
วันที่ 28 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก จวนพระเอก (จวนต้าซือคงแห่งต้าฮั่น)
อีเว้นท์ ภารกิจ “มิตรภาพเหนือกาลเวลา”
ยามไห่ ลมกลางคืนพัดเย็นพลิ้ว ใบไม้ร่วงไหวราวกับกระซิบ เงาสะท้อนของจันทร์ลอยบนบ่อน้ำในจวนต้าซือคง สถานที่เงียบขรึมจนแม้เสียงฝีเท้าของหลินหยาที่ก้าวเข้ามายังดังชัด เธอเงยหน้ามองแผ่นป้าย “จวนพระเอก” ที่ส่องแสงโคมไฟริบหรี่ นางหันไปทางยามทั้งสองคนแล้วก้มลงคำนับ แจ้งว่านางมาพบท่านเถียนเฟิง เขาเรียกนางมาที่นี่ พวกเขารู้ว่านางเป็นใครจึงพยักหน้าก่อนที่ประตูไม้หนักจะเปิดออก เถียนเฟิงในชุดลำลองเรียบหรูยืนรออยู่แล้ว รอยยิ้มจางบนริมฝีปากไม่อาจกลบความกังวลในดวงตาคมนั้นได้ “เข้ามาสิ หลินหยา” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก พานางเดินผ่านสวนด้านในที่ถูกจัดอย่างประณีตจนถึงห้องโถงส่วนตัว เต็มไปด้วยกลิ่นไม้กฤษณาอ่อน ๆ ที่เขาจงใจจุดไว้เพื่อคลายความตึงเครียด เมื่อทั้งสองนั่งลง เถียนเฟิงมองนางเงียบ ๆ สักครู่ เขาเริ่มเสิร์ฟน้ำชาของจวนตัวเองอย่างเงียบ ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วน่าจะให้บ่าวใช้เป็นคนที่คอยเทให้เสียมากกว่า แต่หลินหยารู้สึกว่าการคุยครั้งนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน จนหลินหยาไม่อาจจะเล่นมุกให้ดูเก้อเขินได้เลย เถียนเฟิงมองหลินหยาก่อนจะวางพัดขนนกบนโต๊ะและเอ่ยเสียงชัด
“ข้าเรียกเจ้ามา เพราะข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่เจ้าเล่าในคืนก่อน ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ากำลังเดินไปสู่เส้นทางที่มีแต่ความทุกข์”
หลินหยาหลุบตามองถ้วยชาในมือของนางที่กำลังหอมกรุ่นอยู่ในตอนนี้ นางคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน เอาเถอะ นางจะบอกตามที่นางคิดไปตามความรู้สึกที่แสนบริสุทธิ์และไม่ได้ชั่งใจว่าเป็นเพียงความรู้สึกของสตรีสาวแตกรุ่นเท่านั้น แววตาหม่นแต่ไม่หวั่นไหว “ใต้เท้า...ข้าไม่ขอให้ท่านเข้าใจสิ่งที่ข้ารู้สึก แค่ข้าเลือกแล้ว”
เถียนเฟิงเอนตัวเล็กน้อย ดวงตาคมดั่งเหยี่ยวจ้องตรงลึกเข้าไปในใจนาง “และข้าก็เลือกแล้วเช่นกัน ว่าจะไม่ปล่อยให้สหายของข้าตกลงไปในบ่วงแห่งความรักที่ผลสุดท้ายอาจทำลายเจ้าจนหมดสิ้น” น้ำเสียงเขาเย็นนิ่งแต่ก้องชัดราวคำประกาศ เขายื่นมือไปแตะเบา ๆ บนโต๊ะระหว่างกัน “เจ้ารู้หรือไม่ หลินหยา ว่าคนที่เจ้ามอบหัวใจให้นั้น...ไม่ใช่เพียงคมดาบ แต่เป็นหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่ง แม้ความอบอุ่นที่เจ้ามี ก็จะไม่เหลือ”
หลินหยายิ้มจาง แม้เจ็บปวดแต่นางกลับกลับแน่วแน่สุดใจ “ข้ารู้...และข้ายังเลือกจะรักเขาอยู่ดี ข้าไม่ขอให้ท่านช่วยข้าให้หลุดพ้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” เถียนเฟิงชะงัก ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ในห้องราวกับซ่อนพายุอยู่ภายใน “เจ้า...” เขากัดฟันแน่นเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจยาว ราวกับพยายามระงับอารมณ์ “เจ้าดื้อเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้จริง ๆ”
“ใช่ ข้าดื้อ” หลินหยาตอบทันที น้ำเสียงปนความอบอุ่น “เพราะข้าดื้อมาก ๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เถียนเฟิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ สายตาคมกริบราวมีดหมื่นเล่มจ้องไปยังหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาเขาไม่ได้เย้ยหยัน แต่ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไว้อย่างแนบเนียน “หลินหยา เจ้ารู้หรือไม่...ยามนี้เจ้าดูเหมือนคนเดินในหมอก มองไม่เห็นทางออก ข้าไม่อยากเห็นสหายของข้าจมอยู่ในวังวนที่อีกฝ่ายอาจไม่เคยยื่นมือมารับเจ้าขึ้นมาด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เย็นนิ่งแต่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ
หลินหยานั่งเงียบ ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นลงเล็กน้อย นิ้วเรียวเกลี่ยขอบถ้วยชาช้า ๆ ไม่ตอบเถียนเฟิงในทันที เถียนเฟิงโน้มตัวมาข้างหน้าเข้าหาหลินหยาที่นั่งอยู่ เสียงต่ำราวกับกระซิบแต่ก้องชัดในใจนาง “ข้าไม่เถียงว่าหัวใจเจ้ามอบให้เขาเต็มร้อย ข้าเห็นมันจากแววตาเจ้า แต่ข้าอยากถามให้แน่ใจ...มั่นใจหรือไม่ ว่าที่เจ้ารู้สึกคือรักแท้ ไม่ใช่เพียงสิ่งลวงที่เขาสร้างขึ้นมา? เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเขารักเจ้าจริง...ไม่ใช่แค่เสพความเจ็บปวดของเจ้าเป็นเครื่องเล่นสนุก?”
