[โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์]

[คัดลอกลิงก์]
隐月茶居






โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์

[ ถนนสิบลี้ ]

“ม่านหมอกล้อมเงาต่าง ดวงจันทร์หลบในควันชา กลิ่นหอมซึมถึงกระดูก ลืมโลกเลอะเทอะไปชั่วขณะ”

   สถานที่แห่งกลิ่นหอมนั้นตั้งอยู่บนทางเดินเลียบตรอกตะวันตกของเมืองเก่า โรงชาแห่งนี้เป็นอาคารชั้นเดียวหลังคาทรงแหลมมุงกระเบื้องเคลือบสีเขียวเข้ม หน้าร้านประดับด้วยม่านไหมลวดลายเมฆาทอเงิน เสาไม้เคลือบเงาสลักลายกิ่งเหมยบานรับลมหนาว

   เมื่อยามโหย่วมาเยือน (ช่วง 17:00–19:00 น.) แสงอาทิตย์สีอำพันทอดเฉียงผ่านระแนงไม้ ส่งเงาเป็นริ้วอ่อนบนโต๊ะน้ำชาไม้หอมภายในกลิ่นชาหอมอบอวลในอากาศ เป็นกลิ่นผสมระหว่างเหมยฮวาแห้งที่ถูกอังเบา ๆ กับเฉิงลู่ชิงยา*ชั้นเลิศ เสิร์ฟในถ้วยเคลือบเงางานฝีมือเมืองเตาโจว

   เสียงพิณเหอเซียนลอยแผ่วจากมุมเวทีไม้ไผ่ด้านในสุด เป็นบทเพลงเชื่องช้าเหมือนสายลมเย็นย่ำยามพลบ ร้อยเรียงจังหวะกับเสียงถ้วยกระทบจานรองเบา ๆ ของแขกประจำ ผู้มีทั้งนักเดินทาง บัณฑิต และขุนนางที่มาคลายเหนื่อยระหว่างทาง

   แม้จะอยู่ไม่ไกลจากย่านตลาด แต่บรรยากาศที่นี่กลับสงบสุข เปรียบประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยอยู่หลังม่านเมฆา – มองไม่เห็นชัด แต่รู้สึกถึงแสงเย็นอ่อนโยนไม่เคยเลือนหาย

   * เฉิงลู่ชิงยา ชาชูโรงของโรงชา เป็นชาหน่ออ่อนที่เก็บในยามรุ่งอรุณแรกของฤดูใบไม้ผลิ ณ เชิงเขาเหนือลุ่มน้ำฮั่น บ่มด้วยหมอกเช้า ตากด้วยลมหนาวอ่อน ใบชาถูกคัดด้วยมือเฉพาะยอดหนึ่งตา ปรุงด้วยน้ำแรกจากน้ำค้างที่เก็บจากใบบัวในสวน กลิ่นหอมดุจกลีบดอกเหมยแรกแย้ม รสละมุนปลายลิ้นคล้ายหยกละลาย เย็นแต่ไม่เยียบ ขมแต่ทิ้งหวานรื่นใจ ในยามโหย่ว หากได้จิบหนึ่งจอก รับเสียงพิณเบา ๆ เคียงเงาจันทร์ครึ่งเสี้ยว ผู้ใดเล่าจะไม่หลงใหล?

เล่ากันว่าเถ้าแก่ใหญ่เป็นบุคคลสูงศักดิ์ในวังหลวง




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7654 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-23 20:43
โพสต์ 2025-6-23 20:51:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ ยี่สิบสอง เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามอิ่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์


           โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ยามอิ่ว ยังคงงดงามราวภาพวาดน้ำหมัก ดวงตะวันกำลังคล้อยลงต่ำ แสงทองโรยละมุนลอดผ่านฉากผ้าฝ้ายสีขาวงาช้างที่กั้นแสงจากภายนอกไว้เพียงครึ่งหนึ่ง แสงนั้นทาบเงาอ่อนของหลินหยาบนโต๊ะชาไม้หอมที่ขัดเงาจนสะท้อนมือเรียวของเธอที่วางนิ่งอยู่ตรงข้างถ้วยชาขนาดเล็ก กลิ่นดอกบ๊วยแห้งผสานกลิ่นชาขาวเกรดสูงลอดอวลรอบกายเหมือนหมอกบางที่คลุมจิตใจของหลินหยาที่ยังไม่สงบ

           เธอนั่งอยู่ตรงโต๊ะในสุดของโรงชา มุมที่เงียบที่สุด ห่างจากเวทีขนาดย่อมที่มีนักดนตรีสาวที่นั่งบรรเลงบทเพลงเบา ๆ กลางบรรยากาศที่เรียบงาม งดเสียงของการเจรจาเพราะตั้งใจฟังเพลง ทุกคนพูดคุยกันแผ่วเบา คล้ายกับความนอบน้อมที่โรงชาแห่งนี้เป็นเช่นนี้มาตลอด แต่หลินหยาหาได้สัมผัสกับความสงบของสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ …ไม่เลย

           คำพูดของชายผู้หนึ่งยังคงดังขึ้นในหัวของเธอ ผู้ซึ่งกล่าวกับเธอแล้วทำให้จิตใิจสับสนเพราะคิดอะไรบางอย่างไม่ตก แก้วชาที่ถูกแตะเบา ๆ ตรงขอบโต๊ะ..

           คำพูดที่เหมือนไม่มีค่า..หากไม่ได้อยู่ที่นั้นแล้วจะอยู่ที่ใด

           งั้นหรอ?..

           ประโยคนั้นลอยวงในหัวของเธอ เธอไม่แน่ใจว่าเพราะคำพูดนั้นหรือสายตาที่เขามองเธอมาอย่างแปลกประหลาด เหมือนกับโดนเอาไปเป็นอะไรบางอย่างในเกมของใครบางคน หลินหยาถอนหายใจเบา ๆ แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นแล่นผ่านปลายจมูกของเธอแตะปลายลิ้นอย่างอ่อนโยน แต่ความขื่นบางอย่างกลับไม่ได้มาจากน้ำชา หากแต่มาจากในอก..

