การเดินทางครั้งนี้ ไม่ง่าย
แม้จะไม่มีผู้ติดตามหรือขบวนใหญ่โตให้ต้องรำคาญใจ แต่การไปกับฮั่นอู่ตี้แค่สองคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ใครคิด ถึงจะรู้ชัดแล้วว่าควรเร่งเดินทางไปสมทบกับพระพี่นางที่มณฑลซูโจวแต่กำหนดการเดินทางกลับถูกดึงจนล่าช้าอย่างไร้เหตุผล อันที่จริงจะกล่าวว่าไร้เหตุผลทั้งหมดก็คงไม่ได้ ฮั่นอู่ตี้สามีนางมีอำนาจคับฟ้า การจะออกเดินทางแต่ละคราย่อมต้องเตรียมการให้พร้อม ต่อให้คิดลักลอบออกไปอย่างเงียบ ๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ในทันที
ใครใช้ให้ฐานันดรของฝ่ายชายสูงส่งถึงเพียงนั้น แผ่นดินไม่อาจขาดการดูแลจากโอรสสวรรค์ ทุกเรื่องสำคัญควรต้องได้ผ่านตาฝ่าบาท แต่บัดนี้ หวงตี้ดีเด่นที่ไม่ไหวหวั่นมาตลอดรัชสมัยกลับต้องการตามชายาสุดที่รักไปยังซูโจว ต่อให้เป็นคนไร้สมองก็ยังรู้ว่าเรื่องนี้ทำได้ไม่ง่าย โชคดียังดี (หรืออาจจะไม่) ที่ฝ่าบาทยังมีน้องชายอยู่อีกหนึ่งรายที่ไม่ใช่ฉางซานเซียนหวาง
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมชิงหมิงผู้นั้นที่.. คล้ายคลึงกับฝ่าบาทอยู่หลายส่วน
“ผู่เยว่ เดินทางครั้งนี้แค่เดินทางก็ไม่ต่ำกว่าสิบวัน หากเว่ยเจียเสียนอี๋กลับมาถึงฉางอันในตอนที่เปิ่นกงไม่อยู่ เจ้าจงมอบจดหมายฉบับนี้ให้กับนาง” แม้ไป๋หรั่นจะไม่ทราบรายละเอียดข้อตกลงของพี่น้องแซ่หลิวและไม่กระจ่างในความสามารถของเถ้าแก่ผู้นั้น แต่ความร้ายกาจของเว่ยเจียเสียนอี๋ ไป๋หรั่นรู้ดียิ่งกว่าใคร —- ‘เด็กคนนั้นฉลาดเกินใครมาตลอด หากผิดสังเกตขึ้นมา เสี่ยวเหลียนฮวาคงกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ กลับกัน.. หากมีนางคอยเป็นเสียงสนับสนุน การมีอยู่ของเขา คงง่ายขึ้นไม่ใช่น้อย’
ถึง—เสี่ยวเหลียนฮวา
เด็กดีของเจี่ยเจีย,
ยามลมเปลี่ยนทิศ ย่อมมีผู้เคลื่อนไหว
แม้ใจจะปรารถนาต้อนรับการกลับมาของเจ้าด้วยตนเอง แต่ฤดูกาลในซูโจวมิอาจนิ่งนอนใจ — ฝั่งฟ้ายังพร่ามัว เจี่ยเจียจำต้องตามเงาผู้แทนโองการฟ้า บัดนี้หากพบคนผู้หนึ่งในคราบมังกร จงจำไว้ว่าเขาเป็นผู้ครองบทบาทที่ถูกกลั่นจากความจำเป็น เส้นด้ายถูกขึงไว้แล้ว เจี่ยเจียได้แต่ฝากฝังเจ้าร่วมแสดงละครฉากนี้ร่วมกันกับเขา อย่าให้ผู้ใดแลเห็นเงื่อมสายก่อนเวลา และเมื่อม่านปิดลง เจี่ยเจียจะรีบกลับไปยืนเคียงเจ้า
—ลู่เจี่ยเจีย
“แล้วก็”
ยังมีอีกฉบับที่นางต้องส่ง
