
บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 30 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ นครหลวงฉางอัน มณฑลซือลี่ - เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ นครหลวงฉางอัน มณฑลซือลี่ - เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น

ฟ้ารุ่งอรุณที่ฉางอันค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีหม่นคล้ำเป็นสีทองอ่อนเมื่อแสงแรกของยามเหม่าแทรกผ่านม่านหมอกบางเหนือกำแพงเมือง รถม้าคันเล็กของขบวนสินต้าที่หลินหยากับเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าขึ้นนั่งอยู่ด้านในเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปตามถนนหินเรียงที่ทอดยาวสู่ประตูทิศใต้ เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้องสม่ำเสมอเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของนางเอง ความเย็นยามเช้าทำให้ปลายนิ้วของนางสั่นเล็กน้อย แต่ภายในกลับลุกโชนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตื่นเต้น หวาดหวั่น และเหนื่อยล้ากับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า
ในมือของนางกำบันทึกที่ได้มาจากท่านซินแสตงฟาง ตัวอักษรจาง ๆ ที่เขียนด้วยหมึกลายมืองดงามยังคงบอกเล่าเรื่องราวของหญิงชั้นในนางหนึ่งซึ่งชื่อถูกลบหายจากทุกบันทึกทางการ ราวกับคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตน แต่กลับเป็น "คำตอบ" ของคดีที่ถูกกลบฝัง และเป็นจุดเชื่อมโยงบางสิ่งระหว่างหัวใจนางกับจางกงกง ผู้ที่นางไม่อาจลืมได้ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ความเงียบภายในรถม้าเต็มไปด้วยเสียงหายใจของเซียนเฉ่าที่เอนหัวพาดตักนาง นางลูบขนนุ่มของมันพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง เห็นทุ่งกว้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามด้วยแสงตะวัน
เส้นทางไปเมืองหนานหยางยาวไกล ใช้เวลานานผ่านหมู่บ้านเล็กหลายแห่ง และคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูง หลินหยาต้องเตรียมใจรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แม้การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะค้นหาความจริงแท้ที่อยู่เหนือคำโกหกและความเจ็บปวดในอดีต
เมื่อเข้าสู่ช่วงสาย รถม้าหยุดพักที่ศาลาริมทางซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ เสียงใบสนพัดกราวราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวเก่าแก่ นางยกน้ำขึ้นจิบ รู้สึกถึงสายตาของชายชราเจ้าของศาลาที่มองมาด้วยแววแปลกประหลาด เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ผู้กล้าที่จะตามหาความจริง จงจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้ยินมิใช่สิ่งที่แท้" แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้หลินหยาเงียบงันเพราะนางมักจะพบเจอคนแปลก ๆ จนช่วงนี้รู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้วล่ะ
รถม้าออกเดินต่อจนเข้าสู่เขตเมืองหนานหยางยามเย็น วันแรกของการเดินทางจบลงที่โรงเตี๊ยมไม้ซอมซ่อแต่เงียบสงบ ที่นั่นนางได้ข่าวคราวว่าหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ต้องข้ามสะพานไม้เก่าที่ไม่มีผู้กล้าเดินยามค่ำคืนเพราะเล่ากันว่ามีเงากระเรียนขาวลึกลับเฝ้าอยู่ คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่หลินหยาจะได้พักโดยไม่มีอันตราย
แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างห้องพักเข้ามา เจ้าหมาน้อยขดตัวอยู่ข้างเตียง หลินหยานั่งกอดเข่ามองแสงเงาในห้อง พลางเอื้อมมือแตะบันทึกลับอีกครั้ง ใจของนางสั่นระรัวเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นการเผชิญหน้ากับคำลวงและน้ำใจแท้ที่สับสนไม่ต่างจากเงาจันทร์ในสายน้ำ และที่ปลายทางของเส้นทางนี้… ความจริงแท้กำลังรออยู่ ท่ามกลางเสียงระฆังยามพลบที่จะดังสะท้อนทั่วบั้นปลายของภารกิจนี้
เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวอยู่ข้างหลินหยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างสง่างาม ดวงตากลมใสส่องประกายใต้แสงจันทร์ ริมฝีปากเล็กของมันคลี่ยิ้มราวกับเข้าใจทุกสิ่งที่นางเก็บเงียบในใจ เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่มีสำเนียงผู้ดีเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เหตุใดคุณหนูหลินจึงไม่เอนกายพักผ่อนเล่าขอรับ? ร่างกายที่อ่อนล้าย่อมไม่ช่วยให้อุปสรรควันพรุ่งนี้เบาบางลงนะขอรับ”
หลินหยาเลื่อนสายตาจากบันทึกลับมามองมัน นางหัวเราะแผ่วราวกับประชดชะตาตนเอง “เจ้าก็พูดเก่งเหมือนขุนนางแก่ ๆ เลยนะเซียนเฉ่า ไปจำจากที่ไหนมาอีกล่ะ ข้า…นอนไม่หลับ ดวงใจข้ายังว้าวุ่นเกินกว่าจะปิดเปลือกตาลง” นางลูบหัวมันต่ออย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เส้นทางข้างหน้ามันเต็มไปด้วยเงาในอดีต ข้าไม่รู้ว่าความจริงที่รออยู่จะทำให้ข้าหัวเราะหรือร้องไห้…แต่ข้าก็กลัว” เซียนเฉ่าขยับตัวเข้ามาใกล้ วางหัวเล็ก ๆ บนแขนของนางอย่างถนอม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“คุณหนูหลินอย่ากลัวเลยขอรับ แม้จะมีหมอกหนาทึบปิดบังทาง หากมีใจกล้าและดวงวิญญาณที่มั่นคง ย่อมพบแสงสว่างในที่สุด ข้าจะอยู่ข้างคุณหนูเสมอ”
คำพูดอ่อนโยนของเจ้าหมาน้อยเหมือนสายลมอุ่นพัดคลายความหนาวในอก หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกระชับกอดมันไว้แน่นขึ้น “เจ้าพูดจาราวกับข้าเลี้ยงสุนัขเซียน ไม่ใช่สุนัขปีศาจเลยนะ เซียนเฉ่า…” นางหัวเราะบาง ๆ ก่อนจะเอนตัวอุ้มเซียนเฉ่าขึ้นเตียงลงนอนข้างมัน ในที่สุดหัวใจที่ว้าวุ่นก็เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เงาจันทร์คืนนั้น พร้อมกับความตั้งใจใหม่ว่าพรุ่งนี้…จะก้าวไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าให้ได้
เซียนเฉ่าตัวผู้ที่ถูกอุ้มขึ้นเตียงอย่างทะนุถนอมส่งเสียงหงิงเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มหลินหยาเหมือนกำลังบอกว่า ข้าอยู่ตรงนี้ แววตากลมโตของมันเป็นประกายคมใสใต้แสงตะเกียง ราวกับเข้าใจทุกความวิตกที่นางเก็บไว้ในใจ หลินหยาลูบหัวมันต่อช้า ๆ ขณะมองตัวอักษรบนบันทึกเก่า ดวงตาเรียวหวานเต็มไปด้วยความตั้งใจปนกังวล ข้อความในบันทึกเล่าถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “หุบเขาที่ไอหมอกไม่เคยจาง แม้ยามแดดแรงก็ยังมืดมัว ผู้ใดเข้าสู่ที่แห่งนี้หากหัวใจไม่มั่นคงจะหลงทางไปตลอดกาล” นางเม้มปากแน่น ความกลัวแทรกซึมในใจ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเพราะเสียงหายใจอุ่น ๆ ของเจ้าหมาน้อยข้างกาย
เซียนเฉ่าเอียงหัวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบผู้ดีที่ติดหรู “คุณหนูหลิน เหตุใดจึงปล่อยให้ความกังวลกัดกินจิตใจเช่นนี้เล่าขอรับ? พรุ่งนี้ยามเราข้ามสะพานเก่าไปสู่หุบเขา ข้าจะคอยเดินเคียงข้าง มิให้เงาหมอกใดพัดพาท่านหลงทาง”
“เจ้าพูดอย่างกับเจ้าจะปกป้องข้าได้ทุกอย่างเลยนะ เซียนเฉ่า” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ
สุนัขน้อยเชิดหน้าขึงอกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายมั่นใจ “หากเป็นข้า แม้ต้องเห่าขับหมอกหรือกัดเงาปีศาจ ข้าก็จะทำ เพื่อคุณหนูหลิน”
นางหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น นางกอดมันแน่นก่อนพึมพำกับตัวเอง “ดีแล้ว…ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน” ใต้แสงจันทร์ที่สาดผ่านหน้าต่าง เสียงลมพัดต้นสนด้านนอกดังก้องประสานกับลมหายใจอุ่น ๆ ของสุนัขน้อยตัวผู้ที่เฝ้านางอย่างซื่อสัตย์ คืนนี้แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล หลินหยาก็หลับไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มมีความกล้าผุดขึ้นทีละน้อย
หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ขณะเกาคางเจ้าเซียนเฉ่า เจ้าหมาน้อยเชิดหน้ารับสัมผัสนั้นด้วยท่าทีภาคภูมิราวกับสุนัขผู้สูงศักดิ์ นางถามเสียงแผ่ว “เจ้าไม่ลำบากหรือที่ต้องตามข้ามายังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้? ลำบากใจหรือไม่? หรือเจ้าจะอยากอยู่ที่ร้านกับท่านชายไป๋และเจ้าแมวชือฟ่านมากกว่ากันเล่า?” เซียนเฉ่าหันหน้ามาสบตานาง ดวงตากลมใสประกายแข็งขันตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “คุณหนูหลินอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้า…เป็นสุนัขสามหัวที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ! เพื่อเจ้านาย ข้าจะภักดีสุดหัวใจ ไม่ว่าหมอกหนาเพียงใด ข้าก็จะเห่าให้มันแตกสลาย!” ท่าทางเอาจริงเอาจังในร่างเล็ก ๆ นั้นน่ารักเสียจนหลินหยาหลุดหัวเราะพรืด ก้มหน้าลูบหัวมันพลางพูด “งั้นคืนนี้เราก็นอนกันเถอะนะ”
แต่เมื่อเอื้อมมือไปดับตะเกียง นางกลับหยุดมือกลางอากาศ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้บางอย่าง นางหันไปหยิบสมุดบันทึกที่ถูกห่อด้วยผ้าสีหม่นออกจากห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อเล่มนั้นไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนตำราราชสำนัก หากแต่เป็นเพียงสมุดทำมือที่เย็บอย่างเรียบง่าย ปกผ้าสีทึบเก่าเก็บดูไม่ต่างจากสมุดโน้ตธรรมดาของคนเดินตลาด ทว่าหลินหยารู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีค่ามากเพียงใด
เมื่อพลิกเปิดหน้ากระดาษ กลิ่นกระดาษเก่าที่คงถูกถนอมไว้ดีลอยมาแตะจมูก ตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยและเป็นระเบียบปรากฏต่อสายตา แต่ละบรรทัดแฝงไปด้วยความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นของเสี่ยวจ้าวจื่อ เด็กชายผู้ซ่อนพรสวรรค์ไว้หลังเงาวังหลวง ภายในตำรานี้บันทึกทั้งสูตรอาหาร เทคนิคปรุงรส และเคล็ดลับลับเฉพาะที่สืบทอดจากขันทีเฒ่าเติ้ง อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ทุกหน้ากระดาษเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ครัวที่แท้จริง
หลินหยาลูบปลายนิ้วตามอักษรที่เขียนด้วยหมึกจางราวกับจะสัมผัสถึงมือของเสี่ยวจ้าวจื่อในวันวานที่บรรจงจด นางพลิกไปยังหนึ่งเมนูที่เขียนด้วยหมึกเข้มกว่าเพื่อน ‘ข้าวอบหอมหมื่นลี้’ ชื่อเมนูปรากฏเด่นกลางหน้ากระดาษ คำอธิบายบอกถึงการคัดเลือกข้าวพันธุ์พิเศษที่ต้องแช่น้ำสมุนไพรหอมก่อนหุง การควบคุมไฟที่ต้องสม่ำเสมอ และเคล็ดลับสำคัญคือต้องมี ‘ดอกไม้หอม’ แห้งวางในเตาไฟเพื่อให้ควันอบซึมเข้าสู่เมล็ดข้าว ความละเอียดละออในแต่ละขั้นทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอาจารย์ของเสี่ยวจ้าวจื่อคอยสอนอยู่ในเงา
นางอ่านอย่างตั้งใจทุกถ้อยคำ ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงสว่างวาบอย่างมีความหวัง เมื่อปิดสมุดนั้นลง หลินหยาสูดหายใจลึก ลูบหัวเซียนเฉ่าอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหม เซียนเฉ่า... วันหนึ่งข้าจะทำเมนูนี้ให้ทุกคนได้กินด้วยมือของข้าเอง”
เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นพยักหน้าเล็ก ๆ พร้อมหาวเบา ๆ แล้วซุกตัวเข้าหาอกนางเหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าหนทางจะยากเย็นเพียงใด ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ใต้แสงจันทร์คืนนั้น หลินหยาเก็บตำราลับไว้ใต้หมอน หลับไปพร้อมกับความอบอุ่นของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ และความฝันที่เริ่มหอมราวกับข้าวหมื่นลี้
กลางดึกเงียบสงัด แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำจาง ๆ หลินหยาที่กำลังหลับอย่างสงบพลันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ข้างกาย นางลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าเซียนเฉ่าลุกขึ้นนั่งตัวแข็ง ขยับไปมาเหมือนหาที่นอนไม่สบาย ใบหูขยับเล็กน้อยพลางถอนหายใจหงิง ๆ น้อย ๆ บนเตียงที่สปริงขึ้นสนิม เสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มันพลิกตัว
หลินหยามองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างกลั้นเสียง “เจ้ามันหมาติดหรูของแท้จริง ๆ นะเซียนเฉ่า” นางลุกขึ้นนั่ง เกลี่ยผมที่ปรกแก้มออกแล้วเอื้อมมือเกาคางมันเบา ๆ เจ้าเซียนเฉ่ามองนาง ดวงตากลมใสแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าพยายามแล้วนะขอรับ แต่เตียงนี่มันช่างต่ำต้อยเหลือเกินจะรับได้” หลินหยาหยิบมือแหวนดาราจรัสขึ้นมาส่องในแสงจันทร์ เพชรกะรัตน้ำงามบนแหวนเจิดจรัสราวดวงดาวในค่ำคืน คุณสมบัติพิเศษของมันคือการกักเก็บสิ่งของไว้ในมิติเล็ก ๆ ด้านในที่กว้างใหญ่ราวกับโลกอีกใบ นางเพียงบิดปลายนิ้วเล็กน้อย ม่านแสงบาง ๆ ปรากฏขึ้น ก่อนม้วนผ้าที่เคยพับเก็บไว้ก็ถูกดึงออกมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นนางจัดวางม้วนผ้านั้นคลี่บนเตียง เพิ่มความนุ่มให้เจ้าหมาน้อยสบายขึ้น
“เจ้าหลับไม่สบายเพราะเตียงใช่ไหม? งั้นข้าจะทำให้เจ้าฝันดีเอง” หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะบิดแหวนอีกครั้ง ดึงขลุ่ยออกมาเครื่องดนตรีที่นางรักที่สุด เธอยกมันขึ้นแนบริมฝีปาก บรรเลงท่วงทำนองช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ ขลุ่ยส่งเสียงแผ่วหวานราวกับสายลมพัดผ่านทุ่งดอกไม้ แทรกซึมไปทั่วห้องแคบ
เซียนเฉ่าหยุดขยับทันทีเมื่อเสียงดนตรีคลอหู มันเอนหัวลงบนม้วนผ้าที่นางปูไว้ ดวงตาค่อย ๆ ปรือ ปลายหางกระดิกเบา ๆ ตามจังหวะ เสียงขลุ่ยของหลินหยานั้นทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ปลอบประโลมเหมือนอ้อมกอดของฤดูใบไม้ผลิ ลมกลางคืนพัดกลิ่นดอกหญ้าเข้ามาผสมกับเสียงเพลงราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังฟังนาง
“เซียนเฉ่า หลับเถอะเจ้าตัวน้อย…คืนนี้ข้าจะกล่อมเจ้าเอง” นางพึมพำขณะบรรเลงต่อ เสียงเพลงคล้ายดวงดาวร่วงหล่นลงในความฝัน เจ้าเซียนเฉ่าขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของมันแนบข้างนาง ในที่สุดก็หลับสนิทอย่างสุขสบายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายบนแหวนดาราจรัสที่ยังสวมอยู่บนนิ้วหลินหยา ราวกับดาวเฝ้ามองพวกเขาสองในค่ำคืนสงบ
เสียงขลุ่ยของหลินหยาดังขึ้นกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ราวกับสายหมอกแรกของรุ่งอรุณที่แผ่วผ่านภูผา ท่วงทำนองนั้นมิใช่เพียงเพลงกล่อม หากแต่คือบันทึกการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด ทุกลมหายใจที่นางเป่าออกไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่สั่นสะเทือนวิญญาณ เสียงแรกพริ้วหวานราวน้ำค้างแรกยามเช้า ปลอบโยนทุกหัวใจที่เหนื่อยล้า เสียงต่อมาแหลมคมดุจคมดาบ ลึกซึ้งจนทะลวงม่านสติของผู้มีจิตคิดร้าย
หลินหยาหลับตาลง ปล่อยให้หัวใจนำพานิ้วเรียวบนรูขลุ่ย เสียงนั้นมิได้เป็นเพียงเสียงดนตรี แต่คือมนตราอาคมที่สอดแทรกในทุกอณูอากาศ พลังจากจิตวิญญาณของนางก่อเกิดเป็นกระแสคลื่นที่แผ่กระจายออกไปทั่วห้องไม้เก่า ผนังที่ผุพังและเพดานที่มีรูรั่วกลับสะท้อนเสียงอย่างไพเราะลึกซึ้ง
แม้แต่เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เริ่มหายใจสม่ำเสมอ ร่างเล็ก ๆ ขยับตัวซุกเข้าหาผ้าห่มนุ่มที่นางปูไว้ ลมหายใจของมันสอดคล้องกับจังหวะเพลง ดวงตาปรือหลับสนิทในอ้อมเสียงที่ห่อหุ้มด้วยความปลอดภัย
ท่วงทำนองนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้อง เสียงขลุ่ยล่องลอยออกไปตามช่องหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดพาเสียงไปทั่วโรงเตี๊ยมซอมซ่อที่ผู้คนบางตากำลังซุกตัวหลับ บ้างสะดุ้งตื่นขึ้นเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงประหลาด แต่เมื่อฟังเพียงครู่ความสงบและความอบอุ่นก็ซึมเข้าจิตใจ พวกเขากลับเอนกายลงนอนด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไม่โวยวายสิ่งใดเลย พลังศักดิ์สิทธิ์จากดนตรีของหลินหยาชำระล้างบรรยากาศอึมครึมของโรงเตี๊ยมเก่า ให้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยความสงบสุขชั่วข้ามคืน ราวกับเทพารักษ์ได้เสกมนตราโอบล้อม ทุกสิ่งเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความสวยงามล้ำลึก
