
วันที่ 20 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน สะพานเฉียวฮวาซื่อ
อีเว้นท์รอง : เส้นทางแห่งความสุข
กลีบกุหลาบสีทองร่วงหล่นจากท้องฟ้าโดยไร้เสียงของลม ไม่มีแม้แต่แรงกระเพื่อมจากอากาศ คล้ายจะไร้น้ำหนัก แต่กลับงดงามราวกับเป็นประกายทองคำของสวรรค์ที่โปรยลงมาเฉพาะให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น หลินหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามสะท้อนแสงกุหลาบสีทองที่ร่วงพรายล้อมรอบร่างนางไว้ ใบหน้านวลที่เมื่อครู่ยังประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนพลันนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อละสายตาจากท้องฟ้าแล้วมองไปยังปลายสะพานอีกฝั่ง ที่ตรงนั้น...เงาของบุรุษในชุดขาวผู้สง่างามคนที่เธอพบที่ข้างทะเลสาบแผ่วเบาราวกับไม่เคยแตะผืนแผ่นดิน เขายืนอยู่ในม่านกลีบดอกไม้สีทองนั้น ท่ามกลางเงาแสงอันเลือนรางของยามตะวันเริ่มคล้อย…และข้างเขา
มีสตรีคนหนึ่งยืนเคียงกาย…
หญิงสาวผู้มีเรือนผมสีประหลาดส่องประกายเทาอมทองสะท้อนกับแสงเย็นของทะเลสาบ ผิวขาวซีดงดงามไม่ใช่ด้วยเครื่องแต่งหรืออาภรณ์จากผ้าไหมล้ำค่า แต่เป็นแววตา สีหน้า และประกายบางอย่างที่ไม่มีชื่อ เส้นสายดวงหน้านั้นเหมือนจะเป็นหญิงสาวจากตะวันตกแต่ก็มีความอ่อนโยนแบบตะวันออก ความสง่างามแบบฮั่น...แต่ความแปลกของนางไม่อาจลดทอนความงามแม้สักเสี้ยว ตรงกันข้ามยิ่งเหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์ในความฝันของหลินหยา หญิงสาวชาวฮั่นผู้ที่ไม่เคยเอ่ยว่าตนใฝ่ฝันถึงความรัก กลับรู้ทันทีในห้วงลมหายใจหนึ่งว่า...นางตรงหน้า งดงามตามอุดมคติของนางเอง
ชายหนุ่มในชุดขาวเพียงยกยิ้มแผ่วเบา ดวงตาของเขาสงบนิ่งเหมือนเงาสะท้อนของพระจันทร์บนผืนน้ำ ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ยจากปากทั้งคู่แต่ทั้งเขาและนาง...ยืนอยู่เคียงกัน มองมาทางหลินหยา ราวกับกำลังส่งคำอวยพรเงียบ ๆ ที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำใด ๆ ประกอบ ทั้งสองมองด้วยสายตาอ่อนโยน อบอุ่น และสงบก่อนที่แสงสีทองจะสว่างวาบ
เงาร่างของทั้งสอง...ก็สลายหายไปกับกลีบดอกไม้ เหลือเพียงหลินหยาที่ยังคงนั่งอยู่ตรงเดิมห้อยขาเหนือผืนน้ำ ดวงตาที่เคยแน่วแน่ไหววูบเล็กน้อย แต่มิใช่เพราะความกลัวหรือความหวั่นไหว หากเพราะบางอย่างในใจ...บางอย่างที่หลินหยาเองก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำได้ “...งดงามจัง” นางพึมพำเพียงเท่านั้น เสียงเบาราวกระซิบคล้ายกลีบกุหลาบสีทองที่ยังลอยละลิ่วอยู่รอบร่างนางกลีบสุดท้ายแห่งคำอวยพรที่ไม่มีใครล่วงรู้ที่มา...นอกจากนางผู้เลือกจะเชื่อในสัญญาใจของตัวเองเพียงเท่านั้น
เสียงฝีเท้าหนักแน่นทว่าเงียบสงบเหมือนดั่งกลืนหายไปกับบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ริมทะเลสาบกลิ่นของกลีบกุหลาบทองที่จางไปแล้วเหลือเพียงเงาร่องรอยในอากาศ ยังอ้อยอิ่งในม่านแสงอาทิตย์เย็น หวยหนานหวาง หลิวอัน ยืนอยู่อย่างเงียบงันใต้ร่มเงาไม้ฝั่งตรงข้ามของสะพานหิน ผ้าคลุมสีเข้มสะบัดเบา ๆ ตามแรงลมเย็นของยามพลบค่ำ ชายผู้มีดวงตาเฉียบคมล้ำลึก ริมฝีปากเฉยชาเยียบเย็น และกลิ่นอายของการควบคุมที่แม้แต่ทหารกล้าก็ยังต้องก้มหน้า เขากำลังเฝ้ามองหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งห้อยขาอยู่บนขอบสะพานหินสูงนั้น
