
วันที่ 25 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น. ณ วังหลวง กองห้องเครื่องหลวง
อีเว้นท์ ภารกิจ “กลิ่นอายในวังหลวง” - จบภารกิจ
ยามซวีแสงโคมไฟเริ่มล้อมรอบกองห้องเครื่องหลวง เสียงฟืนแตกเปรี๊ยะดังสลับกับเสียงขวานเล็กกระทบไม้ เสี่ยวจ้าวจื่อก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทุกคืน ความเงียบชวนให้ใจสงบแต่ในใจก็ยังหวั่นอยู่เสมอเพราะกลัวจะมีคนมาดุด่าเมื่อทำอะไรพลาด ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด จู่ ๆ มีเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังกรุ๊บกรั๊บตามพื้นหิน ก่อนที่เงาสีดำเล็กจะพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ เสี่ยวจ้าวจื่อสะดุ้งเฮือก ยกขวานขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่โผล่มานั้นกลับเป็น…หมาน้อยตัวอ้วนปุกปุย ดวงตาสีฉายแววฉลาดผิดสัตว์ทั่วไป
“เจ้าคือ…?” เสี่ยวจ้าวจื่อพึมพำอย่างระแวง
หมาน้อยยิ้มกว้างและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำเกินคาด “ข้าชื่อเซียนเฉ่าขอรับ คุณหนูหลินให้มาบอกว่า ให้เจ้าระวังอาหารที่ปรุงโดยคนอื่น ยิ่งถ้าเป็นของจงฉางชื่อ…ห้ามกินเด็ดขาด ระวังตัวให้ดีขอรับ” คำพูดนั้นทำเอาเสี่ยวจ้าวจื่อเบิกตากว้าง หัวใจเต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูก “มะ…แม่นางหลินหยา…นางฝากมาจริงหรือ”
“จริงสิขอรับ” เซียนเฉ่าพยักหน้า แล้วขยับหางไปมาอย่างภูมิใจ จากนั้นมันก็หันตัววิ่งฉิวหายลับไปทางทางเดินแคบด้านข้างราวกับเงาลม ทิ้งเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ และความอบอุ่นในอกของเสี่ยวจ้าวจื่อที่ยืนค้างอยู่กับที่ เขากำเครื่องรางหยกปลาที่หลินหยามอบให้แน่นในอก น้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว “แม่นาง…ข้าจะฟังคำท่านทุกอย่าง ข้าจะระวังตัวให้มากที่สุดขอรับ” เสียงพึมพำแผ่วเบาหายไปกับสายลมยามค่ำ ขณะเงาของเขายังคงขยันผ่าฟืนต่อไปอย่างเข้มแข็ง แต่ในใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในยามค่ำคืน แสงจันทร์สาดลงบนกองฟืนและเงาวังหลวงทอดยาว เสี่ยวจ้าวจื่อที่กำลังจัดฟืนอยู่นิ่งชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันอันเย็นเยียบ ร่างสูงในชุดดำแดงปรากฏขึ้นช้า ๆ กลิ่นโลหิตจาง ๆ คลุ้งมาจากใบมีดในตัวของเขา ชายผู้นั้นคือจางกงกง จงฉางชื่อผู้เลื่องลือ ทั้งวังหลวงต่างหวาดกลัวในความโหดเหี้ยมและเล่ห์เหลี่ยมของเขา “ข้าได้ข่าว…เจ้าทำอาหารใช่ได้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น ราวกับเสียงปีศาจกระซิบกลางความมืด ดวงตาเรียวยาวฉายแววคมกริบเหมือนกำลังล้วงเข้าไปในจิตใจของเสี่ยวจ้าวจื่อ มือเรียวที่ถือดาบเลื่อนไปหยิบถ้วยซุปที่ส่งกลิ่นหอมร้อนแรง ยื่นมาตรงหน้าเขา “เจ้าทำงานหนักมาทั้งวัน ดื่มซุปนี้เสียหน่อย…จะได้มีแรง” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่กลับกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
