12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

ตำหนักจงฉางชื่อ

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-25 20:59:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักจงฉางซื่อ


           ในแสงอ่อนรางของยามค่ำคืน ตำหนักจงฉางซื่อกลับยังคงอบอวลด้วยกลิ่นกระดาษเก่า หมึกสด และแอลกอฮอล์ละมุนลิ้นที่หอมตลบอวลไปทั่วห้อง ทั้งที่ควรเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน แต่เบื้องหน้าห้องนี้ไม่เคยว่างเปล่า หลินหยาก้าวย่างเข้ามาช้า ๆ ภายในห้องแห่งนี้อีกครั้งด้วยฝีเท้าเบา ๆ นางก้มหน้าน้อย ๆ คล้ายจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นเจ้าของตำหนักโดยตรง ทว่ากลับรับรู้ได้ถึงแผ่นหลังตรงสง่าแต่แฝงอำนาจเยือกเย็นของเขาในทันที..

           จางกงกงในยามนี้มิได้อยู่ในอาภรย์เสื้อผ้าแบบขันทีที่เคร่งครัดเช่นครั้งแรกที่นางพบ เขาสวมเพียงชุดผ้าพลิ้วสีเข้มแบบสบายตา แม้มิได้หรูหราแต่กลับมีความสงบเหยียบเย็นที่ประหลาดนัก เขายกจอกสุราขึ้นแนบริมฝีปาก ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากเผยยิ้มเย็นจางประหนึ่งกำลังชื่นชมรสหวานอมเปรี้ยวที่กลมกล่อมยิ่งนัก กลิ่นดอกท้ออ่อนละมุนลอยฟุ้งระคนไปกับไอเย็นของช่วงเวลาค่ำคืน ช่างขัดแย้งกับภาพวันวานที่เขาย่ำยีคำว่า อิสรภาพ ของหลินหยาจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี

           หลินหยาขยับตัวเข้าใกล้อย่างเงียบงัน ดวงหน้าของนางไร้ซึ่งรอยยิ้ม ใบหน้านั้นเรียบนิ่งแต่ดวงตาของนางยังคงเปล่งแสงราวกับผลลูกท้อที่เพิ่งเด็ดออกจากต้น มีทั้งความอ่อนหวานและความดื้อดึงและความขมขื่นเปปนกันไปให้มันกลืนลงลำคอของนางอย่างยากเย็นเสียเหลือเกิน..

           “ขอคำนับ..จงฉางซื่อ” นางเอ่ยเสียงเบาให้อีกคนพอแต่ได้ยิน..พูดคำเดิมเหมือนที่ตนเองเคยพูดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วในยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ยังทอแสงแม้ว่าจะรำไรแล้วก็ตามที..ตอนนี้เธอเหนื่อยจึงไม่ได้แฝงความเคารพจนเกินไปนัก เพราะนางไม่อยากเสแสร้งแกล้งทำเช่นคนที่จำต้องรู้หมดไส้พุงกันแล้วถึงกมลสันดารของแต่ละคน เขาเหลือบตาขึ้นมองช้า ๆ สายตาแน่วแน่ประหนึ่งจ้องมองขั้วหัวใจของสตรีที่อยู่ตรงไหน..

           “กลับมาอีกแล้วหรือ?..แม่นางหลินหยา..ของข้า”

           เขาเรียกเช่นนั้นอีกครั้งจนเธอต้องกระตุกคิ้วเข้าหากันเพียงนิด เพราะสุราที่ดื่มทำให้เขาอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายกันแน่? นางไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะตอนอยู่หอว่านหงเหริน นางไม่เคยพบเขาดื่มสุราเลยแม้แต่สักครั้งเดียว.. แต่แล้วภาพนั้นมันก็กลับมาอีกครั้ง ภาพที่เขาเชยคางนางไว้ในความมืดของห้องรับรองฝั่งตะวันตกของหอว่านหงเหริน ดวงตาเรียวลึกที่จ้องมองดวงตาที่แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ของนางเธอยังจำคำพูดของเขาเมื่อตอนนั้นได้..ไม่ใช่คำชม แต่มันเป็นมีด ไม่ใช่ความหลงใหลเสน่ห์หาเช่นชายหญิง แต่เป็นอะไรสักอย่างที่เขาทำให้มันกดลงไปกับใจนางแล้วดูนางแหลกละเอียดคามือของเขา

           บัดนี้เขากำลังนั่งดื่มสุราที่นางพึ่งมอบให้ก่อนหน้า ด้วยสีหน้าที่แทบจะเรียกว่าพึงพอใจ จอกในมือนั้นวาวสะท้อนแสงจันทร์ กลิ่นดอกท้อลอยอ้อยอิ่งในอากาศ และเขาก็ยังคงยิ้ม ราวกับกำลังชิมรสชาติของนางจากกลิ่นของรสในจอกนั้น.. “รสชาตินี้..ช่างคล้ายเจ้ายิ่งนัก” เขากล่าวกับนางขณะยกจอกขึ้นมองผ่านเมรัยสีชมพูอ่อน “หอมหวาน แต่ซ่อนไว้ด้วยรสเปรี้ยวสดชื่นแต่ขมขื่นบางเบา หากไม่ระวังจะเมาเสียจนไม่รู้ตัว..หรือไม่ก็คลุ้มคลั่งเสียเอง”

           หลินหยาไม่ได้ตอบ นางเพียงขยับมือยื่นห่อผ้าสีน้ำเงินเข้มที่ห่อสิ่งของจากเว่ยปินกงกงมาให้เขา ก่อนที่จะกล่าวตามหน้าที่ของตนเอง “เว่ยปินกงกงมอบหมายให้ข้านำของสิ่งนี้มาส่งเจ้าค่ะ”

           จางกงกงรับห่อมาอย่างเฉยชา หากแต่รอยยิ้มนั้นก็มิมลายหายไปหรือคลายออกแม้แต่สักน้อย เขาวางจอกสุราเบา ๆ ลงบนโต๊ะ หันมาหานางแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งทีละน้อย ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้นางทีละก้าว สายตายังคงเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งแหลมคมที่พร้อมจ่อคอให้ตายค่าทีดับดิ้นไร้ชีวิตอย่างอดกลั้น