           เสียงดนตรีเบื้องหลังนั้นลอยอ้อยอิ่งเช่นละอองหมอกเมฆา บรรเลงเป็นเส้นสายบางอย่างของอารมณ์ที่พาใจหลินหยาล่องลอยอยู่กลางโรงชา แต่แล้ว…

           “แม่นางหลินหยา”

           เสียงทุ่มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง นุ่มแต่มั่นคง จังหวะนั้นหลินหยาชะงักมือจากถ้วยชาแล้วขมวดคิ้ว ราวกับถูกใครเรียกด้วยชื่อจริงในยามที่ใจยังไม่พร้อมจะตอบรับ ใบหน้าของเธอนั้นหันกลับไปช้า ๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนจ้องไปยังชายผู้หนึ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในความเงียบของโรงชาแห่งนี้ เขายืนอยู่ใต้ม่านผ้าสีขาวนวลของเสาไม้ด้านหลัง ร่างสูงในชุดผ้าหยาบลายธรรมดาคล้ายจอมยุทธพเนรจรทั่วไป ผ้าคลุมศีรษะสีน้ำเงินคลุมเงาใบหน้าจนไม่เห็นชัดนักในยามแรงพบ แต่แววตาที่ทอดผ่านรอยผ้าคลุมนั้นกลับเฉียวคม ราวคนที่รู้เรื่องมากกว่าที่ควร..

           หลินหยากระพริบตาริบ ๆ ชา ๆ นิ่งงันอยู่เพียงลมหายใจเดียว ก่อนที่จะมองอีกฝ่ายตาใส ก่อนที่จะเอียงหน้าถามกลับเบา ๆ “ท่านคือ…” แต่เขาดันขัดขึ้นก่อนด้วยถ้อยคำหนึ่งคำ ที่ชะงัดการเคลื่อนไหวของหลินหยาทุกอย่าง

           “ถ้าผู้ที่เจ้าพบในหอเมื่อครู่ เป็นคนที่ข้าขอเตือนเจ้าให้ระวัง เจ้ายังจะเป่าขลุ่ยให้เขาฟังอยู่หรือไม่?” ประโยคนั้นดังขึ้นเบา ๆ แต่หลินหยาเงียบงันราวกับถูกกระชากใจให้หยุดเต้นไปชั่ววูบหนึ่ง ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เขารู้…เขารู้ได้อย่างไร? รู้ว่าเธอพบใครในหอว่านหงเหรินเมื่อครู่ รู้ว่าเธอเคยเป่าขลุ่ยให้เขาฟัง..

           เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าคือท่านชายที่เคยอ่อนโยนในคราบ เว่ยจ้งชิง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เธอไม่รู้จักเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในคราบนั้น..หลินหยาหายใจช้าลงนิดหนึ่ง ความวางตัวที่เคยสงบเริ่มระริกสั่นเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ เธอไม่ได้ตอบกลับในทันที ดวงตาเพ้งมองเขาอย่างระวัง ขณะที่ในคำถามนั้นตีกันในหัวอย่างวุ่นวาย..

           แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามหรือคิดจนจบ ความเงียบก็ถูกทำลายอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มเดิม เสียงที่เหมือนจะคลี่คลายทุกข้อกังขานั้น แต่กลับทำให้หลินหยาจำต้องคิดหนักกว่าเดิมมากนัก

           “ถอนตัวเสียเถอะแม่นาง เลิกทำงานที่หอว่านหงเหรินเสีย คืนนี้เจ้ากลับไปเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ออกจากเมืองทางประตูทิศใต้ รอข้าที่ศาลาจื่อเถิงฮวา หากแม่นางต้องการจะเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง” น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำขอ แต่ก็ไม่ใช่คำสั่ง กลับคล้ายคำชี้แนะของใครบางคนที่เคยยืนอยู่ห่าง ๆ มาตลอด

           หลินหยากำถ้วยชาแน่นขึ้นเล็กน้อย ในหัวตอนนี้เหมือนกับมีอะไรนตีกันไปกันมาเหมือนกับอะไรจะแตกออกจากเส้นเลือดหัวสมอง เธอไม่ได้ตอบในทันที ดวงตาสบเข้าหาเขาเล็กน้อยอย่างไม่อ่อนแอ..แสงสีทองยามอิ่วยังคงอาบทาโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์อย่างอ่อนโยน ม่านผ้าฝ้ายไหวเบาในจังหวะลมพัดเหมือนหายใจร่วมกับเสียงขิมที่บรรเลงอยู่เบื้องล่าง กลิ่นดอกบั๊วแห้งลอยแตะจมูกอีกครั้งเมื่อลมหวนกลับเข้ามา

          “ข้าขอบคุณท่านเจ้าค่ะ..ที่เป็นห่วงข้า” เมื่อคลายความรู้สึกเพียงชั่วครู่ หลินหยากลับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่วนวลในช่วงเสี่ยวนาทีราวกับอารมณ์ของนางผัดเปลี่ยนได้ตามใจนึกคิดไม่อาจต่อติดกันแม้แต่สักอย่าง เสียงของเธอแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์งดงาม ไม่สั่นหรือลังเลแต่สิ่งใด มือเล็กกุมชายผ้าคลุมนั้นของตนเองไว้เบา ๆ ขณะก้าวขึ้นมายืนต่อหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีอ่อนที่ยังคงแจ่มชัดเหมือนดั่งดอกบัวเปียกฝนแต่ไม่โรยรา มันชูช่อ

           “แต่ข้าคิดว่าท่านชายคนนั้น..เขาไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรสำหรับข้ากระมังเจ้าคะ?” น้ำเสียงนั้นมันไม่ใช่การปฎิเสธอย่างดื้อรั้น หากแต่เป็นความคิดจริงแท้จากใจที่ใสซื่อของหญิงสาวคนหนึ่งที่เชื่อว่าโลกใบนี้ คนบางคนอาจจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร้ายกาจเสมอไป ใช่แล้ว หลินหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอก็เหมือนกับนกน้อยที่จะโดนลากเข้ากรงทองเมื่อใดก็ไม่อาจทราบ แต่ความที่นางไม่คิดมากหรืออาจจะคิดมาก..หรืออาจจะแค่ ซื่อบื้อ อย่างเป็นธรรมชาติ

