จวนพระเอก (จวนต้าซือคงแห่งต้าฮั่น)

[คัดลอกลิงก์]
จวนสกุลเถียน จวนพระเอก

จวนพระเอก

{ จวนต้าซือคงแห่งราชสำนักฮั่น }
【 จวนต้าซือคง 】
「 วางกลศึกในเงามืดสำเร็จได้ด้วยความสงบงัน นอกเปี่ยมเมตตาในซ่อนคมดาบ ยิ้มพรายซุกใต้ลิ้น 」
ในยามรัตติกาลที่ทุกเรือนหลับใหล จวนพระเอกกลับสว่างไสวด้วยโคมไฟที่ไม่มีวันดับ เปลวไฟมิได้ให้ความอบอุ่นแก่แขกผู้มาเยือนหากแต่เป็นแสงที่เผยให้เห็นเงาซ่อนเร้นและกลลวงที่ถูกวางไว้ราวกับหมากรุกกลางคืน บันไดหินที่ทอดขึ้นหน้าประตูเหมือนนำทางสู่วิหารแห่งปัญญา หากแต่แท้จริงแล้วมันคือน่านน้ำที่ล่อให้เหยื่อก้าวเข้าสู่กรงเล็บของอสรพิษ เสียงกลองไม้ที่ตั้งตระหง่านสองฝั่งประตู มีไว้ไม่ใช่เพื่อประกาศสงคราม แต่เพื่อเตือนว่า

"เจ้ากำลังย่างเท้าเข้าสู่แดนที่แม้ความจริงยังต้องหลีกเร้น"

คำเล่าลือบอกว่า จวนแห่งนี้คือสถานที่ที่ ‘เงา’ ดำรงอยู่อย่างสง่างามพอ ๆ กับเจ้านายผู้เป็นหนึ่งในเสาหลักราชสำนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าความสวยงามที่เห็นนั้น มิได้มีราคาต้องจ่ายด้วยเลือด
เถียนเฟิง
【 เจ้าของจวน 】
「 ต้าซือคงแห่งราชสำนักฮั่น • เถียน เฟิง ผู้บงการรัตนากร 」
มหาเสนาบดีตรวจการแห่งราชสำนักฮั่น หนึ่งในขุนนางคนสนิทขององค์จักรพรรดิ ผู้ได้รับเกียรติให้สืบทอดตำแหน่งใหญ่หนึ่งในสามซานกง ‘ต้าซือคง’ เป็นบุรุษที่ภายนอกเพียบพร้อมด้วยมารยาทและความสุขุมเฉียบคม 
ทว่าเบื้องหลังกลับเป็นจอมวางแผนมากอุบายที่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างเหนือชั้น ชำนาญในศาสตร์แห่งการล่อหลอกและวิเคราะห์ใจคน ราวกับอสรพิษที่ซ่อนเขี้ยวเงียบงัน โดยจะเผยพิษก็ต่อเมื่อเป็นคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเท่านั้น
 

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 9186 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 13:09
โพสต์ 2025-7-18 16:23:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโฉ่ว เวลา 01.00 - 03.00 น. ณ ถนนสิบลี้ จวนสกุลเถียน จวนพระเอก

อีเว้นท์ เงาจันทร์เหนือถนนสิบลี้


แม้ยามโฉ่วจะล่วงเข้าสู่ช่วงปลายยามดึกจนเมืองฉางอันเริ่มเงียบสงบ แต่สองเงาร่างกลับยังคงเดินต้วมเตี้ยมอย่างยากลำบากอยู่ริมถนนสิบลี้เสียงรองเท้าผ้าขูดกับพื้นกระเบื้องหินดังเป็นจังหวะเดียวกับเสียงบ่นอุบของหญิงสาวคนหนึ่งที่แบกมหาเสนาบดีผู้เมาหนักเกินอธิบาย “โอ๊ย…ยังจะมากอดแน่นอีกนะ! แค่พามาส่งถึงจวนก็นับว่าบุญคุณท่วมหัวแล้วนะรู้มั้ย!” หลินหยาคำรามในลำคออย่างเหน็ดเหนื่อยจนแทบเข่าอ่อน มือข้างหนึ่งจับแขนเสื้อของเถียนเฟิงไว้ไม่ให้เขาล้มคว่ำ ส่วนอีกมือก็ยังคงคอยดึงหมวกไม้ไผ่ให้ปิดหน้าของเขาไว้…ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข่าว ‘ใต้เท้าเถียนเฟิงเมาจนต้องให้หญิงสาวหิ้วปีกกลับบ้าน’ ได้ขึ้นหัวข่าวของพวกแม่ค้าปากตลาดแน่


จนกระทั่ง…เธอก็เหลือบตาขึ้นมองไปข้างหน้า แล้วเห็น… “อะ…อะไรวะนั่น?” หลินหยาหยุดชะงักเท้า ป้ายไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่ปักสง่าอยู่หน้าประตูจวนใหญ่โตหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่หัวถนน เรียบง่ายแต่พอขยับเข้าไปใกล้ก็เห็นอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ด้วยหมึกสีทองอร่าม…


จวนพระเอก (主角府)


“…………………………………..”



หลินหยาถึงกับตัวชะงักแล้วหยุดอยู่กับที่ดวงตาของเธอเบิกกว้างราวกับเผลอกลืนน้ำตาลทรายเข้าปากทั้งกระสอบ “จวน…พระเอก…?” เธอทวนในใจซ้ำอีกครั้งแล้วค่อย ๆ หันมามองชายที่ยังฟุบกับไหล่นางอยู่ “ใต้เท้า…นี่คือ…จวนของท่าน?” เถียนเฟิงที่ยังเมาอยู่ครึ่งค่อนสติสะบัดมือชี้ไปที่ประตูอย่างองอาจ…ไม่สิ…อย่างเมา ๆ พร้อมกับเสียงครางในลำคอ “อือ…บ้านข้า…”


หลินหยากัดฟันกรอดตอนได้ยิน “ใครมันตั้งชื่อจวนตัวเองว่าจวนพระเอกวะ!!” เธอเกือบจะพูดออกมาดัง ๆ แล้วจริง ๆ ด้วย ทว่าเสียงของเธอกลับติดในลำคอเพราะมันทั้งขำทั้ง…โคตรเสร่อ โอ๊ยยยย บ้าชิบหาย! ตั้งชื่อบ้านตัวเองว่าจวนพระเอกเนี้ยนะ?!? นางแทบจะล้มเข่าอยู่ตรงนั้น…นี่มันระดับความมั่นหน้าในตำนาน! นี่คือระดับบัณฑิตหัวแถวของแผ่นดินที่ควบตำแหน่งเสนาบดีประจำราชสำนักนะเว้ย! แล้วไอ้ชื่อ ‘จวนพระเอก’ นี่มันอะไรกัน!? “ท่านนี่มัน…ไม่ได้แค่เมา…แต่แม่งบ้าด้วย!” หลินหยาแทบกระโดดเตะป้ายจวนให้ปลิวไปจากโลก


บ่าวชายสองคนที่เฝ้าประตูยังอยู่ไกลแต่ก็เริ่มสังเกตเห็นเงาคนเดินมาแล้ว หลินหยาพยายามตั้งสติ ประคองมหาเสนาบดีในชุดสบาย ๆ อย่างแน่นหนาแล้วสูดหายใจเข้าลึก "เอาวะ…ชื่อจวนแม่งจะเสร่อยังไงก็ช่างมัน...แต่ช่วยไม่ได้…" ก่อนจะสะบัดหน้าเบา ๆ แล้วเดินลากชายหนุ่มเมาเหล้าคนหนึ่งเข้าจวนที่ชื่อเสร่อที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างจวนพระเอกไปด้วยความอดกลั้นที่สุดในชีวิตของนาง แบบไม่ให้ขำน่ะนะ ระหว่างนั้นเสียงพึมพำของเถียนเฟิงยังไม่เลิก


เมื่อหลินหยาก้าวมาถึงหน้าประตูจวนพระเอก พร้อมกับร่างของชายผู้สูงศักดิ์ที่แทบจะแบกร่างเองไม่ไหวความหนักหน่วงไม่ใช่เพียงจากร่างของใต้เท้าเถียนเฟิงเท่านั้น แต่ยังเป็นความอับอายที่ต้องพามหาเสนาบดีแห่งต้าฮั่นกลับบ้านในสภาพ...เมามายยิ่งกว่าขอทานข้างถนนอีก บ่าวชายทั้งสองคนที่เฝ้าประตูยามตอนแรกก็ยืนนิ่งเงอะงะสีหน้างุนงงพอเห็นสาวแปลกหน้ามาพยุงคนในชุดดีแต่เดินเซมาถึง 


“หยุดก่อน! ที่นี่จวนขุนนาง เจ้ามาทำอะไร!?”


หลินหยาที่ตอนแรกเหนื่อยจนไม่คิดจะเถียงเงยหน้าพลางก้าวอีกข้างอย่างมั่นใจเข้าไปใต้โคมไฟตรงซุ้มหน้าประตู ยกมือข้างหนึ่งค่อย ๆ ถอดหมวกไม้ไผ่ออกจากหัวของคนที่แนบหน้าอยู่กับไหล่นาง ทันใดนั้นเอง...แสงจากโคมก็สาดส่องเข้าที่ใบหน้าคมสันของผู้เป็นนายเหนือหัวของบ่าวทั้งสอง “นายท่าน!?” เสียงตะโกนหลุดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทั้งสองถึงกับหน้าถอดสีตกตะลึง รีบพุ่งเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ พยายามจะประคองนายของตนให้พ้นจากร่างของหญิงสาวที่ดูท่าจะตัวเล็กกว่าเสียอีก


ทว่า…


“อื้อ…” เถียนเฟิงส่งเสียงในลำคอราวกับไม่พอใจก่อนจะขยับแขนยาว ๆ ของตนที่โอบรัดไหล่หลินหยาแน่นหนึบเข้าไปอีก สะโพกเขายังแทบแนบติดกับเอวนางไม่ปล่อย เถียนเฟิงในสภาพนี้...กลายเป็นงูเมาเหล้าเกาะแน่นเหมือนเด็กติดแม่ไม่ต่างกัน “ข้า...จะไปไหนก็ต้องไปกับ...หลินหยา...” เขาพึมพำเสียงอู้อี้กลิ่นเหล้าหอมจางกระแทกจมูกจนหลินหยาเบ้ปากแทบจะกลั้นหายใจ


'โอ๊ย…เอ็งจะเกาะแน่นไปถึงไหนวะไอ้พระเอกของจวนเนี่ย!' กระซิบกับเถียนเฟิงเพราะเขาควรจะให้ผู้ชายตัวใหญ่ประคองมากกว่านะ


“นายท่าน...ให้ข้าประคองเถอะขอรับ ท่านจะ...” 


“ไม่ต้องยุ่ง…” เสียงตอบของใต้เท้าเถียนเฟิงตัดบ่าวชายด้วยน้ำเสียงเมา ๆ แต่เด็ดขาด ดวงตาคมเข้มแม้พร่าเบลอแต่ก็ยังเปล่งรัศมีอำนาจจนบ่าวทั้งสองถึงกับชะงัก หลินหยาหันไปมองบ่าวทั้งสองด้วยสีหน้าปลงสุดขีด 'เอ่อ…ข้าแค่จะพามาส่ง ไม่คิดจะมาเป็นหมอนวดประจำจวนนะท่าน' รอบนี้ก็หันไปกระซิบกับใต้เท้าเหมือนเดิม ปล่อยสักกะทีเถอะ


“คุณหนู…เรื่องนั้น...ข้าเห็นแล้วก็ขอบพระคุณอย่างยิ่ง...” บ่าวคนหนึ่งโค้งตัวแทบจะแปะหน้าลงพื้น หลินหยาพ่นลมหายใจแรง “แล้วแบบนี้ข้าจะทิ้งเขาไว้ที่หน้าประตูเลยได้มั้ยล่ะ?”


“มะ...ไม่ได้หรอกขอรับ! เชิญคุณหนูเข้ามาข้างในก่อนเถิด ให้ท่านพักที่ศาลารับรองก็ได้!” หลินหยาหรี่ตามองร่างที่ยังคงกอดแน่นอยู่เหมือนปลิง “ท่าน ท่านชายปล่อยก่อนสิค่อยพูดกัน!” แต่ไม่ว่าจะสั่งด้วยเสียงอ่อนเสียงแข็ง เถียนเฟิงกลับไม่แม้แต่จะกระดิกปลายนิ้วที่จะปล่อยเธอ “...ข้าจะไป...กับเจ้าหลินหยา…” 


บ่าวทั้งสองเมื่อได้ยินถึงกับเหงื่อตกไปตาม ๆ กัน ยิ่งเห็นสีหน้าของสาวน้อยที่ถูกโอบรัดราวกับคุณชายผู้รักเดียวใจเดียวในนิยายรักก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก แต่เพราะความเป็นห่วงนายตนเองเลยกะว่าจะเข้ามาช่วยอีกรอบ บ่าวชายทั้งสองยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้ามาแตะปลายชายเสื้อของผู้เป็นนาย ใต้เท้าเถียนเฟิงในสภาพเมามายกลับยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน พลางหลุบตาครึ่งปิดมองพวกเขาราวกับราชสีห์ผู้ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของรัก แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ชัดเจนยิ่งนัก


“ไม่ต้อง…ไม่ต้องยุ่ง…ข้าให้ สาวใช้ของข้า พาไปก็พอแล้ว…”


บ่าวทั้งสองถึงกับหยุดฝีเท้ากลางอากาศ มองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ก่อนที่ทุกเสียงจะดับลงในทันทีเมื่อใต้เท้าเถียนเฟิงหมุนใบหน้าเยิ้ม ๆ ไปทางหลินหยา ดวงตาคมกริบแต่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์สุรานั้นจ้องมองเธอราวกับจะกลืนกิน ดั่งสายตาเสือที่ลืมโลก ลืมยศศักดิ์ เหลือเพียงสิ่งเดียวในความสนใจของเขาคือ “ใช่ไหม… สาวใช้หลินหยาของข้า…? เสียงของเขาหวานเจือแหบติดปลายลิ้น กลิ่นเหล้าหอมแรงจนทำให้หลินหยาเผลอกลั้นหายใจแล้วสบถในใจอย่างเงียบ ๆ นางยังไม่ทันได้อ้าปากตอบอะไรเลย เถียนเฟิงก็โอบรัดร่างของเธอแน่นเข้าอีกดึงเอวเข้ามาแนบชิดกาย ข้างหนึ่งโอบเอว อีกข้างยกขึ้นเกาะไหล่ไว้มั่นอย่างไม่อายฟ้าดิน


“ข้าง่วงแล้ว…รีบพาข้าไปพักที่ห้องทีเถิด…” เสียงมันหวานเสียจนแม้แต่บ่าวชายทั้งสองยังเผลอกลืนน้ำลาย แล้วหันมามองหลินหยาด้วยแววตาตื่น ๆ เหมือนจะถามว่า ใช่แล้ว นางไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาแล้วแน่ ๆ...หรือว่าจะเป็น...?


หลินหยาอึ้งค้างอยู่ในสภาพคนที่โดนโอบรัดแน่นขนาดหายใจไม่ถนัด นางพยายามควบคุมสีหน้าให้ดูเหมือน ข้าคือสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์และภักดีต่อใต้เท้าผู้เมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ในใจนั้น…โอ้ยยยยยย จะบ้า! ชื่อข้ายังไม่กล้าพูดเลยนะว่าเป็นหลินหยาเพราะถ้ามีใครจำได้ว่าเคยอยู่หอว่านหงเหริน งานจะเข้าอีก!’ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดยิ่งเขาโอบยิ่งร้อนยิ่งกลิ่นเหล้ายิ่งแรง ไอ้สภาพนี่มันไม่ใช่แล้ว! คนทั่วไปเห็นจะคิดว่านางเป็นสาวใช้ที่หล่นมาจากหอว่านหงเหรินมารับจ้างอบอุ่นเตียงให้ใต้เท้าเสียแล้ว!


แต่นางยังต้องเก็บทรงให้ดีจำไว้หลินหยา…ข้ายังต้องอยู่รอดในเมืองนี้ ข้ายังไม่อยากถูกลากไปสอบสวนฐานหลอกลวงใต้เท้า…ข้ายังไม่อยากเจอขังอีกแล้ว “เอ่อ…ได้เจ้าค่ะ…นายท่าน…” เสียงตอบแผ่วแทบหลุดหัวเราะหลุดร้องไห้ไปพร้อมกัน บ่าวชายสองคนหันหลังทันทีอย่างรู้หน้าที่ ‘ไม่มอง ไม่ฟัง ไม่พูด’ ปล่อยให้นายเหนือหัวของตนแนบสนิทกับสาวใช้จำเป็นที่เหมือนจะไม่ได้เป็นสาวใช้ไปมากขึ้นทุกที และแล้ว…หลินหยาก็ต้องพาร่างเมาเยิ้มของหนึ่งในคนที่อันตรายที่สุดในราชสำนักเดินฝ่าความเงียบสงบของยามวิกาล ผ่านเรือนหลังงามของจวนพระเอกด้วยสภาพที่คนผ่านเห็นจะต้องขยี้ตาซ้ำสอง


ภายในห้องของใต้เท้าเถียนเฟิงนั้นสงบเยียบมีเพียงแสงโคมสลัวจากมุมห้องที่ไหววูบเล็กน้อยเมื่อประตูถูกเปิดออก ผ้าม่านไหมโปร่งสีน้ำตาลเข้มแหวกออกด้วยลมเย็นโชยมาเบา ๆ ห้องนี้มีทั้งกลิ่นของหมึกพู่กัน กลิ่นชาแห้ง และกลิ่นจาง ๆ ของกฤษณา...ทั้งหมดนี้หลอมรวมกันเป็นกลิ่นประจำตัวของผู้ครองห้อง ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนก้าวเข้ามาในอาณาเขตของคนที่ใช้สมองและกลอุบายอย่างเงียบงันตลอดวัน "ตรงนี้เหรอ...เฮ้ออ หนักเป็นบ้า..." หลินหยาโอดเบา ๆ พลางลาก...ไม่สิ พยุงเถียนเฟิงมาจนถึงเตียงหลังใหญ่ที่ปูด้วยผ้าไหมหนาทอลายดอกเมฆมงคล นางแทบล้มลงไปพร้อมเขาเมื่อประคองมาจนถึงขอบเตียง


ตุ้บ! เสียงร่างของเถียนเฟิงทิ้งตัวลงบนฟูกหนานุ่มดังกว่าที่คิด ใบหน้าแดงก่ำซบหมอนข้างตัวหนึ่ง มือข้างหนึ่งยังไม่ปล่อยชายเสื้อของหลินหยาอย่างเหนียวแน่น "โอ๊ย เอามือออก...หลับก็หลับให้มันดี ๆ สิท่าน..." นางสบถขณะปลดมืออีกคนออกเบา ๆ แล้วลุกขึ้นหายใจเฮือกยืดตัวบิดขี้เกียจหน่อยเพราะหลังแทบหัก หลินหยาเดินไปปิดประตูปิดหน้าต่างแล้วกลับมาใหม่ ก่อนจะย่อตัวลงข้างเตียงมองใบหน้าของเถียนเฟิงที่ตอนนี้ดู…แปลกตา


ไม่ใช่เพราะหล่อขึ้น...แต่เพราะดู อ่อนแอแบบแปลก ๆ นี่สิ งานเยอะแน่เลย คนที่ปกติคมเหมือนมีด พูดอะไรมีแต่คำคมแฝงดาบ บัดนี้นอนหน้าหลับตาพริ้มเหมือนเด็กชายวัยแปดขวบที่ถูกจับขังกลางแดดจนเป็นไข้… "ให้ตายเถอะ..." หลินหยาเอ่ยอย่างจนใจเธอลูบหน้าผากเขาเบา ๆ ก็พบว่าร้อนรุ่ม ๆ ไหนจะเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามไรผมอีก เธอลุกไปหยิบผ้าชุบน้ำ แล้วกลับมาซับให้เขาตรงขมับหน้าผากแก้มแล้วถอนหายใจยาว "เหมือนพี่ข้าตอนเมาเปี๊ยบ...แต่นี่คือมหาเสนาบดีนะเว้ย ไม่ใช่คนทหารอาสาเฝ้าชายแดนเหมือนพี่ข้า..."


