลงมากระทบใบหน้าหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งพิงข้างเขาอย่างแผ่วเบา หัวของนางเอนลงบนไหล่กว้างแน่นหนานั้นเหมือนแมวขี้เซาที่ไม่ทันระวังตัวไม่ได้ตั้งใจจะน่ารักแต่กลับน่ารักจนเขาไม่อาจถอนสายตา
หลิวอันหันหน้าไปมองนางซึ่งตอนนี้อยู่ใกล้มาก ใกล้เสียจนลมหายใจอุ่น ๆ ของนางกระทบเส้นผมด้านข้างของเขา ใกล้จนสามารถนับขนตางามที่เรียงตัวชัดเจนได้และในช่วงเวลานั้น...แม้นางไม่ได้แต่งหน้าใด ๆ แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดทว่าความอ่อนล้าอันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นของนางกลับทำให้เขาอยากจะยกมือขึ้นแตะใบหน้านั้นเบา ๆ แต่ก็ไม่อาจทำได้
เขาเพียงจ้องมอง...จ้องมองเหมือนชายคนหนึ่งที่มองแมวเร่ร่อนตัวน้อยที่หลงเข้ามาในบ้าน แล้วนั่งเฝ้ามันจนเผลอรู้สึกปั่นป่วนใจอย่างประหลาด ดวงตาคู่นั้นของเขา...ไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาเลย แต่ในอกกลับปั่นป่วนจนยากจะอธิบาย
หลิวอันกระชับแขนเสื้อของตนก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัว ล้วงมืออ้อมผ่านแผ่นหลังบาง แล้วประคองร่างน้อย ๆ นั้นขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมจนแทบไร้เสียง หลินหยายังไม่ตื่น ดวงตานางยังคงปิดสนิท ริมฝีปากสีระเรื่อคล้ายกลีบผลท้อหวานเผยอออกน้อย ๆ ตามแรงลมหายใจ เขาอุ้มนางไว้อย่างมั่นคงอ้อมแขนนั้นแข็งแรงแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตนเองเคยอุ้มใครด้วยความระวังเท่านี้มาก่อน ไม่เคยเลย...ตั้งแต่สูญเสียคนรักไปเมื่อสิบปีก่อน
เสียงฝีเท้าของเขาเบาดังสายลมขณะที่พาหลินหยาผ่านสวนหลังบ้าน เลี้ยวเข้าสู่เรือนรับรองที่เธอใช้นอนประจำ เขาเปิดประตูบานไม้เล็กเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาในห้องอันเงียบสงบ แสงตะเกียงที่ติดอยู่มุมห้องยังเรืองรองพอประมาณ เขาก้มตัวลงอย่างช้า ๆ วางนางลงบนฟูกอ่อนที่ปูเรียบ ดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นห่มให้ถึงอก ลมหายใจของนางยังคงสม่ำเสมอมือหนึ่งของเธอขยับเล็กน้อยคล้ายจะควานหาผ้าห่ม เขาจึงจับขอบผ้าคลุมให้แนบตัวนางอีกครั้ง
แล้วหลิวอันก็โน้มตัวลงกระซิบเสียงต่ำ ดวงตาคมคายกวาดมองใบหน้าอันเปี่ยมด้วยชีวิตชีวานั้นอีกครั้ง ดวงตานั้น ดื้อรั้น ใจไม่ยอมแพ้แต่เปราะบางในแบบที่เขาไม่อาจเมินเฉยได้ "...ราตรีสวัสดิ์...เจ้าแมวน้อยโง่เง่า.." เขาวางมือลงที่ข้างเตียงเบา ๆ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง...เงียบงัน ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตรงนั้น ทว่ากลิ่นหอมอ่อนของซิ่งเหรินโต้ฟูที่นางทำไว้ยังคงอบอวลอยู่ไม่จางหายในความทรงจำ เช่นเดียวกับความรู้สึกบางอย่างในใจของเขาที่กำลังค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่หยั่งรากลึก…เกินจะถอน

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: บทหวานขนาดนี้พระรองได้ไง..เอ่ออออ มันเริ่ดเด้อ
รางวัล: หัวใจ 10 ดวงแล้วจ้า ต้องรอปลดแถวสองแต่ทำยังไงอ่ะการปลดแถวสองอ่ะ
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
(ใส่ไปทำไมไม่รู้แต่ก็จะใส่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะให้ปลดแถว 2)