บทเพลงค่อย ๆ จางลงทีละน้อยจนเหลือเพียงสายลมพัด เสียงสุดท้ายจบลงเหมือนดาวตกที่ลับหายไปในฟากฟ้า หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ มองเจ้าเซียนเฉ่าที่หลับสนิทราวกับลูกสัตว์ในรังอุ่น ใจของนางเองก็สงบลงเช่นกัน รอยยิ้มบางผุดบนริมฝีปาก นางเก็บขลุ่ยคืนสู่แหวนดาราจรัสอย่างแผ่วเบา ก่อนเอนตัวลงนอนข้างหมาน้อย ราตรีนี้ทั้งโรงเตี๊ยมถูกกล่อมด้วยท่วงทำนองของนาง และฟ้ายามรุ่งก็จะมาถึงพร้อมการเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางแห่งความจริง

ในมือของนางกำบันทึกที่ได้มาจากท่านซินแสตงฟาง ตัวอักษรจาง ๆ ที่เขียนด้วยหมึกลายมืองดงามยังคงบอกเล่าเรื่องราวของหญิงชั้นในนางหนึ่งซึ่งชื่อถูกลบหายจากทุกบันทึกทางการ ราวกับคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตน แต่กลับเป็น "คำตอบ" ของคดีที่ถูกกลบฝัง และเป็นจุดเชื่อมโยงบางสิ่งระหว่างหัวใจนางกับจางกงกง ผู้ที่นางไม่อาจลืมได้ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ความเงียบภายในรถม้าเต็มไปด้วยเสียงหายใจของเซียนเฉ่าที่เอนหัวพาดตักนาง นางลูบขนนุ่มของมันพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง เห็นทุ่งกว้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามด้วยแสงตะวัน
เส้นทางไปเมืองหนานหยางยาวไกล ใช้เวลานานผ่านหมู่บ้านเล็กหลายแห่ง และคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูง หลินหยาต้องเตรียมใจรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แม้การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะค้นหาความจริงแท้ที่อยู่เหนือคำโกหกและความเจ็บปวดในอดีต
เมื่อเข้าสู่ช่วงสาย รถม้าหยุดพักที่ศาลาริมทางซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ เสียงใบสนพัดกราวราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวเก่าแก่ นางยกน้ำขึ้นจิบ รู้สึกถึงสายตาของชายชราเจ้าของศาลาที่มองมาด้วยแววแปลกประหลาด เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ผู้กล้าที่จะตามหาความจริง จงจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้ยินมิใช่สิ่งที่แท้" แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้หลินหยาเงียบงันเพราะนางมักจะพบเจอคนแปลก ๆ จนช่วงนี้รู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้วล่ะ
รถม้าออกเดินต่อจนเข้าสู่เขตเมืองหนานหยางยามเย็น วันแรกของการเดินทางจบลงที่โรงเตี๊ยมไม้ซอมซ่อแต่เงียบสงบ ที่นั่นนางได้ข่าวคราวว่าหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ต้องข้ามสะพานไม้เก่าที่ไม่มีผู้กล้าเดินยามค่ำคืนเพราะเล่ากันว่ามีเงากระเรียนขาวลึกลับเฝ้าอยู่ คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่หลินหยาจะได้พักโดยไม่มีอันตราย
แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างห้องพักเข้ามา เจ้าหมาน้อยขดตัวอยู่ข้างเตียง หลินหยานั่งกอดเข่ามองแสงเงาในห้อง พลางเอื้อมมือแตะบันทึกลับอีกครั้ง ใจของนางสั่นระรัวเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นการเผชิญหน้ากับคำลวงและน้ำใจแท้ที่สับสนไม่ต่างจากเงาจันทร์ในสายน้ำ และที่ปลายทางของเส้นทางนี้… ความจริงแท้กำลังรออยู่ ท่ามกลางเสียงระฆังยามพลบที่จะดังสะท้อนทั่วบั้นปลายของภารกิจนี้
เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวอยู่ข้างหลินหยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างสง่างาม ดวงตากลมใสส่องประกายใต้แสงจันทร์ ริมฝีปากเล็กของมันคลี่ยิ้มราวกับเข้าใจทุกสิ่งที่นางเก็บเงียบในใจ เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่มีสำเนียงผู้ดีเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เหตุใดคุณหนูหลินจึงไม่เอนกายพักผ่อนเล่าขอรับ? ร่างกายที่อ่อนล้าย่อมไม่ช่วยให้อุปสรรควันพรุ่งนี้เบาบางลงนะขอรับ”
