
วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเว่ย เวลา 13.00 - 14.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันออก กรมโยธาธิการ
แสงแดดเอื่อยเฉื่อยพาดลงบนแนวกระเบื้องสีเขียวแก่ของจวนกรมโยธาธิการ ลมจากลำธารเลาะข้างอาคารพัดมาเบา ๆ ทำให้กลิ่นกระดาษผสมหมึกจีนเก่าโชยปะทะจมูกหลินหยาเป็นระยะ นางยืนอยู่ตรงลานหินทรายกว้างหน้าจวน พลางสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือกำกระดาษใบอนุญาตที่ได้จากกรมการคลังแน่น ดวงตาเปล่งประกายประหลาดระหว่างความกลัวและความมุ่งมั่น ก่อนจะพูดปลุกใจตนเองเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ไม่ต้องกลัวหลินหยา...แค่เดินเข้าไป ยื่นเอกสาร พูดให้มั่นใจ แล้วก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร แกทำได้…” พอพูดจบก็รีบเดินกระชับฝีเท้าเข้าประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดครึ่งไว้ ป้ายเหนือประตูเขียนไว้ว่า “หอบันทึกลมดิน” หอสำหรับรับเรื่องต่าง ๆ ของประชาชนและการยื่นคำขอ นางตรงเข้าหาโต๊ะรับเรื่องที่มีบัณฑิตชายหนุ่มหน้าตาสุภาพกำลังคัดชื่อใครสักคนลงสมุดบันทึกพอดี
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ามายื่นเรื่องการตั้งร้านค้าริมทางตามจุดที่ได้รับอนุญาตจากกรมการคลัง” หลินหยาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ส่งเอกสารที่ผ่านการประทับตราเรียบร้อยแล้วพร้อมใบแสดงตน หนาน หลินหยา บัณฑิตชายหนุ่มกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อกับใบหน้า แต่ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจใด ๆ ก่อนจะรับเอกสารไปตรวจดูและพยักหน้า “แม่นางต้องการขอเข้าพบฟูหยางเว่ยเจียใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ใช่เจ้าค่ะ” หลินหยาพยักหน้ารับ
“โปรดรอสักครู่ ด้านในท่านฟูหยางกำลังตรวจแบบจำลองอยู่ในหอวางผัง” บัณฑิตหนุ่มผายมือให้นางไปนั่งรอด้านข้างลาน ข้างศิลาแปลนรูปวงกลมที่จำลองเส้นทางการก่อสร้างบ้านเรือนข้างจัตุรัสราชสำนัก ท่ามกลางเสียงกระดิ่งลมกระทบกันดังแผ่วเบากับกลิ่นฝุ่นดินและหมึก เขาเดินหายลับไปทางหอวางผังที่มีซุ้มต้นเมเปิ้ลปลายแดงแต่งแต้มสีสดเหนืออาคาร
หลินหยาได้แต่นั่งรอด้วยความรู้สึกเหมือนมีแมวสิบตัววิ่งไล่ในอก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าฟูหยางเว่ยเจียคนที่ว่ากันว่าเป็นทั้งนักวางผังอัจฉริยะและนักปรับพื้นที่ที่มีชื่อเสียง จะเข้มงวดขนาดไหนกับผู้มาตั้งร้านริมทางเช่นเธอ นางเริ่มนั่งไม่ติดที่ จนกระทั่งเสียงประตูไม้เปิดออกช้า ๆ พร้อมกลิ่นน้ำมันไม้ฉ่ำ ๆ ก่อนก้าวเข้าสู่บทบาทแม่ค้าอย่างเป็นทางการ
