วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักจงฉางซื่อ
ในแสงอ่อนรางของยามค่ำคืน ตำหนักจงฉางซื่อกลับยังคงอบอวลด้วยกลิ่นกระดาษเก่า หมึกสด และแอลกอฮอล์ละมุนลิ้นที่หอมตลบอวลไปทั่วห้อง ทั้งที่ควรเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน แต่เบื้องหน้าห้องนี้ไม่เคยว่างเปล่า หลินหยาก้าวย่างเข้ามาช้า ๆ ภายในห้องแห่งนี้อีกครั้งด้วยฝีเท้าเบา ๆ นางก้มหน้าน้อย ๆ คล้ายจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นเจ้าของตำหนักโดยตรง ทว่ากลับรับรู้ได้ถึงแผ่นหลังตรงสง่าแต่แฝงอำนาจเยือกเย็นของเขาในทันที..
จางกงกงในยามนี้มิได้อยู่ในอาภรย์เสื้อผ้าแบบขันทีที่เคร่งครัดเช่นครั้งแรกที่นางพบ เขาสวมเพียงชุดผ้าพลิ้วสีเข้มแบบสบายตา แม้มิได้หรูหราแต่กลับมีความสงบเหยียบเย็นที่ประหลาดนัก เขายกจอกสุราขึ้นแนบริมฝีปาก ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากเผยยิ้มเย็นจางประหนึ่งกำลังชื่นชมรสหวานอมเปรี้ยวที่กลมกล่อมยิ่งนัก กลิ่นดอกท้ออ่อนละมุนลอยฟุ้งระคนไปกับไอเย็นของช่วงเวลาค่ำคืน ช่างขัดแย้งกับภาพวันวานที่เขาย่ำยีคำว่า อิสรภาพ ของหลินหยาจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
หลินหยาขยับตัวเข้าใกล้อย่างเงียบงัน ดวงหน้าของนางไร้ซึ่งรอยยิ้ม ใบหน้านั้นเรียบนิ่งแต่ดวงตาของนางยังคงเปล่งแสงราวกับผลลูกท้อที่เพิ่งเด็ดออกจากต้น มีทั้งความอ่อนหวานและความดื้อดึงและความขมขื่นเปปนกันไปให้มันกลืนลงลำคอของนางอย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน..
“ขอคำนับ..จงฉางซื่อ” นางเอ่ยเสียงเบาให้อีกคนพอแต่ได้ยิน..พูดคำเดิมเหมือนที่ตนเองเคยพูดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วในยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ยังทอแสงแม้ว่าจะรำไรแล้วก็ตามที..ตอนนี้เธอเหนื่อยจึงไม่ได้แฝงความเคารพจนเกินไปนัก เพราะนางไม่อยากเสแสร้งแกล้งทำเช่นคนที่จำต้องรู้หมดไส้พุงกันแล้วถึงกมลสันดารของแต่ละคน เขาเหลือบตาขึ้นมองช้า ๆ สายตาแน่วแน่ประหนึ่งจ้องมองขั้วหัวใจของสตรีที่อยู่ตรงไหน..