          “เจ้าเปลี่ยนไปนะ..หลินหยา” เขากล่าวเสียงแผ่วต่ำ “วันแรกเจ้าดื้อแพ่งกับข้าอย่างกับม้าเถื่อน คราวต่อมาเจ้าสั่นไหวอย่างกับลูกแมว..แต่วันนี้..เจ้าเหมือนสุราเซียนเมามายที่เจ้ามอบให้ข้า..สุกงอมอย่างงดงาม” มือหนึ่งยกขึ้นช้า ๆ ราวกับจะเชยคางนางอีกครั้งเหมือนช่วงเวลาที่ยังอยู่ ณ หอว่านหงเหริน แต่หลินหยากลับก้าวถอยหนึ่งก้าว

           “ข้าขอเพียงทำหน้าที่ให้ครบ ไม่มากไปกว่านั้นเจ้าค่ะ” เสียงนางนิ่งสงบ แต่ดวงตาเหมือนจะเริ่มลุกวาวด้วยไฟที่ไม่อาจมอดดับไปได้โดยง่ายแม้ร่างกายของนางจะรู้สึกอ่อนล้าเพียงใด และเขาก็ยิ้ม ยิ้มที่ราวกับจะลิ้มรสนางอีกครั้งโดยไม่แตะต้อง

           “ดี..จงรักษารสชาตินี้ไว้ให้ดี..อย่าให้จืดจางแม้ในยามที่เจ้าอยู่ต่อหน้าองค์ชาย เพราะบุรุษย่อมต้องการบางสิ่งที่หลอมรวมระหว่างความงามและความเปราะบาง”นั้นคือคำของจางกงกง แต่ทว่านางรู้สึกแปลกกับคำของเขา..แม้เขาจะเคยพูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นางเงยหน้ามองคนที่สูงกว่า..กำลังคิดว่าเขากำลังเมาสุราหรือสติหลุดไปแล้วกันแน่..เหมือนเขาเก็บบางอย่างเอาไว้ในใจตอนที่นางเดินจากออกไปเมื่อครั้งช่วงเย็น

           ยามซวีในช่วงปลาย แสงเทียนที่ส่องสะท้อนลวดลายบนอาภรย์เบาบางของจางกงกงทำให้เงาร่างสูงนั้นยิ่งแลดูยาวเหยียดยิ่งในยามที่เขาก้าวเข้าหานาง แต่ละก้าวราวกับกดทับลงกลางอกของหลินหยาจนแทบหายใจไม่ออก นางทำเพียงเงยหน้าจริง ๆ มองบุรุษในร่างขันทีผู้แฝงเล่ห์แยบคายทุกกระเบียดนิ้ว ริมฝีปากนั้นยังคงเคลื่อนไหว พ่นวาจาเย็นเหยียบดั่งคมดาบที่เฉียบขาดไม่เพียงแต่เฉือนผ่านผิว แต่กลับสอดลึกลงไปถึงชั้นหัวใจรุนแรงแต่ไร้เสียงเลือดตก เหมือนมันจะค่อย ๆ เฉือนเส้นเลือดหัวใจนางออกทีละเส้นอย่างช้า ๆ

           “เจ้ายังร่าเริงไม่พอในวันนี้สินะ?..” เสียงนั้นทอดนุ่มเหมือนผ้าแพรงาม บาดลึกกว่าเหล็กล้า หลินหยาไม่เข้าใจคำว่ายังไม่ร่าเริงพอของเขา..และนางคิดแล้วว่าเขาต้องเริ่มเมาแล้วแน่ ๆ “ในยามเจ้าร้องไห้..ใบหน้าของเเจ้า คงราวกับดอกท้อที่ต้องฝน ยิ่งเปียกป้อนยิ่งอ่อนบาง ยิ่งงามนัก ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ..ว่าข้าอยากเห็นเจ้าตอนน้ำตาไหล ข้าชอบเจ้ายามแตกสลาย แหลกละเอียดอยู่ตรงหน้าข้า ใต้เท้าข้า”

           ดวงตาของเขามองตรงมาสู่แววตาของนาง แววตาที่เคยวาวด้วยประกายของความขบล ซุกซนและเย้ยหยันบ่อยครั้ง บัดนี้กลับสะท้อนเพียงม่านหมอกของความปวดร้าวและปตกหัดอย่างเงียบเชียบ

           “เจ้าอยากให้ข้าขอบคุณหรือกราบกรานที่เจ้ามอบสุราให้? หรือเจ้าคิดว่าแค่นี้จะชดใช้กับการปกป้องครอบครัวอันอ่อนแอของเจ้า” เขากระซิบต่ำด้วยรอยยิ้มคล้ายเมามาย แต่แววตานั้นยังคงชัดเจน ชัดเจนเกินกว่าที่หลินหยาจะคิดว่าเขาเมา “เจ้าช่างเป็นเด็กสาวที่เอาใจง่ายเสียเหลือเกิน..หลินหยา” คำเรียกนั้นมาอีกแล้ว มันยิ่งกว่าโซ่ตรวนบนคอนาง หลินหยาเริ่มรู้สึก ว่านี้มันไม่ใช่การหยอกล้อแล้ว แต่มันคือการสลักรอยประทับลงกลางวิญญาณของนาง หลินหยาหายใจสะท้านอก อยากวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ขาของนางกลับสั่นแล้วดวงตาก็ไหวระริก สติที่พยายามเกาะกุมไว้ตลอดทั้งวันนั้นแทบแหลกเป็นเสี่ยง ๆ ตรงนี้

           “ข้าขอเพียง..ทำตามคำสั่งเจ้าค่ะ จางกงกง” น้ำเสียงเธอสั่น แต่ก็ยังนุ่มนวล เหมือนสายลมพัดเหนือผิวน้ำที่ไม่เคยสงบ แต่ในนั้นมีคลื่น คลื่นที่ซัดซาดลงสู่ความโกรธ ความอัดอั้นและคำถามมากมายที่นางเก็บไว้ในใจตั้งแต่คืนแรกที่เขาบังคับให้นางเลือก..เลือกงั้นหรอ?..หึ..ยอมเป็นเครื่องมือในวังหลวงอันไร้หัวใจเสียมากกว่า

           จางกงกงขยับเข้ามาใกล้ ตอนนี้ใกล้จนลมหายใจของเขาสัมผัสกับผิวแก้มนาง มือเรียวยกขึ้นอีกครั้งคล้ายจะเชยคางนางตามนิสัยเก่าก่อน แต่คราวมือหลินหยายกมือตัวเองขึ้นมาจับข้อมือของเขาไว้แน่นด้วยมืออันไร้เรี่ยวแรงอันน้อยนิด แต่มันกลับแน่นสำหรับขันทีผู้เยือกเย็นให้ชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจ

          “ข้ามิใช่ของท่าน ข้ามิใช่ดอกไม้ที่จะเด็ดเล่นยามว่าง ข้ายังมีเลือดในกาย ยังมีครอบครัว ยังมีหัวใจที่ข้าเองก็หายใจได้เพราะมัน” เสียงของหลินหยาสั่นไหว แต่มันไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวอีกต่อไป หากแต่เป็นโทสะ โทสะที่อัดแน่น แน่นขนัดอยู่ภายใน ความเจ็บแค้น ความเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกที่ถูกย่ำยีมาทั้งวันทั้งคืนตลอดคำนั้น จนแทบแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

          “ท่านพูดถูก..”