ประตูไม้ของหอวางผังถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ราวกับเสียงลมหายใจของแผ่นดินที่พลิกเปลี่ยนชะตาของผู้คน ผู้ที่ก้าวออกมายืนกลางแสงเรือนมัวของบ่ายนั้น คือบุรุษในชุดขุนนางสีนิลปักลายดิ้นทองหมึก ลวดลายสลับซับซ้อนเหมือนแบบผังเมืองที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงของการคิดคำนวณ ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและนิ่งสงบ ดวงตาคมลึกไร้อารมณ์ประหนึ่งตราชั่งที่ไม่เอนเอียง...แม้เพียงปลายเส้นขน
เว่ยเจีย ฟูหยาง ซือลี่เสียวเวย เจ้ากรมโยธาธิการแห่งฉางอัน บุรุษที่ว่ากันว่าพูดน้อยจนเหมือนจะเงียบขรึม แต่กลับไม่มีใครกล้าละสายตาเมื่อเขาเดินผ่าน
หลินหยาเงยหน้าขึ้นจากการนั่งรอ สีหน้าเธอปรับจากแมวอ้อนกลายเป็นแมวสะดุ้งเล็กน้อย ข้างในใจพลันลนลานราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วพยายามไม่ให้ใครรู้ นางลุกขึ้นยืนโค้งให้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะยื่นเอกสารชุดที่เตรียมไว้ด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ แต่พยายามวางเฉย "ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ ข้ามายื่นเรื่องขออนุญาตตั้งร้านค้าริมทางถนนสิบลี้ บนจุดที่กรมการคลังอนุมัติแล้ว..." เว่ยเจียรับเอกสารจากมือบางไปช้า ๆ ดวงตาคมกวาดมองชื่อบนเอกสาร ‘หนาน หลินหยา’ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่กล่าวอันใด สีหน้าเฉยชาจนหลินหยาแทบจะมองไม่ออกว่าเขาไม่พอใจหรือเห็นด้วย หัวใจเธอเต้นกระหน่ำไปถึงท้ายทอย
เขากวาดสายตาไปยังลายเซ็นและตราประทับ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ...แต่ทุ้มจนสะท้อนในอก "กรมคลังอนุมัติแล้ว…แต่หากพื้นที่ที่แม่นางจะตั้งร้านกระทบกับแนวทางเดินหรือแนวเส้นการขยายถนนในแผนห้าเดือนหน้า จะต้องมีการรื้อถอนชั่วคราว แม่นางเข้าใจเงื่อนไขหรือไม่?"
“จะ…เจ้าค่ะ เข้าใจเจ้าค่ะ” หลินหยารีบตอบแทบไม่คิดพยักหน้าถี่รัวจนผมแกว่ง
เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินไปนั่งหลังโต๊ะไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยแผนที่จำลองและแบบร่างกล่องร้านค้า เสียงฝนเหล็กขูดบนกระดาษดังขึ้นเมื่อเขาเริ่มเขียนบันทึกคำรับรอง พร้อมแนบตราประทับราชการลงบนเอกสารฉบับสุดท้าย ดวงตาของเว่ยเจียเหลือบมองหลินหยาอีกครั้ง...คราวนี้เหมือนจะนานกว่าครั้งก่อนเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีคำใดจากริมฝีปากเขา มีเพียงเสียงตวัดปลายพู่กันสุดท้าย แล้วจึงส่งเอกสารอย่างเย็นชาทว่าสง่างาม
มือเรียวบางของหลินหยาที่ยื่นเอกสารให้อย่างไม่มั่นคงนักนั้น ถูกมองอย่างเงียบขรึมจากสายตาคู่คมของเว่ยเจีย ฟูหยาง เขารับเอกสารชุดถัดไปมาเปิดดูอย่างตั้งใจ ก่อนที่ริมฝีปากที่ไม่ค่อยพูดของเขาจะขยับออกเสียงเบาราวกับลมเฉียดหิน "ชื่อร้าน...เซียงเฉินเสี่ยวพู้?" ดวงตาคมเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งแรกอย่างมีความสงสัยปนสนใจนิด ๆ แม้สีหน้ายังเหมือนไม่แสดงอะไรเลย "เป็นร้านเครื่องหอม?"