เขารู้ดีว่าไม่ควรมาแต่สองขากลับพาตัวเขาเดินมาในเส้นทางนี้ทุกครั้งในวันเดียวกันของสัปดาห์ ราวกับเป็นจังหวะของชีวิตที่ค่อย ๆ ซึมลึกโดยไม่รู้ตัว และวันนี้เขากลับพบภาพนั้นหลินหยาในชุดเรียบง่าย ดวงหน้าเยือกเย็นสงบจ้องมองไปยังผืนน้ำสายลมอ่อนพัดเส้นผมของนางพลิ้วไหว
และกลีบกุหลาบสีทองที่โปรยลงมาเฉพาะรอบกายของนาง
ดวงตาคมกริบของหลิวอันหรี่ลงเล็กน้อย เขามองเห็นกลีบดอกไม้ร่วงลงจากฟ้าแต่เพียงลางเลือน บางเบาเกินกว่าจะสัมผัสได้จริง เขามองตามสายตาของหลินหยาอย่างสงบแต่กลับไม่เห็นสิ่งใดบนท้องฟ้า เขาไม่ได้ยินเสียงเพลง ไม่เห็นบุรุษในชุดขาวหรือหญิงสาวผู้มีดวงตาเทาเงินบริสุทธิ์ เขาไม่รู้ว่านางเห็นอะไรหรือกำลังพบกับนิมิตใด แต่สิ่งที่เขารู้แน่คือ...หลินหยายังคงไม่เปลี่ยน
ยังคงเป็นหญิงสาวผู้ยิ้มให้กับสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นเป็นผู้ที่มีแววตาแน่วแน่ แม้จะโอบล้อมด้วยความเงียบและรอยแผลจากอดีต
เขาสูดลมหายใจแผ่วเบาพอจะคลายเสี้ยวความรู้สึกบางอย่างที่ลอยวนอยู่ในอก จากนั้นก็สาวเท้าเข้าไปใกล้หลินหยาอย่างไม่เร่งร้อน เสียงฝีเท้าของเขากระทบสะพานหินดังแผ่วเพียงพอให้นางรับรู้
"แม่นางน้อย" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักอย่างเรียบเฉยในแบบของเขา น้ำเสียงคุ้นหูไม่ใช่แค่เพราะนางได้ยินมันหลายครั้งแต่มันเป็นเสียงที่มักจะปรากฏขึ้นในจังหวะที่เงียบที่สุดของใจนาง “ยังไม่เบื่อที่มานั่งดูน้ำอยู่ตรงนี้หรือไร” หลิวอันพูดพลางนั่งลงด้านข้าง โดยไม่รอคำอนุญาต มือหนึ่งวางบนเข่า เขาไม่ได้แสดงความแปลกใจต่อกลีบกุหลาบทองไม่เอ่ยถึงแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่านางกำลังมองสิ่งใดเขาเพียงอยากนั่งข้างนาง เหมือนทุกวันที่นางเลือกมาหาเขาที่ร้านเต้าหู้อันเล่อจ้วน เขาไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของการพบกันแต่วันนี้… เขายังมีเวลา และนางก็ยังอยู่ที่นี่ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับหลิวอันชายผู้ใช้การกระทำแทนถ้อยคำและเลือกจดจำความสุขเล็กน้อยอย่างเงียบงัน
หลินหยาเอียงหน้ามองบุรุษข้างกายเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแวบหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายขบขันเมื่อเห็นว่าเขามาในชุดสีดำขลับดูขึงขังไม่ใช่ผ้ากันเปื้อนกลิ่นถั่วเหลืองที่เธอคุ้นเคยจากร้านเต้าหู้อันเล่อจ้วน เธอยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเหมือนเคยพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นเริงตามแบบฉบับของหญิงสาวผู้นี้ “สวัสดีเจ้าค่ะท่านหลิวอัน…อ่ะ…อ้าว...วันนี้ไม่มาทำเต้าหู้หรือคะเถ้าแก่ร้าเต้าหู้?” นางแกล้งพูดทั้งที่รู้ว่าเขาอาจมีธุระจริงจัง แล้วเบือนหน้ากลับไปมองผืนน้ำตรงหน้า “ส่วนเรื่องเบื่ออืม...ข้าไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ ว่าคิดยังไงถึงเดินมาไกลขนาดนี้…แค่อยากให้ใจมันนิ่งลงหน่อย” นางถอนหายใจยาว ลมยามเย็นพัดเส้นผมของนางพริ้วลงแนบแก้ม ก่อนที่หลิวอันจะหันมาสบตานางเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ เรียบง่าย แต่นุ่มนวลกว่าครั้งไหน ๆ
“แล้วที่นี่...ช่วยให้ใจเจ้าสงบบ้างไหม?” คำถามนั้นไม่ได้เร่งเร้าไม่มีความคาดคั้น มีเพียงความห่วงใยลึกซึ้งซึ่งเคลือบซ่อนในน้ำเสียงจนแทบไม่รู้ตัว ชายผู้ที่ใครต่อใครต่างหวาดกลัวว่าเขาจะโหดเหี้ยม นั่งเงียบ ๆ ข้างหญิงสาวผู้หนึ่งเหมือนหินริมทางที่ไม่อาจถูกทำลาย
