[ตอนใต้ทะเลสาบเยว่ปิงเหอ] สะพานเฉียวฮวาซื่อ

[คัดลอกลิงก์]
สะพาน

สะพานเฉียวฮวาซื่อ
{ สะพานสักการะแห่งบุปผางาม }
【 สะพานหินเฉียวฮวาซื่อ 】
「 สะพานแห่งคำสัญญาใต้แสงจันทร์ 」
          สะพานเฉียวฮวาซื่อทอดโค้งอ่อนช้อยอยู่ทางตอนใต้ของทะเลสาบเยว่ปิงเหอ คล้ายผืนไหมทอด้วยแสงจันทร์ ราวกับเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ ยามค่ำคืนสะพานนี้จะเรืองแสงนวลจากหิ่งห้อยนับพันโบยบินไปรอบกาย น้ำใต้สะพานสะท้อนดวงจันทร์เต็มดวงคล้ายแสงทองหลอมละลาย หลายคนลือว่าหากคู่รักได้เดินเคียงกันข้ามสะพานนี้ในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะได้รับพรแห่งความรักจากสวรรค์ ไม่เคยมีผู้ใดฝ่าพรหมลิขิตนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว…จนผู้คนเรียกกันติดปากว่า

          สะพานคำมั่นใต้จันทรา

          ตำนานที่งดงาม แต่ก็อันตรายสำหรับผู้ไม่กล้ารักอย่างแท้จริง

'จันทร์สะท้อนสะพานบุปผา ใจสองดวงให้สัตย์สัญญา'
'สายลมพัดสายน้ำพลิ้ว คำมั่นรักตราตรึงนิรันดร์'

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7338 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 16:25
โพสต์ 2025-7-22 16:59:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 20 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน สะพานเฉียวฮวาซื่อ

อีเว้นท์รอง : เส้นทางแห่งความสุข


ลมยามบ่ายปลายยามเว่ยเริ่มพัดเย็นลงคล้ายกล่อมกล่อมหัวใจให้หย่อนคลายจากพันธนาการของความคิดที่วนเวียน หญิงสาวในชุดบางพริ้วปล่อยผมให้เล่นล้อลม สองขาก้าวผ่านแสงแดดที่เริ่มอ่อนแสงลงเรื่อย ๆ จนสะท้อนกับผิวน้ำเยี่ยงกระจกใสประดับเปลวทอง หลินหยาพ่นลมหายใจแผ่วเบาริมฝีปากแดงน้อยคล้ายจะแต้มรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ตั้งใจ "อาจจะไม่ได้เจอเขาก็ได้วันนี้..." เธอพึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว ทว่าแม้จะพูดเช่นนั้น ใจกลับยังเต้นเป็นจังหวะเดิมทุกเย็น จังหวะของการรอคอยและเดินทาง


นางเดินไปเรื่อย ๆ สะพานหินที่ทอดข้ามตอนใต้ของทะเลสาบเยว่ปิงเหอปรากฏอยู่ไกลลิบท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ จากไอน้ำในอากาศ แสงสีอำพันของอาทิตย์เริ่มคลี่ลงที่ปลายทิวไม้ ราวกับฟ้ากำลังพับความวุ่นวายของวันเก็บไว้ในกล่องเล็ก ๆ เพื่อเปิดทางให้ยามเซินมาถึง “แต่ยังไงข้าก็จะไปตามสัญญาใจ…” หลินหยาคิดพลางก้าวเท้าลงบนสะพานหิน เสียงเท้ากระทบพื้นสะท้อนเบา ๆ กับเสียงลมหายใจของตนเอง


เธอไม่รู้หรอกว่าก้าวนี้เร็วไปหรือช้าไป ไม่รู้ว่าอีกฝั่งของสะพานจะมีใครรออยู่หรือไม่ ไม่รู้ว่าหากนางมาถึงศาลาแล้วเขาจะหันมามองหรือนั่งหันหลังให้เหมือนวันก่อน ๆ


แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่คือนางจะไม่ปล่อยให้ใจของตนเองหลงทางอีกจะไปที่นั่น ไม่ใช่เพื่อเขาเพียงอย่างเดียวแต่เพื่อ ‘ตัวนางเอง’ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้อดีตหรือความหวาดกลัวใด ๆ มากำหนดความรู้สึกในวันนี้ สายลมโบกผ่าน กลีบบุปผาที่ร่วงอยู่บนสะพานถูกยกขึ้นลอยหมุนวนข้างร่างบาง หลินหยายื่นมือออกสัมผัสกลีบดอกไม้ที่ลอยผ่านพลางหลับตาลงชั่วครู่


ปลายสะพานหินทอดยาวล้อมด้วยเสียงลมหวิวคล้ายเสียงกระซิบจากวันวาน หลินหยาหยุดยืนอยู่ตรงกลางสะพาน มองน้ำเบื้องล่างอย่างเงียบงัน ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนขอบสะพานอย่างอ่อนช้อย มือข้างหนึ่งจับราวหินไว้หลวม ๆ อีกข้างหนึ่งปล่อยให้อิสระเหมือนใจที่ปลดปล่อยจากกรอบ ขาเรียวข้างหนึ่งห้อยลงเหนือผืนน้ำใสราวกระจก อีกข้างตามลงมาอย่างไม่มีลังเล แม้เป็นท่าที่คนทั่วไปเห็นแล้วคงร้องห้าม แต่หลินหยาไม่กลัว นางไม่เคยกลัวความสูง ไม่กลัวลมแรง ไม่กลัวแม้แต่จะตกลงไปในทะเลสาบแห่งนี้


สิ่งที่นางกลัว…อาจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น


แสงอาทิตย์คลี่ยามเย็นย้อมผืนน้ำให้ระยิบระยับดั่งมีหิ่งห้อยนับพันมาร่ายรำอยู่ใต้เท้าของนาง ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ทำให้ปลายผมนางสะบัดไปด้านหลัง เผยใบหน้าสะอาดสะอ้าน ริมฝีปากแดงน้อยเผยอออกเล็กน้อย พลางหลุบตาลงมองผิวน้ำที่กระเพื่อมสั่น


“แปลกดี” นางพูดขึ้น “ยิ่งใจวุ่นวาย ทะเลสาบกลับนิ่งสงบ…หรือข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้มันปั่นป่วน” หลินหยาปล่อยตัวเองให้อยู่กับลมให้ใจได้ไหลไปกับผืนน้ำ ลึกลง เงียบลง และปลอดโปร่ง แม้เพียงชั่วครู่ก็เพียงพอแล้วที่จะได้ฟังเสียงของตัวเอง “ถ้าตรงนี้คือจุดที่ข้าทิ้งทุกอย่างได้ชั่วคราว…ข้าก็อยากจะอยู่ตรงนี้อีกสักนิด” ลมพลันพัดแรงขึ้นชั่วขณะ เธอหลับตา ปล่อยให้ปลายผมโดนพัดเล่นราวคนบ้าฝัน เสียงคลื่นเบา ๆ จากด้านล่างเหมือนเสียงกระซิบของทะเลสาบที่กำลังฟังเธอระบายใจอย่างเงียบงัน ราวว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่แค่ขอบสะพานหินธรรมดา แต่คือที่พำนักชั่วคราวของหัวใจที่ยังไม่อาจเลือกทางใดได้ชัดเจน


ดวงตาของหลินหยาเหม่อมองไปยังทิศทางของแสงอาทิตย์ตกที่ใกล้ขอบฟ้า บางครั้งความรู้สึกของคน…ก็เหมือนพระอาทิตย์ยามนี้ไม่ใช่ร้อนแรงแต่คืออบอุ่นเจ็บปวด ไม่ใช่สิ้นสุดแต่คือการเปลี่ยนผ่าน


