
วันที่ 29 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซื่อ เวลา 09.00 - 10.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์
อีเว้นท์ ภารกิจ “มิตรภาพเหนือกาลเวลา”
กลิ่นชาอวลอบอุ่นในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ ละอองไอร้อนจากกาน้ำชาโปร่งใสลอยขึ้นเป็นเส้นบาง เถียนเฟิงเอนกายอย่างสบายแต่สายตาคมคายยังไม่คลายความสนใจจากสตรีที่นั่งตรงข้าม หลินหยาสวมชุดเรียบง่ายสีอ่อน วันนี้นางดูสดชื่นขึ้น ใต้ตาที่เคยบวมจากการร้องไห้แทบหายไป เถียนเฟิงยกยิ้มมุมปาก แซวด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอก “เหตุใดวันนี้เจ้าดูเหมือนคนละคนกับเมื่อคืน ดวงตาไม่บวมแล้ว แถมยังดูมีชีวิตชีวา” หลินหยายกคิ้ว ตอบพลางจิบชาเบา ๆ “ข้าไปยอดเขาหัวซานมาน่ะไปทุกเช้าเลย อากาศดี ทำให้ใจสงบ” เสียงของนางเต็มไปด้วยความสุขเรียบง่าย เถียนเฟิงกระดกคิ้วเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นหมุนในมือ “หัวซานรึ? น่าสนใจ…เจ้าไปเพียงลำพังหรือ”
หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ ดวงตาวาวขึ้นเหมือนเด็กอวดของรัก “ข้าไปกับพี่ฉู่…ฉู่ซ่วนจื่อ นางเป็นเซียนกระบี่แห่งยุค สมญา ‘เซียนกระบี่ผลิวสันต์’ งามจนฟ้าอาย ฝีมือกระบี่ก็ไร้ผู้เทียม ข้าโชคดีที่ได้รู้จักและฝึกบำเพ็ญกับนางบ่อย ๆ”
ชื่อที่ออกจากปากนางทำให้เถียนเฟิงชะงักไปเสี้ยววินาที สายตาคมกริบจ้องเงียบ ๆ ราวกำลังทบทวนข้อมูลที่อยู่ในใจ “ฉู่ซ่วนจื่อ…” เขาพึมพำเรียกชื่อ ก่อนจะหลุบตามองถ้วยชา “แน่นอน ข้าเคยได้ยิน นางเป็นบุคคลที่แม้ราชสำนักยังยำเกรงในวิชา ชื่อเสียงเลื่องลอ ข้าแปลกใจที่เจ้าสนิทกับนาง”
หลินหยาหัวเราะใส ๆ “ท่านเถียนเฟิงควรจะชินแล้วไม่ใช่หรือข้ามีมิตรสหายไปทั่วจริง ๆ” เถียนเฟิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจในทีพลางยกยิ้มบาง “ข้าชินแล้ว…เพียงแต่ไม่นึกว่าเจ้าจะไปถึงเซียนกระบี่ระดับนั้น” เสียงของเขาเจือความทึ่งปนระคนความห่วงลึก ๆ
หลินหยาหันมามองสายตานั้นแล้วระบายยิ้มอ่อนโยน “อย่าทำหน้าห่วงขนาดนั้นเลย พี่ฉู่เป็นคนดี ข้าอยู่กับนางแล้วสบายใจ”
เถียนเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้า ๆ สายตาคมยังกวาดมองหลินหยาเหมือนจะอ่านใจ “ดีแล้ว…หากเจ้ามีใครที่คอยชี้ทางที่ถูกก็ถือว่าโชคดี ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะไม่ให้ใจพาไปในที่ที่ทำร้ายตัวเองอีก” หลินหยาพยักหน้ารับ ยิ้มบาง “จ้า ๆ ข้าเข้าใจ” บรรยากาศอบอุ่นในโรงชาดูสงบลง ความห่วงที่เถียนเฟิงมีต่อหลินหยาแผ่วเบาในอากาศ ในขณะที่หญิงสาวเองก็รู้สึกถึงความอุ่นใจที่มีคนเฝ้าฟังและห่วงใยนางอย่างแท้จริง…
ในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ กลิ่นชาชั้นดีลอยอบอวลไปทั่วห้อง เถียนเฟิงจิบชาแล้วหันมามองหลินหยาที่นั่งตรงข้ามอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า “หลินหยา เจ้าไม่ควรเก็บตัวอยู่อย่างเดียวให้เครียด ลองเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในฉางอันบ้างสิ ไม่ว่าจะเป็นชมการแสดงอุปรากร เข้าสมาคมนักกวี โต้วาทีกับบัณฑิต หรือแม้กระทั่งเรียนวาดภาพ ฝึกฝนการต่อสู้ มันจะเปิดโลกทัศน์ของเจ้า”
หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบตามองเขาแล้วส่งสายตาแปลกประหลาดปนรังเกียจ เหมือนจะบอกว่า คนอย่างข้าน่ะหรือ จะทำอะไรพวกนั้น? เถียนเฟิงที่เห็นปฏิกิริยาของนางถึงกับกดขมับในใจ เขาหวนคิดไปถึงครั้งที่พาหลินหยาไปดูอุปรากร…ภาพหญิงสาวกินเสร็จแล้วหลับเป็นตายยังติดตาอยู่ ส่วนสมาคมนักกวี? เถียนเฟิงแทบหลุดหัวเราะ บทกวีของนางคงมีแต่ชมอาหารกับเหล้า
โต้วาทีกับบัณฑิต? เถียนเฟิงลอบถอนหายใจ หลินหยาโต้วาทีได้ก็คงมีแค่เรื่องราคาของกินหรือเงินเท่านั้น ฝึกฝนการต่อสู้? เขามองนางอีกทีอย่างพิจารณา ป่วยอย่างนี้…ไม่มีทางไหว
หลินหยาหยิบจอกชาขึ้นมาจิบพลางมองเขานิ่ง “ใต้เท้า ข้าฟังท่านพูดแล้วก็รู้สึกว่าท่านกำลังจะฆ่าข้าอย่างช้า ๆ ด้วยกิจกรรมพวกนั้น” เถียนเฟิงยกมือกุมขมับแล้วหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่มัน…ข้าปวดหัวกับเจ้าเหลือเกินหลินหยา” หญิงสาวยักไหล่ ส่งรอยยิ้มขี้เล่นปนท้าทาย “ท่านปวดหัวก็เพราะดันคิดว่าจะเข้าใจข้าง่าย ๆ ไง”
“หาสักอย่างเถอะ ข้าขอร้อง ไม่งั้นเจ้าก็เอาแต่คิดฟุ้งซ่าน” หลินหยาเลยหน้ายู่ใส่เถียนเฟิง นางเลยลุกขึ้นไปถามผู้ดูแลร้านว่านางขอใช้เวทีไม้ไผ่ด้านในสุดที่ว่างได้ไหม? เมื่อได้หลินหยาก็เดินขึ้น ก่อนที่จะหยิบขลุ่ยของตนเองออกมา แล้วเริ่มบรรเลงเพลง ร้อยเรียงจังหวะกับเสียงถ้วยกระทบจานรองเบา ๆ ของแขกประจำ ผู้มีทั้งนักเดินทาง บัณฑิต และขุนนางที่มาคลายเหนื่อยระหว่างทาง ต่อหน้าเถียนเฟิง เป็นครั้งสองที่หลินหยาบรรเลงเพลงต่อหน้าฝูงชนหลังจากที่เคยขึ้นแสดงในหอว่านหงเหริน แต่ตอนนี้หลินหยาไม่ใช่นักดนตรีฝึกหัดอีกแล้ว
เถียนเฟิงได้แต่นั่งมองเพื่อนสนิทคนนี้ด้วยสายตาเหนื่อยใจ แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้…เพราะนี่แหละคือหลินหยาในแบบที่เขารู้จัก เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ละสายตาจากจอกชาในมือแล้วจับจ้องไปยังเวทีไม้ไผ่ด้านในสุดที่หญิงสาวขึ้นไปยืน หลินหยาก้าวอย่างมั่นคง แม้ท่าทีจะยังคงซุกซน แต่แววตากลับนิ่งสงบ ราวกับได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว นางยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก เสียงแรกที่เปล่งออกมาดุจสายลมยามรุ่งสาง ลื่นไหลไปทั่วห้องชา ทำให้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงคุยจอแจเมื่อครู่เงียบลงอย่างไม่รู้ตัว แขกที่กำลังยกถ้วยชาค้างไว้ชะงัก หันสายตามายังแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ราวกับถูกมนต์สะกด
ท่วงทำนองเริ่มแรกอ่อนโยนแผ่วเบา คล้ายหยดน้ำค้างยามเช้า แต่ค่อย ๆ ไต่ขึ้นเป็นเสียงที่มีพลัง สะท้อนก้องไปทั่วโรงชา คลื่นพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้แล่นไปทั่วห้อง ชโลมใจคนฟังให้สงบและอิ่มเอม เสียงจังหวะเครื่องถ้วยที่กระทบกันเบา ๆ แทรกเข้ากับทำนองเป็นดุริยางค์ธรรมชาติ แขกบางคนหลับตา ปล่อยให้จิตวิญญาณล่องลอยไปกับเสียงเพลง