หลินหยาหันหน้ามาทำหน้ายู่เบา ๆ คิ้วโค้งเล็กขมวดนิดนึงด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก เธอไม่พูดในทันที แต่สายตานั้นกลับซื่อตรง เธอกระซิบเบา ๆ พลางมองปลายเท้าตัวเองที่ห้อยลงจากสะพานหิน “…อาจจะช่วยก็ได้เจ้าคะ แค่...ช่วงนี้ใจมันเหมือนผิวน้ำเวลาโดนลม มันไม่อยู่นิ่งเลย ว้าวุ่น...พิกลนัก” หลินหยากอดเข่าข้างหนึ่งไว้ หลุบตาลงแต่ก็ไม่หลบหลีกเขาดวงตาของนางแม้เศร้าซึ้งแต่ก็ยังเรืองแสงอย่างดื้อดึง
หลิวอันมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ อยู่นาน ความเงียบของเขาไม่ใช่ความเมินเฉย แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกินจะถ่ายทอดเป็นถ้อยคำ เขาเอื้อมมือออกไปเบา ๆ วางมืออุ่นข้างหนึ่งบนศอกของนางแล้วเอ่ยเพียงเบา ๆ “อยู่ตรงนี้…ไม่ต้องทำใจให้สงบก็ได้” ถ้อยคำง่าย ๆ แต่เหมือนทลายกำแพงบางอย่างในอกหลินหยา ความเงียบที่ตามมาหลังคำพูดนั้นไม่ได้อึดอัด แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดอารมณ์คล้ายเมื่อคนคนหนึ่งยอมรับในความว้าวุ่นของอีกคนอย่างไม่ตัดสิน และในยามนั้นเอง สะพานหินเก่าแก่ที่ทอดผ่านผืนน้ำสะท้อนแสงตะวันร่วงโรยกลับกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก สำหรับหญิงสาวที่เหนื่อยล้าและชายผู้เงียบขรึม
สายลมเย็นแผ่วผ่านปลายผมของหลินหยาอีกครั้งในจังหวะที่นางกำลังเอ่ยคำเหล่านั้น ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แน่วแน่ มองทะเลสาบแล้วแสงตะวันยามใกล้ลับฟ้าก็สาดไล้ใบหน้างามของนางให้เปล่งประกายราวต้องมนตร์ขลัง
"ข้าก็แค่...กำลังคิดเรื่องสิ่งที่ข้าต้องการจริง ๆ สักทีค่ะ" นางพูดช้า ๆ เสียงสะท้อนเบา ๆ จากผิวน้ำข้างล่างขับให้ถ้อยคำของนางดูชัดเจนยิ่งกว่าทุกที "มันไม่ใช่สิ่งใหญ่โตอะไรหรอก แค่...เสรีภาพค่ะ เสรีภาพที่จะเป็นตัวเอง มีสิทธิ์เลือกโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ไม่ต้องหลบซ่อน…" เสียงนั้นเงียบลงหลินหยาไม่ได้มองหลิวอันตรง ๆ ในตอนที่พูด หากแต่มือเล็กนั้นกำชายเสื้อแน่นขึ้นราวกับจะประคองคำตอบของหัวใจตัวเองไม่ให้หลุดร่วงไปกับลม
แต่หลิวอันกลับมองนางอย่างไม่ละสายตา…
เขาเงียบครู่หนึ่งไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปาก ไม่มีรอยยิ้มใดแสดงออกมาทว่าดวงตาคู่นั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ชายผู้เงียบขรึมผู้เย็นชาในสายตาใครต่อใคร ผู้อำนาจล้นฟ้าและเก็บทุกอารมณ์ไว้ใต้เปลือกแข็งกระด้างยามนี้กลับราวกับเปลือยหัวใจออกมาต่อหน้าสตรีหนึ่งเดียว
"...ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่เชื่อในพิธี" เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยราวกับต้องกลั้นมานาน "ไม่เชื่อในความผูกพันที่ถูกตีตราด้วยลายลักษณ์อักษร...แต่หากเป็นข้า...เจ้าเชื่อได้ไหม?" ถ้อยคำนี้ทำเอาหลินหยาเบิกตาขึ้นนิดหนึ่ง ดวงหน้าหันควับมามองเขาเต็ม ๆ และก่อนที่นางจะทันตั้งสติ หลิวอันมองหน้าแล้วอยู่เคียงข้างหลินหยาอย่างช้า ๆ เขาไม่ได้นำกล่องแหวนทองหรือผ้าไหมผูกมือตามพิธี แต่มือของเขากลับเอื้อมออกไปอย่างมั่นคงทั้งสองข้าง ราวกับยื่นหัวใจเปลือยเปล่าให้สตรีตรงหน้า
"หลินหยาเจ้าจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่?"
