[บันทึกการเดินทาง] : ความจริงแท้

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ เมื่อวานซืน 17:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-1 02:59

top-img







บันทึกการเดินทาง


[ ความจริงแท้ ]

ดวงจิตถูกพันธนา  จำจอง
รักเก่าแฝงครรลอง  กักไว้
ท่านเคยทำให้ย้ำ  มีค่า
แท้ใช่รักหรือไร้  หวั่นกลัว เดียวดาย

ความจริงหากเปิดเห็น  ทุกส่วน
คำลับจักเผยควร  ย่อมรู้
สารภาพใช่เพราะหวน  เจ็บเจ้า
แต่เพื่อคงอำนาจอยู่  กักช้ำ เงาจน

โชคชะตาจักกั้น  ทางเดิน
หากหลงแสงลวงเกิน  บ่วงคล้อง
กล้าเหลือตนหลุดพ้น  เส้นกรรม ดับสิ้น
รักแท้ย่อมส่องสว่าง  หลุดพ้น พันธนา



ผู้บันทึก

หนาน หลินหยา

ลุยเดี่ยว

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4871 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 17:23
โพสต์ เมื่อวานซืน 20:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-30 22:29

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 30 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ นครหลวงฉางอัน มณฑลซือลี่ - เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


          ฟ้ารุ่งอรุณที่ฉางอันค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีหม่นคล้ำเป็นสีทองอ่อนเมื่อแสงแรกของยามเหม่าแทรกผ่านม่านหมอกบางเหนือกำแพงเมือง รถม้าคันเล็กของขบวนสินต้าที่หลินหยากับเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าขึ้นนั่งอยู่ด้านในเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปตามถนนหินเรียงที่ทอดยาวสู่ประตูทิศใต้ เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้องสม่ำเสมอเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของนางเอง ความเย็นยามเช้าทำให้ปลายนิ้วของนางสั่นเล็กน้อย แต่ภายในกลับลุกโชนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตื่นเต้น หวาดหวั่น และเหนื่อยล้ากับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า

          ในมือของนางกำบันทึกที่ได้มาจากท่านซินแสตงฟาง ตัวอักษรจาง ๆ ที่เขียนด้วยหมึกลายมืองดงามยังคงบอกเล่าเรื่องราวของหญิงชั้นในนางหนึ่งซึ่งชื่อถูกลบหายจากทุกบันทึกทางการ ราวกับคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตน แต่กลับเป็น "คำตอบ" ของคดีที่ถูกกลบฝัง และเป็นจุดเชื่อมโยงบางสิ่งระหว่างหัวใจนางกับจางกงกง ผู้ที่นางไม่อาจลืมได้ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ความเงียบภายในรถม้าเต็มไปด้วยเสียงหายใจของเซียนเฉ่าที่เอนหัวพาดตักนาง นางลูบขนนุ่มของมันพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง เห็นทุ่งกว้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามด้วยแสงตะวัน

          เส้นทางไปเมืองหนานหยางยาวไกล ใช้เวลานานผ่านหมู่บ้านเล็กหลายแห่ง และคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูง หลินหยาต้องเตรียมใจรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แม้การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะค้นหาความจริงแท้ที่อยู่เหนือคำโกหกและความเจ็บปวดในอดีต

          เมื่อเข้าสู่ช่วงสาย รถม้าหยุดพักที่ศาลาริมทางซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ เสียงใบสนพัดกราวราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวเก่าแก่ นางยกน้ำขึ้นจิบ รู้สึกถึงสายตาของชายชราเจ้าของศาลาที่มองมาด้วยแววแปลกประหลาด เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ผู้กล้าที่จะตามหาความจริง จงจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้ยินมิใช่สิ่งที่แท้" แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้หลินหยาเงียบงันเพราะนางมักจะพบเจอคนแปลก ๆ จนช่วงนี้รู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้วล่ะ

          รถม้าออกเดินต่อจนเข้าสู่เขตเมืองหนานหยางยามเย็น วันแรกของการเดินทางจบลงที่โรงเตี๊ยมไม้ซอมซ่อแต่เงียบสงบ ที่นั่นนางได้ข่าวคราวว่าหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ต้องข้ามสะพานไม้เก่าที่ไม่มีผู้กล้าเดินยามค่ำคืนเพราะเล่ากันว่ามีเงากระเรียนขาวลึกลับเฝ้าอยู่ คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่หลินหยาจะได้พักโดยไม่มีอันตราย

          แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างห้องพักเข้ามา เจ้าหมาน้อยขดตัวอยู่ข้างเตียง หลินหยานั่งกอดเข่ามองแสงเงาในห้อง พลางเอื้อมมือแตะบันทึกลับอีกครั้ง ใจของนางสั่นระรัวเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นการเผชิญหน้ากับคำลวงและน้ำใจแท้ที่สับสนไม่ต่างจากเงาจันทร์ในสายน้ำ และที่ปลายทางของเส้นทางนี้… ความจริงแท้กำลังรออยู่ ท่ามกลางเสียงระฆังยามพลบที่จะดังสะท้อนทั่วบั้นปลายของภารกิจนี้

          เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวอยู่ข้างหลินหยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างสง่างาม ดวงตากลมใสส่องประกายใต้แสงจันทร์ ริมฝีปากเล็กของมันคลี่ยิ้มราวกับเข้าใจทุกสิ่งที่นางเก็บเงียบในใจ เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่มีสำเนียงผู้ดีเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เหตุใดคุณหนูหลินจึงไม่เอนกายพักผ่อนเล่าขอรับ? ร่างกายที่อ่อนล้าย่อมไม่ช่วยให้อุปสรรควันพรุ่งนี้เบาบางลงนะขอรับ”

          หลินหยาเลื่อนสายตาจากบันทึกลับมามองมัน นางหัวเราะแผ่วราวกับประชดชะตาตนเอง “เจ้าก็พูดเก่งเหมือนขุนนางแก่ ๆ เลยนะเซียนเฉ่า ไปจำจากที่ไหนมาอีกล่ะ ข้า…นอนไม่หลับ ดวงใจข้ายังว้าวุ่นเกินกว่าจะปิดเปลือกตาลง” นางลูบหัวมันต่ออย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เส้นทางข้างหน้ามันเต็มไปด้วยเงาในอดีต ข้าไม่รู้ว่าความจริงที่รออยู่จะทำให้ข้าหัวเราะหรือร้องไห้…แต่ข้าก็กลัว” เซียนเฉ่าขยับตัวเข้ามาใกล้ วางหัวเล็ก ๆ บนแขนของนางอย่างถนอม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

          “คุณหนูหลินอย่ากลัวเลยขอรับ แม้จะมีหมอกหนาทึบปิดบังทาง หากมีใจกล้าและดวงวิญญาณที่มั่นคง ย่อมพบแสงสว่างในที่สุด ข้าจะอยู่ข้างคุณหนูเสมอ”

          คำพูดอ่อนโยนของเจ้าหมาน้อยเหมือนสายลมอุ่นพัดคลายความหนาวในอก หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกระชับกอดมันไว้แน่นขึ้น “เจ้าพูดจาราวกับข้าเลี้ยงสุนัขเซียน ไม่ใช่สุนัขปีศาจเลยนะ เซียนเฉ่า…” นางหัวเราะบาง ๆ ก่อนจะเอนตัวอุ้มเซียนเฉ่าขึ้นเตียงลงนอนข้างมัน ในที่สุดหัวใจที่ว้าวุ่นก็เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เงาจันทร์คืนนั้น พร้อมกับความตั้งใจใหม่ว่าพรุ่งนี้…จะก้าวไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าให้ได้

          เซียนเฉ่าตัวผู้ที่ถูกอุ้มขึ้นเตียงอย่างทะนุถนอมส่งเสียงหงิงเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มหลินหยาเหมือนกำลังบอกว่า ข้าอยู่ตรงนี้ แววตากลมโตของมันเป็นประกายคมใสใต้แสงตะเกียง ราวกับเข้าใจทุกความวิตกที่นางเก็บไว้ในใจ หลินหยาลูบหัวมันต่อช้า ๆ ขณะมองตัวอักษรบนบันทึกเก่า ดวงตาเรียวหวานเต็มไปด้วยความตั้งใจปนกังวล ข้อความในบันทึกเล่าถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “หุบเขาที่ไอหมอกไม่เคยจาง แม้ยามแดดแรงก็ยังมืดมัว ผู้ใดเข้าสู่ที่แห่งนี้หากหัวใจไม่มั่นคงจะหลงทางไปตลอดกาล” นางเม้มปากแน่น ความกลัวแทรกซึมในใจ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเพราะเสียงหายใจอุ่น ๆ ของเจ้าหมาน้อยข้างกาย

          เซียนเฉ่าเอียงหัวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบผู้ดีที่ติดหรู “คุณหนูหลิน เหตุใดจึงปล่อยให้ความกังวลกัดกินจิตใจเช่นนี้เล่าขอรับ? พรุ่งนี้ยามเราข้ามสะพานเก่าไปสู่หุบเขา ข้าจะคอยเดินเคียงข้าง มิให้เงาหมอกใดพัดพาท่านหลงทาง”

          “เจ้าพูดอย่างกับเจ้าจะปกป้องข้าได้ทุกอย่างเลยนะ เซียนเฉ่า” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ

          สุนัขน้อยเชิดหน้าขึงอกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายมั่นใจ “หากเป็นข้า แม้ต้องเห่าขับหมอกหรือกัดเงาปีศาจ ข้าก็จะทำ เพื่อคุณหนูหลิน”

          นางหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น นางกอดมันแน่นก่อนพึมพำกับตัวเอง “ดีแล้ว…ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน” ใต้แสงจันทร์ที่สาดผ่านหน้าต่าง เสียงลมพัดต้นสนด้านนอกดังก้องประสานกับลมหายใจอุ่น ๆ ของสุนัขน้อยตัวผู้ที่เฝ้านางอย่างซื่อสัตย์ คืนนี้แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล หลินหยาก็หลับไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มมีความกล้าผุดขึ้นทีละน้อย

          หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ขณะเกาคางเจ้าเซียนเฉ่า เจ้าหมาน้อยเชิดหน้ารับสัมผัสนั้นด้วยท่าทีภาคภูมิราวกับสุนัขผู้สูงศักดิ์ นางถามเสียงแผ่ว “เจ้าไม่ลำบากหรือที่ต้องตามข้ามายังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้? ลำบากใจหรือไม่? หรือเจ้าจะอยากอยู่ที่ร้านกับท่านชายไป๋และเจ้าแมวชือฟ่านมากกว่ากันเล่า?” เซียนเฉ่าหันหน้ามาสบตานาง ดวงตากลมใสประกายแข็งขันตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “คุณหนูหลินอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้า…เป็นสุนัขสามหัวที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ! เพื่อเจ้านาย ข้าจะภักดีสุดหัวใจ ไม่ว่าหมอกหนาเพียงใด ข้าก็จะเห่าให้มันแตกสลาย!” ท่าทางเอาจริงเอาจังในร่างเล็ก ๆ นั้นน่ารักเสียจนหลินหยาหลุดหัวเราะพรืด ก้มหน้าลูบหัวมันพลางพูด “งั้นคืนนี้เราก็นอนกันเถอะนะ”

          แต่เมื่อเอื้อมมือไปดับตะเกียง นางกลับหยุดมือกลางอากาศ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้บางอย่าง นางหันไปหยิบสมุดบันทึกที่ถูกห่อด้วยผ้าสีหม่นออกจากห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อเล่มนั้นไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนตำราราชสำนัก หากแต่เป็นเพียงสมุดทำมือที่เย็บอย่างเรียบง่าย ปกผ้าสีทึบเก่าเก็บดูไม่ต่างจากสมุดโน้ตธรรมดาของคนเดินตลาด ทว่าหลินหยารู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีค่ามากเพียงใด

          เมื่อพลิกเปิดหน้ากระดาษ กลิ่นกระดาษเก่าที่คงถูกถนอมไว้ดีลอยมาแตะจมูก ตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยและเป็นระเบียบปรากฏต่อสายตา แต่ละบรรทัดแฝงไปด้วยความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นของเสี่ยวจ้าวจื่อ เด็กชายผู้ซ่อนพรสวรรค์ไว้หลังเงาวังหลวง ภายในตำรานี้บันทึกทั้งสูตรอาหาร เทคนิคปรุงรส และเคล็ดลับลับเฉพาะที่สืบทอดจากขันทีเฒ่าเติ้ง อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ทุกหน้ากระดาษเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ครัวที่แท้จริง

          หลินหยาลูบปลายนิ้วตามอักษรที่เขียนด้วยหมึกจางราวกับจะสัมผัสถึงมือของเสี่ยวจ้าวจื่อในวันวานที่บรรจงจด นางพลิกไปยังหนึ่งเมนูที่เขียนด้วยหมึกเข้มกว่าเพื่อน ‘ข้าวอบหอมหมื่นลี้’ ชื่อเมนูปรากฏเด่นกลางหน้ากระดาษ คำอธิบายบอกถึงการคัดเลือกข้าวพันธุ์พิเศษที่ต้องแช่น้ำสมุนไพรหอมก่อนหุง การควบคุมไฟที่ต้องสม่ำเสมอ และเคล็ดลับสำคัญคือต้องมี ‘ดอกไม้หอม’ แห้งวางในเตาไฟเพื่อให้ควันอบซึมเข้าสู่เมล็ดข้าว ความละเอียดละออในแต่ละขั้นทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอาจารย์ของเสี่ยวจ้าวจื่อคอยสอนอยู่ในเงา

          นางอ่านอย่างตั้งใจทุกถ้อยคำ ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงสว่างวาบอย่างมีความหวัง เมื่อปิดสมุดนั้นลง หลินหยาสูดหายใจลึก ลูบหัวเซียนเฉ่าอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหม เซียนเฉ่า... วันหนึ่งข้าจะทำเมนูนี้ให้ทุกคนได้กินด้วยมือของข้าเอง”

          เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นพยักหน้าเล็ก ๆ พร้อมหาวเบา ๆ แล้วซุกตัวเข้าหาอกนางเหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าหนทางจะยากเย็นเพียงใด ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ใต้แสงจันทร์คืนนั้น หลินหยาเก็บตำราลับไว้ใต้หมอน หลับไปพร้อมกับความอบอุ่นของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ และความฝันที่เริ่มหอมราวกับข้าวหมื่นลี้

          กลางดึกเงียบสงัด แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำจาง ๆ หลินหยาที่กำลังหลับอย่างสงบพลันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ข้างกาย นางลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าเซียนเฉ่าลุกขึ้นนั่งตัวแข็ง ขยับไปมาเหมือนหาที่นอนไม่สบาย ใบหูขยับเล็กน้อยพลางถอนหายใจหงิง ๆ น้อย ๆ บนเตียงที่สปริงขึ้นสนิม เสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มันพลิกตัว

          หลินหยามองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างกลั้นเสียง “เจ้ามันหมาติดหรูของแท้จริง ๆ นะเซียนเฉ่า” นางลุกขึ้นนั่ง เกลี่ยผมที่ปรกแก้มออกแล้วเอื้อมมือเกาคางมันเบา ๆ เจ้าเซียนเฉ่ามองนาง ดวงตากลมใสแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าพยายามแล้วนะขอรับ แต่เตียงนี่มันช่างต่ำต้อยเหลือเกินจะรับได้” หลินหยาหยิบมือแหวนดาราจรัสขึ้นมาส่องในแสงจันทร์ เพชรกะรัตน้ำงามบนแหวนเจิดจรัสราวดวงดาวในค่ำคืน คุณสมบัติพิเศษของมันคือการกักเก็บสิ่งของไว้ในมิติเล็ก ๆ ด้านในที่กว้างใหญ่ราวกับโลกอีกใบ นางเพียงบิดปลายนิ้วเล็กน้อย ม่านแสงบาง ๆ ปรากฏขึ้น ก่อนม้วนผ้าที่เคยพับเก็บไว้ก็ถูกดึงออกมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นนางจัดวางม้วนผ้านั้นคลี่บนเตียง เพิ่มความนุ่มให้เจ้าหมาน้อยสบายขึ้น

          “เจ้าหลับไม่สบายเพราะเตียงใช่ไหม? งั้นข้าจะทำให้เจ้าฝันดีเอง” หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะบิดแหวนอีกครั้ง ดึงขลุ่ยออกมาเครื่องดนตรีที่นางรักที่สุด เธอยกมันขึ้นแนบริมฝีปาก บรรเลงท่วงทำนองช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ ขลุ่ยส่งเสียงแผ่วหวานราวกับสายลมพัดผ่านทุ่งดอกไม้ แทรกซึมไปทั่วห้องแคบ

          เซียนเฉ่าหยุดขยับทันทีเมื่อเสียงดนตรีคลอหู มันเอนหัวลงบนม้วนผ้าที่นางปูไว้ ดวงตาค่อย ๆ ปรือ ปลายหางกระดิกเบา ๆ ตามจังหวะ เสียงขลุ่ยของหลินหยานั้นทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ปลอบประโลมเหมือนอ้อมกอดของฤดูใบไม้ผลิ ลมกลางคืนพัดกลิ่นดอกหญ้าเข้ามาผสมกับเสียงเพลงราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังฟังนาง

          “เซียนเฉ่า หลับเถอะเจ้าตัวน้อย…คืนนี้ข้าจะกล่อมเจ้าเอง” นางพึมพำขณะบรรเลงต่อ เสียงเพลงคล้ายดวงดาวร่วงหล่นลงในความฝัน เจ้าเซียนเฉ่าขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของมันแนบข้างนาง ในที่สุดก็หลับสนิทอย่างสุขสบายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายบนแหวนดาราจรัสที่ยังสวมอยู่บนนิ้วหลินหยา ราวกับดาวเฝ้ามองพวกเขาสองในค่ำคืนสงบ

          เสียงขลุ่ยของหลินหยาดังขึ้นกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ราวกับสายหมอกแรกของรุ่งอรุณที่แผ่วผ่านภูผา ท่วงทำนองนั้นมิใช่เพียงเพลงกล่อม หากแต่คือบันทึกการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด ทุกลมหายใจที่นางเป่าออกไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่สั่นสะเทือนวิญญาณ เสียงแรกพริ้วหวานราวน้ำค้างแรกยามเช้า ปลอบโยนทุกหัวใจที่เหนื่อยล้า เสียงต่อมาแหลมคมดุจคมดาบ ลึกซึ้งจนทะลวงม่านสติของผู้มีจิตคิดร้าย

          หลินหยาหลับตาลง ปล่อยให้หัวใจนำพานิ้วเรียวบนรูขลุ่ย เสียงนั้นมิได้เป็นเพียงเสียงดนตรี แต่คือมนตราอาคมที่สอดแทรกในทุกอณูอากาศ พลังจากจิตวิญญาณของนางก่อเกิดเป็นกระแสคลื่นที่แผ่กระจายออกไปทั่วห้องไม้เก่า ผนังที่ผุพังและเพดานที่มีรูรั่วกลับสะท้อนเสียงอย่างไพเราะลึกซึ้ง

          แม้แต่เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เริ่มหายใจสม่ำเสมอ ร่างเล็ก ๆ ขยับตัวซุกเข้าหาผ้าห่มนุ่มที่นางปูไว้ ลมหายใจของมันสอดคล้องกับจังหวะเพลง ดวงตาปรือหลับสนิทในอ้อมเสียงที่ห่อหุ้มด้วยความปลอดภัย

