
วันที่ 01 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง
ยามเว่ยของเดือนหก ฟ้าครึ้มบางเบาราวผืนไหมขาวทอดผ่านผืนฟ้าแคว้นฮั่นเหนือฉางอันไม่ร้อนนัก ไม่เย็นเกิน วันหนึ่งซึ่งผู้คนพากันออกจากเรือนด้วยจิตใจเบิกบาน ถนนฉางอันตะวันตกยิ่งครึกครื้นเมื่อโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง โรงใหญ่ชื่อดังมีการแสดงชุดพิเศษ มีแขกเหรื่อชั้นสูงมารวมตัวกันมากมาย ขบวนรถม้าชั้นดีเรียงรายสองฟากถนน หญิงงามชายหนุ่มต่างสวมชุดงามวิจิตร ประดับพลอย ประดับทอง แต่งกายราวจะไปพบองค์ชายเสียเอง
ท่ามกลางกลุ่มชนระดับสูงที่ทยอยเข้าโรงอุปรากร หลินหยาก็ปรากฏกายสตรีผู้ไม่เคยสนใจงานพิธีหรูหรา หากแต่วันนี้กลับปรากฏตัวในชุดตัดเย็บสีชมพูอ่อนผสมขาว สะอาดตาแต่ดูงดงามสมศักดิ์ศรีบุตรสาวขุนนางแม้จะเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กอย่างเมืองผานอวี้ มณฑลเจียวจื่อ ที่อยู่สุดขอบทางใต้ติดทะเลเพราะเป็นเมืองท่า สายคาดเอวผ้าแพรโปร่งผูกเป็นโบแน่นที่ช่วงเอวระบายเป็นชั้นอ่อนละมุน สีชมพูอมสีพีชตัดกับผิวขาวดุจหยกของนาง ส่วนสอดแทรกตามแขนเสื้อและชายชุดนั้นมีลวดลายปักที่เหมือนจะเป็นพัดขนนกลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใต้เท้าเถียนเฟิงใช้เสมอ จนไม่อาจแน่ใจว่าเป็นเพียงบังเอิญหรือตั้งใจ
ผมของหลินหยาแม้จะถูกตัดเมื่อไม่นาน แต่ก็ถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์สีอ่อน เส้นบางเบาเล็ดรอดเคียงพวงแก้มขาวราวกลีบอิงเถา นางยืนนิ่งอยู่ด้านนอกโรงอุปรากร มองผู้คนเดินเข้าไปทีละคน สีหน้าเรียบสงบแต่แฝงความประหม่าเบา ๆ เพราะไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้เลยสักนิด…แม่งเอ้ย…ทำไมที่นี่มันหรูงี้วะ คนกัดก้อนเกลือกินแบบเธอมาที่นี่ทำไมเนี้ย..
และเมื่อเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอของขุนนางคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจ ฝูงชนก็เบี่ยงทางโดยมิได้นัดหมาย เถียนเฟิงมาในชุดขุนนางยศรองสีหมึกมังกร พัดขนนกสีขาวสะอาดอยู่ในมือ ดวงตาเยือกเย็นราวจับทิศทางลมฝนได้แม้เพียงเศษกลิ่น เขาหยุดเท้าเมื่อเห็นหลินหยา ดวงตาใต้เรียวคิ้วเฉียบทอดมองสตรีตรงหน้าอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง "แต่งตัวเสียจนข้าแทบจำมิได้" เสียงเขาเรียบเรื่อย พัดในมือกระดิกช้า ๆ ก่อนจะยกขึ้นปิดริมฝีปากตนเองเล็กน้อยเหมือนกลั้นรอยยิ้ม
ส่วนหลินหยาพอได้ยินแบบนั้นเธอก็ชะงักอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะเบ้ปากเบา ๆ ตามที่ตัวเองชอบทำ “ข้าก็แต่งตัวให้สมกับที่บอกท่านไง ให้สมกับสถานที่หรูหราหมาเห่าแบบนี้อ่ะ..ไม่ได้อยากให้ท่านจำข้าไม่ได้หน่อยนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยพลางทำหน้าบูดนิดหน่อย
“หรือว่าตั้งใจให้ข้าจำได้แต่เจ้า?” เถียนเฟิงเอ่ยถามเหมือนจะขำนิดหน่อยภายในใจจากน้ำเสียงส่วนปลายที่ดูจะติดตลกนิดหน่อย
