เจ้าของ: Watcher

[หอว่านหงเหริน]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-10-1 17:16:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-10-5 00:16:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-10-5 21:04:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
โพสต์ 2025-10-6 21:49:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 4 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามจื่อ เวลา 00.00 - 04.00 น.

╰┈➤ พบเจอหลิวอัน


กลิ่นเต้าหู้อุ่น ๆ ลอยคลุ้งผสมกับกลิ่นชาหอม เสียงไม้ตะเกียบกระทบถ้วยดังแผ่ว ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ เสวียนเต๋อยังคงอยู่หลังเคาน์เตอร์เช่นเดิม มือใหญ่จับตะหลิวคนน้ำเต้าหู้ในหม้ออย่างสม่ำเสมอ


ประตูไม้ที่ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ดังขึ้น พร้อมร่างบอบบางของชายหนุ่มผมดำยาวที่ก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า เสวี่ยซีในอาภรณ์เรียบง่ายเช่นทุกครั้ง ดวงตาสีอำพันสะท้อนแสงแดดจนดูอ่อนโยนยิ่งนัก


“วันนี้มาทำอะไรอีกหรือ?” เสียงทุ้มของเสวียนเต๋อดังขึ้นโดยไม่ต้องเงยหน้าเสียด้วยซ้ำ


“ก็มาเยี่ยมเจ้าไง” เสวี่ยซีตอบเสียงใส ขยับเดินเข้ามาอย่างเคยชิน “และก็มีเรื่องจะมาบอกด้วย”


เสวียนเต๋อเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อย สายตาคมนิ่งเช่นเดิม “อีกแล้วหรือ ข้าควรระวังไว้ก่อนดีไหม คราวก่อนเจ้าทำให้ข้าต้องใส่หน้ากากลิงขายเต้าหู้ทั้งวัน”


เสวี่ยซีหัวเราะคิก ๆ “ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ข้าสัญญา” เขาพูดพลางดึงซองเทียบเชิญผืนกระดาษสีงาช้างออกจากแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ก่อนจะวางลงตรงหน้าอีกฝ่าย


เสวียนเต๋อเลิกคิ้ว มองกระดาษที่มีตราประทับหอว่านหงเหรินอย่างแผ่วเบา “นี่มัน”


“เทียบเชิญ!” เสวี่ยซีเอ่ยเสียงใส แววตาแพรวพราว “ข้าอยากเชิญเจ้ามาชมการแสดงระบำเมามายใต้ แสงจันทร์ คืนวันเพ็ญนี้ ข้าได้ที่นั่งดีไว้ให้เรียบร้อย”


เสวียนเต๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย “หอว่านหงเหรินหรือ ที่ที่ผู้คนร่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยสุรา เสียงหัวเราะ และหญิงงาม?”


“หึ เจ้าว่าราวกับมันเป็นสถานที่ปีศาจเสียอย่างนั้น” เสวี่ยซีพูดยิ้ม ๆ “แต่ข้าขอบอกไว้เลย ที่นั่นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนพูดกันหรอก มันคือที่พักผ่อนของเหล่าผู้เหนื่อยล้า แค่ดนตรีดี ๆ และระบำงดงาม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”


“ข้าเกรงว่าการไปสถานที่เช่นนั้นจะไม่เหมาะสมเท่าไร” เสียงของเสวียนเต๋อยังคงราบเรียบ แต่แววตาแฝงความลังเล


เสวี่ยซีพิงโต๊ะไม้ เอียงคออย่างอารมณ์ดี “เหมาะหรือไม่ เหมาะมันอยู่ที่ใจมิใช่หรือ? ข้าเพียงอยากให้เจ้าพักผ่อน หลังจากหมกตัวอยู่ในร้านเต้าหู้มาครึ่งเดือน นับแต่วันข้าเจอเจ้า เจ้าแทบไม่เคยออกไปไหนเลยนี่นา”


เสวียนเต๋อเงียบไป ดวงตาหลุบต่ำ “ข้าไม่ชอบสถานที่ผู้คนพลุกพล่านนัก”


“ข้าเองก็ไม่ชอบนักหรอก” เสวี่ยซีตอบพลางยิ้มบาง “แต่บางครั้งคนเราก็ต้องยอมให้โลกภายนอกได้เข้ามาทักทายบ้าง มิฉะนั้นชีวิตก็คงเหมือนน้ำเต้าหู้ในหม้อร้อนแต่ข้นเกินไป ไม่มีรสใหม่ให้ลิ้ม”


เสวียนเต๋อมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ สายตาเหมือนคนที่พยายามจะไม่หลุดยิ้ม แต่แววตาอบอุ่นขึ้นนิดหนึ่ง “เจ้านี่เปรียบเทียบได้ประหลาดนัก”


“นั่นเพราะข้าฉลาดไงล่ะ” เสวี่ยซีหัวเราะน้อย ๆ ก่อนพูดต่อ “เจ้ารู้ไหม การแสดงครั้งนี้มีเพียงปีละหนึ่งครา ‘ระบำเมามายใต้แสงจันทร์’ ที่เลื่องชื่อ ถึงขนาดท่านขุนนางจากทางใต้ยังส่งคนขึ้นมาดู ข้าอยากให้เจ้าเห็นด้วยตาเถิด เสียงพิณ เสียงขลุ่ยจะชโลมใจเจ้าให้สงบ และอาจทำให้เจ้ายิ้มได้โดยไม่รู้ตัวก็ได้”


เสวียนเต๋อขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่กลับเงียบไป เขามองเทียบเชิญในมืออีกครั้ง “ข้ากลัวว่าคนในตลาดจะเข้าใจผิด ข้าคงถูกพูดถึงเสียเปล่า ๆ ว่าไปสถานที่เช่นนั้น”


เสวี่ยซียกมือขึ้นเท้าคาง ดวงตาอำพันจับจ้องใบหน้าสงบนิ่งตรงหน้า “หากเจ้ากังวลเรื่องนั้น ข้าจะไม่บอกผู้ใดเลยว่าเจ้ามา ข้าแค่ต้องการให้เจ้าเห็นความงดงามของชีวิตบ้าง เจ้าอาจคิดว่าข้าเหลวไหล แต่บางครั้ง ความงดงามก็อยู่ในที่ที่เราไม่คิดจะมอง”


ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วครู่ เสียงหม้อน้ำเต้าหู้เดือดเบา ๆ ดังขึ้นแทนบทสนทนา เสวียนเต๋อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงอาทิตย์ทอดผ่านฝุ่นบาง ๆ ในอากาศ แล้วจึงพูดเสียงเบา “เจ้าคงไม่ยอมจนกว่าข้าจะตอบตกลงสินะ”


เสวี่ยซีหัวเราะอย่างดีใจ “เจ้าฉลาดนัก ข้าก็แค่อยากเห็นเจ้าออกไปข้างนอกบ้าง ไปหัวเราะ ไปนั่งชมแสงจันทร์โดยไม่ต้องคิดถึงเต้าหู้สักคืน”


เสวียนเต๋อส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าข้าจะได้พักจากเจ้าบ้างหรือไม่”


“ไม่ได้แน่” เสวี่ยซียักคิ้ว “เพราะข้าจะอยู่ข้าง ๆ เจ้าในคืนนั้นด้วย!”


เสียงหัวเราะของเสวี่ยซีดังขึ้นเบา ๆ ในร้านที่เคยเงียบสงบ เสวียนเต๋อเพียงพ่นลมหายใจออกเบา ๆ พลางพึมพำ “เจ้าชนะแล้ว ข้าจะไป”


เสวี่ยซีเงียบไปชั่วขณะ ก่อนยิ้มกว้างจนตาเป็นประกาย “ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”


ชายหนุ่มทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง ความนิ่งขรึมของเสวียนเต๋อยังคงอยู่ ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเพียงนิดเดียว พอให้เสวี่ยซีเห็นและหัวเราะอย่างดีใจ


“ตกลงกันแล้วนะ” เขาพูดพลางชี้นิ้วอย่างมั่นใจ “คืนวันเพ็ญ เราจะเจอกันที่หอว่านหงเหริน ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงระเบียงชั้นบนสุด อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ เสวียนเต๋อ”


เสวียนเต๋อมองใบหน้าเปื้อนยิ้มตรงหน้า ก่อนตอบเบา ๆ “หากเจ้ากล้าเชิญ ข้าก็กล้าไป”



ค่ำคืนนั้นแสงจันทร์กลมโตทาบรินอยู่เหนือหอว่านหงเหริน กลิ่นสุราเจือปนกลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งไปทั่ว โคมสีชาดประดับเรียงรายตามแนวระเบียงชั้นบน ส่องแสงสลัวนุ่มนวลลงมายังเวทีไม้กลางห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือน เสียงพิณและขลุ่ยแว่วเบาเป็นฉากหลัง เสวียนเต๋อนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เงียบสงบด้านล่าง เขาอยู่ในชุดเรียบง่ายกว่าทุกครา 


แม้สีหน้าจะดูเฉยชา แต่ในดวงตากลับมีประกายระแวดระวังคงเพราะสถานที่แห่งนี้มิใช่ที่ที่เขาจะคุ้นเคยนัก


บนเวทีเถ้าแก่หลิวไค่กำลังเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก เสียงกระซิบกระซาบดังวุ่นวายหลังม่าน เพราะนักแสดงหลักของค่ำคืนนี้ล้มป่วยกะทันหัน “ระบำเมามายใต้แสงจันทร์” เป็นการแสดงสำคัญที่ต้องใช้ทั้งท่วงท่าพลิ้วไหวและการสื่ออารมณ์อันลุ่มลึก หากไร้ผู้แสดงหลัก การแสดงจะต้องล่มอย่างแน่นอน


“เสวี่ยซี! เจ้าพอจะช่วยได้หรือไม่” เถ้าแก่หลิวไค่เอ่ยเสียงสั่น มือแทบจะคว้าชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้ “นักแสดงหลักนอนซมอยู่ข้างหลัง เราไม่มีใครแทนได้แล้ว!”


เสวี่ยซีที่กำลังช่วยจัดฉากอยู่นั้นชะงักไป เขามองเวทีว่างเปล่าด้วยแววตาแน่วแน่ ก่อนหันกลับไปสบตากับเถ้าแก่ “ข้าพอจะทำได้ แต่ข้าไม่เคยฝึกซ้อมการแสดงชุดนี้มาก่อน”


“ไม่มีเวลาแล้ว” เถ้าแก่ตอบทันควัน “ขึ้นไปแสดงเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้”


เสียงกลองเริ่มต้นจังหวะช้า ๆ ลึกและทุ้มเหมือนเสียงหัวใจ เสวี่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้าวขึ้นสู่เวทีในชุดผ้าแพรสีขาวแซมทอง เครื่องประดับเงินระย้าอยู่บนเส้นผมดำขลับ ดวงหน้าเรียบสงบแต่แฝงความมั่นใจ เขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แต่ทุกย่างก้าวของเขากลับเต็มไปด้วยความสง่างามตามธรรมชาติ


เสวียนเต๋อที่นั่งอยู่ด้านล่างมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน ดวงตาเข้มลึกที่มักไม่แสดงอารมณ์ กลับสะท้อนแสงจันทร์เล็กน้อยบางสิ่งในใจของเขาเริ่มสั่นไหว


เสียงพิณเริ่มบรรเลงเป็นทำนองอ่อนช้อย แสงโคมจากด้านบนทาบผ่านม่านโปร่งสีทองลงมาส่องตัวเขาให้ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด เสวี่ยซีก้าวเท้าแรกด้วยจังหวะมั่นคง แต่หัวใจกลับเต้นแรงเกินคาด ความเงียบของผู้ชมหลายสิบชีวิตทำให้ทุกย่างก้าวหนักแน่นกว่าปกติ ท่วงท่าร่ายรำในชุดระบำเมามายใต้แสงจันทร์ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด


ต้องอาศัยความพลิ้วราวกับเมฆและการหมุนตัวอันแม่นยำตามเสียงขลุ่ย


เขาหมุนตัวตามจังหวะที่สองของกลอง เส้นผ้าคล้องแขนพลิ้วตามลม ทว่าเพียงหมุนได้ครึ่งวง เสวี่ยซีกลับรู้สึกว่าปลายเท้าเหยียบชายผ้าแพรของตัวเอง! เสียงสะดุดเบา ๆ 


ดังขึ้นร่างเขาเอนไปข้างหน้าอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะทรงตัวกลับขึ้นมาได้ด้วยแรงฝึกฝนที่ติดตัวจากวัยเด็ก เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วพลิกข้อมือทำท่าราวกับเป็นส่วนหนึ่งของระบำ ทำให้ผู้ชมที่มองอยู่งงชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะขบขันเบา ๆ ตามมา


“ดูเหมือนคืนนี้จันทร์จะเมาจริง ๆ เสียแล้ว...” เสวี่ยซีพูดแผ่วเบา แต่ผู้ชมด้านหน้าได้ยินชัด พากันหัวเราะอย่างชอบใจ


เขาไม่หยุดร่ายรำต่อด้วยการเหวี่ยงพัดในมือให้หมุนรอบตัวเป็นวงกว้าง เส้นแพรสีทองปลิวว่อน ทว่ายังไม่ทันจบจังหวะสุดท้าย เครื่องประดับเงินตรงข้อมือหลุดกระเด็นตกพื้นดัง 


กริ๊ง!!


