
ตระกูลหมิง ตระกูลของชาวบ้านธรมดาๆ ที่ไต่เต้าขึ้นมาจนกลายมาเป็นหนึ่งในตระกูลพ่อค้าที่อีกหนึ่งตระกูลที่แสนสำคัญและไม่อาจดูแคลงได้ในเมืองฉางอัน ใครเล่าจะรู้ว่าด้วยสินค้าสำคัญเพียงหนึ่งชิ้นจะสามารถยกระดับครอบครัวชาวบ้านครอบครัวหนึ่งให้ขึ้นมามีอำนาจกุมหนึ่งในเส้นทางการค้าที่แสนสำคัญของเมืองหลวงได้
สินค้าเพียงหนึ่งอย่างที่ทุกทุกบ้านไปจนถึงตระกูลขุนนางใหญ่จำต้องมีติดบ้านเอาไว้มิอาจขาดไปเพราะมันอาจเป็นสิงที่ช่วยต่อชีวิตของคนให้อยู่รอดไปได้อีกหนึ่งปีโดยไม่หนาวตาย สิ่งเล็กๆ ที่ว่าก็คือ ถ่าน
ถ่านสีดำก้อนเล็กๆ ที่ น้อยคนนักจะรู้ถึงวิธีการที่จะเปลี่ยนไม้ท่อนหนึ่งให้กลายมาเป็นถ่านได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เรื่องนี้คงเรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญที่แสนโชคดีของตระกูลหมิง
ถ้าจะให้เล่าก็คงต้องย้อนไปสมัยที่พ่อเฒ่าหมิง ท่านปู่ของผู้นำตระกูลหมิงคนปัจจุบันที่แต่ก่อนอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านเล็กนอกเมืองติดกับชายป่าเผลอจุดฟืนเพื่อที่จะเตรียมทำอาหารที่หลังเรือน แต่ระหว่างที่กำลังรอไฟติดดันเผลอหลับ ประกอบเตาฐานดินก่อเอาไว้ที่ใช้เป็นเตาดันผุพังจนพังลงมาทับกองไฟเอาไว้อย่างพอดิบพอดี ทั้งพ่อเฒ่าในยามนั้นก็เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงี่ยลืมสิ้นสิ่งที่ตนกำลังจะทำเดินสลึมสลือกลับเข้าไปนอนพักในบ้าน รู้ตัวอีกทีก็ยามเย็นของอีกวันเพราะด้วยวันถัดมาพ่อเฒ่าหมิงมิได้เดินกลับเข้าไปในครัวหลังบ้านเลย เพราะถูกพี่ชายลากไปช่วยงานที่บ้านของเจ้าตัวแต่เช้าครั้งเย็นกว่ามาเตรียมจะอุ่นนำแกงไก่ที่ได้มาเป็นค่าแรงกินก็พบว่าเตาดินของตนพังเสียแล้ว จึงตัดสินใจรื้อเอากองดินออก แต่เมื่อพ่อเฒ่ารื้อเอากองดินออกกลับพบว่าฟืนที่ตนลืมก่อเอาไว้มื่อเย็นวานกลับเปลี่ยนจากกิ่งไม้กายเป็นก้อนถ่านสีดำไปเสียแล้ว ตั้งแต่นั้นพ่อเฒ่าหมิงก็ลองผิดลองถูกพยายามเผากิ่งไม้ ท่อนไม้จนแถบถางป่าหลังบ้านเอามาลองจนในที่สุกก็ได้ถ่านมาหนึ่งกระสอบ ตั้งแต่นั้นพ่อเฒ่าหมิงก็เริ่มนำถ่านที่ตนทำขึ้นมาเองไปฝากขายให้แก่ร้านค้าส่งในหมู่บ้าน เก็บหอบรอมริบจนเปิดกิจการค้าถ่านเล็กขึ้นมา