“ท่านนี่..อย่าพูดอะไรแบบนั้นในที่แบบนี้สิเจ้าคะ..คนอย่างเยอะ ขนลุกอ่ะ” หลินหยาเหลือบมองซ้ายขวาแบบหวาด ๆ ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีอย่างแก้เก้อพลางแสร้งก้มดูผ้าชุดตนเอง “อีกอย่างนะเจ้าคะ ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งนั้นเรื่องนี้นะ..ลายปักชุดนี่อ่ะ คนขายบอกว่าเป็นลายเถาวัลย์พัดอะไรสักอย่างเจ้าค่ะ...มารู้ทีหลังว่าน่าจะเหมือนพัดของท่าน ก็ช่างเถอะ ข้าไม่ได้คิดอะไรนะเจ้าคะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ”
เถียนเฟิงมองเงียบ ๆ แล้วกระพริบตาช้า “หืม? ไม่คิดอะไรแต่ใส่มาด้วยใจกล้า ปล่อยให้ลายปักเดินนำหน้าตนเองเข้ามาในเขตคนชั้นสูงแห่งนี้ เจ้าคงใจกล้าไม่น้อย”
หลินหยาที่ได้ชินแบบนั้นก็กรอกตาเล็กน้อยใส่อีกคน อีตาหมอนี้มันชอบพูดอะไรแบบนี้กับเธอจริง ๆ เลยนะเนี้ย “ท่านเจ้าคะ..ข้าก็เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองนะเจ้าคะ ไม่ได้เป็นคนขายเหล้าหรือนักดนตรีฝึกหัดเหมือนตอนที่อยู่หอว่านหงเหรินสักหน่อย” หลินหยายกคางขึ้นน้อย ๆ ดวงตาเปล่งประกายจาง ๆ อย่างขี้เล่นปนซื่อ “น่าเสียดายอย่างเดียว ผมสั้นมันทำทรงผมได้น้อยอ่ะ..” เธอพูดพลางทำหน้ายู่เล็กน้อย
เถียนเฟิงมองเส้นผมที่รวบขึ้นของนาง พลางยกพัดขึ้นบังแววตานั้นไว้ "เจ้าก็งามได้โดยไม่ต้องพึ่งความยาวของผม" เขาเอ่ยนิ่ง ๆ ก่อนจะหมุนพัดกลับลงข้างตัว “ไปกันเถอะ ข้าจองที่ไว้ชั้นดี มีทั้งน้ำชา ขนม และเหล้านารีแดง...ที่เจ้าชอบ”
“ท่านนี่วางแผนจะล่อลวงข้าหรือยังไงเจ้าคะ...” หลินหยาเอ่ยพลางหัวเราะเล็กน้อยรอยยิ้มของนางตอนนี้คล้ายจะอ่อนโยนกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับอาการเจ็บจากพิษยังคงอยู่แต่การได้มาพักผ่อนแบบนี้อาจจะไม่เลวก็ได้นะ? พลางเดินเคียงเขาไปเพื่อเข้าไปด้านในโรงอุปรากร "แล้วท่านล่ะ…" นางว่าพลางเหลือบตามองเขาอย่างเจาะจงในจังหวะที่เท้าก้าวผ่านซุ้มประตูงามหน้าโรงอุปรากร "คิดยังไงมาชวนข้ามาดูอะไรแบบนี้ล่ะ?"
เถียนเฟิงเหลือบตามองนางข้างกายที่กำลังเอียงคอถามอย่างนึกสงสัย น้ำเสียงของหลินหยายังเต็มไปด้วยความน่ารักปนความอยากรู้ตามประสาคนไม่ชอบให้คนอื่นอ่านใจได้ง่ายนัก แต่กับเขานางยอมถามตรง ๆ เสียงฝีเท้าของผู้คนรายรอบคล้ายเบาลงชั่วขณะ ดวงตาคู่นั้นของเถียนเฟิงมองตรงไปยังทางเดินหินอ่อนภายใน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "วันนี้มีการแสดงใหม่... 'ลู่กุ้ยเฟย จากลูกสาวคหบดีสู่กุ้ยเฟย'" เถียนเฟิงอธิบายให้หลินหยาเข้าใจ ก็เป็นเรื่องราวที่โด่งดังมาตลอดทั้งปีจากที่นางเข้าไปถวายตัวในวัง
แค่ประโยคนั้น ก็เพียงพอให้หลินหยาชะงักก้าวแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "อ้อ...พระสนมลู่หรือเจ้าคะ..." เธอพูดต่ออย่างรู้เรื่อง “ที่มีแต่คนเชียร์ให้เป็นฮองเฮาอะนะ ฮ่องเต้รักนางมากใช่ไหมนะ…เห็นว่า…มีบุตรกับนางแค่คนเดียวด้วยสินะเจ้าคะ...” เสียงนางเบาลงโดยไม่ตั้งใจ ริมฝีปากเคลื่อนช้ากว่าหัวใจที่เต้นสะดุด นัยน์ตาเบือนออกจากใบหน้าของเถียนเฟิงเล็กน้อย ไปมองภาพจิตรกรรมฝาผนังของฉากอุปรากรแทน…สีหน้าคล้ายจะเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบกลับเข้ามา..ใบหน้านั้น..ขององค์ชายหรูเสวียน..พระองค์..ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย..แต่เสียงที่ดังมันคือ..