เสียงใสนั้นก้องไปทั่วหอทุกคนเงียบกริบไปชั่วขณะ


เสวี่ยซีชำเลืองมองข้างเวที เห็นเถ้าแก่หลิวไค่แทบจะเอามือปิดหน้า แต่เขากลับย่อตัวลงช้า ๆ เก็บเครื่องประดับขึ้นมา หมุนมันบนปลายนิ้ว แล้วส่งรอยยิ้มขี้เล่นให้ผู้ชม “แม้แต่เครื่องประดับยังอยากร่วมรำกับข้าเสียแล้ว” เขาพูดพร้อมโยนมันขึ้นสูง ก่อนจะรับกลับด้วยปลายนิ้วอย่างแม่นยำ แล้วร่ายรำต่อเนียนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่าทางที่ออกแบบมาแต่ต้น


เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือดังลั่นทั่วหอ บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนจากความเกร็งเครียดเป็นความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา นักดนตรีเองก็ปรับจังหวะตามความคึกคักของผู้ชม เสวี่ยซีใช้โอกาสนี้ใส่การเคลื่อนไหวที่ไม่ได้อยู่ในต้นฉบับ เขาก้าวย่างหมุนตัว พลิกพัดในมืออย่างอิสระ ท่าทางราวกับบุรุษเมามายใต้แสงจันทร์จริง ๆ สายตาผู้คนต่างจับจ้องในความเป็นธรรมชาติที่คาดไม่ถึง


แม้เขาจะลืมท่าเต้นบางช่วง แต่กลับใช้การเดินวนรอบเวทีอย่างพลิ้วเหมือนสายน้ำแทน เมื่อจังหวะขลุ่ยสุดท้ายแว่วจาง เขาเหวี่ยงพัดในมือขึ้นเหนือศีรษะ แล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงคำนับ ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องจนพื้นไม้สั่นสะเทือน


จากการแสดงที่เกือบพัง กลับกลายเป็นค่ำคืนที่ทั้งหอว่านหงเหรินจะไม่มีวันลืมเพราะความผิดพลาดที่กลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเสวี่ยซี



“เห็นทีวันนี้ข้าจะดื่มสุรามากไปหน่อย ต้องขออภัยทุกท่านด้วย!”


เสียงหัวเราะของผู้ชมดังขึ้นทันที จากบรรยากาศตึงเครียดกลับกลายเป็นครึกครื้นอย่างไม่คาดคิด เสวี่ยซีใช้โอกาสนั้นปรับท่าทางให้เข้ากับทำนองใหม่ที่นักดนตรีเปลี่ยนตามอย่างรวดเร็ว เขาด้นสดด้วยการหยิบพัดข้างเวทีขึ้นมาหมุนเล่น กลายเป็นการร่ายระบำที่ดูราวกับตั้งใจตั้งแต่แรก


เสวียนเต๋อมองภาพนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากตนเองยกยิ้มจาง ๆ ความขี้เล่นและไหวพริบของเสวี่ยซีทำให้ผู้คนทั้งหอหลงใหล บางช่วงเขาเหวี่ยงแขนกว้างจนเครื่องประดับเงินหลุดกระทบพื้นเกิดเสียงใสกังวาน ผู้ชมคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง ยิ่งพากันปรบมือ


จนกระทั่งเสียงพิณสุดท้ายจบลง เสวี่ยซีก็หยุดเคลื่อนไหวอย่างสงบนิ่ง ผมบางส่วนหลุดจากปิ่นร่วงลงข้างแก้ม เหงื่อเม็ดเล็กเกาะอยู่บนปลายคาง แต่ดวงตาของเขายังทอประกายสดใส เต็มไปด้วยความภูมิใจที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างงดงาม


เสียงปรบมือกึกก้องทั่วหอว่านหงเหริน เถ้าแก่หลิวไค่แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ รีบวิ่งขึ้นมาบนเวทีจับมือเสวี่ยซีไว้แน่น “ยอดเยี่ยม! เจ้ายอดเยี่ยมมาก เสวี่ยซี!”


เขาหัวเราะพลางโค้งคำนับผู้ชม ก่อนจะเดินลงจากเวที เสวียนเต๋อที่นั่งอยู่ตรงมุมเดิมยังคงจ้องมองเขาไม่วางตา จนเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงพูดเสียงเรียบแต่แฝงแววอ่อนโยนในน้ำเสียง


“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอีกแล้ว เสวี่ยซี”


“ท่านชมเกินไป ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้การแสดงคืนนี้ล่มเท่านั้น” เสวี่ยซีตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความจริงใจ


เสวียนเต๋อพยักหน้าเบา ๆ “ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนถึงชื่นชอบเจ้ามากนัก ไม่ใช่เพราะเจ้ารู้วิธีสร้างความบันเทิง...แต่เพราะเจ้าทำทุกอย่างด้วยใจจริง”


เสวี่ยซีหัวเราะ “หากข้าทำได้เพียงทำให้คนยิ้มได้บ้าง นั่นก็นับว่าคุ้มค่ากับเหงื่อที่เสียไปแล้ว”


เสียงหัวเราะของทั้งคู่กลืนหายไปกับเสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงขึ้นใหม่อีกครา แสงจันทร์ยังคงส่องลงมาจากหน้าต่างบานใหญ่ทาบเงาอ่อน ๆ บนพื้นไม้ เสวียนเต๋อเหลือบมองภาพนั้นอีกครั้ง 


ในแววตาเย็นนิ่งของชายผู้มักไม่เปิดใจ กลับมีความอบอุ่นบางอย่างที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดอธิบาย


เสียงปรบมือดังก้องทั่วหอว่านหงเหรินเมื่อบทเพลงสุดท้ายจบลง เสียงเครื่องสายค่อย ๆ เบาลง ก่อนดับวูบไปพร้อมกับแสงโคมที่ไหวระริกในยามราตรี เหล่าผู้ชมลุกขึ้นตะโกนชมเชย บ้างยกถ้วยสุราขึ้น บ้างหัวเราะพลางปรบมือไม่ขาดสาย


เสวี่ยซีหอบหายใจเบา ๆ ร่างระหงยังสั่นไหวจากแรงการร่ายรำเมื่อครู่ เหงื่อบางเบาเกาะบนขมับ เขาโค้งศีรษะให้ผู้ชมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนก้าวลงจากเวทีทีละขั้น ชุดแพรบางที่สวมอยู่สะบัดพลิ้วไปตามแรงลมเย็นที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างไม้ด้านข้าง


ในห้องโถงเสียงพิณที่ยังแผ่วอยู่กลายเป็นเพียงฉากหลังของความชื่นชม เสวี่ยซีเดินหลบผู้คนที่พยายามจะเข้ามาพูดคุยหรือยกถ้วยดื่มด้วย เขายิ้มตอบอย่างสุภาพ แต่สายตากลับมองตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่ซึ่งเสวียนเต๋อนั่งอยู่


ชายหนุ่มเจ้าของร้านเต้าหู้ในย่านถนนสิบลี้ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะไม้เดิม ร่างสูงสงบนิ่งใต้เงาโคมแดงที่ส่องลงมากระทบผิวหน้า ทำให้ดวงตาคมเข้มของเขาดูหม่นลงกว่าทุกครั้ง เสวี่ยซีมองแล้วอดยิ้มไม่ได้ คิดในใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังงงที่เห็นตนขึ้นไปบนเวทีโดยไม่บอกกล่าว


“ท่านเจ้าของร้านคงตกใจไม่น้อยสินะ” เขาพึมพำในลำคอ พลางเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง


เมื่อเดินมาถึงโต๊ะ เสวียนเต๋อก็เงยหน้าขึ้นมองช้า ๆ แววตาคู่นั้นนิ่งเรียบแต่ซ่อนบางอย่างที่เสวี่ยซีจับไม่ได้ เขาไม่พูดอะไร เพียงมองอยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังมองทะลุผ่านร่างของเสวี่ยซีไปยังอดีตอันไกลโพ้น


“เจ้าดูนิ่งไปนะ” เสวี่ยซีกล่าวพลางนั่งลงตรงข้าม ส่งยิ้มกว้างเหมือนทุกครั้ง “ข้าแสดงได้ดีใช่หรือไม่?”


เสวียนเต๋อไม่ตอบทันที เขายกถ้วยสุราขึ้น ดื่มช้า ๆ ก่อนวางลงบนโต๊ะ เสียงกระทบเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบ “เจ้า...ขึ้นไปแทนนักแสดงหลักอย่างงั้นรึ” น้ำเสียงของเขาเรียบเสียจนแทบฟังไม่ออกว่าชม หรือตำหนิ


“อืม ข้าเห็นว่าไม่มีใครกล้าขึ้นเลยอาสาเองน่ะ” เสวี่ยซีหัวเราะเบา ๆ “ตอนแรกก็กลัวว่าจะทำพังอยู่เหมือนกัน แต่เห็นคนหัวเราะ ข้าก็โล่งใจ”


เสวียนเต๋อยังคงเงียบ สายตาของเขายังคงจ้องเสวี่ยซีอยู่อย่างนั้น แววตาที่เคยเย็นชาและนิ่งเฉยกลับดูอ่อนลงเล็กน้อย มีบางอย่างคล้ายความสั่นไหวที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ


ทว่าในวินาทีนั้นเอง จังหวะหนึ่งของเสียงพิณที่ยังเล่นค้างอยู่กลับสะกิดความทรงจำในใจเขาอย่างแรง 


เสวียนเต๋อกะพริบตาลมหายใจสะดุดนิดหนึ่ง มือที่ถือถ้วยสุราแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเขาไหวระริก แต่พยายามซ่อนมันไว้ใต้แววเย็นชาเช่นเดิม


เสวี่ยซีเอียงคอ มองเขาอย่างสงสัย “เจ้าเป็นอะไร! สีหน้าแปลกไปนะ อาเต๋อ”


ชายหนุ่มหลุบตาลง “ไม่ ไม่มีอะไร” น้ำเสียงนั้นเรียบแต่แผ่วจนแทบฟังไม่ชัด


เสวี่ยซีมองอยู่นาน ก่อนหัวเราะเบา ๆ “ข้าเห็นนะว่าตาเจ้ามีน้ำ เอาเถอะ...คงซึ้งกับการแสดงข้าล่ะสิ ฮ่ะ ๆ” เขาพูดอย่างล้อเลียนเบา ๆ เพื่อคลายบรรยากาศ แต่ก็ไม่รู้เลยว่า คำพูดนั้นเหมือนมีดบาง ๆ ที่ตัดผ่านความทรงจำของเสวียนเต๋ออีกครั้ง


เสวียนเต๋อยกถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียว รสขมของสุราทำให้ลมหายใจแผ่วพร่า เขาวางถ้วยลงอย่างหนักก่อนพูดช้า ๆ “การแสดงของเจ้า ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวในอดีต”


“เจ้าหมายถึงอะไร” เสวี่ยซีถามเสียงแผ่ว แววตาฉายแววห่วงใยแท้จริง


เสวียนเต๋อเงียบไปครู่ใหญ่ ดวงตาคู่นั้นมองผ่านโต๊ะไม้ไปยังแสงโคมที่สั่นระริก “ไม่...ไม่มีอะไร” เขาตอบในที่สุด แล้วเบือนหน้าหนี


ลมหายใจของเขาดูสับสนและหนักหน่วง ดวงตาไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ หากแต่ทอดมองไปยังความว่างเปล่าราวกับหลงอยู่ในอดีตบางช่วงที่ไม่มีวันย้อนกลับได้อีก สีหน้าที่ปกติจะเรียบเฉยดูราวกับถูกเงาเศร้าบางอย่างครอบทับไว้ เสวี่ยซีมองเห็นได้ชัดเขารู้ว่ามันไม่ใช่ความเหนื่อยล้าธรรมดา


“อาเต๋อ” เขาเอ่ยเรียกเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ “เจ้าไม่เป็นไรแน่รึ?”


อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามอง “อืม ข้าเพียงรู้สึกแปลกไปหน่อย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ หากฟังดี ๆ จะสัมผัสได้ถึงร่องรอยสั่นไหว


เสวี่ยซีไม่ถามซ้ำในทันที เพียงนั่งลงข้าง ๆ เขาอย่างเงียบ ๆ ความเงียบแผ่ขยายออกไปรอบตัว มีเพียงเสียงจิ้งหรีดและกลิ่นชาอบค้างที่ยังไม่จางหาย “ข้าคิดว่าเจ้ากำลังทุกข์ใจ” เขาพูดขึ้นในที่สุด “บางครั้งการเก็บไว้ในใจนานเกินไป มันก็ทำให้หนักจนยากจะหายใจ”


เสวียนเต๋อเงียบไปอีกครั้ง แววตาที่มักนิ่งเรียบกลับไหววูบ “เจ้าช่างพูดเหมือนรู้จักความเจ็บปวดดีนัก”


“ข้าไม่รู้หรอกว่าของเจ้าเป็นเช่นไร” เสวี่ยซีตอบ “แต่ข้ารู้ว่าทุกคนย่อมมีบางสิ่งที่ไม่อยากพูดถึง หากวันนี้เจ้าต้องการแค่คนฟัง ข้าก็ยินดีจะเป็นคนนั้น”


เสียงลมหายใจของเสวียนเต๋อค่อย ๆ ช้าลง เขาหลุบตา มือกำชายเสื้อแน่น “เจ้ารู้หรือไม่...มีบางสิ่งที่แม้พูดออกไปก็ไม่ทำให้โล่งขึ้น บางทีมันอาจยิ่งทำให้เจ็บกว่าเดิม”


“บางทีการพูดออกมา อาจไม่ได้ทำให้เจ็บน้อยลง” เสวี่ยซีเอ่ยช้า ๆ “แต่ทำให้เราไม่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง”


คำพูดนั้นเหมือนประตูเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ถูกเปิด เสวียนเต๋อนิ่งไปนาน ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับตัดสินใจบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตานั้นมีทั้งความเหนื่อยล้าและความกล้าในเวลาเดียวกัน “เสวี่ยซี...เจ้ายังจำได้หรือไม่ ว่าข้าไม่เคยพูดถึงบ้านของข้าเลย”


“ข้าเคยสงสัยอยู่หลายครั้ง” เสวี่ยซีตอบเบา ๆ “แต่ก็ไม่กล้าถาม”


ชายหนุ่มยิ้มจาง ๆ “นั่นเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะพูดได้ง่าย ๆ” เขาหยุดครู่หนึ่ง “ข้าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เจ้าเข้าใจ” เขานิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนเปล่งถ้อยคำราวกับปล่อยก้อนหินหนักออกจากอก “ข้าคือ หลิวอัน... หวยหนานหวาง”


เสวี่ยซีเงียบงัน สายตาเบิกกว้างเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่าชายผู้มีท่าทีเรียบง่ายตรงหน้า จะมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนั้น “ท่าน...” เสียงของเขาแผ่วลง “ข้าไม่คิดเลยว่า...”