แสงแดดสุดท้ายสาดต้องดวงตาเขา เผยความหนักแน่นเจือเว้าวอนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นจากเขามาก่อน
"เป็นหวางเฟยของข้า หากเจ้าไม่ปรารถนาชีวิตวุ่นวายในวังวนราชสำนัก ข้าจะสละฐานะหวางนี้เสีย เปิดร้านเต้าหู้เล็ก ๆ อยู่กินกับเจ้าฉันท์สามีภรรยาทั่วไป ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าเป็นสิ่งใดที่เจ้าไม่ต้องการ ชื่อของเจ้าจะยังเป็นหนานหลินหยาเหมือนเดิม จะอยู่ที่ไหนก็ได้จะเป็นสาวใช้ บุตรเจ้าเมืองหรือคนธรรมดาในหุบเขา...ก็ช่าง…ข้าเพียงอยากให้เจ้ารู้ว่า ข้าต้องการเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็น ไม่ใช่ในสิ่งที่โลกบังคับให้เจ้าเป็น"
ทันใดนั้นเองสายลมกลับหมุนวนอย่างแผ่วเบา หอบเอาดอกซากุระสีชมพูอ่อนจากต้นไร้รากไร้เงาที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน โปรยปรายลงกลางสะพานหินอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กลีบกุหลาบสีทองก็พลันร่วงลงจากฟากฟ้าอีกครั้ง...เส้นด้ายแดงบางเฉียบล่องลอยตัดกับแสงอาทิตย์สุดท้ายคล้ายจะสานพันระหว่างสองคนนี้ไว้โดยไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า
เหมือนโชคชะตาทั้งฟ้าดินร่วมเป็นพยานในห้วงเวลาเดียวกัน
หลินหยาอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำใดหลุดออกจากลำคอของนางได้ หัวใจของนางเต้นแรงจนน่ากลัว มือที่เคยมั่นคงยามถือขลุ่ยสั่นระริกหญิงสาวไม่เคยคิดว่าจะมีใครรักนางถึงเพียงนี้...และนางไม่เคยคิดว่าชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งจะยอมถอดเกราะแห่งอำนาจออก เพื่อแลกกับเพียงแค่การได้ยืนเคียงข้างหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง นางไม่รู้ว่านี่เป็นฝัน หรือสวรรค์กำลังเล่นตลก แต่สายตาของเขาสายตาของหวยหนานหวางผู้น่าเกรงขามไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน…หลินหยาใจเต้นแรงไม่ใช่เพราะนางตื่นเต้น..แต่มันเป็นเพราะบางอย่าง
ท่ามกลางกลีบซากุระและกุหลาบสีทองที่ยังคงลอยละล่องกลางอากาศ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของฤดูร้อนเหมือนจะชะล้างทุกอย่างให้สงบนิ่ง แต่กลับไม่มีสิ่งใดสงบได้เท่าใจของหลินหยายามนี้ใจที่เหมือนถูกทิ่มแทงด้วยความรู้สึกหลากหลายอันยากจะเรียบเรียง นางจ้องใบหน้าของเขาใบหน้าของชายผู้ที่มักจะนิ่งเงียบเสมอแต่ยามนี้กลับเอ่ยคำขอที่อ่อนโยนยิ่งกว่าใคร ชั่วขณะหนึ่งนางอยากจะร้องไห้ อยากก้าวเข้าไปซบอกนั้นแล้วร้องไห้ออกมาให้หมด แต่ก็รู้...ว่าสิ่งที่นางรู้สึกมันไม่ใช่แบบนั้น