           
“ในยามที่ข้าร้องไห้งดงามนัก เพราะมันคือสิ่งเดียวที่ข้าเหลือให้ได้โลกเห็น ว่าแม้ข้าจะถูกสั่งให้แสร้งอ่อนแอ แต่แท้จริง ข้ารู้จักเจ็บ รู้จักร้อง และรู้จักกลืนน้ำสั่งของท่านลงไปพร้อมน้ำตายโดยไม่ตาย และข้า..จะไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้าท่าน” จากนั้นหลินหยาก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออก ทิ้งฝ่ามือของเขาให้ตกลงอย่างไร้การประคอง กลิ่นสุราเซียนเมามายที่ยังลอยค้างอยู่ในอากาศ กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนหวาน...แต่ยามนี้กลับแสบปลายจมูกนัก ราวกับว่าความขมของจิตใจได้กลั่นซึมลงไปในสุรานั้นเรียบร้อยแล้ว

           จางกงกงเงียบไป เขายืนนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าในดวงตาจะยังไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ร่องรอยบางอย่างกลับฉายแววปริกแตกอยู่ในม่านเงา เขาอาจเพียงแค่กำลังเลือกคำถัดไป ที่จะแทงเธอให้ลึกลงกว่าเดิมอีกครั้ง

           “เจ้ากล่าวว่าจะไม่มีวันร้องไห้ต่อหน้าข้า??” เขาเอ่ยเบา ๆ ออกมาแต่หนักแน่นประหนึ่งตาประทับ ก่อนที่จะทอดสายตามองเธอด้วยแววตาแฝงความเหี้ยมเย็นปะปนรอยยิ้มคล้ายคนหยั่งรู้ รู้สึกเสียจนเหมือนเขาฝังเข้าไปอยู่ในหัวใจนางทุกคืนวัน “เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเก็บงำมันไว้ได้ตลอดไปหรือ..หลินหยา” เขาพูดชื่อเธอ..แต่ไม่ใช่แค่ชื่อ แต่เป็นตราที่เขาใช้ตีตราหลินหยาในทุกครั้งที่ต้องการทำให้นางรู้ว่านางไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว หลินหยาตั้งท่าจะตอบ แต่ไม่ทันเอ่ยเสียงใด เขาเดินวนรอบร่างนางอย่างจงใจให้รู้สึกว่ากำลังถูกล่า

           “องค์ชาย..ข้ายังไม่เห็นเจ้าได้ใจท่านแม้แต่ปลายเล็บ ยังมีหน้ามาเรียกตนว่าไฉหนี่ว์อีกหรือ? หรือเจ้าคิดว่าจะให้ข้าช่วยกระซิบบอกท่าน ให้เห็นเจ้าอยู่ในสายตาเสียที”

           
“ไม่สิ..หรือเจ้าจะรอใครอื่นอยู่” เสียงของเขาเบาลงราวกับพ่นพิษใกล้ใบหูของนาง “เถ้าแก่ร้านเถ้าหู้ผู้นั้นน่ะหรือ..ที่เจ้าไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร..หรือเจ้าจะหมายถึงคุณชายที่เจ้าไปพบที่ตลาดตะวันออกแล้วส่งรอยยิ้มพริมใจนั้นให้..หรือบางที..” เขาหยุดแล้วเดินเข้าประจันหน้าของนาง “ต้าซือคงผู้สุภาพชน ใต้เท้าเถียนเฟิงของเจ้าหรือ?”

           หลินหยาที่ได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากของนางขบแน่น ดวงตาสั่นไหว เธอไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่มันทำให้หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำประหนึ่งถูกตอกตรึงกับกำแพง จางกงกงโน้มตัวลง…เสียงของเขาเย็นยิ่งกว่าน้ำในบ่อเหมันต์เมื่อนิ้วเรียวของจางกงกงเอื้อมมาหยุดอยู่ตรงใต้คางนาง..เชยคางนางขึ้นมาได้แล้วบีบคางนางให้แน่นจ้องหน้าของเขาไว้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเถียนเฟิงของเจ้า ก็เป็นเพียงขุนนางผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนเช่นกัน...เมื่อถึงครา หากข้ากระซิบเพียงคำเดียว เขาก็ต้องถอย...แล้วเจ้าจะหวังพึ่งผู้ใด?”

          “ไม่มีใครจะช่วยเจ้าได้ ไม่มีสหาย ไม่มีแมว ไม่มีสุรา และไม่มีชายใดจะมอบอิสรภาพให้เจ้า…หากข้าไม่อนุญาต” นิ้วนั้นจับแน่นประหนึ่งต้องการตรึงใจของหลินหยาไว้ในอุ้งมือ “เจ้าเป็นของใคร..ตอบออกมา”

           หลินหยากำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงเนื้อ ขอบตาร้อนผ่าวแต่นางยังคงฝืนสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาดื้อรั้นและนางเจ็บปวดจากแรงบีบนั้น “ข้า..จะไม่มีวันร้องไห้ให้ท่านเห็น” นางพูดมันขึ้นมา ไม่ตอบคำถามว่านางเป็นของใคร ไม่มีวัน..

           จางกงกงยิ้ม…ยิ้มแบบที่หลินหยารู้ดีว่าเขาชอบคำท้าทายเช่นนี้ “งั้นก็ให้ข้าพิสูจน์เถิด ว่าน้ำตาของเจ้าจะไหลก่อนหัวใจเจ้าจะพัง…หรือหัวใจเจ้าจะดับไปก่อนที่น้ำตาหยดแรกจะร่วง” ประโยคสุดท้ายนั้นแทงทะลุกลางอกหลินหยา มันไม่ใช่คำขู่ แต่มันคือคำตัดสิน โลกของเธอ…ถูกเขาขึงไว้ด้วยด้ายบางๆ ที่เชื่อมกับทุกคนที่เธอรัก และหากเขาเป็นคนถือปลายด้ายนั้นทั้งหมด…แล้วนางจะหนีไปทางใด

           ทุกสิ่ง..มืดดับ..ดวงตาของนางดำสูญ

           หลินหยาตกอยู่ในสภาวะกดดันอย่างรุนแรงจากการถูกจางกงกงบังคับและข่มขู่ชีวิตคนที่เธอรัก ตอนนี้นางมืดแปดด้าน นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนต่อความต้องการของจางกงกง ความกลัวอย่างสุดขีดนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของหลินหยาอย่างหนัก..ความเครียดและหวาดกลัวต่ออันตราย..

