เบื้องหน้าตำหนักงามสง่าปรากฏรถม้าหรูหราเรียกความสนใจจากชาวบ้านชาวช่องรอบทิศให้หันมองเป็นตาเดียว นานทีปีหนตำหนักผิงหยางถึงจะเปิดรับแขกกันซึ่ง ๆ หน้า ส่วนมากพระสหายขององค์หญิงล้วนมากความสามารถถึงขนาดไปมาไร้ร่องรอย ไหนเลยจะต้องอาศัยรถม้าที่เชื่องช้า.. ต่อมาเมื่อความสงสัยก่อกำเนิด สายตาที่จับจ้องเพื่อหาคำตอบก็ยิ่งร้อนระอุ ท่าทางเช่นนี้ของผู้คนนับว่าเป็นสิ่งที่นางเคยชิน แต่ไม่ใช่กับผู้ที่มาด้วยกัน
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสาวใช้ของผิงหยางกงจู่ แต่ตลอดการทำงานที่ผ่านมาพวกนางก็หาได้มีบทบาทสำคัญ การถูกจดจ้องจากทั่วสารทิศครั้งนี้จึงถือว่าชวนให้ใจเตลิดอยู่ไม่น้อย “ พระสนม.. ” อีกฝ่ายกล่าวเสียงเบาเนื่องด้วยความเป็นห่วงเพราะเกรงว่าฝ่ายที่เป็นแขกจะตื่นกลัว
ทว่าสิ่งที่หันไปพบกลับเป็นรอยยิ้มตามความชินของโฉมงาม “ พวกเขาเพียงแค่ใคร่รู้เท่านั้น ”
ไป๋หรั่นคือคนงาม อาศัยแค่เพียงการขยับตัวไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียกสายตานับสิบคู่ให้หันมาจ้องมอง แล้วมีหรือที่นางจะตื่นกลัวกับสายตาของผู้คน? ใช้ชีวิตวนไปวนนับสิบปี สายตาที่ควรเจอก็นับว่านางเจอมาหมดแล้ว เรียกว่าครั้งนี้เป็นนางที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดอีกตามเคย นงคราญหยกหัวเราะน้อย ๆ พลางหยิบหมวกไผ่ผ้าคลุมขึ้นมาสวม “ จัดการตามสมควรเถิด ”
…
จากหน้าตำหนักสู่ภายในใช้เวลาไปไม่น้อยกว่าจะเดินมาถึง
การมาเยือนครั้งนี้ไป๋หรั่นหาได้ใส่อาภรณ์ขั้นแสนรุ่มร่ามมาให้เกะกะการสนทนา กลับกันนางหยิบชุดไปรเวทตัวโปรดขึ้นมาสวม เตรียมหมวกไผ่ไว้ล่วงหน้า ทั้งยังหอบไหสุราอ้วนกลมมาหนึ่งไห สร้างความประหลาดใจให้กับคนที่เดินสวนผ่านนางไปยิ่งนัก
“ องค์หญิง ลู่เหม่ยเหรินมาถึงแล้วเจ้าค่ะ ”
บริเวณที่นางยืนอยู่ยามนี้คือหน้าศาลาริมบ่อน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่ง
ด้านในมีโต๊ะที่นั่งพร้อมสำรับอาหารจัดไว้รอรองรับผู้มาเยือน พร้อมกันนั้นที่สุดปลายศาลาก็ยังมีแผ่นหลังของหญิงสาวภายใต้อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่ครู่แรกดูแล้วน่าชื่นชม ทว่าครู่ต่อมากลับแฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไม่จำเป็นต้องรอให้อีกฝ่ายหันมานางถึงค่อยขยับตัว หนนี้ลู่ไป๋หรั่นกิริยาฉับไวพริบตาเดียวก็ย่อลงถวายพระพรแล้ว
“ ถวายบังคมเพคะองค์หญิง ”
“ เปิ่นกงเชิญเจ้ามาแล้วยังต้องมากพิธีอะไรอีก นั่งก่อนสิ ”
