[กรมโยธาธิการ]

[คัดลอกลิงก์]


工部衙门




❖ กรมโยธาธิการ ❖

เมืองฉางอัน

“ลมกรดสร้างฟ้า ดินกล้ารองแผ่นดิน”


   จวนกรมโยธาธิการเป็นสถานที่ที่สง่างาม เงียบขรึม แต่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งการคิดสร้างสรรค์และวางรากฐานของเมืองหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจัตุรัสราชสำนัก ติดแนวลำธารและโขดหินธรรมชาติ จวนหลังนี้ออกแบบตามหลัก “ฮวงจุ้ยแห่งการวางผังเมือง” โดยมีลานหินทรายเรียบกว้างอยู่หน้าจวน สำหรับจำลองแผนผังเมืองต่าง ๆ

   ภายในจวนแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก

   1. หอวางผัง (規劃堂 / Guīhuà Táng) – มีแผนที่เมือง ผังคลอง ผังสะพาน และหอจำลองสถาปัตยกรรมจำลองแบบไม้จิ๋ว

   2. หอช่างหัตถ์ (工藝堂 / Gōngyì Táng) – สำหรับทดลองวัสดุ ทดลองโครงสร้าง และประชุมช่างใหญ่ประจำเมือง

   3. หอบันทึกลมดิน (風土堂 / Fēngtǔ Táng) – เก็บตำราก่อสร้าง สมุดบันทึกน้ำขึ้นน้ำลง รายงานภูมิประเทศ ฯลฯ

   ในยามสาย พื้นที่ในจวนจะเต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษแบบจีนเก่า เสียงขลุ่ยแผ่วเบาจากห้องพัก และเสียงกระดิ่งลมแขวนที่หน้าลาน ส่วนยามค่ำ แสงโคมไฟจะสะท้อนลงบนแบบจำลองเมืองทำให้ดูราวกับเมืองทั้งเมืองอยู่ในกำมือผู้วางผัง


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 5606 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-21 18:29
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-23 00:06


วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 14.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันออก กรมโยธาธิการ


แสงแดดเอื่อยเฉื่อยพาดลงบนแนวกระเบื้องสีเขียวแก่ของจวนกรมโยธาธิการ ลมจากลำธารเลาะข้างอาคารพัดมาเบา ๆ ทำให้กลิ่นกระดาษผสมหมึกจีนเก่าโชยปะทะจมูกหลินหยาเป็นระยะ นางยืนอยู่ตรงลานหินทรายกว้างหน้าจวน พลางสูดลมหายใจเข้าลึก ยกมือกำกระดาษใบอนุญาตที่ได้จากกรมการคลังแน่น ดวงตาเปล่งประกายประหลาดระหว่างความกลัวและความมุ่งมั่น ก่อนจะพูดปลุกใจตนเองเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ไม่ต้องกลัวหลินหยา...แค่เดินเข้าไป ยื่นเอกสาร พูดให้มั่นใจ แล้วก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร แกทำได้…” พอพูดจบก็รีบเดินกระชับฝีเท้าเข้าประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดครึ่งไว้ ป้ายเหนือประตูเขียนไว้ว่า “หอบันทึกลมดิน” หอสำหรับรับเรื่องต่าง ๆ ของประชาชนและการยื่นคำขอ นางตรงเข้าหาโต๊ะรับเรื่องที่มีบัณฑิตชายหนุ่มหน้าตาสุภาพกำลังคัดชื่อใครสักคนลงสมุดบันทึกพอดี


“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้ามายื่นเรื่องการตั้งร้านค้าริมทางตามจุดที่ได้รับอนุญาตจากกรมการคลัง” หลินหยาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ส่งเอกสารที่ผ่านการประทับตราเรียบร้อยแล้วพร้อมใบแสดงตน หนาน หลินหยา บัณฑิตชายหนุ่มกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อกับใบหน้า แต่ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจใด ๆ ก่อนจะรับเอกสารไปตรวจดูและพยักหน้า “แม่นางต้องการขอเข้าพบฟูหยางเว่ยเจียใช่หรือไม่ขอรับ?”