เถียนเฟิงมองภาพนั้นด้วยสายตาลึกซึ้ง เขาจิบชาช้า ๆ แต่หัวใจกลับเต้นเป็นจังหวะเดียวกับทำนองที่หลินหยาสร้างขึ้น นี่หรือคือสิ่งที่สัจเทพประทานพร…นางเปล่งประกายยิ่งกว่านักดนตรีใดที่ข้าเคยพบ
เมื่อบทเพลงดำเนินไป เสียงขลุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเล็กน้อย คล้ายมีคมดาบซ่อนอยู่ในทุกโน้ต จนบัณฑิตผู้หนึ่งถึงกับวางพู่กันลง ขุนนางอีกคนกุมอกแน่นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งทะลุสติของตน ขณะนั้นเถียนเฟิงเอียงศีรษะเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นในรอยยิ้มบาง คำตอบของเจ้า…เจ้าหาแล้ว และมันคือสิ่งที่ทำให้เจ้ายังเป็นหลินหยา
เมื่อบทเพลงจบลง เสียงถอนหายใจพร้อมเสียงปรบมือดังขึ้น หลินหยาลดขลุ่ยลงอย่างสง่างาม รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้านั้นทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนได้รับแสงแดดในยามเช้า เถียนเฟิงเอ่ยเสียงทุ้มจากมุมห้อง “นั่นแหละ…กิจกรรมของเจ้า เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
หลินหยาก้าวลงจากเวที เดินกลับมาที่โต๊ะแล้วทำหน้าทะเล้น “เห็นไหม ข้าหาเจอแล้วสิ่งที่ข้าทำได้ดี”
เถียนเฟิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกจอกชาขึ้น “ใช่ เจ้าทำได้ยอดเยี่ยม หลินหยา…นี่แหละเจ้าในแบบที่เจ้าเป็น” หลินหยานั่งลง ยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นจิบพร้อมส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่เปลี่ยนตัวเองหรอก แต่ข้าจะหาสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นข้า…และวันนี้ข้าเจอแล้ว” เถียนเฟิงพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายอย่างพอใจ “ข้าเพียงอยากให้เจ้าจำไว้ หลินหยา เจ้าคือเจ้า และเจ้ามีค่ามากกว่าที่เจ้ารู้ตัว”
เถียนเฟิงยกจอกชาขึ้นดื่มอีกครั้ง แต่ดวงตาไม่ได้ละไปจากหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเลยสักนิด เขาเห็นทุกสายตาที่พุ่งเข้ามาหาหลินหยา ทั้งสายตาชื่นชมของเหล่านักเดินทาง บัณฑิตผู้หลงใหลในเสียงเพลง หรือแม้แต่ขุนนางที่แสร้งทำเป็นสุภาพแต่แววตากลับส่อแววสนใจชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น มีคนกล้าส่งขนมหวานกับชาอีกหลายถ้วยผ่านเสี่ยวเอ้อห์มาวางบนโต๊ะของพวกเขา แถมยังส่งสายตาเลียบเคียงมาที่หลินหยาราวกับอยากชิงความสนใจ
เถียนเฟิงวางจอกชาลงช้า ๆ พัดขนนกในมือหมุนเล็กน้อยเป็นจังหวะ แววตาเรียบเย็นแต่แฝงแรงกดดันที่ทำให้เสี่ยวเอ้อห์ที่เดินผ่านถึงกับชะงัก ลอบกลืนน้ำลายและรีบถอยไปอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงเรียบต่ำ “วันนี้เจ้าดังเสียจนโรงชานี้แทบจะเปลี่ยนเป็นศาลาสารภาพรักแล้วละหลินหยา” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ เอียงศีรษะมองเขา ดวงตาเป็นประกายเหมือนไม่ใส่ใจสายตาคนอื่น “แล้วไงล่ะ ใครเขาจะมองก็ช่างสิ ข้าเล่นเพลง ข้ากินชา ข้าก็ทำของข้า…จะให้ไปใส่ใจคนอื่นทำไมกัน”
เถียนเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย พัดในมือสะบัดเบา ๆ ราวกับปัดอะไรที่มองไม่เห็นออกไป “เจ้ามันช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย” เขาพูดคล้ายถอนหายใจ แต่ปลายน้ำเสียงกลับมีความหงุดหงิดแฝงอยู่ชัดเจน
