กว่าจะได้ออกมาก็ยามอู่แล้ว นางผู้มักจะจดจ่อกับตำราจนเผลอไผลหลงลืมมื้ออาหารอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกันที่นางได้ถือโอกาสรวบมื้ออาหารเช้าที่ควรจะลงท้องในต้นยามเฉินมากินในช่วงยามซื่อแทน ในช่วงนั้นเองที่โจวจินและฉางซานเซียนหวางต่างเข้ามาขอเข้าเฝ้าที่หมายถึงมาเยี่ยมนางจึงได้เอ่ยปากขอออกไปเดินเล่นภายนอก
แม้จริง ๆ พวกเขาจะอยากให้นางเดินเหินแค่ในวังก่อน หากแต่ว่านางกลับดื้อรั้นจะออกไปวิ่งเล่นน่ะสิ นางที่อยู่มาเจ็ดราตรีโดยไม่ได้ออกจากตั่งเตียงเช่นนี้ขอเห็นเดือนเห็นตะวันด้วยเถิด สุดท้ายแล้วฉางซานเซียนหวางกับโจวจินจึงอาสาไปเป็นเพื่อน ส่วนของจื่อเซวียนชิงหลีผู้ที่ต้องจัดการราชกิจบ้านเมืองในฐานะของกษัตรีย์แห่งหนานเจ้าจำต้องอดใจไว้แทน
ทั้งสามคนออกเดินทางจากพระราชวังไม่นานก็ถึงลานกว้างกลางเมืองหนานเจ้า ต้องบอกว่าความกว้างใหญ่ที่แห่งนี้นั้น หากเทียบกับฉางอันคงเล็กกว่าราว ๆ ห้าส่วนในสิบส่วน การเดินทางไปไหนมาไหนย่อมสะดวกสบายในแง่ของไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางมากนัก บัดนี้พวกนางจึงได้มาถึงถนนที่ดูจะคึกคักที่สุดในเมือง ณ ขณะนี้
บ้านเรือนแม้พังทลายไปมากจากที่นางเห็นก่อนหน้านี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ ผู้คนช่วยกันตอกตะปูปูพื้นไม้อย่างขยันขันแข็งจนบ้านเมืองค่อย ๆ กลับมางดงามจนไม่อาจจินตนาการได้ว่าก่อนหน้านี้มันร้ายแรงมากเพียงใด เมืองที่ก่อนห้าเคยปกคลุมด้วยม่านหมอกบดบัง สุริยันไม่อาจทอแสง บัดนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดสาดส่องจนรู้สึกปลอดโปร่ง ไร้ฝุ่นฟุ้งล่องลอย บรรยากาศของเมืองหนานเจ้าที่เปลี่ยนไปภายในเจ็ดราตรีทำให้เว่ยเจียเหลียนฮวาเหมือนกับเดินทางท่องกาลเวลาเพราะเก็บตัวในวังจนไม่ได้แลพิศความเป็นไปของผู้คนทั้งหลาย
ณ วินาทีที่เท้าเล็กย่างก้าวลงพื้นถนน แสงแดดสอดส่องกระทบใบหน้างดงามเพียงพิศเพลินตาแต่งแต้มเครื่องประทินผิวพอมีสี ปิ่นปักผมอัญมณีแวววาวแม้เพียงสองอัน ทว่ากลับขับความงดงามของเรือนผมให้สังเกตเห็น อาภรณ์ไหมงดงามที่ถูกบ่าวในวังหยิบมาสวมให้ราวกับเป็นเครื่องบรรณาการจากจื่อเซวียนชิงหลีแกมบังคับให้สวมมันเสียทำให้ผู้คนรับรู้ได้ไม่ยากเลยว่าสตรีนางนี้มิใช่ชาวบ้านตาสีตาสา ยิ่งเมื่อยืนขนาบข้างด้วยบุรุษผู้ปกป้องเมืองลงมาจากรถม้าของวังหลวงแห่งหนานเจ้าแล้วนั้นก็เหลือเพียงนามเดียวอันที่ประจักษ์
เว่ยเจียเหลียนฮวา พระสหายของกษัตรีย์ วีรสตรีผู้กอบกู้หนานเจ้า
เสียงสนทนาพลันดังขึ้นรอบข้างราวกับว่ากำลังคาดเดาสถานะตัวตนของนาง เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ไม่ได้มีข้อมูลจากภายนอกเลยทั้งสิ้นก็รับรู้แล้วว่านางกำลังเป็นจุดสนใจเพียงใด
“ก่อนหน้านี้พวกท่านก็โดนเช่นนี้หรือไม่”
“ย่อมต้องโดนเช่นกัน ไปที่แห่งไหนก็มีแต่ผู้คนอวยยศจนกระทำตนไม่ถูกเสียแล้ว”
“ทำเอาอยากมุดแผ่นดินกลับฉางอันตอนช่วงวันแรกที่เจ้าหลับเป็นตายเชียว”
“ดีนักที่ปล่อยให้บ่าวพวกนั้นจับแต่งตัวเสียงาม”