เธอคิดถึงเขา…คิดถึงใครบางคน แล้วเธอก็คิดถึงตัวเองอีกครั้งผู้หญิงที่นั่งอยู่บนขอบสะพานหินคนนี้คือผู้หญิงที่กล้าจะรักแม้จะยังเจ็บ กล้าที่จะเลือกแม้จะยังกลัวและกล้าที่จะให้อภัย แม้จะเคยอยากเกลียดจนสุดหัวใจ เลือกงั้นหรอ? อะไรที่จะเลือกให้ตัวเอง? เสรีภาพ? ความสัมพันธ์? ความสงบในใจ? หลินหยาแทบไม่ต้องคิดเลยว่าเธอเลือกอะไร


"เสรีภาพ" เสียงหลินหยาดังกังวานขึ้นเบา ๆ ในความเงียบสงบของเย็นย่ำ แววตาของนางที่ทอดลงสู่ผืนน้ำค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นแน่วแน่มั่นคง นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นช้า ๆ ประหนึ่งกำลังสัมผัสฟากฟ้า มือขาวที่เรียวยาวงดงามราวแกะสลักนั้นสั่นไหวเล็กน้อยท่ามกลางแสงทองที่ย้อมขอบฟ้า บางคนบอกว่ามือของนางช่างบอบบางนัก เป็นมือของคุณหนูที่เกิดมาเพื่อหยิบขลุ่ย เป่าซุน พริ้วบรรเลงลำนำ ไม่ใช่มือของผู้ที่จะเดินบนเส้นทางที่เปื้อนเลือดและน้ำตาแต่นางรู้ดีมือคู่นี้ไม่เคยหยุดเลือก


"ข้าเลือกมัน" เสียงกระซิบแผ่วเบาเอ่ยจากริมฝีปากสีระเรื่อ “ข้าเลือกเสรีภาพ ข้าเลือกมาโดยไม่ต้องลังเลเพราะข้าเลือกมันมาตลอด”


เสรีภาพของหลินหยาไม่ใช่การหลีกหนีไปไกล ไม่ใช่การตัดสัมพันธ์ ไม่ใช่การทิ้งทุกสิ่งแล้วมุ่งหน้าไปยังที่ที่ไม่มีใครตามเจอ…ไม่ใช่ความว่างเปล่าแต่คืออิสระที่แท้จริง อิสระที่จะหัวเราะแม้ในยามแสนเจ็บ ที่จะร้องไห้โดยไม่อาย ที่จะรักแม้จะรู้ว่าปลายทางอาจเป็นเพียงการพรากจาก อิสระที่จะเลือกความสุขแม้โลกจะพยายามพรากมันไป


"ข้า…ไม่เคยเป็นคนที่ใครจะมากำหนดได้ไม่ว่าจะเด็กหรือเติบโตขึ้นจนถึงครานี้" หลินหยาพึมพำเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นในน้ำเสียง "ข้าอาจกลับไปหาเขาทุกวัน ข้าอาจยิ้มให้เขาทั้งที่เกลียดเขานัก ข้าอาจพูดกับเขาเหมือนคนรู้ใจทั้งที่ใจเจ็บร้าวแต่ทั้งหมดนั้น…ล้วนเป็นสิ่งที่ข้า 'เลือกเอง'"


"เลือกจะอยู่ เลือกจะเฝ้ารอ เลือกจะให้อภัย เลือกจะหวังต่อ แม้ไม่มีคำมั่นสัญญาใด ๆ ออกจากเขาเลยก็ตาม" นางไม่ใช่หญิงอ่อนแอที่เฝ้าหาคำตอบจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว หลินหยาในวันนี้คือผู้หญิงที่กล้ารักแม้รักนั้นจะไม่สมบูรณ์ คือหญิงสาวที่กล้าทนเจ็บแม้ความเจ็บนั้นจะไร้จุดสิ้นสุด เพราะนางได้เลือกและผู้ที่เลือกด้วยหัวใจของตนย่อมไม่มีทางไม่มีอิสระ


"บางที…อิสระที่แท้จริง อาจไม่ใช่การเดินจากไปให้ไกลแสนไกล" นางหลุบตาลงมองเงาของตัวเองสะท้อนบนผืนน้ำ "แต่อาจเป็นการเดินกลับมายังจุดเดิม…ด้วยหัวใจที่ไม่หวังอะไรอีกแล้วนอกจากได้เป็นตัวของตัวเอง ได้รักในแบบของตนได้อยู่…แม้ไม่มีที่ให้ยืนก็ไม่เป็นไร" ริมฝีปากของหลินหยายกยิ้มบางแผ่วเหมือนสายลมยิ้มของหญิงสาวที่ตัดสินใจแล้ว ยิ้มของคนที่ยอมรับทั้งความจริง ความเจ็บและความงามของการได้รักใครสักคน แสงสุดท้ายสะท้อนรอยยิ้มของเธอบนผิวน้ำที่ไหวกระเพื่อม ก่อนลมเย็นจะพัดพาเส้นผมของนางปลิวเบา ๆ เงาร่างนั้น…ไม่ใช่เงาของเด็กสาวที่สับสนอีกต่อไป แต่คือหญิงสาวผู้เลือกอิสระของตนด้วยความรักที่ชัดเจนถึงขีดสุด


“แม้เขาจะไม่มา…ข้าก็จะอยู่ตรงนี้ เพราะนี่คือความสุขของข้า” เสียงหวานเจือเศร้าเอ่ยแผ่วท่ามกลางสายลมยามเย็นของทะเลสาบเยว่ปิงเหอ เสียงที่เบาเสียจนดูคล้ายกับกลืนหายไปในผิวน้ำ ทว่าแท้จริงกลับหนักแน่นกว่าคำใดในห้วงใจของหญิงสาวที่นั่งห้อยขาริมสะพานหินแห่งรัก แสงอาทิตย์ตกที่เริ่มเฉียงทอดลงบนผิวน้ำสะท้อนสีทองปะทะผิวแก้มนวลอ่อนของหลินหยาที่เอนตัวน้อย ๆ เข้าหาเส้นขอบฟ้า ใบหน้าที่อาบไปด้วยแสงสุดท้ายของวันเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน... ไม่ใช่รอยยิ้มเพื่อใคร ไม่ใช่รอยยิ้มเพื่อลวงหลอก หรือถมทับความเศร้า


แต่เป็นรอยยิ้มเพื่อตัวเอง


นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสะพานแห่งนี้มีเรื่องเล่าเช่นไร บางคนว่ามันคือสะพานที่ผูกด้ายแดง บางคนว่าใครที่ได้สัญญาใจ ณ จุดนี้ จะพบรักแท้ในอีกวันข้างหน้า บางคนก็เล่าว่า หากคู่ใดเดินข้ามสะพานเคียงคู่กันจะรักกันไปชั่วชีวิต ทว่าสำหรับหลินหยา...นางไม่เคยต้องการให้เรื่องราวของผู้อื่นกลายเป็นคำพยากรณ์ในชีวิตตน นางเพียงมานั่งที่นี่...เพราะใจเรียกให้มาเพราะกลิ่นลม กลิ่นน้ำ และเสียงในใจของตัวเองบอกว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ที่ความรู้สึกของนางได้หยั่งราก


“แม้เขาจะไม่มา...” นางเอ่ยอีกครั้ง ทวนคำให้ตัวเองฟัง “แม้วันนี้เขาจะลืม...แม้พรุ่งนี้เขาจะไม่เลือกข้า แม้วันใดใจของเขาจะไปหาผู้อื่น…” แค่คิดก็เจ็บแล้ว…นางก้มมองปลายเท้าตัวเองที่ห้อยอยู่เหนือผืนน้ำ ราวกับเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยังคงฝันถึงวันวานก่อนจะเอ่ยอย่างแน่วแน่ “แต่ข้า…ยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะใจข้าสงบ…เพราะใจข้ามีความสุขเวลาที่นึกถึงเขา…ท่านทำอะไรกับข้ากันแน่นะ…ผูกใจข้าไว้กับความบิดเบี้ยวของท่านแล้วเล่นมันเป็นตุ๊กตาอย่างงั้นหรอ…จาง ห่าวหมิง?”


