ราวสามสิบปีก่อนต้าฮั่นมีเรื่องเล่าขานถึงวีรสตรีใจกล้าแห่งซีเหลียงบุตรีแม่ทัพไปหลี่ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบุกเบิกเส้นทางองค์รักษ์หญิงและคุ้มครองไทเฮาองค์ปัจจุบันจนสูญเสียดวงตาหนึ่งข้าง บาดแผลสำหรับบุรุษเรียกว่าเกียรติยศขณะสตรีนับเป็นมลทิน เดิมแรกผู้คนโจษจันว่านางไม่พ้นเป็นหม้ายจะมีตระกูลใดสิ้นคิดยอมรับสตรีที่ด่างพร้อยเข้าตระกูล จนเมื่อขบวนสู่ขอจากลั่วหยางลบคำครหานั้นโดยไม่สนเสียงนกเสียงกา ‘ซ่างกวน ซีโหลว’ ประกาศก้องว่า ‘วิสัยทัศน์ของผู้กล้ามองเห็นได้ด้วยใจ’ เขารับเอา ‘ไป๋หลี่ เสวียนอี’ วีรสตรีในเรื่องเล่าเป็นฟูเหรินเพียงหนึ่งเดียวแห่งจวนเจ้ากรมรัษฎากรทั้งปฎิบัติต่อนางด้วยความให้เกียรติ เรื่องราวความรักของทั้งสองกลายเป็นตำนานที่ชาวลั่วหยางต่างซาบซึ้งภาคภูมิ
กลาวถึงตระกูลซ่างกวนแห่งลั่วหยางเป็นที่นับหน้าถือตาในฐานะขุนนางผู้ใจซื่อมือสะอาด บรรพบุรุษสร้างคุณูปการไร้จุดด่างพร้อย ‘ซ่างกวน ซีโหลว’ เจ้ากรมรัษฎากรประมุขตระกูลรุ่นปัจจุบันใช้ชีวิตเรียบง่ายพรั่งพร้อมทั้งภรรยาและทายาทชายหญิงอนาคตไกลทั้งสอง ‘ซ่างกวน ซีเหยียน’ บุตรชายคนโตเลิศในวิชาการรั้งตำแหน่งสมุหราชเลขาประจำพระองค์ ‘ซ่างกวน ฝูฮ่วน’ บุตรีคนรองถนัดเชิงบู๊เหมือนมารดาออกติดตามแม่ทัพผู้เฒ่าไป๋หลี่สร้างความชอบจนเลื่อนยศเป็นขุนพลหญิง มองผิวเผินสกุลซ่างกวนบริบูรณ์พร้อมด้วยความรุ่งเรืองดั่งยุคทองทว่าหากถามพวกเขาถึงสาเหตุล้วนตอบสียงเดียวกันว่า ‘ทุกสิ่งราบรื่นเพราะดาวนำโชคถือกำเนิดในตระกูลเรา’
จงหยวนศกปีที่ 4 วันที่เก้า เดือนเก้า กรุ่นกลิ่นโม่ลี่ฮวากำจายทั่วคฤหาสน์ฟูเหรินซ่างกวนให้กำเนิดธิดาคนเล็กลูกหลงที่ห่างจากพี่น้องคนอื่นร่วมสิบปี เสียงแรกของทารกน้อยนำมาซึ่งข่าวมงคลสามประการ พี่ชายนางเลื่อนตำแหน่งในเมืองหลวง พี่สาวที่หายสาบสูญท่ามกลางศึกชายสามารถแดนรอดชีวิตกลับมา และผู้เป็นบิดาหายจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรังที่ทนทรมานนับปี ‘ซ่างกวน ฝูมี่ • ผู้สวมศิริดั่งภูษา’ คือนามถูกตั้งโดยความรักถนอมหวังเพียงทาริกาในห่อผ้าเกษมสุขทุกคืนวัน เสมือนเหมือนต้นถั่วงอกน้อยที่ดูเปราะบางและมักจะพึ่งพาคนรอบข้างเพื่อเติบโต อยู่ใกล้ใครก็ก็ออดอ้อนเป็นพิเศษ อยู่กับพี่ใหญ่พี่รองอย่างซีเหยียนและฝูฮ่วนก็ยิ่งบอบบางทำตัวเกาะหลังให้อีกฝ่ายเป็นผู้พิทักษ์
