ไอหนาวของทะเลทรายยามค่ำคืนกัดกินความอบอุ่นของผิวกาย แต่ไม่อาจเทียบได้กับความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านอยู่ในดวงจิตของซิ่วอิง ภายใต้แสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องลงมากระทบชั้นหินทรายหลากสีสันของภูเขาตันเซี๋ยจนเกิดเป็นเงาทะมึนบิดเบี้ยว นางยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างศิลาเจ็ดสีก้อนนั้น สายตาจับจ้องไปยังผืนดินเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันระหว่างความหวาดกลัวและความมุ่งมั่นที่เพิ่งก่อตัวขึ้น
ภาพนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนาง ซากปรักหักพังของนครที่สูงเสียดฟ้า ซึ่งทำจากวัสดุประหลาดที่ไม่อาจพบได้ในแผ่นดินฮั่น มันเป็นภาพของความรุ่งเรืองที่ล่มสลายและถูกครอบงำด้วยเหล่าอสูรกายที่มีรูปลักษณ์วิปริต นี่คือคำตอบที่บุรุษชุดขาวมอบให้ ทว่ามันกลับเป็นปริศนาที่ใหญ่หลวงยิ่งกว่าเดิม นางก้าวข้ามความว่างเปล่าของการค้นหาในจางเย่มาได้ แต่บัดนี้กลับต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเส้นทางข้างหน้าของนางคือการเดินทางสู่ดินแดนแห่งความบรรลัยที่ซ่อนเร้น…
“รูมิติสีดำทะมึน…หุบเขาแห่งซากปรักหักพัง…” เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก นางนึกถึงคำกล่าวของบุรุษชุดขาวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกหก…แต่เขาไม่ได้บอกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริง
ขณะที่ซิ่วอิงกำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดและพยายามปะติดปะต่อชิ้นส่วนของปริศนาที่ไม่ปะติดปะต่อกันนั้น เงาร่างสูงใหญ่ผิดปกติก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านางอย่างฉับพลันราวกับผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ซิ่วอิงสะดุ้งสุดตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ง้าวคู่ใจถูกปลดออกจากหลังและยกขึ้นตั้งท่าป้องกันอย่างรวดเร็วโดยสัญชาตญาณที่สั่งสมมาจากการฝึกฝน
ร่างที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของนางนั้นสูงใหญ่ราวกับยักษ์ที่ถูกหุ้มด้วย อาภรณ์คลุมยาวสีเข้มที่ทำจากผ้าเนื้อหนาที่ไม่รู้จักชนิด ปลายแขนเสื้อและชายผ้าสะบัดไหวเล็กน้อยตามสายลมเย็นที่พัดโชย ผิวผ้าที่ทอแน่นนี้ปกปิดร่างกายและใบหน้าของเขาอย่างมิดชิด จนมองไม่เห็นแม้แต่เค้าโครงของใบหน้าภายใต้ฮู้ดขนาดใหญ่ที่ทิ้งเงาดำมืด ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ถูกซ่อนไว้ภายใต้ความลึกลับอย่างสมบูรณ์ ซิ่วอิงได้แต่เห็นเพียงความมืดมิดที่อยู่ในร่มเงาของฮู้ดคลุมเท่านั้น ไม่มีรังสีพลังวัตรที่รุนแรงแผ่ออกมา แต่ก็ไม่มีร่องรอยของมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นกัน ความเงียบสงบที่น่าหวาดหวั่น แผ่กระจายออกมาจากร่างนั้น ราวกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของขุนเขามาตั้งแต่โบราณกาล
“อย่าได้ตกใจไป” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังออกมาจากใต้ฮู้ดคลุมนั้น เสียงนั้นฟังดูมีอายุ แต่มันเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเจ้า”
ซิ่วอิงไม่ได้ลดง้าวลง นางยังคงระแวดระวังอย่างถึงที่สุด นางรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้สามารถปรากฏตัวต่อหน้านางได้โดยที่นางไม่รู้ตัวแสดงว่าฝีมือของเขาต้องล้ำเลิศจนเกินกว่าที่นางจะต้านทานไหว
“ท่าน…เป็นใคร?” ซิ่วอิงเอ่ยถามเสียงเข้ม ดวงตาจับจ้องไปยังความมืดมิดใต้ฮู้ดคลุมของเขาไม่วางตา