นับตั้งแต่นั้นกิจการของพ่อเฒ่าหมิงก็พุ่งทยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปห้าปีก็มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้ออาคารใรเมืองหลวงเพื่อเป็นร้านค้าของตนเองขึ้นได้สำเร็จและด้วยนิสัยใจบุญสุนทานชอบช่วยเหลือคนมาตั้งแต่ก่อนที่ติดเป็นนิสัยช่วงฤดูหนาวก็ลดแลกแจกแถมถ่านให้ชาวบ้านเป็นว่าเล่นด้วยเข้าใจความทรมานจากความหนาวเย็นที่เคยประสบมาในอดีต ชาวบ้านที่รู้จักนำของมาฝากให้ช่วยขายก็รับไว้เสียทั้งหมด นานวันเข้าร้านของพ่อเฒ่าหมิงก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น สหายที่คบก็มีแต่คนดีๆ นำมาซึ่งเส้นสายมากมายก็ราวเสือติดปีก และเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อเฒ่าหมิงกลายเป็นหนึ่งในพ่อค้าที่มีอำนาจในฉางอันคือยามเมื่อเขาได้เดินทางไปพักผ่อนที่เมืองท่าเพื่อสรรหาของใหม่ๆไปค้าขายที่ได้ได้บังเอิญพบเข้ากับชาวต่างแดนที่นำของเข้ามาขายและได้มีการพูดคุยตกลงที่จะร่วมการค้าด้วยได้ซึ่งของที่พ่อเฒ่าหมิงรับมาขายต่อที่ฉางอันนั้นคือผ้าไหม เครื่องประดับ และยางครั่ง เพราะมั่นใจว่าของพวกนี้อย่างไรก็สามารถขายให้แก่ตระกูลขุนนางและชนชั้นสูงได้อย่างแน่นอน นั่นเองคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของตระกูลหมิง
กลับมาที่ปัจจุบัน ตระกูลหมิงมีผู้นำตระกูลนาม หมิงเฉินหงผู้รักมั่นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวอย่างหมิงหุ่ยเฮอจนมีพยานรักผุดขึ้นมาสองหน่อ คือบุตรชายคนโตหมิงเฉียนเล่อและบุตรชายคนเล็กที่มีอายุห่างจากผู้เป็นพี่ชายเพียงสามหนาวอย่างหมิงชุนสุ่ย
เสียงเล่าลือถึงบุตรทั้งสองของตระกูลหมิงแบ่งออกเป็นทาง กล่าวว่าหมิงผู้พี่หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ร่างกายก็สูงใหญ่กำยัง ทั้งยังฉลาดหลักแหลมทั้งยังมีหัวการค้า วาทศิลป์เองไหลลื่นชวนเคลิบเคลิ้มยามหมิงเฉียนเล่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลหมิงคงพุ่งทะยานยิ่งรุ่นปู่ทวด
ส่วนหมิงผู้น้องหน้าตาหล่อเหลาแต่ก็งดงามไม่ต่างจากผู้เป็นมารดา เพียงแย้มยิ้มสตรีบุรุษเห็นยังต้องหยุดมองตาม หัวไวฉลาดหลักแหลมไม่แพ้ผู้พี่แต่ค่อนไปทางเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า ทั้งนิสัยของเจ้าตัวนั้นกลับตรงข้ามกับหน้าตาลิบลับ ด้วยความเป็นบุตรชายคนเล็กบิดามารดารวมถึงพี่ชายล้วนตามใจ ทำให้เจ้าตัวมีวาจาค่อนไปทางร้ายกาจเปิดปากแต่ละหนทำเอาผู้คนแสบทรวงไปถึงกระดูก และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือข่าวลือที่ว่าบุตรชายตระกูลหมิงผู้น้องนี้เป็น”ต้วนซิ่ว” ซ้ำยังเป็นตัวขี้เกียจที่วันๆ เอาแต่นอนกลางวัน กับประทินโฉม ชมตัวเองอยู่หน้ากระจก