“ไม่ต้องประหลาดใจไป” หลิวอันพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ตำแหน่งนั้นไม่ได้มีค่าอันใดสำหรับข้าอีกแล้ว” เขาพูดพลางกระดกจอกสุรา “ข้าเคยมีทุกสิ่งที่คนอื่นปรารถนา อำนาจ เกียรติยศ และเสียงสรรเสริญจากผู้คน แต่ทั้งหมดนั้นกลับทำให้ข้าเห็นความว่างเปล่าของหัวใจ”


ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงแผ่ว “สิ่งเดียวที่ข้าสูญเสีย...คือคนที่ข้ารัก ส่วนสิ่งอื่นในวังหลวง ข้ารังเกียจยิ่งกว่าการสูญเสียเสียอีก ความจอมปลอม การแย่งชิง การทรยศข้าไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของมันอีก”


เสวี่ยซีมองชายตรงหน้าด้วยแววตาสงสารปนเคารพ “ท่านสูญเสียคนสำคัญ?”


หลิวอันพยักหน้าเบา ๆ “เป็นคนที่ข้ากลับยกหัวใจทั้งหมดให้...” เสียงของเขาสั่นไปเล็กน้อย 


แสงสีส้มสะท้อนใบหน้าของหลิวอันซึ่งบัดนี้มีน้ำตาไหลรินช้า ๆ


เสวี่ยซีไม่พูดอะไร เขาเพียงยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กให้ หลิวอันรับไว้ แต่ไม่ได้ใช้เพียงกำแน่นไว้ในมือ “เจ้าคงเห็นข้าเป็นคนอ่อนแอสินะ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ


“ไม่เลย” เสวี่ยซีตอบทันที “ข้ากลับคิดว่าท่านเข้มแข็งมาก การที่คนเรายังสามารถรู้สึกได้ นั่นแหละคือความเข้มแข็ง”


คำพูดนั้นทำให้หลิวอันนิ่งไป เขาหันมามองใบหน้าของเสวี่ยซี ซึ่งมีเพียงความจริงใจ ไม่ใช่ความเวทนาปลอม ๆ เหมือนที่เขาเคยเห็นในราชสำนัก “เจ้านี่ช่างต่างจากผู้คนในวังเหลือเกิน”


“เพราะข้าไม่เคยอยู่ในวัง” เสวี่ยซีตอบยิ้มบาง “ข้าจึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก”


ความเงียบกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่อึดอัดอีกต่อไป มันเต็มไปด้วยความเข้าใจบางอย่างที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำ หลิวอันเอนหลังพิงราวไม้ สูดลมหายใจลึกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “บางที ข้าอาจเริ่มหายใจได้อีกครั้งเพราะเจ้า” เขาพูดเสียงเบา ราวกับพูดกับลม


เสวี่ยซีไม่ได้ตอบ เพียงมองท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่น “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าแค่ฟัง”


“บางครั้ง การมีคนฟัง...ก็เพียงพอแล้ว” หลิวอันเอ่ยยิ้มจาง ๆ สายตาอบอุ่นอย่างที่เสวี่ยซีไม่เคยเห็นมาก่อน



ไอเทมเควสปลดหัวใจ หลิวอัน

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 92654 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-6 21:49
โพสต์ 92,654 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-10-6 21:49
โพสต์ 92,654 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +6 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดวสันต์ลีลา  โพสต์ 2025-10-6 21:49
โพสต์ 92,654 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม +9 ความโหด จาก คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง  โพสต์ 2025-10-6 21:49
โพสต์ 92,654 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +50 คุณธรรม +50 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-10-6 21:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

2

กระทู้

21

ตอบกลับ

692

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
617
ตำลึงทอง
1
ตำลึงเงิน
164
เหรียญอู่จู
7977
STR
0+2
INT
0+0
LUK
0+2
POW
0+0
CHA
15+5
VIT
0+0
คุณธรรม
90
ความชั่ว
0
ความโหด
62
โพสต์ 2025-10-9 23:45:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
“ยามฟ้าพลบ แสงชาดลูบคลุมกำแพงเมือง
โคมแดงแรกถูกจุด ย้อมลมค่ำให้เป็นสีอุ่น”
เมื่อเท้าของบุรุษผมเงินเหยียบย่างสู่ตรอกที่ทอดเข้าหา หอว่านหงเหริน กลิ่นกำยานลอยมารับหน้าราวกับจำได้ว่าเขาเคยทิ้งเสียงขลุ่ยไว้ที่นี่เมื่อคืนก่อน ฉีชิงหลง ก้าวเดินเชื่องช้า มือหนึ่งยกไหดินเต้าหู้ขึ้นเล็กน้อยช่างเป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งจากการไร้กลิ่นสุรา แสงโคมสะท้อนเคลือบผิวไหให้เป็นประกายอ่อน ข้างเอวมีสายกระเป๋าหนังใบใหม่เกี่ยวไว้สองชั้น—น้ำหนักไม่ได้มากนัก หากแต่ความว่างเปล่าในย่ามกลับหนักหนากว่า
หน้าประตูใหญ่ของหอ ทวารบาลในชุดดำสนิทยืนเรียงราย สีหน้าสงบหากระแวดระวัง ชิงหลงยกสองนิ้วเคาะป้ายไม้หนึ่งครั้ง เสียงไม้สะท้อนแผ่วดังเข้าไปถึงโถง เขาเชิดคางเล็กน้อย แววตาสีอำพันอมเขียวสะท้อนภาพอักษร “หอว่านหงเหริน” ที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือบานประตู
“คุณชายฉี?” เสียงบ่าวผู้เฝ้าประตูดังขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อผลักบานไม้เปิด “ค่ำนี้จะมาเยี่ยมชมนางรำ หรือ…?”
“มิใช่จะดื่มสุรา” ชิงหลงเอียงยิ้ม “แต่จะมาขอทำงาน”
คำสองพยางค์หลังทำให้บ่าวถึงกับชะงัก ครั้นสติคืนกุลีกุจอหลีกทางให้ เขาวิ่งปรู๊ดเข้าไปแจ้งข่าวเสมียนผู้ดูแลโถงหน้าทันที ชิงหลงยกไหเต้าหู้ขึ้นดื่มจิบ ทิ้งลมหายใจยาวหนึ่งครา ดวงตาคมหลุบต่ำ ความเหนื่อยใจแทรกอยู่ลึก ๆ ทว่าหน้าตากลับราบเรียบอย่างคนชินกับความผันผวนของโชคชะตา
ไม่นาน นางรำผู้ที่เขาเคยเข้าช่วยก็ปรากฏกาย ภายใต้ผ้าไหมบางสีดอกพีช นางยิ้มอ่อนจางไม่ต่างจากแสงเดือนแรกขึ้น “คุณชายฉี ข้าได้ยินบ่าวว่าท่านจะสมัครงาน จริงหรือไม่?”
“ความจนพัดมาถึงประตูแล้ว” เขาหัวเราะเบา ๆ “ข้าจึงขอให้เสียงขลุ่ยแลกข้าวกินสักพัก”
เธอมองไหดินในมือเขา พลันยิ้มกว้างขึ้นน้อย ๆ “กลิ่นถั่วหอม แปลว่าค่ำนี้อารมณ์ท่านคงอ่อนละมุนพอสมควร… เหมาะแก่การบรรเลง”
“หรือเหมาะแก่การหลับ” เขาตอบขำ ๆ แล้วลดเสียง “แต่ถ้าเป็นที่นี่ ข้าจะไม่หลับก่อนจบเพลงแน่นอน”
นางพยักหน้า ก่อนผายมือเชื้อเชิญ “เชิญท่านเข้าพบ เถ้าแก่หลิว ไค่ ก่อนเถิด ท่านคือผู้ตัดสินทุกอย่างของหอ”

โถงรับแขกด้านในหอว่านหงเหรินประดับด้วยโคมเกาลูนับร้อย ผนังไม้หอมสลักภาพดอกโบตั๋นและปักษาหลายสายพันธุ์ พื้นหินขัดเงาจนแม้เงาเท้าคนก็แลดูเป็นภาพวาดน้ำหมึก เสียงพิณแว่วบาง ๆ คล้ายสายฝนต้นฤดู ชิงหลงเดินผ่านม่านแพรสีชาด พลางรู้สึกถึงจังหวะหัวใจตนที่เริ่มสม่ำเสมอ สายตาคู่หนึ่งกำลังรออยู่ลึกเข้าไป
หลิว ไค่ นั่งพิงพนักอยู่หลังโต๊ะไม้หอม ชั้นผ้าไหมบนบ่าสวมง่ายแต่เฉียบขาด ใบหน้าไร้รอยยิ้ม หากดวงตากลับล้อแสงโคมจนยากคะเนความคิดชายผู้นี้ “เปลี่ยนสีหน้าได้ร้อยพัน คาดเดาอารมณ์ยาก” สมคำเล่าลือจริงแท้ กลิ่นชาจากกาพูนึ่งอุ่นลอยอ้อยอิ่ง ข้างแก้วชามีลูกคิดและป้ายบันทึกเงินเข้าออกวางอยู่
“คุณชายฉี” เสียงของเขานุ่มต่ำแต่ชัด “เมื่อคืนชื่อของท่านลอยอยู่ในปากแขกหลายโต๊ะ ข้าควรกล่าวขอบใจที่ท่านช่วยรักษาหน้าหอในครานั้น”
“หน้าหอหรือหน้าผู้คน” ชิงหลงยักไหล่ “ข้าช่วยด้วยอารมณ์อยากเล่น เพลงจึงดีเอง”
มุมปากของหลิว ไค่ กระตุกขึ้นไม่ถึงกับยิ้ม แต่แฝงความขันที่เข้มงวด “คนที่กล่าวเช่นนี้ หากไม่มั่นใจในฝีมือ ตกเวทีไปนานแล้ว ทว่า… ‘หอ’ นี้มิใช่เพียงเวที”
เขาชี้นิ้วไปยังโถงซ้อนด้านหลัง “ที่นี่คือโรงมหรสพและ ‘เรือนรับแขก’ ในรั้วเดียวกัน ผู้มาที่นี่ ต้องได้ทั้งเสียงดนตรีปลอบใจและถ้อยคำปลอบวิญญาณ ข้าจึงมิได้มองหานักบรรเลงเพียงอย่างเดียว”
คำว่า “ถ้อยคำปลอบวิญญาณ” ลอยวนอยู่ใต้เพดาน ชิงหลงนิ่งน้อย ๆ ก่อนหัวเราะในคอ “กล่าวอีกอย่างข้าเข้าใจ ข้าฟังออกว่าท่านต้องการ นักดนตรี และ นายโลม
หยาปี้เหลียนหลุบตายิ้ม ดอกพีชบนแพรผ้าของนางโยกไหวเล็กน้อย หลิว ไค่ มิได้ปฏิเสธ เพียงรินชาให้แก้วหนึ่งแล้วเลื่อนมาตรงหน้า “ดื่มก่อนเถิด น้ำชาไม่ใช่สุรา แต่หากดื่มชาถูกเวลา สุราก็ไม่จำเป็น”
ชิงหลงวางไหเต้าหู้ลง รับชาไว้ กลิ่นชาดอกเหมยแตะแผ่วที่ปลายลิ้น เขานั่งนิ่งครู่หนึ่งราวกำลังคัดลมปรับลมหายใจ ท่าทางขี้เล่นค่อยละลาย กลายเป็นความสงบที่น่าไว้วางใจขึ้นครึ่งส่วน
“แบบนี้เถิด” หลิว ไค่เอ่ยช้า ๆ “คืนนี้ข้าจะให้ท่านลองงานสองอย่างในคราเดียวอย่างหนึ่ง บรรเลงเพลงเปิดยามแสงโคมที่หนึ่ง อีกอย่าง นั่งรับแขกที่โต๊ะของเศรษฐีใหญ่ทางซีอวี้ร่วมกับพนักงานเรา หากท่าน ‘เดินกลอน’ ได้พอเพียง รู้กาละเทศะ รู้จักมารยาทการเรียกขาน และประคองอารมณ์แขกให้ไหลไปตามเพลงงานประจำก็เป็นของท่าน”
“ถ้าข้าพลาดเล่า?” ชิงหลงถามขำ ๆ
“คนเราพลาดได้” หลิว ไค่ตอบนิ่ง “แต่หอมิพลาดสองหนในคืนเดียว”
เป็นคำที่คล้ายจะเย็นชา ทว่าชิงหลงกลับยิ้มกว้าง เขาวางแก้วชา ยกขลุ่ยขึ้นแตะแก้ม “ข้าชอบคนพูดจริง”
“ดี” เถ้าแก่พยักหน้า “คุณชายหลิวเรียกก็ได้ แต่ในหอ เรียกข้าว่า ‘ท่านเถ้าแก่หลิว’ ให้สมกับกฎ”
“รับทราบ—ท่านเถ้าแก่หลิว”
หลิว ไค่ มองแววตาเขาหนึ่งอึดใจ ก่อนตบลูกคิดเบา ๆ ทีหนึ่ง “ไป เปลี่ยนเป็นชุดเบา สีอ่อน ไม่ต้องหรู แล้วไปพบหัวหน้าวงที่ฉากหลังเวที”
หยาปี้เหลียนผายมือ นำทางเขาลัดเลาะผ่านทางเดินไม้หอม ม่านแพรแตะไหล่เบา ๆ เย็นเหมือนปลายน้ำค้าง