           เธอยิ้มจาง ๆ อย่างไม่ขอโทษหรือโต้แย้ง เพียงแต่แสดงเจคตนาของตนเองด้วยความบริสุทธิ์ใจของนาง “เขาน่ากลัวนิดหน่อยเจ้าค่ะ จริงอยู่ แต่ท่าทางข้าก็เดาไม่ออกเหือนกันว่าเขาอยากได้อะไรจากข้า สตรีที่ไร้ค่า ไม่มีแม้แต่อำนาจหรือชื่อเสียง ข้าว่าเขาคงไม่คิดอะไรกับข้าหรอกเจ้าค่ะ” ดวงตาของนางฉายแววจริงใจ สะท้อนภาพของคนที่เชื่อในความเรียบง่ายของชีวิต ไม่มองตนเองเป็นคนสำคัญ ไม่หลงตัวเอง แต่กลับมีจิตใจที่มั่นคงเหมือนไม้หอมที่ยืนหยัดอยู่ในป่าท่ามกลางพายุ..ดั่งเช่นชื่อของนาง..กฤษณา

           “ขอบคุณท่านจริง ๆ นะเจ้าคะ ที่ท่านมาห้ามข้าไว้ แต่ตอนนี้ ข้าไม่คิดออกจากหอว่านหงเหรินหรือฮางอันหรอกเจ้าค่ะ หากวันใดที่ข้ารู้สึกว่ามันเริ่มแย่แล้ว วันนั้นข้าอาจทำตามคำเตือนของท่านนะเจ้าคะ” นางก้มศีรษะเล็กน้อย คลายจะเคารพผู้พูด แต่ก็เป็นการวางตัวตามแบบของหลินหยา ไม่ลึก ไม่ตื้น ไม่ยั่ว ไม่ห่างเหินแต่จริงใจในอบบของนาง

           ชายตรงหน้านั้นยังไม่ขยับ ไม่ตอบคำเล่าของนาง ไม่เปลี่ยนสีหน้า เขามองเธอเงียบ ๆ ดวงตาคู่นั้นทมอดมองนางดั่งเสือขาวในเงาไผ่ที่สงบนิ่งที่เต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไม่อาจถามออกมาได้..

           …ไร้ค่า?..
           ...ไม่สำคัญ?...

           เว่ยชิงยืนนิ่งอยู่นานเสียจนแม้แต่สายลมเริ่มเปลี่ยนทิศ เขาเบือนหน้าหนีเพียงเล็กน้อย แล้วพึมพำบางอย่างที่หลินหยาไม่มีทางได้ยิน..

           “หากเจ้าไร้ค่า เหตุใดจึงมีคนมากมายจ้องมองเจ้าเหมือนเห็นสมบัติต้องสาปกัน..”

           ชายหนุ่มไม่พูดให้เธอได้ยิน เขากลับหมุนตัว เดินหายไปอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาหายไปในม่านขจองโรงน้ำชา ทิ้งไว้เพียงหญิงสาวที่ยังยืนอยู่กลางสีทองยามอิ่ว ราวกับดอกไม้ที่ยังไม่รู้เลยว่าน้ำในอ่างกำลังถูกเหยียบอย่างเงียบเชียบใต้เงาของบางสิ่ง..

           แต่หลินหยาก็ยังคงเป็นเธอ ยังคงยิ้ม ยังคงเชื่อ และเสียงดนตรีของนางให้ใครก็ตามที่ขอ แม้ว่าสักวัน เสียงนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งเดียวที่ขังหัวใจนางไว้ในชะตาที่กำลังเริ่มเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำก็ตามที…






พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-10] เว่ย ชิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-10] เว่ย ชิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-23 21:01
โพสต์ 21718 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-23 20:51
โพสต์ 21,718 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-23 20:51
โพสต์ 21,718 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-23 20:51
โพสต์ 21,718 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-23 20:51
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 26 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์

อีเว้นท์ ภารกิจ “กลีบเหมยใต้เงาจันทร์”


โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบบนถนนสิบลี้ฝั่งตะวันตก ม่านไหมลวดลายเมฆาทอเงินพริ้วตามแรงลมเบา เผยให้เห็นภายในที่ประดับด้วยโคมทองทรงกลมส่องแสงอบอุ่น รั้วฉลุลายวิจิตรและต้นเหมยในกระถางหินเพิ่มความงามละมุนให้กับสถานที่ กลิ่นชาอุ่นหอมละมุนลอยคลุ้งปนกับกลิ่นไม้หอมเก่าแก่ ราวกับกลิ่นความทรงจำที่ไม่อาจลืม ฉู่ ซ่วนจื่อมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย นางนั่งอยู่ใกล้หน้าต่างที่เปิดรับลมฤดูร้อน ใบหน้าเรียบสงบแต่สายตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ด้านนอก เงาดอกเหมยในกระถางโยกไหวตามจังหวะสายลม เสียงพิณลอยแผ่วจากเวทีไม้ไผ่ด้านในสุด คลอเคล้าไปกับเสียงเบา ๆ ของแขกประจำที่พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


เมื่อหลินหยาเดินเข้ามา นางเห็นพี่ฉู่ยกยิ้มบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศในโรงชาดูอบอุ่นขึ้นทันตา หลินหยาก้าวเข้ามาใกล้ นั่งลงตรงข้ามด้วยรอยยิ้มหวานแต่ซ่อนแววเหนื่อยล้าในดวงตา "พี่ฉู่เรียกข้ามา... มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?" หลินหยาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มแผ่ว


ฉู่ ซ่วนจื่อยกมือส่งสัญญาณให้สาวชานำชาดอกเหมยหิมะขึ้นชื่อของที่นี่มาวางตรงหน้า กลิ่นหอมเย็นของดอกเหมยลอยคลุ้งทันทีที่น้ำชาสีใสไหลลงถ้วย นางยิ้มอ่อนโยน "ข้าเพียงอยากดื่มชากับเจ้า และ...อยากให้เจ้าสงบลงสักหน่อย"


เมื่อถ้วยชาในมือนางแผ่วสัมผัสริมฝีปาก ฉู่ ซ่วนจื่อเกริ่นเล่าด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ทว่าทุกคำเหมือนมีน้ำหนักที่ผ่านการชั่งใจมาแล้ว "เจ้ารู้หรือไม่... ข้าเองก็เคยทำผิดพลาดจนเกือบสูญสิ้นทุกสิ่ง" ดวงตาคู่นั้นทอดมองไกลออกไป ราวกับกำลังย้อนกลับไปในกาลเวลา "ครั้งหนึ่งข้าเคยเชื่อว่าความเด็ดเดี่ยวจะช่วยทุกคนได้ ข้าตัดสินใจ...อย่างที่คิดว่าถูกต้องที่สุด แต่ผลลัพธ์กลับเต็มไปด้วยเลือด ความสูญเสีย และความทรมานที่ฝังอยู่ในใจข้าจนวันนี้" เสียงพิณยังบรรเลงช้า หลินหยานั่งเงียบ ฟังทุกคำด้วยความสนใจ ฉู่ ซ่วนจื่อจึงวางถ้วยชาลง แววตานั้นหันกลับมามองหลินหยา 