“ใช่เจ้าค่ะ” หลินหยาพยักหน้ารับ


“โปรดรอสักครู่ ด้านในท่านฟูหยางกำลังตรวจแบบจำลองอยู่ในหอวางผัง” บัณฑิตหนุ่มผายมือให้นางไปนั่งรอด้านข้างลาน ข้างศิลาแปลนรูปวงกลมที่จำลองเส้นทางการก่อสร้างบ้านเรือนข้างจัตุรัสราชสำนัก ท่ามกลางเสียงกระดิ่งลมกระทบกันดังแผ่วเบากับกลิ่นฝุ่นดินและหมึก เขาเดินหายลับไปทางหอวางผังที่มีซุ้มต้นเมเปิ้ลปลายแดงแต่งแต้มสีสดเหนืออาคาร


หลินหยาได้แต่นั่งรอด้วยความรู้สึกเหมือนมีแมวสิบตัววิ่งไล่ในอก ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าฟูหยางเว่ยเจียคนที่ว่ากันว่าเป็นทั้งนักวางผังอัจฉริยะและนักปรับพื้นที่ที่มีชื่อเสียง จะเข้มงวดขนาดไหนกับผู้มาตั้งร้านริมทางเช่นเธอ นางเริ่มนั่งไม่ติดที่ จนกระทั่งเสียงประตูไม้เปิดออกช้า ๆ พร้อมกลิ่นน้ำมันไม้ฉ่ำ ๆ ก่อนก้าวเข้าสู่บทบาทแม่ค้าอย่างเป็นทางการ


ประตูไม้ของหอวางผังถูกเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ราวกับเสียงลมหายใจของแผ่นดินที่พลิกเปลี่ยนชะตาของผู้คน ผู้ที่ก้าวออกมายืนกลางแสงเรือนมัวของบ่ายนั้น คือบุรุษในชุดขุนนางสีนิลปักลายดิ้นทองหมึก ลวดลายสลับซับซ้อนเหมือนแบบผังเมืองที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงของการคิดคำนวณ ทุกย่างก้าวของเขาหนักแน่นและนิ่งสงบ ดวงตาคมลึกไร้อารมณ์ประหนึ่งตราชั่งที่ไม่เอนเอียง...แม้เพียงปลายเส้นขน


เว่ยเจีย ฟูหยาง ซือลี่เสียวเวย เจ้ากรมโยธาธิการแห่งฉางอัน บุรุษที่ว่ากันว่าพูดน้อยจนเหมือนจะเงียบขรึม แต่กลับไม่มีใครกล้าละสายตาเมื่อเขาเดินผ่าน


หลินหยาเงยหน้าขึ้นจากการนั่งรอ สีหน้าเธอปรับจากแมวอ้อนกลายเป็นแมวสะดุ้งเล็กน้อย ข้างในใจพลันลนลานราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วพยายามไม่ให้ใครรู้ นางลุกขึ้นยืนโค้งให้อย่างอ่อนน้อมก่อนจะยื่นเอกสารชุดที่เตรียมไว้ด้วยมือที่สั่นน้อย ๆ แต่พยายามวางเฉย "ขอประทานอภัยเจ้าค่ะ ข้ามายื่นเรื่องขออนุญาตตั้งร้านค้าริมทางถนนสิบลี้ บนจุดที่กรมการคลังอนุมัติแล้ว..." เว่ยเจียรับเอกสารจากมือบางไปช้า ๆ ดวงตาคมกวาดมองชื่อบนเอกสาร ‘หนาน หลินหยา’ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่กล่าวอันใด สีหน้าเฉยชาจนหลินหยาแทบจะมองไม่ออกว่าเขาไม่พอใจหรือเห็นด้วย หัวใจเธอเต้นกระหน่ำไปถึงท้ายทอย


เขากวาดสายตาไปยังลายเซ็นและตราประทับ ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ...แต่ทุ้มจนสะท้อนในอก "กรมคลังอนุมัติแล้ว…แต่หากพื้นที่ที่แม่นางจะตั้งร้านกระทบกับแนวทางเดินหรือแนวเส้นการขยายถนนในแผนห้าเดือนหน้า จะต้องมีการรื้อถอนชั่วคราว แม่นางเข้าใจเงื่อนไขหรือไม่?"