ด้านหลังเวทีคึกคักแต่เป็นระเบียบ นักดนตรีกำลังอุ่นนิ้ว หญิงฝึกระบำกำลังปรับระดับผ้าเอว เสียงซุบซิบเหมือนฝนเม็ดเล็กตกบนหลังคา ชายวัยกลางคนผู้มีหนวดบางเป็นหัวหน้าวงยกคิ้วเมื่อเห็นชิงหลง แต่เพียงได้ยินชื่อจากนางรำผู้นั้นก็ทำมือให้เข้าจังหวะทดสอบทันที
ชิงหลงยกขลุ่ยขึ้น ลมหายใจแรกยาวและนิ่ง เสียงแรกหลุดออกมาบางราวด้ายไหม แล้วค่อยทบแน่นขึ้นเป็นสายแพรที่ไหลเคลื่อน คลอด้วยจังหวะกรับเบา ๆ จากหัวหน้าวง เขาไม่ได้บรรเลงท่อนยาก หากแต่วางถ้อยทำนองให้ “รับ” ช่องว่างของท่าร่าย เสียงเว้นหายเล็กน้อย ตรงจังหวะมือของนางรำที่คว้างขึ้นเหนือศีรษะ ทุกอย่างไปด้วยกัน ไม่มีผู้ใดวิ่งนำ เว้นเสียแต่เสียงลมหายใจของคนหนึ่งซึ่งกำลัง “ตั้งใจ” มากกว่าที่เคยทำมา
หัวหน้าวงสบตาหยาปี้เหลียนนิดเดียว ทุกอย่างก็เป็นอันเข้าใจ
“คืนนี้ยามโคมที่หนึ่ง เจ้าขึ้นนำท่อนเปิด” หัวหน้าวงสั้นคำ
ชิงหลงตอบรับด้วยการยกขลุ่ยแตะหน้าผากครั้งหนึ่ง
หยาปี้เหลียนยิ้ม ดวงตาใส “ข้าจะเข้าในท่อนรองบรรทัดที่สาม เจ้าอย่าลืมเว้นให้ลมหายใจข้าได้แทรก”
“ลมหายใจเจ้าคือท่อนที่ข้าอยากเว้นอยู่แล้ว” เขาว่าอย่างขี้เล่น นางหัวเราะเบา ๆ แล้วตีไหล่เขาหนึ่งทีให้เลิกกวน

ก่อนโคมแรกถูกยกสูง บ่าวน้อยนำเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อดีสีงาช้างมาให้ เขาปัดชายผ้าเสริมด้วยผ้าขนสีแดงเลือดหมูที่คุ้นเคยผืนผ้าซึ่งไม่เคยห่างกาย ยามสวมเข้ากับสีโคมชาดเหมือนเลือดสดในแก้วหยก เขามองเงาของตนบนทองเหลืองขอบฉากหลังบุรุษผมเงินผิวเข้ม ดวงตาอำพันอมเขียวแล้วแย้มยิ้มบาง “คืนนี้ อย่าพลาดก็แล้วกันนะคุณชายฉี”
เสียงไม้เคาะ “ปั๊ก” จากหัวหน้าวงคือสัญญาณเปิดม่าน โถงหน้าเวทีเงียบลงราวมหานทีหยุดไหล แขกเรือนมากหน้าหลากตาต่างจิบสุราค้างคา
ชิงหลงก้าวออกสู่ขอบเวที ขลุ่ยแนบฝีปาก เสียงเปิดท่อนแรกคลี่ตัวออกเหมือนลายเมฆยามย่ำค่ำ บาง ใส แต่พาใจให้เคลื่อน ลวดลายท่อนสองอุ่นขึ้นเหมือนชาเหมยในแก้วหยก เหล่านางรำย่างระบำเข้าจังหวะ สไบปลายมือพัดขึ้นสูง ผ้าไหมพลิ้วดังคลื่นแก้วในท้องแม่น้ำ เสียงขลุ่ยเว้นให้ปลายเท้าแตะพื้นพอดี แขกบางคนผ่อนลมหายใจโดยมิรู้ตัว
ท่อนสาม ชิงหลงไล่ปลายเสียงรัวเล็กน้อย คล้ายฝนพรำ เขาเห็นหัวคิ้วของหยาปี้เหลียนผ่อนคลาย ยิ้มที่มุมปากนางบอกเขาว่า “ใช่แล้ว” เขาจึงลดเสียงลงให้เหลือเสี้ยวหนึ่ง ทิ้งช่วงว่างสั้น ๆ ให้ “ความงามทำงานแทนเสียงดนตรี”ครั้นนางหยุดกลางเวที แขนสองข้างร่ายรูปดอกโบตั๋นบานพอดี เขาจึงค่อยพากลับสู่ทำนองปิดที่สงบและละมุน จบเพลงโดยไม่มีเสียงเครื่องดนตรีใดแทรก เงียบ หวาน อบอุ่น
เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นหลังหนึ่งลมหายใจ แขกหลายโต๊ะยกถ้วยสุราขึ้นพร้อมกัน ชิงหลงลดขลุ่ยลง ถอนหายใจสั้น ๆ เหมือนวางหินหนักก้อนหนึ่งจากอก เขาหันไปสบตานางรำผู้คุ้นเคย นางพยักหน้ารับ คำขอบใจไม่จำเป็นในยามที่เพลงกล่าวแทนหมดสิ้นแล้ว
ยังไม่ทันได้ถอยหลัง บ่าวจากโถงด้านข้างก็รีบกระซิบที่หู “คุณชาย… ท่านเถ้าแก่หลิวให้ไปโต๊ะตะวันตก ขณะนี้แขกซีอวี้มาแล้วขอรับ”
ชิงหลงรับคำ เขาปรับชายผ้าให้เรียบ แล้วจึงเดินตามทางบ่าวไปยังเรือนเล็กด้านตะวันตก โต๊ะนั้นประดับถาดเงินและแก้วแกะลาย นั่งเต็มด้วยชายต่างถิ่นผิวเข้มจมูกโด่ง สวมผ้าโพกศีรษะสีคราม หัวโต๊ะคือพ่อค้าคาราวานที่เพิ่งนำเครื่องแก้วจากทิศตะวันตกมาแลกผ้าไหม เขาสูดสุราหนัก กลิ่นเทศฉุนแทรกอากาศ
ชิงหลงประนมมือคารวะ “ยามค่ำสว่างดี ท่านผู้มีเกียรติ”
หัวคิ้วของหัวโต๊ะย่นเล็กน้อย ฟังภาษาฮั่นได้ครึ่งเดียว บ่าวล่ามรีบแปล ชายต่างถิ่นหัวเราะฮา มือใหญ่ตบเข่าจนถ้วยไหว “นั่ง—นั่ง! ดนตรีดี เราใจดี!”
ชิงหลงนั่งพอประมาณ ไม่ใกล้เกิน ไม่ไกลเกิน เขาไม่เร่งกล่าวคำชม หากแต่เริ่มด้วยการรินชาให้แขกคนละถ้วย “สุราร้อนแรง ชาคลายไฟ คืนนี้ให้สองสิ่งเดินคู่กัน จะได้ไปถึงเช้ามืดโดยไม่ล้ม”
ล่ามถ่ายทอด เสียงหัวเราะเบาลง กลายเป็นแววตาพึงใจ ชายอีกคนหยิบกำไลเงินส่งให้พนักงานบนเรือนเป็นรางวัล ชิงหลงรับ “กลอนขายน้ำชา” ของตนเองต่ออีกสองบทสั้น ๆ คำไม่พริ้งพราย หากมีสัมผัสพอดี เสียงสนทนาเริ่มไหลอย่างสม่ำเสมอ บางคราเขาหยุด เพื่อให้แขกเล่าถึงทะเลทรายและดาวจำนวนมากในคืนหนาว เขาฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าในจังหวะที่ทำให้คนเล่า “รู้สึกถูกฟัง” มากพอ
ครั้นสุราร้อนท่วมลำคอแขกจนแดงปลายหู ชิงหลงจึงใช้ “ความเงียบ” เป็นถ้อยคำ เขาเพียงยิ้ม ตรงนั้นคำหว่านล้อมทั้งหลายกลับไม่จำเป็น แขกวางถ้วยช้าลงเอง แล้วหัวเราะอย่างสบาย เขาจึงขออนุญาตถอยออกอย่างสุภาพ ทิ้งโต๊ะไว้ในอารมณ์พอดี
หน้าม่านทางเดิน เขาเงยหน้าเจอสายตาของ หลิว ไค่ พอดี เถ้าแก่ยืนกอดอก มุมปากสูงเสี้ยวหนึ่ง—ไม่ใช่ยิ้ม หากแต่เป็นสัญญาณว่า “ผ่าน” แล้ว
“ถ้อยคำปลอบวิญญาณ” หลิว ไค่ เอ่ยต่ำ “ท่านเรียนรู้ได้ไวกว่าเพลงเสียอีก”
“เพลงสอนข้าเอง” ชิงหลงตอบ “เมื่อรู้จังหวะลม ก็รู้จังหวะใจคน”
เถ้าแก่พยักหน้า “ตั้งแต่คืนนี้ท่านคือ ‘นักบรรเลง’ ประจำหอ และเข้าฝึกหน้าที่ ‘นายโลม’ ภายใต้กฎของหอว่านหงเหริน ข้าจะให้คนถือป้ายอนุญาตและห้องพักเล็กข้างสวนดอกเหมย การแบ่งส่วนรายได้และเวลาเข้าเวรเสมียนจะอธิบาย”
ชิงหลงปล่อยลมหายใจยาวแผ่ว ๆ สุดท้ายออกจากอก คล้ายเงาความเหนื่อยใจที่เกาะตัวมาจากตลาดทั้งวันละลายหาย “ข้าขอบคุณท่านเถ้าแก่หลิว”
“อย่าขอบคุณ” หลิว ไค่ ส่ายหน้า “ทำหน้าที่ให้ครบ แล้วค่อยดื่มชากับข้า ยามซานเกิง”
สั่งแล้วเขาผละไป สีหน้าเปลี่ยนกลับเรียบสนิทในก้าวเดียว เริงระบำแห่งอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้สมคำร่ำลือ
หยาปี้เหลียนเดินมาแตะศอกชิงหลงเบา ๆ “ยินดีต้อนรับ สหายร่วมเรือน”
“ข้าหวังว่าจะทำให้เจ้าเหนื่อยน้อยลงบ้าง” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
“ทำให้ข้าเหนื่อยน้อยลงหรือมากขึ้น ต้องคอยดู” นางยิ้มตาโค้ง “แต่ค่ำนี้บรรทัดของเจ้า งดงาม”
ชิงหลงโน้มศีรษะรับคำ แล้วหันมองสวนดอกเหมยข้างเรือน ห้องพักเล็กถูกจัดไว้เรียบสะอาด มีโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว หมอนกลิ้งคู่ และโคมกระดาษดวงเดียว เขาวางไหเต้าหู้จาก อันเล่อจ้วน ลงบนโต๊ะ กลิ่นถั่วอ่อนลอยขึ้นอีกคำรบ ความทรงจำเมื่อบ่ายค่อยเชื่อมกับค่ำอย่างไม่สะดุดไหเดียวกันที่พาเขามาจนถึงเรือนนี้
เขาถอดผ้าคลุม วางพาดพนัก เก็บกระเป๋าหนังใหม่ทั้งสี่ใบไว้มุมห้องสิ่งฟุ่มเฟือยที่ทำให้ย่ามโล่ง หากคราวนี้เขามิได้มองมันด้วยความห่วงกังวล กลับยิ้มบางราวมองเพื่อนเก่าที่พอจะติดตามการเดินทางใหม่ได้สักพัก
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังจากนอกห้อง เสมียนนำป้ายอนุญาตไม้ลงรักมาให้ พร้อมบอกเวลาขึ้นเวทีรอบต่อไป และสรุปกฎสำคัญวิธีเรียกขานแขก การเข้าคลอคำกับนางรำ การถอนตัวจากโต๊ะที่เริ่มเมาเกินงาม เขารับไว้ทั้งหมดอย่างสงบ มิได้โต้แย้งหรือล้อเล่นให้มากคำเหมือนยามบ่าย
“ท่านจะพักสักครู่หรือจะออกไปที่โถงรับแขกเลยดีขอรับ?” เสมียนถาม
“ข้าจะไปที่โถง…แต่ก่อนนั้น” เขายกขลุ่ยขึ้น “ขอหนึ่งเพลงให้ห้องนี้จำข้าเสียก่อน”
เสมียนยิ้มคารวะถอยออก ปล่อยให้ความเงียบอ่อนนุ่มครอบครองห้องเล็ก
ชิงหลงนั่งริมหน้าต่าง ม่านบางกระทบแก้มตามแรงลม เขายกขลุ่ยแนบริมฝีปาก ลมแรกไหลออกอย่างยาว เสียงกลมใสดุจน้ำชาอุ่นในถ้วยหยก ท่วงทำนองไม่หวือหวา เป็นเพียงบันไดห้าชั้นที่เดินขึ้นลงช้า ๆ แต่ละโน้ตวางระยะอย่างตั้งใจ เหมือนเขากำลังจัดหายใจให้เข้าที่เข้าทางของชีวิตใหม่
นอกหน้าต่าง แสงโคมจากสวนเหมยกระพริบวาวบนกลีบดอกสีซีด กลิ่นหอมชื้นของดินยามค่ำปะปนกับความหอมจางของน้ำเต้าหู้ที่ยังอุ่นในไห สองกลิ่นง่าย ๆ ที่เมื่อมารวมกันกลับทำให้ใจคนอุ่นขึ้นอย่างประหลาด
เขาปิดเพลงด้วยเสียงยาวหนึ่งทอด มิใช่เพื่อโอ่อ่า หากเพื่อวางสันนิบาตเล็ก ๆ ให้คืนนี้พักพิงได้ ชั่วขณะนั้น ความวุ่นวายของตลาดตะวันออก เสียงซุบซิบของแขกเรือน ความรอบรู้ที่อ่านยากของเถ้าแก่หลิว ไค่ ล้วนถอยหลังเป็นฉากเนียน ๆ เหลือเพียงลมหายใจของตนเองที่คลออยู่กับเสียงไม้ไผ่
ชิงหลงวางขลุ่ยลง ลูบปลายเครื่องมือเบา ๆ ราวลูบเส้นผมของสหายเก่า เขายกไหเต้าหู้ขึ้นจิบ หัวเราะแผ่ว เสียงหัวเราะที่ไม่ได้คุยอวดใคร หากคุยกับตัวเอง
“คืนนี้… ข้ายังมีเพลงให้เป่า ยังมีข้าวให้กิน ยังมีที่ให้วางหัวใจชั่วครู่ ก็นับว่าดี”
เขาลุก ยกป้ายอนุญาตแขวนที่เอว ปัดชายผ้าให้เรียบ แล้วออกเดินไปทางโถงด้วยก้าวที่มั่นคงกว่าตอนย่างเข้าประตู
เบื้องหน้า—โคมแดงจะสว่างขึ้นอีกรอบหนึ่ง
เบื้องหลัง—ในห้องเล็กยังอวลด้วยเสียงขลุ่ยที่เพิ่งดับไป
ความเงียบที่เหลืออยู่ อบอุ่นดั่งผ้าฝ้ายแห้งแดดในยามเหมันต์
และในยามที่เขาเดินพ้นธรณีประตู เสียงขลุ่ยอันบางและใส เสียงเดียวกับที่ปลอบใจเขา ก็ยังเหมือนจะก้องอยู่ในอก เปลี่ยนค่ำคืนอันยาวให้อุ่นขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35164 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-10-9 23:45
โพสต์ 35,164 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-10-9 23:45
โพสต์ 35,164 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-10-9 23:45
โพสต์ 35,164 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก น่ารัก  โพสต์ 2025-10-9 23:45