ริมฝีปากแดงเรื่อระบายยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่งดงามอ่อนหวานนัก หากแต่ผู้ที่มองออกจะรู้ได้ทันที...นั่นคือรอยยิ้มของคนที่หัวใจกำลังแตกเป็นเสี่ยง “ท่านหลิวอัน...ท่านเป็นคนดี” นางเริ่มด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวเสียงลมผ่านยอดไม้ “เป็นหวางเย่ที่ดี เป็นพ่อที่ดี...และหากเป็นคนรัก ข้าคิดว่าท่านก็คงจะเป็นคนรักที่ดีเหลือเกิน” นางขยับตัว...นั่งลงข้างเขา ก่อนจะเอื้อมมือที่เย็นเฉียบจากอากาศยามเย็นนั้นไปกุมมือเขาไว้ มือที่เคยอุ่น แข็งแรง และมั่นคงเสมอในวันนี้กลับสั่นไหวเพียงแค่ปลายนิ้วของนางแตะลงไป
“แต่ข้า...ข้าไม่เคยรักท่านในแบบนั้นเลยเจ้าค่ะ” เสียงสั่นเครือ...ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ในสายตาของข้าท่านคือผู้มีพระคุณคือผู้ที่ข้ารัก...ในแบบที่ข้าเทิดทูน เห็นค่าท่านดุจพ่อบังเกิดเกล้า” ดวงตาของหลินหยาสั่นระริก น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อคลอขอบตา แต่นางยังฝืนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ดีว่าท่านยอมรับโทษโบยแทนข้าในศาล...ปกป้องข้าด้วยทุกอย่างที่ท่านมี ข้าไม่เคยลืมและไม่มีวันจะลืมได้เลยแม้แต่น้อยในเสี้ยวของหัวใจ” นางเงียบไปชั่วอึดใจ ขณะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ มือที่กุมอยู่นั้นสั่นขึ้นเรื่อย ๆ ดั่งภูเขาน้ำแข็งในใจเริ่มละลาย
“ข้ารักท่านค่ะ ท่านหลิวอัน…” นางย้ำถ้อยคำนี้อีกครั้ง เสียงที่ออกมานั้นอ่อนหวานแต่เจ็บปวดอย่างเหลือเกิน “…แต่มันไม่ใช่ความรักของหญิงที่มีให้บุรุษที่ตนจะใช้ชีวิตร่วมกัน ข้ามองท่านเป็นบ้าน...เป็นที่พึ่งพิง เป็นต้นไม้ใหญ่ที่ข้าอยากให้ยืนอยู่อย่างมั่นคงข้าง ๆ ข้าเสมอ แต่ไม่ได้หวังจะเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงานั้นแบบคนรัก” ดวงตาของหลินหยาสั่นระริกแต่นางยังไม่ปล่อยมือเขา...กลับจับไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิม
“และเพราะข้ารักท่านมาก...ข้าจึงไม่อาจให้คำตอบที่ทำร้ายท่านได้ข้าไม่อยากโกหกและท่านคงไม่อยากให้ข้าโกหก ข้าไม่อยากตอบตกลง...เพียงเพราะรู้ว่าท่านดี แต่ข้าไม่อยากโกหกใจตัวเองไปชั่วชีวิต” เสียงสุดท้ายนั้นแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ทว่าเต็มเปี่ยมด้วยความสัตย์จริงที่ไม่อาจหลีกหนี
ขณะนั้นเอง...กลีบดอกไม้ที่ปลิวว่อนไปทั่วก็ราวกับหยุดลงกลางอากาศ เส้นด้ายแดงที่ลอยเลื่อนอยู่กลับค้างนิ่งราวไม่อาจผูกพันราวกับฟ้าดินเองก็กำลังรอฟัง...ว่าเขา จะตอบสิ่งนี้อย่างไร หลิวอันยังอยู่เช่นเดิมแต่ตอนนี้ใบหน้าเขา...ไม่ไหวติงทว่าดวงตากลับลึกซึ้งเกินจะอ่านออกว่าความรู้สึกในใจเขาในยามนี้คืออะไร ความเงียบตกลงมาอย่างช้า ๆ ห้อมล้อมสองดวงใจที่กำลังเผชิญหน้ากับความจริงของหัวใจความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไร้ซึ่งความหวัง และความอาลัยอาวรณ์ที่แฝงไว้ด้วยเกียรติยศแห่งการรักอย่างบริสุทธิ์ใจ
หลิวอันเงียบไปนานนับอึดใจหลังคำพูดของหลินหยา แววตาเรียบนิ่งดั่งมหาสมุทรยามสงบ หากลึกลงไปนั้นกลับเต็มไปด้วยกระแสคลื่นที่โถมกระหน่ำหัวใจ เขาไม่เคยคาดหวังคำตอบที่แน่ชัดจากหลินหยา ไม่เคยหวังให้นางตอบตกลงเพียงเพราะสงสารหรือเพียงเพราะเห็นว่าเขาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่า…สิ่งที่ได้ยินกลับจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกปฏิเสธเสียอีก
มือใหญ่ของหลิวอันยื่นออกไป…ช้า ๆ สงบ เย็นชา แต่มั่นคง เขาวางมือลงบนศีรษะของหลินหยาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกแรงดึงให้นางโน้มตัวเข้าหา เขาไม่ได้ใช้แรงมากนักแต่ด้วยแรงใจของนางที่อ่อนระโหยหลินหยาก็ปล่อยให้ตัวเองทรุดซบลงแนบไหล่เขาในที่สุด “มาเถิด…” เสียงทุ้มแผ่วพร่าดังขึ้นในความเงียบ “หากวันนี้เจ้าร้องไห้ ก็ร้องให้พอเถิด…”
แล้วเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นหลินหยาร้องไห้ ร้องไห้จนไหล่ของเขาเปียกชื้นน้ำตาของนางไหลอาบแก้มอย่างไม่อาจกั้นไว้ได้อีกต่อไป นางสั่นไหวในอ้อมแขนของเขาราวกับเด็กน้อยผู้เผชิญโลกที่ไม่เป็นดั่งใจ "ข้าขอโทษ..." เสียงของนางขาดห้วง “…ข้าไม่ควรร้องไห้แบบนี้ต่อหน้าท่าน แต่ข้ามันคนเห็นแก่ตัว”
นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำสะท้อนแสงระยิบระยับของกลีบไม้กลางอากาศ “ข้ารู้ว่าท่านเจ็บ ข้ารู้ว่าท่านเสียใจแต่ข้าจะไม่โกหกท่าน…ข้า…ข้ารักเขา…” น้ำเสียงสั่นเครือจนแทบพูดต่อไม่ไหว “ข้ารักชายผู้โหดร้าย…ข้ารักเขาทั้งที่ข้าเกลียดเขาทั้งที่ข้าชิงชัง ทั้งที่เขาทำให้ข้าเกือบตาย หัวใจแหลกสลายเขาอาจมองข้าไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ”
“ข้าพยายามจะหนีจากเขา พยายามแล้วจริง ๆ…แต่หัวใจข้าไม่ฟังเลย…มันยังคงหันไปหาคนผู้นั้นเสมอ” หลินหยากัดฟันแน่นพยายามกลั้นสะอื้น ดวงหน้าขาวจัดแดงก่ำจากแรงสะอื้น “ข้าขอโทษที่ข้าไม่ใฝ่หาความรักแบบสตรีทั่วไป ข้าไม่เคยฝันถึงเรือนหอไม่เคยวาดหวังว่าข้าจะได้ใส่ชุดเจ้าสาว ไม่เคยฝันถึงชายอันอ่อนโยนผู้จะปกป้องข้า…เพราะใจข้ามันดื้อ มันแหลก มันแตกกระจายเกินจะเป็นของใคร ข้าขอโทษท่านหลิวอัน…”
“ข้าไม่ควรพูดมันเลยด้วยซ้ำ…แต่ข้ารักเขา รักมาก รักจนเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้…”
เสียงร้องไห้นั้นสั่นสะท้านยิ่งกว่าลมหนาว หลิวอันกอดนางไว้แน่นขึ้น ไม่เอ่ยคำใด ไม่กล่าวแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ปลอบ ไม่ตัดพ้อ ไม่มีถ้อยคำสวยหรูใด ๆ ที่จะลบเลือนความเจ็บปวดนี้ได้อีกแล้ว
แต่สิ่งที่ท่านหลิวอันทำคือโอบกอดไว้ไม่ให้ล้มไม่ให้แตกสลายไปมากกว่านี้มือใหญ่ของเขาลูบเบา ๆ ที่ศีรษะนาง เส้นผมนุ่มสลวยนั้นชื้นน้ำตาแต่ในอ้อมแขนของเขาหลินหยาก็ได้ปล่อยทุกอย่างออกมาเหมือนเด็กหญิงคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักความรักครั้งแรก หลิวอันหลับตาแน่นปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกินเขาเงียบ ๆ…เพราะสุดท้ายแล้ว เขายังอยากอยู่ตรงนี้ในวันที่นางร้องไห้ ต่อให้ในใจนางจะไม่มีเขาเลยก็ตามเพราะความรักของเขาไม่เคยมีเงื่อนไข
“เจ้ารักเขามาก...หรือ?”