“ไม่รู้ตัวอะไร ท่านพูดเหมือนข้าไปยั่วยวนใครงั้นแหละ ทั้งที่ข้าแค่นั่งกินขนมกับท่านอยู่ตรงนี้” หลินหยายกคิ้วทำหน้ายียวน
“ยั่วยวนหรือไม่ยั่วยวน ข้าไม่ว่า” เถียนเฟิงตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววคล้ายเสือที่กำลังข่มขวัญฝูงสัตว์รอบ ๆ “แต่ข้ารู้ว่าคนพวกนั้น…กล้ามอง กล้าส่งของให้เจ้า กล้าทำเกินขอบเขตในที่ที่ข้านั่งอยู่ นี่มันหนีเสือมาปะจรเข้ชัด ๆ”
“ท่านนี่มัน…หึงแทนคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรือไง” หลินหยาหัวเราะพรืด น้ำตาเล็ดเพราะขำ
เถียนเฟิงหันมาสบตาเธอ สีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ใช่หึง…แค่ปวดหัว เพราะรู้ว่าถ้าเขารู้เรื่องนี้ มีหวังโรงชานี้ได้กลายเป็นซากเถ้าถ่าน” หลินหยายกมือปิดปาก หัวเราะคิกคักอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ท่านนี่นะ ข้าก็ว่าเหมือนกัน ถ้าเขารู้…ข้าคงไม่ได้มานั่งดื่มชาสบายใจแบบนี้หรอก”
เถียนเฟิงกอดอก พิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบหันกวาดไปทั่วห้อง สายตาทุกคู่ที่จ้องมองหลินหยาอยู่ค่อย ๆ หันหนีไปทีละคนราวกับถูกแรงกดดันมองไม่เห็นบีบคอ เถียนเฟิงกระตุกยิ้มบาง “เจ้ากินต่อเถอะ ข้าจะทำให้คนพวกนี้เลิกสนใจเจ้าเอง”
“โอ๊ย…ท่านนี่มันทั้งปวดหัวทั้งขี้หวงแทนคนอื่นจริง ๆ” หลินหยาส่ายหัวหัวเราะพลางหยิบขนมมากินต่อ แต่ในใจเถียนเฟิงกลับครุ่นคิด มิตรภาพกับเจ้า…มันช่างยากเหลือเกินหลินหยา เจ้าเป็นแค่เจ้าตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีแรงดึงดูดมหาศาลแค่ไหน
บรรยากาศภายในโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ยังคงเงียบสงบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชาอบอวลทั่วห้อง เสียงลมพัดผ้าม่านไหวแผ่วเบา ทำให้ยิ่งดูเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักใจ ทว่าหลินหยากับเถียนเฟิงกลับไม่รู้เลยว่าใต้เงาม่านบางแห่งนี้มีเงาบุรุษผู้หนึ่งที่ชื่อของเขาสามารถทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักตัวสั่น...และเขาเป็นเจ้าของโรงชาแห่งนี้โดยที่ทั้งสองไม่ทันระแคะระคาย
หลินหยายกแก้วชาขึ้นจิบเบา ๆ นัยน์ตาสุกใสคล้ายสบายใจสุดขีดจนลืมทุกความหนักหน่วงในใจไปชั่วขณะ เถียนเฟิงมองนางแล้วถอนหายใจน้อย ๆ พลางหมุนพัดในมือ “เจ้าเล่นขลุ่ยได้เพียงกิจกรรมเดียว มันไม่พอหรอกหลินหยา เจ้าต้องหาสิ่งอื่นให้ตัวเองทำบ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะคิดฟุ้งซ่านเรื่องพวกนั้นอยู่ร่ำไป” หญิงสาววางแก้วชา เอียงคอทำหน้าคิดคล้ายเด็กน้อย “แล้วจะให้ข้าทำอะไรเล่า? ดูกวีก็หลับ โต้วาทีหัวสมองปลาทู ต่อสู้ข้าก็สู้ลมไม่ไหว วาดรูป…อืม…วาดทีไรออกมาเป็นรูปอาหารทุกที”
“นั่นแหละปัญหา เจ้าไม่ลองหาอะไรที่เจ้าไม่ถนัดบ้างเล่า? บางทีความท้าทายอาจทำให้เจ้ามีสิ่งใหม่ให้ยึด” เถียนเฟิงหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเอ็นดู
หลินหยาหรี่ตาใส่ “ท่านนี่ชอบสั่งสอนจังนะ ข้าเป็นสตรีนะจะให้ไปหัดยิงธนู หัดกระโดดบนหลังม้าไหมเล่า?”