           นางจ้องมองเขาไม่เห็น เหมือนภาพมันดำมืดไปหมด รู้สึกทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน ความหวาดกลัว มาจากความปลอดภัยของครอบครัวและคนที่รักทั้งหลายที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย และความไม่แน่นอนว่าจางกงกงจะทำอะไรกับเธอหากขัดคำสั่ง ขณะเดียวกัน ความโกรธและความคับแค้นใจ ก็เพิ่มพูนขึ้นในใจเนื่องจากถูกบีบบังคับให้ทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตนเองและขัดต่อศีลธรรม..นางรู้ รู้สิ..

           การทรยศต่อทั้งองค์ชายและศรัทธาของตัวเอง บีบจนจนมุมเกินกว่าที่นางจะเลือกทางเลือกอื่น หัวใจนางทุกข์ทรมาณแสนสาหัสเพราะไม่อยากหลอกลวงใครอีกแล้ว..ขีดความอดทนของหลินหยาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว นางจะต่อต้าน แบบที่ไม่สนลัพธ์ที่เข้าใส ในตอนนี้..นางน่ะ..

           สิ้นหวังสุดขีด

           ปลายเสียงของจางกงกงนั้นแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไปสำหรับหลินหยา มันคือเสียงของปีศาจที่เคยปลุกปลอมเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่นในม่านหอว่านหงเหริน กลับหลายเป็นคำสาปที่กัดกร่อนหัวใจ ทีละน้อย...ทีละคำ...จนความเงียบข้างในกลายเป็นเสียงกรีดร้อง คำพูดนั้นคล้ายเหล็กร้อนที่นาบลงกลางอกนาง ร่างเล็กผวาสะบัดมือเขาออกในจังหวะนั้น สายตาว่างเปล่า เงียบ…ราวกับสิ้นสติไปแล้ว แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ร่างทั้งร่างก็พุ่งเข้าหาราวกับหมาป่าที่หมดความอดทน

          “เพี๊ยะ!!”

           เสียงฉากแรก ไม่ใช่เสียงร้องแต่คือเสียงของฝ่ามือที่ฟาดลงกลางแก้มของจางกงกงจนเขาหันไปตามแรง “เพราะท่าน…” เสียงหลินหยากัดฟันพูดลอดไรฟัน ดวงตาแดงวาบไร้ร่องรอยของหญิงสาวเรียบร้อย “เพราะท่าน…ข้าไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีชีวิตให้เลือก!” เท้าขวาของนางเสยเข้ากลางเข่าข้างหนึ่งของจางกงกงจนเขาทรุดตัวลงไปครึ่งหนึ่งทันที ก่อนที่นางจะกระโจนขึ้นคร่อมกลางร่างเขา มือเล็กที่ครั้งหนึ่งเคยดีดกู่เจิง เรียงนิ้วไล้โน๊ตของขลุ่ยเลางามด้วยเสียงขับกล่อมแผ่วเบา กลับกลายเป็นหมัดช้ำเลือดที่ซัดลงบนใบหน้าคมคายของเขาไม่ยั้ง

        “ผลั๊ก!!” หมัดแรก “เพื่อครอบครัวของข้า!!” เสียงปึกดังกว่าเดิมจากแรงตบ
         “ผลั๊ก!!” หมัดที่สอง “เพื่อเขาคนนั้น!!”
           “ผลั๊ก!!” หมัดที่สาม “เพื่อใต้เท้าเถียนเฟิงที่ไม่สันดานหยาบช้าเลวทรามเหมือนท่าน!”
        “ผลั๊ก!!” หมัดที่สี่ “เพื่อคุณชายที่เจ้าพูด!!”
          “ผลั๊กกก”
           “และเพื่อ ‘ข้า’! คนที่พังพินาศเพราะคำพูดของท่านทุกคำ!!” หมัดสุดท้าย หนักแน่นจนร่างจางกงกงกระตุกเล็กน้อยในอ้อมแขนของนาง

           บัดนี้หมดสิ้นอล้ว..หลินหยาคร่อมอยู่เหนือร่างของขันทีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชสำนัก ใบหน้าของนางเปราะไปด้วยเหงื่อมือเจ็บไปหมดจนแดงช้ำ นางไม่มีแรงมากพอที่จะทำให้ใบหน้างามนั้นแตกด้วยซ้ำ น้ำหอมที่ติดปลายผมกระจายอวลกลางอากาศราวกับกลีบดอกไม้หล่นจากฟากฟ้าในช่วงพายุลมแรง เสียงหอบหายใจแรง มือของหลินหยายังสั่น ไม่ใช่เพราะแรงต่อสู้หมด แต่เพราะตอนนี้เธอพึ่งตระหนัก..นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่นางเข้าใกล้ชายใดถึงเพียงนี้ …แต่มันไม่ใช่ความใกล้ที่อบอุ่น ไม่ใช่ความรักที่แฝงอยู่ในห้วงฝัน

           มันคือความใกล้ชิดของคนที่สูญเสียตัวตน ความใกล้ชิดของเหยื่อที่กำลังข่วนกรงเล็บสิงโต นางหอบหายใจ หยาดเหงื่อเคลือบเปลือกตา เส้นผมหลุดรุ่ยเกะกะใบหน้า

           จางกงกงนอนนิ่งใต้ร่างเล็กของหลินหยา ผู้ที่รัวหมัดนุ่มไร้กำลังใส่เขาอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำตั้งแต่เขาขึ้นเป็นจงฉางซื่อ ไม่ใช่ด้วยอำนาจหรือฝีมือ…แต่ด้วยหัวใจที่พังทลายจนไร้ซึ่งความกลัวต่อสิ่งใดอีกต่อไป หลินหยานั้นนั่งคร่อมเขา ดวงหน้าสะอาดหมดจดแม้มอมแมมด้วยเหงื่อผสมคราบน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ นางกล่าวไว้ก่อนหน้านี้อย่างองอาจนักว่าจะไม่มีวันหลั่งน้ำตาต่อหน้าเขา ทว่าในความเงียบงันนี้ หยาดน้ำใสกลับหยดลงจากขอบตาที่สั่นระริก สะท้อนแสงเทียนในห้องราวกับกลีบหยกต้องแสงจันทร์

           หนึ่งหยด ร่วงลงตรงปลายคางของจางกงกง
           อีกหนึ่งหยด ซึมเข้าในรอยร้าวข้างมุมปากของเขา

           นางมีสติ..นางได้สติ..ภาพที่หลินหยาเห็นคือใบหน้าของจางกงกงที่มีรอยมือของนางบนใบหน้า..แม้เพียงเล็กน้อยแต่นางรู้ตัวเมื่อครู่ว่าทำอะไรออกไป..