          ท่วงทำนองนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้อง เสียงขลุ่ยล่องลอยออกไปตามช่องหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดพาเสียงไปทั่วโรงเตี๊ยมซอมซ่อที่ผู้คนบางตากำลังซุกตัวหลับ บ้างสะดุ้งตื่นขึ้นเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงประหลาด แต่เมื่อฟังเพียงครู่ความสงบและความอบอุ่นก็ซึมเข้าจิตใจ พวกเขากลับเอนกายลงนอนด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไม่โวยวายสิ่งใดเลย พลังศักดิ์สิทธิ์จากดนตรีของหลินหยาชำระล้างบรรยากาศอึมครึมของโรงเตี๊ยมเก่า ให้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยความสงบสุขชั่วข้ามคืน ราวกับเทพารักษ์ได้เสกมนตราโอบล้อม ทุกสิ่งเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความสวยงามล้ำลึก

          บทเพลงค่อย ๆ จางลงทีละน้อยจนเหลือเพียงสายลมพัด เสียงสุดท้ายจบลงเหมือนดาวตกที่ลับหายไปในฟากฟ้า หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ มองเจ้าเซียนเฉ่าที่หลับสนิทราวกับลูกสัตว์ในรังอุ่น ใจของนางเองก็สงบลงเช่นกัน รอยยิ้มบางผุดบนริมฝีปาก นางเก็บขลุ่ยคืนสู่แหวนดาราจรัสอย่างแผ่วเบา ก่อนเอนตัวลงนอนข้างหมาน้อย ราตรีนี้ทั้งโรงเตี๊ยมถูกกล่อมด้วยท่วงทำนองของนาง และฟ้ายามรุ่งก็จะมาถึงพร้อมการเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางแห่งความจริง


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: ศึกษา ข้าวอบหอมหมื่นลี้ (4/4)

รางวัล: +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

และวันที่ 5 แนบสูตรอาหาร  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:36
โพสต์ 44885 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ เมื่อวานซืน 20:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Admin + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x9
x11
x1
x27
x9
x9
x18
x3
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x52
x50
x25
x150
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x92
x2
x18
x14
x5
x13
x29
x16
x19
x48
x45
x5
x5
x24
x2
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ เมื่อวาน 22:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-31 22:17

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 31 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


          ยามเหม่ากลับมาเยือนแสงอรุณแรกค่อย ๆ ทาบผ่านหน้าต่างไม้ที่มีรอยแตกจนเห็นเส้นแสงเล็ดลอดเข้ามา กลิ่นหญ้าชื้นยามเช้าลอยมากับลมอ่อน หลินหยาลืมตาตื่นพร้อมกับความรู้สึกเย็นที่โอบร่าง นางลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้รบกวนเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนผ้าห่มนุ่มที่นางปูให้เมื่อคืน หลังจากล้างหน้าล้างตาที่อ่างน้ำไม้เก่าที่มีกระจกฝ้า ๆ สะท้อนใบหน้าสดใสของตน หลินหยากลับมานั่งบนเตียงเก่าซอมซ่อของโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ พลางถอนหายใจยาว ที่นี่คือเตียงที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านพักคนเดินทางที่โลกภายนอกลืมเลือน

          นางหยิบบันทึกลับขึ้นมา เปิดอ่านอย่างตั้งใจ หัวใจเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ตัวอักษรเก่าซึ่งเลือนรางราวกับตั้งใจให้ผู้อ่านไขปริศนาเอาเอง มีเพียงคำบรรยายถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าเท่านั้น “สถานที่ที่หมอกไม่เคยจาง แม้แดดยามเที่ยงยังไม่อาจทำให้กระจ่าง เสียงกระเรียนจะนำทางผู้กล้า และเงาหมอกจะกลืนผู้ที่หวั่นไหว” หลินหยาเม้มริมฝีปาก พลิกหน้ากระดาษต่อ ไม่มีสิ่งใดชัดเจนพอจะบอกเส้นทางได้เลย นางคิดในใจ หากโชคดีสองสามวันอาจพบ แต่หากโชคร้าย...คงต้องหลงอยู่เป็นสัปดาห์ ความคิดนั้นทำให้นางพ่นลมหายใจยาว

          ก่อนจะเอื้อมไปเกาคางเจ้าเซียนเฉ่าที่เริ่มขยับตัวพลิกไปมา “ตื่นเถอะเจ้าหมาน้อย...วันนี้เราต้องออกเดินทางกันแล้ว”

          เมื่อเซียนเฉ่าลืมตาขึ้นหาวงับเล็ก ๆ หลินหยาก็ยิ้มบาง ๆ ให้มัน ขณะก้มลงกระซิบ “เจ้าว่าเราควรไปถามคนดูแลโรงเตี๊ยมก่อนดีไหม ว่าจะไปทางไหน? หรือจะออกเดินตามสัญชาตญาณ?” เซียนเฉ่าลุกขึ้นยืดตัวอย่างสง่างาม พลางกระดิกหางเหมือนกำลังคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพของมัน “คุณหนูหลิน ผู้ที่รู้จักดินแดนย่อมอยู่ใกล้กว่าที่คิด ข้าคิดว่าการถามคนเฝ้าโรงเตี๊ยมย่อมไม่เสียหาย อย่างน้อยก็ได้เบาะแสหนึ่งขอรับ”

          “จริงของเจ้า...ฉลาดเหมือนกันนะเนี้ยเจ้าหมาน้อย” หลินหยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ นางเก็บบันทึกใส่แหวนดาราจรัส หยิบขลุ่ยวางไว้ในม้วนผ้าแล้วสะพายกระเป๋าเรียบร้อย ก่อนย่อตัวลูบหัวสุนัขน้อย “ไปกันเถอะ เซียนเฉ่า...เช้านี้เรามีคำถามที่ต้องได้คำตอบ” เสียงฝีเท้าของนางและหมาน้อยดังแผ่วในทางเดินไม้เก่า ก่อนทั้งคู่จะมุ่งหน้าไปยังห้องโถงด้านล่างเพื่อพบคนดูแลโรงเตี๊ยม ผู้ซึ่งอาจรู้เส้นทางไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าที่ลี้ลับ

          เสียงฝีเท้าของหลินหยาและเจ้าเซียนเฉ่าดังเบา ๆ บนพื้นไม้เก่าเมื่อทั้งคู่เดินลงจากบันไดสู่โถงโรงเตี๊ยม กลิ่นชาเก่าผสมกับกลิ่นไม้ชื้นโชยอยู่ในอากาศ ยามเช้าผู้คนบางตา มีเพียงคุณป้าเจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังเช็ดโต๊ะด้วยท่าทีคล่องแคล่ว หลินหยาก้าวไปจ่ายค่าห้องเงียบ ๆ วางเหรียญลงบนเคาน์เตอร์โดยไม่พูดอะไรมาก ก่อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านป้า ข้าขอรบกวนถามหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ที่เมืองนี้...พอจะมีหุบเขาสูงที่มีกระเรียนอยู่หรือไม่?”

          คุณป้าหยุดมือที่กำลังเช็ดโต๊ะ หันมามองด้วยสายตาแฝงความแปลกใจ “หุบเขากระเรียนรึ? มีอยู่แม่นางน้อย แต่ที่นั่นน่ะ...ไกลนักนะ” แกหัวเราะแห้ง ๆ เล็กน้อย พลางเท้าเอวมองหลินหยาจากหัวจรดเท้า “ต้องเดินเท้าเท่านั้นล่ะ รถม้าไม่ไปหรอกทางมันชันและรกเกินไป อยู่ทางเหนือของเมืองนี่แหละ เต็มไปด้วยต้นไม้สูงลำธารลึก ลมพัดเย็นแต่ก็วังเวงไม่ใช่เล่น” หลินหยาฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับเงียบ ๆ คุณป้าเล่าต่อ น้ำเสียงเริ่มจริงจังขึ้น “หากจะไป ต้องเตรียมตัวดี ๆ ล่ะเจ้าหนู ไม่มีคนไปช่วยเหลือหากหลงทางหรอกนะ ที่นั่นขึ้นชื่อว่าหมอกหนาจนคนเดินพลาดก็หายไปเลย”

          เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งนิ่งอยู่ข้างขาเจ้าของมองขึ้นไปอย่างสงบ แต่แววตาวาววับราวกับกำลังจดจำทุกคำ คุณป้าหันมาทำตาโตเมื่อเห็นสุนัขตัวนี้เรียบร้อยราวสัตว์เลี้ยงในจวนขุนนาง หลินหยายกยิ้มบาง ๆ ตอบกลับสุภาพ “ขอบคุณท่านป้ามากสำหรับคำเตือนเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม”

          คุณป้าโบกมือ “เอาเถอะๆ ถ้าเจ้าใจกล้าก็ไป แต่จงฟังเสียงกระเรียนให้ดี บางคนว่ามันคือสัญญาณนำทาง ไม่ใช่แค่เสียงของนกธรรมดา”

          หลินหยาน้อมศีรษะเป็นการขอบคุณ ก่อนเดินออกจากโรงเตี๊ยมกับเจ้าเซียนเฉ่าที่ก้าวตามอย่างภูมิฐาน ลมยามเช้าเย็นจัดพัดผ่านกลิ่นดินชื้น นางมองไปทางทิศเหนือที่หมอกขาวเริ่มลอยคลอป่าไกลโพ้น พลันยกมือจับบันทึกลับในอกเสื้อแน่น หุบเขากระเรียนหลบฟ้า...รอข้าอยู่สินะ เสียงของนางกระซิบกับสุนัข “ไปกันเถอะ เซียนเฉ่า การเดินทางเริ่มขึ้นแล้ว” และทั้งคู่ก็เริ่มก้าวเดินออกจากเมืองหนานหยาง มุ่งสู่ทางเหนือที่ปกคลุมด้วยหมอกแห่งปริศนา