ดาวโชคลาภน้อยเติบโตในสายตาของครอบครัวโดยตลอดในลั่วหยาง อาศัยฐานะตระกูลอันทรงเกียรติชีวิตไม่ขาดตกสิ่งใด ด้วยการเป็นคุณหนูน้องเล็กเพียงหนึ่งเดียวนางจึงได้รับความรักอย่างล้นเหลือจากรอบกายและหลงใหลในการ ‘กิน’ สกุลซ่างกวนสอนลูกหลานอย่างไม่เคร่งครัดนัก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยเสียทีเดียว สิ่งใดที่พี่ชายอย่างซีเหยียนถนัด ทำได้ต่อให้เรียนหนังสือ อ่านตำรา หรือแม้แต่ขี่ม้ายิงธนู หากต้องการฝูมี่ก็สามารถทำได้เช่นกัน เด็กน้อยกลับผิดแผกจากสตรีในห้องหอชื่นชอบการติดตามบิดาและพี่ๆ ออกไปงานสังสรรค์ วีรกรรมชวนหัวมากมายที่ได้ก่อไม่ว่าจะแอบหย่อนตัวเองลงในรถขนอาวุธเพื่อไปดูการฝึกในค่ายทหาร พากลุ่มเด็กน้อยร้องเพลงอำนวยพรเหล่าพี่ๆ ทหาร หรือแม้แต่งอแงกอดขาบิดาจากบ้านถึงโถงว่าการเพื่อร้องขอน่องไก่ราดซอสสร้างความเอ็นดูระคนอ่อนใจแก่ผู้พบเห็นจนกลายเป็นขวัญใจตัวน้อยประจำเมือง
‘เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา’
ล่วงเข้าวัยห้าหนาวตัวตนของคุณหนูเล็กจวนซ่างกวนก็เป็นที่จดจำในเทศกาลลอยโคม หนึ่งบทเพลงที่นางขับขานหวังเพียงแต้มรอยยิ้มแก่ครอบครัวกลับมีชื่อเสียงไปทั่วในชื่อ ‘ปิติทำนองแห่งลั่วหยาง’ ข่าวลือมิสู้ยลยินกล่าวกันว่าผู้มีวาสนาได้รับฟังการขับขานในครั้งนั้นล้วนประสบพบเจอแต่เรื่องสุขใจ มีตั้งแต่ สะใภ้ตั้งครรภ์ทายาท คู่รักหวนคืนดี สมบัติที่หายก็ได้กลับมาครอง สิ่งที่โจษจันที่สุดไม่พ้นเรื่องราวของชายขาพิการผู้หนึ่งที่บังเอิญได้ฟังทำนองวรรคทองของคุณหนูสามจวนซ่างกวนวันถัดมาก็กลับเดินได้ราวกับปาติหาริย์ นับจากวันนั้นทุกครั้งในเทศกาลชาวลั่วหยางจะมีธรรมเนียมอย่างไม่เป็นทางการนักคือการรวมตัวโดยมิได้นัดหมายมาฟังบทขับขานที่จวนเจ้ากรมรัฎษากร
ด้วยชื่นชอบเรื่องสนุกนางจึงนั่งฟังเรื่องเล่าในโรงเตี้ยม พบเจอผู้คนหลากหลาย ด้วยเจ้าดวงใจของจวนซ่างกวนไม่ถือตัวผู้คบหากับเด็กน้อยต่างเอ็นดูและเอื้อเฟื้อในความช่างสงสัย บางครั้งนางใฝ่ฝันถึงวันที่ตนได้เข้าสัมผัสเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เหล่านั้นด้วยตนเอง เพราะความที่เป็นเด็กปากหวาน ขี้อ้อน ไม่ถือตัวทั้งยังมีงานอดิเรกชอบช่วยเหลือผู้คนทำให้นางร่ำรวยมิตรสหายแต่เล็ก เมื่อถึงวัยเข้าสำนักศึกษาก็กลายเป็นบุปผาแห่งวงสังคมภาพที่เห็นจนชินตาคือครุณีเน่งน้อยประดับรอยยิ้มในอาภรณ์สีหวานที่มักจะถูกรายล้อมด้วยผู้คนไม่จำกัดเพศวัยราวกับดาวล้อมเดือน
ในกลุ่มสหายต่างวัยที่สนิทกันระดับไปมาหาสู่ก็คือ ‘ลู่ไป๋หรั่น’ คุณหนูคหบดีสกุลลู่ผู้งดงามพริ้มเพราจนได้สมญา ‘เทพธิดาจำแลง’ ขณะที่สมญาของฝูมี่คือ ‘เทพธิดาขับขาน’ ด้วยท่วงทำนองเสียงสวรรค์ที่ผู้ยินยลเพียงครั้งชำระล้างจิตใจไปถึงเสี้ยววิญญาณ ยังมี ‘เว่ยเจีย เหลียนฮวา’ ธิดาเจ้ากรมโยธาธิการผู้ปราดเปรื่อง ‘พหูสูตรน้อย’ แซนซุกซนเป็นที่เอ็นดูของอาจารย์ในสำนัก ความสัมพันธ์ทั้งสามดรุณีถ้อยทีถ้อยอาศัยกิจการงานครอบครัวเพียงส่วนที่ทำให้พวกนางพบพาน ทว่าความจริงใจในมิตรภาพที่มอบให้ผู้ใดเล่าไม่รับรู้ ?