“เรียกข้าว่า ‘ผู้เฝ้าดู’ ก็เพียงพอแล้ว” บุรุษลึกลับตอบอย่างเรียบง่าย น้ำเสียงราบรื่นราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย “ข้าเห็นทุกสิ่งในหกพิภพ…และสิ่งที่เจ้าเพิ่งได้เห็นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริงที่ถูกซ่อนไว้เท่านั้น”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความเงียบและความหนาวเย็นของค่ำคืนกัดกินจิตใจของซิ่วอิง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เน้นหนัก
“สิ่งที่เจ้าเห็นในนิมิตนั้น…คือ ซากอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่มหันตภัยครั้งใหญ่จะกวาดล้างทุกสิ่งให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่ได้พึ่งพาพลังวัตรหรือแก่นเซียน แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘เทคโนโลยี’ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่”
คำว่า ‘ซากอารยธรรม’ และ ‘มหันตภัย’ ทำให้ซิ่วอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอถึงคำว่า ‘เทคโนโลยี’ นั่นกลับฟังดูแปลกหูและไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง นางพยายามทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนนี้
“เทคโนโลยี…มันคืออะไรหรือท่าน?”
ผู้เฝ้าดูไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แต่เขาเลิกมือขวาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาและในฝ่ามือที่ถูกหุ้มด้วยถุงมือหนาของเขานั้นมีผลึกที่งดงามคล้ายก้อนหินขนาดเท่ากำมือของบุรุษ ดูไม่เหมือนอัญมณีที่มาจากเหมืองแร่ทั่วไปเลย
“นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ศิลาสื่อสาร” ผู้เฝ้าดูโยนศิลานั้นมาให้ซิ่วอิงอย่างไม่ลังเล ซิ่วอิงรับไว้ด้วยมืออีกข้างอย่างรวดเร็ว รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากผิวผลึก “มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีโบราณที่ข้ากล่าวถึง แม้จะอยู่ห่างกันถึงพันลี้เจ้าก็สามารถสื่อสารกับผู้ที่เจ้าต้องการได้ เพียงแค่นึกถึงผู้ที่ถือศิลาอีกก้อนหนึ่ง”
“สื่อสารกับผู้ที่อยู่ห่างพันลี้ได้เพียงแค่คิดถึง…” ซิ่วอิงทวนคำอย่างอึ้ง ๆ นางตรวจสอบศิลาในมืออย่างละเอียด มันดูเหมือนก้อนหินที่ถูกเสกให้มีชีวิตชีวาด้วยพลังงานบริสุทธิ์ นางไม่เข้าใจคำอธิบายที่ซับซ้อน แต่สามารถตีความสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึงได้
“อืม…ก็แค่พูดคุยกับก้อนหิน แล้วคนที่อยากคุยด้วยจะได้ยิน…ข้าพอจะเข้าใจแล้ว” นางสรุปออกมาอย่างง่าย ๆ ตามความเข้าใจของตน
ผู้เฝ้าดูหัวเราะเบา ๆ เสียงของเขาฟังดูแห้งผาก “เจ้าเข้าใจแก่นแท้ได้รวดเร็วนัก” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “มีปีศาจผู้รอบรู้แห่งหกพิภพผู้หนึ่ง เขาผู้นี้มีภูมิความรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในหกพิภพ มีพลังหยั่งรู้ที่ไม่ธรรมดา และเขาเปิดร้านขายของสารพัดประโยชน์ที่เดินทางไปทั่วทุกหนแห่ง”
“หลายสิบปีมานี้ไม่มีใครพบเขาอีกเลยนับตั้งแต่เขาหายสาบสูญไปจากพกพิภพ แต่หากชะตาของเจ้าถูกกำหนดไว้ให้พบเจอ…การเดินทางสู่หุบเขาแห่งซากปรักหักพังของเจ้าอาจจะนำพาเจ้าไปสู่ร้านของเขาได้”
ซิ่วอิงรู้สึกตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ที่บุรุษลึกลับผู้นี้กล่าวถึง หากมีปีศาจที่รู้ทุกเรื่องจริง นางก็คงจะหาทางออกสำหรับปริศนาของรูมิติสีดำทะมึนได้ แต่ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก ผู้เฝ้าดูก็ชิงทำบางสิ่งบางอย่างอย่างรวดเร็ว
วูบ!