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +100 ย่อ เหตุผล
Watcher + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ขลุ่ย
พัดคุณชาย
น่ารัก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x10
x10
x1
x1
x1
x60
x34
x1
x30

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-10-11 23:05:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mingchunshui เมื่อ 2025-10-11 23:21

คืนประมูลแสนวุ่นวาย
วันที่ 11 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 เวลา 21.00

        ม่านราตรีพ้นผ่านไป แสงจากดวงตะวันสาดส่องขับไล่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ภายในห้องรับรองระดับสูงในหอว่านหงเหรินที่จากไปเยให้เป็นร่างของบุรุษสองนอนคนที่นอนหลับเคียงข้างกันอยู่บนเตียงนอนหลังใหญ่ แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะนอนหันหน้าหนีไปอีกทางหากแต่อีกฝ่ายกลับใช้วงแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอกกกอดเอาไว้ราวแน่นกรงขัง

        “อืม..”เสียงงึมงัมจากโอวหยางเฉียนฮุยดังขึ้นพร้อมกับดวงตาคมที่ลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะเหลือบมองไปยังคนงามที่นอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง

        “หึหึ”มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มพึงพอใจพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับร่างสูงที่ยันตัวลุกขึ้นเล็กน้อยงแล้วโน้มตัวลงไปสูดกลิ่นหอมจากแก้มนุ่มนิ่มนั้นจนสุดปอด
        ฟอดดด…

        “ไว้ครั้งหน้าข้าจะเอาของเล่นที่ดีกว่านี้มาให้เจ้าได้ลิ้มรส รับรองเจ้าต้องติดใจแน่ๆ คนงาม”

        โอวหยางเฉียนฮุยลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วจากไปทิ้งๆไว้เพียงหมิงชุนสุ่ยที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงภายในห้องรับรองระดับสูงจนถึงเที่ยงวันจึงได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

        “กลับไปแล้วสินะ”หมิงชุนสุ่ยกล่าวพึมพัมเมื่อไม่เห็นคุณชายโอวหยางในห้องทั้งรอยบนที่นอนก็เย็นเยียบบ่งบอกว่าอีกฝ่ายนั้นจากไปได้นานพอสมควรแล้ว ชายหนุ่มตัดสินใจก้มมองสำรวจร่างกาย เมื่อพบว่าร่างกายของตนไม่ได้มีร่องรอยรวมรักจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะมีอาการปวดเมื่อยและระบมช่องทางอยู่บ้างแต่ก็นับว่าดีกว่าครั้งแรกนัก

        หมิงชุนสุ่ยลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปยังห้องพักของตน เพียงแต่เมื่อเปิดประตูออกมากลับพบเถ้าแก่หลิงไค่ที่กำลังยืนกอดอกรออยู่ด้วยสีหน้านิ่งสนิท

        “ดูท่าเมื่อว่าเจ้าจะมีแรงเหลือจากการถูกทำโทษสินะ ถึงมารับรองคุณชายโอวหยางแทนเทพธิดาของหอ มิใช่ข้าสั่งให้เจ้าไปพักหรือ”

        “ถ้าไม่ขอบคุณก็อย่ามาบ่นข้า ดีแค่ไหนแล้วที่ข้ามารับรองคุณชายโอวหยางนั่นแทนพี่สาวคนนั้น ไม่อย่างนั้นเทพธิดาของหอท่านของเสียราคา” หมิงชุนสุ่ยกล่าวเสียนิ่ง “ท่านคงไม่ชอบหรอกใช่ไหมที่เทพธิดาของหอจะค่าตัวตกเพราะเสียโฉมจากการรับรองแขกพิเศษ”

        “...”เถ้าแก่หลิวไค่มิได้ตอบอะไรเพียงแต่ผ่อนลมหายใจออกมา “ไปพักเสียข้าจะให้คนต้มยาแก้ปวดไปให้ แล้วยามปลายยามเซิน (17.00น.) ข้าจะให้คนไปตามเจ้ามาซ้อมที่เวที”

        หมิงชุนสุ่ยพยักหน้าก่อนจะเดินกลับห้องพักของตนเองไปพักผ่อนตามที่เถ้าแก่บอก ทันทีที่กลับมาถึงก็พบกับเจียวจ้านที่รีบพุ่งตัวเข้ามาช่วยดูแล และช่าวยทายาที่ช่องทางด้านล่างที่บวมแดงให้อย่างไม่รู้สึกเขินอายเพราะในใจห่วงใยนอาการป่วยของคุณชายของตนมากกว่า

        หลังจากทานยาที่เถ้าแก่ให้คนนำมาให้จนหมดหมิงชุนสุ่ยก็นอนหลับต่อในห้องพักของตนจนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเวลาที่เถ้าแก่นัด เขาถูกเจียวจ้านปลุกให้ลุกขึ้นไปซักซ้อมการแสดงเปิดตัวและถูกพี่โอวหย๋าจับแต่งองค์ทรงเครื่องยกใหญ่จนเมื่อราตรีกาลมาเยือน

หอว่านหงเหรินส่องแสงเจิดจรัสกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา แสงโคมแดงนับร้อยดวงสะท้อนประกายระยิบระยับบนกระจกเงาและผ้าแพรสีเข้มที่ประดับทั่วทั้งโถงกลาง กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยอบอวลคล้ายเชิญชวนให้ผู้มาเยือนหลงเข้าสู่ห้วงฝันอันยวนใจ ทุกซอกมุมของหอถูกรังสรรค์อย่างประณีต ผ้าม่านแพรพรรณพลิ้วไหวตามแรงลม ช่อดอกเหมยแดงถูกจัดเรียงบนแจกันหยกขาว ขับให้บรรยากาศดูงดงามเย้ายวนและหรูหราราวกับสรวงสวรรค์

ผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศต่างแห่กันมาแน่นขนัดในโถง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ขุนนางในเครื่องแต่งกายหรูหรา หรือแม้แต่บุตรหลานตระกูลใหญ่ ล้วนต่างตั้งใจมาชมงานประมูลยามค่ำที่จะจัดขึ้นเสียงพูดคุยและหัวเราะคละเคล้ากับเสียงเครื่องดนตรีที่เล่นเบา ๆ รอเวลาเริ่มงาน

ไม่นาน แสงไฟบนเวทีก็ดับลง เงามืดปกคลุมทั่วโถง เสียงผู้คนเงียบลงแทบในทันที ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นทีละก้าวจากด้านหลังเวที เถ้าแก่หลิวไค่ก้าวขึ้นสู่แท่นกลางเวทีในชุดแพรสีน้ำเงินเข้มขลิบทอง ใบหน้าเขาแต่งแต้มรอยยิ้มที่ดูทั้งอ่อนโยนและคมคาย แววตาฉายประกายเจ้าเล่ห์อย่างผู้รู้ดีว่าสิ่งใดกำลังรออยู่เบื้องหน้า

“ท่านสุภาพบุรุษและสตรีทั้งหลาย คืนนี้เป็นอีกคืนที่แสนพิเศษของหอว่านหงเหริน” เสียงของเถ้าแก่ดังกังวานชัดเจน “เรามีดาวงามที่สุดในรอบปีมาปรากฏตัว ขอให้ทุกท่านจับตาดูให้ดี เพราะค่ำคืนนี้...จะเป็นคืนที่ท่านไม่มีวันลืม”

ทันทีที่เขากล่าวจบ เสียงกลองและขลุ่ยก็ดังขึ้นพร้อมกัน แสงไฟค่อย ๆ สว่างขึ้น เผยให้เห็นเหล่านางรำในชุดแพรโปร่งบางที่ก้าวออกมาทีละคน พวกนางร่ายรำอ่อนช้อยดังสายลมต้องเกล็ดน้ำ เสียงขลุ่ย เสียงกู่เจิง และเสียงผีผาบรรเลงคลอไปอย่างอ่อนหวาน บรรยากาศทั้งโถงเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งราตรี

แต่แล้ว เมื่อเสียงกู่เจิงสุดท้ายดับลง ความเงียบงันก็กลับมาอีกครั้ง แสงเพียงดวงเดียวสาดลงบนแท่นยกสูงกลางเวที เผยให้เห็นร่างของหมิงชุนสุ่ยที่ค่อย ๆ ก้าวออกมาจากม่านด้านหลัง

เขาสวมอาภรณ์บางเบาสีแดงสดโดดเด่น เนื้อผ้าบางส่วนเปิดเผยให้เห็นผิวขาวนวลที่สะท้อนแสงจนเกือบเรืองรอง ดิ้นทองระยับราวแสงจันทน์ ในมือของหมิงชุนสุ่ยถือผีผาไม้เนื้อดีที่สลักลายดอกเหมยละเอียดงดงาม เมื่อเขาก้าวขึ้นไปนั่งบนแท่นสูง แสงจากโคมรอบเวทีก็สะท้อนเข้าดวงตาคู่สวยนั้นจนดูคล้ายประกายหยาดน้ำแข็งในคืนหิมะ

เสียงดนตรีเงียบลง เหลือเพียงความสงัดที่ทำให้ทุกลมหายใจในโถงนั้นหยุดนิ่ง หมิงชุนสุ่ยวางปลายนิ้วเรียวยาวลงบนสายผีผา ก่อนจะเริ่มขยับปลายนิ้วอย่างอ่อนโยน เสียงดนตรีแผ่วหวานดังขึ้น ราวกับสายลมพัดผ่านท้องทุ่งยามดึก

ทำนองแรกช้าและเศร้าละเมียด จนผู้ฟังทุกคนคล้ายต้องมนต์สะกด เสียงผีผาแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ บ้างรู้สึกปวดร้าว บ้างรู้สึกหลงใหล เมื่อท่วงทำนองค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นทำนองที่อบอุ่นและแผ่วหวาน บางคนถึงกับหลับตาฟัง ราวกับกลัวจะทำลายช่วงเวลาแห่งความฝันนี้

เสียงสายสุดท้ายจบลงพร้อมปลายนิ้วของหมิงชุนสุ่ยที่หยุดนิ่งกลางอากาศ ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องชื่นชมดังลั่นทั่วทั้งโถง

หมิงชุนสุ่ยเพียงยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ดวงตาสีอ่อนดูโฉบเฉี่ยวจากการแต่งแต้มด้วยสีสันจน ใบหน้าหล่อเหลางดงามดั่งรูปสลักเชิดขึ้นและตั้งตรง รับกับปลายจมูกที่ขึ้นเล็กน้อยชวนให้ดูดื้อรั้นแต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ความงามของชายหนุ่มจะสะกดตราตรึงฝังลึกลงในจิตใจของผู้ได้ยลโฉม เขาก้มศีรษะให้ตามมารยาท ก่อนจะวางผีผาไว้ข้างกาย ร่างบางยังคงอยู่บนแท่นยกสูงท่ามกลางแสงไฟนวล เถ้าแก่หลิวไค่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเวที ยกมือขึ้นเรียกความสนใจของทุกคนอีกครั้ง

“ทุกท่านคงได้เห็นแล้วถึงความงามและความสามารถของดาวเด่นในค่ำคืนนี้ หมิงชุนสุ่ย” เขากล่าวเสียงชัดเจน “เขาหล่อเหลา งดงาม แต่ก็ดื้อรั้นและซุกซนไม่น้อย ท่านใดที่ต้องการอยากจะปราบพยศดาวเด่นผู้นี้และบัดนี้ ถึงเวลาเริ่มการประมูลคืนนี้แล้ว”

เสียงพูดนั้นเรียกให้โถงทั้งโถงกลับมาอื้ออึงอีกครั้ง บรรดาผู้มีอำนาจในชุดหรูหราพากันกระซิบกระซาบ บางคนเงยหน้ามองหมิงชุนสุ่ยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความปรารถนา บางคนหัวเราะเบา ๆ อย่างมั่นใจในทรัพย์สินของตน

“ราคาเริ่มต้น ห้าสิบตำลึงเงิน” เถ้าแก่หลิวไค่ประกาศเสียงดัง “และจะเพิ่มได้ตามความพอใจของท่านผู้ประมูล”

เสียงฆ้องดังขึ้นหนึ่งครั้ง บ่งบอกการเริ่มต้น

“ข้าเสนอหกสิบตำลึง!” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นจากแถวหน้า

เจ็ดสิบ!” อีกเสียงหนึ่งตามมาแทบจะทันที

“ร้อยตำลึง!” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งตะโกนแทรกขึ้นอย่างใจร้อน ความตื่นเต้นปะทุขึ้นในโถง เหมือนเปลวเพลิงที่เริ่มลุกโชนจากประกายแรก

บนแท่นยกสูง หมิงชุนสุ่ยนั่งนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาลึกสงบคล้ายสายน้ำใต้ผืนน้ำแข็ง แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยเสียงเงินทองและความทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับนิ่งสงบ ปลายขาเรียวที่โผล่พ้นออกมานอกชายผ้ายกขึ้นวางไขว่ห้างเผยให้เห็นต้นขาอ่อนที่ขาวเนียนยิ่งพาให้ยอกเงินประมูลยิ่งทวีเพิ่มสูงขึ้น

ในขณะนั้นกลับมีเสียงหนึ่งที่ดังแทรกขึ้นมาพาให้ทั้งโถงกลางของหอเงียบกริบเพราะจำนวนเงินที่แขกผู้หนึ่งกล่าวออกมานั้นพุ่งสูงจากยอดเดิมจนน่าตกใจ

“ห้าร้อยตำลึงเงิน!”

