หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่ซิ่วอิงก้าวเข้าสู่เขตจางเย่ เมืองค้าขายที่คับคั่งไปด้วยคาราวานอูฐและผู้คนจากดินแดนตะวันตกที่สัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย นางใช้เวลาเดินสำรวจไปทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองชายแดนแห่งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่สตรีผู้เดียวจะกระทำได้ ในทุกร่องรอยของการค้าขาย ในทุกเสียงเจรจาภาษาแปลก ๆ ในทุกอาคารดินอัดและศาลาไม้ นางเฝ้ามองหา...รูมิติสีดำทะมึนที่บุรุษชุดขาวผู้นั้นกล่าวถึงอย่างตั้งอกตั้งใจ ทว่าความพยายามทั้งหมดของนางกลับจบลงด้วยความว่างเปล่าที่หนักอึ้ง
ความผิดหวังเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของซิ่วอิงราวกับหมอกควันสีเทาที่ปกคลุมความหวังของนางให้มืดมิดลง นางนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องพักในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่นางเช่าไว้ใกล้กับประตูเมือง สายตาจับจ้องไปที่ ตะเกียงน้ำมันดินที่ให้แสงสลัว ๆ พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ชายผู้นั้นปรากฏตัวและคำพูดอันคลุมเครือที่นำนางเดินทางมาไกลแสนไกลถึงเพียงนี้
‘บ้าจริง! หรือว่า…ข้าโดนบุรุษผู้นั้นต้มเอาเสียแล้ว? ชายผู้ที่มีรัศมีแห่งเซียนนั้นดูสูงส่ง แต่คำกล่าวของเขากลับนำข้ามาสู่ความว่างเปล่าเสียได้’ ความคิดที่ทั้งขุ่นเคืองและน่าอับอายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง หากบุรุษผู้นั้นไม่มีอยู่จริงหรือหากเขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋นที่เก่งกาจ นางก็คงกลายเป็นเพียงผู้หญิงโง่คนหนึ่ง ที่ถูกชะตากรรมเล่นตลกให้ต้องเดินทางพันลี้โดยไร้จุดหมายอันแท้จริง
ทว่า...สัญชาตญาณอันบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของนางกลับไม่ยอมให้ความรู้สึกสิ้นหวังเข้ามาครอบงำ สัญชาตญาณบางอย่างนั้นเองที่กระซิบอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะยอมแพ้!
‘ในเมื่อในเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของมนุษย์และควันไฟจากการค้าขายไม่มีร่องรอย…เช่นนั้นข้าก็ควรค้นหาในสถานที่ที่ห่างไกลจากผู้คน...สถานที่ที่พลังแห่งธรรมชาติยังคงแข็งแกร่ง!’
ความคิดของซิ่วอิงผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาของนางหันไปจับจ้องยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ลังเล ที่นั่นคือทิวทัศน์ที่นางเคยยืนตะลึงมองในวันแรกที่มาถึงภูเขาตันเซี๋ยหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าภูเขาสายรุ้ง! ยอดเขาที่ซ้อนทับกันด้วยชั้นหินทรายหลากสีสัน คือภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกำแพงดินอัดสีทึมและบ้านเรือนสีน้ำตาลของเมืองจางเย่ ทิวเขานั้นเปรียบเสมือนงานศิลปะชั้นเอกของเทพเจ้าที่ถูกทอดทิ้งไว้ ณ ชายขอบฟ้าแฝงไว้ด้วยความลึกลับที่ไม่มีใครหยั่งถึง
นางรีบจัดการเก็บสัมภาระอย่างรวดเร็ว ง้าวคู่ใจถูกมัดไว้กับด้านหลังแน่นหนา เสื้อผ้าสีทึมที่ใช้ในการเดินทางถูกเปลี่ยนเป็นชุดที่ทะมัดทะแมงยิ่งขึ้น นางจ่ายค่าห้องพักให้กับเจ้าของโรงเตี๊ยมและออกเดินทางทันที ก่อนที่ตะวันจะขึ้นสูงจนผู้คนพลุกพล่าน