เมื่อคิดได้อย่างนั้นนางก็จำใจลุกขึ้นช้า ๆ เอื้อมมือไปปลดเสื้อคลุมของเขาออกทีละชั้นอย่างระมัดระวัง นิ้วเรียวสั่นนิด ๆ เพราะอย่างไรเสียนี่ก็คือชายหนุ่มที่นางรู้จักในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ มิใช่พี่ชายตนจริง ๆ ผ้าค่อย ๆ ถูกปลด เส้นไหมลื่นมือเผยให้เห็นแผ่นอกที่ไม่ถึงกับแข็งกร้าวแต่ก็ดูมีแรง มีร่องรอยของกล้ามเนื้อบาง ๆ ที่ผ่านการฝึกฝน เธอกลืนน้ำลายก่อนจะใช้ผ้าชุบน้ำค่อย ๆ ซับผิวให้เขาไล่จากไหล่ลงไปถึงแขนไม่ได้คิดพิเรนอะไรนะ...แต่ก็


"อย่าให้ข้ารู้สึกแปลก ๆ ไปมากกว่านี้เลยนะ ใต้เท้าเถียนเฟิง...สายตาข้าจะเสียหมดแล้วตอนนี้" แต่เหมือนเสียงกระซิบของเธอจะปลุกบางอย่างในตัวเขา ริมฝีปากที่ดูหลับนิ่งกลับขยับขึ้นเอ่ยเสียงเบา...เบาเหมือนลมผ่านร่องไม้ “...เจ้าจะ...ทิ้งข้าไปหรือไม่...อีกคนแล้วหรือเปล่า...”


หลินหยาชะงักฝ่ามือยังวางอยู่ตรงช่วงอกเขา สายตาเธอเบิกเล็กน้อยขณะเงี่ยหูฟัง แต่นั่นคือทั้งหมดที่เถียนเฟิงพูดก่อนที่เขาจะพลิกกายเล็กน้อย มือที่หลุดจากชายเสื้อเมื่อครู่กลับเอื้อมมาคว้าเธอไว้ แน่นหนึบอีกครั้ง


"เวรเอ๊ย..." นางสบถพลางมองขึ้นเพดานก่อนถอนใจแรงสุดในรอบวัน “คนเมาไม่ควรอยู่คนเดียว...แต่ข้าก็ไม่ควรอยู่กับคนเมาแบบนี้คนเดียวเหมือนกัน!” ทว่าสุดท้าย...หลินหยาก็ยอมทิ้งตัวลงนั่งพิงเตียงอีกครั้งปล่อยให้แขนอีกคนโอบเอวไว้ไม่ปล่อย แล้วกระซิบเบา ๆ ข้างหัวเขา “ก็ได้ ข้าจะอยู่...แต่แค่นอนเฝ้านะเฟ้ย ไม่ใช่นางโลม ไม่ใช่เมีย ไม่ใช่สาวใช้ที่ท่านคิดจะลวนลาม” หลินหยานั่งคุกเข่าเงียบ ๆ ข้างเตียงโดยไม่แตะต้องสิ่งใดอีกนอกจากชายผ้าห่มที่พาดขึ้นคลุมร่างของใต้เท้าเถียนเฟิงนางไม่แม้แต่จะยอมนั่งบนเตียงด้วยซ้ำ ในห้องเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ จากชายตรงหน้าและเสียงลมกลางดึกที่ลอดผ่านช่องไม้ของหน้าต่างเรือนเท่านั้น


นางยกพัดไหมที่วางทิ้งไว้ข้างเตียงขึ้นพัดเบา ๆ พลางเอนตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของชายที่กำลังเมาหลับสนิทด้วยความเป็นนักดื่มโดยสัญชาติญาณ หลินหยาค่อย ๆ ก้มหน้าเข้าไปใกล้จมูกของเขา สูดลมหายใจเบา ๆ "หืม..." เสียงครางในลำคอเบา ๆ อย่างงุนงงดังขึ้นจากนางเอง กลิ่นเหล้าคลุ้งอ่อน ๆ ไม่หวานจัดแบบเหล้าดอกไม้ ไม่แหลมแบบเหล้าผลไม้บางชนิด และไม่กลมลึกแบบเหล้าเก่าเก็บของนักสะสม มัน...นุ่มละมุน มีรสฝาดลึกที่ปลายลิ้นแต่แผ่กลิ่นหอมอบอุ่นอย่างประหลาด อารมณ์คล้ายเหล้าธัญพืชหมักหลายชนิดรวมกัน มีทั้งกลิ่นข้าวฟ่าง หัวมันป่า และกลิ่นจาง ๆ ของใบพุทราที่ผ่านการรมควัน


หลินหยาขมวดคิ้วพึมพำเสียงแผ่วเหมือนคนคิดเลขในใจ “ไม่ใช่สุราไผ่เขียว...ไม่ใช่สุราเซียนเมามายหรือนารีแดงด้วยซ้ำแต่มันแรงมากเลย” หลินหยาที่ดมกลิ่นยังรู้อ่ะว่าเหล้าแรงมากเลย “บ้าเอ๊ย...ใครมันเสิร์ฟสุราแรงขนาดนี้ให้ท่านวะเนี่ย?! สุรากลิ่นแบบนี้ไม่ใช่ของที่ใครจะดื่มเล่น ๆ ได้เลยนะ...มันแรงพอจะทำให้คนที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเดินชนประตูตายโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ!” นางยกแขนขึ้นเท้าคาง มองหน้าเถียนเฟิงที่ยังหลับสนิทอยู่ใบหน้าเขาแม้จะหลับแต่ก็ยังดูเครียดเหมือนฝันร้าย นางถอนใจอีกเฮือกหนึ่งอย่างจนใจ “ปกติท่านก็ไม่ใช่คนเมาง่ายแบบนี้...ถูกหลอกให้ดื่มแน่ ๆ...หรือโดนมอมกันแน่วะ?”


หลินหยาหรี่ตามองข้างเตียงหยิบผ้าผืนเล็กอีกผืนมาเช็ดซ้ำตามไรผมให้เขาอีกครั้ง ก่อนที่เสียงพึมพำต่ำ ๆ จะหลุดจากริมฝีปากคนเมา “...อืออ….ไม่กินแล้ว” เธอชะงักหันมองเขาทันทีที่ได้ยิน "หา? ใต้เท้า พูดอะไรนะ?" นางกระซิบ แต่คนตรงหน้ากลับพูดเหมือนละเมอ “...จางทัง…หิว…กินไม่ไหวแล้ว”


หลินหยารู้สึกเหมือนเลือดในกายเย็นวาบ ความรู้สึกเย็นหลังคอแล่นขึ้นไปถึงท้ายทอย ริมฝีปากนางขยับพึมพำเบา ๆ “…มันเกี่ยวกับ...เรื่องนั้นงั้นหรือ…” เธอลูบผมเขาเบา ๆ อย่างระมัดระวัง คล้ายจะปลอบแต่ก็ไม่กล้าแนบชิดเกินไป ทว่ามือของอีกคนกลับเอื้อมมากุมมือเธอไว้ในจังหวะที่นางเผลอ ไม่แน่น ไม่หลวม แต่มั่นคงราวกับกลัวว่าสิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะไว้ใจจะหายไปจากมืออีกครั้ง "เวรแล้วสิ..." นางพึมพำเบา ๆ หน้าเหวอไปชั่วขณะ “...เออ ๆ อยู่ก็อยู่...” หลินหยาทรุดตัวนั่งลงพิงเตียงอีกรอบ สบถเบา ๆ กับตัวเองเหมือนจะบ่นแต่สุดท้ายก็ยอมเฝ้าคนเมาอยู่ดี


มือข้างหนึ่งของหลินหยาถูกกุมไว้แน่นหนาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้น้ำหนักจะไม่ถึงกับรั้งแรงจนเจ็บ แต่มันมั่นคงพอจะทำให้หญิงสาวที่คิดจะขยับหนีต้องชะงักนิ่ง มืออีกข้างของนางยังวางค้างอยู่บนผืนผ้า หัวใจที่เคยเต้นด้วยความเหนื่อยล้าจากการพยุงคนเมาหนัก ๆ มาไกลครึ่งเมืองเริ่มเปลี่ยนจังหวะ... กลายเป็นบางสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่รู้จะเรียกว่าความเอ็นดู ความสงสาร หรือ...ความเป็นห่วงดี นางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นระหว่างคิ้วของใต้เท้าเถียนเฟิง พลางถอนหายใจยาว มุมปากที่เคยดุเคยกัดกลับกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


"ท่านนี่มัน..." นางพึมพำพลางขยับตัวเบา ๆ ให้เขายังได้กุมมืออยู่แต่ตนเองได้เปลี่ยนท่าจากนั่งคุกเข่ามาเป็นนั่งขัดสมาธิแทน กอดเข่าข้างหนึ่งไว้เบา ๆ ขณะพิงข้างเตียง “ข้าปวดเข่าแล้วนะ...บอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าข้าชามือจนดึงไม่ออกละก็...ท่านจะต้องนวดให้ข้าเป็นชั่วยามเลยล่ะ” เถียนเฟิงครางต่ำในลำคอราวกับละเมอหรือไม่ก็สื่อสารในภาษาที่ฟังไม่ออก ใบหน้าที่หลับใหลยังคงไม่คลายความเคร่งเครียด หลินหยามองเขาอีกครั้งนัยน์ตาที่เคยฉายแววขี้เล่นในยามปกติของนางตอนนี้กลับมีเพียงความเงียบสงบแปลกตา


"เถียนเฟิง..." เสียงของหลินหยานุ่มนวลลงมาก “ไม่เป็นไรนะ...ไม่มีใครมาทำร้ายท่านที่นี่หรอก” นางพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ แม้รู้ว่าเขาอาจไม่ได้ยินทั้งหมด แต่เธอก็ยังเลือกจะพูดออกมา “ข้าอยู่นี่ไง อยู่ตรงนี้ จะเฝ้าจนกว่าท่านจะหลับดี ๆ จนกว่าอาการเมาจะทุเลา ข้าจะไม่ให้ใครมาวุ่นวายกับท่าน”


“นอนได้แล้วนะ ท่านเหนื่อยมามากพอแล้ว...” เธอเอ่ยพร้อมยิ้มบาง ๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าคนที่นอนหลับสนิท ใต้แสงโคมจันทราที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามาพาดผ่านลงบนร่างของชายผู้ครองตำแหน่งสูงสุดในหมู่ขุนนางพลเรือนแต่ในยามนี้กลับกลายเป็นเพียงชายผู้แบกรับโลกทั้งใบเอาไว้บนบ่าด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเกินจะเอ่ย เสียงลมหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอขึ้นค่อย ๆ กลืนหายไปในความเงียบสงัดของเรือน ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่างที่ร่วงผ่านม่านไม้ไผ่ สะท้อนเงาของหญิงสาวที่นั่งพิงอยู่ข้างเตียงอย่างเงียบงัน



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: นั้นละฺฮะ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

หากผละออก คุณรีบออกจากห้องและแจ้งพ่อบ้านขอตัวกลับก่อน และบอกพ่อบ้านอย่าเพิ่งให้ใครเข้าไปรบกวนใต้เท้า  โพสต์ 2025-7-18 17:14
(ทางเลือก) เถียนเฟิงดึงคุณจนล้มลง ร่างทั้งสองแนบชิดกัน (1) คุณผละออก | (2) สมยอม  โพสต์ 2025-7-18 17:13
โพสต์ 69981 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 16:23
โพสต์ 69,981 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-18 16:23
โพสต์ 69,981 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-18 16:23
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-18 18:45:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโฉ่ว เวลา 01.00 - 03.00 น. ณ ถนนสิบลี้ จวนสกุลเถียน จวนพระเอก

อีเว้นท์ เงาจันทร์เหนือถนนสิบลี้


ใต้เงาโคมจันทราที่อ่อนแสงลงอย่างแผ่วเบา เสียงสายลมยามราตรีที่พัดผ่านม่านไม้ไผ่ข้างหน้าต่างดังคล้ายเสียงกระซิบเตือนเงียบ ๆ ว่าค่ำคืนนี้ยังไม่สิ้นสุดง่ายดายนัก หลินหยาเองก็คงไม่คาดคิดว่าความเงียบอันสงบที่นางตั้งใจจะมอบให้จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นบางสิ่งที่อึดอัดเกินคาดหมาย ขณะที่นางยังนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยใจคิดเพียงเฝ้าให้อีกคนหลับพักให้สนิทที่สุดนั้นเอง มือที่กุมไว้กลับขยับกระชับแน่นขึ้นกะทันหัน ราวกับเจ้าของร่างที่เคยเหมือนหลับใหลนั้นกำลังตื่นคืนด้วยสัญชาตญาณมากกว่าสติ ร่างสูงขยับตัวช้า ๆ ลุกขึ้นด้วยแรงที่ไม่มากแต่ก็เพียงพอจะทำให้หลินหยาที่นั่งอยู่ต้องขยับตัวตามอย่างเผลอไผล ทว่าในเสี้ยวลมหายใจถัดมาร่างของนางกลับถูกคว้าเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


"ฮะ..! ท่าน?! เถียนเฟิง!" หลินหยาอุทานในคอด้วยน้ำเสียงต่ำ แต่อีกคนไม่ทันได้ตอบโต้ด้วยคำพูด มีเพียงแรงโน้มที่เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยแต่กลับทรงพลังเกินจะต้าน เมื่อฝ่ามือแกร่งประคองที่บ่าของนาง ก่อนจะผลักให้ร่างหล่อนล้มลงกับพื้นเตียงข้างกายเขาอย่างนุ่มนวลแต่ไม่เปิดโอกาสให้ขัดขืน กลิ่นสุราผสมกลิ่นเนื้อผ้าร้อนจากร่างชายที่ยังครุกรุ่นด้วยไอร้อนของการดื่มจัดกำจายออกมาท่วมท้น แม้หลินหยาจะขืนกายเพียงเล็กน้อยแต่เขากลับแนบชิดเข้ามายิ่งกว่าเดิมจนสัมผัสได้ถึงแรงหายใจที่รินรดข้างแก้ม


"ท่านจะทำอะไรน่ะ..." นางเอ่ยเสียงเบาแต่ไม่ได้นุ่มนักน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจปนระวังตัว ริมฝีปากเม้มแน่นแต่ดวงตากลับไม่ได้หลบเลี่ยงหากแต่มองอีกคนราวกับกำลังพยายามอ่านความหมายในดวงตาคู่นั้น


เถียนเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจาใดในทันที เพียงแต่กระซิบด้วยเสียงพร่าเหมือนคนหลงทางในหมอกหนัก "...เจ้า...อยู่ตรงนี้เถอะ..." มือที่เคยมั่นคงของหลินหยากลับสั่นนิด ๆ อย่างน่าประหลาด นัยน์ตาที่มักเฉียบคมยามว่าราชการกลับพร่าเลือนเหมือนคนแบกรับสิ่งที่หลุดลอยจากการควบคุมได้ไม่หมด


ภายใต้แสงโคมที่ทอดแสงสลัวบนเตียงนอนของต้าซือคง ผู้ซึ่งในยามปกติเปี่ยมด้วยบารมีและเล่ห์กลกลับทิ้งซากภาพลักษณ์ทั้งหมดลงไว้บนหมอนอย่างหมดท่า มือที่ใหญ่และอุ่นของเขายังยึดกุมข้อมือของหญิงสาวไว้แน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวเธอจะกลายเป็นเพียงภาพฝันในความร้อนรุ่มที่พลุ่งพล่านในกาย สำหรับหลินหยาที่กำลังนอนราบบนตั่งเตียงของใต้เท้าเถียนเฟิงแผ่นหลังตึงเครียดเมื่อรู้สึกถึงสายตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างแน่วแน่ ลมหายใจของเขาเป่ารดไหล่เปลือยเพียงน้อยนิดที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมา และในวินาทีต่อมาร่างของเขาก็ขยับก้มลงมาอย่างช้า ๆ จนเป็นฝ่ายตรึงนางไว้ด้านล่างโดยไม่ทันให้ตั้งตัว


“ตะ…ใต้เท้า... ท่านเมาแล้วนะ…” เสียงของนางสั่นไหวเล็กน้อยขณะพยายามยันอกเขาไว้ แต่กลับต้องเบิกตากว้างเมื่อปลายนิ้วของเขาลูบไล้ตามแนวกรามของนางช้า ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาอย่างไม่เปิดโอกาสให้ต่อต้าน


“ก็เพราะเมา…ถึงกล้าทำสิ่งที่ไม่ควร…”


เสียงแหบพร่าต่ำลึกของเขาเอ่ยอยู่เหนือริมฝีปากนาง ลมหายใจของเขาแตะต้องผิวแก้มนวลราวกับขนนก ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะขบเม้มเบา ๆ ที่ข้างลำคอ สัมผัสนั้นทำให้หลินหยาขนลุกวาบทันทีทั้งร่างราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเส้นประสาททุกจุด เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ นางเม้มปากแน่นพยายามห้ามตัวเองแต่มือของเขาเลื่อนลงมาวางทาบสะโพก แล้วรั้งให้ร่างทั้งสองแนบชิดยิ่งกว่าเดิม ความต่างของสัดส่วนทำให้หน้าอกอิ่มแนบกับแผ่นอกกว้างของเขาแทบไร้ช่องว่าง กลิ่นกายของบุรุษที่กรุ่นกลิ่นเหล้าหอมเจือกลิ่นกฤษณาจาง ๆ โอบล้อมจนหลินหยารู้สึกเวียนหัวไปหมด