เสียงทุ้มต่ำของหลิวอันดังแผ่วเบาข้างหูนาง ขณะที่มืออุ่นยังลูบเรือนผมของหลินหยาอย่างอ่อนโยนราวกับลมใต้ปีก คำถามนั้นเรียบเฉยอย่างที่สุดแต่แววตาของเขากลับแฝงรอยสั่นไหวที่ยากนักจะอ่าน ราวกับรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว หากแค่ต้องการให้นางยืนยันจากปากด้วยตัวเอง
หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ…ช้า ๆ ราวกับกลัวว่าแค่การเคลื่อนไหวเพียงน้อยนิดนั้น จะทำร้ายคนตรงหน้าจนยากจะเยียวยา “เจ้าค่ะ...ข้ารักมาก” เสียงของนางเบาราวกับเสียงลมหายใจที่รินผ่านริมผืนน้ำใต้สะพาน “มากจน...เหมือนกำลังถูกทรมานทั้งเป็น” นางพูดพลางยกมือขึ้นกุมอกตัวเองแน่น น้ำตายังคงไหลพรากไม่หยุดไม่ใช่เพราะอ่อนแอ...แต่เพราะรักมากเกินจะซ่อนเก็บ
“ข้ารู้ว่าเขาโหดร้าย…ข้ารู้ว่าเขาไม่เข้าใจหัวใจใครเลย…เขาเหมือนปีศาจ...ปีศาจที่ข้าเองก็อยากหนี แต่ในวันที่ข้าเห็นเขายิ้มขืนวันที่ข้าบอกเขาไร้ใจ ในวันที่เขาทำเพียงแค่เงียบฟังข้า ไม่ตัดสิน ไม่ผลักไส…ใจข้ามันกลับสั่น มันเหมือนเด็กหลงทางที่โดนรดน้ำมนต์สาดใส่”
เสียงสะอื้นสั่นอีกครา แต่มือของหลิวอันกลับยังลูบหัวนางอย่างมั่นคง “ไม่ต้องกลั้น…” เขาเอ่ยแผ่วเบา “พูดมาเถิด ข้าจะฟัง…ข้ายังอยู่ตรงนี้เสมอ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินหยากลั้นไม่ไหวอีกแล้ว “ท่านหลิวอัน…ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้เลย ไม่อยากหลงรักคนที่ทำร้ายข้า ไม่อยากรู้สึกหวั่นไหวทุกครั้งที่เขาเฉียดมาใกล้ ไม่อยากให้ใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขา ไม่อยากร้องไห้ทุกครั้งที่เขาเมินเฉย ข้าทรมาน ทรมานยิ่งนัก…” นางยกมือปิดหน้าแต่ก็ยังสะอื้นออกมาอย่างอดกลั้น “ข้าไม่ได้ต้องการให้เขารักตอบด้วยซ้ำ ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาจะมีหัวใจบ้างไหม ข้าอยากรู้ว่า…ในโลกที่โหดร้ายของเขานั้น...ยังมีที่สำหรับข้าหรือไม่…”
หลิวอันนิ่งฟังทุกคำทุกประโยคที่ราวกับบาดลงกลางใจเขาช้า ๆ แต่เขาไม่ปล่อยมือออก ไม่ขยับไปไหน แม้หัวใจเขาจะเจ็บปวดแทบไม่อาจหายใจแต่เขาก็ยังคงลูบศีรษะนางอยู่อย่างนั้น อย่างอ่อนโยน อย่างมั่นคง อย่างคนที่รักโดยไม่หวังครอบครอง “หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้น…” เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย…ไม่เคยเลย หลินหยา” เขาโน้มหน้าลงเล็กน้อย หน้าผากของเขาแตะเบา ๆ บนเส้นผมนาง
“เพราะหัวใจ...มันไม่เลือกตามเหตุผล มันไม่อาจห้ามได้เช่นเดียวกับข้า...ที่รักเจ้า ทั้งที่เจ้ามิได้รักข้าเลยสักนิด ข้าก็ยังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม...” สายลมยามเย็นพัดเอื่อยพาระลอกคลื่นในทะเลสาบกระเพื่อมเบา ๆ กลีบดอกไม้สีทองบางดอกยังลอยล่องอยู่ในอากาศ ราวกับโชคชะตายังเฝ้ามองการสนทนาอันโอบล้อมไปด้วยความรักเจ็บปวดนี้จากเบื้องบน หลิวอันกอดนางแน่นขึ้นอีกนิด ขณะที่เสียงของเขาดังขึ้นชัดเจนและอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็น
