
วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซื่อ เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันออก กรมการคลัง
ยามซื่อยามสายแสงอาทิตย์ทาบยอดอาคารในฉางอันแผ่วเบาแต่เรือนไม้ขนาดมหึมาตรงหน้าหลินหยากลับแลดูขึงขังแข็งกร้าวราวจะตั้งตนขวางฟ้านั่นคือ กรมการคลัง แห่งราชสำนักฮั่น อาคารไม้สามชั้นที่ตั้งตระหง่านริมถนนสิบลี้ฝั่งตะวันออก มีตราสลักเป็นรูปง้วนง้าวมังกรล้อมเหรียญโบราณประดับไว้เหนือประตูใหญ่ บ่งบอกชัดว่านี่คือสถานที่ซึ่งเกี่ยวพันกับเงินในทุกหยาดหยดของราชวงศ์ ตั้งแต่ภาษีของพ่อค้าเร่จนถึงงบหลวงของฮ่องเต้
“เหี้ย... ใหญ่เหมือนจะกลืนข้าทั้งตัวได้เลยนะ...” หลินหยาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แม้แสงเช้าจะอ่อนโยนเพียงใด แต่ยามยืนหน้าสถานที่ราชการที่ขึ้นชื่อว่าเข้ายากออกยากที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ให้กับแรงกดดันทางอำนาจที่แผ่ซ่านออกมาจากตึกทั้งหลัง บริเวณรอบกรมนั้นรายล้อมด้วยขุนนางชายหญิงในชุดครุยหลวงสีน้ำหมึก ท่าทางเคร่งครัดจนแทบไม่กล้าหายใจแรง บ้างก็เร่งเดิน บ้างก็กำลังสั่งการข้ารับใช้ ขณะที่หน่วยทหารองครักษ์ในชุดเกราะเงินดำยืนประจำแน่นหนา ทุกจุดมีทวนเงาวับสะท้อนแดดยามสายราวกับจะเตือนผู้คนว่า ‘ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนธรรมดาจะย่ำเท้าเข้าเล่น’
แต่หลินหยาคือหลินหยาถึงจะมาในชุดชาวบ้านกึ่งสุภาพเรียบร้อย แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยประกายดื้อรั้นปนสนุกสนานปิดไม่มิด เสื้อลินินสีอ่อนที่นางสวมแม้จะดูเรียบง่าย ทว่ากลับมีลวดลายปักมือเล็ก ๆ รูปดอกไม้แฝงอยู่ตรงชายเสื้อ และกระเป๋าเจ็ดสมบัติที่มีอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างตัวห้อยแนบกระเป๋าย่ามก็ยิ่งขับให้ดูมีชีวิตชีวาในท่ามกลางผู้คนสีหน้าเครียดจัดอย่างสิ้นเชิง
"ก็มาสิวะ...แค่กรมการคลังเอง" หลินหยาพึมพำยิ้มมุมปากเหมือนกำลังบิ๊วท์ตัวเองให้กล้าเข้าไป มือหนึ่งของเธอควักเอกสารที่เขียนคำร้องขออนุญาตเปิดกิจการจากท่านหลิวอันที่เคยได้รับคำแนะนำมาซึ่งประทับตราแดงสว่างของฝ่ายจดทะเบียนมาเรียบร้อยแผ่นกระดาษนั้นเป็นเหมือนตั๋วผ่านด่านอสูรที่เธอภาวนาให้ไม่มีใครมาเบรคกลางคัน ไม่อย่างนั้นนางคงกัดหัวเสมียนตายแน่
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูไม้ใหญ่ที่สลักลวดลายเมฆหงส์ เสียงของทหารองครักษ์ที่ยืนตรวจคนเข้าออกก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“มีธุระสิ่งใดกับกรมการคลัง?”