“กลับมาอีกแล้วหรือ?..แม่นางหลินหยา..ของข้า”
เขาเรียกเช่นนั้นอีกครั้งจนเธอต้องกระตุกคิ้วเข้าหากันเพียงนิด เพราะสุราที่ดื่มทำให้เขาอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายกันแน่? นางไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะตอนอยู่หอว่านหงเหริน นางไม่เคยพบเขาดื่มสุราเลยแม้แต่สักครั้งเดียว.. แต่แล้วภาพนั้นมันก็กลับมาอีกครั้ง ภาพที่เขาเชยคางนางไว้ในความมืดของห้องรับรองฝั่งตะวันตกของหอว่านหงเหริน ดวงตาเรียวลึกที่จ้องมองดวงตาที่แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ของนางเธอยังจำคำพูดของเขาเมื่อตอนนั้นได้..ไม่ใช่คำชม แต่มันเป็นมีด ไม่ใช่ความหลงใหลเสน่ห์หาเช่นชายหญิง แต่เป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำให้มันกดลงไปกับใจนางแล้วดูนางแหลกละเอียดคามือของเขา
บัดนี้เขากำลังนั่งดื่มสุราที่นางพึ่งมอบให้ก่อนหน้า ด้วยสีหน้าที่แทบจะเรียกว่าพึงพอใจ จอกในมือนั้นวาวสะท้อนแสงจันทร์ กลิ่นดอกท้อลอยอ้อยอิ่งในอากาศ และเขาก็ยังคงยิ้ม ราวกับกำลังชิมรสชาติของนางจากกลิ่นของรสในจอกนั้น.. “รสชาตินี้..ช่างคล้ายเจ้ายิ่งนัก” เขากล่าวกับนางขณะยกจอกขึ้นมองผ่านเมรัยสีชมพูอ่อน “หอมหวาน แต่ซ่อนไว้ด้วยรสเปรี้ยวสดชื่นแต่ขมขื่นบางเบา หากไม่ระวังจะเมาเสียจนไม่รู้ตัว..หรือไม่ก็คลุ้มคลั่งเสียเอง”
หลินหยาไม่ได้ตอบ นางเพียงขยับมือยื่นห่อผ้าสีน้ำเงินเข้มที่ห่อสิ่งของจากเว่ยปินกงกงมาให้เขา ก่อนที่จะกล่าวตามหน้าที่ของตนเอง “เว่ยปินกงกงมอบหมายให้ข้านำของสิ่งนี้มาส่งเจ้าค่ะ”
จางกงกงรับห่อมาอย่างเฉยชา หากแต่รอยยิ้มนั้นก็มิมลายหายไปหรือคลายออกแม้แต่สักน้อย เขาวางจอกสุราเบา ๆ ลงบนโต๊ะ หันมาหานางแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งทีละน้อย ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้นางทีละก้าว สายตายังคงเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งแหลมคมที่พร้อมจ่อคอให้ตายค่าทีดับดิ้นไร้ชีวิตอย่างอดกลั้น
“เจ้าเปลี่ยนไปนะ..หลินหยา” เขากล่าวเสียงแผ่วต่ำ “วันแรกเจ้าดื้อแพ่งกับข้าอย่างกับม้าเถื่อน คราวต่อมาเจ้าสั่นไหวอย่างกับลูกแมว..แต่วันนี้..เจ้าเหมือนสุราเซียนเมามายที่เจ้ามอบให้ข้า..สุกงอมอย่างงดงาม” มือหนึ่งยกขึ้นช้า ๆ ราวกับจะเชยคางนางอีกครั้งเหมือนช่วงเวลาที่ยังอยู่ ณ หอว่านหงเหริน แต่หลินหยากลับก้าวถอยหนึ่งก้าว
“ข้าขอเพียงทำหน้าที่ให้ครบ ไม่มากไปกว่านั้นเจ้าค่ะ” เสียงนางนิ่งสงบ แต่ดวงตาเหมือนจะเริ่มลุกวาวด้วยไฟที่ไม่อาจมอดดับไปได้โดยง่ายแม้ร่างกายของนางจะรู้สึกอ่อนล้าเพียงใด และเขาก็ยิ้ม ยิ้มที่ราวกับจะลิ้มรสนางอีกครั้งโดยไม่แตะต้อง
“ดี..จงรักษารสชาตินี้ไว้ให้ดี..อย่าให้จืดจางแม้ในยามที่เจ้าอยู่ต่อหน้าองค์ชาย เพราะบุรุษย่อมต้องการบางสิ่งที่หลอมรวมระหว่างความงามและความเปราะบาง”นั้นคือคำของจางกงกง แต่ทว่านางรู้สึกแปลกกับคำของเขา..แม้เขาจะเคยพูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นางเงยหน้ามองคนที่สูงกว่า..กำลังคิดว่าเขากำลังเมาสุราหรือสติหลุดไปแล้วกันแน่..เหมือนเขาเก็บบางอย่างเอาไว้ในใจตอนที่นางเดินจากออกไปเมื่อครั้งช่วงเย็น