           เขานิ่ง ไม่พูดอะไร ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว กลิ่นสุราเซียนเมามายยังไม่จางหายไปจากริมฝีปากของเขา แต่มันกลับไม่หอมหวานอีกต่อไป ในขณะนี้ เพราะกลิ่นของความพ่ายแพ้ของหลินหยาได้เจือปนอยู่ในลมหายใจนั้นเสียแล้ว ดวงตาของเขามองนางอย่างเงียบงัน ครั้งแรกในชีวิตที่จางกงกงทำเช่นนี้ ไม่ไร้คำพูด หากแต่เพราะหัวใจเขาค่อย ๆ กระตุกแรงในอกประหนึ่งมีใครนำบางสิ่งมากระแทกให้รู้สึก ความอ่อนแอที่เขาเฝ้ารอจะได้เห็น ไม่ใช่ความบอบบางของหญิงสาวหรอกหรือ?..

           แต่นี่…กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย ไม่ใช่ภาพหญิงสาวอ่อนแอให้เขากอด ไม่ใช่การร้องไห้ที่เขาจะได้เช็ดน้ำตา หากแต่เป็นหยาดน้ำตาที่หลุดร่วงลงมา เพราะนางแตกสลายเกินเยียวยา และไม่ใช่ใครอื่น…แต่เขา เขาเอง ที่เป็นคนทำลาย

           จางกงกงค่อย ๆ เงยใบหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย ปล่อยนให้หยาดน้ำตานั้นกลิ่นผ่านแก้มตัวเองลงข้างขมับเย็นชื้นด้วยเหงื่อ “เจ้าร้องไห้แล้ว…” เสียงเขาแผ่วเบายิ่งกว่าลมหายใจ คล้ายยอมรับแต่ไม่กล้าสัมผัส “…เจ้าร้องไห้เพราะข้า…” เสียงนั้นแตกพร่าเหมือนมีเศษหินกรวดปนอยู่ มือหนาเรียวงามของจางกงกงที่เคยเขียนจดหมายออกคำสั่งทำงานสกปรก กลับยกขึ้นมาอย่า่งแผ่วเบา..ราวกับกำลังสัมผัสกับเศษแก้วที่บอบบางที่สุดในโลก..ปลายนิ้วของเขาไม่อุ่น แต่นุ่มราวกับสายลมดึกที่ไม่มีใครมองเห็น

           เขาเกลี่ยหยาดน้ำตาบนแก้มนวลนั้นเบา ๆ ไม่ใช่เพื่อปลอบประโลม…หากแต่เป็นเพื่อบันทึก เพื่อจำมันไว้ทุกหยด จำว่านางงามขนาดนี้ยามหัวใจแตกสลาย จำว่าเขาเป็นผู้สร้างแววตาแบบนี้ขึ้นมา “เจ้ายังงามนัก…แม้ในยามน้ำตาร่วงเช่นนี้” เสียงของเขาแผ่วลงราวกับคำอธิษฐาน เสียงที่มิได้ก้องกังวานเหมือนตอนออกคำสั่ง หากแต่ทุ้มต่ำแฝงไอเศร้าราวกับซากไม้ผุในวันหิมะโปรย ดวงตาใต้แพขนตายาวของจางกงกงนั้นมืดมนซับซ้อน สะท้อนเพียงภาพของหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่เขาทำให้แตกละเอียด

           มือของเขาที่ยังอยู่ที่แก้มนาง แต่สัมผัสนั้นไร้การบีบบังคับ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน ร้อนแรงลึกลงไปใต้ผิวหนัง แม้จางกงกงจะไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของตน หากตอนนี้…ในดวงตาคู่นั้น มันปรากฏชัดยิ่งกว่าคำใด เขาเห็นดวงตานี้เหมือนดวงตาของตนเองเมื่อคราวอดีต.. “เจ้ารู้ไหมหลินหยา..ในโลกที่เน่าเฟะเช่นนี้ ไม่มีใครรอดไปได้ด้วยหัวใจที่สะอาดหรอก..เจ้าจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ หากเจ้ามีหัวใจเช่นนี้” เขาเอ่ย ถ้อยคำของคนที่ผ่านขุมนรกมาแล้วยอมให้น้ำตาอีกคนตกบนหน้าเขา…โดยไม่หลบเลี่ยง “เพราะงั้นเก็บมันไว้…หรือจงฆ่ามันไปเสีย” จางกงกงเอ่ย ใบหน้าแนบกับมือของตนที่ยังสัมผัสแก้มนางอยู่

           น้ำตานั้นหลั่งรินไม่หยุดราวกับหยาดพายุหลงฤดูมันทักลักออกมาจากดวงตาที่กลมโตใสของหอว่านหงเหริน เสียงร้องไม่มีแต่เสียงหอบหนักยิ่งกว่าสายลมในวังหลวงที่พักไม่อาจปลอบประโลมได้ มือเรียวของนางขยับลงมากำเสื้อของนางกงกงไว้แน่น ขณะร่างของเธอยังคงคร่อมตัวเขาไม่จากไป..ดวงตาคู่ัน้นแดงก่ำ เปียกป้อนไปทั้งหยดน้ำตาและหยดน้ำใจที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า..

          “ได้โปรด…ฆ่าข้าเสียทีเถอะ…” เสียงนั้นเบาแต่หนักแน่น ราวกับขุดลึกมาจากก้นบึ้งวิญญาณ ปลายเสียงสั่นพร่าเพราะแรงกลั้นสะอื้น จนได้ยินเสียงขัดของลมหายใจที่ฝืนทุกครั้ง “ได้โปรด…อย่าให้ข้าต้องหลอกใครอีกเลย…ข้าไม่อยากให้ผู้ใดต้องรักข้า…ข้าไม่อยากเอาความบริสุทธิ์ของผู้ใดไป ข้าไม่ใช่สตรีที่มีค่าพอที่จะได้รับ..ข้า...แค่คนธรรมดาที่อยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ มีแมวสักตัว ปลูกต้นไม้ริมแม่น้ำ หัวเราะกับเสียงดนตรี อยู่นอกวัง อยู่นอกโลกที่ท่านกักขังข้าไว้...ได้โปรด…”

           “ได้โปรด...เมตตาข้าเถิด…สักครั้ง สุดท้ายแล้วจริง ๆ ขอเพียงครั้งนี้...ฆ่าข้าเถอะ...” ดวงตาของหลินหยายังคงจ้องเขาไม่กระพริบ เหมือนเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินหลงทางเข้าป่าและรู้ว่าข้างหน้าคือเหวลึกที่ไม่มีทางรอด นางไม่ร้องให้ให้ใครช่วยอีกแล้ว..