คำพูดนั้นแทงลึกดั่งคมดาบ หลินหยาขมวดคิ้วแน่น หัวใจสะท้านราวกับถูกกระชาก เธอกำมือบนตักแน่น แต่ไม่มีคำตอบจะเอื้อนเอ่ยลมหายใจติดขัดในลำคอ เถียนเฟิงมองปฏิกิริยานั้นอย่างนิ่งสงบ ทว่าสายตาอ่อนลงนิดหนึ่ง “หลินหยาเจ้ารักเขา ข้าไม่โต้แย้ง...แต่เขาล่ะ รักเจ้าจริงหรือเปล่า?”
เพียงคำถามนี้หลินหยาก็สะอึกเธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหว หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา เธออยากจะอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เสียงกลับแผ่วพร่าจนแทบไม่ได้ยิน “...ข้า...ไม่รู้” ความเงียบเข้าปกคลุมห้องไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมลอดผ่านหน้าต่าง เถียนเฟิงมองนางอยู่อย่างนั้นโดยไม่เร่งรัด ราวกับต้องการให้หลินหยาทบทวนความรู้สึกของตัวเองในความเงียบนั้นเอง
เถียนเฟิงทอดถอนหายใจยาว มองใบหน้าที่สั่นไหวของหลินหยาด้วยแววตาคมกริบที่เจือทั้งความสงสารและความโกรธแทน เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบกว่าครั้งไหน ๆ “หลินหยา ข้าไม่สนว่าคนทั้งแผ่นดินจะหวาดกลัวเขาเพียงใด แต่ข้ารู้ว่าจางกงกงนั้น...ไม่ใช่คนปกติ” เสียงของเขาเหมือนคมดาบที่กรีดกลางใจ “เขาไม่ได้เพียงแค่ลึกลับ หรือฉลาดล้ำ เขาวิปลาศมากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก” เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ดวงตาส่องประกายราวกับทะลุจิตใจนาง “เจ้ามั่นใจหรือ ว่าความรู้สึกที่เจ้ามีให้เขา ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เขาปรุงแต่งขึ้น เพื่อให้เจ้าติดอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น? เจ้ารู้หรือไม่ ว่าจางกงกงชำนาญในเกมของหัวใจพอ ๆ กับหมากล้อมพันตา เขาสามารถทำให้คนคิดว่ารัก ทั้งที่แท้จริงแล้ว...แค่ถูกล่อหลอก”
หลินหยาที่ได้ยินกลับเงียบงันดวงตาเบิกกว้าง มือที่วางอยู่บนตักเริ่มสั่นเล็กน้อย นางพูดไม่ออกแม้สักครึ่งคำในตอนนี้
เถียนเฟิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทุกถ้อยคำหนักราวภูผา “จงฉางชื่อผู้นั้น...เขามองเจ้าเป็นอะไรกันแน่? สหาย? คนรัก? หรือเพียงหมากตัวหนึ่งที่เขาควบคุมได้ด้วยสายตาและคำพูด? เจ้ากำลังจะยอมกลับไปอยู่ในมือเขา ยอมเป็นเครื่องมือในเกมอำนาจของเขาอีกหรือไง?”