“จะ…เจ้าค่ะ เข้าใจเจ้าค่ะ” หลินหยารีบตอบแทบไม่คิดพยักหน้าถี่รัวจนผมแกว่ง


เขาไม่พูดอะไรอีก เพียงเดินไปนั่งหลังโต๊ะไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยแผนที่จำลองและแบบร่างกล่องร้านค้า เสียงฝนเหล็กขูดบนกระดาษดังขึ้นเมื่อเขาเริ่มเขียนบันทึกคำรับรอง พร้อมแนบตราประทับราชการลงบนเอกสารฉบับสุดท้าย ดวงตาของเว่ยเจียเหลือบมองหลินหยาอีกครั้ง...คราวนี้เหมือนจะนานกว่าครั้งก่อนเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีคำใดจากริมฝีปากเขา มีเพียงเสียงตวัดปลายพู่กันสุดท้าย แล้วจึงส่งเอกสารอย่างเย็นชาทว่าสง่างาม


มือเรียวบางของหลินหยาที่ยื่นเอกสารให้อย่างไม่มั่นคงนักนั้น ถูกมองอย่างเงียบขรึมจากสายตาคู่คมของเว่ยเจีย ฟูหยาง เขารับเอกสารชุดถัดไปมาเปิดดูอย่างตั้งใจ ก่อนที่ริมฝีปากที่ไม่ค่อยพูดของเขาจะขยับออกเสียงเบาราวกับลมเฉียดหิน "ชื่อร้าน...เซียงเฉินเสี่ยวพู้?" ดวงตาคมเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งแรกอย่างมีความสงสัยปนสนใจนิด ๆ แม้สีหน้ายังเหมือนไม่แสดงอะไรเลย "เป็นร้านเครื่องหอม?"


หลินหยารีบส่ายหน้ารัว ๆ จนปอยผมข้างแก้มปลิวปะทะปลายคาง ดวงตาของนางกลอกตานิดหน่อยแล้วรีบชูมือพร้อมรอยยิ้มประดักประเดิด "ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เลย! เป็น...เอ่อ...ร้านขายทุกอย่างเจ้าค่ะ มีอะไรก็ขายอันนั้น ขายของที่จำเป็น ของใช้ ของจุกจิก บางทีของที่ไม่จำเป็นก็มี...ก็...แล้วแต่วันค่ะ" น้ำเสียงนางอ่อนลงเหมือนลูกแมวกำลังแก้ต่างให้ตัวเองตอนโดนจับได้ว่าแอบกินปลาชิ้นใหญ่


เว่ยเจีย ฟูหยางนิ่งเงียบไปอึดใจ ยามที่เขาอ่านรายละเอียดรายการสินค้า เขาไม่แสดงออกแม้เพียงคิ้วขมวด แต่น้ำเสียงเรียบเฉียบกลับมีความไตร่ตรองเต็มเปี่ยม "หากเป็นร้านลักษณะเช่นนั้น..." เขาวางเอกสารลง แล้วเอื้อมไปเปิดม้วนแผนผังพื้นที่ร้านค้าที่ว่างอยู่ในเขตถนนสิบลี้อย่างชำนาญ แผ่นภาพที่ปรากฏคือแผนผังย่อยของร้านค้าว่างเรียงตามแนวถนน แบ่งทิศอย่างชัดเจนเป็นเหนือ ใต้ ออก ตก ขนาดและตำแหน่งของร้านแต่ละจุดต่างกันเล็กน้อย "ถนนสิบลี้มีช่องทางว่างอยู่ 4 จุด ตามทิศทั้งสี่ แม่นางเลือกดูได้หากต้องการร้านขนาดเล็กและดูแลง่าย แถบตะวันออกจะเหมาะสมกว่า"


หลินหยาเอียงคอพินิจพิเคราะห์เหมือนกำลังเลือกกล่องขนมมากกว่าร้านค้าทั้งชีวิต ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างจริงจัง นางเดินนิ้วชี้บนภาพแผนผังอย่างระมัดระวังแล้วแตะตรงตำแหน่งร้านเล็กในตะวันออก "ขออันนี้เจ้าค่ะ...ดูเรียบง่าย ไม่ใหญ่โต น่าจะเหมาะกับคนงบน้อยอย่างข้าเจ้าค่ะ..."


เว่ยเจียพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงทุ้มหนักแน่นสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน "ดี เช่นนั้นข้าจะบันทึกให้แม่นางใช้พื้นที่บริเวณนั้นเป็นร้านค้าได้ตามระยะสัญญา แต่ต้องมีค่าเช่า 5 ตำลึงทองต่อเดือน...ตามกฎหมายการตั้งร้านค้าภายในฉางอัน"


หลินหยาเบิกตากว้างแทบจะกลิ้งล้มจากเก้าอี้เสียงในหัวนางแหบพร่าด้วยราคาที่ไม่ใช่เบา ๆ "หะ...ห้าตำลึงทองเลยหรือเจ้าคะ?!"