เสี่ยวจ้าวจื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาหวาดหวั่นเต็มไปด้วยความลังเล คำเตือนของคุณหนูหลินดังสะท้อนอยู่ในหัว “หากมีสิ่งใดผิดปกติ…จงหลีกเลี่ยงอาหารจากจงฉางชื่อ” หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก แต่สีหน้าของเขาพยายามสงบ เขาก้มศีรษะรับถ้วยซุปไว้ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย
“ขะ…ขอบพระคุณขอรับท่านกงกง” เสียงสั่นพร่า
จางกงกงจ้องเขาเหมือนเหยี่ยวจ้องเหยื่อ รอยยิ้มบางที่ไม่อาจบอกว่าอบอุ่นหรือเยาะเย้ยผุดขึ้นบนริมฝีปาก เขาก้าวเข้ามาใกล้ เสียงกระซิบแผ่วเหมือนจะเลาะเข้าไปในจิตวิญญาณ “ดื่มสิ…หรือเจ้ากลัวอะไร?” ความเงียบในยามนั้นหนาวเหน็บยิ่งกว่าลมฤดูหนาว… เสี่ยวจ้าวจื่อกลืนน้ำลาย ฝ่ามือที่กำถ้วยซุปเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำในถังไม้ เขาต้องตัดสินใจทุกลมหายใจคือความเสี่ยง
เสี่ยวจ้าวจื่อยกถ้วยซุปขึ้นแตะริมฝีปากแสร้งทำทีเหมือนกำลังจิบ ทั้งที่แทบไม่ให้หยดใดผ่านคอไปได้ เมื่อจางกงกงเบือนสายตาไปชั่ววินาที เขาก็อาศัยจังหวะนั้นแอบเทซุปลงข้างกองฟืน กลิ่นหอมเจือโลหิตคลุ้งไปตามลม แต่เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วางถ้วยลงแล้วกุมท้อง ทำเสียงอ่อนแรง “ขะ...ข้ามิอาจดื่มได้ต่อแล้วเจ้าค่ะ ท้องของข้า…ปวดเหลือเกิน ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อน”
จางกงกงยืนนิ่ง ใบหน้าภายใต้แสงจันทร์ดูเยือกเย็นดั่งรูปสลัก ดวงตาคมลึกกวาดมองร่างเล็กที่พยายามถอยหนีไปช้า ๆ ริมฝีปากของเขาแย้มยิ้มเยือกเย็น “เจ้าฉลาดดี…รู้จักเอาตัวรอด” เสียงเรียบนั้นแฝงแววขบขันเจือความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่เสี่ยวจ้าวจื่อจะได้หันหลังออกไป จางกงกงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำราวกับคมมีดกรีดอากาศ “จำไว้…หนาน หลินหยา อย่าได้แม้แต่คิดจะทำให้นางเจ็บปวด เพราะข้า…จะทำให้เจ้ารู้ว่าความตายยังเป็นสิ่งที่เมตตาเกินไป”
เสี่ยวจ้าวจื่อชะงัก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างกงกงผู้โหดเหี้ยมผู้นี้กับคุณหนูหลิน แต่ความรู้สึกหนึ่งชัดเจนในใจ จางกงกงหวงนางมาก มากเสียจนแค่ลมพัดเฉียดผ่านนางก็อาจทำให้ใครสักคนต้องตาย
จางกงกงยังคงนั่งอยู่กลางห้องอันเงียบงัน ด้านหลังคือแสงจันทร์ที่ลอยใหญ่โตดั่งดวงตาแห่งสวรรค์จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของมนุษย์ แต่ในความสว่างนั้นกลับมีเงาสีดำของชายผู้หนึ่งบดบังเอาไว้ ใบหน้าของเขาดูสงบเยือกเย็น ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยเพลิงที่กำลังสุมอยู่ข้างใน ความเงียบที่ทอดยาวทำให้แม้กระทั่งลมที่ลอดผ่านหน้าต่างยังดูเหมือนหยุดหายใจอยู่ครู่หนึ่ง
