ครั้นเมื่อนางกลับเข้าไปพักในวัง ก็ได้รับจดหมายน้อยจากใครบางคนที่นางไม่แปลกใจเท่าใดนัก หากบ่าวใช้ในวังจะรับจดหมายของบุคคลผู้นี้มาส่งให้ถึงในห้องบรรทมของจื่อเซวียนชิงหลีที่นางยึดครองตั่งนอนเอนกายอีกทางสำหรับนั่งเสียมากกว่า จดหมายน้อยบรรจงตวัดพู่กันตั้งใจบอกการนัดหมายแก่นาง
ในยามโหย่ว ข้ามีเรื่องจะปรึกษา โปรดมาพบข้าที่ศาลเจ้าแม่หนี่วา
วงคิ้วงามถูกยกขึ้นด้วยความสงสัย ม้วนตำราที่อยู่ในมือถูกม้วนเก็บก่อนที่จะไปเตรียมตัวให้พร้อม อันที่จริงนางมิได้ตระเตรียมอะไรมากมายไปมากกว่าการหยิบหมวกไผ่ผ้าคลุมติดกายมาพร้อม และสุดท้ายนางก็ไป ณ ศาลเจ้าแม่หนี่วาตามที่นัดหมาย ดวงตาสีน้ำตาลเกาลัดแลเห็นบุรุษรู้ร่างคุ้นเคยยืนอยู่ ทว่าวันนี้แลเหมือนจะกระวนกระวายอย่างน่าประหลาด ?
“คุณหนูสาม เจ้ามาแล้ว”
“มีธุระอะไรหรือ ?”
“ธุระของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ คงต้องหน่อยเจ้าหน่อยแล้ว”
เมื่อมือหนาชี้ขึ้นไปบนยอดผาสูงชันร่างเล็กก็อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างอย่างเสียกิริยา เป็นเช่นนี้สักพักก่อนที่จะหรี่ดวงตาลงหันมองคนข้างกายอย่างคาดโทษตาแดงก่ำ
“เป็นสหายกับข้าตลอดการเดินทางมานี้ เจ้าไม่ตรัสรู้ได้เลยหรือว่าข้าเป็นสตรีบอบบางเพียงใดน่ะ”
บอบบางที่ยิงเกาทัณฑ์ปักเศียรปีศาจในคราเดียวน่ะหรือ
เป็นคำที่โจวจินจะไม่เอ่ยออกไปเด็ดขาด เขาทำได้เพียงแค่กล่อมให้นางขึ้นไปจนสุดยอดผาเพื่อไปยังสถานที่ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้สำหรับการ ‘ปรึกษา’ ในครานี้โดยเฉพาะ ครั้นเมื่อทั้งสองก้าวสู่จุดสูงสุดของผาสูงชันที่มีนามว่า ผาหนี่วา แล้วก็ได้ยลโฉมแสงสนธยาแอบไล้เมืองหนานเจ้าทั้งเมืองงดงามอย่างน่าประหลาด ต้องยอมรับว่าทิวทัศน์เช่นนี้ทำให้นางหายเหนื่อยอยู่ชั่วครู่ แต่ก็แค่ชั่วครู่นั่นแหละ…
“ข้ามาเจอที่นี่ตอนที่เดินหาของป่าฆ่าเวลา ว่าจะเอากลับฉางอันด้วยน่ะ”
เมื่อร่างเล็กหันหลังกลับไปเพื่อมองตัวตนเหตุที่ลากนางมาเหนื่อยถึงยอดผาหนี่วาก็พบว่าเขากำลังดึงของออกมาจากแหวนดาราจรัสในส่วนของเขา ทั้งโต๊ะเอย เก้าอี้เอย ปูผ้าผืนสีขาวงดงามและหยิบจานชามออกมาพร้อมกับอาหารหน้าตาประหลาดจนนางนึงสงสัยต้องเดินเข้าไปดู
“นี่คืออะไร”
“เนื้อน่ะ ไว้ตอนเจ้าจะทานมันก็ใช้มีดหั่น”
เอ่ยจบเขาก็วางมีดและส้อมเงินลงข้างจานสองด้าน หยิบเชิงเทียนสีเงินออกมาจุดและวางไว้กลางโต๊ะพร้อมกับข้าง ๆ เป็นแจกันที่ปักดอกไม้ป่างดงามเช่นธรรมชาติสร้างสรรค์เอาไว้ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้นั่งเก้าอี้ที่เขาจัดให้เสีย
เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ไม่ได้นึกหวาดระแวงอะไรสหายของนางก็เดินไปนั่งอย่างว่าง่าย ที่จริงนี่ก็ผ่านจากปลายยามซื่อมานานแล้ว อาหารที่เคยทานเข้าไปรวบทั้งมื้อเช้าและมื้อเที่ยงก็มลายหายไปจากท้องน้อย ๆ เป็นที่เรียบร้อย
“ข้าปรุงมันเพียงแค่เกลือ ส่วนสิ่งที่เพิ่มความหอมให้เนื้อจะเป็นพริกไทยป่น” เขาเอ่ยพร้อมกับโรยพริกไทยป่นให้เป็นอย่างสุดท้ายราวกับเป็นชิ้นส่วนเติมเต็มความอร่อยของมัน
“ถึงจะเป็นของแพงก็เถิด แต่หยิบมาใช้สักนิดสักหน่อยก็ไม่เป็นไรนักหรอก เอ้า ทานได้เลย”
ในหัวของนางที่กำลังประมวลผลต่อเหตุการตรงหน้านั้นก็ทำให้นางดูเหม่อไปชั่วครู่ คนตรงหน้าผู้ตระหนี่กลับควักของแพงมาทำอาหารให้นางน่ะหรือ ถึงแม้ว่าที่โรยลงไปนั้นมันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความแพงของมันก็ตาม ทว่าในเมื่อสหายอุตส่าห์เลี้ยงอาหารเช่นนี้แล้วจะปฏิเสธน้ำใจก็คงดูไม่ดีสักเท่าไหร่จึงได้ลองหยิบจับมีดและส้อมขึ้นมาดู