ลมหอบหนึ่งพัดผ่านพลิ้วเบากลิ่นหอมของไม้จันทน์และกลิ่นใบไม้เปียกน้ำปะทะจมูก คล้ายกับกลิ่นที่เคยติดเสื้อคลุมของใครบางคน… กลิ่นอันคุ้นเคยที่หลินหยาไม่กล้าบอกว่าตนเฝ้าจำ แต่แท้จริงกอดแน่นไว้ในใจเสมอ ดวงตาของนางทอดมองไปไกลสุดสายตา หวังเพียงสักวินาทีที่เงาร่างของเขาจะปรากฏขึ้นในม่านแสงริบหรี่แต่แม้จะไม่มีเธอก็ยังคงยิ้มอยู่ดี เพราะสัญญาใจของนาง…ไม่เคยขึ้นอยู่กับใครเลยนอกจากหัวใจของตนเอง



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คุณพี่จะมาไหม

รางวัล: -


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-7-22 18:03
คุณพี่ม๊าาาาาาา มาหาน้องกรี๊ดดดดดดด  โพสต์ 2025-7-22 16:59
โพสต์ 37898 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 16:59
โพสต์ 37,898 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-22 16:59
โพสต์ 37,898 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-22 16:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-7-22 19:55:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 20 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน สะพานเฉียวฮวาซื่อ

อีเว้นท์รอง : เส้นทางแห่งความสุข


กลีบกุหลาบสีทองร่วงหล่นจากท้องฟ้าโดยไร้เสียงของลม ไม่มีแม้แต่แรงกระเพื่อมจากอากาศ คล้ายจะไร้น้ำหนัก แต่กลับงดงามราวกับเป็นประกายทองคำของสวรรค์ที่โปรยลงมาเฉพาะให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น หลินหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงกุหลาบสีทองที่ร่วงพรายล้อมรอบร่างนางไว้ ใบหน้านวลที่เมื่อครู่ยังประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพลันนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อละสายตาจากท้องฟ้าแล้วมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง ที่ตรงนั้น...เงาของบุรุษในชุดขาวผู้สง่างามคนที่เธอพบที่ข้างทะเลสาบแผ่วเบาราวกับไม่เคยแตะผืนแผ่นดิน เขายืนอยู่ในม่านกลีบดอกไม้สีทองนั้น ท่ามกลางเงาแสงอันเลือนรางของยามตะวันเริ่มคล้อย…และข้างเขา


มีสตรีคนหนึ่งยืนเคียงกาย…


หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีประหลาดส่องประกายเทาอมทองสะท้อนกับแสงเย็นของทะเลสาบ ผิวขาวซีดงดงามไม่ใช่ด้วยเครื่องแต่งหรืออาภรณ์จากผ้าไหมล้ำค่า แต่เป็นแววตา สีหน้า และประกายบางอย่างที่ไม่มีชื่อ เส้นสายดวงหน้านั้นเหมือนจะเป็นหญิงสาวจากตะวันตกแต่ก็มีความอ่อนโยนแบบตะวันออก ความสง่างามแบบฮั่น...แต่ความแปลกของนางไม่อาจลดทอนความงามแม้สักเสี้ยว ตรงกันข้ามยิ่งเหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์ในความฝันของหลินหยา หญิงสาวชาวฮั่นผู้ที่ไม่เคยเอ่ยว่าตนใฝ่ฝันถึงความรัก กลับรู้ทันทีในห้วงลมหายใจหนึ่งว่า...นางตรงหน้า งดงามตามอุดมคติของนางเอง


ชายหนุ่มในชุดขาวเพียงยกยิ้มแผ่วเบา ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหมือนเงาสะท้อนของพระจันทร์บนผืนน้ำ ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ยจากปากทั้งคู่แต่ทั้งเขาและนาง...ยืนอยู่เคียงกัน มองมาทางหลินหยา ราวกับกำลังส่งคำอวยพรเงียบ ๆ ที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำใด ๆ ประกอบ ทั้งสองมองด้วยสายตาอ่อนโยน อบอุ่น และสงบก่อนที่แสงสีทองจะสว่างวาบ


เงาร่างของทั้งสอง...ก็สลายหายไปกับกลีบดอกไม้ เหลือเพียงหลินหยาที่ยังคงนั่งอยู่ตรงเดิมห้อยขาเหนือผืนน้ำ ดวงตาที่เคยแน่วแน่ไหววูบเล็กน้อย แต่มิใช่เพราะความกลัวหรือความหวั่นไหว หากเพราะบางอย่างในใจ...บางอย่างที่หลินหยาเองก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำได้ “...งดงามจัง” นางพึมพำเพียงเท่านั้น เสียงเบาราวกระซิบคล้ายกลีบกุหลาบสีทองที่ยังลอยละลิ่วอยู่รอบร่างนางกลีบสุดท้ายแห่งคำอวยพรที่ไม่มีใครล่วงรู้ที่มา...นอกจากนางผู้เลือกจะเชื่อในสัญญาใจของตัวเองเพียงเท่านั้น


เสียงฝีเท้าหนักแน่นทว่าเงียบสงบเหมือนดั่งกลืนหายไปกับบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ริมทะเลสาบกลิ่นของกลีบกุหลาบทองที่จางไปแล้วเหลือเพียงเงาร่องรอยในอากาศ ยังอ้อยอิ่งในม่านแสงอาทิตย์เย็น หวยหนานหวาง หลิวอัน ยืนอยู่อย่างเงียบงันใต้ร่มเงาไม้ฝั่งตรงข้ามของสะพานหิน ผ้าคลุมสีเข้มสะบัดเบา ๆ ตามแรงลมเย็นของยามพลบค่ำ ชายผู้มีดวงตาเฉียบคมล้ำลึก ริมฝีปากเฉยชาเยียบเย็น และกลิ่นอายของการควบคุมที่แม้แต่ทหารกล้าก็ยังต้องก้มหน้า เขากำลังเฝ้ามองหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งห้อยขาอยู่บนขอบสะพานหินสูงนั้น


เขารู้ดีว่าไม่ควรมาแต่สองขากลับพาตัวเขาเดินมาในเส้นทางนี้ทุกครั้งในวันเดียวกันของสัปดาห์ ราวกับเป็นจังหวะของชีวิตที่ค่อย ๆ ซึมลึกโดยไม่รู้ตัว และวันนี้เขากลับพบภาพนั้นหลินหยาในชุดเรียบง่าย ดวงหน้าเยือกเย็นสงบจ้องมองไปยังผืนน้ำสายลมอ่อนพัดเส้นผมของนางพลิ้วไหว


และกลีบกุหลาบสีทองที่โปรยลงมาเฉพาะรอบกายของนาง


ดวงตาคมกริบของหลิวอันหรี่ลงเล็กน้อย เขามองเห็นกลีบดอกไม้ร่วงลงจากฟ้าแต่เพียงลางเลือน บางเบาเกินกว่าจะสัมผัสได้จริง เขามองตามสายตาของหลินหยาอย่างสงบแต่กลับไม่เห็นสิ่งใดบนท้องฟ้า เขาไม่ได้ยินเสียงเพลง ไม่เห็นบุรุษในชุดขาวหรือหญิงสาวผู้มีดวงตาเทาเงินบริสุทธิ์ เขาไม่รู้ว่านางเห็นอะไรหรือกำลังพบกับนิมิตใด แต่สิ่งที่เขารู้แน่คือ...หลินหยายังคงไม่เปลี่ยน