          ถนนสายหลักของเมืองหนานหยางในยามเช้าเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจอแจ กลิ่นหอมของขนมปังย่างและชาใบหอมลอยคลุ้งในอากาศ ร้านค้าริมทางเรียงรายสองฝั่ง ทั้งแผงผลไม้สด เนื้อสัตว์ที่แขวนเรียงราย เครื่องเทศที่จัดวางเป็นกองเล็ก ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุน และผ้าแพรสีสันสดใสโบกสะบัดตามแรงลม หลินหยาก้าวเดินช้า ๆ สายตากวาดมองของที่อาจจำเป็นต่อการเดินทางข้ามเขา มือของนางลูบบันทึกลับในอกเสื้ออย่างเผลอ ก่อนหัวเราะบาง ๆ ขณะคิดในใจ หรือเราจะลองทำเมนูใหม่ ข้าวอบหอมหมื่นลี้ ของเสี่ยวจ้าวจื่อกลางป่ากันดีนะ? ความคิดนี้ทำให้ดวงตานางเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที แม้จะเป็นการเดินทางเสี่ยงอันตราย แต่การได้ทดลองเมนูพิเศษจากตำราลับก็เป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้การตามหาความจริง

          หลินหยาหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินข้าง ๆ อย่างสง่างามราวกับเจ้าหมาน้อยผู้สูงศักดิ์ ดวงตาของมันฉายแววอยากรู้อยากเห็นตามแบบสุนัขติดหรู นางย่อตัวลงถามพลางยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไร เซียนเฉ่า? หากเราทำเมนูใหม่ที่เรียนมาจากหนังสือของเสี่ยวจ้าวจื่อระหว่างการเดินทางล่ะ เจ้าจะยอมกินไหม?” เจ้าเซียนเฉ่าเชิดคางเล็กน้อย ขนบนคอพองฟูราวกับกำลังยืดอกพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมของสุภาพบุรุษ “คุณหนูหลิน หากเป็นสูตรชั้นสูงจากตำราของพ่อครัวหลวงแล้วไซร้ ข้าย่อมไม่เพียงยอมกิน แต่จะถือว่าเป็นเกียรติแก่ชีวิตสุนัขเช่นข้าขอรับ การได้ลิ้มรสอาหารชาววังกลางป่าเขา...ก็เรียกว่าสวรรค์สำหรับผู้ติดหรูเช่นข้า”

          คำตอบของมันทำให้หลินหยาหัวเราะพรืด เธอส่ายหน้า “เจ้านี่นะ...” แต่แววตากลับเต็มไปด้วยประกายสนุกสนาน นางตัดสินใจแน่วแน่ ก็ได้! ถ้าเช่นนั้นข้าจะหาวัตถุดิบทั้งหมดมาให้ได้

          หลินหยาจึงเริ่มต้นเดินตลาด เลือกซื้อวัตถุดิบสำคัญทีละอย่าง ข้าวพันธุ์ดีที่พ่อค้าอ้างว่ามาจากทุ่งข้าวบนภูสูง น้ำมันหอมจากดอกไม้ป่า สมุนไพรแห้ง และที่สำคัญที่สุดดอกกุ้ยฮวาหอมแห้งที่หายากซึ่งต้องใช้เป็นเคล็ดลับในสูตรนี้ นางจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าเมนูนี้ต้องใช้ฝีมือและความพยายามสูง เมื่อได้ของครบ นางจัดเก็บทุกอย่างใส่มิติในแหวนดาราจรัสด้วยความระมัดระวัง รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้า “เอาล่ะ เซียนเฉ่า...คืนนี้เจ้าจะได้ลิ้มรสข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่ทำกลางป่าจริง ๆ”

          เซียนเฉ่ากระดิกหางเบา ๆ พลางพยักหน้าอย่างภูมิใจ “ข้ารอคอยแล้วขอรับคุณหนูหลิน” ตลาดเริ่มคลาคล่ำมากขึ้นเมื่อแดดโผล่พ้นขอบฟ้า หลินหยามองไปทางเหนือที่หมอกหนาเริ่มปกคลุมปลายขอบฟ้า ก่อนพึมพำกับตัวเองอย่างมั่นคง หลังจากตลาดแห่งนี้…เส้นทางสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าจะเริ่มจริง ๆ

          ท่ามกลางความคึกคักของตลาดเมืองหนานหยาง หลินหยาหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินเคียงข้างอย่างองอาจ พลางพูดด้วยน้ำเสียงขำ ๆ “ก่อนที่เราจะออกเดินทาง ข้าคิดว่าเราควรหาของเพิ่มหน่อยนะเซียนเฉ่า โดยเฉพาะอุปกรณ์ทำอาหารพวกหม้อหรือกระทะ ไม่งั้นเมนูข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่เจ้ารอคงไม่มีทางเกิดขึ้น” เจ้าเซียนเฉ่าเชิดหน้าขึ้นราวกับยอมรับในเหตุผล “การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งจำเป็นขอรับ คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มเล็กของมันฟังดูภูมิใจในความรอบคอบของนาง

          หลินหยายิ้มบาง ๆ แล้วพามันเลี้ยวเข้าซอยที่ขายอุปกรณ์เดินทาง ร้านหนึ่งเรียงรายไปด้วยหม้อขนาดพกพา กระทะเหล็ก เครื่องใช้สนาม และถุงน้ำหนัง นางเลือกหม้อเหล็กขนาดพอเหมาะกับการทำอาหารกลางป่า มันเงาวับแม้จะเรียบง่าย “อันนี้ล่ะเหมาะ” หลินหยาพึมพำ ก่อนจ่ายเงินโดยไม่ลังเล ระหว่างที่กำลังเดินต่อ สายตานางสะดุดเข้ากับร้านขายเครื่องนอนสำหรับคนเดินทาง มีเบาะหลายแบบแขวนอยู่ แต่สิ่งที่ดึงดูดคือเบาะชั้นดีที่บุด้วยขนสัตว์นุ่มพิเศษ ขนาดก็กำลังเหมาะกับร่างของเซียนเฉ่าอย่างพอดิบพอดี หลินหยาหยุดยืนมอง ยื่นมือไปลูบเนื้อผ้านุ่มนั้นเบา ๆ รู้สึกถึงความสบายที่มันมอบให้ แล้วหันไปถามพ่อค้า “เบาะนี้ราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะ?”

          พ่อค้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ของดีจากทางใต้ บุขนสัตว์ชั้นเลิศ ราคาแพงหน่อยนะคุณหนู แต่คุ้มค่าถ้าอยากให้สัตว์เลี้ยงของท่านหลับสบาย”

          ราคาแพงพอสมควร แต่หลินหยากลับไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย นางยิ้มบาง ๆ ก่อนล้วงเหรียญจ่ายเต็มจำนวนอย่างไม่ต่อรอง พ่อค้าประหลาดใจในความใจกว้างของหญิงสาว ขณะที่นางหันไปมองเซียนเฉ่าอย่างเอ็นดู “นี่ของเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เจ้าจะได้ไม่บ่นว่าหลับไม่สบายอีก” เจ้าเซียนเฉ่ามองเบาะแล้วดวงตาเป็นประกาย หางกระดิกเล็กน้อยแต่ยังคงเชิดหน้าไว้ตามแบบสุนัขผู้ดี “คุณหนูหลินช่างรู้ใจข้าเสมอ ข้ายอมรับว่าชีวิตของข้ามีความสุขเพราะเจ้านายผู้สปอยอย่างไร้เงื่อนไขขอรับ”

          หลินหยาหัวเราะเสียงใสตอนนี้เจ้าเซียนเฉ่าเริ่มติดคำสมัยชาติก่อนของหลินหยาแล้วทุกที ๆ “อ๋อ…ที่แท้ก็เพราะข้าเองที่ทำให้เจ้าติดหรูนี่นะ สงสัยสปอยจนลืมตัว” นางเอื้อมมือไปลูบหัวมันอีกครั้งอย่างรักใคร่ ขณะเก็บเบาะนุ่มและของใช้ทั้งหมดไว้ในมิติแหวนดาราจรัสเรียบร้อย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว หลินหยามองตลาดที่เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง แสงแดดยามเช้าทอประกายเหนือเมืองหนานหยาง นางยืนอยู่ท่ามกลางเสียงจอแจแต่หัวใจกลับสงบแน่วแน่ เอาล่ะ...ได้เวลาออกเดินทางจริง ๆ แล้ว

          นางยิ้มให้เซียนเฉ่า “ไปกันเถอะ เจ้าหมาน้อย วันนี้เราจะเริ่มต้นการผจญภัยที่แท้จริง” และทั้งคู่ก็ออกจากตลาด มุ่งหน้าไปยังทางเหนือที่รอพวกเขาด้วยปริศนาแห่งหุบเขากระเรียนหลบฟ้า

          ท้องฟ้าสีฟ้าใสเบื้องบนทอดยาวสุดสายตา ขณะที่หลินหยาก้าวเดินออกนอกเมืองหนานหยาง เสียงจอแจของตลาดค่อย ๆ เลือนหายไปแทนที่ด้วยเสียงใบไม้ไหวและเสียงนกร้องทักยามเช้า ถนนสายเล็กที่ทอดไปทางเหนือคดเคี้ยวผ่านทุ่งหญ้าเขียวชื้นด้วยน้ำค้างและลำธารใสที่ไหลริน นางเดินเงียบ ๆ ปล่อยให้สายลมเย็นลูบใบหน้า ข้างกายมีเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินอย่างสง่างาม หางกระดิกเล็กน้อยทุกครั้งที่สูดกลิ่นธรรมชาติ ดวงตาของมันเปล่งประกายราวกับได้อยู่ในที่ที่มันชอบ และหลินหยาก็รู้สึกแบบเดียวกัน เธอยิ้มเล็ก ๆ พลางพูดกับมันโดยไม่หัน “เจ้าก็ชอบธรรมชาติสินะ เซียนเฉ่า” เสียงของมันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบแต่พึงใจ “หากการเดินทางผ่านสถานที่งดงามเช่นนี้ ข้าย่อมไม่บ่นแม้สักคำเลยขอรับ”

          ทั้งคู่มุ่งหน้าขึ้นทางเนินสูง ด้านหน้าคือป่าทึบที่ต้องผ่านก่อนจะเข้าสู่เขตหุบเขาสูงจริง ๆ แม้จะรู้ดีว่าคงไม่ถึงวันนี้ แต่หลินหยาก็ไม่รีบร้อน ทุกย่างก้าวของนางมั่นคงและเต็มไปด้วยสมาธิ