"ความทุกข์นั้นข้าเข้าใจดี เด็กน้อยของข้า” ฉู่ ซ่วนจื่อมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะหลังมือหลินหยาเบา ๆ "ความรัก...มันไม่ฟังเหตุผลหรอก หลินหยา บางครั้งมันก็เจ็บร้ายยิ่งกว่าคมกระบี่ ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนเจ้าได้ แต่ข้าจะอยู่ที่นี่...รับฟัง และพาเจ้าออกจากความมืดเมื่อเจ้าหลงทาง" คำพูดนั้นเหมือนดวงจันทร์ที่ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆา แม้ไม่ส่องแสงจ้า แต่ก็อบอุ่นพอที่จะปลดปล่อยน้ำหนักในใจของหลินหยาให้เบาขึ้นทีละน้อย


ฉู่ ซ่วนจื่อยกถ้วยชาในมือขึ้นช้า ๆ ริมฝีปากเรียวแตะขอบถ้วยอย่างสงบ ลมหายใจของนางผสมไปกับไออุ่นของชา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มลึกแต่แฝงความหมายล้ำลึก "ชาดอกเหมยหิมะนี้...เจ้ารู้หรือไม่ หลินหยา? มันมีรสหวานอมขม กลิ่นหอมเย็นราวหิมะ ลึกลงไปกลับมีรสขมแผ่ว รสชาติของมันเหมือนชีวิตคนเรา บางครั้งมอบความสุขแสนหวาน บางครั้งก็ฝากความเจ็บปวดที่แทรกอยู่ในใจ แต่เมื่อเรายอมรับรสทั้งสอง เราก็เข้าใจว่ามันคือความงามของชีวิต"


คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศเงียบงันลงชั่วขณะ หลินหยาก้มมองถ้วยชาในมือตัวเอง แสงอุ่นของน้ำชาสะท้อนในดวงตาเธอ ก่อนจะยิ้มหวานแต่แฝงความอบอุ่นลึกซึ้ง "พี่ฉู่เล่าเรื่องของท่านให้ข้าฟังเช่นนี้...ข้าขอบคุณยิ่งนักเจ้าค่ะ" น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อยแต่ชัดเจน "ข้าเข้าใจแล้วว่าความทุกข์ไม่ได้มีแค่ข้าผู้เดียว ทุกคนต่างก็มีบาดแผลของตัวเอง" เธอเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาหวานทอประกายความเข้าใจและเห็นใจเต็มเปี่ยม 


"พี่ฉู่...ท่านช่วยข้าไว้มากเหลือเกินเจ้าค่ะ ทำให้ข้าไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป" หญิงสาวยื่นมือออกไปแตะเบา ๆ ที่หลังมือของฉู่ ซ่วนจื่อ ยิ้มหวานอย่างจริงใจ "และเพราะเช่นนั้น หากเป็นไปได้ ข้าเองก็อยากช่วยท่านเช่นกัน มีอะไรที่ข้าทำได้ บอกข้าได้เสมอ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ พี่ฉู่ เหมือนที่พี่ฉู่อยู่ข้าง ๆ ข้า"


สายลมอ่อนพัดพากลิ่นชาและดอกเหมยลอยวนรอบตัวทั้งสอง ฉู่ ซ่วนจื่อสบตากับนาง แววตานั้นลึกสงบ แต่ครั้งนี้มีความอบอุ่นที่เผยออกมาชัดเจนขึ้นกว่าทุกครั้ง "เด็กน้อยของข้า...เจ้าทำมากพอแล้ว เพียงเจ้ามีหัวใจเช่นนี้ ข้าก็ได้รับความช่วยเหลือที่ล้ำค่ากว่าทุกสิ่ง"


บทเพลงพิณจากมุมห้องคล้ายจะบรรเลงหวานขึ้น แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านม่านไหมเมฆาทอเงิน ตกกระทบสองร่างที่นั่งตรงข้ามกัน ราวกับภาพวาดแห่งความสงบที่ซ่อนความผูกพันแน่นแฟ้นอยู่ในนั้น 


ก่อนที่ ฉู่ ซ่วนจื่อจะวางถ้วยชาลงอย่างเงียบงัน แสงในดวงตาของนางฉายประกายคล้ายกำลังคิดสิ่งใดลึกซึ้ง ก่อนจะยกยิ้มบางที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความลึกลับ "เช่นนั้น…ตามข้ามาหน่อยเถิด หลินหยา" หลินหยากะพริบตา ดวงตาหวานส่องประกายสงสัยปนตื่นเต้น "ไปที่ใดหรือเจ้าคะ พี่ฉู่?"


เซียนกระบี่ผลิวสันต์เพียงยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามตรง ๆ นางเพียงยกนิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนโต๊ะไม้เป็นสัญญาณ ก่อนเรียกสาวใช้มาชำระค่าเครื่องดื่มและชา ทั้งหมดทำด้วยท่วงท่าสงบงดงามจนแขกคนอื่นอดเหลียวมองไม่ได้ หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ พลิ้วไหวดุจสายลมในเช้าวันใหม่ "เจ้าเพียงตามมา…แล้วเจ้าจะเข้าใจ" หลินหยาลุกตาม นางคว้ากระเป๋าของตน เดินเคียงข้างพี่ฉู่ด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด พวกนางก้าวออกจากโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ ผ่านม่านไหมทอเมฆาที่ปลิวตามแรงลมเล็กน้อย เสียงพิณในโรงชาค่อย ๆ เลือนหายไปจนเหลือเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ บนถนนสิบลี้