หลินหยารีบส่ายหน้ารัว ๆ จนปอยผมข้างแก้มปลิวปะทะปลายคาง ดวงตาของนางกลอกตานิดหน่อยแล้วรีบชูมือพร้อมรอยยิ้มประดักประเดิด "ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย! เป็น...เอ่อ...ร้านขายทุกอย่างเจ้าค่ะ มีอะไรก็ขายอันนั้น ขายของที่จำเป็น ของใช้ ของจุกจิก บางทีของที่ไม่จำเป็นก็มี...ก็...แล้วแต่วันค่ะ" น้ำเสียงนางอ่อนลงเหมือนลูกแมวกำลังแก้ต่างให้ตัวเองตอนโดนจับได้ว่าแอบกินปลาชิ้นใหญ่
เว่ยเจีย ฟูหยางนิ่งเงียบไปอึดใจ ยามที่เขาอ่านรายละเอียดรายการสินค้า เขาไม่แสดงออกแม้เพียงคิ้วขมวด แต่น้ำเสียงเรียบเฉียบกลับมีความไตร่ตรองเต็มเปี่ยม "หากเป็นร้านลักษณะเช่นนั้น..." เขาวางเอกสารลง แล้วเอื้อมไปเปิดม้วนแผนผังพื้นที่ร้านค้าที่ว่างอยู่ในเขตถนนสิบลี้อย่างชำนาญ แผ่นภาพที่ปรากฏคือแผนผังย่อยของร้านค้าว่างเรียงตามแนวถนน แบ่งทิศอย่างชัดเจนเป็นเหนือ ใต้ ออก ตก ขนาดและตำแหน่งของร้านแต่ละจุดต่างกันเล็กน้อย "ถนนสิบลี้มีช่องทางว่างอยู่ 4 จุด ตามทิศทั้งสี่ แม่นางเลือกดูได้หากต้องการร้านขนาดเล็กและดูแลง่าย แถบตะวันออกจะเหมาะสมกว่า"
หลินหยาเอียงคอพินิจพิเคราะห์เหมือนกำลังเลือกกล่องขนมมากกว่าร้านค้าทั้งชีวิต ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างจริงจัง นางเดินนิ้วชี้บนภาพแผนผังอย่างระมัดระวังแล้วแตะตรงตำแหน่งร้านเล็กในตะวันออก "ขออันนี้เจ้าค่ะ...ดูเรียบง่าย ไม่ใหญ่โต น่าจะเหมาะกับคนงบน้อยอย่างข้าเจ้าค่ะ..."
เว่ยเจียพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มหนักแน่นสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน "ดี เช่นนั้นข้าจะบันทึกให้แม่นางใช้พื้นที่บริเวณนั้นเป็นร้านค้าได้ตามระยะสัญญา แต่ต้องมีค่าเช่า 5 ตำลึงทองต่อเดือน...ตามกฎหมายการตั้งร้านค้าภายในฉางอัน"
หลินหยาเบิกตากว้างแทบจะกลิ้งล้มจากเก้าอี้เสียงในหัวนางแหบพร่าด้วยราคาที่ไม่ใช่เบา ๆ "หะ...ห้าตำลึงทองเลยหรือเจ้าคะ?!"