ยามซวีในช่วงปลาย แสงเทียนที่ส่องสะท้อนลวดลายบนอาภรย์เบาบางของจางกงกงทำให้เงาร่างสูงนั้นยิ่งแลดูยาวเหยียดยิ่งในยามที่เขาก้าวเข้าหานาง แต่ละก้าวราวกับกดทับลงกลางอกของหลินหยาจนแทบหายใจไม่ออก นางทำเพียงเงยหน้าจริง ๆ มองบุรุษในร่างขันทีผู้แฝงเล่ห์แยบคายทุกกระเบียดนิ้ว ริมฝีปากนั้นยังคงเคลื่อนไหว พ่นวาจาเย็นเหยียบดั่งคมดาบที่เฉียบขาดไม่เพียงแต่เฉือนผ่านผิว แต่กลับสอดลึกลงไปถึงชั้นหัวใจรุนแรงแต่ไร้เสียงเลือดตก เหมือนมันจะค่อย ๆ เฉือนเส้นเลือดหัวใจนางออกทีละเส้นอย่างช้า ๆ
“เจ้ายังร่าเริงไม่พอในวันนี้สินะ?..” เสียงนั้นทอดนุ่มเหมือนผ้าแพรงาม บาดลึกกว่าเหล็กล้า หลินหยาไม่เข้าใจคำว่ายังไม่ร่าเริงพอของเขา..และนางคิดแล้วว่าเขาต้องเริ่มเมาแล้วแน่ ๆ “ในยามเจ้าร้องไห้..ใบหน้าของเเจ้า คงราวกับดอกท้อที่ต้องฝน ยิ่งเปียกป้อนยิ่งอ่อนบาง ยิ่งงามนัก ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ..ว่าข้าอยากเห็นเจ้าตอนน้ำตาไหล ข้าชอบเจ้ายามแตกสลาย แหลกละเอียดอยู่ตรงหน้าข้า ใต้เท้าข้า”
ดวงตาของเขามองตรงมาสู่แววตาของนาง แววตาที่เคยวาวด้วยประกายของความขบล ซุกซนและเย้ยหยันบ่อยครั้ง บัดนี้กลับสะท้อนเพียงม่านหมอกของความปวดร้าวและปตกหัดอย่างเงียบเชียบ
“เจ้าอยากให้ข้าขอบคุณหรือกราบกรานที่เจ้ามอบสุราให้? หรือเจ้าคิดว่าแค่นี้จะชดใช้กับการปกป้องครอบครัวอันอ่อนแอของเจ้า” เขากระซิบต่ำด้วยรอยยิ้มคล้ายเมามาย แต่แววตานั้นยังคงชัดเจน ชัดเจนเกินกว่าที่หลินหยาจะคิดว่าเขาเมา “เจ้าช่างเป็นเด็กสาวที่เอาใจง่ายเสียเหลือเกิน..หลินหยา” คำเรียกนั้นมาอีกแล้ว มันยิ่งกว่าโซ่ตรวนบนคอนาง หลินหยาเริ่มรู้สึก ว่านี้มันไม่ใช่การหยอกล้อแล้ว แต่มันคือการสลักรอยประทับลงกลางวิญญาณของนาง หลินหยาหายใจสะท้านอก อยากวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ขาของนางกลับสั่นแล้วดวงตาก็ไหวระริก สติที่พยายามเกาะกุมไว้ตลอดทั้งวันนั้นแทบแหลกเป็นเสี่ยง ๆ ตรงนี้
“ข้าขอเพียง..ทำตามคำสั่งเจ้าค่ะ จางกงกง” น้ำเสียงเธอสั่น แต่ก็ยังนุ่มนวล เหมือนสายลมพัดเหนือผิวน้ำที่ไม่เคยสงบ แต่ในนั้นมีคลื่น คลื่นที่ซัดซาดลงสู่ความโกรธ ความอัดอั้นและคำถามมากมายที่นางเก็บไว้ในใจตั้งแต่คืนแรกที่เขาบังคับให้นางเลือก..เลือกงั้นหรอ?..หึ..ยอมเป็นเครื่องมือในวังหลวงอันไร้หัวใจเสียมากกว่า
จางกงกงขยับเข้ามาใกล้ ตอนนี้ใกล้จนลมหายใจของเขาสัมผัสกับผิวแก้มนาง มือเรียวยกขึ้นอีกครั้งคล้ายจะเชยคางนางตามนิสัยเก่าก่อน แต่คราวมือหลินหยายกมือตัวเองขึ้นมาจับข้อมือของเขาไว้แน่นด้วยมืออันไร้เรี่ยวแรงอันน้อยนิด แต่มันกลับแน่นสำหรับขันทีผู้เยือกเย็นให้ชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจ
“ข้ามิใช่ของท่าน ข้ามิใช่ดอกไม้ที่จะเด็ดเล่นยามว่าง ข้ายังมีเลือดในกาย ยังมีครอบครัว ยังมีหัวใจที่ข้าเองก็หายใจได้เพราะมัน” เสียงของหลินหยาสั่นไหว แต่มันไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวอีกต่อไป หากแต่เป็นโทสะ โทสะที่อัดแน่น แน่นขนัดอยู่ภายใน ความเจ็บแค้น ความเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกที่ถูกย่ำยีมาทั้งวันทั้งคืนตลอดคำนั้น จนแทบแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
“ท่านพูดถูก..”