          จนเมื่อแสงอาทิตย์ส่องตรงกลางฟ้า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเริ่มกดทับไหล่ หลินหยาจึงมองหาที่พักเล็ก ๆ ริมทาง เธอเลือกต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย มีลำธารเล็กใสไหลอยู่ใกล้ ๆ สำหรับตักน้ำและล้างมือ นางวางสัมภาระลง สูดหายใจลึก ๆ ก่อนหยิบหม้อเล็กที่ซื้อจากตลาดออกมาจากแหวนดาราจรัส เธอต้มน้ำสะอาดและใส่เนื้อไม่ติดมันลงไป กลิ่นหอมจาง ๆ ของเนื้อเคี่ยวเริ่มลอยขึ้นเมื่อไฟค่อย ๆ ลาม นางฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ และปล่อยให้มันสุกในน้ำซุปใส จากนั้นตักเนื้อออกมาวางบนจานไม้เล็ก ยื่นให้เจ้าเซียนเฉ่า “นี่ของเจ้าล่ะ ไม่ปรุงรสใด ๆ เพราะเจ้าหมาน้อยของข้าต้องกินให้ปลอดภัย”

          เซียนเฉ่าโน้มตัวลงดมแล้วเงยหน้าขึ้นพูดอย่างสุภาพ “คุณหนูหลินเอาใจใส่ข้ายิ่งนักขอรับ ข้าซาบซึ้ง” จากนั้นมันก็กินเนื้อที่ฉีกให้ช้า ๆ ราวกับลิ้มรสอาหารในจานเงิน

          หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางนั่งพิงต้นไม้ มองฟ้าที่ทอประกายแดดจัด “เย็นนี้เราจะทำข้าวอบหอมหมื่นลี้กลางป่ากัน…สำหรับข้าและเจ้าทั้งคู่” เธอเอื้อมมือเกาหัวมัน “อาหารของเจ้า ข้าจะทำแยกต่างหากให้เหมาะกับสุนัขติดหรูอย่างเจ้า” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางด้วยท่าทีพึงใจสุดขีด ขณะที่หลินหยาหยุดพัก ชมธรรมชาติรอบกายที่เริ่มมีเสียงกระเรียนป่าลอยมาแว่ว ๆ ไกล ๆ ราวกับเป็นสัญญาณจากหุบเขาลี้ลับที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่เบื้องหน้า

          แดดยามบ่ายเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อเงาของภูเขาทางเหนือทอดยาวเข้าปกคลุมเส้นทาง หลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเดินต่ออย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงธรรมชาติ กลิ่นดินชื้นและใบไม้สดโชยในอากาศ นางก้าวไปเรื่อย ๆ เห็นดอกไม้ป่าบานสะพรั่งตามข้างทางก็ย่อตัวลงเด็ดเก็บเล็กน้อย หรือพบเห็ดและสมุนไพรที่รู้จักก็เก็บเข้ามิติในแหวนอย่างสบายใจ เดินป่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ หลินหยาคิดในใจ ยิ้มจาง ๆ เหมือนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วนี่คือการเดินทางตามหาความจริงแท้ที่อาจพลิกชะตาของตนเอง เจ้าเซียนเฉ่าก็วิ่งเล่นไปมาอย่างเริงร่า มันชอบกระโดดข้ามก้อนหินเล็ก ๆ เห่าเบา ๆ ไล่กลิ่นสัตว์ป่าที่พัดมากับลมเป็นบางครั้ง ก่อนกลับมาเดินข้างเจ้านายอย่างสง่างาม เมื่อเดินจนแสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองส้มและไหล่เขาสูงล้อมรอบใกล้เข้ามา หลินหยาหยุดยืน มองหมอกบางที่เริ่มคลอเหนือป่า

          “ถึงแล้วสินะ…เขตของหุบเขา” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาหวานเต็มไปด้วยความระแวดระวังปนตื่นเต้น

          เมื่อท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีครามเข้ม หลินหยาหันไปบอกกับเจ้าหมาน้อย “เซียนเฉ่า หาแหล่งตั้งแคมป์ให้ดีหน่อยนะ ข้าอยากให้ใกล้แหล่งน้ำ จะได้สะดวกทำอาหาร” แม้ว่าหลินหยาจะพูดคำว่า แคมป์ ที่เป็นคำไม่ใช่จากยุคนี้แต่เหมือนเจ้าหมาน้อยจะเข้าใจเซียนเฉ่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนวิ่งนำไปตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว ผ่านพุ่มไม้และก้อนหินใหญ่ที่บดบังสายตา ใช้เวลาไม่นานมันก็กลับมาพร้อมท่าทีมั่นใจ “คุณหนูหลิน ข้าพบลำธารใสที่มีพื้นที่ราบพอให้กางแคมป์ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ข้อเสียเดียวคืออาจมีสัตว์ป่าหรือปีศาจปลามาดื่มน้ำ แต่หากพวกมันกล้ามา ข้าจะจัดการเอง”

          หลินหยาหัวเราะในลำคอ “ข้าก็หวังกับเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เพราะถ้าได้พวกนั้นมาต้มแกงหรืออบก็เป็นวัตถุดิบเพิ่มชั้นดีเลยนะ”

          “แน่นอนขอรับคุณหนูหลิน” เสียงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ทั้งคู่เดินไปตามทางที่เซียนเฉ่านำ พื้นที่ราบริมลำธารปรากฏต่อสายตา น้ำใสไหลเอื่อยสะท้อนแสงจันทร์ที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เบื้องหลังเป็นผนังหินและป่าทึบที่ปกป้องจากลมแรงพอดี หลินหยาวางสัมภาระ เปิดม้วนผ้าที่เตรียมมาและจัดที่นอน โดยเฉพาะเบาะนุ่มที่ซื้อมาจากตลาดให้เจ้าเซียนเฉ่าอย่างตั้งใจ

          เมื่อตั้งแคมป์เรียบร้อย นางสูดกลิ่นหอมของป่าและเสียงน้ำไหลพร้อมพูดกับสุนัขผู้ติดหรู “คืนนี้จะเป็นมื้อพิเศษสำหรับเรา ข้าวอบหอมหมื่นลี้…ทั้งสำหรับมนุษย์ และสำหรับเจ้าด้วย” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อยแต่ยังคงท่าทางสง่างาม “ข้าจะเฝ้าดูแลรอบ ๆ แคมป์ให้ปลอดภัย คุณหนูหลินคงได้ทำอาหารอย่างสบายใจ” หลินหยายิ้มบาง มองหมอกที่เริ่มหนาขึ้นรอบลำธาร ใต้ฟ้าที่สลัวลงอย่างช้า ๆ คืนนี้...คือค่ำคืนแรกของการผจญภัยสู่ความจริงแท้ และมื้อค่ำนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่จะประกาศการเดินทางของพวกเขา

          เสียงกระเพื่อมของน้ำในลำธารพลันดังผิดปกติ ขณะที่หลินหยากำลังล้างกุ้งอย่างตั้งใจ สายหมอกหนาที่คลอรอบ ๆ กลับสั่นไหวราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น ก่อนที่ร่างของปีศาจปลาสี่ตัวจะก้าวออกมาจากเงาหมอก ผิวของมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่แวววาวเย็นชื้นเป็นเกล็ด ครีบเล็กปรากฏที่แขนและขา ใบหน้าผิดรูปมีดวงตาแดงฉานแฝงความกระหาย กลิ่นคาวคละคลุ้งราวกับซากสัตว์เน่า มันส่งเสียงขู่ต่ำ ๆ ก่อนแยกเขี้ยวแหลมยาว เสียงหัวเราะแหบต่ำเหมือนกำลังยินดีที่เจอเหยื่อหญิงสาวตามที่มันชอบเล่นกับความกลัวของผู้คน มันก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆ ดวงตาโฟกัสที่หลินหยาซึ่งนั่งอยู่ริมน้ำอย่างอันตราย

          หลินหยาเพียงหันไปมองพวกมันอย่างไม่สะทกสะท้าน ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับเจอแค่สิ่งกวนใจธรรมดา นางยกมือเสยผมขึ้นแล้วพูดเรียบ ๆ โดยไม่ลุก “เซียนเฉ่า เจ้าจัดการพวกมันทีนะ ข้าจะล้างกุ้งแกะเปลือกก่อน เพราะนี่ใช้เวลานานกว่ามาก” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในสุนัขของตน เจ้าเซียนเฉ่าหันมามองเจ้านายด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความภักดี “รับคำสั่งแล้วขอรับคุณหนู” เสียงของมันทุ้มต่ำ ดวงตาเปล่งประกาย

          ทันใดนั้นร่างของมันแปรเปลี่ยนกลับคืนสู่ร่างแท้จริง ร่างสุนัขสามหัวผู้สง่างามและน่าเกรงขาม หนังขนสีดำมันขลับ ปากทั้งสามเผยเขี้ยวแหลมแยกขู่พร้อมเสียงคำรามต่ำที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ปีศาจปลาทั้งสี่ชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เซียนเฉ่าจะพุ่งตัวไปข้างหน้าดั่งสายฟ้าผ่า เสียงคำรามของมันกึกก้องป่าจนหลินหยาต้องยกมือมาปิดหูเพราะนางกลัวเสียงคำรามนั้น เล็บของมันฉีกพื้นดินเป็นร่อง ทุกหัวของมันโจมตีประสานกันอย่างไร้ช่องว่าง หัวหนึ่งกัดเข้าที่แขนครีบของปีศาจปลาอีกตัว อีกหัวงับคออีกตัวจนเลือดสาด ส่วนหัวสุดท้ายเห่าเสียงก้องราวกับคลื่นพลังผลักปีศาจปลาที่เหลือกระเด็น พวกปีศาจกรีดร้อง ดิ้นรน แต่ด้วยความดุร้ายและพละกำลังเหนือธรรมชาติของเซียนเฉ่า พวกมันถูกกดขยี้อย่างไร้ทางหนี ความหิวโหยและนิสัยโสมมที่เคยทำให้พวกมันครองความน่ากลัวในลำน้ำนี้กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง

          ในขณะที่การต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นไม่ไกล หลินหยายังคงนั่งสงบเพื่อทำอาหารแต่เอาความจริงเธอกลัวเสียงเห่าและเสียงคำรามของสุนักนะ ฮือ ต่อไปคงต้องบอกเซียนเฉ่าว่าพยายามอย่าใช้มันแล้วกัน ก่อนที่จะแช่มือในน้ำเย็น ล้างกุ้งและแกะเปลือกด้วยความชำนาญ ท่ามกลางเสียงน้ำกระเซ็นและเสียงกรีดร้องของปีศาจ นางเพียงยิ้มบาง ๆ พึมพำกับตัวเอง “รีบหน่อยนะเซียนเฉ่า... ข้าอยากทำอาหารแล้ว”

          เสียงคำรามสุดท้ายดังขึ้น ก่อนทุกสิ่งจะเงียบลง เหลือเพียงเสียงน้ำไหลริน และร่างไร้วิญญาณของปีศาจปลาทั้งสี่ที่นอนกองอยู่ เซียนเฉ่าเดินกลับมาอย่างภาคภูมิ เลือดของศัตรูเปื้อนเขี้ยวเล็กน้อย แต่สายตายังคงเฉียบคม “เสร็จเรียบร้อย คุณหนูหลิน” หลินหยาหันมามอง ยกยิ้มหวาน “ดีมาก เจ้าหมาน้อยของข้า” จากนั้นนางก็วางกุ้งแกะเปลือกลงในชามไม้ หยิบสมุนไพรจากแหวนออกมา พร้อมเริ่มเตรียมมื้อพิเศษท่ามกลางกลิ่นเลือดและควันไฟที่เริ่มลอยขึ้นสู่ฟ้าค่ำ

          หลังจากที่ศัตรูถูกจัดการ หลินหยาลุกขึ้นจากลำธารเช็ดมือเรียบร้อย นางเดินเข้าไปใกล้ซากปีศาจปลาทั้งสี่ที่นอนกองไร้ลมหายใจ ดวงตาหวานหรี่ลงเล็กน้อย ขณะใช้ปลายมีดแหลมเล็กที่ซ่อนไว้เก็บเกี่ยวชิ้นส่วนวัตถุดิบที่มีค่าเกล็ดที่แข็งราวเหล็กบาง, ถุงน้ำดีที่ใช้ทำยา และเนื้อส่วนที่กินได้ซึ่งมีกลิ่นหอมเค็มของทะเล นางเก็บทุกสิ่งลงภาชนะในแหวนดาราจรัสอย่างระมัดระวัง

          จากนั้นหลินหยาหันไปบอกเสียงเรียบ “เซียนเฉ่า จัดการฝังพวกมันเถอะ ข้าไม่ชอบทิ้งร่างไว้ให้สัตว์อื่นมากินเล่น” สุนัขสามหัวพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายแล้วลากซากปีศาจไปทีละตัว ใช้กรงเล็บขุดหลุมลึกอย่างรวดเร็ว ก่อนฝังอย่างเรียบร้อยราวกับผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์

          ในระหว่างนั้น หลินหยาก็เริ่มเตรียมอาหารค่ำพิเศษ ข้าวอบหอมหมื่นลี้เมนูที่ตั้งใจทำให้สมบูรณ์แบบแม้อยู่กลางป่า

          ขั้นตอนที่หนึ่งต้องเตรียมข้าว หลินหยาตักข้าวพันธุ์ดีที่ซื้อจากตลาดใส่ชามไม้ ใส่น้ำใสซาวข้าวจนสะอาดใส นางใช้มือขาวนวลคลึงเมล็ดข้าวช้า ๆ จนเสียงซู่ซ่าของน้ำกระทบกันดังไพเราะ จากนั้นแช่ข้าวไว้ 30 นาทีระหว่างที่เตรียมของอื่น ๆ นางนำใบบัวที่เก็บมาได้จากตลาดไปแช่น้ำให้นิ่มจนหอมกลิ่นเขียวสด แล้วพักไว้ในใบตองที่สะอาด

          ขั้นตอนที่สองเตรียมน้ำอบหอม นางจุดไฟอ่อน ๆ ใต้กระทะดิน ตั้งน้ำมันงากลิ่นหอมลงไปแล้วเจียวกุ้งแห้งจนส่งกลิ่นกระจายฟุ้งไปทั่วป่า ก่อนจะใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อยลงไปตามสูตร ลั่นดังฉู่ฉ่า จากนั้นจึงตามด้วยไก่ดำหั่นชิ้นพอดีคำ เห็ดหอมแช่น้ำจนพอง และเครื่องเทศที่เตรียมไว้ กลิ่นหอมของเหล้าเหลืองและเจี้ยวโหยวผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่ที่นางต้มเองจนกลมกล่อม เคี่ยวทุกอย่างด้วยไฟอ่อนอย่างใจเย็น 15-20 นาที จนซุปกลายเป็นสีทองเข้ม เมื่อปิดไฟ หลินหยาก็โรยดอกกุ้ยฮวาแห้งลงไปทันที กลิ่นหอมหวานคล้ายชาหอมลอยคลุ้งไปทั้งลำธาร ก่อนนางจะกรองน้ำให้ใสเนียน

          กับขั้นตอนที่สามเตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ ในหม้อไอน้ำอีกใบ กุ้งแกะเปลือกถูกนึ่งจนเนื้อเด้ง หอมหวานตามธรรมชาติ หมูเค็มถูกหั่นเป็นลูกเต๋าสวยงามพร้อมวางไว้ เห็ดหอมที่แช่น้ำก็หั่นเรียง ส่วนเนื้อไก่ดำรวนกับเครื่องเทศเล็กน้อยจนสุก ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น

          และขั้นตอนสุดท้าย เมื่อครบเวลาแช่ข้าวนางนำข้าวห่อด้วยใบบัวหอมลงหม้อดินที่เตรียมไว้ เติมน้ำอบหอมหมื่นลี้ลงไปในอัตราส่วนพอดี นางโรยกุ้งเด้ง หมูเค็มหั่นเต๋า เห็ดหอม และเนื้อไก่ดำรวนสุกเรียงสวยงาม ก่อนปิดฝาอบด้วยไฟอ่อน 25-30 นาที เสียงข้าวเดือดปุด ๆ คล้ายเพลงกล่อมยามค่ำ เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมหวานลึกซึ้งของดอกกุ้ยฮวาและสมุนไพรลอยฟุ้งปกคลุมทั้งแคมป์ หลินหยาเปิดฝาหม้อ โรยดอกกุ้ยฮวาเล็กน้อยปิดฝาทิ้งไว้ 2-3 นาทีเพื่อให้กลิ่นซึมเข้าสู่ทุกเมล็ดข้าว

          ในที่สุด มื้อค่ำอันสมบูรณ์ก็พร้อม หลินหยาตักข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่ร้อนกรุ่นส่งกลิ่นเย้ายวนใส่ถ้วยสำหรับตัวเอง ส่วนของเซียนเฉ่า นางแยกหม้อเล็กอีกใบไม่ปรุงรสแรง ใส่เนื้อสัตว์ที่เหมาะกับสุนัขติดหรูอย่างมัน “เซียนเฉ่า มานั่งกินเถอะ เจ้าได้วัตถุดิบจากพวกปีศาจปลาแล้ว ข้าก็ทำมื้อพิเศษให้เจ้า” สุนัขสามหัวกลับคืนร่างปกติอย่างสง่างาม นั่งลงอย่างสุภาพ มองหม้อดินร้อนกรุ่น ดวงตาเปล่งประกายพึงใจ หลินหยายิ้มอ่อน ขณะตักคำแรกเข้าปาก รสหอมหวานเข้มลึกกระจายทั่วลิ้น นี่แหละ...คือรสชาติแห่งการเดินทางค่ำคืนแรก

          หม้อดินที่เพิ่งเปิดฝายังคงส่งไอร้อนกรุ่น กลิ่นหอมลึกของกุ้ยฮวาผสมกับความมันอ่อนของน้ำอบหอมหมื่นลี้ลอยฟุ้งไปทั่วแคมป์ หลินหยาตักส่วนพิเศษที่ปรุงอ่อนสำหรับเซียนเฉ่า แถมใส่เนื้อไก่ดำและกุ้งเพิ่มเป็นพิเศษลงในชามไม้ใบเล็กแล้วเลื่อนให้มันอย่างตั้งใจ เจ้าหมาน้อย(?)เซียนเฉ่านั่งตัวตรงราวกับสุภาพบุรุษแห่งคฤหาสน์หรู ก่อนจะโน้มตัวลงชิมคำแรกด้วยท่วงท่าที่เรียบร้อย ทว่าเพียงแค่ได้ลิ้มรส เนื้อทุกชิ้นถูกมันจัดการด้วยความพอใจ แววตาสามหัวที่สลับกันมองชามส่องประกายเหมือนกำลังลิ้มรสอาหารชั้นสูงในราชสำนัก เสียงเคี้ยวเบา ๆ แต่ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ามันกำลัง “แซ่บ” อยู่ในใจ

          หลินหยาลองตักของตัวเองเข้าปากบ้าง ดวงตานางเบิกเล็กน้อยเพราะรสชาติที่กลมกล่อมและหอมหวานกำลังดี เมล็ดข้าวซึมซับน้ำอบหอมหมื่นลี้จนถึงแก่น เนื้อกุ้งเด้งหวานกับไก่ดำที่เข้มข้นตัดกันอย่างลงตัวจนไม่อยากจะหยุดกิน นางเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างทึ่งกับฝีมือตัวเอง ก่อนจะยิ้มหวานอย่างพึงใจ นี่แหละ...ความสุขของคนที่ชอบข้าวที่มีรสชาติ หลังกลืนคำแรกลงคอ หลินหยาพ่นลมหายใจออกเบา ๆ คล้ายปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวัน แล้วหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังกินต่อด้วยท่วงท่าสุภาพชนแต่ชัดเจนว่าเพลิดเพลินสุด ๆ “หืม…เจ้าหมาน้อย กินเรียบร้อยเหมือนขุนนาง แต่ข้าดูออกนะ ว่าเจ้ากินแซ่บไม่น้อยเลยนี่”