หลินหยาเลื่อนสายตาจากบันทึกลับมามองมัน นางหัวเราะแผ่วราวกับประชดชะตาตนเอง “เจ้าก็พูดเก่งเหมือนขุนนางแก่ ๆ เลยนะเซียนเฉ่า ไปจำจากที่ไหนมาอีกล่ะ ข้า…นอนไม่หลับ ดวงใจข้ายังว้าวุ่นเกินกว่าจะปิดเปลือกตาลง” นางลูบหัวมันต่ออย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เส้นทางข้างหน้ามันเต็มไปด้วยเงาในอดีต ข้าไม่รู้ว่าความจริงที่รออยู่จะทำให้ข้าหัวเราะหรือร้องไห้…แต่ข้าก็กลัว” เซียนเฉ่าขยับตัวเข้ามาใกล้ วางหัวเล็ก ๆ บนแขนของนางอย่างถนอม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“คุณหนูหลินอย่ากลัวเลยขอรับ แม้จะมีหมอกหนาทึบปิดบังทาง หากมีใจกล้าและดวงวิญญาณที่มั่นคง ย่อมพบแสงสว่างในที่สุด ข้าจะอยู่ข้างคุณหนูเสมอ”
คำพูดอ่อนโยนของเจ้าหมาน้อยเหมือนสายลมอุ่นพัดคลายความหนาวในอก หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกระชับกอดมันไว้แน่นขึ้น “เจ้าพูดจาราวกับข้าเลี้ยงสุนัขเซียน ไม่ใช่สุนัขปีศาจเลยนะ เซียนเฉ่า…” นางหัวเราะบาง ๆ ก่อนจะเอนตัวอุ้มเซียนเฉ่าขึ้นเตียงลงนอนข้างมัน ในที่สุดหัวใจที่ว้าวุ่นก็เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เงาจันทร์คืนนั้น พร้อมกับความตั้งใจใหม่ว่าพรุ่งนี้…จะก้าวไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าให้ได้
เซียนเฉ่าตัวผู้ที่ถูกอุ้มขึ้นเตียงอย่างทะนุถนอมส่งเสียงหงิงเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มหลินหยาเหมือนกำลังบอกว่า ข้าอยู่ตรงนี้ แววตากลมโตของมันเป็นประกายคมใสใต้แสงตะเกียง ราวกับเข้าใจทุกความวิตกที่นางเก็บไว้ในใจ หลินหยาลูบหัวมันต่อช้า ๆ ขณะมองตัวอักษรบนบันทึกเก่า ดวงตาเรียวหวานเต็มไปด้วยความตั้งใจปนกังวล ข้อความในบันทึกเล่าถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “หุบเขาที่ไอหมอกไม่เคยจาง แม้ยามแดดแรงก็ยังมืดมัว ผู้ใดเข้าสู่ที่แห่งนี้หากหัวใจไม่มั่นคงจะหลงทางไปตลอดกาล” นางเม้มปากแน่น ความกลัวแทรกซึมในใจ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเพราะเสียงหายใจอุ่น ๆ ของเจ้าหมาน้อยข้างกาย
เซียนเฉ่าเอียงหัวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบผู้ดีที่ติดหรู “คุณหนูหลิน เหตุใดจึงปล่อยให้ความกังวลกัดกินจิตใจเช่นนี้เล่าขอรับ? พรุ่งนี้ยามเราข้ามสะพานเก่าไปสู่หุบเขา ข้าจะคอยเดินเคียงข้าง มิให้เงาหมอกใดพัดพาท่านหลงทาง”
“เจ้าพูดอย่างกับเจ้าจะปกป้องข้าได้ทุกอย่างเลยนะ เซียนเฉ่า” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ
สุนัขน้อยเชิดหน้าขึงอกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายมั่นใจ “หากเป็นข้า แม้ต้องเห่าขับหมอกหรือกัดเงาปีศาจ ข้าก็จะทำ เพื่อคุณหนูหลิน”
นางหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น นางกอดมันแน่นก่อนพึมพำกับตัวเอง “ดีแล้ว…ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน” ใต้แสงจันทร์ที่สาดผ่านหน้าต่าง เสียงลมพัดต้นสนด้านนอกดังก้องประสานกับลมหายใจอุ่น ๆ ของสุนัขน้อยตัวผู้ที่เฝ้านางอย่างซื่อสัตย์ คืนนี้แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล หลินหยาก็หลับไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มมีความกล้าผุดขึ้นทีละน้อย
หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ขณะเกาคางเจ้าเซียนเฉ่า เจ้าหมาน้อยเชิดหน้ารับสัมผัสนั้นด้วยท่าทีภาคภูมิราวกับสุนัขผู้สูงศักดิ์ นางถามเสียงแผ่ว “เจ้าไม่ลำบากหรือที่ต้องตามข้ามายังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้? ลำบากใจหรือไม่? หรือเจ้าจะอยากอยู่ที่ร้านกับท่านชายไป๋และเจ้าแมวชือฟ่านมากกว่ากันเล่า?” เซียนเฉ่าหันหน้ามาสบตานาง ดวงตากลมใสประกายแข็งขันตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “คุณหนูหลินอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้า…เป็นสุนัขสามหัวที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ! เพื่อเจ้านาย ข้าจะภักดีสุดหัวใจ ไม่ว่าหมอกหนาเพียงใด ข้าก็จะเห่าให้มันแตกสลาย!” ท่าทางเอาจริงเอาจังในร่างเล็ก ๆ นั้นน่ารักเสียจนหลินหยาหลุดหัวเราะพรืด ก้มหน้าลูบหัวมันพลางพูด “งั้นคืนนี้เราก็นอนกันเถอะนะ”