ซ่างกวนฝูมี่ ดวงตาคู่งามของอัครเทวีหม่นลงเมื่อนึกถึงกวางน้อยที่ยังไม่ได้สติ เด็กคนนั้นเข้าวังมาได้ไม่ทันไรก็ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดจนกลายเป็นที่ครหาของคนไปทั่วว่าอาจเป็นคำสาปหรือไม่ก็มนต์ปีศาจ ‘เด็กคนนั้นหากตื่นมาคงเสียขวัญไม่น้อย.. ไปซูโจวครั้งนี้คงต้องหาของบำรุงร่างกายติดมือกลับมาให้นางสักหน่อย’
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณบางอย่าง ไป๋หรั่นเชื่อว่าอีกไม่นาน นางก็คงตื่น
“ฉบับนี้เป็นของซ่างกวนเหม่ยเหริน”
“แต่ว่า—”
“มอบให้เมื่อนางตื่น ส่งถึงมือให้เร็วที่สุด”
ถึง—มี่เอ๋อร์
ยังไม่ทันได้เห็นหน้าน้อย ๆ นั้นสักครา เจ้าหนีหน้าเข้าสู่นิทราเสียก่อนแล้ว มี่เอ๋อร์ วังหลวงนั้นเต็มไปด้วยผืนม่านที่อำพรางซ่อนเร้นพิษ แม้นยามนี้เจี่ยเจียจะมิได้อยู่คอยคุ้มภัยให้เจ้า แต่ก็ยังมีคนผู้หนึ่งที่เจี่ยเจียวางใจ ขอเพียงเจ้ามองให้ดี ย่่อมต้องพบคนคุ้นเคย หากวันใดที่จวนตัวจนไร้ทางเลือก จงจำไว้ว่านางคือด้ายเส้นหนึ่งที่อาจพาเจ้าผ่านพ้นภัยไปได้
ทว่าอีกสิ่งที่เจ้าควรรู้คือ — ฟ้าครามที่เห็น อาจมิใช่ท้องฟ้าที่แท้จริง ผู้ซึ่งแต่งองค์ดั่งหวงตี้อาจมิใช่ผู้ถือครองบัลลังก์ ยามใดที่มิอาจแน่ใจ จงอย่ารีบร้อนเคียงข้างใคร จนกว่าประกาศิตผู้จริงแท้จะมาถึง หรืออย่างน้อยจนกว่าเจี่ยเจีย.. จะกลับไปที่นั่น
มี่เอ๋อร์ — เด็กน้อย เจ้าอยู่ในห้วงคะนึงของเจี่ยเจียเสมอ
แต่การพบเจ้า ณ สถานที่ที่มีแต่เสาหยกกำแพงทอง… กลับเป็นสิ่งที่เจี่ยเจียไม่ปรารถนาให้เกิดขึ้นเลย
เสี่ยวฝูมี่ ผู้มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง
หากยังหายใจอยู่ ก็จงรักษาตนให้คงอยู่เช่นนั้นเถิด
—ลู่เจี่ยเจีย
“สองฉบับนี้จำเป็นต้องถึงมือทั้งสอง เปิ่นกงวางใจให้เจ้าเป็นผู้ส่งด้วยตนเองเท่านั้น ต่อให้มีคำครหาว่าลอบติดต่อก็อย่าได้สนใจ ขอแค่จดหมายถึงมือพวกนางก็พอ” โฉมงามแซ่ลู่กำชับเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงเบาหวิวพลางลดมือลงลูบอาภรณ์เซวียนอวี้ที่ได้มาตั้งแต่ขึ้นเป็นกุ้ยเฟย —- ลำพังเดินทางไกลก็มีเรื่องให้ห่วงมากพอแล้ว ตอนนี้มีทั้งลูก มีทั้งน้อง ใช่ว่าจะมีแค่น้องสาวของตัวเอง น้องชายของสามีก็อยู่ในรายชื่อคนที่นางห่วงด้วยซ้ำ
ไป๋หรั่นหนอ ไป๋หรั่น เกิดเป็นเจ้านี่ไม่ง่ายเลย
“ผู่เยว่ อย่าลืมเรื่องที่กำชับไว้ล่ะ”