“เจ้าจะร้องไห้ต่อหน้าใครก็ได้…แต่เมื่อเจ้าร้องไห้ต่อหน้าข้าจงรู้ไว้เถิดว่า เจ้าไม่เคยต้องเผชิญสิ่งใดเพียงลำพังเลย”
เสียงสะอื้นโฮดังสะท้อนอยู่ใต้สะพานหินแห่งนั้น หลินหยาซบอกของหลิวอันอย่างไม่อายฟ้าอายดินอีกต่อไป นางร้องออกมาจากใจเหมือนเด็กที่แบกความเจ็บปวดมานานจนไหล่เล็ก ๆ นั้นสั่นสะท้านราวกับจะหักลงไปทั้งร่าง หากไม่ใช่เพราะอ้อมแขนของบุรุษผู้หนึ่งที่กอดนางไว้แน่นและมั่นคงดั่งเสาหลักของชีวิตที่ไม่เคยไหวเอนแม้ในวันที่ทุกอย่างพังทลาย เขาไม่ได้เอ่ยคำหวานไม่ได้สัญญาเรื่องความรัก หรือสิ่งใดที่เกินจริงเขาแค่อยู่ตรงนี้อย่างที่นางต้องการมาตลอด ทำไมกัน…ทำไมกันนางถึงไม่รักเขา ทำไมนางต้องทำร้ายเขาด้วย ทำไมนางต้องปฎิเสธรักเขา หัวใจเจ้าเอ่ย เหตุไฉนเจ้าถึงโหดร้ายกับข้าและคนรอบข้างถึงเพียงนี้…
“ร้องออกมาเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของหลิวอันเปล่งออกมาอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ยังลูบแผ่นหลังนางอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเจ็บ...ก็ร้องออกมาให้หมด ข้ายังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทอดมองเส้นผมของนางที่ซบกับอกตนเอง ก่อนจะเอ่ยต่อช้า ๆ และมั่นคง “ข้าไม่ใช่คนดี...เจ้าก็รู้ ข้าเคยทำผิดมากมาย ฆ่าคนมานักต่อนัก...ทรราชเงียบที่ใครก็หวาดกลัว แต่กับคนที่ข้ารักข้าจะดีเท่าที่ข้าจะดีได้...หรงเล่อ ลูกของข้า...และเจ้า...หลินหยา” เขาหลุบตาลงเล็กน้อย ลมหายใจร้อนระอุจากหน้าอกของเขาสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักแน่น “เจ้ารักเขา ข้ารู้ ข้าเห็นเจ้าเจ็บเพราะเขา ข้าไม่ได้โง่ ข้าไม่ได้ตาบอด แต่ข้ารู้ว่าไม่มีอะไรห้ามหัวใจคนได้ข้าไม่ห้ามเจ้าเลย ไม่เคยห้าม” มือเขาเลื่อนขึ้นวางบนไหล่นางอย่างมั่นคง
“หากเจ้าปรารถนาจะอยู่ข้างเขา...ไปเถอะ ข้าจะไม่รั้ง...แต่จงจำไว้ ถ้าวันใดเขาทำเจ้าเสียใจ หากเขาทำเจ้าร้องไห้อีก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อยู่สูงเพียงใดจะเป็นเทพหรือปีศาจ ข้าจะไม่ห้ามใจข้าเหมือนวันนี้ ข้าจะลากเขาลงจากสวรรค์ ฉุดเขาขึ้นจากนรกแล้วทำให้เขารู้ว่าการทำเจ้าเจ็บปวดมันเป็นอย่างไรด้วยมือของข้าเอง” ถ้อยคำเรียบง่าย แฝงไว้ด้วยดาบคมที่ซ่อนไว้ใต้ดวงใจที่แหลกสลาย เขาไม่พูดว่าเขารัก เพราะความรักของหลิวอันไม่จำเป็นต้องถูกเรียกเป็นถ้อยคำมันแสดงออกผ่านการยอมรับ ผ่านการปล่อยมือในวันที่เจ็บที่สุด ผ่านการกอดที่แน่นที่สุดในวันที่นางพังยับจนร้องไม่เป็นถ้อยคำ
“อยู่เถิด...อยากร้องนานเท่าไหร่ก็ร้อง ข้าไม่รีบไปไหน”
ชายที่ไม่เคยง้อใครในชีวิตไม่เคยอ้อนวอนโลกไม่เคยอ่อนให้ศัตรู แต่ยอมเป็นเพียง ‘ที่พักพิง’ ให้หญิงสาวที่ไม่เคยรักเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะ...เขารักนาง และอยากให้เธอมีความสุข แม้ต้องเจ็บจนใจหล่นเป็นผุยผงก็ตาม
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ฮืออคุณเพ๊ โอ้ยย ฮือออ.น้ำตาหยดเป็นแกลลอน อ่านไปมาเหมือนสถานะม่วงชอบกล กรี๊ด
รางวัล: -
99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point