สิ้นบิดา
วัยเจ็ดหนาวสิ้นพยัคฆ์ห้าวกลางสงคราม ตวนมู่เจี้ยนเต๋อสิ้นชีพในการรบกับผู้รุกรานชายแดนพร้อมบุตรชายทั้งสาม บุตรชายคนโต ตวนมู่เจวี๋ย บุตรชายคนรอง ตวนมู่ชวน และบุตรชายคนที่สาม ตวนมู่จิ่ง
บุตรชายคนที่สามในขณะนั้นมีอายุเพียง 11 ปีเท่านั้น
ศพของพวกเขาถูกปฏิบัติราวกับมิใช่คน ถูกทิ้งให้สุนัขและแร้งกากัดทึ้งกินไร้ดินกลบหน้า
ยามที่รับศพเข้าประตูเมืองร่างกายของตวนมู่จิ่งกว่าครึ่งถูกยัดไว้ด้วยฟาง
แขนของตวนมู่เจวี๋ยมีรอยด้ายเย็บติดกับลำตัวคล้ายเป็นตุ๊กตาหนังมนุษย์
ตวนมู่ชวนมีร่องรอยการถูกทารุณกรรมอย่างหนัก เมื่อได้อ่านบันทึกสงครามจึงได้รู้ว่าตวนมู่ชวนถูกจับเป็นเชลยศึก เพื่อให้ตวนมู่เจี้ยนเต๋อยอมปราชัยศัตรูถึงกับแล่เนื้อเขาทั้งเป็นทีละชิ้น บีบให้กองทัพตวนมู่ต้องยอมจำนน ตวนมู่เจี้ยนเต๋อไร้ทางเลือกจำต้องยิงธนูสังหารบุตรชายด้วยตัวเอง
หัวของลูกธนูที่ปักอยู่บนร่างของตวนมู่ชวนยังคงเป็นหัวพยัคฆ์ที่ใช้ในกองทัพของตน
แม้กล่าวว่าหญิงสาวในสกุลทหารใจแกร่งกล้าดุจเพชรหากแต่ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ใครประสบพานพบก็แทบสิ้นสติทั้งสิ้น
วีรบุรุษเป็นเช่นไร เห็นหรือไม่ ร่างไร้วิญญาณที่แม้แต่ศพก็ไม่สมประกอบ
พิธีศพของสกุลตวนมู่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเกริกเกียรติสดุดีวิญญาณวีรชน ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนล้วนมุ่งหน้าสู่เจียงซูเพื่อมาส่งดวงวิญญาณขุนศึกสกุลตวนมู่เป็นครั้งสุดท้าย ไม่เว้นแม้แต่องค์รัชทายาท-หลิวเช่อ
องค์รัชทายาทมีน้ำใจไมตรีเหลือคณานับ ทรงปฏิบัติต่อสกุลตวนมู่ด้วยน้ำใสใจจริง หลงเยวี่ยในวัย 7 ขวบหาได้มีความคิดซับซ้อน รู้เพียงผู้มียศศักดิ์มาไว้อาลัยอย่างจริงใจ หัวใจของนางเปี่ยมด้วยความประทับใจมิรู้ลืม
ถ้อยคำปลอบโยนของเขาประทับอยู่กลางอกของนาง ในความหลังเลือนรางมีตอนหนึ่งกล่าวถึง กองทัพตวนมู่ที่แตกพ่ายกระจายไป รวมถึงหน้าที่บัญชาการทัพชายแดน ที่จำต้องส่งต่อให้แม่ทัพนายกองสกุลอื่นรักษาการณ์แทน
ทายาทของตวนมู่เจี้ยนเต๋อเวลานี้ เหลือเพียงนาง บุตรีวัยเจ็ดขวบ ตวนมู่อิ๋นซี หลานสาวคนโต และทายาทชายคนเดียวอย่างตวนมู่อิ๋นเหวิน ซึ่งเป็นเพียงทารกแรกเกิด
มิอาจฝากความหวังใดๆ ได้
องค์รัชทายาทในเวลานั้นมีสีหน้ายากคาดเดาที่นางหลงคิดเองไปว่าเป็นความเสียใจอย่างที่สุด เขาให้คำมั่นสัญญา จวินกงและเกียรติยศของสกุลตวนมู่จะต้องกลับคืนสู่เจ้าของมันอย่างแน่นอน
คนที่สังหารสกุลตวนมู่ของนางจะต้องได้รับโทษทัณฑ์
หลงเยวี่ยในวัยเด็กหาเข้าใจความแตกต่างของยศถา นางรบเร้าถามกับองค์รัชทายาทถึงความตายของครอบครัว ในเวลานั้นเขาใช้เพียงรอยยิ้มระคนความทอดถอนใจปลอบโยน ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรหลงเยวี่ยก็พลั้งปากออกไปแล้วว่า “คนร้ายคือผู้สูงศักดิ์ใช่หรือไม่” ความเงียบของเขาทำให้นางหวาดกลัวอย่างที่สุด
ความแค้นเคืองก่อตัวขึ้นในใจ แต่ไม่ว่าจะโวยวายเท่าใดก็มีเพียงคำดุด่า “ห้ามเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเด็ดขาด” จากปากของท่านย่า
ท่านย่าปล่อยวางเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อทว่านางบ่มเพาะความคิดยึดติดต้องการรักษาทุกสิ่งทุกอย่างของสกุลตวนมู่ไว้ทุกคืนวัน
นางเริ่มร่ำเรียนวิชาทางการทหารจากบรรดาขุนพลที่เหลืออยู่ ฝึกยุทธการต่างๆ ดังเช่นบุตรชายสกุลตวนมู่ หวังเพียงสักวันจะสืบต่ออำนาจของบิดา ค้ำจุนสกุลตวนมู่รอจนกว่าอิ๋นเหวินจะเติบใหญ่
บ้านที่ไร้บุรุษ
หลงเยวี่ยค่อยๆ กลายเป็นสตรีที่มีบุคลิกตาต่อตา ฟันต่อฟัน เบื้องหน้านางคิดน้อยและวู่วาม จะนายอำเภอก็ดี ขุนนางผู้ตรวจการก็ช่าง เมื่อขัดแย้งกันแล้วก็ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น
นางคือลูกหลานของวีรชน ไม่ว่าจะกระทำการใด ขอเพียงชื่อเสียงอันดีงามของครอบครัวยังอยู่ผู้คนก็จะเพิกเฉยต่อความหุนหันพลันแล่น
ขอเพียงประชาราษฎรรู้สึกผิดกับการตายของบุรุษสกุลตวนมู่
ขอเพียงต้าฮั่นยังจดจำบุญคุณนี้ไว้ สกุลตวนมู่ก็มิอาจถูกแตะต้องได้โดยง่าย
ทว่าการจะสืบเสาะหาความจริง ที่แม้แต่โอรสสวรรค์ยังมิกล้าเอ่ยปากจำต้องมีกำลังและอำนาจมากกว่านี้
นางจำต้องผลักดันค้ำชูสกุลตวนมู่รอเวลาอิ๋นเหวินเติบใหญ่ หนทางอันเหมาะสมที่สว่างไสวและอันตรายที่สุดคือการเข้าวัง
ภาพของบุรุษสกุลตวนมู่ที่ติดค้างอยู่ในหัวใจ จะจางหายได้ก็ต่อเมื่อล้างด้วยเลือดของศัตรูที่แท้จริง