เสียงหัวเราะ เสียงกรีดร้องในใจ เสียงที่เคยมีคนสั่งให้นางยั่วยวนเขา หลอกใช้ร่างกายแลกข้อมูล กระทั่งชักพาให้ชายผู้หนึ่งตกหลุมรักเพื่อใช้น้ำใจเขาเป็นเครื่องมือต่อรองในวังหลวง…แต่โชคดี…โชคดีนักที่มันไม่ได้เกิดขึ้น "..." หลินหยาหลุบตาลง ลมหายใจนางกระทบอกเบา ๆ เหมือนคนหายใจติดขัดเล็กน้อย ราวกับถูกกลิ่นบางอย่างรัดคอไว้ กลิ่นของอดีตที่ยังอวลติดอยู่ในผ้าแพรที่นางสวมใส่
เถียนเฟิงขยับสายตาอย่างแนบเนียน เห็นว่านางนิ่งไปนานกว่าปกติ เสียงผู้คนรอบข้างยังคงดังเรื่อย ๆ แต่เงาของนางในดวงตาเขากลับเงียบลงกว่าที่ควรจะเป็น เขาจึงขยับพัดในมือขึ้นหมุนช้า ๆ แล้วกล่าวเสียงนิ่งแต่ต่ำลงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้พามาดูประวัติใคร พาเจ้ามาดูโรงอุปรากร” เขาพูดราวกำลังแยกน้ำเสียงความหมายออกจากสิ่งที่ผู้คนใส่ใจ “แค่อยากให้เจ้าได้พักบ้าง…หลังผ่านอะไรมาก”
หลินหยาคล้ายสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากะพริบหนึ่งที ก่อนจะหันกลับมามองเขา สีหน้าดูสงบขึ้นราวกับกำลังข่มอารมณ์กระเพื่อมไว้ภายใน “เอ่อ..ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ..” นางว่าเบา ๆ เช่นนั้น พลางลอบถอนหายใจนิด ๆ “ข้าแค่คิดอะไรนิดหน่อยเองเจ้าค่ะ..แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ข้าปกติดี” นางบอกเขาแบบนั้น
เถียนเฟิงไม่ได้ซักอีกคำ เพียงแค่ก้าวนำเข้าด้านในพร้อมพูดต่อเรียบเรื่อย “หากระหว่างการแสดงเจ้ารู้สึกไม่ดี...ก็อย่าฝืนออกมา หาข้า เดินไปเงียบ ๆ ข้าจะตามเจ้าไปเอง” หลินหยาหันมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ดวงตากลับมีรอยยิ้มขึ้นช้า ๆ เหมือนจะอบอุ่นขึ้นกว่าทุกทีที่เคยแสดงออกต่อเขา แล้วกล่าวตอบอีกฝ่าย “ขอบคุณนะเจ้าคะใต้เท้าเถียนเฟิง…”
เมื่อหลินหยาก้าวเข้าสู่ภายในโรงอุปรากรพร้อมกับใต้เท้าเถียนเฟิง กลิ่นหอมจางของไม้หอมจันทน์และกลิ่นชาดีเกรดพรีเมียมตลบอยู่ในอากาศ นางเงยหน้ามองเพดานทรงโค้งที่ประดับลายปักมือจากช่างหลวง ถัดมาอีกไม่กี่ก้าวคือทางเดินพรมสีแดงทอทองที่นำพาพวกเขาไปยัง ‘ห้องชั้นกลางที่เห็นชัดที่สุด’ ที่มีม่านไหมสีหยกบางบางปิดแยกจากผู้ชมทั่วไป มีเครื่องปรับกลิ่นหอมไผ่ แถมยังมีคนคอยเปลี่ยนผลไม้ ขนมและชาร้อนแทบทุกสิบห้านาที!