ยังคงเป็นหญิงสาวผู้ยิ้มให้กับสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นเป็นผู้ที่มีแววตาแน่วแน่ แม้จะโอบล้อมด้วยความเงียบและรอยแผลจากอดีต


เขาสูดลมหายใจแผ่วเบาพอจะคลายเสี้ยวความรู้สึกบางอย่างที่ลอยวนอยู่ในอก จากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปใกล้หลินหยาอย่างไม่เร่งร้อน เสียงฝีเท้าของเขากระทบสะพานหินดังแผ่วเพียงพอให้นางรับรู้


"แม่นางน้อย" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักอย่างเรียบเฉยในแบบของเขา น้ำเสียงคุ้นหูไม่ใช่แค่เพราะนางได้ยินมันหลายครั้งแต่มันเป็นเสียงที่มักจะปรากฏขึ้นในจังหวะที่เงียบที่สุดของใจนาง “ยังไม่เบื่อที่มานั่งดูน้ำอยู่ตรงนี้หรือไร” หลิวอันพูดพลางนั่งลงด้านข้าง โดยไม่รอคำอนุญาต มือหนึ่งวางบนเข่า เขาไม่ได้แสดงความแปลกใจต่อกลีบกุหลาบทองไม่เอ่ยถึงแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่านางกำลังมองสิ่งใดเขาเพียงอยากนั่งข้างนาง เหมือนทุกวันที่นางเลือกมาหาเขาที่ร้านเต้าหู้อันเล่อจ้วน เขาไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของการพบกันแต่วันนี้… เขายังมีเวลา และนางก็ยังอยู่ที่นี่ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับหลิวอันชายผู้ใช้การกระทำแทนถ้อยคำและเลือกจดจำความสุขเล็กน้อยอย่างเงียบงัน


หลินหยาเอียงหน้ามองบุรุษข้างกายเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแวบหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายขบขันเมื่อเห็นว่าเขามาในชุดสีดำขลับดูขึงขังไม่ใช่ผ้ากันเปื้อนกลิ่นถั่วเหลืองที่เธอคุ้นเคยจากร้านเต้าหู้อันเล่อจ้วน เธอยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเหมือนเคยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริงตามแบบฉบับของหญิงสาวผู้นี้ “สวัสดีเจ้าค่ะท่านหลิวอัน…อ่ะ…อ้าว...วันนี้ไม่มาทำเต้าหู้หรือคะเถ้าแก่ร้าเต้าหู้?” นางแกล้งพูดทั้งที่รู้ว่าเขาอาจมีธุระจริงจัง แล้วเบือนหน้ากลับไปมองผืนน้ำตรงหน้า “ส่วนเรื่องเบื่ออืม...ข้าไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ ว่าคิดยังไงถึงเดินมาไกลขนาดนี้…แค่อยากให้ใจมันนิ่งลงหน่อย” นางถอนหายใจยาว ลมยามเย็นพัดเส้นผมของนางพริ้วลงแนบแก้ม ก่อนที่หลิวอันจะหันมาสบตานางเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ เรียบง่าย แต่นุ่มนวลกว่าครั้งไหน ๆ


“แล้วที่นี่...ช่วยให้ใจเจ้าสงบบ้างไหม?” คำถามนั้นไม่ได้เร่งเร้าไม่มีความคาดคั้น มีเพียงความห่วงใยลึกซึ้งซึ่งเคลือบซ่อนในน้ำเสียงจนแทบไม่รู้ตัว ชายผู้ที่ใครต่อใครต่างหวาดกลัวว่าเขาจะโหดเหี้ยม นั่งเงียบ ๆ ข้างหญิงสาวผู้หนึ่งเหมือนหินริมทางที่ไม่อาจถูกทำลาย


หลินหยาหันหน้ามาทำหน้ายู่เบา ๆ คิ้วโค้งเล็กขมวดนิดนึงด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก เธอไม่พูดในทันที แต่สายตานั้นกลับซื่อตรง เธอกระซิบเบา ๆ พลางมองปลายเท้าตัวเองที่ห้อยลงจากสะพานหิน “…อาจจะช่วยก็ได้เจ้าคะ แค่...ช่วงนี้ใจมันเหมือนผิวน้ำเวลาโดนลม มันไม่อยู่นิ่งเลย ว้าวุ่น...พิกลนัก” หลินหยากอดเข่าข้างหนึ่งไว้ หลุบตาลงแต่ก็ไม่หลบหลีกเขาดวงตาของนางแม้เศร้าซึ้งแต่ก็ยังเรืองแสงอย่างดื้อดึง


หลิวอันมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ อยู่นาน ความเงียบของเขาไม่ใช่ความเมินเฉย แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกินจะถ่ายทอดเป็นถ้อยคำ เขาเอื้อมมือออกไปเบา ๆ วางมืออุ่นข้างหนึ่งบนศอกของนางแล้วเอ่ยเพียงเบา ๆ “อยู่ตรงนี้…ไม่ต้องทำใจให้สงบก็ได้” ถ้อยคำง่าย ๆ แต่เหมือนทลายกำแพงบางอย่างในอกหลินหยา ความเงียบที่ตามมาหลังคำพูดนั้นไม่ได้อึดอัด แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดอารมณ์คล้ายเมื่อคนคนหนึ่งยอมรับในความว้าวุ่นของอีกคนอย่างไม่ตัดสิน และในยามนั้นเอง สะพานหินเก่าแก่ที่ทอดผ่านผืนน้ำสะท้อนแสงตะวันร่วงโรยกลับกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก สำหรับหญิงสาวที่เหนื่อยล้าและชายผู้เงียบขรึม


สายลมเย็นแผ่วผ่านปลายผมของหลินหยาอีกครั้งในจังหวะที่นางกำลังเอ่ยคำเหล่านั้น ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แน่วแน่ มองทะเลสาบแล้วแสงตะวันยามใกล้ลับฟ้าก็สาดไล้ใบหน้างามของนางให้เปล่งประกายราวต้องมนตร์ขลัง


"ข้าก็แค่...กำลังคิดเรื่องสิ่งที่ข้าต้องการจริง ๆ สักทีค่ะ" นางพูดช้า ๆ เสียงสะท้อนเบา ๆ จากผิวน้ำข้างล่างขับให้ถ้อยคำของนางดูชัดเจนยิ่งกว่าทุกที "มันไม่ใช่สิ่งใหญ่โตอะไรหรอก แค่...เสรีภาพค่ะ เสรีภาพที่จะเป็นตัวเอง มีสิทธิ์เลือกโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ไม่ต้องหลบซ่อน…" เสียงนั้นเงียบลงหลินหยาไม่ได้มองหลิวอันตรง ๆ ในตอนที่พูด หากแต่มือเล็กนั้นกำชายเสื้อแน่นขึ้นราวกับจะประคองคำตอบของหัวใจตัวเองไม่ให้หลุดร่วงไปกับลม


แต่หลิวอันกลับมองนางอย่างไม่ละสายตา…


เขาเงียบครู่หนึ่งไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปาก ไม่มีรอยยิ้มใดแสดงออกมาทว่าดวงตาคู่นั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ชายผู้เงียบขรึมผู้เย็นชาในสายตาใครต่อใคร ผู้อำนาจล้นฟ้าและเก็บทุกอารมณ์ไว้ใต้เปลือกแข็งกระด้างยามนี้กลับราวกับเปลือยหัวใจออกมาต่อหน้าสตรีหนึ่งเดียว


"...ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่เชื่อในพิธี" เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยราวกับต้องกลั้นมานาน "ไม่เชื่อในความผูกพันที่ถูกตีตราด้วยลายลักษณ์อักษร...แต่หากเป็นข้า...เจ้าเชื่อได้ไหม?" ถ้อยคำนี้ทำเอาหลินหยาเบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง ดวงหน้าหันควับมามองเขาเต็ม ๆ และก่อนที่นางจะทันตั้งสติ หลิวอันมองหน้าแล้วอยู่เคียงข้างหลินหยาอย่างช้า ๆ เขาไม่ได้นำกล่องแหวนทองหรือผ้าไหมผูกมือตามพิธี แต่มือของเขากลับเอื้อมออกไปอย่างมั่นคงทั้งสองข้าง ราวกับยื่นหัวใจเปลือยเปล่าให้สตรีตรงหน้า


"หลินหยาเจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?"