“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดความอ่อนแอของตัวเองมากแค่ไหน... แต่ในยามที่เจ้าอยู่ใกล้ข้าแบบนี้ ข้ากลับรู้สึก...ไม่อยากให้ใครเห็นสิ่งที่อยู่ใต้หน้ากากเลยสักคน” ฝ่ามือที่เคยเย็นเฉียบจากการจับพู่กันและฎีกากลับร้อนจัดยิ่งกว่าไฟ ลูบไล้ตามข้างเอวของนางราวกับจงใจวาดลวดลายบนผิวกาย แล้วลากขึ้นไปจนถึงแนวชายเสื้อ "อย่าลืมหายใจ..." เขากระซิบติดใบหู กัดเบา ๆ ที่ติ่งหูจนสะดุ้งเฮือก "หรือเจ้าจะยอมให้ข้าเป็นคนช่วยทำให้เจ้า…หอบหายใจ"


หลินหยาหน้าร้อนวาบ เผลอขยับตัวหนีอีกคนโดยไม่ตั้งใจ เหมือนจะเป็นการป้องกันตัวเองที่กลายเป็นการเปิดช่องให้เขารั้งตัวลงแนบชิดเสียยิ่งกว่าเดิม นางกัดริมฝีปากแน่นขณะรู้สึกถึงลมหายใจของเขาที่แนบเนื้อแน่นจนเหมือนใจจะระเบิด เขากดหน้าผากแนบกับนางอีกครั้งทั้งที่สายตาแดงเรื่อจากฤทธิ์เหล้ายังแฝงความปรารถนาและความเหนื่อยล้าเกินบรรยาย “อย่าไปจากข้าเลย...อย่างน้อยคืนนี้...อยู่ตรงนี้กับข้าก่อน” เสียงนั้นไม่ได้อ้อนวอน แต่มันอ่อนแรงอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับบุรุษที่เคยแข็งกร้าวต่อทั้งราชสำนัก หลินหยารู้ดีว่าสิ่งนี้เป็นเพราะความเมามายของสุราที่อีกคนกำลังประสบพบเจอ


ใต้แสงจันทร์สลัวที่ลอดผ่านผ้าม่านบางเบาของห้องส่วนตัวในจวนพระเอก บรรยากาศในห้องชั้นในกลับร้อนระอุขึ้นผิดจากอุณหภูมิของยามโฉ่วที่ควรจะเยือกเย็น เถียนเฟิงที่คร่อมหายหลินหยาที่อยู่บนเตียงยังไม่ได้หลับ ร่างกายอ่อนแรงจากสุราที่กลั่นจนขาวข้น สติที่พร่ามัวกำลังล่องลอยอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงและภาพฝัน ทว่าแววตาคมดั่งหมึกที่เพิ่งหยดลงกระดาษกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านวลของหลินหยาที่อยู่ใต้ร่างตนเอง มือข้างหนึ่งที่อ่อนแรงเมื่อครู่กลับกระตุกขึ้นตรึงข้อมือขาวของนางไว้แน่น เขาดึงนางขึ้นช้า ๆ โดยไม่ทันให้นางตั้งตัว แล้วพลิกพริบวูบเดียวร่างของหลินหยาก็ถูกรวบให้นั่งแนบอกแน่นกลางอกของเขาบนเตียง ราวกับว่ายิ่งใกล้ยิ่งหายใจออกได้สะดวกกว่าเดิม


"อย่า... ขยับหนีข้า" น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเจือรอยกระซิบต่ำขณะพ่นลมหายใจร้อนข้างใบหูของนาง "เจ้ารู้ไหม... กลิ่นของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนโดนเผา"


หลินหยาสะดุ้งดวงตาเบิกวาวเล็กน้อยพลางพยายามหันหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อริมฝีปากของเขาเริ่มเลื่อนเข้าใกล้ ทว่าคางของนางกลับถูกมืออุ่นร้อนจับไว้แน่น แล้วบังคับให้หันกลับมาสบตากับเขาอย่างไม่มีทางเลี่ยง เสียงถอนหายใจของนางแทบกลืนไปกับเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของตนเอง นิ้วเรียวที่มีกลิ่นเหล้าขยับปลายนิ้วลูบผ่านผิวแก้มของนางลงมายังลำคอ ปลายนิ้วอุ่นร้อนสะกิดความรู้สึกบางอย่างให้เต้นเร่าอยู่ใต้ผิวเนื้อของหลินหยา “ข้าแค่อยากให้เจ้าจำไว้… ว่าข้ายังมีชีวิต ยังมีเลือดเนื้อ และ… ยังรู้สึก”


ปลายนิ้วนั้นเลื่อนลงแผ่วผ่านแนวไหปลาร้าก่อนจะกลับมาวนเวียนตรงต้นคอของนางราวกับจะจารจำกลิ่นกาย ความอ่อนหวาน ความสั่นสะท้านไว้ในความทรงจำ ลมหายใจของเขาแนบชิดจนแทบผสานเข้ากับลมหายใจของนางแผ่นอกกว้างแนบสนิทจนรู้สึกถึงจังหวะชีพจรที่รัวสั่นไม่แพ้กัน


"เจ้ารู้ไหม ทำไมข้าถึงปล่อยให้เจ้าปีนเกลียวมาจนถึงตอนนี้? คืนนี้เจ้าจะได้เรียนรู้...ว่าแม้แต่ภาษา ‘ร่างกาย’ ก็ไม่มีสิทธิ์พูดแทรกข้าได้" เสียงนั้นกระซิบแนบข้างซอกคอของนางอย่างแผ่วเบาแต่ร้อนแรง หลินหยาหลุบตาต่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อแตะต้องปลายเส้นผมที่ระแนมนั้นด้วยลมหายใจของอีกฝ่าย ความอบอุ่นของลมหายใจนั้นไล้เล็มปลายคางของหลินหยาจนเธอเกร็งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าแทนที่จะจูบ ริมฝีปากนั้นกลับแค่แนบแผ่วเบาแล้วเลื่อนเฉียดลงข้างแก้มผ่านหูอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเพียงเย้า... แต่ไม่ยอมปลดปล่อย เส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างความล่อแหลมและความหวั่นไหวนั้นเริ่มสั่นคลอน สัมผัสที่ไม่ได้แค่เร่าร้อน แต่ซับซ้อน ราวกับเขาตั้งใจจะเผาเธอทีละชั้นด้วยเพลิงราคะที่ควบคุมได้ยากกว่าฤทธิ์สุราเสียอีก


เงาร่างของใต้เท้าเถียนเฟิงแนบใกล้เกินควรจนร้อนวูบวาบราวจะเผาใจผู้หญิงทั้งร่าง แต่หลินหยาในวินาทีนั้นกลับมิได้ไถลตกลงสู่แรงดูดเร่าร้อนของอีกฝ่าย หากกลับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมารวมตัวกันให้มั่น มือน้อย ๆ ที่เคยถูกตรึงไว้แน่นค่อย ๆ ขยับ บิดข้ออย่างคนที่เคยฝึกเอาตัวรอดในสภาวะแปลก ๆ จากหอว่านหงเหรินจนชำนาญ หลุดออกมาได้แม้จะต้องใช้น้ำหนักทั้งแขนอย่างระมัดระวังไม่ให้รุนแรงเกินไป นางยกมือขึ้นแตะแผ่นไหล่ของชายหนุ่มอย่างนุ่มนวลทว่าสายตานั้นกลับเด็ดขาดจริงจังจนน่าประหลาด


“ข้าไม่ได้อยากขัดอารมณ์ท่านหรอกนะ...” เสียงของนางไม่ดังแต่หนักแน่นพอจะตัดทะลุไออุ่นร้อนจากสุราและแรงอารมณ์ที่ยังวนเวียนอยู่ในห้อง “แต่ข้าคิดกับท่านแค่สหายเท่านั้น” น้ำเสียงที่เคยหยอกล้อกลับเปลี่ยนเป็นจริงจังแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากหลินหยา นางขยับตัวเล็กน้อย พยายามเว้นระยะห่างเท่าที่จะทำได้ แล้วเบนสายตาลงมองต่ำ...แวบเดียวจริง ๆ ก่อนจะเบิกตาขึ้นนิดอย่างตกใจตามสัญชาตญาณพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ


“อีกอย่างนะ...” นางปรายตามองขึ้นจ้องหน้าคนที่ยังหอบหายใจแรงอยู่ด้วยแรงอารมณ์จากเหล้า “ปกติเวลาเมามากน่ะ มันไม่ตื่นหรอกนะ…” มือที่แตะแผ่นอกของใต้เท้าเถียนเฟิงผลักเบา ๆ ให้ร่างนั้นผละห่างออกเล็กน้อยพอให้สายตาของทั้งคู่สบกันตรง ๆ คราวนี้ไม่ใช่แค่สุราในสายตาเขา แต่กลับมีความพร่าเลือนเหมือนถูกตีแสกหน้าด้วยความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดใส่ขุนนางใหญ่


“ดึงสติหน่อยเถอะ ท่านเป็นมหาเสนาบดีไม่ใช่หนุ่มบ้านนาเพิ่งแตะเหล้าถ้วยแรกในชีวิตนะเจ้าคะ” เสียงของหลินหยาเจือขำกลบกลิ่นตื่นตระหนก ทั้งที่ใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะนักแต่ในดวงตาของนางกลับมีความหนักแน่นแบบที่ไม่บ่อยครั้งนักจะปรากฏ เธอไม่ดึงสติเขาด้วยหมัด หรือคำด่าทอ…แต่ด้วยการทิ่มแทงด้วยความจริงและความอ่อนโยนแบบเฉพาะตัวต่างหาก


…เขาได้ยินถ้อยคำนั้น…แม้จะพร่าเลือน…แม้ดวงตาจะปรือเพราะพิษสุรา…แต่น้ำเสียงของหลินหยาชัดเจนพอจะฝ่าทะลุม่านสติที่คล้ายเปียกปอนด้วยเหล้าจนร่วงหล่นอยู่กับพื้นขึ้นมาปักกลางใจ ประโยคนั้นไม่ต่างจากกระบี่ปลายบางที่แทงสวนกลางกลางอก มิได้ทำให้เขาสะดุ้งหรือลุกผึงด้วยความโกรธดั่งชายอื่นหากแต่กลับกลายเป็นว่า…รอยยิ้มเอื่อยเฉื่อยที่ฉาบอยู่บนใบหน้าเรียวยาวที่หล่อเหลาเกินไปสำหรับคำว่าเสนาบดีกลับค่อย ๆ คลี่ออกเหมือนจะ...ขำ?


ขำในความจริง ขำในความอ่อนโยนของนางที่ยังห่วงเขาแม้กำลังถูกครอบงำด้วยแรงของอารมณ์ที่ไม่อาจระงับ


"หืม…" เสียงทุ้มต่ำราวกับคนฝันกลางวันดังอยู่ริมใบหูของนาง “สาวใช้หรือแม่ค้าอย่างเจ้าปากร้ายขึ้นทุกวันนะ…พูดราวกับไม่รู้ว่าคนเมาน่ะ…บางทีก็ ‘ตื่น’ ด้วยเหตุผลที่ต่างไปจากปกติ…” มือที่ตรึงข้อมือนางไว้คลายลงเพียงเล็กน้อย…ไม่ใช่เพราะละความตั้งใจ แต่เป็นเพราะกลัวจะทำให้เธอบาดเจ็บ เถียนเฟิงไม่ใช่คนโผงผาง เขาไม่ใช่ชายที่หลุดควบคุมง่าย ๆ แม้จะดื่มสุราเข้าไปมากแค่ไหนตอนนี้ก็ทุเลามากลงแล้ว แต่ในยามที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะในยามที่สิ่งที่อยากครอบครองอยู่ตรงหน้าในสภาพที่เขาไม่ควรแตะต้อง...กลับทำให้สตินั้นขาดวิ่น


แต่กระนั้นก็ยังพอเหลือ...เหลือพอจะสบตานาง


“หลินหยา…” เสียงของเขาแผ่วลงอย่างเยือกเย็น แต่ก็ลึกล้ำราวกับกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างที่อันตราย “ข้าควรจะขอโทษหรือขอบใจดีนะ…ที่เจ้าดึงข้ากลับมาจากขุมนรกที่ข้ากำลังจะกระโจนลงไปเอง” มือที่เคยตรึงเธอไว้เริ่มคลายออกทั้งหมด กลับกลายเป็นเพียงปลายนิ้วที่ไล้ข้อมือนางอย่างบางเบาเหมือนจะปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่ในสายตากลับไม่มีแวว ‘ปล่อย’ เลยแม้แต่นิด เขายิ้มอีกครั้ง...แต่คราวนี้ต่างออกไป “ถ้าเจ้าคิดกับข้าเป็นแค่สหายจริง ๆ...เจ้าคงไม่ยอมอยู่เฝ้าข้าถึงยามโฉ่วอย่างนี้หรอก จริงหรือไม่?” คำถามของเขาเหมือนเล่ห์กลที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ หากแต่เพียงอยากจะให้หญิงตรงหน้า ‘สั่นไหว’ เล็กน้อยเท่านั้นก็พอ


หลินหยามองใบหน้าของชายตรงหน้าที่เริ่มผ่อนลมหายใจอย่างเนิบช้า ดวงตาคู่นั้นแม้ยังไม่หลับสนิท แต่ก็ปรือด้วยฤทธิ์สุรา สั่นสะท้อนเหมือนแม้แต่เปลือกตายังไม่อยากปิดจากภาพตรงหน้า "หึ คิดเลอะเทอะ ข้าคิดกับท่าน...เป็นแค่สหายจริง ๆ ไม่มีอะไรเจือปนเลย" นางเอ่ยเสียงนุ่มแผ่วเบาอย่างกับกำลังกล่อมเด็กที่กำลังฝันร้าย “ไม่สิ บางครั้งข้ายังมองท่านเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งด้วยซ้ำ พี่ชายที่เอาแต่บ่น พี่ชายที่ห่วงเรื่องราชสำนักจนนอนไม่หลับ พี่ชายที่บางทีก็โง่เรื่องบางเรื่องยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ…” น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การปฏิเสธไม่ใช่คำหลีกเลี่ยง แต่มันชัดเจนตรงไปตรงมาและอ่อนโยนอย่างที่สุด


หลินหยาเอื้อมมือหนึ่งไปประคองศีรษะของเถียนเฟิงให้เลื่อนลงมาหนุนตักตน ช้า ๆ นุ่มนวล...อย่างที่นางเคยทำกับพี่ชายเมื่อคราวยังเด็ก “ตอนที่ท่านบอกว่าอยากนอนหนุนตักข้า ข้าคิดว่า...เอาเถอะ วันนี้ท่านก็ทำดีพอจะได้รางวัลเล็ก ๆ ล่ะนะ อย่างน้อยก็คุมสติตัวเองได้ และท่านก็ขอให้คืนนี้ข้าไม่ไปไหน” พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างยั่วล้อแบบไม่ถือสาเหลือบตามองใบหน้าคมที่แนบอยู่กับตักผ้านุ่ม ดวงตานั้นเริ่มปิดลงอย่างช้า ๆ แม้ปากยังคงขยับเหมือนจะอยากพูดอะไรอีกหลายประโยคที่ไม่ได้พูด แต่ในยามนี้…ไม่มีคำใดสำคัญไปกว่า ‘ความเงียบสงบ’ ที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในใจของเขา


ไออุ่นจากตักนุ่ม ไม่ใช่ความปรารถนาหรือแรงดึงดูดราคะ ไม่ใช่เปลวเพลิงจากเรือนร่างหรือคำเย้ายวนร้อนแรงแต่มันคือ ‘บ้าน’ เล็ก ๆ ชั่วคราว ที่เขา...คนที่เหนื่อยจนแทบไม่มีแม้แต่ที่ซบหน้าผากจะสามารถพักใจได้ เถียนเฟิงขยับใบหน้าเล็กน้อยบนตักเธอ สัมผัสกลิ่นหอมจากเนื้อผ้าธรรมดาที่ไม่มีกลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นยั่วเย้าอะไรเลยมีเพียงกลิ่นท้อและกฤษณาของนางที่ชัดแจ้ง แต่กลับทำให้รู้สึก...ปลอดภัยจนไม่อยากลุกไปไหน


“อืม...นุ่มกว่าหมอนเมื่อครู่เสียอีก...” เขาพึมพำเสียงพร่าอย่างคนเมาที่เริ่มอ้อนในฝัน มือที่เคยตรึงเธอไว้เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเพียงปลายนิ้วที่ไล้ชายเสื้อของหลินหยาอย่างแผ่วเบา...เหมือนเด็กชายที่กำลังละเมอหาไอแม่ 


"นอนเถอะ...ตรงนี้แหละ ข้าไม่ไปไหนหรอก..." เสียงของหลินหยาเบาอย่างกล่อมให้ฝันดีมือหนึ่งลูบผมอีกฝ่ายเบา ๆ ตามสัญชาตญาณของคนเคยต้องดูแลพี่ชายเมากลับบ้านบ่อย ๆ และบางที...ในยามที่ทุกอย่างสงบเงียบลง ร่างกายผ่อนคลายลงช้า ๆ ในอ้อมกอดของตักสาวใช้ที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดในแผ่นดินนี้ เถียนเฟิงอาจเพิ่งรู้ตัวว่า…เขาไม่ได้ต้องการสัมผัสร้อนแรงหรือคำปรารถนา เขาอาจจะแค่ต้องการคนที่อยู่ข้าง ๆ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ให้ความอบอุ่นและปลอดภัย… ไม่น่าเชื่อว่าคนที่กระโดกกระเดกจะมีความอบอุ่นถึงเพียงนี้



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ก็เรามันสายคอมมาดี้อ่ะค้าบบบบ สายพี่สาว(?)