ศิลาสื่อสารในมือของซิ่วอิงถูกดึงกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยพลังงานที่ไม่รู้จัก มันลอยกลับไปอยู่ในมือของผู้เฝ้าดูอย่างแม่นยำและนุ่มนวล ซิ่วอิงมองตามอย่างงุนงง
“อ้าว! ท่าน…ท่านไม่ได้จะให้ข้าหรือเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เปล่าหรอก” ผู้เฝ้าดูตอบอย่างเรียบง่าย “ข้าแค่แสดงให้เจ้าดู เจ้าควรจะไปซื้อมันเอาเองถ้าได้เจอร้านนั่นน่ะนะ”
ซิ่วอิงทำสีหน้างงงวยเล็กน้อย การเดินทางเพื่อหาสิ่งที่บุรุษชุดขาวพูดถึงว่าไม่เสียเงินไปแล้วครั้งหนึ่ง บัดนี้ต้องตามหาปีศาจเพื่อซื้อก้อนหินประหลาดอีกก้อนหนึ่ง นางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับชะตากรรมที่ยุ่งยาก
“แล้ว…หลังจากที่ข้าเห็นภาพพวกนั้นแล้ว ข้าต้องทำอะไรต่อ? ข้าไม่รู้เลยว่าหุบเขาซากปรักหักพังนั้นอยู่ที่ใดบนแผนที่” นางหันกลับมาถามคำถามที่สำคัญที่สุดอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาคำตอบให้ได้
ผู้เฝ้าดูซึ่งยืนตระหง่านราวกับเงาของภูเขาเบื้องหลังนั้นนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ความเงียบนั้นหนักอึ้งและเต็มไปด้วยปริศนาราวกับว่าเขากำลังชั่งน้ำหนักคำพูดแต่ละคำที่จะเอ่ยออกมา
ในที่สุดเสียงทุ้มลึกที่ก้องกังวานก็ดังออกมาจากใต้ฮู้ดคลุมอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความสงสาร ความเร่งรีบ และความมุ่งมั่นที่ซิ่วอิงไม่อาจเข้าใจได้ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังมองไปยังทิศทางที่อยู่ห่างไกลออกไปสุดขอบฟ้า ผ่านกำแพงเงาและแสงจันทร์ของยามค่ำคืน
“เจ้าจงมุ่งหน้าสู่เขตเป่ยผิง” ผู้เฝ้าดูกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่แห่งนั้นมีหุบเขารกร้างที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นเชื่อว่าเป็นดินแดนต้องสาปมีซากอารธรรมโบราณขนาดใหญ่ที่ผู้บุกรุกจะต้องพบกับหายนะ”
ซิ่วอิงขมวดคิ้วแน่น เมื่อได้ยินชื่อเมืองที่ถูกเอ่ยถึง
“เป่ยผิง…” นางทวนคำอย่างแผ่วเบา
สำหรับสตรีที่เพิ่งเดินทางข้ามมณฑลเพื่อมายังจางเย่ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของอาณาจักร การเดินทางไปยังเป่ยผิงนั้นหมายถึงการเดินทางที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของนาง เป่ยผิงตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร ห่างจากเขตนี้ไปนับพันลี้ ต้องข้ามแม่น้ำเหลืองที่ยิ่งใหญ่ ต้องผ่านที่ราบลุ่มของมณฑลจี้โจวที่เต็มไปด้วยผู้คน และต้องเดินทางผ่านเมืองที่สำคัญหลายแห่ง เป็นการเดินทางที่ยาวไกลกว่าการเดินทางจากฉางอันมายังจางเย่เสียอีก!