หลินหยายิ้มบางเงยหน้ามองชายผู้สูงเกินกว่าเธอหนึ่งช่วงตัวแล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ข้ามาขอเปิดกิจการในเขตฉางอันเจ้าค่ะ” พลางยื่นเอกสารคำร้องไปตรงหน้าอย่างองอาจ แม้ภายในใจจะเริ่มรู้สึกเหมือนเหงื่อจะไหลตามร่องหลัง ทหารหนุ่มเลิกคิ้ว สายตามองสตรีแปลกหน้าตรงหน้าอย่างพินิจครู่หนึ่ง ก่อนจะรับเอกสารไปส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ด้านใน
“รออยู่ตรงนี้ ข้าจะเรียกเจ้าหน้าที่ลงมาตรวจเอกสารเจ้า” เขากล่าวก่อนจะส่งสัญญาณให้ใครบางคนในตัวตึก หลินหยาพยักหน้าขอบคุณ แล้วหันกลับมายืนเรียบร้อย...สายตากวาดมองอาคารใหญ่ตรงหน้าที่เหมือนเขาวงกตไม้ไร้ทางออกด้วยความตื่นเต้นครึ่งกลัวครึ่งบ้า “เอาน่า…หากวันนี้ผ่านไปได้ ข้าก็จะมีร้านเป็นของตัวเองในฉางอันแล้วล่ะนะ...สู้เขาหลินหยา” นางพูดกับตัวเองเสียงเบาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยแววกร้านชีวิตแบบคนที่เคยงัดข้อกับงูพิษมาแล้วหลายตัวในวังหลวง
และไม่ไกลนักในหน้าต่างชั้นสองของเรือนกรม เงาเงียบ ๆ เงาหนึ่งที่ซ่อนตัวภายใต้ม่านไหมบางกลับมองลงมาที่เธอด้วยสายตาเย็นเฉียบแต่ลุ่มลึก ราวกับกำลังเฝ้าดู ‘นางแมวป่าของเขา’ ด้วยความสนใจเป็นพิเศษ...ใบหน้าของเขานั้นไม่อาจเห็นได้ชัดในแสงเช้า แต่แววตานั้น...เหมือนจะจำเธอได้ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าประตูเสียอีก
ภายในอาคารไม้ชั้นสองของกรมการคลังที่เคร่งขรึมสงัดเงียบ ห้องทำงานของ ต้าซือหนง ซ่างกวน ซีโหลว ผู้เป็นเจ้ากรมการคลังประจำราชสำนักฮั่นนั้นหรูหราเรียบง่ายผิดกับตำแหน่งใหญ่โต โต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานีแกะสลักลายเมฆคลื่นจัดวางอย่างพิถีพิถัน ใกล้หน้าต่างเปิดรับแสงธรรมชาติเพียงพอ กระดาษตราประทับวางเรียงกันเป็นระเบียบไม่มีร่องรอยความวุ่นวาย ขณะที่ด้านหนึ่งของห้องมีภาพครอบครัววาดด้วยหมึกจีนแขวนไว้เหนือชุดน้ำชาดินเผาสองถ้วย
ซ่างกวน ซีโหลวผู้เป็นดั่ง "ตาชั่งมีชีวิต" ของราชสำนัก นั่งนิ่งบนเก้าอี้ไม้หรูสูงเพียงพอให้มองเห็นผู้คนได้ทั้งจากระดับสายตาและระดับเจตนา ชายหนุ่มในชุดครุยสีครามลวดลายทองแต้มที่แขนเสื้อพอให้ขลับยศโดยไม่ข่มตา ใบหน้าคมคายแฝงความเหนื่อยล้าบางเบาจากเอกสารหลายร้อยฉบับเมื่อคืน แต่ดวงตาคมสีน้ำตาลไหม้นั้นกลับยังคงเยือกเย็นมั่นคงดั่งจิตใจเหล็กกล้าของผู้ไม่เคยยอมให้ความผิดพลาดแม้แต่น้อยรอดสายตาไปได้ ขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสมียนนำหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาพร้อมเอกสารหญิงสาวผิวขาวจัดแต่งตัวสุภาพแต่ดูซุกซนในที เส้นผมดำขลับถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ดวงตากลมโตของนางมองไปรอบห้องอย่างตื่นเต้นกึ่งหวาดหวั่น
“ต้าซือหนงขอรับ นี่คือผู้มายื่นขอเปิดกิจการตามขั้นตอนที่ผ่านความเห็นชอบจากกรมทะเบียนค้าขายแล้ว...นามว่า หนาน หลินหยา”
หลินหยาแทบอยากจะหยิกแขนตัวเองให้ตื่น…ทำไมต้องขึ้นมาพบตัวท่านเจ้ากรมเลยวะ นางคิดพลางกลืนน้ำลาย เมื่อสบตากับสายตาคมเฉียบของซ่างกวน ซีโหลว ราวกับถูกเข็มเล่มเล็กทิ่มเบา ๆ ที่หัวใจจนหัวใจเต้นสะดุดไปครึ่งจังหวะ
ซ่างกวน ซีโหลวละสายตาจากเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางถามด้วยเสียงที่นุ่มลึกและเรียบเฉียบเสียจนเธอไม่รู้จะกังวลหรือเคลิ้มดี “แม่นางน้อยคือหนาน หลินหยา…ใช่หรือไม่? เอกสารครบถ้วน...ดูเหมือนจะเรียบร้อยดี” เขาหยุดเล็กน้อย มองตรงมายังเธอ “เหตุใดจึงคิดเปิดกิจการในฉางอัน?”