แสงแดดสุดท้ายสาดต้องดวงตาเขา เผยความหนักแน่นเจือเว้าวอนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นจากเขามาก่อน


"เป็นหวางเฟยของข้า หากเจ้าไม่ปรารถนาชีวิตวุ่นวายในวังวนราชสำนัก ข้าจะสละฐานะหวางนี้เสีย เปิดร้านเต้าหู้เล็ก ๆ อยู่กินกับเจ้าฉันท์สามีภรรยาทั่วไป ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าเป็นสิ่งใดที่เจ้าไม่ต้องการ ชื่อของเจ้าจะยังเป็นหนานหลินหยาเหมือนเดิม จะอยู่ที่ไหนก็ได้จะเป็นสาวใช้ บุตรเจ้าเมืองหรือคนธรรมดาในหุบเขา...ก็ช่าง…ข้าเพียงอยากให้เจ้ารู้ว่า ข้าต้องการเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็น ไม่ใช่ในสิ่งที่โลกบังคับให้เจ้าเป็น"


ทันใดนั้นเองสายลมกลับหมุนวนอย่างแผ่วเบา หอบเอาดอกซากุระสีชมพูอ่อนจากต้นไร้รากไร้เงาที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน โปรยปรายลงกลางสะพานหินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กลีบกุหลาบสีทองก็พลันร่วงลงจากฟากฟ้าอีกครั้ง...เส้นด้ายแดงบางเฉียบล่องลอยตัดกับแสงอาทิตย์สุดท้ายคล้ายจะสานพันระหว่างสองคนนี้ไว้โดยไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า


เหมือนโชคชะตาทั้งฟ้าดินร่วมเป็นพยานในห้วงเวลาเดียวกัน


หลินหยาอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำใดหลุดออกจากลำคอของนางได้ หัวใจของนางเต้นแรงจนน่ากลัว มือที่เคยมั่นคงยามถือขลุ่ยสั่นระริกหญิงสาวไม่เคยคิดว่าจะมีใครรักนางถึงเพียงนี้...และนางไม่เคยคิดว่าชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งจะยอมถอดเกราะแห่งอำนาจออก เพื่อแลกกับเพียงแค่การได้ยืนเคียงข้างหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง นางไม่รู้ว่านี่เป็นฝัน หรือสวรรค์กำลังเล่นตลก แต่สายตาของเขาสายตาของหวยหนานหวางผู้น่าเกรงขามไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน…หลินหยาใจเต้นแรงไม่ใช่เพราะนางตื่นเต้น..แต่มันเป็นเพราะบางอย่าง


ท่ามกลางกลีบซากุระและกุหลาบสีทองที่ยังคงลอยละล่องกลางอากาศ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของฤดูร้อนเหมือนจะชะล้างทุกอย่างให้สงบนิ่ง แต่กลับไม่มีสิ่งใดสงบได้เท่าใจของหลินหยายามนี้ใจที่เหมือนถูกทิ่มแทงด้วยความรู้สึกหลากหลายอันยากจะเรียบเรียง นางจ้องใบหน้าของเขาใบหน้าของชายผู้ที่มักจะนิ่งเงียบเสมอแต่ยามนี้กลับเอ่ยคำขอที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร ชั่วขณะหนึ่งนางอยากจะร้องไห้ อยากก้าวเข้าไปซบอกนั้นแล้วร้องไห้ออกมาให้หมด แต่ก็รู้...ว่าสิ่งที่นางรู้สึกมันไม่ใช่แบบนั้น


ริมฝีปากแดงเรื่อระบายยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่งดงามอ่อนหวานนัก หากแต่ผู้ที่มองออกจะรู้ได้ทันที...นั่นคือรอยยิ้มของคนที่หัวใจกำลังแตกเป็นเสี่ยง “ท่านหลิวอัน...ท่านเป็นคนดี” นางเริ่มด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวเสียงลมผ่านยอดไม้ “เป็นหวางเย่ที่ดี เป็นพ่อที่ดี...และหากเป็นคนรัก ข้าคิดว่าท่านก็คงจะเป็นคนรักที่ดีเหลือเกิน” นางขยับตัว...นั่งลงข้างเขา ก่อนจะเอื้อมมือที่เย็นเฉียบจากอากาศยามเย็นนั้นไปกุมมือเขาไว้ มือที่เคยอุ่น แข็งแรง และมั่นคงเสมอในวันนี้กลับสั่นไหวเพียงแค่ปลายนิ้วของนางแตะลงไป


“แต่ข้า...ข้าไม่เคยรักท่านในแบบนั้นเลยเจ้าค่ะ” เสียงสั่นเครือ...ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง


“ในสายตาของข้าท่านคือผู้มีพระคุณคือผู้ที่ข้ารัก...ในแบบที่ข้าเทิดทูน เห็นค่าท่านดุจพ่อบังเกิดเกล้าดวงตาของหลินหยาสั่นระริก น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อคลอขอบตา แต่นางยังฝืนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ดีว่าท่านยอมรับโทษโบยแทนข้าในศาล...ปกป้องข้าด้วยทุกอย่างที่ท่านมี ข้าไม่เคยลืมและไม่มีวันจะลืมได้เลยแม้แต่น้อยในเสี้ยวของหัวใจ” นางเงียบไปชั่วอึดใจ ขณะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ มือที่กุมอยู่นั้นสั่นขึ้นเรื่อย ๆ ดั่งภูเขาน้ำแข็งในใจเริ่มละลาย


“ข้ารักท่านค่ะ ท่านหลิวอัน…” นางย้ำถ้อยคำนี้อีกครั้ง เสียงที่ออกมานั้นอ่อนหวานแต่เจ็บปวดอย่างเหลือเกิน “…แต่มันไม่ใช่ความรักของหญิงที่มีให้บุรุษที่ตนจะใช้ชีวิตร่วมกัน ข้ามองท่านเป็นบ้าน...เป็นที่พึ่งพิง เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ข้าอยากให้ยืนอยู่อย่างมั่นคงข้าง ๆ ข้าเสมอ แต่ไม่ได้หวังจะเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงานั้นแบบคนรัก” ดวงตาของหลินหยาสั่นระริกแต่นางยังไม่ปล่อยมือเขา...กลับจับไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิม


“และเพราะข้ารักท่านมาก...ข้าจึงไม่อาจให้คำตอบที่ทำร้ายท่านได้ข้าไม่อยากโกหกและท่านคงไม่อยากให้ข้าโกหก ข้าไม่อยากตอบตกลง...เพียงเพราะรู้ว่าท่านดี แต่ข้าไม่อยากโกหกใจตัวเองไปชั่วชีวิต” เสียงสุดท้ายนั้นแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยความสัตย์จริงที่ไม่อาจหลีกหนี