          เซียนเฉ่าชะงักเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาทั้งสามคู่เปล่งประกายอย่างภาคภูมิ “คุณหนูหลิน…อาหารที่ท่านทำถึงจะให้ข้ากินในป่าหรือบนหมอกหนาก็ไม่ต่างจากมื้อในราชวัง ข้าจะไม่ยั้งแม้คำเดียวขอรับ” คำพูดสุภาพแต่เต็มไปด้วยความจริงใจทำให้หลินหยาหัวเราะคิก เธอส่ายหน้าอย่างเอ็นดู “เจ้ามันหมาติดหรูจริง ๆ อันนี้หิวหรือโหยนะเนี้ย” จากนั้นทั้งเจ้านายและสุนัขก็กินมื้อค่ำกลางป่าด้วยหัวใจที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความสุขสงบที่ล้อมรอบด้วยหมอกแห่งหุบเขาลี้ลับ

          เสียงน้ำในลำธารยามค่ำคลอด้วยเสียงจิ้งหรีดดังแผ่วในพงหญ้า หลินหยาหลังจากล้างจานชามจนสะอาดเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยืนมองผืนน้ำใสสะท้อนแสงจันทร์ เงาม่านหมอกบาง ๆ ลอยคลอเหนือผิวน้ำทำให้บรรยากาศดูทั้งสงบและชวนระแวงเล็กน้อย นางกอดอกถอนหายใจ “จะมีปีศาจปลาโผล่มาอีกไหมนะ…คงไม่แล้วล่ะ” ดวงตาหวานเหลือบไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้างกองไฟในท่าทางผู้พิทักษ์ หูตั้ง สายตาจับจ้องไปรอบ ๆ ตลอดเวลา หลินหยาจึงเอ่ยเสียงนุ่มแต่จริงจัง “เซียนเฉ่า ข้าจะลงไปอาบน้ำ ฝากเฝ้าให้ด้วยล่ะนะ”

          สุนัขสามหัวหันมาสบตานาง ดวงตาเปล่งประกายแน่วแน่ “คุณหนูหลินวางใจได้ ข้าจะไม่ให้เงาใดเข้าใกล้ท่านแม้แต่น้อย” เสียงของมันดุดันพร้อมคำรามต่ำที่เหมือนเตือนสรรพสิ่งในป่าให้อยู่ห่าง

          หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ วางเรียงอย่างเป็นระเบียบข้างกองไฟ ท่ามกลางลมกลางคืนที่พัดต้องผิวเย็นนิด ๆ ร่างนวลอ่อนโยนของนางสะท้อนในแสงจันทร์ที่ทาบลงมาจากเบื้องบน เธอค่อย ๆ ก้าวลงสู่ลำธาร เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ทุกครั้งที่ปลายนิ้วเท้าแตะผิวน้ำ น้ำเย็นใสราวกับแก้ว ทำให้นางสูดลมหายใจลึก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวันค่อย ๆ คลายออกไปทีละน้อย หลินหยาตักน้ำลูบไหล่ ลูบผม ล้างตัวเงียบ ๆ อย่างสบายใจ อย่างน้อยคืนนี้ก็ยังอาบน้ำได้…หากเข้าลึกไปในหุบเขา คงลำบากกว่านี้แน่ นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางหลับตาให้สายน้ำพัดพาความกังวลออกไป

          บนฝั่งเจ้าเซียนเฉ่าในร่างสามหัวนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกส่วนขึงตึงพร้อมป้องกันภัย ดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องไปทุกทิศอย่างเฉียบคม เสียงคำรามต่ำลอดจากคอเป็นระยะเพื่อข่มสิ่งมีชีวิตที่อาจซ่อนตัวอยู่ในความมืด ท่ามกลางแสงจันทร์ หญิงสาวที่ล้างกายอยู่ในลำธาร และสุนัขผู้พิทักษ์ที่คุมเชิงอยู่บนฝั่ง ก่อเกิดภาพของค่ำคืนที่ทั้งงดงามและเงียบสงบ ทว่าภายในยังแฝงความตึงเครียดบางเบา ราวกับหุบเขาที่รออยู่เบื้องหน้า…กำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่เช่นกัน

          น้ำเย็นไหลลูบไล้ร่างกายจนหลินหยารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก นางเงยหน้ามองแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผืนน้ำ ก่อนเหลือบไปทางฝั่งที่เจ้าเซียนเฉ่ากำลังนั่งเฝ้าด้วยท่าทีดุดันในร่างสุนัขสามหัว ร่างนั้นสง่างามแต่แฝงความน่ากลัวเกินจำเป็นสำหรับค่ำคืนนี้ หลินหยาหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอก “พอแล้วล่ะเซียนเฉ่า…กลับร่างหมาน้อยแสนน่ารักของข้าได้แล้ว ร่างนั้นมันน่ากลัวไปหน่อยน่ะ” ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง เสียงคำรามต่ำก็เงียบหาย ร่างของมันหดกลับเป็นหมาน้อยขนดำมันเงา ดวงตากลมโตเปล่งประกายอ้อน ๆ เดินเข้ามาใกล้ฝั่งพลางส่ายหางเบา ๆ อย่างเชื่อฟัง หลินหยามองภาพนั้นแล้วอมยิ้ม “แบบนี้สิ…ข้าชอบเจ้าตอนเป็นหมาน้อยมากกว่า”

          นางขึ้นจากลำธาร หยิบผ้ามาซับตัวพลางนั่งพักข้างมัน แล้วหันไปพูดขึ้นอย่างขำ ๆ “ไว้คราวหน้า ถ้าเราได้พักที่โรงเตี๊ยมเมื่อไร ข้าจะจับเจ้าอาบน้ำให้สะอาดเงาวับเลยนะ” เซียนเฉ่าหันมามอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่จริงจังราวกับเรื่องใหญ่ “ได้ขอรับ แต่ข้าจะอาบก็ต่อเมื่อเป็นน้ำลอยดอกไม้กลิ่นหอมเท่านั้นนะ”

          หลินหยาถึงกับยกมือกุมหน้าผาก หัวเราะพรืด “เจ้านี่นะ…จะหาน้ำสะอาดก็ว่ายากแล้ว นี่ยังจะเอากลิ่นหอมลอยดอกไม้อีกเหรอ?” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย พลางตอบเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ก็ข้าไม่ใช่หมาธรรมดานี่ขอรับ ใช้น้ำปกติได้…แต่อาบแบบหอม ๆ มันดีกว่า”

          หลินหยาถอนหายใจเสียงดังปนขำ “อืม ไอ้หมาติดหรูเอ๊ย ติดนิสัยแบบนี้มาจากท่านเถียนเฟิงหรือไงฮะ” นางพูดพลางยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่ กลิ่นดอกไม้จากป่าผสมกับกลิ่นควันไฟยามค่ำทำให้ค่ำคืนนี้ทั้งผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความอบอุ่น พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันข้างลำธารเงียบ ๆ รอเวลาที่เช้าวันใหม่จะนำพาไปสู่หุบเขาลี้ลับที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า

          หลังจากล้างกายจนสะอาด หลินหยาก้าวขึ้นจากน้ำ แสงจันทร์ทาบผิวขาวของนางจนดูราวกับเงานางฟ้า นางใช้ผ้าซับน้ำออกจากเส้นผมและร่างกายอย่างใจเย็น ก่อนสวมชุดใหม่ที่เก็บไว้ในแหวนดาราจรัส ส่วนชุดเก่าก็พับเรียบร้อยเก็บไว้ตามนิสัยที่ไม่ชอบทิ้งของมันซักได้ พลางก้าวเท้าเบา ๆ กลับไปยังแคมป์ที่ไฟยังคงคุโชนอุ่น หลินหยาล้มตัวลงบนที่นอนเรียบง่ายของตัวเองที่ปูไว้ตั้งแต่แรก กลิ่นหอมจาง ๆ ของใบบัวและไม้สดลอยแตะจมูกให้รู้สึกผ่อนคลาย ข้างตัวมีเจ้าเซียนเฉ่าที่ม้วนตัวลงบนเบาะนุ่มที่นางซื้อให้โดยเฉพาะ มันหาวเบา ๆ พลางเอนตัวนอนอย่างผู้ดีที่ได้รับการปรนนิบัติสมใจ

          หลินหยานอนหงายเงียบ ๆ มองฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เงาสีหมอกบางพาดคลุมท้องฟ้า ยิ่งทำให้ดาวดูเหมือนอยู่ใกล้เสียจนเอื้อมถึง นางยกมือเรียวขึ้นสูงราวกับจะคว้าดาวดวงหนึ่งมาครอบครอง ดวงตาหวานสั่นไหวเล็กน้อย ทำไมกันนะ…ถึงได้คิดถึงใบหน้าของเขาอีกแล้ว… ภาพของจางกงกงผุดขึ้นในห้วงความคิด ใบหน้านั้น ทั้งนุ่มนวลและเย็นชา ทั้งอบอุ่นและโหดร้ายในคราเดียวกัน ความรู้สึกที่สับสนในอกกลับพุ่งซ่านราวกับไฟที่ค่อย ๆ ลามขึ้นในอก หลินหยาหลับตาลง พลิกตัวเล็กน้อย พ่นลมหายใจแรงจนได้ยินชัด

          “เฮ้อ…พุ่งซ่านอีกแล้วสิเรา…”

          เจ้าเซียนเฉ่าข้างตัวกระดิกหูเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงขยับตัวเข้ามาใกล้นางราวกับปลอบใจเงียบ ๆ หลินหยายกมือวางบนหัวมัน ลูบเบา ๆ ก่อนหลับตาอีกครั้ง ใต้ฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว คืนนี้หัวใจของนางเต็มไปด้วยทั้งความอบอุ่นจากสุนัขน้อยผู้ภักดี และความสับสนที่ชื่อว่าจางกงกง ที่แม้พยายามผลักออกไปเท่าไร…ก็ยิ่งฝังแน่นอยู่ในใจ