"ใช่" เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ...แต่จริงจัง "และขอให้รับทราบให้ชัดเจนว่า ร้านค้าทั้งหมดในเขตฉางอันห้ามใช้เป็นที่พักอาศัย หากตรวจพบว่ามีการดัดแปลงหรืออาศัยภายในร้านจะถือว่าผิดกฎหมายทันที ใบอนุญาตจะถูกเพิกถอน และจะไม่สามารถขออนุญาตใหม่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี"
หลินหยาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่จนลำคอสะท้าน ลูบต้นคอเบา ๆ แสร้งหัวเราะแห้งพลางพยักหน้า "จ…เจ้าค่ะ...ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่แอบนอนในร้านเด็ดขาดเลยหรือปรับเป็นที่พักผ่อนเลยเจ้าค่ะ" เว่ยเจียฟังแล้วเพียงวางตราประทับลงบนใบอนุญาตอีกใบ พร้อมระบุวันที่เริ่มกิจการ ก่อนจะเลื่อนเอกสารมาให้นาง "การต่ออายุใบอนุญาต ให้ไปดำเนินการที่กรมการคตลังเช่นเดียวกับตอนนี้ หากล่าช้าจะถือว่าเป็นการฝ่าฝืน และไม่สามารถทำการค้าได้จนกว่าจะขออนุญาตใหม่"
“เจ้าค่ะ…”
เขาเงยหน้ามองนางครู่หนึ่ง สีหน้าราบเรียบเช่นเดิม แต่หางตาที่ทอดมองคล้ายจะมีรอยยินดีจาง ๆ "แม่นางดูมีความตั้งใจดี จงรักษามันไว้ให้มั่น...ฉางอันไม่ใจดีนักกับผู้เริ่มต้นแต่ก็ไม่โหดร้ายกับผู้ไม่ยอมแพ้" เพียงประโยคนั้นประโยคเดียว หลินหยาก็เหมือนจะลืมราคาค่าเช่าร้านไปชั่วขณะ หัวใจของนางเหมือนพองฟูขึ้นมาเล็กน้อยอย่างประหลาด เธอสูดหายใจลึก ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนโค้งให้เขาอีกครั้งอย่างจริงใจ "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
เสียงฝีเท้าของหญิงสาวค่อย ๆ เดินออก หลินหยาเดินออกจากหอวางผังด้วยหัวใจที่เหมือนจะเบาสบายขึ้นเล็กน้อย แม้ถุงเงินในอกเสื้อจะหนักขึ้นด้วยความรับผิดชอบใหม่ก็ตาม แต่เพียงแค่จะหมุนตัวไปทางประตูห้องเสียงทุ้ม ๆ ก็เรียกนางให้ชะงักฝีเท้าทันที
"เรื่องไร่ชาเมืองอู๋...แม่นางจะให้ข้าดำเนินเรื่องตอนนี้เลยหรือไม่?" หลินหยาหันขวับอย่างมึนงง ดวงตาเบิกกว้างเหมือนแมวที่กำลังจะกระโจนหนีมือคนแปลกหน้า "ห๊ะ?...อะไรนะเจ้าคะ?"
เว่ยเจีย ฟูหยางยังคงนั่งอยู่ตรงเดิมบนตั่งไม้สีดำขลับ ด้านหลังคือฉากผ้าปักแผนผังฉางอันขนาดย่อมที่พลิ้วไปตามแรงลมเบา ๆ มือข้างหนึ่งของเขายังคงเรียบสงบนิ่งบนโต๊ะ อีกข้างเลื่อนเอกสารอีกฉบับมาด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับเรื่องนี้เป็นเพียงลำดับต่อของกระบวนราชการปกติ "ไร่ชาที่เขตภูเขาของเมืองอู๋...แม่นางมีชื่อเป็นเจ้าของร่วม ข้าเพียงถามว่าจะให้เร่งการยืนยันกรรมสิทธิ์เปลี่ยนชื่อลงมือเลยหรือไม่เท่านั้น"
"เดี๋ยวเจ้าค่ะเดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนนน!" หลินหยาเผลอยกมือขึ้นเหมือนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเก่า โบกพัลวันในอากาศ "ท่าน...ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นเจ้าของกับไร่นั้น แล้ว...ใครเป็นคน…" คำตอบแล่นเข้ามาในหัวเร็วกว่าเสียงขลุ่ยที่ลอยมาแต่ไกล ดวงตาของหลินหยาเบิกโตพร้อมเสียงในหัวที่กรีดร้องยิ่งกว่าเสียงตีฆ้องยามเปิดงาน
หรงเล่อ!!