เส้นทางฝั่งตอนใต้ทอดยาวใต้ร่มเงาต้นเมเปิ้ลสูงใหญ่ แสงแดดยามสายลอดผ่านใบไม้สีทองแดงระยับเป็นลวดลายบนพื้นดิน ตลอดสองข้างทางมีร้านเล็ก ๆ ที่ขายเครื่องหอม ธูปเทียน และของถวายเรียงราย กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยคลุ้งในอากาศผสมกับกลิ่นดอกไม้สดที่ถูกบูชาตามร้านค้า ฉู่ ซ่วนจื่อก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน ร่างนางเคลื่อนไหวราวกับไร้น้ำหนัก หลินหยาเดินตามอย่างตั้งใจ ระหว่างทางสายตาเธอเหลือบเห็นป้ายไม้เก่าแก่แกะสลักตัวอักษรของศาลเจ้าต่าง ๆ ตั้งเรียงรายไปตามทางศาลเทพโชคลาภ, ศาลเจ้าวารีศักดิ์สิทธิ์… แต่พี่ฉู่ยังคงพานางเดินต่อ จนเมื่อผ่านประตูไม้โค้งที่ประดับด้วยกระดิ่งเงินจำนวนมาก ทั้งสองก็เข้าสู่บริเวณที่สงบยิ่งกว่าเดิม กลางลานกว้างปรากฏศาลเจ้าเก่าแก่หลายหลังตั้งเรียงรายราวกับกำลังเฝ้ามองโลกด้วยสายตาเงียบงัน แสงแดดสะท้อนผิวหลังคากระเบื้องเก่า ขณะที่สายลมพัดกระดิ่งส่งเสียงก้องแผ่วเหมือนคำทักทายจากวิญญาณโบราณ


หลินหยามองไปรอบ ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ "พี่ฉู่…ที่นี่งดงามเหลือเกิน…" ฉู่ ซ่วนจื่อหันมายิ้มให้นาง แววตาคู่นั้นลึกสงบแต่เปล่งประกายความอบอุ่น "ที่นี่คือสถานที่ที่เหล่าเทพเฝ้ามองมนุษย์… ข้าอยากให้เจ้ามาที่นี่ เพราะบางครั้ง…คำตอบไม่ได้อยู่ในใจเราเพียงลำพัง หากอยู่ในสายลมและแสงแดดที่รายล้อมรอบตัวเช่นนี้ มาเถอะ เราจะไปกันต่อ"




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่พาหนูมาที่ที่เขาเป็นเจ้าของ…ใช่ค่ะ น้องไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ 55 โง่อีกฉัน

รางวัล:  (ไอเท็มประกอบฉาก) ชาดอกเหมยหิมะ (ฟื้นฟูจิตใจเล็กน้อย)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 30782 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28
โพสต์ 30,782 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28
โพสต์ 30,782 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28
โพสต์ 30,782 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28
โพสต์ 30,782 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ เมื่อวานซืน 09:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 29 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ เวลา 09.00 - 10.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์

อีเว้นท์ ภารกิจ “มิตรภาพเหนือกาลเวลา”


กลิ่นชาอวลอบอุ่นในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ ละอองไอร้อนจากกาน้ำชาโปร่งใสลอยขึ้นเป็นเส้นบาง เถียนเฟิงเอนกายอย่างสบายแต่สายตาคมคายยังไม่คลายความสนใจจากสตรีที่นั่งตรงข้าม หลินหยาสวมชุดเรียบง่ายสีอ่อน วันนี้นางดูสดชื่นขึ้น ใต้ตาที่เคยบวมจากการร้องไห้แทบหายไป เถียนเฟิงยกยิ้มมุมปาก แซวด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอก “เหตุใดวันนี้เจ้าดูเหมือนคนละคนกับเมื่อคืน ดวงตาไม่บวมแล้ว แถมยังดูมีชีวิตชีวา” หลินหยายกคิ้ว ตอบพลางจิบชาเบา ๆ “ข้าไปยอดเขาหัวซานมาน่ะไปทุกเช้าเลย อากาศดี ทำให้ใจสงบ” เสียงของนางเต็มไปด้วยความสุขเรียบง่าย เถียนเฟิงกระดกคิ้วเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นหมุนในมือ “หัวซานรึ? น่าสนใจ…เจ้าไปเพียงลำพังหรือ”


หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ ดวงตาวาวขึ้นเหมือนเด็กอวดของรัก “ข้าไปกับพี่ฉู่…ฉู่ซ่วนจื่อ นางเป็นเซียนกระบี่แห่งยุค สมญา ‘เซียนกระบี่ผลิวสันต์’ งามจนฟ้าอาย ฝีมือกระบี่ก็ไร้ผู้เทียม ข้าโชคดีที่ได้รู้จักและฝึกบำเพ็ญกับนางบ่อย ๆ”


ชื่อที่ออกจากปากนางทำให้เถียนเฟิงชะงักไปเสี้ยววินาที สายตาคมกริบจ้องเงียบ ๆ ราวกำลังทบทวนข้อมูลที่อยู่ในใจ “ฉู่ซ่วนจื่อ…” เขาพึมพำเรียกชื่อ ก่อนจะหลุบตามองถ้วยชา “แน่นอน ข้าเคยได้ยิน นางเป็นบุคคลที่แม้ราชสำนักยังยำเกรงในวิชา ชื่อเสียงเลื่องลอ ข้าแปลกใจที่เจ้าสนิทกับนาง”


หลินหยาหัวเราะใส ๆ “ท่านเถียนเฟิงควรจะชินแล้วไม่ใช่หรือข้ามีมิตรสหายไปทั่วจริง ๆ” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจในทีพลางยกยิ้มบาง “ข้าชินแล้ว…เพียงแต่ไม่นึกว่าเจ้าจะไปถึงเซียนกระบี่ระดับนั้น” เสียงของเขาเจือความทึ่งปนระคนความห่วงลึก ๆ


หลินหยาหันมามองสายตานั้นแล้วระบายยิ้มอ่อนโยน “อย่าทำหน้าห่วงขนาดนั้นเลย พี่ฉู่เป็นคนดี ข้าอยู่กับนางแล้วสบายใจ”


เถียนเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้า ๆ สายตาคมยังกวาดมองหลินหยาเหมือนจะอ่านใจ “ดีแล้ว…หากเจ้ามีใครที่คอยชี้ทางที่ถูกก็ถือว่าโชคดี ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะไม่ให้ใจพาไปในที่ที่ทำร้ายตัวเองอีก” หลินหยาพยักหน้ารับ ยิ้มบาง “จ้า ๆ ข้าเข้าใจ” บรรยากาศอบอุ่นในโรงชาดูสงบลง ความห่วงที่เถียนเฟิงมีต่อหลินหยาแผ่วเบาในอากาศ ในขณะที่หญิงสาวเองก็รู้สึกถึงความอุ่นใจที่มีคนเฝ้าฟังและห่วงใยนางอย่างแท้จริง…


ในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ กลิ่นชาชั้นดีลอยอบอวลไปทั่วห้อง เถียนเฟิงจิบชาแล้วหันมามองหลินหยาที่นั่งตรงข้ามอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “หลินหยา เจ้าไม่ควรเก็บตัวอยู่อย่างเดียวให้เครียด ลองเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในฉางอันบ้างสิ ไม่ว่าจะเป็นชมการแสดงอุปรากร เข้าสมาคมนักกวี โต้วาทีกับบัณฑิต หรือแม้กระทั่งเรียนวาดภาพ ฝึกฝนการต่อสู้ มันจะเปิดโลกทัศน์ของเจ้า”


หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองเขาแล้วส่งสายตาแปลกประหลาดปนรังเกียจ เหมือนจะบอกว่า คนอย่างข้าน่ะหรือ จะทำอะไรพวกนั้น? เถียนเฟิงที่เห็นปฏิกิริยาของนางถึงกับกดขมับในใจ เขาหวนคิดไปถึงครั้งที่พาหลินหยาไปดูอุปรากร…ภาพหญิงสาวกินเสร็จแล้วหลับเป็นตายยังติดตาอยู่ ส่วนสมาคมนักกวี? เถียนเฟิงแทบหลุดหัวเราะ บทกวีของนางคงมีแต่ชมอาหารกับเหล้า

 

โต้วาทีกับบัณฑิต? เถียนเฟิงลอบถอนหายใจ ลินหยาโต้วาทีได้ก็คงมีแค่เรื่องราคาของกินหรือเงินเท่านั้น ฝึกฝนการต่อสู้? เขามองนางอีกทีอย่างพิจารณา ป่วยอย่างนี้…ไม่มีทางไหว


หลินหยาหยิบจอกชาขึ้นมาจิบพลางมองเขานิ่ง “ใต้เท้า ข้าฟังท่านพูดแล้วก็รู้สึกว่าท่านกำลังจะฆ่าข้าอย่างช้า ๆ ด้วยกิจกรรมพวกนั้น” เถียนเฟิงยกมือกุมขมับแล้วหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่มัน…ข้าปวดหัวกับเจ้าเหลือเกินหลินหยา” หญิงสาวยักไหล่ ส่งรอยยิ้มขี้เล่นปนท้าทาย “ท่านปวดหัวก็เพราะดันคิดว่าจะเข้าใจข้าง่าย ๆ ไง”


“หาสักอย่างเถอะ ข้าขอร้อง ไม่งั้นเจ้าก็เอาแต่คิดฟุ้งซ่าน” หลินหยาเลยหน้ายู่ใส่เถียนเฟิง นางเลยลุกขึ้นไปถามผู้ดูแลร้านว่านางขอใช้เวทีไม้ไผ่ด้านในสุดที่ว่างได้ไหม? เมื่อได้หลินหยาก็เดินขึ้น ก่อนที่จะหยิบขลุ่ยของตนเองออกมา แล้วเริ่มบรรเลงเพลง ร้อยเรียงจังหวะกับเสียงถ้วยกระทบจานรองเบา ๆ ของแขกประจำ ผู้มีทั้งนักเดินทาง บัณฑิต และขุนนางที่มาคลายเหนื่อยระหว่างทาง ต่อหน้าเถียนเฟิง เป็นครั้งสองที่หลินหยาบรรเลงเพลงต่อหน้าฝูงชนหลังจากที่เคยขึ้นแสดงในหอว่านหงเหริน แต่ตอนนี้หลินหยาไม่ใช่นักดนตรีฝึกหัดอีกแล้ว


เถียนเฟิงได้แต่นั่งมองเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยสายตาเหนื่อยใจ แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้…เพราะนี่แหละคือหลินหยาในแบบที่เขารู้จัก เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ละสายตาจากจอกชาในมือแล้วจับจ้องไปยังเวทีไม้ไผ่ด้านในสุดที่หญิงสาวขึ้นไปยืน หลินหยาก้าวอย่างมั่นคง แม้ท่าทีจะยังคงซุกซน แต่แววตากลับนิ่งสงบ ราวกับได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว นางยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก เสียงแรกที่เปล่งออกมาดุจสายลมยามรุ่งสาง ลื่นไหลไปทั่วห้องชา ทำให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงคุยจอแจเมื่อครู่เงียบลงอย่างไม่รู้ตัว แขกที่กำลังยกถ้วยชาค้างไว้ชะงัก หันสายตามายังแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ราวกับถูกมนต์สะกด


ท่วงทำนองเริ่มแรกอ่อนโยนแผ่วเบา คล้ายหยดน้ำค้างยามเช้า แต่ค่อย ๆ ไต่ขึ้นเป็นเสียงที่มีพลัง สะท้อนก้องไปทั่วโรงชา คลื่นพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้แล่นไปทั่วห้อง ชโลมใจคนฟังให้สงบและอิ่มเอม เสียงจังหวะเครื่องถ้วยที่กระทบกันเบา ๆ แทรกเข้ากับทำนองเป็นดุริยางค์ธรรมชาติ แขกบางคนหลับตา ปล่อยให้จิตวิญญาณล่องลอยไปกับเสียงเพลง


เถียนเฟิงมองภาพนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง เขาจิบชาช้า ๆ แต่หัวใจกลับเต้นเป็นจังหวะเดียวกับทำนองที่หลินหยาสร้างขึ้น นี่หรือคือสิ่งที่สัจเทพประทานพร…นางเปล่งประกายยิ่งกว่านักดนตรีใดที่ข้าเคยพบ 


เมื่อบทเพลงดำเนินไป เสียงขลุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเล็กน้อย คล้ายมีคมดาบซ่อนอยู่ในทุกโน้ต จนบัณฑิตผู้หนึ่งถึงกับวางพู่กันลง ขุนนางอีกคนกุมอกแน่นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งทะลุสติของตน ขณะนั้นเถียนเฟิงเอียงศีรษะเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นในรอยยิ้มบาง คำตอบของเจ้า…เจ้าหาแล้ว และมันคือสิ่งที่ทำให้เจ้ายังเป็นหลินหยา