หากเปรียบเทียบอาภรณ์ที่หลุดลุ่ยไม่ใส่ใจยามอาศัยในห้องบรรทมหรูหรา ปลายผมยุ่งพันจากการเอนกายจนชี้ฟูเล็กน้อย ใบหน้าเปลือยเปล่าที่ดวงตาจดจ้องเพียงตัวอักษรของวรรณกรรมประโลมโลกที่อ่านสลับกับงานเขียนเคร่งเครียด สาระตำรา การสืบสวนสอบสวน และที่นางดูจะสนใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างการแพทย์ สภาพของนางในยามถูกเนรมิตใหม่นี้ย่อมเป็นสภาพที่สามารถปล่อยออกไปสู่สายตาสาธารณะชนได้
“เอาเถิด ผู้คนสนใจเยอะก็ดี วันนี้เราได้รับคำขอจากชิงหลีมามิใช่รึ”
งานของพวกนางในวันนี้นอกจากมาเดินเที่ยวเล่นสำรวจเมืองแล้ว ก็ได้รับการไหว้วานจากผู้ปกครองเมืองให้มาช่วยแจกจ่ายเสบียงแก่พี่น้องทั้งหลายในหนานเจ้า การที่นางเรียกสายตาได้เช่นนี้ย่อมง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ ทั้งสามสหายยืนปรากฎตัวได้ไม่นานนักก็มีรถเกวียนเคลื่อนมาจอดกลางลานกว้าง มันคือรถเกวียนขนเสบียงจากภายในวังออกมาตั้งโต๊ะเปิดโรงทานหลวง แน่นอนว่าเครื่องเทศข้าวของต่าง ๆ ก็อาศัยแหวานดาราจรัสช่วยสะสมตลอดการเดินทางจึงมีเสบียงมาช่วยเหลือผู้คนอยู่บ้าง
จริง ๆ นางจะยัดใส่แหวนมาก็ได้ ทว่า…มันจะเด่นเกินไปนัก…
ด้วยความที่นางเป็นสตรีในห้องหอ ทั้งยังเป็นพระสนมเอกในองค์จักรพรรดิแห่งต้าฮั่น เช่นนั้นแล้วจะมาตะโกนเรียกร้องความสนใจก็กระไรอยู่จึงยกพัดขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่าง ส่งสายตาบอกบ่าวในวังที่จื่อเซวียนชิงหลีส่งมาสมทบให้เป็นผู้ป่าวประกาศแทนนางดั่งเช่นนางสนองพระโอษฐ์ก็ไม่ปาน
“วันนี้ได้รับราชโองการจากหนี่หวาง(กษัตรีย์)ให้มาช่วยเหลือพระสหายผู้เป็นวีรสตรีกอบกู้หนานเจ้า แจกจ่ายอาหารร้อน ๆ เพื่อเลี้ยงปากท้องพี่น้องของเรา ด้วยกรุณาของผู้มีพระคุณทำให้พวกเราได้มีอาหารดี ๆ มาแจกจ่าย ขอจงรับด้วยความรู้สึกทราบซึ้งในน้ำใจของวีรสตรีและพระมหากรุณาธิคุณของหนี่หวาง”
วงคิ้วขนงขมวดปมเข้าด้วยกันเบา ๆ นางหมายจะให้บ่าวได้ประกาศว่า มาแล้วจ้า อาหารมาแล้วจ้า อาหารอุ่นร้อนอร่อย ๆ มารับไปเร็วว เช่นนี้แทนนาง ทว่ากลับได้ประโยคสรรเสริญเสียอย่างนั้น นับจากนี้มิใช่ว่านางต้องปิดหน้าปิดตายามแอบออกมาเดินเล่นหรอกหรือ ดวงตาเมล็ดซิ่งหวานหันเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อขอความเห็นจากโจวจินและฉางซานเซียนหวาง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการส่ายศีรษะเบา ๆ เป็นคำตอบว่าบัดนี้ไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกพ่นพรูออกมาด้วยความรู้สึกช่วยไม่ได้ก่อนที่นางจะปั้นใบหน้าแย้มยิ้มเพื่อรักแขกทั้งหลาย มือเล็กหยิบกระบวยคอยตักบัวลอยให้ผู้คนที่หยิบถ้วยมารอรับ ในส่วนของฉางซานเซียนหวางแจกซาลาเปา โจวจินช่วยแจกหมั่นโถว และบ่าวทั้งหลายช่วยจัดแจงแถวให้เป็นระเบียด ป้องกันมิให้ผู้ใดแซงหน้าผู้อื่นและมิให้เกิดการทะเลาะวิวาทในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้
กว่าจะแจกจ่ายหมดในช่วงยามอู่แสงแดดส่องก็ทำเอานางต้องพัดโบกพักในมือแรง ๆ อยู่เหมือนกัน เมื่อแจกจ่ายหมดก็รู้สึกได้ถึงอิสรภาพที่นางจะได้เที่ยวเล่นเสียที ไม่รอช้าเว่ยเจียเหลียนฮวาก็ชักชวนฉางซานเซียนหวางและโจวจินด้วยประโยคสั้น ๆ
“ไปหาร้านตำรากันเถิด”
แล้วก็เดินไปสอดส่องร้านรวงต่าง ๆ ด้วยความหวังเล็ก ๆ ว่าคงจะมีร้านตำราที่เหลือรอด แต่หากไม่มี…ก็คงไม่แปลกอะไรนัก…
แจกจ่าย หมั่นโถว ซาลาเปา และ บัวลอย อย่างละ 50
หรือเราจะทดสอบระบทอีเว้นแปลก ๆ ?
@Admin