           ดวงตานั้นว่างเปล่าในความอ่อนล้า...แต่เสียงร้องนั้นเปี่ยมไปด้วยเศษเสี้ยวสุดท้ายของใจคน

           หลินหยา...ขอเพียงตายโดยไม่ต้องถูกบังคับให้ทำร้ายใครอีกแล้ว





@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: คุณคิดว่าผมทำขนาดนี้..คุณรู้จักเจ็ดหมัดฮาวายไหม

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง ลดลง -400 โพสต์ 2025-6-25 21:17
(หัวใจจางกงกงถึงลิมิต 4 ดวงแล้ว แต่คุณได้รับการยื่นคำขาด หากคุณออกไปก็อย่าให้จางกงกงเจอคุณอีก ทำให้ยื่นขอปลดไม่ได้จนกว่าสถานะนี้จะหายไป)  โพสต์ 2025-6-25 21:10
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2025-6-25 21:10
วางเบี้ยหวัดและถอดชุดออกคืนแล้วเจ้าก็ออกไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก.... จางกงกงเห็นสีหน้าอีกฝ่ายก่อนเบือนหน้าหันหลังและพูด  โพสต์ 2025-6-25 21:10
โพสต์ 55819 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 20:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-25 22:47:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-25 22:49



วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามจื่อ เวลา 23.00 - 00.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักจงฉางซื่อ


          เสียงหอบหายใจของหญิงสาว ค่อย ๆ จางลงเมื่อเธอขยับกายถอดตัวออกมาจากร่างของชายตรงหน้าที่นางคร่อมอยู่ ฝ่ามือเล็กยังเปื้อนอารมณ์ หลังข้อนิ้วมีเลือดสีแดงฉานซึมอยู่กับรอยแผลที่แตกออกจากการใช้แรง ความร้อนผ่าวที่ไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่นั้นยังคงหลงเหลืออยู่บนผิวของเขาบ้าง..แต่สิ่งที่หลินหยาเห็นกลับไม่ใช่คมหอก ไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นความเงียบที่เหมือนจะเยือกเย็น และลึกยิ่งกว่าความตายเสียอีก

          จางกงกงยังไม่ขยับ ร่างสูงในชุดสบายพักสายตานั้น เส้นผมของเขาหลุดจากเกล้าเพียงครึ่งเผยให้เห็นแววบุรุษบางอย่างที่เขาไม่เคยเปิดให้ใครเห็น ริมฝีปากแตะเม้มกันแน่นแต่มันกำลังแตกอยู่เหมือนกับจมูกของจางกงกงที่ชาไปทั่วหน้าและแก้ม เสียงบางอย่างจากข้างในไม่ใช่เสียงร้องแต่เป็นหัวใจ

          นางผู้นี้…
          นางที่บังอาจเงื้อมือใส่เขา
          นางที่ชกเขาราวกับลูกเจี๊ยบตะปบพยัคฆ์
          นางที่ต่อยด้วยแรงทั้งหมดที่ร่างป่วยพอจะมี
         
นางที่คร่อมเขาไว้และร้องขอให้ตายเสีย

          เขาไม่มองเธอเขาไม่กล้ามอง แต่เขารู้ว่าหลินหยามีน้ำตาเพราะเขา นางที่กล้าต่อยเขาอย่างไม่หมั่นความตาย นางที่อ้อนวอนขอให้เขาฆ่านางเสีย และนางที่บัดนี้ นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำใสทั้งสองแก้ม นั่งรอความตายของตนเองอย่างเงียบงัน..

          จางกงกงเบือนหน้าหนีภาพนั้นทันที เขาเงียบไปนานพอที่จะทำให้ใจของใครบางคนเจ็บขึ้นอีกระลอก และในที่สุด เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งราบที่ฟังดูเย็นชาและไร้เยื่อใย “วางเบี้ยหวัดไว้ ถอดชุดออกคืน แล้วเจ้าก็ไปซะ..อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก”

          ไม่ใช่ตลาด ไม่ใช่ขับไล่ แต่เหมือนเป็นคำพูดที่เหมือนการขีดเส้นสุดท้ายในใจของคนที่พยายามจะไม่หันหลังกลับไปมอง จางกงกงยังไม่หันกลับมา มือหนึ่งหยิบยกจอกสุราที่หลินหยามอบให้ขึ้นอีกครั้ง เหล้าเซียนเมามายสีชมพูใสไหลเข้าสู่ลำคออย่างไร้รสชาติ แต่นางที่เคยหวานละมุนแฝงรสเปรี้ยวนี้ ตอนนี้กลับเป็นเพียงสุราที่ไร้รสชาติราวกับกลืนมันลงไปเพื่อลืม ลืมคนที่ไล่ไปพร้อมกัน แววตาของจางกงกงมืดสนิทอยู่ลำพังในเงามือ แต่เขากลับไม่ปล่อยให้เสียงสั่นของบางสิ่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายหลุดออกมาแต่เพียงนิดเดียว

          เสียงหัวใจของหลินหยาที่ยังคงเต้นอยู่ ทว่าทุกจังหวะมันคล้ายกับจะเต้นเพื่อบอกลาตัวตนของนางทีละน้อย บอกลาความหวัง บอกลาความเชื่อ บอกลาซึ่งทุกสิ่งที่ยังพอจะประคองนางให้มีเรี่ยวแรงพอที่จะยืนหยันในวังหลวงที่เยือกเย็นได้อย่างมีลมหายใจ นางนั่งอยู่ตรงนั้น ร่างกายพับเรียบอยู่บนพื้นหินเย็นซีด มองแผ่นหลังของบุรุษผู้หญิง แผ่นหลังที่ครั้งหนึ่งเคยยืนเคียงกันในความเงียบงันยามค่ำคืนที่หอว่านหงเหริน แผ่นหลังที่เคยเป็นดั่งเงามืดที่คลุมเหนือหัวนาง แต่วันนี้มันกลายเป็นกำแพงแข็งกร้าวที่ตัดนางออกจากทุกสิ่งอย่างไร้เยื่อใย