ย่อมเป็นผิงหยางกงจู่ที่ละสายตาออกจากบัวเก้ากลีบในบ่อแล้วหันกลับมาดูหน้าแขกผู้มาเยือน แรกพบสบตาต่างฝ่ายต่างชะงักกันไปคนละน้อย เบื้องหน้าผิงหยางกงจู่นั้นคือโฉมสะคราญที่อ้อนแอ้นอรชรอ่อนโยนดังกิ่งหลิวต้องลมชวนให้มอง ยังมิรวมดวงหน้าเลอลักษณ์ลำเพาดั่งรูปสลักที่สามารถสลักลึกตรึงใจคนได้ตั้งแต่แรกเห็น ยามนี้อีกฝ่ายรวบเกศาขึ้นทุกเส้นขดเป็นมวยแบ่งสองฝั่งคล้ายหูของสรรพสัตว์ตัวน้อยทั้งยังประดับด้วยดอกไม้เงินนานาชนิดเข้ากับอาภรณ์ปลิวพริ้วสีเขียวอ่อนยิ่งทำให้คนมองนึกถึงบทงิ้วที่มักพรรณนาโอ้อวดว่าสง่างามดั่งห่านป่า โสภาดุจเทวา
ฝั่งลู่เหม่ยเหรินที่ลอบพิจารณาท่าทางของคนเป็นองค์หญิงก็หยุดนิ่ง ราวกับสายเลือดมังกรสืบทอดการเป็นผู้มีรูปโฉมโดดเด่น แม้จะเป็นสตรีที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงหนึ่งครั้งแต่ก็ยังสวยสดงดงามเช่นสาวแรกรุ่นต่างก็เพียงแค่ความสดใสที่จางหายไป คงเหลือไว้ซึ่งความสูงสง่าที่เข้ามาแทนที่ ภายใต้เสื้อผ้าสีเข้มที่ใครใส่ก็ยากจะเฉิดฉาย ผิงหยางกงจู่กลับสามารถสวมใส่ได้ ทั้งยังดูเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ชั่วอึดใจที่ต่างก็ไม่มีใครพูดสิ่งใด ความกระอึดกระอ่วนเหล่านี้จางหายลงได้หลังจากฝ่ายที่เป็นพระสนมทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมผายมือรับฝ่ายเชื้อพระวงศ์หญิงอย่างใส่ใจ ผิงหยางกงจู่ที่ได้สติกลับมาพยักหน้าเล็กน้อย นางสะบัดมือหนึ่งครั้งกระโปรงก็โบกสะบัดดูอาจหาญราววีรสตรีมาเยือน “ ฉางอันกล่าวใหญ่ฉันใด คำพูดจากปากคนก็ยิ่งเหลวไหลฉันนั้น.. ก่อนพบหน้าครั้งนี้เดิมทีเปิ่นกงได้ยินเรื่องของเจ้าอยู่บ้าง ” ไม่มีผู้ใดทราบว่าเหตุใดองค์หญิงสูงศักดิ์ถึงได้ใช้วาจาเลื่อนลอยคล้ายพูดกับคู่สนทนาแต่ก็หาได้วางสายตาไว้บนร่างของผู้ที่นางกำลังเอ่ยถึง
“ ลู่เหม่ยเหรินทราบหรือไม่ว่าภายนอกกล่าวถึงเจ้าอย่างไร? ”
“ ทูลองค์หญิง หม่อมฉันเคยได้ยินอยู่บ้าง.. ” แต่ไปได้ยินอย่างไร นั่นก็ใช่เรื่องที่สมควรต้องยกขึ้นมานำเสนอ ลู่ไป๋หรั่นผงกศีรษะขอบคุณสาวใช้ข้างโต๊ะที่เข้ามารินชาให้ทั้งสองภายใต้สายตาพิจารณาของผิงหยางกงจู่ และไม่นานนักก็หยักยิ้มเบาบาง “ เช่นที่องค์หญิงกล่าว ฉางอันกว้างใหญ่ฉันใด คำพูดจากปากคนก็เหลวไหลฉันนั้น เดิมทีข่าวลือเกิดขึ้นจากความเป็นจริง ทว่าความเป็นจริงหาใช่สิ่งที่ส่งต่อได้โดยง่าย นานวันเข้า คนยิ่งพูด สิ่งที่ต้องการสื่อ.. ก็ยิ่งเปลี่ยน ”
นงคราญหยกยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนเช่นนั้นทำให้คนมองล้วนประหลาดใจ “ องค์หญิงไม่ยินดีที่จะเชื่อว่าหม่อมฉันเป็นคนเช่นไรผ่านข่าวลือ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงเลยเพคะ ”
“ เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเปิ่นกงไม่ยินดี ”
ไป๋หรั่นคาดการณ์เอาไว้หลายส่วน.. ผิงหยางกงจู่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นสตรีที่มั่นคงซื่อตรง แต่ก็เป็นสตรี พระนางเผชิญหน้ากับข่าวลือมาแล้วนับร้อยนับพันตลอดชีวิตยี่สิบแปดปีของพระองค์ ดังนั้นเบื้องลึกของจิตใจหากจะต้องทำความรู้จักใครนางย่อมไม่หลวมตัวไปเชื่อข่าวลือสิ่งไร้มูล ดังนั้นการ ‘เชิญ’ ให้มาพบจึงจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีการทำความรู้จัก ยิ่งยามนี้เห็นท่าทีระมัดระวังอ่อนลง กลายมาเป็นความใคร่รู้ก็นับว่านางมาถูกทางแล้ว
“ หากองค์หญิงทรงยินดีที่จะเชื่อข่าวลือก่อนพบหน้าหม่อมฉัน มื้ออาหารนี้.. ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น ” เนตรหงส์กวาดมองสำรับหลากหลายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาอธิบายยาก หลังจากเห็นความใส่ใจที่เผยออกมาผ่านการจัดรูปแบบอาหาร นางก็เชื่อว่าผิงหยางกงจู่คงทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องราวมาบ้างแล้ว ส่วนทั้งหมดถือได้ว่าเป็นการพบหน้าตามประสาสตรีก็เท่านั้น
“ ไม่เลวเลย เหมือนอย่างที่เด็กนั่นพูดไว้จริง ๆ ” คราวนี้ผู้ที่เผยรอยยิ้มไม่ใช่นางแต่เป็นคู่สนทนาที่รับฟังมานาน
“ เอาเถอะ ข้าจะถามเจ้าอีกสักข้อ ข่าวลือกระจัดกระจายไปมั่วซั่วเช่นนั้น ไม่ร้อนใจเลยหรือ? ”
“ หากหม่อมฉันร้อนใจจะมีสิ่งใดเปลี่ยนหรือเพคะ? ” หนนี้ไป๋หรั่นตอบกลับด้วยคำถามที่ไม่นับว่าเกินไปจากการคาดเดาของผู้คน ทว่าสิ่งที่ทำให้เกินคาดจริง ๆ นับว่าเป็นประโยคหลังจากนี้ “ ข่าวลือคือสิ่งที่สร้างขึ้นผ่านคำพูดและความเชื่อของผู้คน บัดนี้พวกเขาเชื่อไปแล้วว่าลู่เหม่ยเหรินเป็นที่โปรดปราน เชื่อกันไปแล้วว่าลู่เหม่ยเหรินนั้นขัดต่อจารีตลัทธิ ทั้งยังเชื่อกันไปแล้วว่าหม่อมฉันนิยมใช้ความรุนแรง ยามนี้ต่อให้ลุกขึ้นป่าวประกาศว่าสิ่งที่ลือกันนั้นเกินความเป็นจริง มิใช่ว่าในสายตาผู้คนย่อมมองว่าหม่อมฉันเพียงแค่เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องตัวเองหรอกหรือ ”
“ ชื่อเสียงมีได้เสียได้ ทั้งหมดล้วนเปราะบาง หม่อมฉันเป็นคนเช่นไร ยามนั้นเกิดสิ่งใด ผู้ที่ร่วมเหตุการณ์ล้วนทราบดีอยู่แก่ใจ ขอเพียงคนเหล่านั้นไม่โกหกตนเอง หม่อมฉันก็ไม่มีความจำเป็นต้องทุกข์ร้อนในคำคน ” ยากนักจะมีหญิงในห้องหอที่สามารถกล่าวได้ว่าการถูกภายนอกด่ากราดนั้นไม่ใช่เรื่องร้อนรนที่ตนต้องหันไปใส่ใจ กึ่งหนึ่งคล้ายไม่แยแส อีกครึ่งคล้ายเข้าใจในวัฏจักรของมนุษย์ชวนให้รู้สึก.. ชื่นชมอยู่บ้าง