คำถามนั้นราวกับฟ้าผ่าหลินหยาหลุบตามองต่ำ หัวใจปั่นป่วนอย่างรุนแรง ความทรงจำผุดขึ้นมาทีละภาพเสียงเย็นชาของจางกงกง, สัมผัสที่กดข่ม คำพูดที่พร่ำบอกว่า เจ้าเป็นของข้า ของข้าคนเดียว และไม่มีทางหนีไปไหนได้ ดวงตาของเธอสั่นระริก ลมหายใจติดขัด ความจริงที่เธอไม่อยากยอมรับค่อย ๆ คลี่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ใช่...เขาไม่เคยบอกรัก ไม่เคยมีคำว่า “รัก” มีเพียงคำประกาศความเป็นเจ้าของที่กดทับเหมือนโซ่ตรวน
เถียนเฟิงจ้องนางอย่างไม่ละสายตา น้ำเสียงของเขาเบาลงแต่ทิ่มแทงยิ่งกว่าเดิม “บอกข้ามา หลินหยา...ในสายตาของเขา เจ้าเป็นมนุษย์ หรือเป็นแค่ของเล่นที่เขาเก็บไว้ในเงามืด?” คำถามนั้นทำให้หลินหยาชะงักทั้งร่าง ความจริงที่เธอพยายามหลบเลี่ยงมานานกำลังไล่ต้อนให้เธอเผชิญหน้า... และเธอไม่กล้าพูดออกมาสักคำ
หลินหยาไม่พูดเพราะนางพูดไม่ออกมือเธอที่จะจับถ้วยชากลับเหมือนจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด นางส่ายหัวเพียงเท่านั้นเพราะนางไม่อาจตอบสิ่งใดออกไปได้เลยแม้สักนิด เสียงมันไม่ยอมออกมาเพราะหากพูดมันต้องออกมาเป็นเสียงสะอื้นร้องไห้เป็นแน่ หลินหยาเหมือนอยากจะพยายามยิ้มแต่ทว่ากลับกลายเป็นเพียงยิ้มเก้อ ๆ ที่ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มแบบไหน แต่มันเต็มไปด้วยความขมขืนที่ขมปร่าอยู่ภายในริมฝีปากของนางเท่านั้น
เถียนเฟิงโน้มตัวเล็กน้อยไปทางหลินหยาเขาอยากเข้าใกล้นางให้น้ำเสียงของเขาได้เจาะทะลุ ให้น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยแต่กดลึกลงไปถึงกระดูกสันหลังของสตรีตัวเล็กที่ให้เขาเป็นสหาย เขาก็จะเป็นสหายตามที่หลินหยาต้องการเพราะเขารู้ดีว่านางไม่อาจปันใจให้ชายอื่นได้แล้วในตอนนี้ “หลินหยา เจ้าส่ายหัวแล้วบอกว่าไม่รู้...แต่สายตาเจ้า มันเต็มไปด้วยความลังเล ความเจ็บปวดที่เจ้าพยายามกลืนเข้าไปทั้งที่มันกัดกินวิญญาณตัวเองอยู่ทุกลมหายใจ” เขาหยุดเพียงชั่วครู่ สบตากับนางอย่างคมกริบราวกับจ้องให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ “ข้าไม่ตำหนิที่เจ้ารัก แต่ข้าโกรธที่เจ้ากำลังปล่อยให้ตัวเองถูกกลืนหายไปเพียงเพราะคนคนหนึ่ง”
หลินหยานิ่งงันถ้วยชาในมือสั่นระริกจนชาที่อยู่ในถ้วยสั่นไหวคลอขอบ เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่นราวจะกลั้นความรู้สึกบางอย่างไม่ให้ทะลักออกมา ดวงตานั้นสั่นไหวเพียงเล็กน้อยแต่ดวงใจนั้นสั่นไหวราวกับแผ่นดินที่กำลังเคลื่อนไหวจนใกล้จะถล่มอยู่รอมร่อ นางรู้แน่ว่าคำต่อไปสำหรับนางแล้วต้องเจ็บปวดแน่นอน ท่าทางอาจจะกระอีกเลือดตายไปได้เลย ร่างกายของหลินหยาเริ่มตึงเครียดจากความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งพิษทั้งความเครียด ความรู้สึกที่ถาโถมลงมาราวกับพายุ
เถียนเฟิงยกพัดขึ้นวางบนโต๊ะอย่างช้า ๆ ดวงตานิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน “เจ้าเคยพูดต่อหน้าข้าว่า 天下大事 與我無關 เรื่องใหญ่ใต้หล้าไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าขอเพียงใช้ชีวิตในทางของตัวเอง แต่ตอนนี้...หลินหยา เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำ มันคือทางของเจ้าเอง? หรือเป็นทางที่คนอื่นปูไว้ แล้วเจ้าก็เดินตามไปโดยไม่รู้ตัว?”
คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ หลินหยาก้มหน้าน้ำตาคลอเล็กน้อยแต่ไม่ไหล เธอเอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ “ข้า...ไม่รู้แล้วจริง ๆ ข้าแค่...เมื่ออยู่ข้างเขา หัวใจมันเต้นแรงจนข้ากลัวตัวเอง”
เถียนเฟิงขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาไม่ได้มีเพียงความเข้มแข็ง แต่แฝงความห่วงใยอย่างที่หลินหยาไม่เคยเห็นมาก่อน “ความรักที่ทำให้เจ้ากลัวตัวเอง...มันใช่รักจริงหรือหลินหยา?” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “หรือมันคือพันธนาการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้เจ้าไม่มีวันหนีไปไหนได้?” หลินหยากัดฟันแน่น เธอไม่กล้าสบตาเขาเพราะรู้ว่าคำตอบของตัวเองอาจทำให้ทุกอย่างพังทลาย เธอได้แต่กอดตัวเองไว้เหมือนกำลังปกป้องหัวใจที่กำลังสั่นคลอน
เถียนเฟิงถอนหายใจยาว เหลือบมองนางด้วยสายตาที่แฝงทั้งความเอ็นดูและความเหนื่อยล้า “ข้าไม่ห้ามเจ้ารัก แต่เจ้าต้องแน่ใจว่าเจ้ารักเขาด้วยหัวใจของเจ้าเอง ไม่ใช่เพราะบ่วงที่เขาคล้องคอไว้” หลินหยาสูดลมหายใจลึก เธอยังเงียบ แต่ความเงียบของเธอตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนเกินบรรยาย
เถียนเฟิงยืนขึ้นเต็มความสูง เงาร่างสูงสง่าทาบทับลงบนร่างเล็กที่นั่งอยู่ ดวงตาของเขามองลงมาแหลมคมราวกับจะแทงทะลุปราการที่หลินหยายก่อขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจตนเอง มือของเขาจับไหล่นางอย่างมั่นคง อุณหภูมิจากฝ่ามือร้อนจัดราวกับจะปลุกสติเธอให้กลับคืนมา “หลินหยา ฟังข้าให้ดี” เสียงของเขาเฉียบขาดและกดต่ำ ดั่งเสียงของผู้ที่กำลังประกาศความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี
“เจ้าบอกเองว่าเขาขี้หึงถึงเพียงนั้น แค่เจ้าอยู่กับสหาย เขาก็พร้อมจะรังเกียจ โกรธา ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามองมันว่าเป็นความรักหรือความเอ็นดู แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าเขาจะทำลายทุกคนรอบตัวเจ้า คนที่เจ้ารัก คนที่รักเจ้า เพื่อให้เจ้ามีเพียงเขาเพียงคนเดียว” คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าลึกในใจ หลินหยาตัวสั่น ราวกับโลกกำลังพังทลาย เธออยากจะเถียง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้ ดวงตาของนางสั่นระริก ริมฝีปากกัดแน่นจนเลือดแทบซึม
เถียนเฟิงก้าวเข้ามาอีกก้าว เงาร่างยิ่งปกคลุมร่างเล็กมากขึ้น แววตาของเขาเข้มแข็งแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เพื่อเขาหรือ? เพื่อจางกงกงคนนั้นน่ะหรือ? เจ้าจะยอมเสียทุกสิ่งไป เพื่อน มิตรสหาย อิสรภาพที่เจ้ารัก เพื่อเขาคนเดียวหรือไม่?” เขาเน้นทุกคำราวกับตอกย้ำให้คำถามนี้ฝังแน่นในหัวใจนาง หลินหยาหายใจถี่ มือที่กำชายเสื้อสั่นระริก นางเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำใสที่เอ่อคลอ “ข้า…” เสียงสั่นพร่าเธอพูดไม่จบประโยคค้างอยู่ในอากาศ
เถียนเฟิงกดไหล่นางเบา ๆ แต่หนักพอจะเรียกสติ “คิดให้ดีหลินหยา คิดตามที่ข้าพูดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเขาไม่ใช่คำสั่งจากผู้เหนือกว่า แต่เป็นเสียงของสหายที่กำลังดึงคนที่หลงทางกลับออกจากเหวลึก
บรรยากาศในห้องเงียบงัน มีเพียงเสียงหัวใจของหลินหยาที่เต้นแรงจนได้ยินชัด นางหลับตาลงชั่วครู่ ความคิดมากมายสับสนตีวนอยู่ในหัว ทุกภาพ ทุกความทรงจำกับจางกงกง ทั้งความหวานที่แฝงความเจ็บปวด ทั้งความโหดร้ายที่นางพยายามกลืนลงไป กลายเป็นคลื่นถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เธอสั่นไหวไปทั้งร่าง ในใจนางกำลังถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ และตอนนี้ นางต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าความรักที่มี...คืออะไรแน่ น้ำตาหยดเล็กไหลรินจากหางตาของหลินหยา ล่วงลงตามแก้มขาวจนเธอแทบไม่รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลผ่าน เธอมองหน้าเถียนเฟิงด้วยแววตาสับสนเจ็บปวด แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้…” เสียงของเธอสั่นพร่าแตกหักเหมือนเศษแก้วใส