ชีวิตของปักษาสวรรค์ผู้ขับขานใช่ว่ามีเพียงทำนองปิติยินดี นอกจากเป็นที่รักของสิงสาราสัตว์และวิญญาณใฝ่กุศล นับแต่ฝูมี่น้อยอายุได้ห้าหนาวนอกจากสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นแล้ว ทุกคืนแรมจะมีสานส์ที่มาปริศนาถึงจวนซ่างกวนโดยตรงเรียกแทนคุณหนูสามว่า ‘เจ้าสาวผู้ล้ำค่า’ แรกเริ่มพวกเขาคิดว่าเป็นเพียงการล้อเล่นของคนในเมืองจนกระทั่งตรวจสอบหาที่มาที่ไปของผู้ส่งมิได้ ตราประทับหยกนิลประดับอักษรที่ไม่เป็นที่รู้จักในแดนมนุษย์กลิ่นอายมารปีศาจเจือในทุกอักษร บางครั้งมาพร้อมสมบัติและของกำนัลล้ำค่าเจตจำนงค์จะรับตัวนางไป ‘วิวาห์’ เมื่อถึงวัยปักปิ่น
‘ฝันร้าย’ เริ่มขึ้นเมื่อฝูมี่อายุได้สิบสี่หนาวเงาปริศนาในฝันตามไล่ล่านางจนอกสั่นขวัญแขวน ดรุณีน้อยจนปัญญาว่าอีกฝ่ายเป็นใครรู้เพียงว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ เวลาหนึ่งปีเต็มที่คนในตระกูลทุ่มเทเสาะหาหนทางด้วยเวทนาลูกหญิงที่ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตาหลับใต้เท้าซ่างกวนเชิญนักพรตชื่อดังจำนวนมากมาปัดรังควานต่างก็ไร้ผล ครั้งหนึ่งมีผู้สูงส่งนิรนามผ่านมายังเมืองลั่วหยางเขามอบหน้ากากบังตาภูตผีให้คุณหนูสามได้ใช้ป้องกันตัวทว่านั่นก็เพียงหาทางแก้ไขชั่วคราวเท่านั้น
‘ไม่แน่ว่าธิดาท่านถูกจับจ้องด้วยมารร้ายปีศาจทรงฤทธิ์ คนธรรมดาไม่สามารถต่อกรกับพวกนั้นได้.. จะมีก็แต่ผู้ครองปราณที่แข็งแกร่งทัดเทียมจึงสามารถกดข่มสลายพลังอีกฝ่าย’
ต้าฮั่นกว้างใหญ่ผู้ครองปราณที่แข็งแกร่งกลับมีเพียงหยิบมือหนทางยากลำบากไม่อาจเทียบความรักของคนในครอบครัวที่มีต่อฝูมี่ เจ้ากรมรัฎษากรไม่ห่วงเส้นสายเพื่อหนทางรอดของบุตรี มารดานางร่างจดหมายถึง ‘สหายเก่า’ ในวังหลวง ขณะที่ราชเลขาหนุ่มพกความกังวลเข้าท้องพระโรง ขุนพลหญิงออกล่ามารปีศาจระบายความโกรธาต่อพวกมารอยู่นอกชายแดน หนทางข้างหน้าถูกถักทออย่างยุ่งเหยิงในปีที่ซ่างกวนฝูมี่อายุ 15 หนาว นางได้รับคำสั่งและหนทางรอดสายแรกคือการ ‘เข้าวัง’