แต่เมื่อเอื้อมมือไปดับตะเกียง นางกลับหยุดมือกลางอากาศ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้บางอย่าง นางหันไปหยิบสมุดบันทึกที่ถูกห่อด้วยผ้าสีหม่นออกจากห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อเล่มนั้นไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนตำราราชสำนัก หากแต่เป็นเพียงสมุดทำมือที่เย็บอย่างเรียบง่าย ปกผ้าสีทึบเก่าเก็บดูไม่ต่างจากสมุดโน้ตธรรมดาของคนเดินตลาด ทว่าหลินหยารู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีค่ามากเพียงใด
เมื่อพลิกเปิดหน้ากระดาษ กลิ่นกระดาษเก่าที่คงถูกถนอมไว้ดีลอยมาแตะจมูก ตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยและเป็นระเบียบปรากฏต่อสายตา แต่ละบรรทัดแฝงไปด้วยความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นของเสี่ยวจ้าวจื่อ เด็กชายผู้ซ่อนพรสวรรค์ไว้หลังเงาวังหลวง ภายในตำรานี้บันทึกทั้งสูตรอาหาร เทคนิคปรุงรส และเคล็ดลับลับเฉพาะที่สืบทอดจากขันทีเฒ่าเติ้ง อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ทุกหน้ากระดาษเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ครัวที่แท้จริง
หลินหยาลูบปลายนิ้วตามอักษรที่เขียนด้วยหมึกจางราวกับจะสัมผัสถึงมือของเสี่ยวจ้าวจื่อในวันวานที่บรรจงจด นางพลิกไปยังหนึ่งเมนูที่เขียนด้วยหมึกเข้มกว่าเพื่อน ‘ข้าวอบหอมหมื่นลี้’ ชื่อเมนูปรากฏเด่นกลางหน้ากระดาษ คำอธิบายบอกถึงการคัดเลือกข้าวพันธุ์พิเศษที่ต้องแช่น้ำสมุนไพรหอมก่อนหุง การควบคุมไฟที่ต้องสม่ำเสมอ และเคล็ดลับสำคัญคือต้องมี ‘ดอกไม้หอม’ แห้งวางในเตาไฟเพื่อให้ควันอบซึมเข้าสู่เมล็ดข้าว ความละเอียดละออในแต่ละขั้นทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอาจารย์ของเสี่ยวจ้าวจื่อคอยสอนอยู่ในเงา
นางอ่านอย่างตั้งใจทุกถ้อยคำ ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงสว่างวาบอย่างมีความหวัง เมื่อปิดสมุดนั้นลง หลินหยาสูดหายใจลึก ลูบหัวเซียนเฉ่าอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหม เซียนเฉ่า... วันหนึ่งข้าจะทำเมนูนี้ให้ทุกคนได้กินด้วยมือของข้าเอง”
เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นพยักหน้าเล็ก ๆ พร้อมหาวเบา ๆ แล้วซุกตัวเข้าหาอกนางเหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าหนทางจะยากเย็นเพียงใด ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ใต้แสงจันทร์คืนนั้น หลินหยาเก็บตำราลับไว้ใต้หมอน หลับไปพร้อมกับความอบอุ่นของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ และความฝันที่เริ่มหอมราวกับข้าวหมื่นลี้
กลางดึกเงียบสงัด แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำจาง ๆ หลินหยาที่กำลังหลับอย่างสงบพลันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ข้างกาย นางลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าเซียนเฉ่าลุกขึ้นนั่งตัวแข็ง ขยับไปมาเหมือนหาที่นอนไม่สบาย ใบหูขยับเล็กน้อยพลางถอนหายใจหงิง ๆ น้อย ๆ บนเตียงที่สปริงขึ้นสนิม เสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มันพลิกตัว
หลินหยามองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างกลั้นเสียง “เจ้ามันหมาติดหรูของแท้จริง ๆ นะเซียนเฉ่า” นางลุกขึ้นนั่ง เกลี่ยผมที่ปรกแก้มออกแล้วเอื้อมมือเกาคางมันเบา ๆ เจ้าเซียนเฉ่ามองนาง ดวงตากลมใสแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าพยายามแล้วนะขอรับ แต่เตียงนี่มันช่างต่ำต้อยเหลือเกินจะรับได้” หลินหยาหยิบมือแหวนดาราจรัสขึ้นมาส่องในแสงจันทร์ เพชรกะรัตน้ำงามบนแหวนเจิดจรัสราวดวงดาวในค่ำคืน คุณสมบัติพิเศษของมันคือการกักเก็บสิ่งของไว้ในมิติเล็ก ๆ ด้านในที่กว้างใหญ่ราวกับโลกอีกใบ นางเพียงบิดปลายนิ้วเล็กน้อย ม่านแสงบาง ๆ ปรากฏขึ้น ก่อนม้วนผ้าที่เคยพับเก็บไว้ก็ถูกดึงออกมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นนางจัดวางม้วนผ้านั้นคลี่บนเตียง เพิ่มความนุ่มให้เจ้าหมาน้อยสบายขึ้น