"ใช่" เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ...แต่จริงจัง "และขอให้รับทราบให้ชัดเจนว่า ร้านค้าทั้งหมดในเขตฉางอันห้ามใช้เป็นที่พักอาศัย หากตรวจพบว่ามีการดัดแปลงหรืออาศัยภายในร้านจะถือว่าผิดกฎหมายทันที ใบอนุญาตจะถูกเพิกถอน และจะไม่สามารถขออนุญาตใหม่ได้เป็นเวลาหนึ่งปี"


หลินหยาเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่จนลำคอสะท้าน ลูบต้นคอเบา ๆ แสร้งหัวเราะแห้งพลางพยักหน้า "จ…เจ้าค่ะ...ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่แอบนอนในร้านเด็ดขาดเลยหรือปรับเป็นที่พักผ่อนเลยเจ้าค่ะ" เว่ยเจียฟังแล้วเพียงวางตราประทับลงบนใบอนุญาตอีกใบ พร้อมระบุวันที่เริ่มกิจการ ก่อนจะเลื่อนเอกสารมาให้นาง "การต่ออายุใบอนุญาต ให้ไปดำเนินการที่กรมการคตลังเช่นเดียวกับตอนนี้ หากล่าช้าจะถือว่าเป็นการฝ่าฝืน และไม่สามารถทำการค้าได้จนกว่าจะขออนุญาตใหม่"


“เจ้าค่ะ…”


เขาเงยหน้ามองนางครู่หนึ่ง สีหน้าราบเรียบเช่นเดิม แต่หางตาที่ทอดมองคล้ายจะมีรอยยินดีจาง ๆ "แม่นางดูมีความตั้งใจดี จงรักษามันไว้ให้มั่น...ฉางอันไม่ใจดีนักกับผู้เริ่มต้นแต่ก็ไม่โหดร้ายกับผู้ไม่ยอมแพ้" เพียงประโยคนั้นประโยคเดียว หลินหยาก็เหมือนจะลืมราคาค่าเช่าร้านไปชั่วขณะ หัวใจของนางเหมือนพองฟูขึ้นมาเล็กน้อยอย่างประหลาด เธอสูดหายใจลึก ๆ แล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนโค้งให้เขาอีกครั้งอย่างจริงใจ "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”


เสียงฝีเท้าของหญิงสาวค่อย ๆ เดินออก หลินหยาเดินออกจากหอวางผังด้วยหัวใจที่เหมือนจะเบาสบายขึ้นเล็กน้อย แม้ถุงเงินในอกเสื้อจะหนักขึ้นด้วยความรับผิดชอบใหม่ก็ตาม แต่เพียงแค่จะหมุนตัวไปทางประตูห้องเสียงทุ้ม ๆ ก็เรียกนางให้ชะงักฝีเท้าทันที


"เรื่องไร่ชาเมืองอู๋...แม่นางจะให้ข้าดำเนินเรื่องตอนนี้เลยหรือไม่?" หลินหยาหันขวับอย่างมึนงง ดวงตาเบิกกว้างเหมือนแมวที่กำลังจะกระโจนหนีมือคนแปลกหน้า "ห๊ะ?...อะไรนะเจ้าคะ?"


เว่ยเจีย ฟูหยางยังคงนั่งอยู่ตรงเดิมบนตั่งไม้สีดำขลับ ด้านหลังคือฉากผ้าปักแผนผังฉางอันขนาดย่อมที่พลิ้วไปตามแรงลมเบา ๆ มือข้างหนึ่งของเขายังคงเรียบสงบนิ่งบนโต๊ะ อีกข้างเลื่อนเอกสารอีกฉบับมาด้วยท่าทางนิ่งเฉยราวกับเรื่องนี้เป็นเพียงลำดับต่อของกระบวนราชการปกติ "ไร่ชาที่เขตภูเขาของเมืองอู๋...แม่นางมีชื่อเป็นเจ้าของร่วม ข้าเพียงถามว่าจะให้เร่งการยืนยันกรรมสิทธิ์เปลี่ยนชื่อลงมือเลยหรือไม่เท่านั้น"


"เดี๋ยวเจ้าค่ะเดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนนน!" หลินหยาเผลอยกมือขึ้นเหมือนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเก่า โบกพัลวันในอากาศ "ท่าน...ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นเจ้าของกับไร่นั้น แล้ว...ใครเป็นคน…" คำตอบแล่นเข้ามาในหัวเร็วกว่าเสียงขลุ่ยที่ลอยมาแต่ไกล ดวงตาของหลินหยาเบิกโตพร้อมเสียงในหัวที่กรีดร้องยิ่งกว่าเสียงตีฆ้องยามเปิดงาน


หรงเล่อ!!