การเดินทางสู่ขุนเขาสายรุ้งนั้นต้องผ่านพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ในเขตของจางเย่ก่อน เมื่อห่างออกจากคลองส่งน้ำและทุ่งข้าวสาลีไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ผืนดินใต้ฝ่าเท้าก็เริ่มแห้งแล้งอีกครั้ง ฝุ่นสีน้ำตาลอมแดง เริ่มฟุ้งกระจายตามแรงลมที่พัดมาจากทะเลทรายที่อยู่ไม่ไกล ซิ่วอิงเดินลัดเลาะไปตามทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านเนินดินและกรวดหินที่ปกคลุมด้วยพุ่มไม้เตี้ย ๆ ที่แกร็นแห้ง ไม่มีเงาไม้ใหญ่ให้ร่มเงาอีกต่อไป มีเพียงความร้อนที่ระอุจากอากาศและจากพื้นดินที่แผ่ขึ้นมาปะทะร่าง
เมื่อเข้าสู่เขตภูเขาทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชั้นหินทรายสีแดงสด สีส้มแสด และสีเหลืองอ่อนที่ถูกแกะสลักด้วยสายลมและกาลเวลาปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างตระการตา ยอดเขาเหล่านี้เปลือยเปล่า ปราศจากต้นไม้ใด ๆ ขึ้นอยู่ มีเพียงริ้วลายของแร่ธาตุที่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างงดงาม ความงดงามที่เกิดจากความแห้งแล้งและแร่เหล็กที่จับตัวกันเป็นเวลาหลายล้านปี ซิ่วอิงต้องปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดอย่างระมัดระวัง ผิวหินที่สัมผัสกับมือมีความหยาบกร้านและแห้งแล้งแต่ก็ให้ความมั่นคงแก่นางได้อย่างดีเยี่ยม นางใช้เวลาค้นหาอยู่นานหลายชั่วยาม ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตกจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแดงเข้ม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่บ่งชี้ถึงรูมิติเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเมื่อแสงอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าซิ่วอิงก็มาถึง อดเขาที่โดดเด่นที่สุดซึ่งมีหินทรายรูปร่างประหลาดตั้งตระหง่านอยู่เป็นกลุ่มก้อน ทันใดนั้นสายตาของนางก็จับจ้องไปยังสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ชะง่อนหินยื่นออกมา...
มันคือศิลาเจ็ดสี!
ศิลาก้อนหนึ่งถูกฝังอยู่ครึ่งหนึ่งในผืนดินที่อัดแน่นไปด้วยแร่ธาตุและทราย ทว่าส่วนที่โผล่พ้นดินขึ้นมานั้นกลับเปล่งประกายระยิบระยับด้วยสีสันที่ยากจะพรรณนา ทั้งสีแดงเพลิง สีส้มอำพัน สีเหลืองบุษราคัม สีเขียวมรกต สีครามน้ำทะเล สีน้ำเงินเข้ม และสีม่วงไพลิน ราวกับว่ารุ้งกินน้ำ ทั้งสายได้ถูกบดอัดและผนึกไว้ในก้อนหินเพียงก้อนเดียว มันไม่ได้มีรูปร่างดำทะมึนเหมือนที่บุรุษชุดขาวกล่าว แต่พลังงานบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากมันนั้นเข้มข้นจนทำให้ พลังภายในของซิ่วอิงเต้นระรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่เหนือกว่าความลังเลใด ๆ ซิ่วอิงค่อย ๆ เอื้อมมือที่บอบบางแต่แข็งแกร่ง ออกไปสัมผัสกับพื้นผิวที่เย็นเยียบและเรียบเนียนของศิลาสายรุ้งก้อนนั้น เพียงปลายนิ้วสัมผัส...
วูบ!
พลังงานมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในศิลาก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายของนางผ่านทางปลายนิ้วราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทันใดนั้นสติของซิ่วอิงก็ถูกดึงออกจากร่างกายอย่างฉับพลัน ในห้วงความคิดของนางภาพนิมิตก็ปรากฏขึ้นอย่างรุนแรงและชัดเจนราวกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงกลางความมืดมิด
เบื้องหน้าของนางคือภาพของหุบเขาลึกที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีเลือดและกลิ่นอายของความเน่าเปื่อย ทว่าสิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดไม่ใช่บรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวนั้น แต่เป็นสิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในหุบเขา...