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

เขาจะเรียกหมอในจวนมาทำแผลให้ และนี่ค่าเสียขวัญ +30 ตำลึงเงิน โยนให้หญิงสาวก่อนจะเดินออกไป เพื่อให้เกียรติฐานะหญิงสาว ปล่อยให้หมอและสาวใช้ดูแล  โพสต์ 2025-7-18 19:18
ยามตีสาม (03.00) เป็นต้นไปของวันถัดไป เถียนเฟิงฝันร้ายสะดุ้งตื่นหยิบกระบี่จนเผลอทำร้ายหลินหยา ดีที่เบรดทัน เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น -- เถียนเฟิงเห็นรอยนิด ๆ หน่อยจึงบอกให้เธอรอสักครู  โพสต์ 2025-7-18 19:17
โพสต์ 54526 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 18:45
โพสต์ 54,526 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-18 18:45
โพสต์ 54,526 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-18 18:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-18 20:34:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 17 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามอิ๋นเวลา 03.00 - 05.00 น. ณ ถนนสิบลี้ จวนสกุลเถียน จวนพระเอก
อีเว้นท์ เงาจันทร์เหนือถนนสิบลี้


ยามอิ๋นแสงเงินแห่งรุ่งอรุณยังไม่ทันแตะขอบฟ้า หลินหยายังคงนั่งอยู่บนเตียงโดยมีศีรษะของชายหนุ่มต้าซือคงวางอยู่บนตักนุ่ม ดวงตาคมของนางปรือปรอยด้วยความง่วงระคนความระแวดระวัง มือบางยังคงลูบผมอีกฝ่ายช้า ๆ อย่างไม่คิดจะละเลยไปไหนแม้ตอนนี้จะรู้สึกว่าเลือดทั้งสองข้างของขากำลังไหลย้อนเข้าไปสู่ใจอย่างช้า ๆ ชาแล้วล่ะ…ชาไปถึงใจเลยจริง ๆ! 


“...ไม่...ไม่ใช่เช่นนั้น...ข้าทำเพื่อ...ข้าไม่!” เสียงแหบพร่าเอ่ยลอดไรฟันของเถียนเฟิงเอ่ยขึ้น ร่างทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อยริมฝีปากขบแน่นราวอดกลั้นความเจ็บปวดในใจที่ปะทุออกมาในรูปของภาพฝัน เหงื่อเย็นเริ่มผุดพรายทั่วหน้าผากแม้กระทั่งขนตาที่ยาวเรียงตัวอย่างเรียบร้อยก็ดูเปียกชื้น ร่างเขากระตุกเบา ๆ คล้ายพยายามดิ้นจากบางอย่างในฝันร้ายอันโหดร้าย…อาจจะเป็นอดีต บางทีอาจเป็นสิ่งที่เถียนเฟิงไม่เคยพูดให้ใครฟังเลยสักครั้ง


หลินหยาเลิกคิ้วอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพนั้นเธอเอื้อมมือไปแตะหน้าผากเขา สัมผัสได้ถึงไอร้อนรุ่มที่ไม่ต่างจากตอนตากแดดจัดจนขาดน้ำแค่ฝันร้ายธรรมดาคงไม่ทำให้ขนาดนี้แน่ นางยื่นหน้าเข้าใกล้ ลูบคิ้วเขาเบา ๆ พร้อมกระซิบ "ใต้เท้า...เถียนเฟิง...ท่านฝันอะไรอยู่กันแน่" คำถามที่ไม่มีคำตอบถูกกลืนไปกับเสียงหายใจหอบ เถียนเฟิงกัดฟันแน่นอีกครามือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเหมือนพยายามไขว่คว้าหาอะไรบางอย่างในความมืด แล้วปลายนิ้วนั้นก็มาหยุดอยู่บนข้อมือของหลินหยาตรึงไว้เหมือนกลัวนางจะหายไป


"อย่าไป...อย่าทิ้งข้า..." เสียงเอ่ยแผ่วเบาแต่หลินหยากลับได้ยินชัดเจนราวมันเป็นสายฟ้าฟาดกลางอก นางชะงัก…? ใครกันที่ทิ้งเขากันนะ?  หลินหยาไม่พูดอะไร นางเพียงแต่มองใบหน้าที่เจ็บปวดของเขาอย่างอ่อนโยนก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบแก้มเบา ๆ กล่อมประหนึ่งแม่กล่อมลูก "ไม่เป็นไรแล้ว...ข้าอยู่ตรงนี้ ท่านไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น" เสียงนั้นแผ่วราวสายลมแต่หนักแน่นกว่าทุกคำปลอบที่เขาเคยได้ยิน เถียนเฟิงยังไม่ตื่นจากฝันแต่ดูเหมือนเขาจะเริ่มสงบลงเสียงหายใจเริ่มสม่ำเสมอขึ้นเล็กน้อย แม้เหงื่อยังซึมแต่มือที่เคยเกร็งกลับคลายลงอย่างช้า ๆ


"คืนนี้...นับว่าท่านลำบากพอแล้วล่ะ ข้าจะเฝ้าให้...จนกว่าฟ้าจะสว่าง" ร่างบางของนางเอนตัวลงข้างเตียง ขาที่ยังชาก็ยังต้องทน...แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ยอมลุกไปไหน ท่ามกลางความเงียบในยามอิ๋น มีเพียงเสียงลมหายใจสอดประสาน และพยายามทำให้ความเงียบที่ค่อย ๆ เยียวยาหัวใจบอบช้ำของมหาเสนาบดีผู้ไม่เคยหลับใหลให้ได้พักอย่างแท้จริง...แต่ทว่าเสียงหายใจที่เมื่อครู่ยังคงราบเรียบค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นแรงและขาดช่วงเถียนเฟิงขยับตัวอย่างกระตุก ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นช้า ๆ เผยดวงตาคมที่เคยสงบลึกล้ำบัดนี้กลับวูบไหวคล้ายสัตว์ป่าที่เพิ่งหลุดออกจากฝันร้าย หายใจหอบถี่ ร่างของเขาสะบัดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วจนศีรษะแทบชนกับหน้าของหลินหยา


"อา!" หลินหยาอุทาน สะบัดหน้าเบี่ยงหลบโดยสัญชาตญาณมือรีบยันพื้นแต่ช้าไป...ขาข้างหนึ่งยังชา ขยับไม่ถนัด นางพยายามจะพูดเรียกเขา "ใต้เท้า! ใต้เท้าเถียนเฟิง! ท่านเป็นอะไรน่ะ?!" แต่เสียงนั้นไม่ทันได้จบ เถียนเฟิงคว้าด้ามกระบี่ที่วางพิงข้างเตียงไว้ในเสี้ยววินาทีชักกระบี่ออกด้วยมืออันสั่นเทา แต่ท่าทางของเขากลับเหมือนมือเก่าที่เคยชินกับคมดาบเสียจนร่างกายจดจำมันได้เองโดยไม่ต้องพึ่งสติ เสียงฟื้ดของใบกระบี่เฉือนอากาศนั้นเย็นเยียบพอ ๆ กับแววตาไร้สติของเขา


"พวกเจ้า...จับ...เจ้าเป็นใคร! ออกไป!" เสียงตะคอกดังก้องด้วยความโกรธเกรี้ยวดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนยังอยู่ในนรกแห่งความตื่น หลินหยาขยับตัวหนีอย่างยากลำบากนางไม่กล้าลุกพรวดเพราะเกรงว่าเขาจะฟันใส่ทันที ขณะนั้นกระบี่เล่มนั้นก็ฟาดลงมาด้วยความแม่นยำ แม่นเสียจนไม่ใช่การฟาดมั่วของคนเมาแต่เป็นการลงดาบของคนที่เคยชินกับความตาย


หลินหยาเบี่ยงตัวหลบอย่างเฉียดฉิว! ผ้าม่านข้างเตียงถูกฟันขาดครึ่งเศษผ้าแหวกออกพลิ้วไหว ราวกับเสียงคำรามของกระบี่ที่ยังสะท้อนในอากาศ "ใต้เท้า! หยุดก่อน! ข้าไม่ใช่ศัตรู! ข้า...คือหลินหยา! เสี่ยวหยาไงที่อยู่กับท่านทั้งคืนอ่ะ!" นางตะโกนเสียงแหบแห้ง เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลังแต่ยังไม่ยอมถอย แม้ใจจะเต้นรัวเพราะไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อน ดุดันราวกับสุนัขล่าเนื้อที่ไร้สติ


แต่เขายังคงไม่ฟัง


"เจ้า...เจ้าคือพวกมัน!...ส่งมา!" เขาระเบิดเสียงออกมาราวกับทุกความเจ็บปวดในใจระเบิดทะลัก กระบี่ในมือสะบัดอีกครั้ง ฟาดเข้าใกล้แขนหลินหยาราวกับจะเฉือนมันให้หลุดออก เธอเอี้ยวตัวหลบหวุดหวิดแต่ขาถึงกับทรุด นางกัดฟันแล้วตะโกนลั่น "เถียนเฟิง! ข้าชื่อหลินหยา! ข้าไม่ใช่พวกไหนทั้งนั้น! ไม่ใช่คนที่ท่านกลัว! ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่ตลาดตะวันตก! ข้าเป็นคนแบกท่านกลับมา! จำไม่ได้เลยหรือ?!" เสียงนั้น...ไม่ใช่เสียงของสาวใช้ แต่เป็นเสียงของคนที่กำลังปกป้องใครบางคนด้วยทั้งหัวใจ


เขากัดฟันแน่น หายใจหอบ มือยังกำกระบี่อยู่แต่ไม่ได้ฟาดออกมาอีก เพียงยืนนิ่ง ดวงตาวูบไหว ดั่งมนุษย์สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ภายใน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะโจมตีนางอีกครั้งอยู่ดีอย่างไร้สติสัมปชัญญะ


ร่างบางของหลินหยาเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งแม้ขาทั้งสองข้างจะชาและสั่นระริกจนแทบทรุดตัวลงนอนกองกับพื้นเพราะความชา นางกัดฟันกรอดแทบขาดลิ้นเมื่อเงาของกระบี่ฟาดผ่านเบื้องหน้าราวสายฟ้าฟาด การโจมตีของเถียนเฟิงไม่ใช่การขู่หรือขาดการควบคุมในแบบคนเมาทั่วไป แต่มันคือรูปแบบการจู่โจมของผู้ชำนาญยุทธ์ผู้ผ่านการสังหารในมาแล้วนับไม่ถ้วน


"เถียนเฟิง! ข้าเองนะ! หนาน หลินหยา!" เสียงตะโกนของนางดังขึ้นกลางห้องแต่มันกลับถูกเสียงลมหายใจแรงกร้าวกลบจนสิ้น เถียนเฟิงในยามนี้ไม่ได้มองเห็นนางเลยสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำขลับนั้นมีเพียงฝันร้ายอันแหลมคม...และศัตรูที่เขาจะต้องฆ่าให้ตายเท่านั้น


เพล้ง!


เสียงกระบี่เฉียดผ่านแจกันบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียงจนแตกละเอียด นางหอบหายใจ ถอยกรูดไปอีกฝั่งจนหลังชนกับขาเตียง จากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นรวดเร็วเกินจะคาดคิดปลายกระบี่เฉียบคมเฉือนผ่านผ้าคลุมบ่าและเสื้อชั้นในนางขาดกระจุย เลือดสีแดงสดพุ่งกระเซ็นออกจากต้นแขนข้างซ้ายของหลินหยาอย่างฉับพลัน ความเจ็บปวดแล่นวาบเข้าจู่โจมจนเธอกรีดร้องสุดเสียง กลิ่นเลือดคาวคลุ้งในอากาศราวกลิ่นอายแห่งสงคราม


"อ๊าคค!! เถียนเฟิง! หยุด! ข้าหลินหยา! ไม่ใช่ใครอื่น!" นางร้องลั่นพยายามใช้เสียงปลุกสติของเขา แววตาเธอสั่นสะท้านไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะตกใจในสภาพของเขาที่ไม่ใช่ใต้เท้าเถียนเฟิงผู้สุขุมใจเย็นอย่างที่เธอรู้จัก เลือดหยดลงบนพื้นไม้เสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจนทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งเพียงครู่หนึ่ง ปลายกระบี่ในมือของเขาสั่นระริกเล็กน้อยริมฝีปากที่ขบแน่นเริ่มคลายลงช้า ๆ เถียนเฟิงชะงัก ดวงตาที่เคยมัวหม่นขมวดคิ้วเหมือนกำลังมองผ่านม่านหมอกควัน ก่อนที่มือที่กำคมกระบี่จะแกว่งเบา ๆ แล้วหลุดจากปลายนิ้วกระทบพื้นดัง ฉึก แผ่วเบา


"...เจ้า..." เสียงทุ้มต่ำพร่าลง เถียนเฟิงหอบหายใจถี่ก่อนจะทรุดฮวบลงตรงหน้าเธอใบหน้าของเขาซีดเผือดเหมือนคนจมลึกในห้วงสำนึกที่เพิ่งตื่น "...หลินหยา... เจ้าเลือดออก..." เขาเอ่ยเสียงแผ่ว จ้องเลือดที่อาบแขนซ้ายของนางดวงตาสั่นไหวปานจะร้องไห้ออกมาแทนได้ทุกเมื่อ เขาขยับมือเหมือนจะประคองนางไว้แต่กลับหดกลับอย่างสั่นเทาเพราะกลัวตัวเอง "ข้า... ข้า..." มือที่เคยตวัดกระบี่หมายชีวิตใครต่อใครในแผ่นดิน ยามนี้กลับสั่นงันงกจนไม่อาจหยิบแม้ผ้าห่มมาห่มให้เธอได้ ความเงียบโอบล้อมทั่วทั้งห้องดวงตาของเขาเบิกโพลงมองเลือดเธอราวกับเป็นตราบาปแห่งความบาปหนา ความบาปที่เขาไม่อาจลบล้างได้ด้วยวาจาใดในโลกนี้


แสงจันทร์ยามอิ๋นรินรดผ่านหน้าต่างบานเล็ก เผยเงาร่างสองเงาท่ามกลางห้องนอนที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ร่างของหลินหยาทรุดนั่งข้างเตียง ดวงหน้าซีดเผือดจากการเสียเลือดเล็กน้อยแต่ยังพอประคองสติไว้ได้ ดวงตากลมโตคู่นั้นทอดมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างไม่อาจละสายตา นางไม่แม้แต่จะขยับหนีหรือหลบสายตาเขาเลยสักนิด เถียนเฟิงยืนนิ่งอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหานางทีละก้าว ทีละก้าว... แม้จะหนักหน่วงเหมือนก้าวข้ามหุบเหวแห่งบาป แต่สุดท้ายเขาก็ย่อตัวลงนั่งข้างนาง มือข้างหนึ่งยื่นมาหาเหมือนจะสัมผัสรอยแผลนั้นแต่กลับชะงักกลางอากาศ นิ้วเรียวยาวที่เคยบังคับกระบี่ได้มั่นคงตอนนี้กลับสั่นระริกยิ่งกว่าใบไม้ไหวลม


“เมื่อครู่…” เสียงเขาทุ้มพร่าเหมือนคนกลืนน้ำลายไม่ลง “อีกนิดเดียว…ข้าจะฆ่าเจ้า…” หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจแผ่ว พลางเอ่ยเบา ๆ ทั้งที่แววตายังคงมองเขาไม่หลบเลี่ยง “ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ”


“ไม่เป็นไร?!” เขาแทบขึ้นเสียงแต่เสียงนั้นก็เหมือนจะสั่นเกินกว่าจะคงความดุดันไว้ได้ เขาโน้มเข้ามาใกล้จนเงาสะท้อนในนัยน์ตาเขาเป็นใบหน้านางชัดเจน “เจ้าบอกว่าไม่เป็นไร แต่เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกือบ…เกือบฟันคอเจ้าไปแล้วจริง ๆ!”


หลินหยายิ้มจาง ๆ ก่อนจะยกมือที่ไม่ได้บาดเจ็บแตะแขนเขาไว้เบา ๆ “แล้วตอนนี้ท่านก็ไม่ได้ทำใช่ไหมล่ะ?”


เถียนเฟิงสะอึก ใบหน้าคมคายที่ปกติสงบนิ่งยิ่งกว่าแผ่นน้ำใต้ผืนนภา บัดนี้กลับบิดเบี้ยวราวกับเด็กหลงทางที่เพิ่งรู้ว่าตนเพิ่งผลักมือของคนที่ยื่นเข้ามาช่วยตนตกหน้าผาเสียเอง “แต่ข้าทำร้ายเจ้า…ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย…” เขาเอ่ยอย่างสับสนกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป


“นั่นแหละที่ข้าเป็นห่วงมากกว่า” เสียงของหลินหยาเบากว่าเก่าแต่หนักแน่นอย่างน่าประหลาด “ไม่ใช่เพราะแผลนี้...ข้าเคยโดนมีดบาด โดนปีศาจโจมตีแสบกว่านี้ก็ยังมี แต่สิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นเลยคือใต้เท้าเถียนเฟิงที่ไร้สติขนาดนี้ ท่านเป็นอะไรไปกันแน่?” เถียนเฟิงนิ่งงันดวงตานั้นหม่นคล้ายคนแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า ความเงียบระหว่างทั้งสองคนขยายตัวราวกับหุบเหวไม่มีที่สิ้นสุดก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มหน้าลงต่ำราวกับแบกรับความผิดอย่างไม่อาจกล่าว


“ข้า...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวข้า...มันเหมือนข้าตื่นอยู่แต่ก็ยังฝันอยู่...ในฝันนั้น...ข้ามองเห็นเลือด เห็นศพ เห็นคนที่ข้าปกป้อง...ตายไปต่อหน้า...ข้า...ข้าคิดว่าข้าออกจากฝันนั้นได้แล้ว แต่เมื่อครู่มันกลับมาทั้งหมด” เสียงของเขาหนักแน่นในคำแรกแต่แผ่วลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบในตอนท้ายน้ำเสียงนั้น...เปลือยเปล่าและเจ็บปวดเกินกว่าจะกลบเกลื่อน หลินหยามองหน้าเขาอย่างนิ่งนาน ก่อนที่นางจะค่อย ๆ โน้มตัวมาข้างหน้าเสียงของนางดังขึ้นแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ


“ครั้งหน้าถ้ามันเกิดขึ้นอีก...ข้าจะอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม จะตะโกนชื่อท่านอีกครั้งจะให้เลือดอีกหยดถ้ามันจะทำให้ท่านกลับมาได้...แต่ช่วยอย่าฆ่าข้าเลยนะ เพราะถ้าท่านฆ่าข้าไป ข้าจะไม่อยู่คอยเรียกชื่อท่านแล้ว” น้ำเสียงนั้นไม่ได้มีแม้แต่น้ำตา แต่กลับเจือด้วยอารมณ์ลึกซึ้งจนเถียนเฟิงไม่กล้าจะสบตานางเลยแม้แต่น้อย มือของเขาสุดท้ายก็วางลงบนต้นแขนนั้นเบา ๆ เหมือนกลัวมันจะแตกสลายไปมากกว่านี้ ความอบอุ่นนั้นจริงใจจนหลินหยายังต้องหลบตานิด ๆ บรรยากาศพลันนิ่งสงบลงอีกครั้ง เสียงลมหายใจของทั้งสองดังแผ่วในห้องที่ยังเปื้อนเลือด แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้น...กลับถูกจารึกด้วยถ้อยคำของหญิงสาวชัดเจนยิ่งกว่ากระบี่ใด... และเขารู้ทันทีว่า...หลินหยานั้นอ่อนโยนแม้จะโดนทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยคนอื่น