          คำของจางกงกงดังก้องอยู่ในหัวของนาง..ออกไปซะ..อย่าให้เห็นหน้าอีก..มันไม่ใช่คำสั่งที่ตวาดใส ไม่ใช่เสียงกรีดร้อง ไม่ได้เอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวหรือร่องรอยของความเกลียด มันเป็นเพียงเสียงราบเรียบ แต่มีอะไรบางอย่างที่ทะลุเข้าไปชั้นในสุดของหัวใจ เป็นถ้อยคำที่สงบนิ่งอย่างเย็นชา แต่ความเจ็บปวดกลับดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าลงมากลางทรวงอกของหญิงสาวที่นางเพิ่งหลั่งหยากน้ำตาใส่หน้าของเขาหลังซัดกำปั้นใส่อีกคนไปจนไม่นับจำนวน

          นางนั่งนิ่งอยู่คตรงนั้นไม่มีเสียงร้องแต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาเงียบ ๆ ราวกับลำธารแห่งความสิ้นหวังที่ไม่รู้จักหยุดไหล ใบหน้าอ่อนแรงเงยขึ้นมองแผ่นหลังของเขาไม่จางหาย แม้รู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางหันกลับมามอง ไม่อ่อนโยนหรือเปลี่ยนใจ ไม่มีวันเอื้อมมือกลับมาคว้าข้อมือนางไว้ ไม่มีสายตาที่จะมองมาเห็นว่าหญิงสาวตรงนี้ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งศักดิ์ศรี

          หลินหยามองมือของตนเองที่เคยเป็นมือที่ดีดเครื่องดนตรีในหอว่านหงเหริน เคยยื่นถาดสุรา แต่ตอนนี้..เธอรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร..นางยอมทำตามไม่ใช่เพราะเชื่อฟัง แต่เพราะไม่มีแรงจะขัดขืนอีกแล้วล่ะ ในอกนางตอนนี้โล่งว่าง ราวกับถูกคว้านกลางให้กลายเป็นโพรงลึกไร้สิ่งเติมเต็มบางสิ่งในตัวนางตายลงในห้องนี้ ตายไปพร้อมกับเสียงของชายผู้นั้นที่บอกนางว่าอย่าให้เขาเห็นหน้าอีก..

          หลินหยาลุกขึ้นยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นกลางตำหนักจงฉางซื่อ ที่แม้จะเต็มไปด้วยแสงไฟโคมทองแต่กลับเยือกเย็นอย่างยิ่งจนแม้แต่ลมหายใจเหมือนจะกลายเป็นตวันเย็นเฉียบ ลมหายใจของนางยังคงขาดห้วงเป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนที่สตรีนางหนึ่งที่เคยร่าเริง เหยียดหยามโชคชะตา และหัวเราะอย่างเจ็บปวด จะก้มหน้ามองมือตนเองอย่างช้า ๆ ..ดวงตาของนางนั้นสั่นระริก เมื่อมองเห็นรอยเปื้อนเลือดสีแดงสดที่แต้มอยู่ตรงหลังข้อนิ้ว มันไม่ใช่เลือดของนาง หากแต่เป็นเลือดของบุรุษที่นางคิดว่าเขาคงไม่มีทางถูกทำร้ายโดยมือผู้ใดเลยต่างหาก เลือดที่ติดมือของนางนั้นหนักแน่นราวกับโชคชดตาของนางทั้งหมด

          มันซึมเข้าแผลที่ถลอกของนางแต่หลินหยาไม่ได้สนใจ..คงเพราะตอนนี้..นางไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ

          เสียงสายผ้าดังเบา ๆ ราวกับเสียงลมหวีดลอดชายกำแพง เสียงเสื้อไฉหนี่ว์หลุดออกมาจากเรือนร่างอ่อนแรงของนางลงสู่พื้นอย่างเชื่องช้า กลายเป็นภาพที่สะเทือนใจยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดของค่ำคืนนี้..

          ร่างกายอันเปลือยเปล่า..ของนาง..เล็กน้อยจนหากจางกงกงมองเงาที่สะท้อนลงพื้น ซึ่งเขาเห็นแน่..ว่านางไม่ได้แก้ผ้าเพื่อล่อลวงหรืออ้อนวอน..

          ไม่ใช่เพื่อให้เขารู้สึกผิดหรือหวังให้เขาใจอ่อน นางเปลื้องผ้าชุดนั้นออก สลัดสิ้นทุกพันธะ ทุกบาดแผล และทุกสายสัมพันธ์ นางกำลังถอดตัวตนที่ถูกจองจำออกไปอย่างหมดจด และเมื่อนางทำเช่นนั้นนางก็เปลือยเปล่าทั้งร่างกาย..จะวิญญาณ อยู่ด้านหลังชายผู้หนึ่งที่นางไม่อาจมองได้อีกไปชั่วชีวิต

          มือของนางยังคงสั่น แต่หลินหยาไม่รู้ว่าทำไมมันยิ่งสั่นขึ้นทุกที มันสะท้าน นางกลับหยิบชุดเดิมของตนเองขึ้นมาจากกระเป๋าเจ็ดสมบัติที่เหน็บไว้แนบลำตัวมาตลอด ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกได้ว่านางเคยเป็นคนอื่นมาก่อน หน้านี่ เคยมีชีวิต มีชื่อ มีเส้นทางที่แตกต่างจากนางกำนัลในวังหลวง ผู้ถูกบังคับให้แสร้างอ่อนแอเพื่อให้ชายผู้มีอำนาจมองความเมตตา

          นางสวมชุดนั้นกลับเข้าไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากริมฝีปากในตอนนี้ ไม่มีน้ำหนักเสียงหรือสะอื้น ไม่มีแม้แต้ลมหายใจที่ดังกว่าเสียงของห้องนี้ ใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์ ไม่แสดงความรู้สึก แม้แต่น้อย แต่อากาศโดยรอบกลับหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก

          เมื่อเรียบร้อย หลินหยาก้มลง หยิบถุงเงินที่เขาเคยมอบให้ 20 ตำลึงเงินจากตำแหน่งไฉหนี่ว์ และ 5 ตำลึงทองจากเขาที่ให้ส่วนตัว แล้วนางก็วางมันลงตรงหน้าเขาอย่างเงียบ ๆ มันมีน้ำตาลและเลือดจากความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก เธอเงยหน้ามองเขาครู่หนึ่ง..ก็ยังเห็นแต่แผ่นหลังที่ไม่ขยับออกไปจากตรงนี้ ก่อนที่มือเล็กของนางจะหยิบอะไรบางอย่างออกมา มันคือดาบสั้นโง่ ๆ ที่เอาไว้หั่นของที่นางเก็ยไว้ลึกสุดของกระเป๋า ตลอดระยะเวลานี้นางดึงมันออกมาด้วยท่าทีสงบเงียบและแน่วแน่

          จากนั้นหลินหยาก็ทำบางอย่าง นางจับเส้นผมของตนเองกำแน่นด้วยมืออีกข้างเป็นกำที่ให้เห็นว่ามันเต็ม เส้นผมที่เคยถูกหวีอย่างทะนุถนอมมาตลอดชีวิต เส้นผมที่ครั้งหนึ่ง..มีคนเคยลูบอย่างเงียบงัน วันนี้นางกลับ..