เถียนเฟิงเห็นดังนั้นหัวใจก็สั่นสะเทือน เขาใจอ่อนอย่างที่สุด แต่กลับต้องกัดฟันกดความอ่อนโยนนั้นไว้ เขาก้าวเข้ามาใกล้ จับใบหน้าของนางอย่างเบามือเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอ “หลินหยา...คิดถึงข้า คิดถึงหวยหนานหวาง คิดถึงมิตรของเจ้าทุกคนที่ยืนข้างเจ้า” เสียงเขาอ่อนลงแต่แฝงแรงกดดันอันแสนจริงจัง
“คิดถึงคนที่ไปเยี่ยมเจ้าในคุกหลวง ทั้งที่เจ้าเสี่ยงถูกจับผิดคิดร้ายต่อขุนนางราชสำนัก ทุกคนทำเพื่อเจ้า อยู่ข้างเจ้า” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาคมจ้องสบกับนางจนไม่อาจหลบเลี่ยง “หวยหนานหวาง...ยอมทิ้งตน ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อรับโทษแทนเจ้า รักเจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข แม้เจ้าจะปฏิเสธรักเขา เขาก็ยังคงรักอย่างบริสุทธิ์” คำพูดทุกคำเหมือนค้อนหนักทุบลงกลางใจหลินหยา เธอสั่นเครือ น้ำตาไหลไม่หยุด หัวใจเธอแตกสลายไปพร้อมกับความจริงที่เถียนเฟิงกรีดเข้าในวิญญาณ
เถียนเฟิงกระชับมือที่จับไหล่ของเธอแน่นขึ้น เสียงของเขาต่ำลงแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ “เจ้าจะทรยศความรักและความห่วงใยที่ทุกคนมีต่อเจ้า...เพื่อคนที่ทำร้ายเจ้าหรือหลินหยา? เพื่อคนที่พรากทุกอย่างจากเจ้าหรือ?”
หลินหยาหายใจถี่ร่างทั้งร่างสั่นจนแทบยืนไม่ไหว เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ เธอกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เสียงสั่นพร่าดังออกมาช้า ๆ “ข้า...ไม่รู้ ข้าไม่รู้แล้วว่าควรรู้สึกยังไง…”
เถียนเฟิงสบตานางอย่างแน่วแน่ แม้หัวใจเขาจะเจ็บปวดที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้ แต่เขาจำเป็นต้องทำ เขาโน้มหน้าลงใกล้ กระซิบช้า ๆ ราวกับจะสลักความจริงลงในหัวใจนาง “เจ้ามีค่ามากกว่าที่จะยอมเสียตัวเองเพื่อคนที่ไม่เห็นค่าเจ้า จำไว้ หลินหยา...จำไว้ให้ขึ้นใจ”
คำพูดนั้นปักลึกในจิตใจของเธอ จนหลินหยาน้ำตาไหลพราก ราวกับกำลังถูกปลดปล่อยจากพันธนาการบางอย่างที่เธอแบกไว้แสนนาน ทว่าในความเจ็บปวดนั้น ยังมีความสับสนที่ยากจะลบเลือน...เสียงสะอื้นของหลินหยาดังก้องในห้องเงียบ ๆ น้ำตาเปียกชุ่มจนปลายเสื้อคลุมสีกุหลาบที่เธอสวมใส่ เธอทั้งพูดทั้งร้องไห้ไปพร้อมกัน เสียงพร่าที่เจือความเจ็บปวดทำให้เถียนเฟิงต้องเงียบ ไม่พูดแทรก ปล่อยให้นางระบายทุกสิ่งที่กลั้นอยู่ในอกมานาน
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง…” เสียงนางสั่นไหวอย่างกับสายพิณขาด “ข้าเกลียดเขาแทบตาย แต่เขากลับมาในคราบของชายอื่น แล้วข้าก็ดันหลงรักไปจริง ๆ…พอรู้ความจริง ข้าก็เจ็บเจียนตาย พอทำใจได้ ข้าก็ต้องรับรู้ทุกเรื่องทั้งหมดที่เขาทำ…ข้าไม่ได้หวังว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองด้วยซ้ำ…” เถียนเฟิงก้าวเข้าใกล้ช้า ๆ แววตาคมที่มักแฝงเล่ห์กลับตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขามองหลินหยาที่ตัวสั่นเทากัดฟันกลั้นความรู้สึกของตนเองไว้
“แต่ข้าก็หวัง…ก็หวังลึก ๆ ว่านั้นคือการแสดงออกความรักในแบบของเขา…” หลินหยาจับแขนเถียนเฟิงแน่นจนเล็บจิกผ่านเนื้อผ้า ดวงตาเธอแดงช้ำ น้ำตารินไหลไม่หยุด “ข้า…ข้าเกลียดเขา ข้าก็ไม่อยากเป็นแบบนี้…แต่ข้าไม่สามารถโกหกหัวใจตัวเองได้ว่าครึ่งหนึ่งของข้าก็รักเขาเหมือนกัน…”
เถียนเฟิงหลับตาลงชั่วครู่ ฟังทุกคำที่นางพรั่งพรูออกมา น้ำเสียงนางสั่นสะท้านแต่ชัดเจน