ใบหน้าคมสันของเถียนเฟิงยังขึงตึง แม้จะพยายามไม่ให้มือสั่นแต่ในอกกลับสั่นสะเทือนจนหายใจแทบไม่ทันภาพเลือดสีแดงสดที่ย้อมแขนเสื้อนางและกระเซ็นเปื้อนผ้าปูที่นอนยังคงหลอนซ้ำในแววตาเขาไม่หาย “เจ้าทำไมไม่ผลักข้าออก?” เขาถามเบา ๆ เหมือนกลัวจะได้ยินคำตอบที่แทงใจ หลินหยายังนั่งนิ่งอยู่ขอบเตียง แม้จะซีดเซียวแต่ก็ไม่ลดท่าทีมั่นคงในดวงตา นางเพียงปรายตาไปทางเขาแล้วตอบเรียบ ๆ ว่า “เพราะข้ารู้ว่าท่านไม่ได้อยากฆ่าข้า...” คำตอบนั้นไม่ใช่คำปลอบ แต่คือความเชื่อใจจากส่วนลึกซึ่งมันทำให้หัวใจของเถียนเฟิงเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ


เขาโน้มตัวลง ประคองแขนที่มีบาดแผลของนางอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากเม้มแน่นขณะพาเธอขยับตัวให้นั่งดี ๆ ขึ้นตรงปลายเตียงแม้จะระวังมือมากเพียงใดแต่เถียนเฟิงก็รู้ดีว่าแรงแค่นี้ก็คงทำให้เธอเจ็บอีก “อย่าเพิ่งขยับ…เดี๋ยวข้าจะไปตามหมอให้”


“ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้อง”


“เงียบเถอะ” เขาแทรกเสียงนุ่มแต่เด็ดขาดมองนางด้วยสายตาละมุนที่ปนแววสำนึกผิดอย่างรุนแรง “คราวนี้…ข้าจะไม่ใช่คนทำเจ้าเจ็บอีกไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง” ว่าแล้วเขาก็ผละออกทันที ราวกับกลัวว่าหากอยู่ใกล้เธอนานกว่านี้อีกสักวินาทีเดียวจะยิ่งเห็นแก่ตัวมากเกินไปที่จะไม่ทำอะไรเลย มือข้างหนึ่งกำด้ามกระบี่ของตนแน่นเพียงเพื่อเตือนตนเองให้มีสติในขณะที่อีกข้างผลักประตูออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าของเขาดังขึ้นอย่างเร่งร้อนในโถงยามอิ๋น สะท้อนกลับเข้ามาในห้องเงียบราวกับระฆังปลุกวิญญาณหลับใหลนั่นคือเสียงของคนที่ไม่เพียงแบกรับตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งแผ่นดิน...แต่ยังเริ่มแบกสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าตนจะกลัวที่สุดคือการทำร้ายคนที่ยืนเคียงข้างเขาอย่างเงียบงันตลอดมา


เถียนเฟิงไม่หันกลับมามอง...แต่หลินหยาเห็นแผ่นหลังกว้างนั้นไหวสะท้อนแสงจันทร์ผ่านประตูบานเปิดออกและในวินาทีนั้น...นางรู้ดีว่า แม้จะมีเลือดเปื้อนแขน แต่นั่นไม่เท่ากับบาดแผลที่เกิดขึ้นในใจของเขาเลยแม้แต่น้อย


เสียงฝีเท้าร้อนรนเมื่อครู่กลับมาพร้อมแรงสั่นสะเทือนบางอย่างที่แล่นเข้ามาในอากาศยามอิ๋น เถียนเฟิงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งด้วยสีหน้าขึงตึงแต่ดวงตากลับร้อนระอุอย่างคนที่เพิ่งเอาชีวิตแลกความผิดออกมานอกจวน ใกล้เขาคือหมอสูงวัยผู้หนึ่งที่ถือกล่องไม้สำหรับใส่อุปกรณ์รักษาแน่นอยู่ในมือ ไม่พูดพร่ำ ไม่ซักถาม ไม่สงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น “อยู่ตรงนี้...” เถียนเฟิงกล่าวเบา ๆ บอกหมอที่มาพลางเดินนำเข้ามาข้างเตียง ประคองไหล่หลินหยาให้เอนลงนิดขณะหมอเตรียมของ เขานั่งลงข้างเธอโดยไม่เอ่ยสิ่งใด เสียงลมหายใจของชายหนุ่มดังชัดเจนแม้พยายามข่มกลั้น


หมอไม่มองหน้าใครทั้งนั้นเขาเพียงแค่เปิดกล่องหยิบผ้าสะอาด น้ำยาฆ่าเชื้อ สมุนไพรบด และเข็มด้ายขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสงบและเยือกเย็น “โชคยังเข้าข้าง...เป็นแค่รอยบาก ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ ไกลจากหัวใจ และไม่ได้ลึกเกินไหล่ขอรับใต้เท้า” มือของเขาคลี่แขนเสื้อของหลินหยาเบา ๆ พลางมองแผลเลือดซึมแล้วเริ่มเช็ดทำความสะอาด “เลือดไหลไม่เยอะ อาการยังไม่น่าห่วงขอรับ” หลินหยานั่งนิ่งโดยมีเถียนเฟิงจับมือเธอไว้แน่น สายตาของเขาไม่ละไปจากใบหน้านางแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ


“ข้าทำให้เจ้าเจ็บ...” เขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเหมือนคำพูดทุกถ้อยคำถูกกลั่นจากสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจราวกับควันไฟจากการเผาใจตนเอง หลินหยาหันมามองเขานิดหนึ่ง ยิ้มจาง ๆ “ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” แล้วหันกลับไปมองหมอที่กำลังเย็บปากแผลอยู่ เขาไม่พูดต่อเพียงกำมืออีกข้างแน่นจนเส้นเอ็นลำแขนขึ้นชัด ดวงตาคู่นั้นจ้องเธอเหมือนต้องการจดจำเธอในสภาพนี้ไว้ทุกแววตา ทุกลมหายใจ หมอใช้เวลาไม่นานในการเย็บรวบผ้าไว้ให้กระชับ แล้วพันทับด้วยผ้าสีขาวสะอาด


“อย่าขยับมากในสองสามวัน แผลจะปิดได้ไวนะขอรับ” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “โชคดีที่นางใจนิ่ง...ไม่งั้นกระบี่ท่านอาจฟันลงลึกไปแล้วก็ได้” ถ้อยคำสุดท้ายนั้นไม่ได้มีเจตนาเยาะเย้ย แต่ทำให้ใต้เท้าเถียนเฟิงสะอึกอย่างรู้สึกเหมือนโดนกระบี่ตัดกลางอกของตนอีกเล่ม หมอลุกขึ้นเก็บของและขอตัวออกไปเงียบ ๆ ทิ้งไว้เพียงชายหญิงสองคนในห้องที่ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง เถียนเฟิงยังคงไม่ขยับ ราวกับหากหลินหยาขยับแม้แต่นิดเขาก็จะรีบประคองเธอไว้ทันทีไม่ให้ต้องรับอะไรจากเขาอีกแม้แต่น้ำหนักของความเงียบ


เมื่อเสียงประตูปิดลงอย่างเบามือความเงียบงันที่ปกคลุมห้องก็ค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นอันแปลกประหลาด เถียนเฟิงยืนอยู่ข้างเตียงด้วยแววตาสงบนิ่ง แต่ลึกในนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดซ้อนทับอยู่หลายชั้น เขามองหญิงสาวที่ยังนั่งพิงหมอนอย่างอ่อนแรง แสงเช้ายังไม่เริ่มลอบลอดผ่านหน้าต่างกระดาษแให้แตะบนผิวซีดของหลินหยา กลิ่นยาสมุนไพรและโลหิตจาง ๆ ยังไม่เลือนหาย เถียนเฟิงขยับมือจากแขนเสื้อ เขาหยิบถุงผ้าไหมเล็ก ๆ ออกมาหนึ่งถุง วางลงเบา ๆ ข้างหมอนของหลินหยาพลางเอ่ยเสียงต่ำแต่ชัดเจน "30 ตำลึงเงินข้าให้เจ้าเป็นค่าทำขวัญ…ถึงแม้เจ้าจะไม่คิดเอาโทษ ข้าก็ไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"


หลินหยาเอียงคอเล็กน้อยดวงตายังสดใสเหมือนเดิมแม้จะมีรอยเหนื่อยล้าแผ่วเบาซ่อนอยู่ เธอก้มมองถุงเงินแล้วเอื้อมมือข้างที่ไม่บาดเจ็บหยิบขึ้นมา ชั่งน้ำหนักด้วยปลายนิ้วก่อนจะอมยิ้มบาง ๆ “อืม...ก็สมควรแล้วล่ะเจ้าค่ะเพราะข้าเจ็บนะ ข้าไม่ได้ใจดีขนาดปล่อยฟรีหรอก” นางยักคิ้วใส่เขาน้อย ๆ แบบติดตลกก่อนจะเอียงหน้าทำเสียงสูงอย่างเย้า “แต่ใต้เท้ารู้ดีนี่นา ว่าข้าชอบเงิน...” เถียนเฟิงหลุดยิ้มบางเหมือนมีอะไรในอกที่บีบคั้นอยู่จาง ๆ คลายลงเพียงเล็กน้อยเพราะเห็นว่าเธอยังเป็นเธอไม่เปลี่ยนไปแม้จะเจ็บหรือเกือบถูกฟัน


เขาก้าวเข้าไปใกล้อีกนิด นั่งลงข้างเตียงเอื้อมมือแตะแผ่วเบาที่ชายผ้าห่มแล้วกล่าวต่อ “ข้าจะให้สาวใช้คนสนิทมาเฝ้ารวมทั้งหมอให้เวียนมาดูทุกครึ่งชั่วยาม...เจ้าต้องพักให้เพียงพอ เมื่อคืนเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนเลยใช่ไหม?”


“อือ...” หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ “แต่ไม่เป็นไร ข้านั่งเฉย ๆ ไม่ได้ออกแรงอะไรมากนัก”


“ข้าเป็นห่วงเจ้า...” เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากไว้เหมือนกลืนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่เกือบหลุดออกมาแล้วเอ่ยต่ออย่างเป็นทางการกว่าเดิม “เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วพักเถอะ ข้าจะไม่รบกวนอีก” หลินหยายิ้มให้เขาอีกครั้งเมื่อได้ยินแววตายังเจือความสดใสและเข้าใจเช่นเดิมราวกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีหัวใจอ่อนโยนเกินกว่าจะเกลียดใครได้ง่าย ๆ เธอก้มมองเงินในมืออย่างพึงใจแล้วกล่าวเสียงใสตามธรรมเนียม 


“ข้าจะใช้มันซื้อขนม ซื้อสุรา...แล้วก็...” นางหันมายิ้มร้าย ๆ ใส่เขานิด ๆ “...ยาถอนพิษเหล้าสุราจากท่านให้เป็นของใต้เท้าเถียนเฟิงไว้ล่วงหน้า เผื่อเมาอีก” คนถูกล้อถึงกับชะงัก สบตานางชั่วครู่แล้วส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหมุนกายออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ เสียงฝีเท้าค่อย ๆ เลือนหาย เหลือเพียงกลิ่นยาจาง ๆ และแสงรุ่งสางที่เริ่มกลบความวุ่นวายของค่ำคืนก่อนหน้านั้นให้เลือนหายไปทีละน้อย


สาวใช้ในชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีเดินเข้ามาเงียบ ๆ พร้อมถาดที่มีเสื้อผ้าผู้หญิงผืนใหม่พับอย่างเรียบร้อย แสงเช้าสีอ่อนเริ่มทาบขอบหน้าต่าง ม่านโปร่งสีขาวปลิวแผ่วเบารับลมยามอิ๋นสร้างบรรยากาศอบอุ่นในห้องที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์ชวนหัวใจวูบไหวเมื่อไม่กี่เค่อก่อน หลินหยายังนั่งอยู่ข้างเตียงมือหนึ่งแนบต้นแขนที่มีผ้าพันแผลทับไว้แน่น แววตาของนางจ้องมองบ่าวสาวตรงหน้าอย่างระแวดระวังเล็กน้อยโดยไม่แสดงออกจนเกินงาม สาวใช้คนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยเบา ๆ "นายท่านให้ข้านำชุดมาเปลี่ยนให้เจ้าค่ะ... อีกเดี๋ยวจะมีสาวใช้อีกสองคนมาช่วยเปลี่ยนผ้าปูเตียง"


“อืม...ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลินหยาเพียงพยักหน้าพอได้ยินคำว่า ‘เปลี่ยนผ้าปูเตียง’ นางก็อดไม่ได้จะหลุบตาลงมองเตียงที่เปื้อนรอยเลือดตนเองแล้วทำหน้าเหนื่อยใจเบา ๆ... ไอ้หมอนั่นนะหมอนั่น… 


เมื่อได้เวลาเปลี่ยนชุดสาวใช้อีกคนเข้ามาช่วยประคองอย่างอ่อนโยน ท่าทีสุภาพราวกับเกรงใจที่ต้องแตะต้องร่างของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ มือที่คล่องแคล่วไม่พูดพร่ำพวกนางไม่ได้ดูถูกหรือดูแคลนหลินหยาเลยแม้แต่น้อย กลับเอ่ยถามเบา ๆ ว่ารู้สึกเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่ ทำให้หลินหยารู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เมื่อชุดใหม่สวมเข้ากับร่างได้พอดีกลิ่นสะอาดของผ้าสีอ่อนแตะจมูก นางก็ยกมือขยับผ้าปิดบาดแผลเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามในขณะที่กำลังจะเดินลงจากแท่นเตียง


“แล้ว...ข้า...ต้องไปนอนที่ห้องไหนหรือเจ้าคะ?”


สาวใช้คนแรกชะงักไปนิด แล้วค่อย ๆ ยิ้มจาง ๆ พลางตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ "ใต้เท้าเถียนเฟิงสั่งไว้ว่าคืนนี้...ขอให้แม่นางพักที่ห้องนี้เจ้าค่ะ ท่านว่า...แม่นางน่าจะได้พักจริง ๆ หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งคืน"


“ห้องนี้หรอ?” หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ มองไปรอบห้องก่อนจะหันกลับมามองหน้าอีกคน... “ห้องของเขา...?”


“เจ้าค่ะ”


“อา...” นางขานเบา ๆ ในลำคอ ทำท่าเหมือนจะถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ถอนจริง เพียงเบ้หน้าเล็กน้อยแล้วมองเตียงที่เพิ่งถูกจัดใหม่ ดอกลายปักบนผ้าปูเตียงยังสะอาดจนแทบจะสะท้อนใบหน้า “…นี้ข้าคงจะไม่โดนเนรเทศออกจากจวนตอนตื่นมาหรอกนะ? ตื่นสายได้ไหมเนี้ย”


“หากแม่นางกังวนเช่นนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ ใต้เท้าท่านไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องแม่นางเลยแม้แต่ปลายเส้นผม” สาวใช้กล่าวพร้อมรอยยิ้มจริงจังแต่ไม่ข่มขู่ หลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นเลยแค่หัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วตบหมอนเบา ๆ “เอาวะ นอนก็ได้... ไหน ๆ ก็เปื้อนเลือดข้าไปแล้วทั้งผืน ขอบคุณนะเจ้าคะ” เอ่ยขอบคุณสาวใช้ก่อนที่นางจะเอนกายลงเบา ๆ ผ่อนลมหายใจครั้งยาวก่อนจะพลิกตัวมองไปยังหมอนอีกใบซึ่งมีกลิ่นหอมบาง ๆ ปนกลิ่นเฉพาะตัวของเจ้าของห้อง ชายคนนั้นที่เมื่อคืนเกือบฟันนางขาดไปจริง ๆ…


“ใต้เท้าบ้าบอนี่...หวังว่าเขาจะมีสติดีขึ้นในเร็ววันนะ” นางพึมพำเบา ๆ ขณะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอก ก่อนจะปล่อยตัวให้จมหายไปในความนุ่มของที่นอนที่น่าจะสบายที่สุด เสียงฝีเท้าสาวใช้ถอยหายไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้นางพักในห้องของเจ้าของจวน...อย่างไม่มีใครกล้าแตะต้อง




@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ขอบคุณสำหรับเงินค่ะ

รางวัล: 30 ตำลึงเงิน (ค่าทำขวัญ)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 79166 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-18 20:34
โพสต์ 79,166 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-18 20:34
โพสต์ 79,166 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-18 20:34
โพสต์ 79,166 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-18 20:34
โพสต์ 79,166 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-18 20:34

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย SuYao เมื่อ 2025-7-28 17:40

วันที่ 26 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามเฉิน  (เวลา 07.00 - 09.00 น.)



ยามเช้าตรู่แสงอรุณรำไรสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายโบราณเข้ามายังห้องโอ่โถงของโรงหมอเจิ้งเทียน ซูเหยาในชุดผ้าฝ้ายสีขาวนวลกำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงสมุนไพรบนชั้นไม้ กลิ่นหอมเย็นของยาจีนคละคลุ้งทั่วบริเวณ ปกติแล้วยามนี้โรงหมอจะคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านที่มารอรับการรักษา แต่เช้าวันนี้กลับเงียบสงบผิดวิสัย 


ขณะที่นางกำลังจะหยิบรากโสมอายุร้อยปีขึ้นมาปัดฝุ่น ก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ 


"หมอหญิงซูเหยาขอรับ มีคนนำจดหมายมาส่ง" เสียงของคนงานประจำโรงหมอดังขึ้นที่หน้าประตู ซูเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ใดกันจะส่งจดหมายมาถึงนางในยามนี้?