"...คนที่หรงเล่อไปขอซื้อต่อ...คือคุณชายเว่ยเจียมู่หง..." หลินหยากระซิบกับตัวเอง ดวงตากลอกไปมาอย่างกับกำลังตามลูกเต๋าในบ่อน "เว่ยเจีย...มู่หง...บุตรชายของ..." นางกลืนน้ำลายลงคอแรง ๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้ากรมโยธาผู้ยังคงเงียบมองนางอย่างเรียบเฉย ริมฝีปากของหลินหยากระตุกน้อย ๆ
เว่ยเจีย ฟูหยางเพียงเหลือบตามองเล็กน้อยอย่างสุภาพ ไม่ได้หัวเราะ ไม่ได้ตำหนิ ไม่แม้แต่จะกระตุกยิ้ม นอกจากกล่าวเบา ๆ ราวกับผู้ใหญ่พูดกับเด็กที่เผลอหลุดกิริยาแปลก ๆ จากการไม่ได้คิดอะไรมาก่อน "แม่นางมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ดำเนินการตอนนี้...หรือจะให้ข้าร่างเอกสารรับโอนสิทธิกรรมสิทธิ์เพื่อขึ้นทะเบียนเปลี่ยนชื่อเลย"
"...คือ...ข้า..." นางหันไปมองนอกหน้าต่างช้า ๆ พลางพึมพำเบา ๆ "หรงเล่อเจ้ามันตัวร้าย...นี่เจ้าชอบคุณชายบ้านเขาจริงใช่ไหมเนี่ย…” แม้จะปวดหัวแทบเป็นลม แต่สุดท้ายหลินหยาก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วพยักหน้าช้า ๆ ด้วยสีหน้าเหมือนยอมรับกรรม "...รบกวนท่านช่วยดำเนินการให้ด้วยเจ้าค่ะ...จะให้เซ็นตรงไหนก็...ก็เอามาเลยค่ะ..."
เสียงกระดาษจากมือของเจ้ากรมโยธาธิการดังเบา ๆ ขณะที่เขาเลื่อนเอกสารอีกชุดเข้ามาตรงหน้าหลินหยาอย่างใจเย็น เว่ยเจีย ฟูหยางเอ่ยเรียบ ๆ ขณะหยิบพู่กันขึ้นเตรียมเซ็นอนุมัติ "เมื่อไร่ชานี้ถูกโอนชื่อมาเป็นของแม่นาง จะต้องมีการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตดำเนินธุรกิจชาในนามของแม่นางเสียก่อน จากนั้นให้เดินทางไปยังเมืองอู๋เพื่อเริ่มต้นดูแลไร่ด้วยตนเอง ตรวจสอบพื้นที่ จัดหาผู้ดูแล ประเมินคุณภาพ และเปลี่ยนภูมิทัศน์ตามสมควร"
หลินหยาที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากความจริงเมื่อครู่ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับหัวสมองยังอื้อมึนอยู่ในเมฆชา ทว่าเสียงของเจ้ากรมยังไม่หยุดลงแม้แต่น้อย "และเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาด้านอุตสาหกรรมชาแห่งต้าฮั่น ผลผลิตใบชาจากไร่ของเจ้าจะต้องถูกหักไว้ปีละ 360 ใบ เป็นใบชาที่คัดสรรคุณภาพดีที่สุด เพื่อถวายเป็นบรรณาการประจำปีแด่องค์จักรพรรดิ"
"สาม...ร้อย...หกสิบ..." หลินหยาเริ่มเบ้หน้าอย่างเชื่องช้า ปากเริ่มขมเหมือนกินใบชาขมปี๋มาทั้งกระบุง
"ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่แม่นางจะต้องชำระในปีแรกของการบริหารไร่ชานั้น...มีดังนี้" เว่ยเจีย ฟูหยางไม่เว้นแม้แต่จะหยุดให้หลินหยาหายใจ ขณะเลื่อนกระดาษอีกแผ่นมาตรงหน้าเธอ พร้อมระบุจำนวนเงินทีละบรรทัดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราวกับกำลังอ่านกลอนคลาสสิก
"ค่าจ้างบริหารไร่ชา หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญอู่จู”
“ค่าเพาะปลูกและปรับสภาพดิน สามหมื่นเหรียญอู่จู”
“ภาษีที่ดิน หกเปอร์เซ็นต์ จากราคาซื้อขายไร่ซึ่งอยู่ที่ 250 ตำลึงทอง 125 ตำลึงเงิน คิดเป็น 63,000 เหรียญอู่จู"
หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ หายใจไม่ออกทันที ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยขณะยื่นหน้าไปใกล้เอกสารเหมือนจะมองผิดก่อนสบตากับเจ้ากรมโยธาที่กล่าวปิดท้ายด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท "รวมค่าใช้จ่ายเบื้องต้น...เป็นจำนวน 15 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 200 เหรียญอู่จู"
ปากของหลินหยาขยับขึ้นลงเหมือนปลาคาร์ฟในบ่อหิน เธอเงยหน้าช้า ๆ เหมือนคนที่เพิ่งรับรู้ว่าตัวเองเล่นหมากรุกอยู่กับเทพเจ้าแล้ววางม้าพลาดจนถูกบีบมุมจนหมากล้อมหัวใจ
“...”