มันคือซากปรักหักพังที่ยิ่งใหญ่และแปลกตาอย่างถึงที่สุด สิ่งปลูกสร้างสูงเสียดฟ้าที่ทำจากวัสดุที่ไม่รู้จัก ถูกทิ้งร้างไว้จนผุกร่อนไปตามกาลเวลา โครงสร้างเหล็กและปูนที่คล้ายกับหอคอยที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวราวกับ สุสานของยักษ์ใหญ่ หน้าต่างกระจกที่เคยมีอยู่แตกละเอียดจนเหลือแต่เพียงร่องรอย ผนังคอนกรีตที่แตกร้าวเต็มไปด้วย ตะไคร่น้ำสีเข้มและเถาวัลย์ที่เลื้อยพันจนดูราวกับซากโบราณสถานที่มีอายุนับล้าน ๆ ปี นี่คืออารยธรรมที่สูญหายที่ล้ำหน้าเกินกว่าจินตนาการใด ๆ ของชาวฮั่น
ภายในภาพนิมิตที่สั่นสะเทือนนั้น ซิ่วอิงได้เห็นว่าซากตึกสูงเหล่านี้ไม่ได้ว่างเปล่า ฝูงปีศาจและสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวชุกชุมอยู่ในหุบเขาบรรลัยแห่งนั้น พวกมันมีรูปร่างที่วิปริตผิดรูป บ้างก็มีปีกสีดำที่ฉีกขาดบ้างก็มีดวงตาสีแดงฉานที่จ้องมองมาอย่างหิวกระหาย พวกมันทำรังอยู่ตามซอกมุมของ ซากตึกสูงเหล่านั้น บ้างก็กำลังกัดกินซากสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุได้ในลานกว้างที่เป็นถนนดำที่ถูกทำลายจนหมดสิ้น
ซิ่วอิงรู้สึกราวกับถูกพลังงานเยือกเย็นจู่โจมจนกระดูกสันหลังชาหนึบ นี่ไม่ใช่แค่ภาพลวงตาแต่เป็น ความเป็นจริงที่น่ากลัวที่ถูกซ่อนไว้หลังม่านของกาลเวลา
ริมฝีปากของซิ่วอิงสั่นระริกนางพยายามหายใจเข้าลึก ๆ แต่ในห้วงนิมิตนั้นกลับไม่มีอากาศใด ๆ ให้สูดดม ความคิดเดียวที่วิ่งวนอยู่ในสมองของนางคือความสับสนอย่างรุนแรง
“นี่…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” เสียงของนางดังขึ้นในความว่างเปล่าของนิมิต ราวกับเสียงกระซิบที่แสนแตกตื่นต่อหน้าความจริงอันโหดร้ายที่เหนือจินตนาการทั้งหมดของนาง
ตูม!
ภาพนิมิตแตกสลายลงอย่างฉับพลันราวกับโคมแก้วที่ถูกทุบด้วยค้อน จิตวิญญาณของซิ่วอิงถูกกระชากกลับมาสู่ร่างอีกครั้งอย่างรุนแรงจนนางแทบจะสำลักอากาศ นางเซถอยหลังไปสองสามก้าว มือที่สัมผัสศิลาเจ็ดสีเมื่อครู่ชาหนึบและสั่นเทา
ซิ่วอิงล้มลงนั่งกับพื้นหินที่เย็นเฉียบ ในที่สุดนางก็ได้พบกับสัญญาณที่บุรุษชุดขาวกล่าวถึงแล้ว แต่มันกลับเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่นางจะจินตนาการถึงได้
รูมิติสีดำทะมึนอาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในหุบเขาแห่งซากปรักหักพังนั้น...และหุบเขานั้น...เต็มไปด้วย ปีศาจที่น่ากลัวเหล่านั้น ชะตากรรมที่รอคอยนางอยู่ไม่ได้สวยงามเหมือนทุ่งข้าวสาลีของจางเย่ แต่มันคือ เส้นทางสายเลือดที่นำไปสู่ยุคบรรลัยที่ถูกซ่อนไว้
ซิ่วอิงเงยหน้ามองภูเขาสายรุ้งที่เริ่มถูกกลืนกินด้วยเงาของยามค่ำคืน สายลมพัดเอาไอเย็นแห่งทะเลทรายกลับมาอีกครั้ง แต่มันไม่ได้ทำให้ร่างกายนางรู้สึกหนาวเย็นเท่ากับความหวาดผวาที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในจิตใจ คำพยากรณ์ของบุรุษชุดขาวนั้นเป็นจริง แต่มันมาพร้อมกับปริศนาที่ยิ่งใหญ่กว่า
ศิลาเจ็ดสีได้เผยให้เห็นถึงนิมิตที่นำไปสู่โลกที่ถูกทำลายโดยอำนาจมืดและชะตากรรมของนางอาจเกี่ยวข้องกับการผนึกหรือทำลายโลกแห่งซากปรักหักพังนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ง้าวถูกจับแน่นในมือ ดวงตาของนางที่เคยอ่อนโยนบัดนี้กลับเต็มไปด้วย ประกายแห่งความมุ่งมั่นที่แข็งกร้าว นางรู้แล้วว่าสิ่งที่ต้องค้นหาคืออะไรและหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยภัยอันตรายอย่างไรบ้าง เหลือแค่ว่า…นางต้องทำอย่างไรต่อไปนี่สิ