“ อายุไม่เท่าไหร่แต่คิดอ่านได้ถึงเพียงนี้ นับว่าพ่อแม่สั่งสอนเจ้ามาได้ดีนัก ” บัดนี้นางเชื่อแล้วว่าอีกฝ่ายหาได้มีใจกระหายในอำนาจ เพราะสตรีที่คิดใช้มารยาหญิงปีนป่ายขึ้นเอาอำนาจล้วนต้องใส่ใจชื่อเสียง ทว่าลู่เหม่ยเหรินไม่คล้ายคนจำพวกนั้น เผิน ๆ ดูยอมคน แต่ลึก ๆ แล้วกลับมีความบ้าบิ่นในแบบสายเลือดคหบดี .. เด็ดขาดพอจะใช้ชีวิตอย่างไม่ทุกข์ร้อนท่ามกลางรั้วแดงที่เต็มไปด้วยคลื่นลมของการแข่งขัน
“ หม่อมฉันเกิดและโตท่ามกลางประชาชนแต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนทั่วไป ยังมีหลายอย่างที่บกพร่อง ถึงอย่างนั้นก็มีความจริงใจ ” ไหสุราที่นางโอบไว้ถูกวางลงบนโต๊ะพลางเลื่อนส่งให้กับองค์หญิง “ หม่อมฉันไม่มีของมีค่าอื่นใด มีก็แต่สุรานารีแดงไหนี้ที่สามารถใช้เพื่อเป็นของขวัญพบหน้า หวังว่าองค์หญิงจะไม่ถือสา ”
นารีแดง? นางควักสุราที่ติดสอยห้อยตามเจ้าสาวมาเพื่อมอบให้กับพี่สามีเช่นนี้เชียว? ผิงหยางกงจู่หัวเราะด้วยความอ่อนใจ “ เข้าใจแล้ว ในเมื่อเจ้าหยิบออกมาเช่นนี้งั้นพวกเราก็ใช้สุราช่วยเพิ่มมิตรภาพ ลู่เหม่ยเหริน เจ้าดื่มกับเปิ่นกงสักจอก ”
“ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ”
….
ทั้งทีขามาฟ้าไม่ทันมืด ขากลับกับพบจันทร์ลอยเคว้งอยู่กลางนภา
โฉมงามเพริศพริ้งก้าวย่างออกจากตำหนักด้วยสองแก้มที่ซับสีเลือดไว้มากเกินพอดีอีกทั้งตลอดสองฝั่งกายยังมีสาวใช้คอยช่วยประคองราวกับกลัวว่าหยกบุปผาดอกนี้จะเผลอแข้งขาอ่อนฟุบลงกลางคันโดยหารู้ไม่เลยว่าผู้ที่พวกนางประคองอยู่จัดได้ว่าเป็นยอดนักดื่มตัวฉกาจ
“ พระสนมจะไม่ค้างที่ตำหนักผิงหยางจริงหรือเจ้าคะ ”
“ อื้ม.. ไม่ขออยู่รบกวนองค์หญิง ”
แม้กระทั่งเสียงยังไม่คล้ายคนเมา สองสาวใช้ลอบขมวดคิ้วกันเล็กน้อยพลางลอบสังเกตใบหน้าที่ดูเป็นประกายเปล่งปลั่งอีกครั้ง สาวงามยามเมื่อสมบูรณ์พร้อมก็นับว่าหยาดเยิ้มน่ามองพอแล้ว แต่เมื่อตกอยู่ใต้ภวังค์ของสิ่งมึนเมาจนสองตาฉ่ำวาวก็คล้ายจะ.. เย้ายวนเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“ เดินทางกลับดึกดื่นเช่นนี้อันตรายนัก พระสนมท่านลองคิดดูอีกครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ? ”
ด้วยความเป็นห่วงแม้จะส่งขึ้นรถม้าแลัวแต่ก็ไม่วายถามย้ำให้คนงามได้คิดดูใหม่อีกครั้ง แค่การส่งคนไปแจ้งวังในว่ามีพระสนมไม่กลับหนึ่งคืนไม่นับว่ายากลำบาก แต่หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง..
“ ไม่ดีหรอก ”
“ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว หากไม่กลับเรือนรั้วที่มีสามีแล้วจะนับว่าสมควรได้อย่างไร ”