“...???”
"...ท่านเว่ยเจียเจ้าคะ...คือ...ข้า...ข้าขอเป็นลมตรงนี้เลยได้ไหม..." เสียงสุดท้ายหลุดจากปากนางเบาเหมือนลมหายใจร่วงริน มือซ้ายคว้าหัวเข่า มือขวาเกาะขอบโต๊ะเอกสาร หัวใจพองโตเหมือนถูกโยนเข้าไปในกาต้มน้ำเดือด เหงื่อผุดที่ขมับนัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกที่ยิ่งใหญ่เกินวัยสาว ‘ไอ้เหี้*...แพงชิบหาย...โลกแม่งไม่แฟร์เลย!!!’ นางสบถในใจแรงจนกระดูกสั่น
แม้จะเป็นเสียงภายในใจ แต่สีหน้าของหลินหยาก็ชัดเจนเสียจนเว่ยเจีย ฟูหยางที่ปกติอ่านอารมณ์คนจากตัวอักษรยังเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนถ้วยน้ำชาใส่มือหลินหยาอย่างสุภาพ พร้อมเอ่ยเพียงเบา ๆ
"จงวางแผนให้ดี...โลกธุรกิจ ไม่อ่อนโยนเหมือนกลิ่นชาหรอก" หลินหยาอยากจะกรี๊ด...แต่ก็ทำได้แค่ซดชาร้อนแทนน้ำตา แล้วพึมพำเบา ๆ เหมือนจะพูดกับเทวดา ‘หรงเล่อออออ...ข้าจะลากเจ้ามากรีดน้ำชาด้วยกันแน่นอน เชี่ยเอ๊ยยยยย…’ หลินหยาแทบทรุดลงคาโต๊ะ เธอพ่นลมหายใจแรงออกทางจมูกราวกับจะระบายพิษออกมาทางลมหายใจ แล้วเงยหน้ามองตัวเลขตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง
"15...ตำลึงทอง...7 ตำลึงเงิน...31700 เหรียญอู่จู..." เสียงพึมพำเหมือนเสียงผีตนหนึ่งที่กำลังนับจำนวนวิญญาณที่หลงทาง ตาก็พร่า สมองก็มัว ซ้ำกระเป๋าเงินยังเบากว่ากระดาษข้าวที่โดนลมตี มือเรียวสั่นน้อย ๆ ขณะหยิบถุงผ้าใบเล็กขึ้นมาเปิดสายรัด ภายในบรรจุเหรียญจำนวนมากชนิดที่พอล้วงเข้าไปแล้วมือลื่นยิ่งกว่าจุ่มน้ำมัน ตำลึงทองจำนวนหนึ่งเรียงกันแน่นหนาราวกับกำลังหัวเราะเงียบ ๆ อย่างเย้ยหยัน "...นี่มันค่าเช่าโลก หรือค่าฝันกลางวันของเศรษฐีวะเนี่ย..." หลินหยากระซิบอย่างปลง ๆ พลางส่งถุงเงินให้เจ้าหน้าที่รับเรื่อง จากนั้นเจ้ากรมโยธาธิการก็ค่อย ๆ เซ็นเอกสารด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึม เยือกเย็นตามแบบฉบับของผู้นำราชการที่ไม่หวั่นไหวแม้จะต้องปิดด่านผีข้ามภพ
"การชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าจะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ไร่ชาและออกใบอนุญาตธุรกิจให้เจ้าตามลำดับ หลังจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางไปยังเมืองอู๋" เขาพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำเหมือนสอนบัณฑิตใหม่ป้ายแดงถึงหลินหยาจะโง่เป็นลิงกังก็ตาม "ระยะทางระหว่างฉางอันกับเมืองอู๋นั้นไกลนัก หากเดินทางตอนนี้อาจไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีรายงานเกี่ยวกับปีศาจเร่ร่อนตามเส้นทางการค้า...ข้าแนะนำให้เจ้ารอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลงเสียก่อน แล้วจึงเดินทางไปพร้อมคณะขนสินค้าหรือขบวนเสบียง จะปลอดภัยกว่า"