ขณะนั้นเอง...กลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่วก็ราวกับหยุดลงกลางอากาศ เส้นด้ายแดงที่ลอยเลื่อนอยู่กลับค้างนิ่งราวไม่อาจผูกพันราวกับฟ้าดินเองก็กำลังรอฟัง...ว่าเขา จะตอบสิ่งนี้อย่างไร หลิวอันยังอยู่เช่นเดิมแต่ตอนนี้ใบหน้าเขา...ไม่ไหวติงทว่าดวงตากลับลึกซึ้งเกินจะอ่านออกว่าความรู้สึกในใจเขาในยามนี้คืออะไร ความเงียบตกลงมาอย่างช้า ๆ ห้อมล้อมสองดวงใจที่กำลังเผชิญหน้ากับความจริงของหัวใจความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ซึ่งความหวัง และความอาลัยอาวรณ์ที่แฝงไว้ด้วยเกียรติยศแห่งการรักอย่างบริสุทธิ์ใจ


หลิวอันเงียบไปนานนับอึดใจหลังคำพูดของหลินหยา แววตาเรียบนิ่งดั่งมหาสมุทรยามสงบ หากลึกลงไปนั้นกลับเต็มไปด้วยกระแสคลื่นที่โถมกระหน่ำหัวใจ เขาไม่เคยคาดหวังคำตอบที่แน่ชัดจากหลินหยา ไม่เคยหวังให้นางตอบตกลงเพียงเพราะสงสารหรือเพียงเพราะเห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่า…สิ่งที่ได้ยินกลับจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกปฏิเสธเสียอีก


มือใหญ่ของหลิวอันยื่นออกไป…ช้า ๆ สงบ เย็นชา แต่มั่นคง เขาวางมือลงบนศีรษะของหลินหยาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกแรงดึงให้นางโน้มตัวเข้าหา เขาไม่ได้ใช้แรงมากนักแต่ด้วยแรงใจของนางที่อ่อนระโหยหลินหยาก็ปล่อยให้ตัวเองทรุดซบลงแนบไหล่เขาในที่สุด “มาเถิด…” เสียงทุ้มแผ่วพร่าดังขึ้นในความเงียบ “หากวันนี้เจ้าร้องไห้ ก็ร้องให้พอเถิด…”


แล้วเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นหลินหยาร้องไห้ ร้องไห้จนไหล่ของเขาเปียกชื้นน้ำตาของนางไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจกั้นไว้ได้อีกต่อไป นางสั่นไหวในอ้อมแขนของเขาราวกับเด็กน้อยผู้เผชิญโลกที่ไม่เป็นดั่งใจ "ข้าขอโทษ..." เสียงของนางขาดห้วง “…ข้าไม่ควรร้องไห้แบบนี้ต่อหน้าท่าน แต่ข้ามันคนเห็นแก่ตัว”


นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำสะท้อนแสงระยิบระยับของกลีบไม้กลางอากาศ “ข้ารู้ว่าท่านเจ็บ ข้ารู้ว่าท่านเสียใจแต่ข้าจะไม่โกหกท่าน…ข้า…ข้ารักเขา…” น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบพูดต่อไม่ไหว “ข้ารักชายผู้โหดร้าย…ข้ารักเขาทั้งที่ข้าเกลียดเขาทั้งที่ข้าชิงชัง ทั้งที่เขาทำให้ข้าเกือบตาย หัวใจแหลกสลายเขาอาจมองข้าไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ”

 

“ข้าพยายามจะหนีจากเขา พยายามแล้วจริง ๆ…แต่หัวใจข้าไม่ฟังเลย…มันยังคงหันไปหาคนผู้นั้นเสมอ” หลินหยากัดฟันแน่นพยายามกลั้นสะอื้น ดวงหน้าขาวจัดแดงก่ำจากแรงสะอื้น “ข้าขอโทษที่ข้าไม่ใฝ่หาความรักแบบสตรีทั่วไป ข้าไม่เคยฝันถึงเรือนหอไม่เคยวาดหวังว่าข้าจะได้ใส่ชุดเจ้าสาว ไม่เคยฝันถึงชายอันอ่อนโยนผู้จะปกป้องข้า…เพราะใจข้ามันดื้อ มันแหลก มันแตกกระจายเกินจะเป็นของใคร ข้าขอโทษท่านหลิวอัน…”


“ข้าไม่ควรพูดมันเลยด้วยซ้ำ…แต่ข้ารักเขา รักมาก รักจนเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้…”


เสียงร้องไห้นั้นสั่นสะท้านยิ่งกว่าลมหนาว หลิวอันกอดนางไว้แน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำใด ไม่กล่าวแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ปลอบ ไม่ตัดพ้อ ไม่มีถ้อยคำสวยหรูใด ๆ ที่จะลบเลือนความเจ็บปวดนี้ได้อีกแล้ว 


แต่สิ่งที่ท่านหลิวอันทำคือโอบกอดไว้ไม่ให้ล้มไม่ให้แตกสลายไปมากกว่านี้มือใหญ่ของเขาลูบเบา ๆ ที่ศีรษะนาง เส้นผมนุ่มสลวยนั้นชื้นน้ำตาแต่ในอ้อมแขนของเขาหลินหยาก็ได้ปล่อยทุกอย่างออกมาเหมือนเด็กหญิงคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักความรักครั้งแรก หลิวอันหลับตาแน่นปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกินเขาเงียบ ๆ…เพราะสุดท้ายแล้ว เขายังอยากอยู่ตรงนี้ในวันที่นางร้องไห้ ต่อให้ในใจนางจะไม่มีเขาเลยก็ตามเพราะความรักของเขาไม่เคยมีเงื่อนไข


“เจ้ารักเขามาก...หรือ?”


เสียงทุ้มต่ำของหลิวอันดังแผ่วเบาข้างหูนาง ขณะที่มืออุ่นยังลูบเรือนผมของหลินหยาอย่างอ่อนโยนราวกับลมใต้ปีก คำถามนั้นเรียบเฉยอย่างที่สุดแต่แววตาของเขากลับแฝงรอยสั่นไหวที่ยากนักจะอ่าน ราวกับรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว หากแค่ต้องการให้นางยืนยันจากปากด้วยตัวเอง


หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ…ช้า ๆ ราวกับกลัวว่าแค่การเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิดนั้น จะทำร้ายคนตรงหน้าจนยากจะเยียวยา “เจ้าค่ะ...ข้ารักมาก” เสียงของนางเบาราวกับเสียงลมหายใจที่รินผ่านริมผืนน้ำใต้สะพาน “มากจน...เหมือนกำลังถูกทรมานทั้งเป็น” นางพูดพลางยกมือขึ้นกุมอกตัวเองแน่น น้ำตายังคงไหลพรากไม่หยุดไม่ใช่เพราะอ่อนแอ...แต่เพราะรักมากเกินจะซ่อนเก็บ


“ข้ารู้ว่าเขาโหดร้าย…ข้ารู้ว่าเขาไม่เข้าใจหัวใจใครเลย…เขาเหมือนปีศาจ...ปีศาจที่ข้าเองก็อยากหนี แต่ในวันที่ข้าเห็นเขายิ้มขืนวันที่ข้าบอกเขาไร้ใจ ในวันที่เขาทำเพียงแค่เงียบฟังข้า ไม่ตัดสิน ไม่ผลักไส…ใจข้ามันกลับสั่น มันเหมือนเด็กหลงทางที่โดนรดน้ำมนต์สาดใส่”