นิ้วเรียวยาวเคาะเบา ๆ บนด้ามมีดสั้นที่เขาพกไว้ ลูบเล็มไปตามร่องใบมีดราวกับกำลังเอ็นดูของเล่นแสนรัก คราบเลือดเก่าที่แห้งกรังเป็นสีคล้ำแสดงให้เห็นว่าเจ้าของใบมีดนี้เคยพรากชีวิตผู้คนมาแล้วมากมาย จางกงกงแสยะยิ้ม มุมปากยกขึ้นทีละน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกเย็นไปถึงกระดูก "ขันทีตัวเล็ก...เจ้าก็รู้จักวิธีหนีเก่งกว่าที่คิด" เสียงของเขาเอ่ยเบา ทว่ามันก้องกังวานไปทั่วห้องเหมือนเสียงปีศาจที่กระซิบอยู่ในเงามืด
ในหัวเขาเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนระคนกันความหวง ความหลงที่ร้อนแรงดั่งไฟเผาไหม้ต่อหลินหยาปะทะกับด้านมืดที่เต็มไปด้วยความครอบครองและจิตวิปลาส เขาไม่ได้ใส่อะไรลงในซุปนั่นหรอก เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเสี่ยวจ้าวจื่อตาย หลินหยาจะเจ็บปวด และเขาไม่ต้องการให้หลินหยาเจ็บเพราะเขา... อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้
"ข้าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้แมวน้อยของข้าต้องร้องไห้" เขาพึมพำพลางหัวเราะต่ำ แววตาวาววับราวกับคนที่กำลังวางหมากในกระดานที่ตัวเองเป็นทั้งผู้เล่นและผู้ล่า "แต่เจ้าจำไว้ เสี่ยวจ้าวจื่อ…หากเจ้าก้าวล้ำไปแม้เพียงครึ่งก้าว หรือหากข้าเห็นแววตาของแมวน้อยของข้าหวั่นไหวเพราะเจ้า... เจ้าจะได้รู้ว่าความตายที่เจ็บปวดที่สุดมันมีหน้าตาเช่นไร" เขาเอนหลังพิงเบาะหลังกว้างช้า ๆ พลางปล่อยมือจากมีดให้ตกลงข้างตัวอย่างไร้เสียง แต่ในความนิ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่แม้แต่เงาก็ยังสั่นไหว จางกงกงรู้ดีว่าตัวเองสามารถบี้เสี่ยวจ้าวจื่อให้ละเอียดดั่งฝุ่นในวังได้ทุกเมื่อที่ใจคิด... เพียงแค่ขยับนิ้วก็เพียงพอแล้ว ทว่าความอดทนนี้เป็นสิ่งที่เขาเลือก เลือกเพียงเพื่อนาง
ในความมืด ดวงตาของเขาฉายแววที่ทั้งอ่อนโยนและวิปริตไปพร้อมกัน...เหมือนกับดอกไม้พิษที่งดงามเกินห้ามใจแต่พร้อมจะฆ่าผู้ที่บังอาจเข้าใกล้ในทันที
รุ่งเช้าอากาศสดชื่น เสี่ยวจ้าวจื่อที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างค่อย ๆ ลุกขึ้นจากฟูกเก่าในห้องพักเล็ก ๆ ของขันทีห้องเครื่อง เขาใช้เวลาล้างหน้า ล้างปากอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดตกค้างจากซุปเมื่อคืน หัวใจเต้นแรงเมื่อคิดถึงสายตาเย็นเฉียบของจางกงกงที่จับจ้องเขาเมื่อคืนสายตานั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางใจ ไม่จำเป็นต้องออกแรง เพียงแค่มองก็ทำให้เลือดในกายแทบหยุดไหล แต่เขาก็รอดมาได้…เพราะจางกงกง ยอม ให้เขารอด
เมื่อถึงตลาดตะวันออกในยามสาย เสียงผู้คนจอแจ กลิ่นหอมของเครื่องเทศและอาหารอบอวลในอากาศ เสี่ยวจ้าวจื่อเดินเลียบไปตามแผงค้า มือกอดห่อผ้าล้ำค่าที่ซ่อนตำราอาหารลับของเขาไว้ใกล้อก เขาไม่ค่อยได้ออกมานอกวังเวลานี้บ่อยนัก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกังวลปะปนกับความตื่นเต้น จนเมื่อมาถึงร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้ ภาพของหลินหยาในชุดทำงานเรียบง่ายกำลังจัดของอยู่ทำให้เขาคลายความเกร็งลงทันที