หลินหยาพยักหน้าอย่างเซื่องซึม ดวงตาเหม่อลอยราวกับปลาตะเพียนที่ว่ายสวนกระแสน้ำเหนื่อยล้า เธออยากจะหลับคาโต๊ะเลยเดี๋ยวนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป "...ค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเธอฟังดูจืดชืดเหมือนน้ำซุปที่โดนต้มซ้ำสี่วันติด เธอลุกขึ้นด้วยแรงพลังใจล้วน ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองของกรมโยธาไปอย่างคนหมดแรง ชุดกระโปรงนางสะบัดเบา ๆ ในยามที่ฝีเท้าทอดยาวช้า ๆ ตามทางเดินหน้าตึก เธอหันไปเหลือบมองลานจำลองผังเมืองด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย แล้วพึมพำกับตัวเองเหมือนต้องสาป
"อีห่านจิก...ชาติก่อนกรวดน้ำไม่ดีแน่ ๆ...ชาตินี้เลยต้องมาขุดไร่ ปลูกชา ขายของ แล้วยังโดนเก็บภาษีบรรณาการให้องค์ฮ่องเต้อีก...กระเป๋าแบนแถมยังต้องเจอปีศาจอีกเนี่ยนะ!" เธอยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนประกาศเสียงหนักแน่นทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน "โอเค! ไม่เป็นไร! เดี๋ยวข้าจะไปขายพีช ขายผัก ขายกล่องสารพัดประโยชน์ ขายทุกอย่างที่ขยับได้ให้หมด! ถ้าจะล้มล่ะก็ ล้มไปพร้อมแผงขายของเลยละกัน!" นางสาวหลินหยาแห่งร้าน "เซียงเฉินเสี่ยวพู้" ได้กลับออกจากกรมโยธาธิการแล้ว พร้อมหนี้ก้อนใหญ่ ความสิ้นหวังขนาดกลางและพลังใจขนาดเล็ก...แต่เอาวะ อย่างน้อยก็ยังมีพลังใจอยู่บ้างละน่า

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ:
ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าในฉางอัน
เดือน 6 จำนวน 5 ตำลึงทอง
ค่าใช้จ่ายในการบริหารไร่ชา
ค่าจ่ายผู้ดูแลไร่ชา เดือน 6 จำนวน 1500 เหรียญอู่จู
ค่าเพาะปลูกและดูแลสภาพดิน 30000 เหรียญอู่จู่ (รายปี)
ค่าภาษีที่ดิน 6 เปอร์เซ็นต์ จากราคาที่ดินที่ซื้อมา 15 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 200 เหรียญอู่จู
รวมโอน 20 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 31700 เหรียญอู่จู
รางวัล: พบและพูดคุย [NPC ตัวประกอบ - เว่ยเจีย ฟูหยาง]