เมื่อบทเพลงจบลง เสียงถอนหายใจพร้อมเสียงปรบมือดังขึ้น หลินหยาลดขลุ่ยลงอย่างสง่างาม รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้านั้นทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนได้รับแสงแดดในยามเช้า เถียนเฟิงเอ่ยเสียงทุ้มจากมุมห้อง “นั่นแหละ…กิจกรรมของเจ้า เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดเสียอีก” 


หลินหยาก้าวลงจากเวที เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วทำหน้าทะเล้น “เห็นไหม ข้าหาเจอแล้วสิ่งที่ข้าทำได้ดี”


เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกจอกชาขึ้น “ใช่ เจ้าทำได้ยอดเยี่ยม หลินหยา…นี่แหละเจ้าในแบบที่เจ้าเป็น” หลินหยานั่งลง ยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นจิบพร้อมส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่เปลี่ยนตัวเองหรอก แต่ข้าจะหาสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นข้า…และวันนี้ข้าเจอแล้ว” เถียนเฟิงพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายอย่างพอใจ “ข้าเพียงอยากให้เจ้าจำไว้ หลินหยา เจ้าคือเจ้า และเจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้ารู้ตัว”


เถียนเฟิงยกจอกชาขึ้นดื่มอีกครั้ง แต่ดวงตาไม่ได้ละไปจากหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเลยสักนิด เขาเห็นทุกสายตาที่พุ่งเข้ามาหาหลินหยา ทั้งสายตาชื่นชมของเหล่านักเดินทาง บัณฑิตผู้หลงใหลในเสียงเพลง หรือแม้แต่ขุนนางที่แสร้งทำเป็นสุภาพแต่แววตากลับส่อแววสนใจชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น มีคนกล้าส่งขนมหวานกับชาอีกหลายถ้วยผ่านเสี่ยวเอ้อห์มาวางบนโต๊ะของพวกเขา แถมยังส่งสายตาเลียบเคียงมาที่หลินหยาราวกับอยากชิงความสนใจ


เถียนเฟิงวางจอกชาลงช้า ๆ พัดขนนกในมือหมุนเล็กน้อยเป็นจังหวะ แววตาเรียบเย็นแต่แฝงแรงกดดันที่ทำให้เสี่ยวเอ้อห์ที่เดินผ่านถึงกับชะงัก ลอบกลืนน้ำลายและรีบถอยไปอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงเรียบต่ำ “วันนี้เจ้าดังเสียจนโรงชานี้แทบจะเปลี่ยนเป็นศาลาสารภาพรักแล้วละหลินหยา” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เอียงศีรษะมองเขา ดวงตาเป็นประกายเหมือนไม่ใส่ใจสายตาคนอื่น “แล้วไงล่ะ ใครเขาจะมองก็ช่างสิ ข้าเล่นเพลง ข้ากินชา ข้าก็ทำของข้า…จะให้ไปใส่ใจคนอื่นทำไมกัน”


เถียนเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย พัดในมือสะบัดเบา ๆ ราวกับปัดอะไรที่มองไม่เห็นออกไป “เจ้ามันช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย” เขาพูดคล้ายถอนหายใจ แต่ปลายน้ำเสียงกลับมีความหงุดหงิดแฝงอยู่ชัดเจน


“ไม่รู้ตัวอะไร ท่านพูดเหมือนข้าไปยั่วยวนใครงั้นแหละ ทั้งที่ข้าแค่นั่งกินขนมกับท่านอยู่ตรงนี้” หลินหยายกคิ้วทำหน้ายียวน


“ยั่วยวนหรือไม่ยั่วยวน ข้าไม่ว่า” เถียนเฟิงตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววคล้ายเสือที่กำลังข่มขวัญฝูงสัตว์รอบ ๆ “แต่ข้ารู้ว่าคนพวกนั้น…กล้ามอง กล้าส่งของให้เจ้า กล้าทำเกินขอบเขตในที่ที่ข้านั่งอยู่ นี่มันหนีเสือมาปะจรเข้ชัด ๆ”


“ท่านนี่มัน…หึงแทนคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรือไง” หลินหยาหัวเราะพรืด น้ำตาเล็ดเพราะขำ


เถียนเฟิงหันมาสบตาเธอ สีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ใช่หึง…แค่ปวดหัว เพราะรู้ว่าถ้าเขารู้เรื่องนี้ มีหวังโรงชานี้ได้กลายเป็นซากเถ้าถ่าน” หลินหยายกมือปิดปาก หัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ท่านนี่นะ ข้าก็ว่าเหมือนกัน ถ้าเขารู้…ข้าคงไม่ได้มานั่งดื่มชาสบายใจแบบนี้หรอก”


เถียนเฟิงกอดอก พิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบหันกวาดไปทั่วห้อง สายตาทุกคู่ที่จ้องมองหลินหยาอยู่ค่อย ๆ หันหนีไปทีละคนราวกับถูกแรงกดดันมองไม่เห็นบีบคอ เถียนเฟิงกระตุกยิ้มบาง “เจ้ากินต่อเถอะ ข้าจะทำให้คนพวกนี้เลิกสนใจเจ้าเอง”


“โอ๊ย…ท่านนี่มันทั้งปวดหัวทั้งขี้หวงแทนคนอื่นจริง ๆ” หลินหยาส่ายหัวหัวเราะพลางหยิบขนมมากินต่อ แต่ในใจเถียนเฟิงกลับครุ่นคิด มิตรภาพกับเจ้า…มันช่างยากเหลือเกินหลินหยา เจ้าเป็นแค่เจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีแรงดึงดูดมหาศาลแค่ไหน


บรรยากาศภายในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ยังคงเงียบสงบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชาอบอวลทั่วห้อง เสียงลมพัดผ้าม่านไหวแผ่วเบา ทำให้ยิ่งดูเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักใจ ทว่าหลินหยากับเถียนเฟิงกลับไม่รู้เลยว่าใต้เงาม่านบางแห่งนี้มีเงาบุรุษผู้หนึ่งที่ชื่อของเขาสามารถทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักตัวสั่น...และเขาเป็นเจ้าของโรงชาแห่งนี้โดยที่ทั้งสองไม่ทันระแคะระคาย