"...คนที่หรงเล่อไปขอซื้อต่อ...คือคุณชายเว่ยเจียมู่หง..." หลินหยากระซิบกับตัวเอง ดวงตากลอกไปมาอย่างกับกำลังตามลูกเต๋าในบ่อน "เว่ยเจีย...มู่หง...บุตรชายของ..." นางกลืนน้ำลายลงคอแรง ๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้ากรมโยธาผู้ยังคงเงียบมองนางอย่างเรียบเฉย ริมฝีปากของหลินหยากระตุกน้อย ๆ 


เว่ยเจีย ฟูหยางเพียงเหลือบตามองเล็กน้อยอย่างสุภาพ ไม่ได้หัวเราะ ไม่ได้ตำหนิ ไม่แม้แต่จะกระตุกยิ้ม นอกจากกล่าวเบา ๆ ราวกับผู้ใหญ่พูดกับเด็กที่เผลอหลุดกิริยาแปลก ๆ จากการไม่ได้คิดอะไรมาก่อน "แม่นางมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ดำเนินการตอนนี้...หรือจะให้ข้าร่างเอกสารรับโอนสิทธิกรรมสิทธิ์เพื่อขึ้นทะเบียนเปลี่ยนชื่อเลย"


"...คือ...ข้า..." นางหันไปมองนอกหน้าต่างช้า ๆ พลางพึมพำเบา ๆ "หรงเล่อเจ้ามันตัวร้าย...นี่เจ้าชอบคุณชายบ้านเขาจริงใช่ไหมเนี่ย…” แม้จะปวดหัวแทบเป็นลม แต่สุดท้ายหลินหยาก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วพยักหน้าช้า ๆ ด้วยสีหน้าเหมือนยอมรับกรรม "...รบกวนท่านช่วยดำเนินการให้ด้วยเจ้าค่ะ...จะให้เซ็นตรงไหนก็...ก็เอามาเลยค่ะ..."


เสียงกระดาษจากมือของเจ้ากรมโยธาธิการดังเบา ๆ ขณะที่เขาเลื่อนเอกสารอีกชุดเข้ามาตรงหน้าหลินหยาอย่างใจเย็น เว่ยเจีย ฟูหยางเอ่ยเรียบ ๆ ขณะหยิบพู่กันขึ้นเตรียมเซ็นอนุมัติ "เมื่อไร่ชานี้ถูกโอนชื่อมาเป็นของแม่นาง จะต้องมีการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตดำเนินธุรกิจชาในนามของแม่นางเสียก่อน จากนั้นให้เดินทางไปยังเมืองอู๋เพื่อเริ่มต้นดูแลไร่ด้วยตนเอง ตรวจสอบพื้นที่ จัดหาผู้ดูแล ประเมินคุณภาพ และเปลี่ยนภูมิทัศน์ตามสมควร"


หลินหยาที่ยังไม่ฟื้นตัวดีจากความจริงเมื่อครู่ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับหัวสมองยังอื้อมึนอยู่ในเมฆชา ทว่าเสียงของเจ้ากรมยังไม่หยุดลงแม้แต่น้อย "และเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาด้านอุตสาหกรรมชาแห่งต้าฮั่น ผลผลิตใบชาจากไร่ของเจ้าจะต้องถูกหักไว้ปีละ 360 ใบ เป็นใบชาที่คัดสรรคุณภาพดีที่สุด เพื่อถวายเป็นบรรณาการประจำปีแด่องค์จักรพรรดิ"


"สาม...ร้อย...หกสิบ..." หลินหยาเริ่มเบ้หน้าอย่างเชื่องช้า ปากเริ่มขมเหมือนกินใบชาขมปี๋มาทั้งกระบุง


"ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่แม่นางจะต้องชำระในปีแรกของการบริหารไร่ชานั้น...มีดังนี้" เว่ยเจีย ฟูหยางไม่เว้นแม้แต่จะหยุดให้หลินหยาหายใจ ขณะเลื่อนกระดาษอีกแผ่นมาตรงหน้าเธอ พร้อมระบุจำนวนเงินทีละบรรทัดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราวกับกำลังอ่านกลอนคลาสสิก


"ค่าจ้างบริหารไร่ชา หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญอู่จู”

“ค่าเพาะปลูกและปรับสภาพดิน สามหมื่นเหรียญอู่จู”

“ภาษีที่ดิน หกเปอร์เซ็นต์ จากราคาซื้อขายไร่ซึ่งอยู่ที่ 250 ตำลึงทอง 125 ตำลึงเงิน คิดเป็น 63,000 เหรียญอู่จู"


หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ หายใจไม่ออกทันที ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยขณะยื่นหน้าไปใกล้เอกสารเหมือนจะมองผิดก่อนสบตากับเจ้ากรมโยธาที่กล่าวปิดท้ายด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท "รวมค่าใช้จ่ายเบื้องต้น...เป็นจำนวน 15 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 200 เหรียญอู่จู"


ปากของหลินหยาขยับขึ้นลงเหมือนปลาคาร์ฟในบ่อหิน เธอเงยหน้าช้า ๆ เหมือนคนที่เพิ่งรับรู้ว่าตัวเองเล่นหมากรุกอยู่กับเทพเจ้าแล้ววางม้าพลาดจนถูกบีบมุมจนหมากล้อมหัวใจ


“...”

“...???”

"...ท่านเว่ยเจียเจ้าคะ...คือ...ข้า...ข้าขอเป็นลมตรงนี้เลยได้ไหม..." เสียงสุดท้ายหลุดจากปากนางเบาเหมือนลมหายใจร่วงริน มือซ้ายคว้าหัวเข่า มือขวาเกาะขอบโต๊ะเอกสาร หัวใจพองโตเหมือนถูกโยนเข้าไปในกาต้มน้ำเดือด เหงื่อผุดที่ขมับนัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกที่ยิ่งใหญ่เกินวัยสาว ‘ไอ้เหี้*...แพงชิบหาย...โลกแม่งไม่แฟร์เลย!!!’ นางสบถในใจแรงจนกระดูกสั่น 


แม้จะเป็นเสียงภายในใจ แต่สีหน้าของหลินหยาก็ชัดเจนเสียจนเว่ยเจีย ฟูหยางที่ปกติอ่านอารมณ์คนจากตัวอักษรยังเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนถ้วยน้ำชาใส่มือหลินหยาอย่างสุภาพ พร้อมเอ่ยเพียงเบา ๆ


"จงวางแผนให้ดี...โลกธุรกิจ ไม่อ่อนโยนเหมือนกลิ่นชาหรอก" หลินหยาอยากจะกรี๊ด...แต่ก็ทำได้แค่ซดชาร้อนแทนน้ำตา แล้วพึมพำเบา ๆ เหมือนจะพูดกับเทวดา ‘หรงเล่อออออ...ข้าจะลากเจ้ามากรีดน้ำชาด้วยกันแน่นอน เชี่ยเอ๊ยยยยย…’ หลินหยาแทบทรุดลงคาโต๊ะ เธอพ่นลมหายใจแรงออกทางจมูกราวกับจะระบายพิษออกมาทางลมหายใจ แล้วเงยหน้ามองตัวเลขตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง


"15...ตำลึงทอง...7 ตำลึงเงิน...31700 เหรียญอู่จู..." เสียงพึมพำเหมือนเสียงผีตนหนึ่งที่กำลังนับจำนวนวิญญาณที่หลงทาง ตาก็พร่า สมองก็มัว ซ้ำกระเป๋าเงินยังเบากว่ากระดาษข้าวที่โดนลมตี มือเรียวสั่นน้อย ๆ ขณะหยิบถุงผ้าใบเล็กขึ้นมาเปิดสายรัด ภายในบรรจุเหรียญจำนวนมากชนิดที่พอล้วงเข้าไปแล้วมือลื่นยิ่งกว่าจุ่มน้ำมัน ตำลึงทองจำนวนหนึ่งเรียงกันแน่นหนาราวกับกำลังหัวเราะเงียบ ๆ อย่างเย้ยหยัน "...นี่มันค่าเช่าโลก หรือค่าฝันกลางวันของเศรษฐีวะเนี่ย..." หลินหยากระซิบอย่างปลง ๆ พลางส่งถุงเงินให้เจ้าหน้าที่รับเรื่อง จากนั้นเจ้ากรมโยธาธิการก็ค่อย ๆ เซ็นเอกสารด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย น้ำเสียงของเขายังคงเคร่งขรึม เยือกเย็นตามแบบฉบับของผู้นำราชการที่ไม่หวั่นไหวแม้จะต้องปิดด่านผีข้ามภพ


"การชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าจะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ไร่ชาและออกใบอนุญาตธุรกิจให้เจ้าตามลำดับ หลังจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางไปยังเมืองอู๋" เขาพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำเหมือนสอนบัณฑิตใหม่ป้ายแดงถึงหลินหยาจะโง่เป็นลิงกังก็ตาม "ระยะทางระหว่างฉางอันกับเมืองอู๋นั้นไกลนัก หากเดินทางตอนนี้อาจไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีรายงานเกี่ยวกับปีศาจเร่ร่อนตามเส้นทางการค้า...ข้าแนะนำให้เจ้ารอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลงเสียก่อน แล้วจึงเดินทางไปพร้อมคณะขนสินค้าหรือขบวนเสบียง จะปลอดภัยกว่า"


หลินหยาพยักหน้าอย่างเซื่องซึม ดวงตาเหม่อลอยราวกับปลาตะเพียนที่ว่ายสวนกระแสน้ำเหนื่อยล้า เธออยากจะหลับคาโต๊ะเลยเดี๋ยวนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป "...ค่ะ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ" เสียงเธอฟังดูจืดชืดเหมือนน้ำซุปที่โดนต้มซ้ำสี่วันติด เธอลุกขึ้นด้วยแรงพลังใจล้วน ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองของกรมโยธาไปอย่างคนหมดแรง ชุดกระโปรงนางสะบัดเบา ๆ ในยามที่ฝีเท้าทอดยาวช้า ๆ ตามทางเดินหน้าตึก เธอหันไปเหลือบมองลานจำลองผังเมืองด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย แล้วพึมพำกับตัวเองเหมือนต้องสาป


"อีห่านจิก...ชาติก่อนกรวดน้ำไม่ดีแน่ ๆ...ชาตินี้เลยต้องมาขุดไร่ ปลูกชา ขายของ แล้วยังโดนเก็บภาษีบรรณาการให้องค์ฮ่องเต้อีก...กระเป๋าแบนแถมยังต้องเจอปีศาจอีกเนี่ยนะ!" เธอยกมือขึ้นลูบหน้าแรง ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนประกาศเสียงหนักแน่นทั้งที่ไม่มีใครได้ยิน "โอเค! ไม่เป็นไร! เดี๋ยวข้าจะไปขายพีช ขายผัก ขายกล่องสารพัดประโยชน์ ขายทุกอย่างที่ขยับได้ให้หมด! ถ้าจะล้มล่ะก็ ล้มไปพร้อมแผงขายของเลยละกัน!" นางสาวหลินหยาแห่งร้าน "เซียงเฉินเสี่ยวพู้" ได้กลับออกจากกรมโยธาธิการแล้ว พร้อมหนี้ก้อนใหญ่ ความสิ้นหวังขนาดกลางและพลังใจขนาดเล็ก...แต่เอาวะ อย่างน้อยก็ยังมีพลังใจอยู่บ้างละน่า




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ

ค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้าในฉางอัน

เดือน 6 จำนวน 5 ตำลึงทอง


ค่าใช้จ่ายในการบริหารไร่ชา

ค่าจ่ายผู้ดูแลไร่ชา เดือน 6 จำนวน 1500 เหรียญอู่จู

ค่าเพาะปลูกและดูแลสภาพดิน 30000 เหรียญอู่จู่ (รายปี)

ค่าภาษีที่ดิน 6 เปอร์เซ็นต์ จากราคาที่ดินที่ซื้อมา 15 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 200 เหรียญอู่จู


รวมโอน 20 ตำลึงทอง 7 ตำลึงเงิน 31700 เหรียญอู่จู


รางวัล: พบและพูดคุย [NPC ตัวประกอบ - เว่ยเจีย ฟูหยาง]


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 74896 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 74,896 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 74,896 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 74,896 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 74,896 ไบต์และได้รับ +40 EXP +35 คุณธรรม +15 ความชั่ว +35 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้