“เขาเกิดมาชาตินี้รู้จักเพียงความรักขององค์ฮ่องเต้…เขาถูกมองเป็นสิ่งของมาตลอดชีวิต…ข้ารู้ว่านั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้จางกงกงทำสิ่งที่เขาทำ แต่ข้าไม่อยากให้เขาโดดเดี่ยว…เพราะข้า…” ดวงตาหลินหยาสั่นไหวราวกับทะเลที่พายุพัด เธอสบตาเถียนเฟิง น้ำตาไหลพราก “ข้าเห็นทุกอย่าง ข้าเห็นความทรงจำของเขา ทุกภาพมัน…มัน…”
ดวงตาของเถียนเฟิงเห็นแล้วใบหน้าของหลินหยานั้นซีดขาวและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ภาพที่นางพูดถึง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะทนมองได้ แค่เห็นจากแววตาของนาง เขาก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความทรมานเกินกว่าคำบรรยาย เขาค่อย ๆ ประคองแก้มของหลินหยาไว้ในมืออย่างอ่อนโยน ลมหายใจของเขาแผ่วเบาแต่มั่นคง “หลินหยา…เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว” น้ำเสียงเขานุ่มลึกแต่หนักแน่น “เจ้ามองเห็นความโดดเดี่ยวของเขา แต่ข้ามองเห็นความโดดเดี่ยวของเจ้าเช่นกัน” หลินหยาก้มหน้าสะอื้น มือเธอยังคงจับแขนเขาไว้แน่นราวกับยึดไว้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว เถียนเฟิงดึงนางเข้ามาใกล้ โอบกอดให้นางได้พิงอกที่มั่นคงของเขา
“แม้เขาจะเป็นปีศาจในสายตาใคร แม้เจ้าจะรักหรือเกลียดเขา…เจ้าก็ยังมีข้าอยู่ตรงนี้” เถียนเฟิงกระซิบใกล้ข้างหูด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวคำสาบาน “ตราบใดที่ข้ายังหายใจอยู่…ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปในเงามืดของเขา” คำพูดนั้นเหมือนแสงสว่างหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดในใจหลินหยา แม้ความเจ็บปวดจะยังอยู่ แต่เธอก็รู้ว่ามีใครสักคนที่คอยยื่นมือรั้งเธอกลับมาเสมอ…
เพราะแบบนี้ไงนางถึงเจ็บ คนรอบข้างดีกับนางถึงเพียงนี้ แล้วทำไมใจนางถึงได้ทรยศนัก ทรยศต่อพวกเขา ทำไม ทำไมกัน
เสียงของเถียนเฟิงในค่ำคืนนั้นชัดเจน ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยน้ำหนักของความห่วงใยจนหลินหยาเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา ชายหนุ่มมองกลับมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “หากจางกงกงรักเจ้าจริง…เขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองได้” เถียนเฟิงเอ่ยช้า ๆ ทุกคำชัดเจน “อาจไม่ทั้งหมด แต่เพียงสักหน่อยก็ยังดี เพื่อเจ้าสักนิด เพื่อให้เจ้าได้หายใจโดยไม่ต้องเจ็บปวด เขาต้องรู้ว่าธรรมชาติของเจ้าหลินหยา ไม่ใช่ต้องการถูกขังไม่ใช่ต้องการให้ใครเปลี่ยนเจ้าเป็นของเล่นในกำมือเขาเพียงเท่านั้น”
หลินหยานิ่งฟัง สองมือเธอยังกำแน่นอยู่บนตัก ร่างสั่นเล็กน้อยราวกับทุกคำของเถียนเฟิงแทงลึกลงไปในใจ
เถียนเฟิงโน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงเขาอ่อนลงแต่เข้มข้นราวคำตักเตือน “เจ้าก็แค่เด็กสาวที่พึ่งปักปิ่นได้ไม่ถึงปี โลกใบนี้โหดร้ายเพียงใดเจ้าก็รู้ ข้าเห็นเจ้ามองโลกในแง่ดีมาตลอด แต่หลินหยา…เจ้าต้องคิด ต้องไตร่ตรองว่าความรักที่เจ้ากำลังปกป้อง มันพาเจ้าไปสู่ความสุข หรือพาเจ้าไปสู่ขุมนรก” น้ำตาของหลินหยายังไหล เธอกัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงสะอื้น เถียนเฟิงเอื้อมมือมาวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเธออย่างมั่นคง
“ข้าจะไม่ห้ามเจ้าหากรู้ว่าจางกงกงดูแลเจ้าให้มีความสุขได้ แต่ต้องสุขจริง ๆ…ไม่ใช่สิ่งที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกตาเจ้า ลวงใจเจ้า” ดวงตาเถียนเฟิงจ้องลึกเข้ามาในใจหลินหยา “แบบนั้นถึงจะไม่เป็นการทรยศความรู้สึกของข้า ของหวยหนานหวาง ของคนที่รักเจ้าและเจ้ารักตอบ” เถียนเฟิงสูดลมหายใจช้า ๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างแผ่วเบาแต่จริงจัง “หลินหยา ข้าขอร้อง…คิดให้ดี คิดให้มากกว่าเดิม”