“ที่แห่งนั้น…มันไกลมากเลยนะเจ้าคะ!” ซิ่วอิงไม่อาจซ่อนความตกใจได้ นางเคยได้ยินชื่อของเป่ยผิงมาบ้างจากปากของพ่อค้าที่เดินทาง แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง
“ในหุบเขาแห่งนั้นมีข่าวลือว่ามีสิ่งก่อสร้างแปลก ๆ มากมาย ที่ร่ำลือว่าเป็นของคนโบราณตั้งตระหง่านอยู่ มันมีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่มนุษย์ในยุคนี้รู้จัก มีหอคอยที่ทำจากคอนกรีต มีกำแพงที่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้ง และมีซากของ รูปปั้นประหลาดที่ทำจากเหล็กสนิมเขรอะ” ผู้เฝ้าดูยังคงบรรยายต่อไปอย่างไม่เร่งรีบ แต่ทุกคำพูดกลับสร้างภาพที่น่าพรึงกลัวในจินตนาการของซิ่วอิง
“เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว ผู้กลับชาติมาเกิดเอ๋ย ขอให้โชคดีกับการเดินทาง”
คำสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากของเขาทำให้ซิ่วอิงต้องตะลึง ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความไม่เข้าใจ
“อะ…อะไรนะเจ้าคะ! กะ…กลับ…กลับอะไรนะ!”
ซิ่วอิงตะโกนออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นางกำลังพยายามทำความเข้าใจคำพูดสุดท้ายที่แปลกประหลาดนั้น ร่างสูงใหญ่ของผู้เฝ้าดูก็สลายตัวไปในความมืดมิดของค่ำคืนอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่าเขาเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากแสงและเงา
“เดี๋ยวกลับมาก่อนเซ่!!!”
เสียงตะโกนของซิ่วอิงดังสะท้อนก้องอยู่ในหุบเขาที่ว่างเปล่า มีเพียงสายลมหนาวที่พัดพาเอาฝุ่นทราย มาเสียดสีกับใบหน้าของนางเท่านั้นที่ตอบกลับมา
นางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหินอีกครั้ง ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามาในจิตใจ ทั้งความสับสนต่อคำว่า 'ผู้กลับชาติมาเกิด' ความคับข้องใจที่ถูกทิ้งไว้กับปริศนาที่ใหญ่โต และความตื่นตระหนกต่อการเดินทางที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
"ต้องหาที่พึ่งทางใจ" พูดจบก็นั่งเรียงหินเป็นเจดีย์แล้วกล่าวคำที่พูดบ่อยที่สุดในช่วงนี้ออกมา "ข้าแต่สัจเทพอี๋เหอ ผู้ทรงอำนาจแห่งแดนเทพ ข้าขออัญเชิญพลังของท่านมาสถิตในกาย เพื่อปลดล็อกขีดจำกัดและก้าวสู่ศักยภาพที่แท้จริง ขอให้พรแห่งท่านนำพาข้าไปสู่ความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!"
หลังจากอธิษฐานเสร็จซิ่วอิงก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่ผู้เฝ้าดูเคยยืนอยู่ นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ปรับเสื้อผ้าที่ใช้ในการเดินทางให้เข้าที่ ง้าวคู่ใจถูกตรึงไว้ด้านหลังอย่างมั่นคง การเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตของนาง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นจากขอบดินแดนตะวันตกมุ่งสู่ชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร
ซิ่วอิงถอนหายใจยาว พ่นไอหนาวออกมาเป็นควันสีขาวบางเบา นางเริ่มก้าวเดินลงจากภูเขาตันเซี๋ยอย่างเงียบเชียบ โดยมีเพียงแสงดาวและแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบเป็นดวงตาที่คอยเฝ้ามองความก้าวหน้าของนางบนเส้นทางที่ถูกกำหนดโดยชะตากรรม