          เสียงลมกลางคืนพัดใบไม้กระทบกันแผ่วเบา ความเงียบของป่าลึกช่างกดทับจนแม้เปลวไฟกองเล็กก็เหมือนจะเต้นช้าลง หลินหยาที่นอนนิ่งมานานกลับพลิกตัวไปมาไม่หลับเสียที ในอกมีบางสิ่งรบกวนจนใจว้าวุ่น นางลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ผ้าห่มเลื่อนลงจากบ่า ขณะเอื้อมมือไปหยิบขลุ่ยที่เก็บไว้ในแหวนดาราจรัสขึ้นมาลูบปลายมันเงียบ ๆ ความเย็นของเนื้อไม้ทำให้ใจที่ว้าวุ่นยิ่งชัดเจนขึ้น นางนั่งนิ่งเพียงลูบขลุ่ยไปมา ไม่เป่าแม้สักเสียง ดวงตาหวานเหม่อมองไปไกลในความมืดที่เต็มไปด้วยหมอก กลิ่นหอมจาง ๆ ของกุ้ยฮวาที่ยังหลงเหลือจากมื้อค่ำคล้ายจะย้ำเตือนความรู้สึกในใจจนแน่น

          เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังจากข้างตัว เจ้าเซียนเฉ่าตื่นขึ้น มันเดินมานั่งใกล้นาง ดวงตากลมโตมองขึ้นมาอย่างห่วงใย น้ำเสียงนุ่มทุ้มของมันเอ่ย “คุณหนูหลิน…ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ? คิดถึงบุรุษท่านนั้นหรือ?” หลินหยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ เหมือนยอมรับความจริง “ใช่…” เสียงนางเบาจนแทบกลืนไปกับลม นางก้มหน้าลูบขลุ่ยในมือ “วันที่ข้าออกจากฉางอัน…เขาไม่มาหาข้าเลย และข้าเองก็ไม่รู้จะติดต่อเขายังไง”

          ดวงตานางสั่นไหว นางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว “ถ้ากลับไป…เขาคงโกรธข้ามากแน่ ๆ ที่หายไปโดยไม่บอกอะไร” นางหัวเราะแผ่ว รอยยิ้มที่แฝงความเจ็บปวดปรากฏบนริมฝีปาก “หรือทั้งหมดนี่…มันเป็นแค่ข้าที่คิดเข้าข้างตัวเองกันแน่? จางกงกงน่ะหรอ…จะใส่ใจข้าถึงเพียงนั้น” ปลายนิ้วที่ลูบขลุ่ยหยุดลง หลินหยาก้มหน้า ยิ้มขมนิดหน่อยกับความจริงที่เพิ่งยอมรับออกมา “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำ…ว่าข้าแคร์เขามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

          เซียนเฉ่ามองเจ้านายของมันนิ่ง ๆ ก่อนเลื่อนหัวเข้ามาซุกที่ตักนางเบา ๆ ดวงตาสุนัขน้อยฉายแววเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หลินหยาวางมือบนหัวมัน ขณะที่สายลมพัดใบไม้ดังกราวราวกับจะปลอบใจ ความรู้สึกที่นางไม่กล้ายอมรับต่อหน้าผู้ใดกลับเผยออกมาในยามค่ำคืนที่มีเพียงสุนัขผู้ภักดีเป็นพยาน หลินหยาพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ยาวและหนักราวกับต้องการระบายสิ่งที่เก็บแน่นอยู่ในอก

          เสียงของเซียนเฉ่าดังขึ้นเบา ๆ ข้างกาย “คุณหนูหลิน…เช่นนั้นลองเล่นดนตรีไหมขอรับ? บางทีเสียงเพลงอาจช่วยปลดปล่อยสิ่งที่ท่านเก็บงำไว้ได้”

          หลินหยาเหลือบตามองมัน แววตาเศร้าแฝงรอยยิ้มจาง “ได้สิหากเจ้าขอ…แต่ความจริงข้าก็คิดจะทำอยู่แล้ว” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนหันสายตามองขลุ่ยในมือราวกับกำลังเห็นเงาของพี่ฉู่ในความทรงจำ “พี่ฉู่เคยบอกข้าไว้ตอนที่เจอกันตรงยอดเขาหัวซาน…หากมีความรู้สึก อย่าเก็บไว้ในใจ จงปลดปล่อยมันออกมา”

          นางสูดหายใจลึก ค่อย ๆ ยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก ลมเย็นพัดใบไม้ร่วงกราวราวกับกำลังเงียบเพื่อฟัง เสียงขลุ่ยแผ่วแรกดังก้องออกมา ราวกับสายน้ำไหลรินในราตรีเงียบ ดนตรีนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ยเป็นคำความสับสน ความคิดถึง ความเจ็บปวด และความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในความทรงจำของคนผู้หนึ่ง ท่วงทำนองค่อย ๆ ไหลไปกลางป่าเขา ลอดผ่านหมอกและไอเย็น ลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวราวกับอยากให้ใครบางคนที่อยู่ไกลแสนไกลได้รับรู้ เสียงนั้นมิได้เศร้าเสียทีเดียว หากแต่กลมกล่อมด้วยประกายแห่งความหวังที่ซ่อนอยู่ในทุกโน้ต ทุกเสียงคือคำบอกเล่าของจิตวิญญาณที่ยังยึดมั่น แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด

          เซียนเฉ่านอนฟังเงียบ ๆ ข้างนาง ดวงตาอุ่นราวกับเข้าใจทุกอารมณ์ที่นางส่งออกมา เสียงขลุ่ยจึงไม่ได้เพียงกล่อมป่า แต่ยังกล่อมจิตวิญญาณของหลินหยาที่สับสน ให้คงมีความหวัง…ให้คงเชื่อว่าไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ใจของนางยังจะเดินต่อไปได้เสมอ และในยามนั้น กลางป่าลึกที่ไร้ผู้คน ดนตรีของหลินหยาก็กลายเป็นแสงเล็ก ๆ ที่ส่องประกายอยู่ในความมืด…ส่องทั้งให้ตัวนางเอง และเงาที่อาจจะกำลังฟังอยู่ในที่ไกลแสนไกล







วัตถุดิบของข้าวอบหอมหมื่นลี้
ส่วนของ ข้าวอบ
     ข้าวเปลือก, ซี่โคร่งไก่, น้ำเปล่า, ใบบัว
ส่วนของน้ำอบหอมหมื่นลี้
     ดอกกุ้ยฮวา, เห็ดหอม, กุ้ง, เนื้อไก่ดำ, งา, เจี้ยวโหยว, เหล้าเหลือง, น้ำตาล, เกลือ, อบเชย, พริกไทย
(เพิ่มเติม ปกติจะใส่หมูน้ำค้างหรือหมูเค็มไปด้วยเพื่อกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้นซึมไปในข้าว แม่แน่ใจว่าใช้ วัตถุดิบ เนื้อสัตว์ ได้ไหม)

สูตรอาหาร
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมข้าว
     ซาวข้าวจนน้ำใส แล้วแช่น้ำ 30 นาที
     นำใบบัวหรือใบไผ่ไปแช่น้ำให้นิ่มแล้วพักไว้
     ครบ 30 นาที นำข้าวที่แช่ไว้มาห่อด้วยใบบัวหรือใบไผ่

ขั้นตอนที่ 2 เตรียมน้ำอบหอม
     ตั้งกระทะใส่น้ำมันงาเจียวกุ้งแห้งและเนื้อสัตว์จนหอม
     ใส่ไก่ดำหั่นชิ้น,เห็ดหอม,เครื่องเทศอย่างอื่น
     เติมเจี้ยวโหยว, เหล้าเหลือง, น้ำตาล, น้ำแช่เห็ดหอม, น้ำซุปกระดูกไก่ (ได้จากการนำโครงไก่ต้มกับน้ำและเกลือหนึ่งหยิบมือ)
     เคี่ยวไฟอ่อน 15-20 นาที จากนั้นปิดไฟใส่ดอกกุ้ยฮวาแห้งทันทีแล้วกรองน้ำให้ใส

ขั้นตอนที่ 3 เตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ
     นึ่งเนื้อกุ้งแกะ, หั่นหมูเต็มเป็นลูกเต๋า
     นำเห็ดหอมบั่งให้สวยงามและแช่น้ำทิ้งไว้
     รวนเนื้อไก่ดำไม่ติดกระดูกให้สุกหรือพอสุก (เน้นใช้ส่วนสะโพกไก่จะดีที่สุดมีไข้

ขั้นตอนที่ 4 อบข้าว
     นำข้าวลงหม้อดินที่รองด้วยใบบัวหรือใบไผ่ เติมน้ำอบหอมหมื่นลี้ใส่ข้าวในอัตราส่วนที่พอเหมาะ
     โรยกุ้ง, เนื้อหมูเค็มหั่นเต๋า, เห็ดหอม, เนื้อไก่ดำรวนสุก
     ปิดฝาหม้ออบด้วยไฟอ่อน 25-30 นาที
     ก่อนเสิร์ฟเปิดฝาหม้อโรยดอกกุ้ยฮวาเล็กน้อยแล้วปิดฝาไว้ 2-3 นาที


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: ปีศาจปลาเป็นฝูงเลย กรี๊ดดด

รางวัล: 
ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): เมือกปลา 2 ชิ้น (เลขคู่) หรือ กระเพาะปลา 2 (เลขคี่)
(เลขไบต์รองสุดท้ายประเภทไอเท็มดรอป) = กระเพาะปลา 2 ชิ้น x 4 ตัว = 8 ชิ้น
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 1 (เกลือ)
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: กระเพาะปลา 8 ชิ้น, +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x9
x11
x1
x27
x9
x9
x18
x3
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x52
x50
x25
x150
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x92
x2
x18
x14
x5
x13
x29
x16
x19
x48
x45
x5
x5
x24
x2
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้