ผู้คนในหอพากันหันไปมองตามเสียงขานประมูลก่อนจะพบว่าผู้ที่ร้องขานประมูลนั้นคือผู้ชนะการประมูลไปในคราก่อนอย่างต้าซือคงแห่งวังหลวงนั่นเอง แม้แต่เถ้าแก่หลิวไค่ที่ได้ยินก็ไม่แคล้วเกิดความสงสัย มิใช่ว่าต้าซือคงผู้นั้นติดพันอยู่กับนายโลมผู้หนึ่งของตนหรอกหรือเหตุใดจึงกระโดดเข้ามาร่วมการประมูลนี้ได้เล่า

หมิงชุนสุ่ยที่ได้ยินประมูลที่สูงมากก็พลันเลิ่กคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเหลือบสายตามองไปยังรร่างสูงของบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้มเรียบหรูผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะที่ชั้นสองของหอซึ่งเป็นชั้นที่นั่งของแขกพิเศษแขกประจำของหอด้วยความสนใจ

เพราะจากความทรงจำของเขานั้นมิเคยพบหรือรับรองแขกบุรุษผู้นี้มาก่อน

“ห้าร้อยตำลึงเงิน ท่านต้าซือคงของเราให้ราคาสูงเพียงนี้มีผู้ใดจะเสนอราคาสูงกว่านี้อีกหรือไม่”เถ้าแก่หลิวไค่กล่าวออกมาดวงตาคมกวาดมองไปยังแขกที่มาประมูลอย่างอารมณ์ดี

“ห้าร้อยห้าสิบตำลึงเงิน!”

        “หกร้อยตำลึงเงิน!”

        “หกร้อยห้าสิบ!”

        “หนึ่งพันตำลึงเงิน!”เสียงร้องพูดคุยภายในหอเงียบลงเป็นครั้งที่สองเมื่อเสียงหนึ่งร้องขานราคาประมูลขึ้นและมันพุ่งสูงในรวดเดียวเหมือนดั่งตอนที่ต้าซือคงผู้นั้นขานประมูลหากแต่เมื่อได้เป็นหน้าของผู้ขายประมูลครานี้หมิงชุนสุ่ยกลับแทบเบะปากออกมาเมื่อพบว่าผู้ที่กล่าวประมูลตนรอบนี้คือคุณชายโอวหยางที่ตนพึงรับรองอีกฝ่ายไปเมื่อคืน

        “นึกว่าคุณชายโอวหยางจะไม่สนใจเข้าร่วมประมูลเสียแล้ว…”หลิวไค่กล่าวแซวเพื่อเพิ่มอรรถรสและสีสันให้กับงานประมูล

        “หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเงิน!”

        หลิวไค่ที่ยังไม่ทันจะจบดีเสียงขานประมูลในยอดที่สูงขึ้นมาก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจากฝั่งของต้าซือคงนั่นเรียกสายตาจากทั้งหมิงชุนสุ่ย หลิวไค่และโอวหยางเฉียนฮุยให้หันไปมองอีกฝ่าย

        “หากคุณชายโอวหยางอยากจะชนะการประมูลนี้คงต้องทุ่มเงินหน่อยเสียแล้ว”ต้าซือคงผู้นั้นกล่าวออกมา ใบหน้าหล่อเหล่ามองสบดวงตาสีเข้มของคุณชายโอวอยางพลางยกยิ้มในเชิงท้าทาย

        “ย่อมได้ในเมื่อท่านต้าซือคงอยากจะวัดเม็ดเงินกับข้า อย่าหาว่าข้าล่วงเกินท่านเลยขอรับ”โอวหยางเฉียนฮุยกล่าวพร้อมกับยกมือประสานคารวะเล็กน้อย “สองพันตำลึงเงิน!!”

        สองพันห้าร้อย!”

        “สามพัน!”

        “สามพันห้าร้อย!”        

        ทั่วทั้งหอหว่านหงเหรินเงียบสนิทลงเหลือเพียงการแข่งขานจำนวนเงินของผู้ทรงอำนาจทั้งสองโโยมีเหล่าแขก และเหล่านางโลมนายโลมของหอเป็นสักขีพยานในการแข่งขันครั้งนี้ หมิงชุนสุ่ยยิ่งได้ยิ่งจำนวนเงินที่ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นก็พลันกลืนน้ำลายอย่างลำบากมองฝั่งของต้าซือคงผู้นั้นที ฝั่งของคุณชายโอวหยางทีก่อนจะเหลือบสายตาไปมองสบตาหับเถ้าแก่ของหอว่าจะปล่อยให้พวกเขาแข่งขานราคาไปจนถึงเมื่อใดกันแน่

        การขานราคายังคงดำเนินไปอย่างไม่มีใครยอมใครจนเมื่อเสียงขานราคาของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาราวเป็นการตอกปิดประตูการประมูลที่แสนยืดเยื้อนี้ในราคาสูงลิ่วจนแทบเทียบเคียงวันประมูลคืนแรกของเทพธิดานางโลมอันดับหนึ่งที่ต้องจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์

        “ห้าพันตำลึงเงิน!!!”



ลาภลอย (ไม้) - มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
ทำงาน 1 วัน ค่าจ้าง: 100 ตำลึงเงิน - 15 EXP


อยากให้ใครชนะ

คนตรวจก็ไปหมุนวงล้อเอาเด้อ

วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า










แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
วันที่ 11 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11ยามไห้ เวลา 21.00 - 23.00 น.╰┈➤ พบเจอเถียนเฟิงค่ำคืนนั้นหอว่านหงเหรินยาม  รายละเอียด ตอบกลับ โพสต์ 2025-10-13 22:49
โดยเขาก็พานางคณิกาที่ชื่อ เสี่ยวเชี่ยนขึ้นไปร่วมรักห้องเดียวกับคุณและบ่าวคนสนิท  โพสต์ 2025-10-12 13:18
โดยเขาไม่ได้ประมูลไปร่วมรัก แต่ประมูลไปให้คนรับใช้คนสนิทแสดงบทรักกับคุณให้เขาดู  โพสต์ 2025-10-12 13:17
ดูข้อมูล NPC ประกอบได้ที่ หลิว หู่เหยา  โพสต์ 2025-10-12 12:59
เถ้าแก่มาพบคุณบอกว่าไปห้องจิ่วลู่ ปรนนิบัติท่านซื่อจื่อให้ดี เขานานๆ ทีจะมาเยือนฉางอัน ค่าจ้างได้หลังเข้าปรนนิบัติผู้ประมูลชนะ  โพสต์ 2025-10-12 12:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
โพสต์ 2025-10-12 18:28:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 09 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 15.00 - 16.00 น. ณ หอว่านหงเหริน


แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยลอดผ่านม่านไหมสีแดงเข้มของหอว่านหงเหรินเป็นริ้วบาง ๆ แสงทองสาดต้องผิวไม้หอมจนเกิดเป็นประกายระยับ กลิ่นกำยานกฤษณาผสมกลิ่นดอกเหมยอบอวลทั่วทั้งชั้นบนสุดของหอ เสียงขลุ่ยเบา ๆ จากด้านล่างยังแว่วขึ้นมาจากห้องรับแขก แต่ในห้องแห่งนี้กลับเงียบสงบเสียจนได้ยินเพียงเสียงกระดาษขยับเบา ๆ จางกงกงในชุดผ้าแพรสีเทาเข้ม นั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้จันทน์ข้างหน้าต่าง ดวงตาคมเรียวหรี่ต่ำกำลังอ่านบันทึกบัญชีด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาใช้ปลายนิ้วแตะหมึกแล้วเซ็นตัวอักษรอย่างแม่นยำ ท่วงท่าของชายผู้นี้สงบนิ่ง แต่แฝงด้วยอำนาจเงียบที่คนทั่วไปยากจะเข้าใกล้


เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น “ตึก ตึก” ก่อนที่ประตูจะค่อย ๆ แง้มเปิดออก ร่างในชุดผ้าไหมสีอ่อนของหญิงสาวที่มีกลิ่นหอมละมุนเฉพาะตัวก็โผล่หน้าเข้ามา ใบหน้าของนางยิ้มจนตาโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความคิดถึงที่ไม่อาจปิดบังได้ “ท่านนน~” เสียงของหลินหยาอ่อนหวานละมุน แต่มีแววขี้เล่นชัดเจน “วันนี้ท่านทำแต่งานอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นางเดินเข้ามาใกล้โดยแทบไม่รอคำอนุญาต เส้นผมดำขลับพลิ้วตามจังหวะก้าวเดินจนกลิ่นหอมจาง ๆ ของนางแตะปลายจมูกเขา


จางกงกงเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ดวงตาเรียวยาวของเขาจับจ้องนางเงียบ ๆ เพียงชั่วอึดใจ แค่เพียงชั่ววินาทีในแววตานั้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมกลับดูจะคลายลงไปกว่าครึ่ง หลินหยาก้าวเข้าไปใกล้อีก ก้มมองกองเอกสารบนโต๊ะแล้วทำหน้ามุ่ย “ต้องคุมขันทีกับนางกำนัลทั้งวัง ไหนยังต้องมาดูบัญชีที่หอทุกเดือนอีก ท่านนี่ไม่รู้จักพักเลยจริง ๆ” พูดจบเธอก็เอื้อมมือไปแตะต้นแขนของเขาเบา ๆ ปลายนิ้วเรียวสัมผัสผ่านผ้าแพรเย็นแต่ความรู้สึกกลับอุ่นแปลก ๆ จากร่างของชายตรงหน้า “เหนื่อยไหมเจ้าคะ…” เธอพูดเสียงนุ่ม ดวงตาเงยขึ้นมองใบหน้าเขาอย่างออดอ้อน ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน “ถ้าเหนื่อย…ให้ข้านวดให้นะเจ้าคะ”


จางกงกงนิ่งไปเล็กน้อย แววตาเยือกเย็นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นบางเบา เขามองเธอโดยไม่พูดสักคำ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นจับข้อมือเล็กของนางไว้แน่นเพียงน้อย “เจ้าเองก็มักมาทำให้ หัวข้าไม่อยู่กับงานเสมอ” เสียงทุ้มต่ำของเขาแผ่วราวกระซิบ


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “นั่นเพราะท่านทำแต่งานต่างหากเล่า” เธอพูดพลางขยับเข้ามาใกล้อีกนิดจนระยะระหว่างทั้งสองเหลือเพียงฝ่ามือเดียว “ข้าคิดถึงท่านนี่นา” กลิ่นหอมจาง ๆ จากเรือนผมของนางแตะปลายจมูกเขาอีกครั้ง ลมหายใจของหญิงสาวแผ่วอุ่นอยู่ข้างแก้ม เสียงหัวใจเต้นของเธอค่อย ๆ กลืนไปกับจังหวะลมหายใจของเขา


จางกงกงค่อย ๆ ปล่อยพู่กันในมือ วางมันลงข้างเอกสาร ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมมองหญิงสาวตรงหน้าราวกับอ่านใจของนางได้ทุกคำคิด “เจ้าอยากได้อะไรจากข้าอีกล่ะ เสี่ยวหยา” เสียงของเขาเจือรอยยิ้มแต่แฝงแววหยอกเย้า


หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ ทำหน้าบูดเล็กน้อย “ก็อยากได้ท่านนั่นแหละเจ้าค่ะ ท่านทำตัวเหมือนคนที่ต้องให้ข้าคอยทวงอยู่เรื่อยเลย” เธอเอ่ยเสียงเบาแต่ชัดถ้อย ริมฝีปากน้อยเม้มแน่นก่อนจะยกยิ้มอาย ๆ จางกงกงหัวเราะในลำคออย่างแผ่ว “แมวน้อย…” เขายื่นมือมาดึงนางให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก ร่างของหลินหยาถลาเข้าหาอกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว กลิ่นกฤษณาจากเสื้อผ้าเขาผสมกลิ่นหอมอ่อนของนางจนอบอวลไปทั้งห้อง


“ก็ได้... วันนี้ข้าจะหยุดงานไว้สักครู่” เขากระซิบชิดหู น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความลึกดั่งราตรี “เพราะเจ้ามา ข้าจะถือว่าเป็นช่วงพักของข้า” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางพิงศีรษะกับไหล่เขา “งั้นข้าก็ถือว่าเป็นรางวัลของท่านแล้วกันนะเจ้าคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับ บ่ายนั้นในหอว่านหงเหรินจึงเงียบสงบเหลือเพียงแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านไหมและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่นั่งพิงอยู่ข้างชายผู้โหดร้ายแต่ก็กลับอบอุ่นกับนางเพียงคนเดียว(ละมั้ง)



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: คุยกับจางกงกงแบบเสมอต้นเสมอปลาย [NPC-11] จางกงกง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 22392 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-12 18:28
โพสต์ 22,392 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก วาสนาเซียน  โพสต์ 2025-10-12 18:28
โพสต์ 22,392 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-10-12 18:28
โพสต์ 22,392 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-10-12 18:28
โพสต์ 22,392 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +9 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-10-12 18:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
วาสนาเซียน
ตำราขนมหวานสูตรลับ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x30
x4
x10
x12
x2
x1
x3
x114
x5
x5
x5
x5
x5
x8
x2
x2
x4
x21
x8
x20
x1
x158
x20
x21
x1
x5
x34
x5
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x6
x66
x17
x6
x93
x51
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x197
x55
x68
x68
x4
x105
x5
x9
x4
x3
x8
x4
x2
x15
x69
x1
x1
x7
x52
x36
x47
x16
x140
x7
x10
x10
x26
x10
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x95
x62
x9
x10
x135
x55
x28
x70
x54
x49
x3
x3
x117
x11
x9
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x24
x6
x13
x8
x135
x70
x20
x10
x14
x48
x3
x1
x3

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-10-13 01:51:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
โพสต์ 2025-10-13 22:49:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
Mingchunshui ตอบกลับเมื่อ 2025-10-11 23:05 คืนประมูลแสนวุ่นวายวันที่ 11 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ...

วันที่ 11 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห้ เวลา 21.00 - 23.00 น.