โอ้โห ถามตรงไม่มีแต่งเติม ไม่มีข่มขู่ ไม่มีเล่นคำสวยหรู แต่แฝงพลังอำนาจให้ขาสั่นเฉยเลย…หลินหยาเกือบตอบไปว่า ‘เพราะอยากรวย’ แต่ก็รีบกัดลิ้นตัวเองไว้ก่อนจะโดนตบออกนอกประตู
หญิงสาวสูดลมหายใจ น้อมตัวเล็กน้อยอย่างสุภาพ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจแต่ไม่แข็งกระด้างนัก “ข้าน้อยเคยทำงานที่หอว่านหงเหรินเจ้าค่ะ มีประสบการณ์ในการจัดหาเครื่องหอม น้ำอบ และของใช้สำหรับสตรี หรือของอย่างอื่น...แม้ข้าจะไม่ใช่ขุนนางชั้นสูงหรือคหบดีบุตรเจ้าพ่อค้าใหญ่โต แต่ข้าก็รู้จักการทำการค้าอย่างสุจริตดีและอยากจะเริ่มต้นสิ่งที่มั่นคงในฉางอันแห่งนี้เจ้าค่ะ”
ซ่างกวน ซีโหลวฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงของเขาตอบกลับนั้นกลับแฝงแววชมเชยเพียงเล็กน้อยหากฟังดี ๆ “กล้าตอบด้วยใจ(?) มิใช่ปั้นแต่งคำสวยงาม(?) นับว่าตรงไปตรงมาดี(????)” เขารับตราแผ่นเหล็กจารึกตราสำนักขึ้นมา พลิกมันเล็กน้อยก่อนจะประทับลงบนเอกสารของหลินหยาอย่างแม่นยำ...เสียง "แปะ" จากตราประทับดังกึกก้องในอกเธอมากกว่าหู “ข้าอนุญาต...ตามขั้นตอน หากมีปัญหาใดในระหว่างการค้าขาย ขอให้มาตามข้าโดยตรง” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ดวงตานั้นกลับมองเธออย่างพินิจ ราวกับกำลังมองผ่านกระดาษใสทะลุถึงกลไกในใจ
หลินหยารีบค้อมศีรษะให้ตามมารยาท “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านเจ้ากรม…”
“เจ้ามีดวงตาที่ซื่อตรง…แต่ก็ซ่อนอะไรไว้มากมายนัก” เขาเอ่ยราวกับกำลังพูดกับตัวเอง…หรืออาจพูดกับหล่อน? แต่หลินหยาเหมือนจะไม่ได้ยิน
หลินหยาที่กำลังถอนหายใจโล่งอก กลับต้องชะงักกลางลมหายใจนั้นเอง เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเรียบนุ่มแฝงอำนาจจากซ่างกวน ซีโหลวเอ่ยตามมารยาทราชการ "การออกสิทธิ์อนุญาตนี้จำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมตามระเบียบ… สิบตำลึงทอง"
สิบ ตำ ลึง ทอง
โอ้โห เหมือนโดนตบเข้าที่กระเป๋าสตางค์ฉับหนึ่งแบบไม่ต้องผ่านมือ! หลินหยาเบิกตากว้างแทบหายใจไม่ออก สิบตำลึงทอง!? นางคิดว่าแค่สามถึงห้าก็น่าจะมากพอแล้ว ไอ้เหี้ย...จะแพงอะไรขนาดนี้วะ! ร้านยังไม่ทันได้ขายแตงโมลูกแรกเลยด้วยซ้ำ!