เสียงสะอื้นสั่นอีกครา แต่มือของหลิวอันกลับยังลูบหัวนางอย่างมั่นคง “ไม่ต้องกลั้น…” เขาเอ่ยแผ่วเบา “พูดมาเถิด ข้าจะฟัง…ข้ายังอยู่ตรงนี้เสมอ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินหยากลั้นไม่ไหวอีกแล้ว “ท่านหลิวอัน…ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากหลงรักคนที่ทำร้ายข้า ไม่อยากรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เขาเฉียดมาใกล้ ไม่อยากให้ใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา ไม่อยากร้องไห้ทุกครั้งที่เขาเมินเฉย ข้าทรมาน ทรมานยิ่งนัก…” นางยกมือปิดหน้าแต่ก็ยังสะอื้นออกมาอย่างอดกลั้น “ข้าไม่ได้ต้องการให้เขารักตอบด้วยซ้ำ ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาจะมีหัวใจบ้างไหม ข้าอยากรู้ว่า…ในโลกที่โหดร้ายของเขานั้น...ยังมีที่สำหรับข้าหรือไม่…”


หลิวอันนิ่งฟังทุกคำทุกประโยคที่ราวกับบาดลงกลางใจเขาช้า ๆ แต่เขาไม่ปล่อยมือออก ไม่ขยับไปไหน แม้หัวใจเขาจะเจ็บปวดแทบไม่อาจหายใจแต่เขาก็ยังคงลูบศีรษะนางอยู่อย่างนั้น อย่างอ่อนโยน อย่างมั่นคง อย่างคนที่รักโดยไม่หวังครอบครอง “หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้น…” เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย…ไม่เคยเลย หลินหยา” เขาโน้มหน้าลงเล็กน้อย หน้าผากของเขาแตะเบา ๆ บนเส้นผมนาง


“เพราะหัวใจ...มันไม่เลือกตามเหตุผล มันไม่อาจห้ามได้เช่นเดียวกับข้า...ที่รักเจ้า ทั้งที่เจ้ามิได้รักข้าเลยสักนิด ข้าก็ยังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม...” สายลมยามเย็นพัดเอื่อยพาระลอกคลื่นในทะเลสาบกระเพื่อมเบา ๆ กลีบดอกไม้สีทองบางดอกยังลอยล่องอยู่ในอากาศ ราวกับโชคชะตายังเฝ้ามองการสนทนาอันโอบล้อมไปด้วยความรักเจ็บปวดนี้จากเบื้องบน หลิวอันกอดนางแน่นขึ้นอีกนิด ขณะที่เสียงของเขาดังขึ้นชัดเจนและอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็น


“เจ้าจะร้องไห้ต่อหน้าใครก็ได้…แต่เมื่อเจ้าร้องไห้ต่อหน้าข้าจงรู้ไว้เถิดว่า เจ้าไม่เคยต้องเผชิญสิ่งใดเพียงลำพังเลย”


เสียงสะอื้นโฮดังสะท้อนอยู่ใต้สะพานหินแห่งนั้น หลินหยาซบอกของหลิวอันอย่างไม่อายฟ้าอายดินอีกต่อไป นางร้องออกมาจากใจเหมือนเด็กที่แบกความเจ็บปวดมานานจนไหล่เล็ก ๆ นั้นสั่นสะท้านราวกับจะหักลงไปทั้งร่าง หากไม่ใช่เพราะอ้อมแขนของบุรุษผู้หนึ่งที่กอดนางไว้แน่นและมั่นคงดั่งเสาหลักของชีวิตที่ไม่เคยไหวเอนแม้ในวันที่ทุกอย่างพังทลาย เขาไม่ได้เอ่ยคำหวานไม่ได้สัญญาเรื่องความรัก หรือสิ่งใดที่เกินจริงเขาแค่อยู่ตรงนี้อย่างที่นางต้องการมาตลอด ทำไมกัน…ทำไมกันนางถึงไม่รักเขา ทำไมนางต้องทำร้ายเขาด้วย ทำไมนางต้องปฎิเสธรักเขา หัวใจเจ้าเอ่ย เหตุไฉนเจ้าถึงโหดร้ายกับข้าและคนรอบข้างถึงเพียงนี้…


“ร้องออกมาเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของหลิวอันเปล่งออกมาอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ยังลูบแผ่นหลังนางอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเจ็บ...ก็ร้องออกมาให้หมด ข้ายังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทอดมองเส้นผมของนางที่ซบกับอกตนเอง ก่อนจะเอ่ยต่อช้า ๆ และมั่นคง “ข้าไม่ใช่คนดี...เจ้าก็รู้ ข้าเคยทำผิดมากมาย ฆ่าคนมานักต่อนัก...ทรราชเงียบที่ใครก็หวาดกลัว แต่กับคนที่ข้ารักข้าจะดีเท่าที่ข้าจะดีได้...หรงเล่อ ลูกของข้า...และเจ้า...หลินหยา” เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ลมหายใจร้อนระอุจากหน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักแน่น “เจ้ารักเขา ข้ารู้ ข้าเห็นเจ้าเจ็บเพราะเขา ข้าไม่ได้โง่ ข้าไม่ได้ตาบอด แต่ข้ารู้ว่าไม่มีอะไรห้ามหัวใจคนได้ข้าไม่ห้ามเจ้าเลย ไม่เคยห้าม” มือเขาเลื่อนขึ้นวางบนไหล่นางอย่างมั่นคง


“หากเจ้าปรารถนาจะอยู่ข้างเขา...ไปเถอะ ข้าจะไม่รั้ง...แต่จงจำไว้ ถ้าวันใดเขาทำเจ้าเสียใจ หากเขาทำเจ้าร้องไห้อีก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อยู่สูงเพียงใดจะเป็นเทพหรือปีศาจ ข้าจะไม่ห้ามใจข้าเหมือนวันนี้ ข้าจะลากเขาลงจากสวรรค์ ฉุดเขาขึ้นจากนรกแล้วทำให้เขารู้ว่าการทำเจ้าเจ็บปวดมันเป็นอย่างไรด้วยมือของข้าเอง” ถ้อยคำเรียบง่าย แฝงไว้ด้วยดาบคมที่ซ่อนไว้ใต้ดวงใจที่แหลกสลาย เขาไม่พูดว่าเขารัก เพราะความรักของหลิวอันไม่จำเป็นต้องถูกเรียกเป็นถ้อยคำมันแสดงออกผ่านการยอมรับ ผ่านการปล่อยมือในวันที่เจ็บที่สุด ผ่านการกอดที่แน่นที่สุดในวันที่นางพังยับจนร้องไม่เป็นถ้อยคำ


“อยู่เถิด...อยากร้องนานเท่าไหร่ก็ร้อง ข้าไม่รีบไปไหน”


ชายที่ไม่เคยง้อใครในชีวิตไม่เคยอ้อนวอนโลกไม่เคยอ่อนให้ศัตรู แต่ยอมเป็นเพียง ‘ที่พักพิง’ ให้หญิงสาวที่ไม่เคยรักเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะ...เขารักนาง และอยากให้เธอมีความสุข แม้ต้องเจ็บจนใจหล่นเป็นผุยผงก็ตาม




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ:  ฮืออคุณเพ๊ โอ้ยย ฮือออ.น้ำตาหยดเป็นแกลลอน อ่านไปมาเหมือนสถานะม่วงชอบกล กรี๊ด

รางวัล: -


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

หลิวอันอยู่ปลอบหลินหยาจนถึงย่ามรุ่ง (จบ)  โพสต์ 2025-7-22 20:13
โพสต์ 89641 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 19:55
โพสต์ 89,641 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-22 19:55
โพสต์ 89,641 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-22 19:55
โพสต์ 89,641 ไบต์และได้รับ +1 Point +30 คุณธรรม +25 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-22 19:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
โพสต์ 2025-7-22 20:41:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 20 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน สะพานเฉียวฮวาซื่อ

อีเว้นท์รอง : เส้นทางแห่งความสุข (จบ)