╰┈➤ พบเจอเถียนเฟิง


ค่ำคืนนั้นหอว่านหงเหรินยามราตรีสว่างไสวราวกับมีพันดาวมาโปรยอยู่เหนือเพดาน โคมแดงแกว่งไหวตามสายลมที่ลอดผ่านหน้าต่าง เสียงหัวเราะของเหล่าขุนนาง พ่อค้าผู้มั่งมีดังระงมปนกลิ่นกำยานที่ลอยคลุ้ง อากาศอบอวลด้วยกลิ่นสุรา กลีบดอกเหมยแห้งที่โรยอยู่บนพื้นไม้ 


ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อชมงานใหญ่งานประมูลราตรีแรกของ “หมิงชุนสุ่ย” นายโลมหน้าใหม่ผู้เลื่องชื่อ


เสียงขลุ่ยบรรเลงช้า ท่วงทำนองหวานเศร้า สะท้อนในหอจนเกิดเป็นบรรยากาศลุ่มลึกเกินจะอธิบายได้ เสวี่ยซีเองก็อยู่ที่นั่น เขานั่งอยู่ริมราวระเบียงชั้นสองของหอ ชุดผ้าไหมสีขาวควันบุหงาสะท้อนแสงโคมให้ดูราวกับละอองหมอกในยามค่ำ ร่างโปร่งสง่าพาดเอนอยู่กับพนักไม้ ดวงตาสีอำพันส่องแสงนุ่มนวลราวแสงตะวันในยามเย็น 


เขาไม่ได้มาเพื่อชมงาน หากแต่ถูกเถ้าแก่หลิวเชิญมาในฐานะแขกคนสำคัญ ของหอแขกที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโลมตัวทำเงินของหอว่านหงเหริน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นชายที่อยู่ในความคุ้มครองของซือคง เถียนเฟิง


ตั้งแต่เถียนเฟิงออกคำสั่งเด็ดขาดให้เขาเลิกรับแขก เสวี่ยซีก็ไม่เคยขายรอยยิ้มให้ใครอีกเลย ชีวิตที่เคยคุ้นกับแสงโคม กลิ่นสุรากลับเหลือเพียงความเงียบในเรือนที่ต้าซือคงจัดให้ แม้จะได้รับการดูแลอย่างดี มีทุกอย่างพร้อมสรรพ 


ม่านไหมเปิดออก เสียงคนปรบมือดังขึ้นระลอกใหญ่ ร่างงามของหมิงชุนสุ่ยปรากฏขึ้นภายใต้แสงโคม ภาพที่คล้ายภาพในอดีตของเสวี่ยซีราวกับเงาในกระจกแต่แตกต่างตรงที่เขาไม่ได้มั่นใจนัก 


เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น แขกเหรื่อหลายคนเริ่มกล่าวชมไม่หยุด เสียงหัวเราะ เสียงขอสุรา และเสียงเงินทองที่เตรียมทุ่มลงไปในค่ำคืนนั้นดังสลับกันอย่างอึกทึก


ทว่าเสวี่ยซีไม่ได้สนใจมากนัก เขายกจอกสุราขึ้นจิบ ดวงตาสีอำพันทอดมองลงไปอย่างเงียบเชียบ มุมปากมีรอยยิ้มบางเบา แต่ในใจกลับว่างเปล่าราวกับบึงที่ไร้คลื่น


จนกระทั่ง


เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากบันไดไม้ ทุกสายตาในหอหันไปทางเดียวกัน เสียงสนทนาค่อย ๆ เบาลง ขุนนางหลายคนรีบลุกขึ้นคำนับอย่างไม่กล้าเอ่ยคำ


เมื่อพิธีประมูลเริ่มขึ้น เถ้าแก่หลิวประกาศให้แขกเสนอชื่อ เสียงผู้คนเริ่มตะโกนแข่งกันอีกครั้ง บรรยากาศคึกคักราวพายุเงินทอง


แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ทั้งหอถึงกับนิ่งงันในชั่วพริบตา คือมือของบุรุษผู้หนึ่งที่ยกขึ้นท่ามกลางความเงียบ


มือของเถียนเฟิง


เสวี่ยซีถึงกับวางจอกสุราลงแทบไม่ทัน ร่างทั้งร่างชาไปชั่วขณะ ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น


เสียงซุบซิบดังขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้


“ท่านต้าซือคง…เขาประมูลราตรีของหมิงชุนสุ่ยงั้นหรือ?”


“นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาที่นี่”


“หรือว่าเขาเลิกกับนายโลมคนนั้นแล้ว”


ทุกถ้อยคำเหมือนมีดที่กรีดลงบนหัวใจ เสวี่ยซีลุกขึ้นจากที่นั่ง แผ่นหลังแข็งเกร็ง มือที่สั่นไหวกำชายเสื้อไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เขาไม่ฟังเสียงใครอีกต่อไป ร่างบางพุ่งออกจากระเบียงชั้นบน ก้าวลงบันไดอย่างไม่สนสายตานับร้อยคู่ที่หันมามอง


เสียงรองเท้าไม้ของเขาดังก้องกังวานในหอ ร่างขาวสะอาดของเขาแหวกผู้คนเข้าไปจนถึงกลางเวที ทุกสายตาต่างหันไปมองเขาอย่างตกตะลึง 


“เถียนเฟิง!” เสียงของเขาเฉียบคม แฝงแรงสั่นสะเทือนในอก เสียงพิณหยุดลงโดยไม่มีใครกล้าเล่นต่อ


เสวี่ยซีก้าวเข้าใกล้จนระยะห่างแทบไม่เหลือ ดวงหน้าเรียวยกขึ้น ดวงตาสีอำพันสั่นระริก “ท่านมาทำอะไรที่นี่?”


“ข้ามาเพื่อ….”


“เพื่อประมูลนายโลมอีกคนหรือ?” เสียงของเสวี่ยซีขาดห้วง ดังก้องทั่วหอ “เจ้าเคยสั่งข้าไม่ให้รับแขกคนอื่น บอกว่าจะมีข้าเพียงผู้เดียว แล้วนี่คืออะไร เถียนเฟิง!”


เสียงของเขาสั่นสะท้าน แต่ท่าทีแข็งกร้าวราวกับมีด เถียนเฟิงขมวดคิ้วเข้ม “ซีเอ๋อร์ อย่าทำให้เรื่องใหญ่”


เพี้ยะ!!!


เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังสนั่นไปทั่วหอ โคมไฟที่แกว่งอยู่เหนือศีรษะสั่นคลอนไปตามแรงอารมณ์ของผู้ตบ เถียนเฟิงหันหน้าตามแรงปะทะ เส้นผมดำขลับสะบัดไปตามแรงนั้น แต่ใบหน้าเย็นชาเช่นเคยกลับไม่มีรอยโกรธเพียงชั่วขณะมีเพียงความตกตะลึงปนสลดเล็กน้อย


“นี่เจ้ากำลังทำอะไร ซีซี” เสียงของเขาต่ำลึก เย็น และหนักแน่นพอจะทำให้คนทั้งหอเงียบกริบในทันที


“ข้าควรถามเจ้ามากกว่า” เสวี่ยซีแผดเสียง ดวงตาสีอำพันแดงจัดจากน้ำตาที่คลออยู่ “เจ้าสั่งให้ข้าเลิกรับแขก เจ้าให้คำสัตย์ว่าจะไม่มองผู้ใดอื่น แล้วนี่อะไร ยกมือประมูลนายโลมคนใหม่ต่อหน้าข้า”


“ข้าก็แค่…”


“แค่อะไร” เสวี่ยซีขัดขึ้นทันที “แค่ต้องการครอบครองคนอื่นอย่างที่เจ้าครอบครองข้าใช่หรือไม่ เถียนเฟิง! หรือเพราะเจ้ามีอำนาจ เจ้ามีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้แม้กระทั่งเหยียบหัวใจข้าเล่น”


เสียงตวาดของเสวี่ยซีสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง เถ้าแก่หลิวไค่ที่นั่งอยู่ตรงชั้นล่างถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้าม 


เถียนเฟิงกัดกรามแน่น เส้นเลือดบนขมับเต้นแรง เขาก้าวเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเหตุผลงั้นหรือ เสวี่ยซี?”


“เจ้าจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องประมูลคนอื่นในเมื่อมีข้าอยู่แล้ว” เสวี่ยซีผลักอกเขาเต็มแรง แต่เพราะแรงต่างกันมาก เถียนเฟิงแทบไม่ขยับแม้ครึ่งก้าว เขากลับยกมือขึ้นจับข้อมือของเสวี่ยซีไว้แน่น


“ปล่อย” เสวี่ยซีสะบัดแขนสุดแรง 


ทว่าครั้งนี้เถียนเฟิงตีแขนเขาเบาๆ เพียงทีเดียว เสียงฝ่ามือกระทบแขนดังแผ่วแต่กลับทำให้เสวี่ยซีชะงักนิ่ง ความตกใจปนปวดแล่นวาบผ่านหัวใจยิ่งกว่าความเจ็บกาย


เถียนเฟิงเองก็มือสั่น เขาไม่กล้าตบ ไม่กล้าทำร้ายมากกว่านั้น เพียงตีแขนเพราะโมโหที่เสวี่ยซีผลัก แต่ก็รู้ตัวทันทีว่าทำให้คนตรงหน้าช้ำในใจ


“เจ้าทำร้ายข้า” เสียงของเสวี่ยซีเบาจนแทบแหลกสลาย ดวงตาสีอำพันเริ่มสั่นไหว น้ำตาคลอระเรื่อ “เถียนเฟิง เจ้ากล้าตีข้า…”


เถียนเฟิงขยับเข้าใกล้กว่าก่อน มือใหญ่โอบร่างเล็กเข้ามากอดแน่นจากด้านหน้า “ซีเอ๋อร์ ฟังข้า ข้าไม่ได้หมายจะตี”


แต่คำพูดยังไม่ทันจบ เสวี่ยซีก็ทุบอกเขาเสียงดัง ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! แล้วตามด้วยการตบซ้ำไปอีกหลายครั้งรัวๆ ทั้งน้ำตา เสียงสะอื้นปนกับเสียงฝ่ามือดังสนั่น เถียนเฟิงยืนนิ่ง ปล่อยให้ฝ่ามืออันสั่นเทาของอีกฝ่ายฟาดลงมาบนแก้มและอกโดยไม่หลบ


“เจ้ามันคนเลว คนเห็นแก่ตัว เจ้าสั่งให้ข้าเลิกรับแขก ข้าเชื่อเจ้า ข้าเชื่อหมดใจ แต่เจ้ากลับไปทำเช่นนั้น ข้าสิ… ข้าที่โง่เอง”


เสียงร้องของเสวี่ยซีสะเทือนหัวใจ เถียนเฟิงหลับตาแน่น สุดท้ายก็ยกมือโอบกอดแน่นกว่าเดิม ราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยมือ ร่างนี้จะหลุดหายไปตลอดกาล


“อย่าพูดแบบนั้น” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความร้อนและอารมณ์ขมขื่น “ข้าไม่ยอมให้เจ้ารับแขกอีก ไม่ว่ายังไงทั้งนั้น ซีเอ๋อร์ ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องเจ้าอีก”


“ต่อจากนี้” เสวี่ยซีดันอกเขาออกเล็กน้อย น้ำตาเปื้อนแก้ม เสียงสั่นแต่เด็ดขาด “ต่อจากนี้ ข้าจะรับแขก ไม่สนใจเจ้าแล้วเถียนเฟิง”


คำพูดนั้นเหมือนคมมีดแทงลงกลางอก เถียนเฟิงชะงัก ดวงตาที่เคยเยือกเย็นสั่นไหวแรง ก่อนที่มือใหญ่จะยกขึ้นไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อบีบคางเสวี่ยซีไว้แน่นจนใบหน้าเชิดขึ้นสบตาเขาโดยตรง


“เจ้ากล้าพูดอีกทีสิ ซีเอ๋อร์” ต้าซือคงเอ่ยเสียงต่ำเย็นยะเยือก “เจ้ากล้าทำเช่นนั้นอีกที ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าข้าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม”


เสวี่ยซีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาสีอำพันสะท้อนภาพใบหน้าคมของชายผู้ที่ตนทั้งรักทั้งชังในคราเดียวกัน ความเงียบปกคลุมทั่วหอ เหล่าแขกและนายโลมต่างกลั้นหายใจ เฝ้ามองทั้งสองที่ยืนนิ่งอยู่กลางแสงโคมแดง



แสดงความคิดเห็น

ช็อตเด็ดกีฬามันส์  โพสต์ 2025-10-13 23:57
กินป๊อปคอร์น  โพสต์ 2025-10-13 22:52
โพสต์ 40526 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-10-13 22:49
โพสต์ 40,526 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +15 ความโหด จาก มีดสั้นเงาจันทร์   โพสต์ 2025-10-13 22:49
โพสต์ 40,526 ไบต์และได้รับ +9 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +6 ความโหด จาก ชุดวสันต์ลีลา  โพสต์ 2025-10-13 22:49
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปิ่นปักผมหยกขาว
 มีดสั้นเงาจันทร์
ชุดวสันต์ลีลา
คัมภีร์ดาราศาสตร์ตงฟาง
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พู่กันดาราศาสตร์
แหวนหยกสลักนาม
ยาหยกบูรพา
พู่หยกสลักลายมังกร
กระบี่คู่สลักจันทรา
แหวนดาราจรัส(D)
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x40
x2
x7
x1
x2
x2
x1
x6
x1
x8
x2
x10
x7
x12
x26
x48
x8
x24
x24
x5
x2
x10
x1
x2
x12
x30
x21
x5
x6
x2
x1
x10
x5
x60
x90
x60
x5
x2
x120
x6
x17
x20
x2
x20
x2
x2
x2
x3
x2
x2
x3

6

กระทู้

68

ตอบกลับ

3369

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2947
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
636
เหรียญอู่จู
11697
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
365
ความชั่ว
0
ความโหด
182
โพสต์ 2025-10-14 00:26:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขยันทำงานเหมือนบ้านติดหนี้

วันที่ 12 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

      เวลา 05.00 น.
     “กลับได้แล้วกระมังอะไรจะอาลัยอาวอนเพียงนั้น”เสียงกล่าวเรียกจากเหลียงซื่อจื่อที่กำลังสวมใส่อาภรณ์ของตนกล่าวเรียกสหายที่ยังคงนอนกกกอดสูดดมกลิ่นกายหอมจากนายโลมหนุ่มที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงอีกหลัง

        “จวิ้นอวี่ท่านว่าข้ามิได้นะ การได้เจอคนงามที่ถูกใจเช่นนี้ไม่ได้อาโอกาสมาเจอได้บ่อยๆ”ฉินเซียวก้มสูดกลิ่มกายหอมที่ผสมผสานกับกลิ่นกามจนยากแยกจากอีกฟอดใหญ่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทำใจผละตัวลุกออกไปไปแต่งโดยไม่ลืมที่จะวางถุงเงินรางวัลเอาไว้ข้างหมอน