นางวางรากโสมลงเบา ๆ แล้วเดินไปเปิดประตู คนงานยืนถือซองจดหมายสีน้ำตาลเข้มห่อหุ้มด้วยแพรไหมสีเงินวาว ตรงกลางมีตราประทับเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของจวนต้าซือคง มหาเสนาบดีผู้ทรงอำนาจแห่งต้าฮั่น


"ต้าซือคง?" ซูเหยาเอ่ยทวนชื่อนั้นอย่างแผ่วเบาด้วยความประหลาดใจ


นางรับจดหมายมาคลี่ออกอ่าน ตัวอักษรบรรจงเขียนด้วยพู่กันพลิ้วไหว ใจความว่ามหาเสนาบดีมีความประสงค์จะปรึกษาหารือเรื่องความเป็นอยู่ของชาวเมืองและปัญหาที่โรงหมอเจิ้งเทียนกำลังเผชิญอยู่ จึงขอเรียนเชิญหมอหญิงซูเหยาเข้าพบในยามซื่อของวันรุ่งขึ้น


คิ้วเรียวสวยของซูเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย นางทำสีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดขุนนางผู้ใหญ่เช่นต้าซือคงจึงเชิญนาง? และที่สำคัญเขารู้จักนางได้อย่างไร? นางเป็นเพียงหมอหญิงธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งที่เพิ่งจะมาอาศัยในฉางอันได้เพียงไม่นาน ชื่อเสียงของนางยังไม่เป็นที่เลื่องลือมากนักในเมืองหลวงแห่งนี้ หากจะมีการปรึกษาหารือเรื่องความเป็นอยู่ของชาวเมือง ก็น่าจะเป็นเจ้าเมืองหรือขุนนางผู้ใหญ่ท่านอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงมากกว่า


ตลอดบ่ายวันนั้น ความสงสัยยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของซูเหยา นางพยายามทบทวนว่าตนเองเคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับจวนต้าซือคงหรือไม่ แต่ก็หาไม่พบ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้าซือคงจะส่งเทียบเชิญมาถึงนางโดยตรง





วันที่ 27 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามซื่อ (เวลา 09.00 - 11.00 น.)



รุ่งเช้าของอีกวันซูเหยาเดินทางไปยังจวนต้าซือคงแต่เช้า นางสวมชุดสีฟ้าอ่อน ปักลายดอกเหมยเรียบ ๆ ท่ามกลางความหรูหราของชุดขุนนางและเหล่าคุณหนูคุณชายที่สัญจรไปมาบนถนนใหญ่ แต่ความงามสง่าโดยธรรมชาติของนางก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด นางมาหยุดอยู่หน้าประตูใหญ่ของจวนต้าซือคงซึ่งโอ่โถงและสูงตระหง่าน กำแพงหินสีเทาทะมึนดูมั่นคงราวภูผา ประตูปีกไม้แกะสลักรูปอสูรเฝ้าประตูขนาดมหึมาปิดสนิท แสดงถึงฐานะและอำนาจของผู้เป็นเจ้าของจวน


ซูเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้า มือเรียวกำจดหมายเชิญแน่น ก่อนจะก้าวไปที่ประตู


"ข้าได้รับเทียบเชิญจากท่านต้าซือคงให้เข้าพบเจ้าค่ะ" ซูเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ชัดเจน พลางยื่นจดหมายที่ได้รับให้คนเฝ้าประตูซึ่งมีใบหน้าบึ้งตึงและท่าทางเคร่งขรึม คนเฝ้าประตูรับจดหมายไปพิจารณาครู่หนึ่ง ดวงตาคมกริบกวาดมองสำรวจซูเหยาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คล้ายจะประเมินว่านางเป็นผู้ใดมาจากไหน ซูเหยามิได้หลบสายตา ยังคงยืนนิ่งอย่างสำรวม รอคอยการตัดสินใจ


ครู่หนึ่งคนเฝ้าประตูก็พยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยนั้นยังคงไร้อารมณ์ 


"เชิญแม่นางเข้ามาขอรับ" เขาผายมือเชื้อเชิญ พร้อมกับส่งสัญญาณให้บานประตูใหญ่เปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นทางเดินกว้างขวางปูด้วยหินที่ทอดยาวลึกเข้าไปในตัวจวน อีกทั้งยังมีกลองซึ่งไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเอามาตั้งไว้ บางทีจวนแห่งนี้คงรับเรื่องร้องทุกข์ด้วยกระมัง 


ไม่นานนักก็มีคนคล้ายหัวหน้าพ่อบ้านวิ่งมาต้อนรับและพาซูเหยาเข้าไปด้านในเพื่อเข้าพบท่านต้าซือคง ทันทีที่ก้าวมาถึงด้านใน ซูเหยาพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในห้องรับรองที่กว้างขวาง เพดานสูงประดับด้วยไม้แกะสลักวิจิตรบรรจง ผนังบุด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีเข้ม รายล้อมด้วยภาพวาดทิวทัศน์และพู่กันที่ดูทรงคุณค่า เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สะท้อนถึงรสนิยมอันสูงส่งของเจ้าของจวน


ตรงกลางห้อง บุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลัก รายล้อมด้วยกองฎีกาและม้วนตำรามากมาย ท่าทางของเขากำลังครุ่นคิดบางอย่างอย่างหนัก ใบหน้าปรากฏความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าที่สวมใส่ถึงแม้จะประณีตแต่ก็ดูยับย่นเล็กน้อย คล้ายผ่านการตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก ซูเหยาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน สิ่งที่ทำให้ซูเหยาตกใจยิ่งกว่าคือบุคคลผู้นั้นเป็น ไต้เท้าเถียน ที่นางเคยพบหน้ามาก่อน นางไม่เคยรู้เลยว่าต้าซือคงกับใต้เท้าเถียนคือคนเดียวกัน! ความประหลาดใจพาดผ่านดวงตาคู่สวย แต่นางก็รวบรวมสติได้อย่างรวดเร็ว


"คาราวะท่านต้าซือคง" ซูเหยาค้อมกายทำความเคารพอย่างนอบน้อม เสียงของนางนุ่มนวลแต่ชัดเจน


ใต้เท้าเถียนเงยหน้าขึ้นจากกองงาน แววตาที่ดูอ่อนล้าเมื่อครู่ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นซูเหยา จากนั้นรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาผายมือไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ตรงข้าม


"เชิญหมอหญิงซูเหยานั่งก่อนเถิด ไม่ต้องมากพิธี" น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนกว่าที่ซูเหยาคาดไว้มาก หลังจากที่ซูเหยาทรุดตัวลงนั่งอย่างเรียบร้อย ใต้เท้าเถียนก็ทักทายอย่างเป็นกันเอง "ไม่คาดคิดเลยว่าหมอหญิงซูเหยาจะมาเร็วกว่าที่คิด"


"ข้าน้อยเกรงว่าจะทำให้ท่านต้าซือคงต้องรอนานเจ้าค่ะ" ซูเหยาตอบอย่างนอบน้อม แต่ในใจก็ยังคงฉงนกับสถานการณ์นี้ การที่ขุนนางใหญ่ระดับต้าซือคงจะเชิญหมอหญิงธรรมดาอย่างนางมาพบนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


ใต้เท้าเถียนพยักหน้ารับเบา ๆ สายตาคมกริบแต่แฝงไว้ด้วยความเมตตาจับจ้องมาที่นาง 


"หมอหญิงคงจะสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงเชิญเจ้ามาพบใช่หรือไม่?" เขากล่าวราวกับอ่านใจนางออก


ซูเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา 


"เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ท่านต้าซือคงผู้สูงศักดิ์ เหตุใดจึงมีราชการอันใดกับหมอหญิงต่ำต้อยเช่นข้าน้อย"


เถียนเฟิงมองท่าทีสำรวจและสรรพนามที่เปลี่ยนไปหลังจากนางรู้ว่าเขาคือต้าซือคงแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นว่า 


“หมอหญิงซูเหยา ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้ามิได้เรียกเจ้ามาเพื่อราชการอันใด เพียงแต่มีเรื่องส่วนตัวที่อยากจะปรึกษาหารือกับเจ้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริม “และไม่จำเป็นต้องใช้สรรพนามห่างเหินเช่นนั้น ทำตัวตามสบายเหมือนเมื่อครั้งที่เราเคยพบกันเถิด”


ซูเหยาชะงักไปเล็กน้อย นางก้มหน้าลงพิจารณาคำพูดของเถียนเฟิง การที่เขาบอกให้ทำตัวตามสบายเช่นนั้น แสดงว่าเขามิได้ถือตัว และยังคงจดจำการพบกันครั้งก่อนได้ แต่นางจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขามิใช่เพียงแค่ใต้เท้าเถียนคนเดิม หากแต่เป็นถึงต้าซือคงผู้ทรงอิทธิพล


“แต่...ท่านต้าซือคง...” ซูเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ความประหม่ายังคงฉายชัดในดวงตา


เถียนเฟิงเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะของเขาดังกังวานอยู่ในห้องรับรอง 


“ดูเหมือนว่าตำแหน่งต้าซือคงของข้าจะทำให้หมอหญิงหวาดเกรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขายิ้มอย่างเป็นกันเอง “หากเจ้ายังคงทำตัวห่างเหินเช่นนี้ ข้าคงจะปรึกษาเรื่องที่อยู่ในใจได้อย่างไม่เต็มที่นัก” เขาเว้นจังหวะอีกครั้ง พลางมองซูเหยาด้วยสายตาอ่อนโยน “ถือเสียว่าวันนี้เจ้ามาเยี่ยมเยียนสหายคนหนึ่งก็แล้วกัน”


คำพูดของเถียนเฟิงทำให้ซูเหยารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างลังเล ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย 


“เช่นนั้น...ข้าน้อยจะพยายามเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างระมัดระวัง แม้จะยังไม่กล้าใช้สรรพนามแบบเดิมในทันที แต่ท่าทีของนางก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น


เถียนเฟิงพยักหน้ารับอย่างพอใจ 


“ดีมาก เช่นนั้นเรามาคุยกันถึงเรื่องที่ข้าอยากปรึกษาเถิด” เขาเอนกายพิงพนักเก้าอี้พลางประสานมือไว้บนตัก ดวงตาจับจ้องไปที่ซูเหยาอย่างตั้งใจ


“หมอซู... ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทุ่มเทช่วยเหลือชาวบ้านอย่างมาก ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้ายิ่งนัก” เถียนเฟิงเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ


ซูเหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำกล่าวชมเชย นางก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความถ่อมตน 


“ท่านต้าซือคงกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นหน้าที่ของหมอเช่นข้าน้อย”


เถียนเฟิงส่ายหน้าช้า ๆ รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า 


“มิใช่เช่นนั้นหรอก...ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย โรงหมอของเจ้ายังขาดแคลนสิ่งใดหรือไม่?”


ซูเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเถียนเฟิงดูจริงใจ นางจึงตัดสินใจกล่าวตามตรง 


“สิ่งที่โรงหมอขาดแคลนที่สุดคือบุคลากรที่มีความสามารถและยาที่มีคุณภาพเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือจากท่านต้าซือคงและทุกคน”


เถียนเฟิงถอนหายใจยาว 


“ข้ารู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มิได้ง่ายดายนัก” แววตาของเขาดูเศร้าหมองลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาจริงจังอีกครั้ง “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากหมอหญิงซู” เขายื่นมือออกไปเล็กน้อย ราวกับจะสื่อถึงความจริงจังในคำพูด “ข้าต้องการให้เจ้านช่วยเป็นหูเป็นตาให้ข้า สอดส่องความเป็นไปของชาวเมือง และแจ้งให้ข้าทราบหากมีสิ่งใดที่ผิดปกติ”


“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะท่านต้าซือคง?” ซูเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย


เถียนเฟิงประสานมือบนตักอีกครั้งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


“ชาวบ้านจำนวนมากเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาลที่ดี อีกทั้งยังมีเรื่องราวร้องทุกข์เกี่ยวกับความอยุติธรรมต่าง ๆ ที่ข้าไม่อาจล่วงรู้ได้ทั้งหมด เพราะข้าถูกผูกมัดอยู่กับหน้าที่ราชการมากมาย หมอซูเป็นหมอหญิงที่คลุกคลีกับชาวบ้าน ย่อมเข้าถึงหัวใจของพวกเขาได้ดีกว่าข้า ข้าเชื่อใจเจ้าว่าจะสามารถนำความจริงมาบอกข้าได้โดยไม่บิดเบือน เพื่อให้ข้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที”


“เจ้ายินดีจะช่วยข้าหรือไม่ หมอซู?” เขามองซูเหยาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง


ซูเหยานิ่งคิดชั่วครู่ ดวงตาคู่สวยทอประกายความตั้งใจ การได้ช่วยเหลือชาวบ้านคือสิ่งที่นางปรารถนามาโดยตลอด และนี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ทำเช่นนั้นด้วยการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเถียนเฟิงอย่างแน่วแน่


“ข้าน้อยยินดีเจ้าค่ะท่านต้าซือคง” ซูเหยารับปากอย่างหนักแน่น “ข้าน้อยจะทำหน้าที่นี้อย่างสุดความสามารถ จะเป็นดวงตาและหูของท่าน เพื่อให้ท่านสามารถช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนได้อย่างแท้จริงเจ้าค่ะ”


รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเถียนเฟิง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี 


“ดีมากหมอซู ข้ารู้ว่าข้ามิได้เลือกคนผิด”


เถียนเฟิงหยิบพู่กันด้ามหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ส่งให้ซูเหยา 


“นี่คือพู่กันขนนกกระจอกเทศ ข้าใช้เขียนฎีกาสำคัญ ๆ เสมอ ขอให้เจ้าใช้มันเขียนรายงานถึงข้าทุกเรื่องที่เจ้าพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน ปัญหาในโรงหมอ หรือสิ่งผิดปกติใด ๆ ก็ตามที่เจ้าคิดว่าข้าควรจะรู้”


ซูเหยารับพู่กันมาถือไว้อย่างแผ่วเบา สัมผัสถึงความประณีตและน้ำหนักที่พอดีมือ 


“ข้าน้อยจะใช้มันอย่างระมัดระวังเจ้าค่ะ”


“และไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งรายงาน ขอให้เจ้าเขียนสิ่งที่จำเป็นต้องแจ้งให้ข้ารู้ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ส่งให้หัวหน้าคนงานที่โรงหมอของเจ้า เขาจะนำมาส่งให้ข้าเอง” เถียนเฟิงอธิบายเพิ่มเติม


การสนทนาดำเนินไปอีกพักใหญ่ เถียนเฟิงสอบถามถึงรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาที่โรงหมอเผชิญอยู่ และรับปากว่าจะพยายามให้การสนับสนุนเท่าที่ทำได้ ซูเหยาเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อได้พูดคุยกับเขา นางสัมผัสได้ถึงความจริงใจและน้ำใจที่เถียนเฟิงมีต่อชาวบ้านและต่อตัวนางเอง


เมื่อการสนทนาอันสำคัญสิ้นสุดลง เถียนเฟิงก็เรียกหัวหน้าพ่อบ้านเข้ามา 


“ไปส่งหมอหญิงซูเหยาที่หน้าจวนด้วย”


“ขอรับนายท่าน” หัวหน้าพ่อบ้านโค้งคำนับ ก่อนจะผายมือเชิญซูเหยา “เชิญทางนี้ขอรับแม่นางซู”


ซูเหยาลุกขึ้นยืน ค้อมกายทำความเคารพเถียนเฟิงอีกครั้ง 


“ขอบพระคุณท่านต้าซือคงสำหรับความเมตตาและโอกาสที่มอบให้ ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”


“เดินทางโดยสวัสดิภาพหมอซู” เถียนเฟิงกล่าวตอบ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ


ซูเหยาเดินตามหัวหน้าพ่อบ้านออกมาจากห้องรับรอง ก้าวเดินผ่านโถงทางเดินที่โอ่อ่า หัวใจของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังและกำลังใจ การมาเยือนจวนต้าซือคงในวันนี้ไม่เพียงแต่คลี่คลายความสงสัยของนางเท่านั้น หากแต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสครั้งสำคัญในการช่วยเหลือผู้คนในฉางอันอย่างแท้จริง


เมื่อมาถึงหน้าจวน ซูเหยาโค้งคำนับหัวหน้าพ่อบ้านเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเท้าออกจากประตูใหญ่ สูดลมหายใจลึกรับอากาศยามเช้าที่สดชื่น ร่างกายเบาหวิวราวกับปลดเปลื้องภาระหนักอึ้ง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงหน้าที่อันใหญ่หลวงที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า นางกระชับพู่กันขนนกกระจอกเทศในมืออย่างมั่นคง นี่คือเครื่องมือสำคัญที่จะเชื่อมโยงนางเข้ากับต้าซือคง และเป็นสะพานที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นสำหรับชาวเมืองทุกคน



เควสปลดหัวใจ : ความกังวลใจของมหาเสนาบดี (1)

ภารกิจ : รับฟังความกังวลของเถียน เฟิงและรับปากว่าจะช่วยเหลือเขาในการดูแลความเป็นอยู่ของชาวเมือง


รางวัล : (ไอเท็มประกอบฉาก) พู่กันขนนกกระจอกเทศ (ใช้สำหรับเขียนรายงานให้เถียน เฟิง)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 39,643 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52
โพสต์ 39,643 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52
โพสต์ 39,643 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52
โพสต์ 39,643 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก หมอป่า  โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52
โพสต์ 39643 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 16:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมอป่า
มีดแล่เนื้อ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x20
x14
x4
x1
x1
x6
x4
x4
x23
โพสต์ เมื่อวาน 03:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 28 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก จวนพระเอก (จวนต้าซือคงแห่งต้าฮั่น)

อีเว้นท์ ภารกิจ “มิตรภาพเหนือกาลเวลา”


ยามไห่ ลมกลางคืนพัดเย็นพลิ้ว ใบไม้ร่วงไหวราวกับกระซิบ เงาสะท้อนของจันทร์ลอยบนบ่อน้ำในจวนต้าซือคง สถานที่เงียบขรึมจนแม้เสียงฝีเท้าของหลินหยาที่ก้าวเข้ามายังดังชัด เธอเงยหน้ามองแผ่นป้าย “จวนพระเอก” ที่ส่องแสงโคมไฟริบหรี่ นางหันไปทางยามทั้งสองคนแล้วก้มลงคำนับ แจ้งว่านางมาพบท่านเถียนเฟิง เขาเรียกนางมาที่นี่ พวกเขารู้ว่านางเป็นใครจึงพยักหน้าก่อนที่ประตูไม้หนักจะเปิดออก เถียนเฟิงในชุดลำลองเรียบหรูยืนรออยู่แล้ว รอยยิ้มจางบนริมฝีปากไม่อาจกลบความกังวลในดวงตาคมนั้นได้ “เข้ามาสิ หลินหยา” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก พานางเดินผ่านสวนด้านในที่ถูกจัดอย่างประณีตจนถึงห้องโถงส่วนตัว เต็มไปด้วยกลิ่นไม้กฤษณาอ่อน ๆ ที่เขาจงใจจุดไว้เพื่อคลายความตึงเครียด เมื่อทั้งสองนั่งลง เถียนเฟิงมองนางเงียบ ๆ สักครู่ เขาเริ่มเสิร์ฟน้ำชาของจวนตัวเองอย่างเงียบ ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วน่าจะให้บ่าวใช้เป็นคนที่คอยเทให้เสียมากกว่า แต่หลินหยารู้สึกว่าการคุยครั้งนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน จนหลินหยาไม่อาจจะเล่นมุกให้ดูเก้อเขินได้เลย เถียนเฟิงมองหลินหยาก่อนจะวางพัดขนนกบนโต๊ะและเอ่ยเสียงชัด