“ในยามที่ข้าร้องไห้งดงามนัก เพราะมันคือสิ่งเดียวที่ข้าเหลือให้ได้โลกเห็น ว่าแม้ข้าจะถูกสั่งให้แสร้งอ่อนแอ แต่แท้จริง ข้ารู้จักเจ็บ รู้จักร้อง และรู้จักกลืนน้ำสั่งของท่านลงไปพร้อมน้ำตายโดยไม่ตาย และข้า..จะไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้าท่าน” จากนั้นหลินหยาก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออก ทิ้งฝ่ามือของเขาให้ตกลงอย่างไร้การประคอง กลิ่นสุราเซียนเมามายที่ยังลอยค้างอยู่ในอากาศ กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนหวาน...แต่ยามนี้กลับแสบปลายจมูกนัก ราวกับว่าความขมของจิตใจได้กลั่นซึมลงไปในสุรานั้นเรียบร้อยแล้ว
จางกงกงเงียบไป เขายืนนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าในดวงตาจะยังไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ร่องรอยบางอย่างกลับฉายแววปริกแตกอยู่ในม่านเงา เขาอาจเพียงแค่กำลังเลือกคำถัดไป ที่จะแทงเธอให้ลึกลงกว่าเดิมอีกครั้ง
“เจ้ากล่าวว่าจะไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้าข้า??” เขาเอ่ยเบา ๆ ออกมาแต่หนักแน่นประหนึ่งตาประทับ ก่อนที่จะทอดสายตามองเธอด้วยแววตาแฝงความเหี้ยมเย็นปะปนรอยยิ้มคล้ายคนหยั่งรู้ รู้สึกเสียจนเหมือนเขาฝังเข้าไปอยู่ในหัวใจนางทุกคืนวัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเก็บงำมันไว้ได้ตลอดไปหรือ..หลินหยา” เขาพูดชื่อเธอ..แต่ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่เป็นตราที่เขาใช้ตีตราหลินหยาในทุกครั้งที่ต้องการทำให้นางรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว หลินหยาตั้งท่าจะตอบ แต่ไม่ทันเอ่ยเสียงใด เขาเดินวนรอบร่างนางอย่างจงใจให้รู้สึกว่ากำลังถูกล่า
“องค์ชาย..ข้ายังไม่เห็นเจ้าได้ใจท่านแม้แต่ปลายเล็บ ยังมีหน้ามาเรียกตนว่าไฉหนี่ว์อีกหรือ? หรือเจ้าคิดว่าจะให้ข้าช่วยกระซิบบอกท่าน ให้เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเสียที”
“ไม่สิ..หรือเจ้าจะรอใครอื่นอยู่” เสียงของเขาเบาลงราวกับพ่นพิษใกล้ใบหูของนาง “เถ้าแก่ร้านเถ้าหู้ผู้นั้นน่ะหรือ..ที่เจ้าไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร..หรือเจ้าจะหมายถึงคุณชายที่เจ้าไปพบที่ตลาดตะวันออกแล้วส่งรอยยิ้มพริมใจนั้นให้..หรือบางที..” เขาหยุดแล้วเดินเข้าประจันหน้าของนาง “ต้าซือคงผู้สุภาพชน ใต้เท้าเถียนเฟิงของเจ้าหรือ?”
หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากของนางขบแน่น ดวงตาสั่นไหว เธอไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่มันทำให้หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำประหนึ่งถูกตอกตรึงกับกำแพง จางกงกงโน้มตัวลง…เสียงของเขาเย็นยิ่งกว่าน้ำในบ่อเหมันต์เมื่อนิ้วเรียวของจางกงกงเอื้อมมาหยุดอยู่ตรงใต้คางนาง..เชยคางนางขึ้นมาได้แล้วบีบคางนางให้แน่นจ้องหน้าของเขาไว้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเถียนเฟิงของเจ้า ก็เป็นเพียงขุนนางผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนเช่นกัน...เมื่อถึงครา หากข้ากระซิบเพียงคำเดียว เขาก็ต้องถอย...แล้วเจ้าจะหวังพึ่งผู้ใด?”
“ไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้ ไม่มีสหาย ไม่มีแมว ไม่มีสุรา และไม่มีชายใดจะมอบอิสรภาพให้เจ้า…หากข้าไม่อนุญาต” นิ้วนั้นจับแน่นประหนึ่งต้องการตรึงใจของหลินหยาไว้ในอุ้งมือ “เจ้าเป็นของใคร..ตอบออกมา”
หลินหยากำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ ขอบตาร้อนผ่าวแต่นางยังคงฝืนสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาดื้อรั้นและนางเจ็บปวดจากแรงบีบนั้น “ข้า..จะไม่มีวันร้องไห้ให้ท่านเห็น” นางพูดมันขึ้นมา ไม่ตอบคำถามว่านางเป็นของใคร ไม่มีวัน..
จางกงกงยิ้ม…ยิ้มแบบที่หลินหยารู้ดีว่าเขาชอบคำท้าทายเช่นนี้ “งั้นก็ให้ข้าพิสูจน์เถิด ว่าน้ำตาของเจ้าจะไหลก่อนหัวใจเจ้าจะพัง…หรือหัวใจเจ้าจะดับไปก่อนที่น้ำตาหยดแรกจะร่วง” ประโยคสุดท้ายนั้นแทงทะลุกลางอกหลินหยา มันไม่ใช่คำขู่ แต่มันคือคำตัดสิน โลกของเธอ…ถูกเขาขึงไว้ด้วยด้ายบางๆ ที่เชื่อมกับทุกคนที่เธอรัก และหากเขาเป็นคนถือปลายด้ายนั้นทั้งหมด…แล้วนางจะหนีไปทางใด
ทุกสิ่ง..มืดดับ..ดวงตาของนางดำสูญ
หลินหยาตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างรุนแรงจากการถูกจางกงกงบังคับและข่มขู่ชีวิตคนที่เธอรัก ตอนนี้นางมืดแปดด้าน นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนต่อความต้องการของจางกงกง ความกลัวอย่างสุดขีดนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลินหยาอย่างหนัก..ความเครียดและหวาดกลัวต่ออันตราย..
นางจ้องมองเขาไม่เห็น เหมือนภาพมันดำมืดไปหมด รู้สึกทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน ความหวาดกลัว มาจากความปลอดภัยของครอบครัวและคนที่รักทั้งหลายที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย และความไม่แน่นอนว่าจางกงกงจะทำอะไรกับเธอหากขัดคำสั่ง ขณะเดียวกัน ความโกรธและความคับแค้นใจ ก็เพิ่มพูนขึ้นในใจเนื่องจากถูกบีบบังคับให้ทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตนเองและขัดต่อศีลธรรม..นางรู้ รู้สิ..
การทรยศต่อทั้งองค์ชายและศรัทธาของตัวเอง บีบจนจนมุมเกินกว่าที่นางจะเลือกทางเลือกอื่น หัวใจนางทุกข์ทรมาณแสนสาหัสเพราะไม่อยากหลอกลวงใครอีกแล้ว..ขีดความอดทนของหลินหยาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว นางจะต่อต้าน แบบที่ไม่สนลัพธ์ที่เข้าใส ในตอนนี้..นางน่ะ..