“ก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ?” เถียนเฟิงกระตุกยิ้ม “ข้าสามารถหาครูสอนดี ๆ ให้เจ้าได้”
“เฮอะ! ครูดี ๆ ของท่านจะไม่ทำให้ข้าตายคาอานม้าก่อนหรือ?” หลินหยากอดอก ขยับตัวเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างหงุดหงิดนิด ๆ แต่รอยยิ้มยังเจือความขี้เล่นอยู่
เถียนเฟิงมองนางแล้วส่ายหัวเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนฉายแววเหนื่อยใจ “เจ้ามันดื้อยิ่งกว่าม้าพยศเสียอีก” หลินหยาหัวเราะคิกคัก “ก็เพราะข้าเป็นหลินหยายังไงล่ะ ไม่ใช่ใครอื่น” ทั้งสองพูดคุยกันไปอย่างเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันทุกแง่มุม ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังม่านชั้นในสุดภายในวังหลวง มีสายตาคมกริบจับจ้องมาที่อย่างเย็นเยียบ แววตานั้นหากรู้เรื่องนี้คงทั้งสั่นคลอนด้วยแรงหึงหวงที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่ง หากข่าวนี้เล็ดลอดไปถึงคน ๆ นั้นจริง...คลื่นลมคงได้ปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลินหยาหน้ายู่เธอมองหน้าเถียนเฟิง แล้วคิดว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายหลินหยาก็นึกออก เธอเลยนั่งนับเหรียญอู่จู ตำลึงทอง ตำลึงเงินของตัวเองเล่น..เหมือนแบบคนมองเห็นเงินแล้วสบายใจแทน เถียนเฟิงยกคิ้วขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นหลินหยาล้วงถุงเงินออกมาแล้วเทเหรียญอู่จู ตำลึงเงิน และตำลึงทองออกมากองบนโต๊ะไม้ไผ่ กลิ่นชาอบอวลผสมกับเสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งคล้ายเพลงประกอบพิธีกรรมของนางสาวผู้รักเงินจนล้นหัวใจ หญิงสาวนั่งไขว่ห้างพลางเริ่มนับทีละกอง “อู่จูหนึ่งร้อย…อู่จูสองร้อย…ตำลึงเงินหนึ่ง…อื้อหือ สบายใจจริง ๆ” แก้มของเธอย่นนิด ๆ อย่างคนอารมณ์ดี ยามที่นับเงินจนครบก็ยิ้มหวานเหมือนเจอแสงแห่งชีวิต
เถียนเฟิงนั่งมองภาพตรงหน้าพร้อมกุมขมับเบา ๆ พัดในมือหยุดนิ่ง เขาเอ่ยเสียงเรียบที่แฝงความขำขัน “หลินหยา นี่เจ้ากำลังคลายเครียดด้วยการนับเงินงั้นหรือ?” หลินหยาเหลือบตามองเขา พลางยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อน “แล้วทำไมเล่า? เวลาข้าเห็นเงิน ข้ารู้สึกว่าชีวิตยังมีหวัง ไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องขอใคร นี่แหละสิ่งที่ทำให้ข้ามีความสุข”
“เจ้ามีวิธีปลอบใจตัวเองที่…แปลกเกินไปแล้ว” เถียนเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่รอยยิ้มมุมปากก็หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับเจ้าแล้ว”
“พูดอะไรก็พูดไปสิ” หลินหยาตอบอย่างกวน ๆ ขณะเก็บเหรียญเรียงเป็นกองเล็กกองน้อย “ข้าจะนับต่อจนจบ” ยนเฟิงส่ายหัวเบา ๆ มองภาพหญิงสาวที่มีความสุขกับเงินก้อนเล็กก้อนน้อยราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เขาเอนหลังพิงพนัก ปล่อยให้นางนับเงินต่อไปอย่างใจเย็น…แม้ในใจจะบ่นไม่หยุดว่า นี่มันเพื่อนข้าเองจริง ๆ หรือ…
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
ความชำนาญศาสตร์การดนตรี
ทุกการโรลเพลย์บรรเลงดนตรี 10,000 ไบต์ให้ฝูงชนฟังได้รับ
ตัวคุณได้รับ (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง +30 พลังใจ หรือ +5 คุณธรรม) = 5 x 5 = +25 คุณธรรม
อื่น ๆ: เพราะผู้หญิงฮิวใจ ทำให้เรากำลังรู้สึกได้รับความรักที่ดี เขิน
รางวัล: "บัตรเข้าชมการแสดงอุปรากร" (ไอเท็มประกอบฉาก), + 25 คุณธรรม
(ถ้าค่าคุณธรรมเท่ากับชื่อเสียงนี้คือหลินหยาดังมากนะ 20k)