หลินหยายกแก้วชาขึ้นจิบเบา ๆ นัยน์ตาสุกใสคล้ายสบายใจสุดขีดจนลืมทุกความหนักหน่วงในใจไปชั่วขณะ เถียนเฟิงมองนางแล้วถอนหายใจน้อย ๆ พลางหมุนพัดในมือ “เจ้าเล่นขลุ่ยได้เพียงกิจกรรมเดียว มันไม่พอหรอกหลินหยา เจ้าต้องหาสิ่งอื่นให้ตัวเองทำบ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะคิดฟุ้งซ่านเรื่องพวกนั้นอยู่ร่ำไป” หญิงสาววางแก้วชา เอียงคอทำหน้าคิดคล้ายเด็กน้อย “แล้วจะให้ข้าทำอะไรเล่า? ดูกวีก็หลับ โต้วาทีหัวสมองปลาทู ต่อสู้ข้าก็สู้ลมไม่ไหว วาดรูป…อืม…วาดทีไรออกมาเป็นรูปอาหารทุกที”


“นั่นแหละปัญหา เจ้าไม่ลองหาอะไรที่เจ้าไม่ถนัดบ้างเล่า? บางทีความท้าทายอาจทำให้เจ้ามีสิ่งใหม่ให้ยึด” เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเอ็นดู


หลินหยาหรี่ตาใส่ “ท่านนี่ชอบสั่งสอนจังนะ ข้าเป็นสตรีนะจะให้ไปหัดยิงธนู หัดกระโดดบนหลังม้าไหมเล่า?”


“ก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ?” เถียนเฟิงกระตุกยิ้ม “ข้าสามารถหาครูสอนดี ๆ ให้เจ้าได้”


“เฮอะ! ครูดี ๆ ของท่านจะไม่ทำให้ข้าตายคาอานม้าก่อนหรือ?” หลินหยากอดอก ขยับตัวเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างหงุดหงิดนิด ๆ แต่รอยยิ้มยังเจือความขี้เล่นอยู่


เถียนเฟิงมองนางแล้วส่ายหัวเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนฉายแววเหนื่อยใจ “เจ้ามันดื้อยิ่งกว่าม้าพยศเสียอีก” หลินหยาหัวเราะคิกคัก “ก็เพราะข้าเป็นหลินหยายังไงล่ะ ไม่ใช่ใครอื่น” ทั้งสองพูดคุยกันไปอย่างเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันทุกแง่มุม ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังม่านชั้นในสุดภายในวังหลวง มีสายตาคมกริบจับจ้องมาที่อย่างเย็นเยียบ แววตานั้นหากรู้เรื่องนี้คงทั้งสั่นคลอนด้วยแรงหึงหวงที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่ง หากข่าวนี้เล็ดลอดไปถึงคน ๆ นั้นจริง...คลื่นลมคงได้ปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


หลินหยาหน้ายู่เธอมองหน้าเถียนเฟิง แล้วคิดว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายหลินหยาก็นึกออก เธอเลยนั่งนับเหรียญอู่จู ตำลึงทอง ตำลึงเงินของตัวเองเล่น..เหมือนแบบคนมองเห็นเงินแล้วสบายใจแทน  เถียนเฟิงยกคิ้วขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นหลินหยาล้วงถุงเงินออกมาแล้วเทเหรียญอู่จู ตำลึงเงิน และตำลึงทองออกมากองบนโต๊ะไม้ไผ่ กลิ่นชาอบอวลผสมกับเสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งคล้ายเพลงประกอบพิธีกรรมของนางสาวผู้รักเงินจนล้นหัวใจ หญิงสาวนั่งไขว่ห้างพลางเริ่มนับทีละกอง “อู่จูหนึ่งร้อย…อู่จูสองร้อย…ตำลึงเงินหนึ่ง…อื้อหือ สบายใจจริง ๆ” แก้มของเธอย่นนิด ๆ อย่างคนอารมณ์ดี ยามที่นับเงินจนครบก็ยิ้มหวานเหมือนเจอแสงแห่งชีวิต


เถียนเฟิงนั่งมองภาพตรงหน้าพร้อมกุมขมับเบา ๆ พัดในมือหยุดนิ่ง เขาเอ่ยเสียงเรียบที่แฝงความขำขัน “หลินหยา นี่เจ้ากำลังคลายเครียดด้วยการนับเงินงั้นหรือ?” หลินหยาเหลือบตามองเขา พลางยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อน “แล้วทำไมเล่า? เวลาข้าเห็นเงิน ข้ารู้สึกว่าชีวิตยังมีหวัง ไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องขอใคร นี่แหละสิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุข”


“เจ้ามีวิธีปลอบใจตัวเองที่…แปลกเกินไปแล้ว” เถียนเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่รอยยิ้มมุมปากก็หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับเจ้าแล้ว”


“พูดอะไรก็พูดไปสิ” หลินหยาตอบอย่างกวน ๆ ขณะเก็บเหรียญเรียงเป็นกองเล็กกองน้อย “ข้าจะนับต่อจนจบ” ยนเฟิงส่ายหัวเบา ๆ มองภาพหญิงสาวที่มีความสุขกับเงินก้อนเล็กก้อนน้อยราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เขาเอนหลังพิงพนัก ปล่อยให้นางนับเงินต่อไปอย่างใจเย็น…แม้ในใจจะบ่นไม่หยุดว่า นี่มันเพื่อนข้าเองจริง ๆ หรือ…




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


ความชำนาญศาสตร์การดนตรี

ทุกการโรลเพลย์บรรเลงดนตรี 10,000 ไบต์ให้ฝูงชนฟังได้รับ

ตัวคุณได้รับ (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง +30 พลังใจ หรือ +5 คุณธรรม) = 5 x 5 = +25 คุณธรรม


อื่น ๆ: เพราะผู้หญิงฮิวใจ ทำให้เรากำลังรู้สึกได้รับความรักที่ดี เขิน


รางวัล: "บัตรเข้าชมการแสดงอุปรากร" (ไอเท็มประกอบฉาก), + 25 คุณธรรม

(ถ้าค่าคุณธรรมเท่ากับชื่อเสียงนี้คือหลินหยาดังมากนะ 20k)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +25 คุณธรรม โพสต์ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
โพสต์ 65,171 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว
โพสต์ 65,171 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว
โพสต์ 65,171 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว
โพสต์ 65,171 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 11 ชั่วโมงที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้