เสียงสะอื้นของหลินหยายังคงไหลผ่านช่องอกที่แนบแน่นกับอกของหลิวอัน น้ำตาของนางเปียกเสื้อของเขาเป็นวงกว้าง ทว่าเขากลับไม่ขยับ ไม่ผละ ไม่ผลัก ไม่เอ่ยแม้แต่คำหนึ่งที่จะทำให้นางต้องกล้ำกลืนเก็บมันไว้เขาเพียงกอดไว้แน่น กอดแน่นกว่าทุกคราวที่ผ่านมาราวกับจะกั้นนางจากโลกทั้งใบไม่ให้ทำร้ายนางได้อีกแม้เพียงปลายเล็บ มือหยาบของชายที่เคยจับดาบสังหารมานับร้อยค่อย ๆ ลูบเส้นผมนางเบา ๆ อย่างประคบประหงมที่สุด เหมือนกลัวว่าเพียงแรงเพียงน้อยก็อาจทำลายเธอคนนี้ให้สลายเป็นผงธุลี


“หลินหยา…” เขาเรียกชื่อเธอในใจซ้ำ ๆ แต่ไม่ได้เอ่ยออกมา เพียงพ่นลมหายใจแผ่วร้อนลงบนกลุ่มผมนุ่ม หัวใจของเขาหนักอึ้งจนแทบหล่น นางไม่ได้ร้องไห้เพราะเขาทำร้ายนาง แต่เพราะนางรักใครอีกคน แล้วต้องมาทำร้ายเขาผู้ซื่อสัตย์ต่อนางอย่างหมดหัวใจ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับทั้งโลกทรุดลงใต้อุ้งมือแม้กระนั้น...เขาก็ไม่โทษนาง ไม่เคยคิดจะโทษ "ข้ารู้..." เขากระซิบชิดหูนาง "เจ้าร้องเพราะเจ้าเป็นคนดี...เจ้าเสียใจที่ทำร้ายข้า" เขายิ้มบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็นในความเงียบและแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบสะพาน


“แต่ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าทำร้ายข้าเลยนะ เจ้าเพียงเป็นเจ้าเท่านั้นและข้ารักเจ้า...ในแบบที่เจ้าเป็น” เขาไม่อยากปล่อยนางเลยแต่ก็รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์จะกักขัง บางที…นี่อาจเป็นคำตอบของหัวใจเขาเหมือนกัน รักไม่ใช่การได้ครอบครองเสมอไป บางครั้งการยืนอยู่ใกล้ ๆ อย่างเงียบงัน เป็นที่พึ่งพา เป็นสิ่งเดียวที่มอบให้นางได้ทั้งหมด ก็คือความรักรูปแบบหนึ่งและเป็นรูปแบบที่เขาพร้อมจะให้ต่อไปไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ไม่ใช่ฐานะหวางผู้สูงศักดิ์ ไม่ใช่สามี ไม่ใช่แม้แต่คนรัก…แต่เป็น ‘คนของเธอ’ ที่จะอยู่ตรงนี้เสมอ


“ข้าจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไม่ว่าสถานะใดก็ตาม” เขากระซิบเสียงแผ่วเบามั่นคงราวสาบานต่อฟ้า แล้วแสงสุดท้ายของตะวันก็ส่องผ่านระหว่างกลีบกุหลาบสีทองบางเบาที่ลอยละล่องขึ้นอีกครั้งราวฟ้าจะเป็นพยานต่อพันธะเงียบงันที่ทั้งสองเพิ่งสร้างขึ้นในวันซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาและความรักที่ไม่มีชื่อเรียก


หลิวอันนั่งนิ่งอยู่กับหลินหยาในอ้อมแขนที่ริมสะพานหินท่ามกลางสายลมเย็นยามค่ำและเสียงใบไม้ไหวดังแผ่วราวบทเพลงกล่อมใจ ดวงตาเรียบนิ่งของชายผู้ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนทอดมองใบหน้างดงามที่ยังมีร่องรอยน้ำตา หลินหยาร้องไห้จนหมดแรงร่างบางเอนพิงซบอกเขาแน่นิ่ง ราวกับสุดท้ายแล้วนางก็ยอมให้ความอ่อนล้าเข้าครอบครอง


"นอนเถอะ...ข้าจะพาเจ้ากลับบ้านเอง" เสียงของหลิวอันต่ำและทุ้มนุ่ม หยาดน้ำค้างเกาะตามเส้นผมของทั้งสองคนแต่ไม่มีใครใส่ใจ เพราะเวลานี้ โลกทั้งใบของเขาอยู่เพียงในอ้อมแขนที่กำลังกอดหลินหยาเท่านั้น เขาไม่อยากปลุกนางไม่อยากรบกวนช่วงเวลาอันเปราะบางเช่นนี้ จึงปล่อยให้นางหลับไปทั้งน้ำตาอย่างอ่อนแรง แล้วจึงกระซิบเบา ๆ ข้างใบหู "หากเจ้าไม่อยากกลับจวนข้า…อยู่บ้านหลังเล็กนั่นต่อไปเถอะ ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากให้เจ้าสบายใจ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าก็จะส่งคนคอยดูแลเงียบ ๆ อยู่ดี"


หลังถ้อยคำสุดท้ายตกกระทบลมฟ้า หลิวอันก้มหน้าลงช้า ๆ ซบริมฝีปากบนเส้นผมอ่อนนุ่มของหญิงสาวที่เขารักด้วยความระมัดระวังจูบแผ่วเบาแต่เปี่ยมด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่เคยเอ่ยเป็นคำ เป็นจุมพิตเดียวที่เขายอมให้ตนได้ ‘เอาเปรียบ’ นาง...จุมพิตของคนแพ้ ผู้ยอมแพ้ต่อความรักของตัวเอง


เขาประคองร่างที่หลับใหลขึ้นสู่อ้อมแขน แขนแข็งแกร่งแต่โอบอย่างอ่อนโยน ราวกับกลัวว่านางจะตื่นจากฝันอันโหดร้ายและพบว่าโลกยังคงโหดร้ายเช่นเดิม "หลินหยา...ข้าไม่มีวันเป็นเจ้าของเจ้าได้ แต่ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าโดดเดี่ยว"


ร่างสูงของหลิวอันเดินอย่างมั่นคงท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดลงบนทางหิน ท่ามกลางเมืองหลวงที่เงียบงันยามค่ำคืน เขาเดินผ่านตรอกซอกซอย ท่ามกลางบ้านเรือนที่ปิดไฟหมดแล้ว เสียงฝีเท้าเขาหนักแน่นและนิ่งเงียบ มีเพียงเสียงของหัวใจที่ยังเต้นแรงกับความรักอันเศร้าสร้อย เขาจะพานางกลับบ้านจะพานางกลับไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ที่นางสามารถหลับใหลโดยไม่ต้องหวาดกลัว ที่ซึ่งไม่มีใครแตะต้องนางได้อีก เว้นเสียแต่ใครคนหนึ่ง ใครคนนั้น...ที่หลินหยามอบหัวใจไปให้แล้ว ต่อให้นั่นไม่ใช่เขา หลิวอันก็จะยังพานางกลับอย่างดีที่สุด...ในฐานะคนที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: โอ้ยยยย ใจฉัน จางกงกงเข้ามาเห็นไหมเนี้ย นางแคร์น้องบ้างไหมอีตาห่าวหมิง

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 23254 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 20:41
โพสต์ 23,254 ไบต์และได้รับ +20 EXP +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-22 20:41
โพสต์ 23,254 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-22 20:41
โพสต์ 23,254 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-22 20:41
โพสต์ 23,254 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม +5 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-22 20:41
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x2
x1
x1
x1
x5
x5
x7
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x3
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x112
x12
x9
x14
x4
x23
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x3
x1
x6
x6
x11
x5
x123
x40
x20
x7
x15
x42
x3
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้