"แม่นางหลิน..." เขาเรียกเสียงแผ่ว ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน หลินหยาเงยหน้าขึ้นเห็นเขาก็ยิ้มกว้าง ดวงตาเธอทอประกายอย่างห่วงใย "เสี่ยวจ้าวจื่อ! เจ้ามาได้ยังไงเวลานี้ นี่มันเสี่ยงจะโดนคนในวังจับได้อยู่นะ" นางดุเบา ๆ แต่แฝงด้วยความเอ็นดู
เขาก้าวเข้าไปใกล้ ส่งสายตาจริงจัง "เมื่อคืน...ข้าเจอจางกงกง เขามอบซุปให้ แต่ข้าแสร้งทำเป็นกินแล้วแอบเททิ้ง ข้า...ได้ยินคำเตือนจากเขาเกี่ยวกับท่าน" น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย ความหวาดกลัวในใจยังไม่หายไป
หลินหยาชะงัก ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ในแววตากลับฉายแสงวูบของความกังวล เธอก้าวเข้ามาใกล้ พูดเสียงเบา "ข้ารู้...เขาเป็นแบบนั้นแหละและนั่นอาจทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าขอโทษนะที่ช่วยอะไรเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้" เสี่ยวจ้าวจื่อสูดหายใจลึกก่อนจะยื่นห่อผ้าให้เธอ "ไม่ต้องกังวนขอรับแม่นางหลินหยา เท่านี้ก็มากล้นแล้ว นี่...ตำราอาหารที่ข้าบันทึกมาตลอดชีวิต เป็นสิ่งเดียวที่อาจารย์ของข้าสอนให้ ข้าขอมอบให้ท่าน ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรที่ท่านคอยปกป้องข้า"
หลินหยามองห่อผ้าในมือเขาแล้วหัวใจอ่อนยวบ นางยื่นมือมารับช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นปนเศร้า "เจ้า…นี่มันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก เจ้าต้องการให้ข้าจริง ๆ หรือ?" เสี่ยวจ้าวจื่อพยักหน้า น้ำเสียงหนักแน่นผิดจากความขี้กลัวในยามปกติ "ข้าอยากให้สิ่งที่มีค่าที่สุดกับคนที่ช่วยข้า…และคนที่ข้าเชื่อใจ"
สายลมอ่อนพัดผ่านหน้าร้าน ดอกไม้ในกระถางข้างประตูพลิ้วไหว หลินหยากระชับห่อผ้าแน่น หันมามองเขาพร้อมยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ "ข้าจะรักษามันอย่างดี และข้าสัญญาว่าจะคอยปกป้องเจ้า…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
ในขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ท่ามกลางเสียงตลาดอึกทึก มิตรภาพลึกซึ้งที่ไม่ต้องเอ่ยคำมากมายก็ก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ในเงามืดของซุ้มไม้ที่คลุมเงาเหนือพวกเขา...ใครบางคนอาจกำลังเฝ้าดูอยู่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: เห่ออออออ 555555 คุณเพ๊
รางวัล: ปลดหัวใจ 4 ดวง เสี่ยวจ้าวจื่อ
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
(ตำราอาหารที่บันทึกสูตรอาหารและเคล็ดลับการปรุงอาหารต่างๆ ที่เสี่ยวจ้าวจื่อสะสมมาตั้งแต่เด็ก)