สิ้นหวังสุดขีด
ปลายเสียงของจางกงกงนั้นแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไปสำหรับหลินหยา มันคือเสียงของปีศาจที่เคยปลุกปลอมเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่นในม่านหอว่านหงเหริน กลับหลายเป็นคำสาปที่กัดกร่อนหัวใจ ทีละน้อย...ทีละคำ...จนความเงียบข้างในกลายเป็นเสียงกรีดร้อง คำพูดนั้นคล้ายเหล็กร้อนที่นาบลงกลางอกนาง ร่างเล็กผวาสะบัดมือเขาออกในจังหวะนั้น สายตาว่างเปล่า เงียบ…ราวกับสิ้นสติไปแล้ว แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็พุ่งเข้าหาราวกับหมาป่าที่หมดความอดทน
“เพี๊ยะ!!”
เสียงฉากแรก ไม่ใช่เสียงร้องแต่คือเสียงของฝ่ามือที่ฟาดลงกลางแก้มของจางกงกงจนเขาหันไปตามแรง “เพราะท่าน…” เสียงหลินหยากัดฟันพูดลอดไรฟัน ดวงตาแดงวาบไร้ร่องรอยของหญิงสาวเรียบร้อย “เพราะท่าน…ข้าไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีชีวิตให้เลือก!” เท้าขวาของนางเสยเข้ากลางเข่าข้างหนึ่งของจางกงกงจนเขาทรุดตัวลงไปครึ่งหนึ่งทันที ก่อนที่นางจะกระโจนขึ้นคร่อมกลางร่างเขา มือเล็กที่ครั้งหนึ่งเคยดีดกู่เจิง เรียงนิ้วไล้โน๊ตของขลุ่ยเลางามด้วยเสียงขับกล่อมแผ่วเบา กลับกลายเป็นหมัดช้ำเลือดที่ซัดลงบนใบหน้าคมคายของเขาไม่ยั้ง
“ผลั๊ก!!” หมัดแรก “เพื่อครอบครัวของข้า!!” เสียงปึกดังกว่าเดิมจากแรงตบ
“ผลั๊ก!!” หมัดที่สอง “เพื่อเขาคนนั้น!!”
“ผลั๊ก!!” หมัดที่สาม “เพื่อใต้เท้าเถียนเฟิงที่ไม่สันดานหยาบช้าเลวทรามเหมือนท่าน!”
“ผลั๊ก!!” หมัดที่สี่ “เพื่อคุณชายที่เจ้าพูด!!”
“ผลั๊กกก”
“และเพื่อ ‘ข้า’! คนที่พังพินาศเพราะคำพูดของท่านทุกคำ!!” หมัดสุดท้าย หนักแน่นจนร่างจางกงกงกระตุกเล็กน้อยในอ้อมแขนของนาง
บัดนี้หมดสิ้นอล้ว..หลินหยาคร่อมอยู่เหนือร่างของขันทีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชสำนัก ใบหน้าของนางเปราะไปด้วยเหงื่อมือเจ็บไปหมดจนแดงช้ำ นางไม่มีแรงมากพอที่จะทำให้ใบหน้างามนั้นแตกด้วยซ้ำ น้ำหอมที่ติดปลายผมกระจายอวลกลางอากาศราวกับกลีบดอกไม้หล่นจากฟากฟ้าในช่วงพายุลมแรง เสียงหอบหายใจแรง มือของหลินหยายังสั่น ไม่ใช่เพราะแรงต่อสู้หมด แต่เพราะตอนนี้เธอพึ่งตระหนัก..นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นางเข้าใกล้ชายใดถึงเพียงนี้ …แต่มันไม่ใช่ความใกล้ที่อบอุ่น ไม่ใช่ความรักที่แฝงอยู่ในห้วงฝัน
มันคือความใกล้ชิดของคนที่สูญเสียตัวตน ความใกล้ชิดของเหยื่อที่กำลังข่วนกรงเล็บสิงโต นางหอบหายใจ หยาดเหงื่อเคลือบเปลือกตา เส้นผมหลุดรุ่ยเกะกะใบหน้า
จางกงกงนอนนิ่งใต้ร่างเล็กของหลินหยา ผู้ที่รัวหมัดนุ่มไร้กำลังใส่เขาอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำตั้งแต่เขาขึ้นเป็นจงฉางซื่อ ไม่ใช่ด้วยอำนาจหรือฝีมือ…แต่ด้วยหัวใจที่พังทลายจนไร้ซึ่งความกลัวต่อสิ่งใดอีกต่อไป หลินหยานั้นนั่งคร่อมเขา ดวงหน้าสะอาดหมดจดแม้มอมแมมด้วยเหงื่อผสมคราบน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ นางกล่าวไว้ก่อนหน้านี้อย่างองอาจนักว่าจะไม่มีวันหลั่งน้ำตาต่อหน้าเขา ทว่าในความเงียบงันนี้ หยาดน้ำใสกลับหยดลงจากขอบตาที่สั่นระริก สะท้อนแสงเทียนในห้องราวกับกลีบหยกต้องแสงจันทร์
หนึ่งหยด ร่วงลงตรงปลายคางของจางกงกง
อีกหนึ่งหยด ซึมเข้าในรอยร้าวข้างมุมปากของเขา
นางมีสติ..นางได้สติ..ภาพที่หลินหยาเห็นคือใบหน้าของจางกงกงที่มีรอยมือของนางบนใบหน้า..แม้เพียงเล็กน้อยแต่นางรู้ตัวเมื่อครู่ว่าทำอะไรออกไป..