“เจ้าหลับไม่สบายเพราะเตียงใช่ไหม? งั้นข้าจะทำให้เจ้าฝันดีเอง” หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะบิดแหวนอีกครั้ง ดึงขลุ่ยออกมาเครื่องดนตรีที่นางรักที่สุด เธอยกมันขึ้นแนบริมฝีปาก บรรเลงท่วงทำนองช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ ขลุ่ยส่งเสียงแผ่วหวานราวกับสายลมพัดผ่านทุ่งดอกไม้ แทรกซึมไปทั่วห้องแคบ
เซียนเฉ่าหยุดขยับทันทีเมื่อเสียงดนตรีคลอหู มันเอนหัวลงบนม้วนผ้าที่นางปูไว้ ดวงตาค่อย ๆ ปรือ ปลายหางกระดิกเบา ๆ ตามจังหวะ เสียงขลุ่ยของหลินหยานั้นทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ปลอบประโลมเหมือนอ้อมกอดของฤดูใบไม้ผลิ ลมกลางคืนพัดกลิ่นดอกหญ้าเข้ามาผสมกับเสียงเพลงราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังฟังนาง
“เซียนเฉ่า หลับเถอะเจ้าตัวน้อย…คืนนี้ข้าจะกล่อมเจ้าเอง” นางพึมพำขณะบรรเลงต่อ เสียงเพลงคล้ายดวงดาวร่วงหล่นลงในความฝัน เจ้าเซียนเฉ่าขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของมันแนบข้างนาง ในที่สุดก็หลับสนิทอย่างสุขสบายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายบนแหวนดาราจรัสที่ยังสวมอยู่บนนิ้วหลินหยา ราวกับดาวเฝ้ามองพวกเขาสองในค่ำคืนสงบ
เสียงขลุ่ยของหลินหยาดังขึ้นกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ราวกับสายหมอกแรกของรุ่งอรุณที่แผ่วผ่านภูผา ท่วงทำนองนั้นมิใช่เพียงเพลงกล่อม หากแต่คือบันทึกการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด ทุกลมหายใจที่นางเป่าออกไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่สั่นสะเทือนวิญญาณ เสียงแรกพริ้วหวานราวน้ำค้างแรกยามเช้า ปลอบโยนทุกหัวใจที่เหนื่อยล้า เสียงต่อมาแหลมคมดุจคมดาบ ลึกซึ้งจนทะลวงม่านสติของผู้มีจิตคิดร้าย
หลินหยาหลับตาลง ปล่อยให้หัวใจนำพานิ้วเรียวบนรูขลุ่ย เสียงนั้นมิได้เป็นเพียงเสียงดนตรี แต่คือมนตราอาคมที่สอดแทรกในทุกอณูอากาศ พลังจากจิตวิญญาณของนางก่อเกิดเป็นกระแสคลื่นที่แผ่กระจายออกไปทั่วห้องไม้เก่า ผนังที่ผุพังและเพดานที่มีรูรั่วกลับสะท้อนเสียงอย่างไพเราะลึกซึ้ง
แม้แต่เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เริ่มหายใจสม่ำเสมอ ร่างเล็ก ๆ ขยับตัวซุกเข้าหาผ้าห่มนุ่มที่นางปูไว้ ลมหายใจของมันสอดคล้องกับจังหวะเพลง ดวงตาปรือหลับสนิทในอ้อมเสียงที่ห่อหุ้มด้วยความปลอดภัย
ท่วงทำนองนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้อง เสียงขลุ่ยล่องลอยออกไปตามช่องหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดพาเสียงไปทั่วโรงเตี๊ยมซอมซ่อที่ผู้คนบางตากำลังซุกตัวหลับ บ้างสะดุ้งตื่นขึ้นเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงประหลาด แต่เมื่อฟังเพียงครู่ความสงบและความอบอุ่นก็ซึมเข้าจิตใจ พวกเขากลับเอนกายลงนอนด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไม่โวยวายสิ่งใดเลย พลังศักดิ์สิทธิ์จากดนตรีของหลินหยาชำระล้างบรรยากาศอึมครึมของโรงเตี๊ยมเก่า ให้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยความสงบสุขชั่วข้ามคืน ราวกับเทพารักษ์ได้เสกมนตราโอบล้อม ทุกสิ่งเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความสวยงามล้ำลึก
บทเพลงค่อย ๆ จางลงทีละน้อยจนเหลือเพียงสายลมพัด เสียงสุดท้ายจบลงเหมือนดาวตกที่ลับหายไปในฟากฟ้า หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ มองเจ้าเซียนเฉ่าที่หลับสนิทราวกับลูกสัตว์ในรังอุ่น ใจของนางเองก็สงบลงเช่นกัน รอยยิ้มบางผุดบนริมฝีปาก นางเก็บขลุ่ยคืนสู่แหวนดาราจรัสอย่างแผ่วเบา ก่อนเอนตัวลงนอนข้างหมาน้อย ราตรีนี้ทั้งโรงเตี๊ยมถูกกล่อมด้วยท่วงทำนองของนาง และฟ้ายามรุ่งก็จะมาถึงพร้อมการเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางแห่งความจริง

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)
อื่น ๆ: ศึกษา ข้าวอบหอมหมื่นลี้ (4/4)
รางวัล: +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point
99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point