ดวงหน้างามของโฉมสะคราญแห่งยุคหันมองนางกำนัลข้างกายแค่เพียงน้อยก่อนจะหยักยิ้มบาง “สุดท้ายแล้วเขาต้องรู้แน่ว่าฝ่าบาทมิได้อยู่ในวัง ระหว่างนี้คงเป็นโอกาสให้สร้างเรื่องได้มากมาย เปิ่นกงไม่สนว่าเขาจะทำสิ่งใด แต่อย่าให้เขายุ่งกับเด็ก ๆ มากเกินไป” รอยยิ้มอ่อนหวานตรงข้ามกับความเด็ดขาดในน้ำเสียง ไป๋หรั่นเอื้อมมือไปหยิบธนูไม้จันทร์บนโต๊ะขึ้นง้างสายช้า ๆ
“เก็บงูพิษไว้ใกล้ตัว” มือบางปล่อยออก เสียงสายธนูแหวกอากาศดังกังวานไปทั่วเรือน “ก็ต้องรู้วิธีตีให้ตาย”
“ทราบแล้วเพคะ” หลี่ผู่เยว่ยอบกายรับคำสั่งโดยไม่คัดค้าน นางกำนัลผู้มากประสบการณ์หันมองไปนอกหน้าต่างตามนายหญิง ก่อนจะพบร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีทมิฬเดินฝ่าความมืดมิดยามราตรีเข้ามาใกล้ตัวเรือนมากขึ้นเรื่อย ๆ ‘กระทั่งฝ่าบาทก็ยังมาถึงแล้ว..’
“พระชายายังต้องการให้หม่อมฉันแจ้งแก่พระโอรส และพระธิดาอย่างที่ทรงฝากฝังไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่เพคะ”
“อืม บอกไปว่าเปิ่นกงมีธุระที่ลั่วหยาง อีกอย่างช่วงนี้เสด็จพ่อของพวกเขาป่วย อย่าอยู่ใกล้ให้มากหากไม่อยากนอนซม” ไป๋หรั่นขยับคันธนูขึ้นสะพายไหล่พร้อมใช้มืออีกข้างหยิบหมวกไผ่ผ้าคลุมและห่อสัมภาระ ก่อนจะหันไปทางชายที่ปรากฏกายพร้อมแสงจันทร์ “คุณชายท่านนี้มาเยือนเรือนสตรีเสียดึกดื่น ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือไม่?”
แค่ก
ไม่ใช่เสียงนางหรือเขา แต่เป็นหลี่ผู่เยว่ที่สำลักอยู่ด้านหลังจนหน้าแดงก่ำ ด้านคุณชายปริศนาที่ก้าวมาอย่างสุขุมเองก็ถึงกับชะงัก คิ้วเรียวบนใบหน้างามดั่งรูปสลักของผู้มาใหม่ยกขึ้นช้า ๆ “เหตุใดจึงมาไม่ได้” เสียงที่คุ้นเคยดังตอบพร้อมระยะห่างที่ลดลงอย่างรวดเร็ว —- ฮั่นอู่ตี้ · หลิวเช่อ กวาดสายตามองตลอดทั้งร่างของชายาก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“มาเถอะ” พระหัตถ์ของโอรสสวรรค์ยื่นออกมารอรับมือของภรรยา “ไปกับข้า”
และหากถามว่าลู่ไป๋หรั่นตอบรับอย่างไร?
นางปีนหน้าต่างออกไปจากเรือนท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนางกำนัลคนสนิทและเสียงหัวเราะในลำคอของสามีที่ยื่นสองแขนออกมารับกายนางได้อย่างทันท่วงที “เด็กโง่” เสียงของเขาพึมพัมอยู่เหนือศีรษะนาง ดวงตาคมเหลือบมองพยานเพียงหนึ่งเดียวในการลักพาตัวชายาเพียงครู่ก่อนจะหลุบลงมองคนในอ้อมแขน “เอะอะก็หาเรื่องเสียแรงเปล่าประโยชน์ คงต้องผูกเจ้าไว้กับม้า”
เดินทางร่วมกับเผด็จการตัวฉกาจแห่งแผ่นดิน
แหม น่าสนุกจริง ๆ (เสียงเรียบ)