เขานิ่ง ไม่พูดอะไร ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว กลิ่นสุราเซียนเมามายยังไม่จางหายไปจากริมฝีปากของเขา แต่มันกลับไม่หอมหวานอีกต่อไป ในขณะนี้ เพราะกลิ่นของความพ่ายแพ้ของหลินหยาได้เจือปนอยู่ในลมหายใจนั้นเสียแล้ว ดวงตาของเขามองนางอย่างเงียบงัน ครั้งแรกในชีวิตที่จางกงกงทำเช่นนี้ ไม่ไร้คำพูด หากแต่เพราะหัวใจเขาค่อย ๆ กระตุกแรงในอกประหนึ่งมีใครนำบางสิ่งมากระแทกให้รู้สึก ความอ่อนแอที่เขาเฝ้ารอจะได้เห็น ไม่ใช่ความบอบบางของหญิงสาวหรอกหรือ?..
แต่นี่…กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย ไม่ใช่ภาพหญิงสาวอ่อนแอให้เขากอด ไม่ใช่การร้องไห้ที่เขาจะได้เช็ดน้ำตา หากแต่เป็นหยาดน้ำตาที่หลุดร่วงลงมา เพราะนางแตกสลายเกินเยียวยา และไม่ใช่ใครอื่น…แต่เขา เขาเอง ที่เป็นคนทำลาย
จางกงกงค่อย ๆ เงยใบหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย ปล่อยนให้หยาดน้ำตานั้นกลิ่นผ่านแก้มตัวเองลงข้างขมับเย็นชื้นด้วยเหงื่อ “เจ้าร้องไห้แล้ว…” เสียงเขาแผ่วเบายิ่งกว่าลมหายใจ คล้ายยอมรับแต่ไม่กล้าสัมผัส “…เจ้าร้องไห้เพราะข้า…” เสียงนั้นแตกพร่าเหมือนมีเศษหินกรวดปนอยู่ มือหนาเรียวงามของจางกงกงที่เคยเขียนจดหมายออกคำสั่งทำงานสกปรก กลับยกขึ้นมาอย่า่งแผ่วเบา..ราวกับกำลังสัมผัสกับเศษแก้วที่บอบบางที่สุดในโลก..ปลายนิ้วของเขาไม่อุ่น แต่นุ่มราวกับสายลมดึกที่ไม่มีใครมองเห็น
เขาเกลี่ยหยาดน้ำตาบนแก้มนวลนั้นเบา ๆ ไม่ใช่เพื่อปลอบประโลม…หากแต่เป็นเพื่อบันทึก เพื่อจำมันไว้ทุกหยด จำว่านางงามขนาดนี้ยามหัวใจแตกสลาย จำว่าเขาเป็นผู้สร้างแววตาแบบนี้ขึ้นมา “เจ้ายังงามนัก…แม้ในยามน้ำตาร่วงเช่นนี้” เสียงของเขาแผ่วลงราวกับคำอธิษฐาน เสียงที่มิได้ก้องกังวานเหมือนตอนออกคำสั่ง หากแต่ทุ้มต่ำแฝงไอเศร้าราวกับซากไม้ผุในวันหิมะโปรย ดวงตาใต้แพขนตายาวของจางกงกงนั้นมืดมนซับซ้อน สะท้อนเพียงภาพของหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่เขาทำให้แตกละเอียด