เสียงสะอื้นของหลินหยาแผ่วลง เธอมองหน้าเขา ดวงตาแดงก่ำแต่แฝงด้วยแสงวาบของการไตร่ตรอง นางพึมพำตอบเบา ๆ ทั้งน้ำตา “ข้าจะ…ข้าจะคิดให้ดี” ในความเงียบที่เหลืออยู่ มีเพียงแสงโคมไฟไหวระริกกับเสียงลมหายใจที่สั่นคลอ บทสนทนานี้จะฝังอยู่ในใจของนางไม่ลืมเลือน…
หลินหยานั่งตัวสั่นบนเก้าอี้ ดวงตาแดงช้ำ น้ำตารินไม่หยุด มือที่กำแก้วชาสั่นจนชาในถ้วยแทบหก นางหอบลมหายใจแผ่ว ๆ พลางเงยหน้ามองเขาทั้งที่น้ำตาไหลพราก “ทำไม…ข้าถึงโง่ขนาดนี้นะ” เสียงที่สั่นพร่าแทบจะขาดเป็นช่วง ๆ ทว่ามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนเถียนเฟิงที่มองอยู่ตรงหน้ารู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ
เถียนเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ริมฝีปากเขายกยิ้มจาง ๆ แต่ไม่ใช่ยิ้มเย้ยหยัน เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเข้าใจ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดบนแก้มขาวซีดของหลินหยาอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงปลายนิ้วจะทำให้นางแตกสลาย “เจ้าไม่ได้โง่…หลินหยา” เถียนเฟิงเอ่ยช้า ๆ เสียงนุ่มลึกแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความหมาย “เจ้าเพียงแค่รักด้วยหัวใจที่ซื่อตรงเกินไป เจ้ารักจนไม่เผื่อเหลือให้ตัวเองป้องกัน นั่นไม่ใช่ความโง่ แต่เป็นสิ่งที่คนอย่างเจ้าถูกสอนมาโดยหัวใจของเจ้าเอง”
หลินหยาสะอื้น มองเขาด้วยแววตาสั่นไหว เธอพยายามจะพูดอะไร แต่เสียงก็ขาดหายกลางคัน เถียนเฟิงจึงพูดต่อ ดวงตาคมนิ่งแฝงความอ่อนโยนที่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นจะได้เห็น “คนที่โง่ไม่ใช่เจ้า…แต่เป็นคนที่ได้ความรักของเจ้ามาแล้วกลับทำให้มันแปดเปื้อนต่างหาก” เถียนเฟิงสบตานางลึกขึ้น ราวกับจะย้ำทุกถ้อยคำ “เจ้าร้องไปเถิด ร้องจนกว่าหัวใจจะโล่ง เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว ข้าอยู่ตรงนี้ และจะอยู่จนกว่าเจ้าจะเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกครั้ง” คำพูดเหล่านั้นเหมือนมือที่โอบกอดหัวใจอันแตกสลาย หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงบนอกเสื้อ เธอไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คลอเคล้าไปกับความเงียบสงบในห้องตอนนี้
“เจ้ารักด้วยความจริงใจ รักด้วยความศรัทธา นั่นไม่ใช่ความโง่…มันคือสิ่งที่ทำให้เจ้าต่างจากคนอื่น” หลินหยาสะอื้นหัวไหล่สั่นราวกับเด็กน้อย เธอกำแขนเสื้อของเถียนเฟิงแน่น ไม่กล้าสบตาเพราะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เถียนเฟิงจึงนั่งลงเคียงข้าง มือหนึ่งวางบนไหล่บาง อีกมือยังคงเช็ดน้ำตาให้ “เจ้าฟังข้า หลินหยา…” เสียงเขาเข้มขึ้นนิดหนึ่งเพื่อให้สติกลับมา “คนที่น่าถูกตำหนิไม่ใช่เจ้า แต่เป็นคนที่ได้รับความรักของเจ้าแล้วทำให้มันเจ็บปวดต่างหาก” เถียนเฟิงถอนหายใจ “จางกงกง…เขาไม่ได้รักเจ้าด้วยวิธีที่เจ้าควรได้รับ”
คำพูดนั้นทำให้หลินหยากัดริมฝีปาก ราวกับจะห้ามตัวเองไม่ให้ร้อง แต่ก็ห้ามไม่อยู่ น้ำตาร่วงเป็นสายอีกครั้ง เถียนเฟิงเอียงหน้าเข้าใกล้ พูดด้วยเสียงหนักแน่น “เชื่อข้าไหม ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น เราจะหาทางออกด้วยกัน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าต้องจมอยู่ในความมืดคนเดียว” หลินหยาเม้มปาก พยักหน้าทั้งน้ำตา ในอกนางเจ็บร้าวเหมือนถูกกรีดซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่เกิดจากคำพูดของเขา เธอสะอื้นและถามเสียงสั่น “แล้ว…ข้าจะทำยังไงดี ข้าเกลียดเขา…แต่ก็รักเขา ข้าเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้…”
เถียนเฟิงยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของนางเบา ๆ เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย สบตาเต็มไปด้วยความจริงจัง “ไม่ต้องเกลียดตัวเอง หลินหยา เจ้าแค่ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าอยากเป็นใคร อยากเดินทางไหน ถ้าเจ้าตัดสินใจ ข้าจะอยู่เคียงข้างเพื่อพาเจ้าข้ามพายุไป” คำพูดเหล่านั้นชัดเจนจนหัวใจของหลินหยาสั่นไหว นางซบหน้าลงกับอกของเขา ปล่อยน้ำตาไหลอย่างไร้การควบคุม เถียนเฟิงโอบไหล่นางไว้แน่น ไม่พูดอะไรอีก ให้เพียงความเงียบที่อบอุ่นคลุมร่างทั้งสองไว้ในค่ำคืนที่สับสนอีกคืนของหลินหยา
หลินหยาที่กำลังร้องไห้ผิวซีดลงไปเรื่อย ๆ ด้วยพิษจากร่างกายของเธอ เลือดตรงจมูกนั้นไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ นางกลับมองแบบไม่ใส่ใจเพราะเป็นบ่อยแล้ว เถียนเฟิงมองเลือดสีแดงที่ไหลจากจมูกของหลินหยา ดวงตาเขากระตุกวาบด้วยความกังวลก่อนจะรีบหยิบผ้าขาวจากแขนเสื้อ ซับเบา ๆ ตรงปลายจมูกนางด้วยความระมัดระวัง น้ำเสียงของเขาอ่อนลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “เจ้า…ร่างกายกำลังเครียดอยู่ใช่หรือไม่”
หลินหยาหอบหายใจเบา ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งที่ปฏิเสธ แต่ดวงตากลับวูบไหว เธอพยายามฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเป็นแบบนี้บ่อยแล้ว” เสียงนางพร่าแผ่ว ร่างบางยังคงสั่นระริกจากทั้งพิษและน้ำตาที่เพิ่งหยุด
เถียนเฟิงขมวดคิ้วแน่น มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่ผสมระหว่างความห่วงใยและความไม่พอใจที่นางละเลยตัวเอง “เจ้ามักบอกว่าไม่เป็นไร…แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้าป่วยหรือเลือดออก ข้ากลับไม่อาจเฉยได้เลย” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนโน้มตัวลงประคองศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้…ยามซื่อ เจ้าไปพบข้าที่โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์” น้ำเสียงนั้นแน่วแน่ ราวกับไม่เปิดให้ปฏิเสธ
หลินหยากระพริบตามองเขาเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจ “โรงชา…เมฆาซ่อนจันทร์? ท่านจะทำอะไรหรือ”
เถียนเฟิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง “ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น ร่างกายของเจ้าจะไม่ทรมานจากพิษและความเครียดเช่นนี้ต่อไป” เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนางจนหมด แล้วจ้องตาลึกซึ้ง “ครั้งนี้เจ้าต้องฟังข้า ไม่ใช่เพียงเพื่อข้า แต่เพื่อเจ้าเอง” หลินหยามองเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ทั้งน้ำตาที่แห้งไปแล้ว “เจ้าค่ะ…ข้าจะไป” เสียงนางสั่นแต่เต็มไปด้วยความไว้ใจที่มีต่อเขาเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้
เถียนเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ คลายมือช้า ๆ แล้วบอกด้วยเสียงทุ้ม “พักผ่อนให้มาก เจ้ายังมีวันพรุ่งนี้ที่ต้องเผชิญ” หลินหยาพยักหน้ารับเบา ๆ ในอกของนางอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แม้พิษยังคงกัดกินร่างกาย แต่คำพูดและสายตาของเถียนเฟิงก็ทำให้ความหวาดกลัวเล็กลงไปหลายส่วน…สำหรับหลินหยาแล้วนางพบว่าเรื่องนี้ช่างโหดร้ายต่อจิตใจนางเหลือเกิน หลินหยาระบายยิ้มเล็ก ๆ จากความรู้สึกที่แสนขมขืนของนาง เพียงนางรักคนที่ไม่ควรรัก นางกลับทำร้ายคนรอบข้างไปถึงขนาดนี้นางก็พึ่งรู้ตัวเอง นางนี้ช่างมืดบอดเสียเหลือเกินทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ?

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ตบเรียกสติเพื่อนสาว เพื่อนสาวร้องไห้อยากจะไปซบอกผู้ชาย หวายๆ
รางวัล: ได้รับ "ยาหอมคลายใจ" (ไอเท็มประกอบฉาก)
(ได้ยาเก่ง ยาก็คือเต็มตัวแล้ว ยาทางจิตทั้งนั้น)