“ข้าเรียกเจ้ามา เพราะข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่เจ้าเล่าในคืนก่อน ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ากำลังเดินไปสู่เส้นทางที่มีแต่ความทุกข์”


หลินหยาหลุบตามองถ้วยชาในมือของนางที่กำลังหอมกรุ่นอยู่ในตอนนี้ นางคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวัน เอาเถอะ นางจะบอกตามที่นางคิดไปตามความรู้สึกที่แสนบริสุทธิ์และไม่ได้ชั่งใจว่าเป็นเพียงความรู้สึกของสตรีสาวแตกรุ่นเท่านั้น แววตาหม่นแต่ไม่หวั่นไหว “ใต้เท้า...ข้าไม่ขอให้ท่านเข้าใจสิ่งที่ข้ารู้สึก แค่ข้าเลือกแล้ว”


เถียนเฟิงเอนตัวเล็กน้อย ดวงตาคมดั่งเหยี่ยวจ้องตรงลึกเข้าไปในใจนาง “และข้าก็เลือกแล้วเช่นกัน ว่าจะไม่ปล่อยให้สหายของข้าตกลงไปในบ่วงแห่งความรักที่ผลสุดท้ายอาจทำลายเจ้าจนหมดสิ้น” น้ำเสียงเขาเย็นนิ่งแต่ก้องชัดราวคำประกาศ เขายื่นมือไปแตะเบา ๆ บนโต๊ะระหว่างกัน “เจ้ารู้หรือไม่ หลินหยา ว่าคนที่เจ้ามอบหัวใจให้นั้น...ไม่ใช่เพียงคมดาบ แต่เป็นหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่ง แม้ความอบอุ่นที่เจ้ามี ก็จะไม่เหลือ”


หลินหยายิ้มจาง แม้เจ็บปวดแต่นางกลับกลับแน่วแน่สุดใจ “ข้ารู้...และข้ายังเลือกจะรักเขาอยู่ดี ข้าไม่ขอให้ท่านช่วยข้าให้หลุดพ้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” เถียนเฟิงชะงัก ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ในห้องราวกับซ่อนพายุอยู่ภายใน “เจ้า...” เขากัดฟันแน่นเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจยาว ราวกับพยายามระงับอารมณ์ “เจ้าดื้อเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้จริง ๆ”


“ใช่ ข้าดื้อ” หลินหยาตอบทันที น้ำเสียงปนความอบอุ่น “เพราะข้าดื้อมาก ๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” เถียนเฟิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ สายตาคมกริบราวมีดหมื่นเล่มจ้องไปยังหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาเขาไม่ได้เย้ยหยัน แต่ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปกปิดไว้อย่างแนบเนียน “หลินหยา เจ้ารู้หรือไม่...ยามนี้เจ้าดูเหมือนคนเดินในหมอก มองไม่เห็นทางออก ข้าไม่อยากเห็นสหายของข้าจมอยู่ในวังวนที่อีกฝ่ายอาจไม่เคยยื่นมือมารับเจ้าขึ้นมาด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น เย็นนิ่งแต่ชัดเจนในทุกถ้อยคำ


หลินหยานั่งเงียบ ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นลงเล็กน้อย นิ้วเรียวเกลี่ยขอบถ้วยชาช้า ๆ ไม่ตอบเถียนเฟิงในทันที เถียนเฟิงโน้มตัวมาข้างหน้าเข้าหาหลินหยาที่นั่งอยู่ เสียงต่ำราวกับกระซิบแต่ก้องชัดในใจนาง “ข้าไม่เถียงว่าหัวใจเจ้ามอบให้เขาเต็มร้อย ข้าเห็นมันจากแววตาเจ้า แต่ข้าอยากถามให้แน่ใจ...มั่นใจหรือไม่ ว่าที่เจ้ารู้สึกคือรักแท้ ไม่ใช่เพียงสิ่งลวงที่เขาสร้างขึ้นมา? เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเขารักเจ้าจริง...ไม่ใช่แค่เสพความเจ็บปวดของเจ้าเป็นเครื่องเล่นสนุก?”


คำพูดนั้นแทงลึกดั่งคมดาบ หลินหยาขมวดคิ้วแน่น หัวใจสะท้านราวกับถูกกระชาก เธอกำมือบนตักแน่น แต่ไม่มีคำตอบจะเอื้อนเอ่ยลมหายใจติดขัดในลำคอ เถียนเฟิงมองปฏิกิริยานั้นอย่างนิ่งสงบ ทว่าสายตาอ่อนลงนิดหนึ่ง “หลินหยาเจ้ารักเขา ข้าไม่โต้แย้ง...แต่เขาล่ะ รักเจ้าจริงหรือเปล่า?” 


เพียงคำถามนี้หลินหยาก็สะอึกเธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสั่นไหว หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมา เธออยากจะอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เสียงกลับแผ่วพร่าจนแทบไม่ได้ยิน “...ข้า...ไม่รู้” ความเงียบเข้าปกคลุมห้องไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมลอดผ่านหน้าต่าง เถียนเฟิงมองนางอยู่อย่างนั้นโดยไม่เร่งรัด ราวกับต้องการให้หลินหยาทบทวนความรู้สึกของตัวเองในความเงียบนั้นเอง


เถียนเฟิงทอดถอนหายใจยาว มองใบหน้าที่สั่นไหวของหลินหยาด้วยแววตาคมกริบที่เจือทั้งความสงสารและความโกรธแทน เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบกว่าครั้งไหน ๆ “หลินหยา ข้าไม่สนว่าคนทั้งแผ่นดินจะหวาดกลัวเขาเพียงใด แต่ข้ารู้ว่าจางกงกงนั้น...ไม่ใช่คนปกติ” เสียงของเขาเหมือนคมดาบที่กรีดกลางใจ “เขาไม่ได้เพียงแค่ลึกลับ หรือฉลาดล้ำ เขาวิปลาศมากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก” เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ดวงตาส่องประกายราวกับทะลุจิตใจนาง “เจ้ามั่นใจหรือ ว่าความรู้สึกที่เจ้ามีให้เขา ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เขาปรุงแต่งขึ้น เพื่อให้เจ้าติดอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น? เจ้ารู้หรือไม่ ว่าจางกงกงชำนาญในเกมของหัวใจพอ ๆ กับหมากล้อมพันตา เขาสามารถทำให้คนคิดว่ารัก ทั้งที่แท้จริงแล้ว...แค่ถูกล่อหลอก”


หลินหยาที่ได้ยินกลับเงียบงันดวงตาเบิกกว้าง มือที่วางอยู่บนตักเริ่มสั่นเล็กน้อย นางพูดไม่ออกแม้สักครึ่งคำในตอนนี้


เถียนเฟิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทุกถ้อยคำหนักราวภูผา “จงฉางชื่อผู้นั้น...เขามองเจ้าเป็นอะไรกันแน่? สหาย? คนรัก? หรือเพียงหมากตัวหนึ่งที่เขาควบคุมได้ด้วยสายตาและคำพูด? เจ้ากำลังจะยอมกลับไปอยู่ในมือเขา ยอมเป็นเครื่องมือในเกมอำนาจของเขาอีกหรือไง?”


คำถามนั้นราวกับฟ้าผ่าหลินหยาหลุบตามองต่ำ หัวใจปั่นป่วนอย่างรุนแรง ความทรงจำผุดขึ้นมาทีละภาพเสียงเย็นชาของจางกงกง, สัมผัสที่กดข่ม คำพูดที่พร่ำบอกว่า เจ้าเป็นของข้า ของข้าคนเดียว และไม่มีทางหนีไปไหนได้ ดวงตาของเธอสั่นระริก ลมหายใจติดขัด ความจริงที่เธอไม่อยากยอมรับค่อย ๆ คลี่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ใช่...เขาไม่เคยบอกรัก ไม่เคยมีคำว่า “รัก” มีเพียงคำประกาศความเป็นเจ้าของที่กดทับเหมือนโซ่ตรวน


เถียนเฟิงจ้องนางอย่างไม่ละสายตา น้ำเสียงของเขาเบาลงแต่ทิ่มแทงยิ่งกว่าเดิม “บอกข้ามา หลินหยา...ในสายตาของเขา เจ้าเป็นมนุษย์ หรือเป็นแค่ของเล่นที่เขาเก็บไว้ในเงามืด?” คำถามนั้นทำให้หลินหยาชะงักทั้งร่าง ความจริงที่เธอพยายามหลบเลี่ยงมานานกำลังไล่ต้อนให้เธอเผชิญหน้า... และเธอไม่กล้าพูดออกมาสักคำ


หลินหยาไม่พูดเพราะนางพูดไม่ออกมือเธอที่จะจับถ้วยชากลับเหมือนจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด นางส่ายหัวเพียงเท่านั้นเพราะนางไม่อาจตอบสิ่งใดออกไปได้เลยแม้สักนิด เสียงมันไม่ยอมออกมาเพราะหากพูดมันต้องออกมาเป็นเสียงสะอื้นร้องไห้เป็นแน่ หลินหยาเหมือนอยากจะพยายามยิ้มแต่ทว่ากลับกลายเป็นเพียงยิ้มเก้อ ๆ ที่ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นรอยยิ้มแบบไหน แต่มันเต็มไปด้วยความขมขืนที่ขมปร่าอยู่ภายในริมฝีปากของนางเท่านั้น


เถียนเฟิงโน้มตัวเล็กน้อยไปทางหลินหยาเขาอยากเข้าใกล้นางให้น้ำเสียงของเขาได้เจาะทะลุ ให้น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยแต่กดลึกลงไปถึงกระดูกสันหลังของสตรีตัวเล็กที่ให้เขาเป็นสหาย เขาก็จะเป็นสหายตามที่หลินหยาต้องการเพราะเขารู้ดีว่านางไม่อาจปันใจให้ชายอื่นได้แล้วในตอนนี้ “หลินหยา เจ้าส่ายหัวแล้วบอกว่าไม่รู้...แต่สายตาเจ้า มันเต็มไปด้วยความลังเล ความเจ็บปวดที่เจ้าพยายามกลืนเข้าไปทั้งที่มันกัดกินวิญญาณตัวเองอยู่ทุกลมหายใจ” เขาหยุดเพียงชั่วครู่ สบตากับนางอย่างคมกริบราวกับจ้องให้ทะลุเข้าไปถึงหัวใจ “ข้าไม่ตำหนิที่เจ้ารัก แต่ข้าโกรธที่เจ้ากำลังปล่อยให้ตัวเองถูกกลืนหายไปเพียงเพราะคนคนหนึ่ง”


หลินหยานิ่งงันถ้วยชาในมือสั่นระริกจนชาที่อยู่ในถ้วยสั่นไหวคลอขอบ เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่นราวจะกลั้นความรู้สึกบางอย่างไม่ให้ทะลักออกมา ดวงตานั้นสั่นไหวเพียงเล็กน้อยแต่ดวงใจนั้นสั่นไหวราวกับแผ่นดินที่กำลังเคลื่อนไหวจนใกล้จะถล่มอยู่รอมร่อ นางรู้แน่ว่าคำต่อไปสำหรับนางแล้วต้องเจ็บปวดแน่นอน ท่าทางอาจจะกระอีกเลือดตายไปได้เลย ร่างกายของหลินหยาเริ่มตึงเครียดจากความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งพิษทั้งความเครียด ความรู้สึกที่ถาโถมลงมาราวกับพายุ


เถียนเฟิงยกพัดขึ้นวางบนโต๊ะอย่างช้า ๆ ดวงตานิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน “เจ้าเคยพูดต่อหน้าข้าว่า 天下大事 與我無關 เรื่องใหญ่ใต้หล้าไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าขอเพียงใช้ชีวิตในทางของตัวเอง แต่ตอนนี้...หลินหยา เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำ มันคือทางของเจ้าเอง? หรือเป็นทางที่คนอื่นปูไว้ แล้วเจ้าก็เดินตามไปโดยไม่รู้ตัว?”


คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ หลินหยาก้มหน้าน้ำตาคลอเล็กน้อยแต่ไม่ไหล เธอเอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ “ข้า...ไม่รู้แล้วจริง ๆ ข้าแค่...เมื่ออยู่ข้างเขา หัวใจมันเต้นแรงจนข้ากลัวตัวเอง”


เถียนเฟิงขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาไม่ได้มีเพียงความเข้มแข็ง แต่แฝงความห่วงใยอย่างที่หลินหยาไม่เคยเห็นมาก่อน “ความรักที่ทำให้เจ้ากลัวตัวเอง...มันใช่รักจริงหรือหลินหยา?” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “หรือมันคือพันธนาการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้เจ้าไม่มีวันหนีไปไหนได้?” หลินหยากัดฟันแน่น เธอไม่กล้าสบตาเขาเพราะรู้ว่าคำตอบของตัวเองอาจทำให้ทุกอย่างพังทลาย เธอได้แต่กอดตัวเองไว้เหมือนกำลังปกป้องหัวใจที่กำลังสั่นคลอน


เถียนเฟิงถอนหายใจยาว เหลือบมองนางด้วยสายตาที่แฝงทั้งความเอ็นดูและความเหนื่อยล้า “ข้าไม่ห้ามเจ้ารัก แต่เจ้าต้องแน่ใจว่าเจ้ารักเขาด้วยหัวใจของเจ้าเอง ไม่ใช่เพราะบ่วงที่เขาคล้องคอไว้” หลินหยาสูดลมหายใจลึก เธอยังเงียบ แต่ความเงียบของเธอตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนเกินบรรยาย


เถียนเฟิงยืนขึ้นเต็มความสูง เงาร่างสูงสง่าทาบทับลงบนร่างเล็กที่นั่งอยู่ ดวงตาของเขามองลงมาแหลมคมราวกับจะแทงทะลุปราการที่หลินหยายก่อขึ้นเพื่อปกป้องหัวใจตนเอง มือของเขาจับไหล่นางอย่างมั่นคง อุณหภูมิจากฝ่ามือร้อนจัดราวกับจะปลุกสติเธอให้กลับคืนมา “หลินหยา ฟังข้าให้ดี” เสียงของเขาเฉียบขาดและกดต่ำ ดั่งเสียงของผู้ที่กำลังประกาศความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี 


“เจ้าบอกเองว่าเขาขี้หึงถึงเพียงนั้น แค่เจ้าอยู่กับสหาย เขาก็พร้อมจะรังเกียจ โกรธา ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามองมันว่าเป็นความรักหรือความเอ็นดู แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าเขาจะทำลายทุกคนรอบตัวเจ้า คนที่เจ้ารัก คนที่รักเจ้า เพื่อให้เจ้ามีเพียงเขาเพียงคนเดียว” คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าลึกในใจ หลินหยาตัวสั่น ราวกับโลกกำลังพังทลาย เธออยากจะเถียง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้ ดวงตาของนางสั่นระริก ริมฝีปากกัดแน่นจนเลือดแทบซึม


เถียนเฟิงก้าวเข้ามาอีกก้าว เงาร่างยิ่งปกคลุมร่างเล็กมากขึ้น แววตาของเขาเข้มแข็งแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง เพื่อเขาหรือ? เพื่อจางกงกงคนนั้นน่ะหรือ? เจ้าจะยอมเสียทุกสิ่งไป เพื่อน มิตรสหาย อิสรภาพที่เจ้ารัก เพื่อเขาคนเดียวหรือไม่?” เขาเน้นทุกคำราวกับตอกย้ำให้คำถามนี้ฝังแน่นในหัวใจนาง หลินหยาหายใจถี่ มือที่กำชายเสื้อสั่นระริก นางเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำใสที่เอ่อคลอ “ข้า…” เสียงสั่นพร่าเธอพูดไม่จบประโยคค้างอยู่ในอากาศ


เถียนเฟิงกดไหล่นางเบา ๆ แต่หนักพอจะเรียกสติ “คิดให้ดีหลินหยา คิดตามที่ข้าพูดเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของเขาไม่ใช่คำสั่งจากผู้เหนือกว่า แต่เป็นเสียงของสหายที่กำลังดึงคนที่หลงทางกลับออกจากเหวลึก


บรรยากาศในห้องเงียบงัน มีเพียงเสียงหัวใจของหลินหยาที่เต้นแรงจนได้ยินชัด นางหลับตาลงชั่วครู่ ความคิดมากมายสับสนตีวนอยู่ในหัว ทุกภาพ ทุกความทรงจำกับจางกงกง ทั้งความหวานที่แฝงความเจ็บปวด ทั้งความโหดร้ายที่นางพยายามกลืนลงไป กลายเป็นคลื่นถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เธอสั่นไหวไปทั้งร่าง ในใจนางกำลังถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ และตอนนี้ นางต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าความรักที่มี...คืออะไรแน่ น้ำตาหยดเล็กไหลรินจากหางตาของหลินหยา ล่วงลงตามแก้มขาวจนเธอแทบไม่รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลผ่าน เธอมองหน้าเถียนเฟิงด้วยแววตาสับสนเจ็บปวด แววตานั้นเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบ 


“ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้…” เสียงของเธอสั่นพร่าแตกหักเหมือนเศษแก้วใส


เถียนเฟิงเห็นดังนั้นหัวใจก็สั่นสะเทือน เขาใจอ่อนอย่างที่สุด แต่กลับต้องกัดฟันกดความอ่อนโยนนั้นไว้ เขาก้าวเข้ามาใกล้ จับใบหน้าของนางอย่างเบามือเช็ดน้ำตาที่เอ่อคลอ “หลินหยา...คิดถึงข้า คิดถึงหวยหนานหวาง คิดถึงมิตรของเจ้าทุกคนที่ยืนข้างเจ้า” เสียงเขาอ่อนลงแต่แฝงแรงกดดันอันแสนจริงจัง 


“คิดถึงคนที่ไปเยี่ยมเจ้าในคุกหลวง ทั้งที่เจ้าเสี่ยงถูกจับผิดคิดร้ายต่อขุนนางราชสำนัก ทุกคนทำเพื่อเจ้า อยู่ข้างเจ้า” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาคมจ้องสบกับนางจนไม่อาจหลบเลี่ยง “หวยหนานหวาง...ยอมทิ้งตน ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อรับโทษแทนเจ้า รักเจ้าโดยไม่มีเงื่อนไข แม้เจ้าจะปฏิเสธรักเขา เขาก็ยังคงรักอย่างบริสุทธิ์” คำพูดทุกคำเหมือนค้อนหนักทุบลงกลางใจหลินหยา เธอสั่นเครือ น้ำตาไหลไม่หยุด หัวใจเธอแตกสลายไปพร้อมกับความจริงที่เถียนเฟิงกรีดเข้าในวิญญาณ


เถียนเฟิงกระชับมือที่จับไหล่ของเธอแน่นขึ้น เสียงของเขาต่ำลงแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ “เจ้าจะทรยศความรักและความห่วงใยที่ทุกคนมีต่อเจ้า...เพื่อคนที่ทำร้ายเจ้าหรือหลินหยา? เพื่อคนที่พรากทุกอย่างจากเจ้าหรือ?” 