มือของเขาที่ยังอยู่ที่แก้มนาง แต่สัมผัสนั้นไร้การบีบบังคับ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ร้อนแรงลึกลงไปใต้ผิวหนัง แม้จางกงกงจะไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของตน หากตอนนี้…ในดวงตาคู่นั้น มันปรากฏชัดยิ่งกว่าคำใด เขาเห็นดวงตานี้เหมือนดวงตาของตนเองเมื่อคราวอดีต.. “เจ้ารู้ไหมหลินหยา..ในโลกที่เน่าเฟะเช่นนี้ ไม่มีใครรอดไปได้ด้วยหัวใจที่สะอาดหรอก..เจ้าจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ หากเจ้ามีหัวใจเช่นนี้” เขาเอ่ย ถ้อยคำของคนที่ผ่านขุมนรกมาแล้วยอมให้น้ำตาอีกคนตกบนหน้าเขา…โดยไม่หลบเลี่ยง “เพราะงั้นเก็บมันไว้…หรือจงฆ่ามันไปเสีย” จางกงกงเอ่ย ใบหน้าแนบกับมือของตนที่ยังสัมผัสแก้มนางอยู่
น้ำตานั้นหลั่งรินไม่หยุดราวกับหยาดพายุหลงฤดูมันทักลักออกมาจากดวงตาที่กลมโตใสของหอว่านหงเหริน เสียงร้องไม่มีแต่เสียงหอบหนักยิ่งกว่าสายลมในวังหลวงที่พักไม่อาจปลอบประโลมได้ มือเรียวของนางขยับลงมากำเสื้อของนางกงกงไว้แน่น ขณะร่างของเธอยังคงคร่อมตัวเขาไม่จากไป..ดวงตาคู่ัน้นแดงก่ำ เปียกป้อนไปทั้งหยดน้ำตาและหยดน้ำใจที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า..
“ได้โปรด…ฆ่าข้าเสียทีเถอะ…” เสียงนั้นเบาแต่หนักแน่น ราวกับขุดลึกมาจากก้นบึ้งวิญญาณ ปลายเสียงสั่นพร่าเพราะแรงกลั้นสะอื้น จนได้ยินเสียงขัดของลมหายใจที่ฝืนทุกครั้ง “ได้โปรด…อย่าให้ข้าต้องหลอกใครอีกเลย…ข้าไม่อยากให้ผู้ใดต้องรักข้า…ข้าไม่อยากเอาความบริสุทธิ์ของผู้ใดไป ข้าไม่ใช่สตรีที่มีค่าพอที่จะได้รับ..ข้า...แค่คนธรรมดาที่อยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ มีแมวสักตัว ปลูกต้นไม้ริมแม่น้ำ หัวเราะกับเสียงดนตรี อยู่นอกวัง อยู่นอกโลกที่ท่านกักขังข้าไว้...ได้โปรด…”
“ได้โปรด...เมตตาข้าเถิด…สักครั้ง สุดท้ายแล้วจริง ๆ ขอเพียงครั้งนี้...ฆ่าข้าเถอะ...” ดวงตาของหลินหยายังคงจ้องเขาไม่กระพริบ เหมือนเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินหลงทางเข้าป่าและรู้ว่าข้างหน้าคือเหวลึกที่ไม่มีทางรอด นางไม่ร้องให้ให้ใครช่วยอีกแล้ว..
ดวงตานั้นว่างเปล่าในความอ่อนล้า...แต่เสียงร้องนั้นเปี่ยมไปด้วยเศษเสี้ยวสุดท้ายของใจคน
หลินหยา...ขอเพียงตายโดยไม่ต้องถูกบังคับให้ทำร้ายใครอีกแล้ว
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่ อื่น ๆ: คุณคิดว่าผมทำขนาดนี้..คุณรู้จักเจ็ดหมัดฮาวายไหม
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20 โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
|