อาหารตรงหน้าทำให้นางนึกถึงพวกอาหารที่จัดวางเป็นตัวบนโต๊ะใหญ่ของผู้นำเผ่านอกเมือง พวกแกะทั้งยัง ไก่ทั้งตัว แล้วมีมีดให้หั่นหยิบเข้าปาก ทว่าในเมื่ออีกข้างมีส้อม เช่นนั้นหากให้เดาก็คงเป็นการใช้มีดหั่นและให้ส้มจิ้มมันขึ้นมาเข้าปากเสีย เป็นการรับประทานอาหารง่าย ๆ ที่ทำออกมาดูเก้ ๆ กัง ๆ เพราะการจะรับประทานอาหารด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยได้ใช้นักมันต้องอาศัยทักษะและความคุ้นชินในการแสดงกิริยาที่สง่างาม
แสงสนธยาค่อย ๆ เลือนหาย แสงที่ทดแทนนอกจากแสงเทียนแล้วยังแลเห็นแสงสีเหลืองเขียวสดใสกระพริบวิบวับอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ที่แห่งนี้ธรรมชาติสวยงามทั้งยังหากไกลจากผู้คนทำให้หิ่งห้อยพวกนี้ยังคงมีอยู่ค่อนข้างมากทีเดียว หากนับว่าสิ่งใดที่ในเมืองใหญ่ไม่มี ก็คงเป็นธรรมชาติสวยงามที่สมบูรณ์มากถึงเพียงนี้
“เอ่อ…ถึงแม้การเดินทางนี้จะเริ่มต้นจากที่เจ้ามาถามไถ่บุญคุณที่เคยช่วยเหลือข้าไว้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว ข้าขอบคุณเจ้ามาที่เลือกข้า”
“ต้องบอกว่าข้าไม่มีใครที่มีฝีมือพร้อมกับพอจะรู้สึกนิสัยใจคอคร่าว ๆ เท่าเจ้าแล้วมากกว่าจึงบุกร้านเจ้าเช่นนั้น”
“เจ้านี่มันจริง ๆ เลย” โจวจินหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเอ่ยสิ่งที่อยากจะพูดให้นางได้รับฟัง
“การเดินทางนี้ทำให้ข้าได้รู้จุดสุดท้ายของสิ่งที่ติดค้างภายในใจข้ามานาน เจ้าที่อยู่เคียงข้างข้าในวันนั้น…ต้องขอบคุณเจ้ามาก การมีเจ้าอยู่ข้างกายเสมอนั้นทำให้ข้ามีกำลังจะก้าวต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องเจ็บปวดคนเดียว”
“เว่ยเจียเหลียนฮวา หากว่าต่อจากนี้ข้าจะขอก้าวเดินต่อไปโดยที่มีเจ้าเคียงข้างไปจนแก่เฒ่า เจ้าจะว่าเช่นไร ?”
ประโยคที่เขาเอ่ยออกมาทำให้มือเล็กหยุดการหั่นเนื้อชิ้นหนานี้ทันที ดวงตาที่มองเนื้อตรงหน้าค่อย ๆ เลื่อนขึ้นสบกับดวงตาคมของบุรุษผู้เอ่ยสิ่งที่น่าขันที่สุดที่นางได้ยินจากปากของเขา
“แลเห็นว่า ‘เชินเซี่ย’ เอ่ยเป็นกันเองกับเจ้าเข้าหน่อย เจ้าก็จะลืมสิ่งที่เป็นดั่งโซ่ตรวนคล้องขาเชินเซี่ยเชียวรึ”
เป็นการเอ่ยแทนตนเช่นพระสนมในรอบหลายวัน ตลอดระยะเวลาที่ออกจากฉางซานนางไม่เอ่ยสิ่งใดที่เป็นการวางอำนาจเลยแม้เพียงน้อย ทว่า…ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วนางคงต้องเตือนสติเขาให้กลับมาคิดอ่านอีกครั้ง
“เชินเซี่ยคือ พระสนมเสียนอี๋ เป็นเรื่องที่เจ้าก็รู้มิใช่หรือ การเดินทางเคียงข้างยามแก่เฒ่าที่จะให้เจ้าได้ คงเป็นการเดินทางลงโลงที่ไม่อาจฝังข้างกาย โจวจิน เชินเซี่ยมิใช่คุณหนูสามสกุลเว่ยเจียผู้ยังไม่ออกเรือนอีกต่อไปแล้ว”
เว่ยเจียเหลียนฮวาเอ่ยก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อมอบผ้าเช็ดหน้าของนางวางไว้ที่โต๊ะพร้อมกับประโยคสุดท้ายก่อนลุกขึ้นเดินลงจากเขาเพียงผู้เดียว
“ข้าเชื่อมั่นเสมอ เมื่อใดที่พายุโหมกระหน่ำ สุดปลายขอบฟ้าที่สดใสหลังฝนตกจะมีสายรุ้งงดงามเสมอ ข้าเชื่อมั่นว่าในสักว่าเจ้าจะมีสตรีที่ร่วมเดินทางกับเจ้าจนแก่เฒ่าได้ในสักวัน ขอโทษด้วย สหายของข้า”
+100 พลังงาน - ปลดความทรงจำโลกก่อน (อัปเดทความทรงจำด้วย) เกี่ยวกับ เหตุการณ์ ร้านอาหาร หรือ เดทในโลกก่อน