หลินหยาหายใจถี่ร่างทั้งร่างสั่นจนแทบยืนไม่ไหว เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ เธอกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เสียงสั่นพร่าดังออกมาช้า ๆ “ข้า...ไม่รู้ ข้าไม่รู้แล้วว่าควรรู้สึกยังไง…”


เถียนเฟิงสบตานางอย่างแน่วแน่ แม้หัวใจเขาจะเจ็บปวดที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้ แต่เขาจำเป็นต้องทำ เขาโน้มหน้าลงใกล้ กระซิบช้า ๆ ราวกับจะสลักความจริงลงในหัวใจนาง “เจ้ามีค่ามากกว่าที่จะยอมเสียตัวเองเพื่อคนที่ไม่เห็นค่าเจ้า จำไว้ หลินหยา...จำไว้ให้ขึ้นใจ” 


คำพูดนั้นปักลึกในจิตใจของเธอ จนหลินหยาน้ำตาไหลพราก ราวกับกำลังถูกปลดปล่อยจากพันธนาการบางอย่างที่เธอแบกไว้แสนนาน ทว่าในความเจ็บปวดนั้น ยังมีความสับสนที่ยากจะลบเลือน...เสียงสะอื้นของหลินหยาดังก้องในห้องเงียบ ๆ น้ำตาเปียกชุ่มจนปลายเสื้อคลุมสีกุหลาบที่เธอสวมใส่ เธอทั้งพูดทั้งร้องไห้ไปพร้อมกัน เสียงพร่าที่เจือความเจ็บปวดทำให้เถียนเฟิงต้องเงียบ ไม่พูดแทรก ปล่อยให้นางระบายทุกสิ่งที่กลั้นอยู่ในอกมานาน


“แล้วจะให้ข้าทำยังไง…” เสียงนางสั่นไหวอย่างกับสายพิณขาด “ข้าเกลียดเขาแทบตาย แต่เขากลับมาในคราบของชายอื่น แล้วข้าก็ดันหลงรักไปจริง ๆ…พอรู้ความจริง ข้าก็เจ็บเจียนตาย พอทำใจได้ ข้าก็ต้องรับรู้ทุกเรื่องทั้งหมดที่เขาทำ…ข้าไม่ได้หวังว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองด้วยซ้ำ…” เถียนเฟิงก้าวเข้าใกล้ช้า ๆ แววตาคมที่มักแฝงเล่ห์กลับตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขามองหลินหยาที่ตัวสั่นเทากัดฟันกลั้นความรู้สึกของตนเองไว้


“แต่ข้าก็หวัง…ก็หวังลึก ๆ ว่านั้นคือการแสดงออกความรักในแบบของเขา…” หลินหยาจับแขนเถียนเฟิงแน่นจนเล็บจิกผ่านเนื้อผ้า ดวงตาเธอแดงช้ำ น้ำตารินไหลไม่หยุด “ข้า…ข้าเกลียดเขา ข้าก็ไม่อยากเป็นแบบนี้…แต่ข้าไม่สามารถโกหกหัวใจตัวเองได้ว่าครึ่งหนึ่งของข้าก็รักเขาเหมือนกัน…”


เถียนเฟิงหลับตาลงชั่วครู่ ฟังทุกคำที่นางพรั่งพรูออกมา น้ำเสียงนางสั่นสะท้านแต่ชัดเจน


“เขาเกิดมาชาตินี้รู้จักเพียงความรักขององค์ฮ่องเต้…เขาถูกมองเป็นสิ่งของมาตลอดชีวิต…ข้ารู้ว่านั่นไม่ใช่ข้ออ้างให้จางกงกงทำสิ่งที่เขาทำ แต่ข้าไม่อยากให้เขาโดดเดี่ยว…เพราะข้า…” ดวงตาหลินหยาสั่นไหวราวกับทะเลที่พายุพัด เธอสบตาเถียนเฟิง น้ำตาไหลพราก “ข้าเห็นทุกอย่าง ข้าเห็นความทรงจำของเขา ทุกภาพมัน…มัน…” 


ดวงตาของเถียนเฟิงเห็นแล้วใบหน้าของหลินหยานั้นซีดขาวและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ภาพที่นางพูดถึง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะทนมองได้ แค่เห็นจากแววตาของนาง เขาก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยความทรมานเกินกว่าคำบรรยาย เขาค่อย ๆ ประคองแก้มของหลินหยาไว้ในมืออย่างอ่อนโยน ลมหายใจของเขาแผ่วเบาแต่มั่นคง “หลินหยา…เจ้าไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว” น้ำเสียงเขานุ่มลึกแต่หนักแน่น “เจ้ามองเห็นความโดดเดี่ยวของเขา แต่ข้ามองเห็นความโดดเดี่ยวของเจ้าเช่นกัน” หลินหยาก้มหน้าสะอื้น มือเธอยังคงจับแขนเขาไว้แน่นราวกับยึดไว้เป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว เถียนเฟิงดึงนางเข้ามาใกล้ โอบกอดให้นางได้พิงอกที่มั่นคงของเขา


“แม้เขาจะเป็นปีศาจในสายตาใคร แม้เจ้าจะรักหรือเกลียดเขา…เจ้าก็ยังมีข้าอยู่ตรงนี้” เถียนเฟิงกระซิบใกล้ข้างหูด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวคำสาบาน “ตราบใดที่ข้ายังหายใจอยู่…ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปในเงามืดของเขา” คำพูดนั้นเหมือนแสงสว่างหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดในใจหลินหยา แม้ความเจ็บปวดจะยังอยู่ แต่เธอก็รู้ว่ามีใครสักคนที่คอยยื่นมือรั้งเธอกลับมาเสมอ…


เพราะแบบนี้ไงนางถึงเจ็บ คนรอบข้างดีกับนางถึงเพียงนี้ แล้วทำไมใจนางถึงได้ทรยศนัก ทรยศต่อพวกเขา ทำไม ทำไมกัน


เสียงของเถียนเฟิงในค่ำคืนนั้นชัดเจน ราบเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยน้ำหนักของความห่วงใยจนหลินหยาเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตา ชายหนุ่มมองกลับมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “หากจางกงกงรักเจ้าจริง…เขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองได้” เถียนเฟิงเอ่ยช้า ๆ ทุกคำชัดเจน “อาจไม่ทั้งหมด แต่เพียงสักหน่อยก็ยังดี เพื่อเจ้าสักนิด เพื่อให้เจ้าได้หายใจโดยไม่ต้องเจ็บปวด เขาต้องรู้ว่าธรรมชาติของเจ้าหลินหยา ไม่ใช่ต้องการถูกขังไม่ใช่ต้องการให้ใครเปลี่ยนเจ้าเป็นของเล่นในกำมือเขาเพียงเท่านั้น”


หลินหยานิ่งฟัง สองมือเธอยังกำแน่นอยู่บนตัก ร่างสั่นเล็กน้อยราวกับทุกคำของเถียนเฟิงแทงลึกลงไปในใจ


เถียนเฟิงโน้มตัวลงเล็กน้อย เสียงเขาอ่อนลงแต่เข้มข้นราวคำตักเตือน “เจ้าก็แค่เด็กสาวที่พึ่งปักปิ่นได้ไม่ถึงปี โลกใบนี้โหดร้ายเพียงใดเจ้าก็รู้ ข้าเห็นเจ้ามองโลกในแง่ดีมาตลอด แต่หลินหยา…เจ้าต้องคิด ต้องไตร่ตรองว่าความรักที่เจ้ากำลังปกป้อง มันพาเจ้าไปสู่ความสุข หรือพาเจ้าไปสู่ขุมนรก” น้ำตาของหลินหยายังไหล เธอกัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงสะอื้น เถียนเฟิงเอื้อมมือมาวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเธออย่างมั่นคง


“ข้าจะไม่ห้ามเจ้าหากรู้ว่าจางกงกงดูแลเจ้าให้มีความสุขได้ แต่ต้องสุขจริง ๆ…ไม่ใช่สิ่งที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกตาเจ้า ลวงใจเจ้า” ดวงตาเถียนเฟิงจ้องลึกเข้ามาในใจหลินหยา “แบบนั้นถึงจะไม่เป็นการทรยศความรู้สึกของข้า ของหวยหนานหวาง ของคนที่รักเจ้าและเจ้ารักตอบ” เถียนเฟิงสูดลมหายใจช้า ๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างแผ่วเบาแต่จริงจัง “หลินหยา ข้าขอร้อง…คิดให้ดี คิดให้มากกว่าเดิม”


เสียงสะอื้นของหลินหยาแผ่วลง เธอมองหน้าเขา ดวงตาแดงก่ำแต่แฝงด้วยแสงวาบของการไตร่ตรอง นางพึมพำตอบเบา ๆ ทั้งน้ำตา “ข้าจะ…ข้าจะคิดให้ดี” ในความเงียบที่เหลืออยู่ มีเพียงแสงโคมไฟไหวระริกกับเสียงลมหายใจที่สั่นคลอ บทสนทนานี้จะฝังอยู่ในใจของนางไม่ลืมเลือน…


หลินหยานั่งตัวสั่นบนเก้าอี้ ดวงตาแดงช้ำ น้ำตารินไม่หยุด มือที่กำแก้วชาสั่นจนชาในถ้วยแทบหก นางหอบลมหายใจแผ่ว ๆ พลางเงยหน้ามองเขาทั้งที่น้ำตาไหลพราก “ทำไม…ข้าถึงโง่ขนาดนี้นะ” เสียงที่สั่นพร่าแทบจะขาดเป็นช่วง ๆ ทว่ามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนเถียนเฟิงที่มองอยู่ตรงหน้ารู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ


เถียนเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ริมฝีปากเขายกยิ้มจาง ๆ แต่ไม่ใช่ยิ้มเย้ยหยัน เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเข้าใจ เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดบนแก้มขาวซีดของหลินหยาอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงปลายนิ้วจะทำให้นางแตกสลาย “เจ้าไม่ได้โง่…หลินหยา” เถียนเฟิงเอ่ยช้า ๆ เสียงนุ่มลึกแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความหมาย “เจ้าเพียงแค่รักด้วยหัวใจที่ซื่อตรงเกินไป เจ้ารักจนไม่เผื่อเหลือให้ตัวเองป้องกัน นั่นไม่ใช่ความโง่ แต่เป็นสิ่งที่คนอย่างเจ้าถูกสอนมาโดยหัวใจของเจ้าเอง”


หลินหยาสะอื้น มองเขาด้วยแววตาสั่นไหว เธอพยายามจะพูดอะไร แต่เสียงก็ขาดหายกลางคัน เถียนเฟิงจึงพูดต่อ ดวงตาคมนิ่งแฝงความอ่อนโยนที่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นจะได้เห็น “คนที่โง่ไม่ใช่เจ้า…แต่เป็นคนที่ได้ความรักของเจ้ามาแล้วกลับทำให้มันแปดเปื้อนต่างหาก” เถียนเฟิงสบตานางลึกขึ้น ราวกับจะย้ำทุกถ้อยคำ “เจ้าร้องไปเถิด ร้องจนกว่าหัวใจจะโล่ง เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว ข้าอยู่ตรงนี้ และจะอยู่จนกว่าเจ้าจะเข้มแข็งขึ้นมาได้อีกครั้ง” คำพูดเหล่านั้นเหมือนมือที่โอบกอดหัวใจอันแตกสลาย หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงลงบนอกเสื้อ เธอไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คลอเคล้าไปกับความเงียบสงบในห้องตอนนี้


“เจ้ารักด้วยความจริงใจ รักด้วยความศรัทธา นั่นไม่ใช่ความโง่…มันคือสิ่งที่ทำให้เจ้าต่างจากคนอื่น” หลินหยาสะอื้นหัวไหล่สั่นราวกับเด็กน้อย เธอกำแขนเสื้อของเถียนเฟิงแน่น ไม่กล้าสบตาเพราะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เถียนเฟิงจึงนั่งลงเคียงข้าง มือหนึ่งวางบนไหล่บาง อีกมือยังคงเช็ดน้ำตาให้ “เจ้าฟังข้า หลินหยา…” เสียงเขาเข้มขึ้นนิดหนึ่งเพื่อให้สติกลับมา “คนที่น่าถูกตำหนิไม่ใช่เจ้า แต่เป็นคนที่ได้รับความรักของเจ้าแล้วทำให้มันเจ็บปวดต่างหาก” เถียนเฟิงถอนหายใจ “จางกงกง…เขาไม่ได้รักเจ้าด้วยวิธีที่เจ้าควรได้รับ”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยากัดริมฝีปาก ราวกับจะห้ามตัวเองไม่ให้ร้อง แต่ก็ห้ามไม่อยู่ น้ำตาร่วงเป็นสายอีกครั้ง เถียนเฟิงเอียงหน้าเข้าใกล้ พูดด้วยเสียงหนักแน่น “เชื่อข้าไหม ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น เราจะหาทางออกด้วยกัน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าต้องจมอยู่ในความมืดคนเดียว” หลินหยาเม้มปาก พยักหน้าทั้งน้ำตา ในอกนางเจ็บร้าวเหมือนถูกกรีดซ้ำ แต่ในขณะเดียวกันก็มีประกายความอบอุ่นเล็ก ๆ ที่เกิดจากคำพูดของเขา เธอสะอื้นและถามเสียงสั่น “แล้ว…ข้าจะทำยังไงดี ข้าเกลียดเขา…แต่ก็รักเขา ข้าเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้…”


เถียนเฟิงยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของนางเบา ๆ เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย สบตาเต็มไปด้วยความจริงจัง “ไม่ต้องเกลียดตัวเอง หลินหยา เจ้าแค่ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าอยากเป็นใคร อยากเดินทางไหน ถ้าเจ้าตัดสินใจ ข้าจะอยู่เคียงข้างเพื่อพาเจ้าข้ามพายุไป” คำพูดเหล่านั้นชัดเจนจนหัวใจของหลินหยาสั่นไหว นางซบหน้าลงกับอกของเขา ปล่อยน้ำตาไหลอย่างไร้การควบคุม เถียนเฟิงโอบไหล่นางไว้แน่น ไม่พูดอะไรอีก ให้เพียงความเงียบที่อบอุ่นคลุมร่างทั้งสองไว้ในค่ำคืนที่สับสนอีกคืนของหลินหยา


หลินหยาที่กำลังร้องไห้ผิวซีดลงไปเรื่อย ๆ ด้วยพิษจากร่างกายของเธอ เลือดตรงจมูกนั้นไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ นางกลับมองแบบไม่ใส่ใจเพราะเป็นบ่อยแล้ว เถียนเฟิงมองเลือดสีแดงที่ไหลจากจมูกของหลินหยา ดวงตาเขากระตุกวาบด้วยความกังวลก่อนจะรีบหยิบผ้าขาวจากแขนเสื้อ ซับเบา ๆ ตรงปลายจมูกนางด้วยความระมัดระวัง น้ำเสียงของเขาอ่อนลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ “เจ้า…ร่างกายกำลังเครียดอยู่ใช่หรือไม่”


หลินหยาหอบหายใจเบา ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ทั้งที่ปฏิเสธ แต่ดวงตากลับวูบไหว เธอพยายามฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเป็นแบบนี้บ่อยแล้ว” เสียงนางพร่าแผ่ว ร่างบางยังคงสั่นระริกจากทั้งพิษและน้ำตาที่เพิ่งหยุด


เถียนเฟิงขมวดคิ้วแน่น มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่ผสมระหว่างความห่วงใยและความไม่พอใจที่นางละเลยตัวเอง “เจ้ามักบอกว่าไม่เป็นไร…แต่ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้าป่วยหรือเลือดออก ข้ากลับไม่อาจเฉยได้เลย” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนโน้มตัวลงประคองศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “พรุ่งนี้…ยามซื่อ เจ้าไปพบข้าที่โรงชาเมฆาซ่อนจันทร์” น้ำเสียงนั้นแน่วแน่ ราวกับไม่เปิดให้ปฏิเสธ


หลินหยากระพริบตามองเขาเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจ “โรงชา…เมฆาซ่อนจันทร์? ท่านจะทำอะไรหรือ”


เถียนเฟิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง “ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น ร่างกายของเจ้าจะไม่ทรมานจากพิษและความเครียดเช่นนี้ต่อไป” เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนางจนหมด แล้วจ้องตาลึกซึ้ง “ครั้งนี้เจ้าต้องฟังข้า ไม่ใช่เพียงเพื่อข้า แต่เพื่อเจ้าเอง” หลินหยามองเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ทั้งน้ำตาที่แห้งไปแล้ว “เจ้าค่ะ…ข้าจะไป” เสียงนางสั่นแต่เต็มไปด้วยความไว้ใจที่มีต่อเขาเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้


เถียนเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ คลายมือช้า ๆ แล้วบอกด้วยเสียงทุ้ม “พักผ่อนให้มาก เจ้ายังมีวันพรุ่งนี้ที่ต้องเผชิญ” หลินหยาพยักหน้ารับเบา ๆ ในอกของนางอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แม้พิษยังคงกัดกินร่างกาย แต่คำพูดและสายตาของเถียนเฟิงก็ทำให้ความหวาดกลัวเล็กลงไปหลายส่วน…สำหรับหลินหยาแล้วนางพบว่าเรื่องนี้ช่างโหดร้ายต่อจิตใจนางเหลือเกิน หลินหยาระบายยิ้มเล็ก ๆ จากความรู้สึกที่แสนขมขืนของนาง เพียงนางรักคนที่ไม่ควรรัก นางกลับทำร้ายคนรอบข้างไปถึงขนาดนี้นางก็พึ่งรู้ตัวเอง นางนี้ช่างมืดบอดเสียเหลือเกินทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ?




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ตบเรียกสติเพื่อนสาว เพื่อนสาวร้องไห้อยากจะไปซบอกผู้ชาย หวายๆ


รางวัล: ได้รับ "ยาหอมคลายใจ" (ไอเท็มประกอบฉาก)

(ได้ยาเก่ง ยาก็คือเต็มตัวแล้ว ยาทางจิตทั้งนั้น)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 100,192 ไบต์และได้รับ +20 EXP +2 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ เมื่อวาน 03:34
โพสต์ 100,192 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ เมื่อวาน 03:34
โพสต์ 100,192 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ เมื่อวาน 03:34
โพสต์ 100,192 ไบต์และได้รับ +40 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +35 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ เมื่อวาน 03:34
โพสต์ 100,192 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ เมื่อวาน 03:34
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้