        ข้าลืมไปว่าเจ้าก็ไม่ได้มาที่ฉางอันบ่อยๆ แต่เอาไว้ครั้งหน้าค่อยซื้อตัวสุ่ยเออร์ของเจ้าไปเชยชมที่จวนสิ”

        “ข้าทำแน่หากไม่ถูกใครแยกไปก่อน เพราะดูแล้วคงมีคนอยากได้ตัวคนงามนี้หลายคนทีเดียว”

        เหลียงซื่อจื่อยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่เขาและสหายจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้นางคริกาเสี่ยวเชี่ยนและนายโลมหนุ่มอย่างเจียวสุ่ยนอนพักผ่อนไปหลังจากที่ทั้งคู่อยู่รับรองพวกตนมาทั้งคืน


    11.00น. - 12.00น.
        “เจียวสุ่ย เจียวสุ่ยตื่นเร็ว สายแล้วหนา”

        เสียงร้องปลุกพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆที่ต้นแขนปลุกชายหนุ่มที่กำลังนอนซุกใบหน้ากับผ้าห่มอยู่ให้รู้สึกตัวขึ้นมา เปลือกตาบางค่อยๆเปิดปรือขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อสบเข้ากับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง

        “อืมม…เช้าแล้วหรือ”หมิงชุนสุ่ยค่อยๆ บิดกายไล่ความเมื่อล้าแล้วยันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนิ่งราวกำลังเรียกสติตนเอง รอยจูบ รอยขบกัด ถูกแต่งแต้มประปรายไปทั่วทั้งตัวแ่มิได้หนักหนาเท่ายามต้องรับรองโอวหยางเฉียนฮุย

        “เลยเช้ามาพักใหญ่แล้ว ใส่เสื้อผ้าเสียจะได้ไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าว”เสี่ยวเชี่ยนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วกล่าวออกมาพลางมองรุ่นน้องในหอด้วยสายตาเอ็นดู ท่าทียามนอนยามพึ่งตื่นก็ดูเป็นเด็กว่าง่ายอยู่หรอกไม่คิดว่าพอตื่นเต็มตาดันกลายเป็นคนปากจัดอารมณ์ร้ายเสียนางคณิกาบางคนยังอาย “เมื่อคืนเจ้าก็ทำงานหนักเอาเรื่องอย่าลืมไปเบิกยาเล่าเดี๋ยวจะล้มป่วยเอา”

        “ข้ารู้แล้วน่า”หมิงชุนสุ่ยเกาศีรษะจนผมยุ่งฟู่ก่อนจะค่อยๆขยับลงจากเตียงเดินไปหยิบเสื้อผ้า หรือจะเรียกว่าเศษผ้าขึ้นมาพินิจ “พี่เสี่ยวเชี่ยนข้ารบกวนท่านไปบอกเจียวจ้านให้เอาชุดขึ้นมาให้ข้าหน่อยได้รึไม่ ข้าไม่อยากใส่เศษผ้านี่ลงไปด้านล่างเท่าไหร่”

        “อ่ะข้าลืมไปเลย ได้ไว้ข้าจะบอกเขาให้”กล่าวจบคณิกาสาวก็เดินออกจากห้องรับรองไปส่วนหมิงชุนสุ่ยก็เดินลากสังขารตนเองไปที่โต๊ะอาหารพลางรินน้ำชาเย็นชือในกามาดื่มเพื่อลดอาการระคายคอจากการร้องครางตลอดทั้งคืน

        เขานั่งรออยู่เพียงไม่นานเจียวจ้านก็เข้ามายังห้องพร้อมกับชุดสำหรับเปลี่ยน เขาวางแก้วน้ำในมือแล้วรีบเข้าไปเอาเสื้อผ้าตัวใหม่ขึ้นมาสวมใส่ทันที เพราะใจอยากจะกลับไปนอนพักที่ห้องของตนเสียที โดยที่หวังว่าคืนนี้เถ้าแก่จะไม่เรียกใช้ให้เขาไปรับรองแขกคนอื่นในหออีก

        “คุณชายข้าเตรียมยากับอาหารส่วนของคุณชายเอาไว้ในห้องแล้วนะขอรับ”ราวกับเจียวจ้านรับรู้ได้ถึงความต้องการของผู้เป็นนาย ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่ช่วยหมิงชุนสุ่ยแต่งตัว

        “เจ้ารู้ใจข้าที่สุดเลยเจียวจ้าน”

หมิงชุนสุ่ยกล่าวก่อนจะเดินไปหยิบถุงเงินที่คงเป็นคุณชายฉินวางเอาไว้ขึ้นมาเก็บใส่อกเสื้อแล้วจึงเดินกลับห้องพักของตนแทบจะทันที โดยมีคนติดตามคนสนิทของตนเดินตามอยู่ไม่ห่างภาพเช่นนี้กลายเป็นภาพติดตาของเหล่าพนักงานภายในหอว่านหงเหรินไปเสียแล้ว

ทันทีที่มาถึงห้องพักหมิงชุนสุ่ยก็ไม่คิดเก็บอาการ ชายหนุ่มคว้าเอาถ้วยข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะมากินด้วยความหิวโหยหวังว่ามันจะเข้าไปทดแทนความเหนื่อยล้าที่สูญเสียไปเมื่อคืนโดยมีเจียวจ้านช่วยถอดเสื้อและใช้ยาป้ายไปตามรอยจ้ำและรอยขบกัดตามลำตัวของผู้เป็นนาย

“ทานช้าๆสิขอรับประเดี๋ยวก็สำลัก”

“ก็ข้าหิวนี่”

“เช่นนั้นก็ทานให้อิ่มเถิดขอรับ ถ้าไม่พอข้าจะไปตักเพิ่มให้”เจียวจ้านกล่าวก่อนชะงักไปราวพึ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิหลังจากที่คุณชายถูกท่านซื่อจื่อประมูลไปก็มีคนตีกันด้วยขอรับ"

“คนตีกัน...ใคร?”หมิงชุนสุ่ยวางตะเกียบลงแล้วหยิบจอกชาขึ้นดื่ม “คงไม่ใช่ตาคุณชายโอวหยางหมาบ้านั่นอาระวาดหรอกนะ”

“ไม่ใช่ขอรับ เห็นว่าเป็นนายโลมชื่อเสวี่ยซีที่มีข่าวว่าติดพันกับท่านต้าซือคงอยู่ขอรับ พอเห็นท่านต้าซื้อคงขานประมูลคุณชายก็เลยทะเลาะกัน”

“อ้อ…ข้าก็ได้ยินมาอยู่ว่าต้าซื่อคงผู้นั้นติดพันนายโลมคนหนึ่งอยู่ ข้าก็แปลกใจที่จู่ๆ มาขานเงินประมูลข้า”

“คุณชายมีความเห็นเช่นไรรึขอรับ”

“ข้าว่าเขาแค่อยากปั่นราคากวนอารมณ์คุณชายโอวหยางนั่นมากกว่า คงไม่คิดว่าสุดท้ายคนที่ประมูลข้าได้คือซื่อจื่อ”หมิงชุนสุ่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นเดืนไปหย่อนกายนั่งบนเตียง

“ข้าจะนอนต่อเจ้ามีอะไรก็ไปจัดการเถอะ”


           20.00 - 23.00 น.
หมิงชุนสุ่ยตัดสินใจนอนพักผ่อนไปตลอดช่วงบ่ายจนเวลาไหลผ่านเข้าสู่ช่วงเย็นที่เป็นเวลาทำการของหอหมิงชุนสุ่ยจึงจำต้องลุกจากเตียงนอนแสนรักไปชำระร่างกายและแต่งองค์ทรงเครื่องสำหรับเตรียมการขึ้นแสดงเปิดหอของวัน เสียงกู่ร้องเรียกแขกและเขียงพูดคุยของแขกมากหน้าลายตาดังลอดเข้ามาจึงถึงห้องเตรียมตัวที่ด้านหลังเวที

ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องการประมูลที่ของเขาเมื่อวาน มีบ้างที่เรื่องพูดคุยนั้นเป็นเรื่องของต้าซือคงคนเดิมที่มีปากเสียงกับนายโลมในการดูแล แน่นอนว่าส่วนตัวของหมิงชุนสุ่ยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งเดียวที่ดึงความสนใจของเขาได้ในยามนี้คือเม็ดเงินที่เก็บสะสมเอาไว้มากกว่า รวมกับที่ได้รางวัลจากคุณชายฉินมาก็ร่วมร้อยตำลึงทองยังต้องเก็บเงินอีกมากหากเขาอยากจะเปิดกิจการโรงน้ำชาเป็นของตนเอง

“อ้าวนึกว่าวันนี้เจ้าจะขอเถ้าแก่พักเสียอีก”เสียงของคณิกาผู้หนึ่งที่ขึ้นร่ายรำเปิดการประมูลของเขาเมื่อวานกล่าวทักขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ข้าก็อยากพัก แต่ข้าเห็นแก่เงินมากกว่า”

“ต้องการเงินมากเพียงนั้นไม่ขึ้นไปรับรองแขกเรา คงมีแขกกระเป๋าหนักหลายคนยินดีจ่ายเพื่อให้เจ้าไปดูแลนะ”นางคณกาอีกคนกล่าวสมทบขึ้นมาด้วยความสงสัย

มันไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด หากช่วงใหญ่ที่นายโลมหรือนางโลมของหอต้องการใช้เงินจำนวนมากส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะขึ้นไปรับรองแขกบนห้องพักเสียมากกว่าแม้จะเหนื่อยแต่มันก็เป็นวิธีที่ทำให้ได้เงินเร็วที่สุดแล้ว

“ให้ก้นของข้าได้พักบ้างเถอะ”หมิงชุนสุ่ยกล่าวติดตลกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเตรียมตัวที่ด้านหลังเวที

หมิงชุนสุ่ยก้าวขึ้นบนเวทีอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งสะท้อนแสงไฟสลัวของหอว่านหงเหริน ผ้าไหมสีขาวขลิบทองพลิ้วไหวตามจังหวะก้าว แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความสง่างามและมั่นใจ เขาถือผีผาเครื่องดนตรีคู่ใจไว้แนบตัว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าซึ่งงดงามราวกับภาพวาด เสียงปรบมือเบา ๆ ดังก้องตามมุมห้อง ก่อนที่โค้งทักทายแขกก่อนจะเริ่มเคลื่อนมือไปบนสายเครื่องดนตรี

เสียงโน้ตแรกก้องกังวานอ่อนโยน ล่องลอยไปตามอากาศ กลายเป็นท่วงทำนองหวานซึ้งที่ซ้อนทับกับเสียงพูดคุยของแขกในหอ บางคนเอ่ยชมความงดงามของชายหนุ่ม บางคนกระซิบถึงเรื่องการประมูลเมื่อคืนวานที่ยังคงเป็นหัวข้อสนทนา เสียงหัวเราะและเสียงยินดีปนกันไปกับเสียงดนตรี ทำให้ห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและรื่นรมย์

หมิงชุนสุ่ยใช้สายตาเล็กน้อยเพื่อจับจังหวะสายของผีผา เสียงดนตรีเริ่มไหลราวสายน้ำใส พลิ้วไปตามความรู้สึกของผู้ฟัง แขกหลายคนเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาชื่นชม บางคนเอ่ยเสียงเบา ๆ

“งดงามจริง ๆ”

“เสียงเพลงไพเราะมากจริงๆ หากข้ามีเงินมากกว่านี้คงซื้อตัวเขามาบรรเลงเพลงให้ข้าฟังทุกคืน”

เสียงชมนี้เหมือนลมอ่อน ๆ พัดมาเป็นแรงผลักดันให้ชายหนุ่มยิ่งบรรเลงด้วยความละเมียดละไมแสงเทียนกระทบใบหน้าของหมิงชุนสุ่ย ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเจิดจรัสขึ้นเล็กน้อย ท่วงทำนองที่เขาสร้างขึ้นไม่เพียงแต่เป็นเสียงดนตรี แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างใจผู้ฟังกับความงดงามภายในตัวของเขาเอง แขกบางคนผ่อนคลายหลังจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เสียงพูดคุยค่อย ๆ เบาลง พร้อมกับที่ดนตรีกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศราตรี

หมิงชุนสุ่ยยังคงเคลื่อนไหวมืออย่างคล่องแคล่ว สายตาแผ่วเบาและยิ้มบาง ๆ ส่งไปให้ผู้ชม เสียงดนตรีสอดประสานกับเสียงปรบมืออันเบา ๆ จนเกิดเป็นความสงบและสุขใจพร้อมกัน แขกหลายคนล้วนอ้าปากชมความงดงามของชายหนุ่ม และแม้จะมีเสียงพูดคุยเรื่องการประมูลเมื่อคืน แต่ทุกสายตาก็ยังหันมามองเขา ราวกับว่าทุกโน้ตของผีผาเป็นเส้นทางที่นำพาใจของพวกเขาไปสู่ความสุขอันสงบ

หมิงชุนสุ่ยค่อย ๆ บรรเลงเสียงสุดท้าย เสียงดนตรีลดระดับลงอย่างนุ่มนวล แขกหลายคนยังคงปรบมือเบา ๆ ราวกับไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลง เสียงพูดชมยังคงกระซิบอยู่ตามมุมห้อง ทุกสายตายังคงจ้องมองเขาด้วยความชื่นชมและเพลิดเพลิน ความงดงามและความสามารถของหมิงชุนสุ่ยกลับกลายเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้บรรยากาศของหอว่านหงเหรินเต็มไปด้วยความอิ่มเอมและสุขใจ



ทำงาน 1 วัน - ค่าจ้าง: 30 ตำลึงเงิน - 10 EXP (รายวัน)


ลาภลอย (ไม้) - มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-10-14 16:21
โพสต์ 28209 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-10-14 00:26
โพสต์ 28,209 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ผีผา  โพสต์ 2025-10-14 00:26
โพสต์ 28,209 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-10-14 00:26
โพสต์ 28,209 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-10-14 00:26

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +30 ย่อ เหตุผล
Watcher + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x10
x27
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้