"ขะ...ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ…" นางพยายามเก็บสีหน้ากลั้นกรี๊ดไว้ในหัวใจอย่างสุดชีวิต มือควานไปที่ห่อเงินใต้แขนเสื้อ ห่อที่มีเงินสำรองซุกไว้เผื่อวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ...แน่นอนว่านางคิดว่าคงไม่มีทางเกิด แต่มันก็เกิดขึ้นจริงไงล่ะ! ขอบคุณจางกงกงที่เขาให้เงินนางไว้เป็นเงินถุงเงินถัง ฮือออ มีเสี่ยเลี้ยงมันดีแบบนี้เองสินะ มือเรียวล้วงเงินออกมาอย่างละล้าละลัง ตำลึงทองวาววับสิบเหรียญถูกวางลงบนถาดไม้ตรงหน้าโต๊ะซ่างกวน ซีโหลวอย่างเรียบร้อยแม้ในใจจะเลือดไหลกระฉูด…
บุรุษผู้เป็นดั่งตาชั่งแห่งฉางอันผงกศีรษะเล็กน้อยพลางเก็บเงินใส่ห่อผ้าอย่างเงียบงัน แววตาเขายังคงไม่เปลี่ยน สีหน้าสงบเสมอเหมือนภูผาใหญ่ แต่ก็ไม่เย็นชาเสียทีเดียว จากนั้น เขาจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษแผ่นเล็กอีกฉบับหนึ่ง จารึกคำแนะนำสั้น ๆ ก่อนส่งมันให้เธอพร้อมกล่าว "หลังจากนี้…ให้ไปที่กรมโยธาธิการบนถนนสิบลี้อีกฟากหนึ่ง จงเลือกทำเลร้านค้าตามความเหมาะสม หากตกลงได้จะต้องชำระค่าเช่ารายเดือนต่อราชสำนักตามสัญญา ถ้ามีข้อสงสัยใดเกี่ยวกับสิทธิ์การใช้พื้นที่ ขอให้ยื่นเรื่องผ่านเสมียนโยธาธิการเท่านั้น อย่าเชื่อข่าวลือหรือการเรียกเก็บจากบุคคลภายนอก" เสียงของเขาเรียบเย็น แต่กลับฟังแล้วรู้สึกถึงความห่วงใยในระบบราชการที่เคร่งครัด หญิงสาวก้มหน้ารับคำเร็วจี๋
"เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด! ขอบพระคุณท่านต้าซือหนงที่กรุณาให้คำแนะนำเจ้าค่ะ!" เธอรีบคว้ากระดาษแล้วหมุนตัวเดินเร็วออกมาราวกับคนเพิ่งรอดจากด่านประหารแต่ยังต้องเสียค่าทางด่วน เหงื่อผุดเต็มหลังเหมือนคนโดนล่ามด้วยคำว่า 'สิบตำลึงทอง' แล้วลากไปโยนหน้าตรอกตลาด…
เมื่อหลินหยาเดินออกจากห้องพร้อมเอกสารในมือ ใบหน้าของนางยังเปื้อนรอยยิ้มตื่นเต้นแบบคนที่รอดออกจากดงเสือมาได้ “โอ้ย...เขาหล่อเหมือนรูปปั้นเทพแล้วทำไมสายตาถึงน่ากลัวขนาดนั้นล่ะวะ...แต่ก็แบบ...โคตรเท่เลยเหี้ยเอ้ยยยย” หลินหยาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ขณะเดินลงบันไดไม่เป็นจังหวะ "อาาาา…แม่งเอ้ย...สิบตำลึงทองขาดตัวเลย ฮือออ…แต่เขาก็พูดดีมากเลยนะเว้ย ทำไมเป็นคนที่สุภาพแล้วยังหล่อได้ขนาดนี้วะ! ซ่างกวน ซีโหลว บัดซบ...ข้าเกลียดตัวเองจริง ๆ เลย..." นางพึมพำระบายขณะเดินออกมาท่ามกลางแดดยามสาย มือยังจับกระดาษคำแนะนำแน่นราวกับมันเป็นคำสั่งสวรรค์
และเมื่อหันกลับไปอีกครั้งมองที่เรือนกรมการคลังใหญ่โตที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง แววตาของหลินหยากลับเต็มไปด้วยทั้งความฮึดและความระทม "จะเอาร้านมาให้ได้! จะขายให้รวยลืมชื่อซ่างกวนเลยคอยดู!" แล้วนางก็รีบวิ่งดิ่งต่อไปยังกรมโยธาธิการ ฝั่งตะวันออกของถนนสิบลี้ทันทีด้วยหัวใจที่ปวดแสบแต่อัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นใหม่อีกระลอก

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ค่าใช้จ่ายในการออกสิทธิ์อนุญาต: 10 ตำลึงทอง
รางวัล: พบและพูดคุย [NPC ตัวประกอบ - ซ่างกวน ซีโหลว]
99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point