          “ฉืกกกก!!!”

          เสียงโลหะเฉือนผ่านเส้นผมเบาราวกับใบไม้ร่วง แต่สะเทือนหัวใจยิ่งกว่าฟ้าผ่า เส้นผมดำสนิทยาวถึงปั้นหลังถูกตัดออกเหลือเพียงความสั่นที่ปลายคาง หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง นางวางมันลงทาบข้างเงินและชุด พร้อมเสียงแผ่วราวกระซิบแต่ชัดเจน

          “น้อมส่งคืนทุกสิ่ง ท่านไม่ต้องกลัวจะได้เห็นข้าอีก”

          จากนั้นนางเงยหน้ามองแผ่นหลังของชายตรงนั้น ดวงตาคู่นั้นเริ่มเปล่งกระกายความดื้อรั้นเช่นในยามที่พบกันครั้งแรก แต่ถายในก็มีความว่างเปล่าซ่อนอยู่ ไม่เหลือสิ้นทั้งความรักความแค้น ขณะยามเส้นผมตกลงมา..เสียงกระทบเท้าของหลินหยาชัดเจนยิ่งกว่าเงา

          “ข้าขอมอบเส้นผมของตน แทนความอกตัญญูทุกอย่างที่ข้ากระทำ ทั้งจากครอบครัวที่ข้าไม่อาจปกป้อง ทั้งจากผู้ที่ข้าเคยล่วงเกิน..ทั้งที่ยังไม่ได้รัก..และอาจจะเคยคิดรัก..หากจะต้องตัดบางสิ่งจากข้าออกเพื่อแลกกับอิสรภาพ ข้าขอเลือกเส้นผมนี้”

          เสียงของนางเบา ราบเรียบ แต่ไม่สั่นคลอนอีกต่อไป ราวกับทุกคำที่กล้าวออกมานั้นคือน้ำตาหยดสุดท้ายที่นางจะเสียให้กับบุรุษตรงหน้า

          “เส้นผมของข้า ข้ายกให้ท่าน..หากท่านโกรธเกลียด หากท่านเจ็บช้ำ ท่านจะเอามันไปเผาพริกเผาเกลือที่ใดก็ตามแต่ จะให้มันเป็นของต่ำสาปส่งข้าไปสู่ขุมนรกข้าก็ไม่ว่า”

          มือเล็กนั้นปล่อยลงช้า ๆ มองเส้นผมที่มีกลิ่นหอมอ่อนของน้ำมันดอกไม้ที่นางเคยใช้หมักเส้นผมยามกลางคืนที่ยังคงลอยอวลอยู่ เส้นผมที่เคยปลิวไหวอยู่ในสายลมยามเธอเล่นดนตรี เส้นผมที่เคยคลอเคลียข้างแก้มยาวมนางหลับลงบนบ่าใครสักคน วันนี้กลับถูกวางลงบนโต๊ะไม้ที่มีเสื้อผ้า มีเศษเหรียญ กลายเป็นสัญญาลักษร์คำขอโทษ สัญญาลักษณ์คำบอกลา.สัญญาลักษณ์ความให้อภัยและการตัดขาด ที่ไม่อาจย้อนกลับมา

          หลินหยาหันหลังให้เขาโดยไร้การคำนับ นั้นไม่ใช่เพราะนางเย่อหยิ่ง แต่เพราะเธอไม่มีสิทธิพอที่จะทำสิ่งใดให้เขารับอีกแล้ว

          ทว่าขณะก้าวขาออกจากประตูตำหนัก ท้องฟ้าที่คลื่นตัวลงกลับดูหนักแน่นกว่าทุกคืน ลมหนึ่งหอบพัดเอาเศษฝุ่นเล็ก ๆ เข้าตา ขณะที่มือขวาเริ่มรู้สึกแสบซ่านอย่างประหลาด มันไม่ใช่เพราะแผล แต่เพราะบางสิ่งอย่างอย่างที่คลายปรานเย็นจัด ชอนไชเข้าสู่เส้นโลหินทีละหยดอย่างเงียบงัน แทรกซึมเข้าไปในกายของนาง

          เลือดที่นางคิดว่าเป็นเพียงเลือดของเขา บัดนี้กำลังกลายเป็นพิษร้ายที่แทรกซึมผ่านรอยถลองของเธอช้า ๆ โดยที่หลินหยาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางหายไปแล้ว ในเงามืดของค่ำคืน นางสวมเพียงชุดเก่าธรรมดา สะพายกระเป๋าใบเดิม ราวกับไม่มีสิ่งใดผูกมัดได้อีกแล้ว ทั้งหัวใจ ทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจของนาง ทุกอย่างกลับกลายเป็นอิสระ และว่างเปล่า..แต่นางยังเดินต่อ..ผมกับสตรีที่มีเพียงเส้นผมคลอเคลียบ่าของตนเองเท่านั้น





@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: มอบเส้นผมของตัวเองจากบ่าจรดปลายให้ [NPC-11] จางกงกง

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
มอบเส้นผมของตัวเองจากบ่าจรดปลายให้ [NPC-11] จางกงกง




แสดงความคิดเห็น

เหิ่มมม เส้นผมน้องมันยาวนะ ไอ้งูพิษ น้องอุสส่าตัดให้ แบล่  โพสต์ 2025-6-25 22:51
ร่างกายหลินหยาพิษซึมเข้าโดยไม่รู้ตัว เธอจะมีอาการอ่อนแอลงเมื่อทำงานหนัก  โพสต์ 2025-6-25 22:50
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-6-25 22:49
ลืมโอนเงิน----  โพสต์ 2025-6-25 22:49
โพสต์ 28400 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 22:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
12
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้