"...อื้อหือ" หลินหยาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพึมพำเบา ๆ ตอนเห็นพนักงานเปิดม่านต้อนรับเข้าห้องชมพิเศษนั้นอย่างเคารพ นางเหลือบมองที่นั่งไม้แกะสลักลายมังกรทองที่รองด้วยเบาะไหมหรูสองตัว ตั้งเคียงกัน...พร้อมโต๊ะข้างเล็ก ๆ วางขนมเม็ดบัว ขนมสอดไส้ และผลท้อจากแดนใต้หั่นบาง ๆ โรยเกลือเบา ๆ ...โอวแม่เจ้า
พลางหันไปทางคนข้าง ๆ “ใต้เท้าเถียนเฟิงงง!! ข้านึกว่าท่านจะพาข้ามาดูการแสดงธรรมดาเสียอีก..โห..ที่ไหนได้..นี่มันที่นั่งระดับดีที่สุดเลยหรอเจ้าคะ? ท่านนี้ทุ่มทุนมากเลยนะเจ้าคะ..รวยโคตรเลยอ่ะ!!” หลินหยาพูดแล้วหันไปมองอีกคนด้วยสีหน้าอึ้งปนน่าขำ น้ำเสียงของหลินหยาผสมกลิ่นอายระคนระหว่างความหมั่นไส้หยอก ๆ กับความอึ้งตาโตแบบไม่อยากเชื่อ สองแก้มของนางยกขึ้นจากรอยยิ้ม แม้ดวงตาจะยังมีเงาเศร้าจางแฝงลึกอยู่แต่คราวนี้กลับดูมีชีวิตชีวากว่าทุกวันก่อนหน้านี้
ใต้เท้าเถียนเฟิงปรายตามองนางจากที่นั่งข้างกัน เขายกพัดขนนกขึ้นพัดช้า ๆ คล้ายไม่ใส่ใจน้ำเสียงเย้าแหย่นั้น แต่ที่มุมปากกลับขยับขึ้นบางเบา "ข้าไม่รวย...แต่ข้าไม่มีหนี้" คำตอบเรียบเฉียบสไตล์คนมีชั้นเชิง แถมยังแทงใจหลินหยาจัง ๆ จนเธอเบิกตานิดหนึ่งก่อนจะแค่นเสียงเบา ๆ พลางโบกมือเหมือนอยากตีคนพูด
“ท่านนี้มัน..ทำอย่างกับว่าข้ามีอ่ะ..ถ้าไม่ใช่หนี้ทางจิตใจ..ก็เพราะท่านเป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ ข้าถึงขัดท่านบ่อยนัก..รู้ไหมเจ้าคะ ข้าเนี้ยแพ้พวกไม่มีหนี้แบบนี้ที่สุดเลยเห่อออ”
เถียนเฟิงไม่ตอบ เพียงแค่ละสายตาออกไปยังเวทีเบื้องหน้า ซึ่งเริ่มมีเสียงเคาะกลองใกล้เปิดม่านการแสดงแล้ว ชั่วขณะหนึ่งแสงสว่างสีทองอุ่นอาบทั่วโรงอุปรากรใหญ่…เขาหลุบตาเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงแผ่วพอได้ยินกันแค่สองคน "ถ้าเจ้าไม่มีหนี้ในใจ…เจ้าก็จะมีอิสระเช่นกัน" คำพูดที่แทรกกลางเสียงโหมโรงนั้น ราวกับไม่ได้พูดเพียงเรื่องเงินทอง หากแต่หมายถึงสิ่งลึกกว่านั้น…บางสิ่งที่เขาไม่เคยพูด แต่หลินหยาเข้าใจได้ในแววตาเงียบ ๆ ของเขาเช่นกัน
นางชะงัก ดวงตาค่อย ๆ ลดลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตัก เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “อืม..เจ้าค่ะ..ข้าจะพยายาม..แม้จะยังจ่ายหนี้ชีวิตและความรู้สึกไม่หมดก็ตาม..ข้าน่ะ..ไม่ชอบการเป็นหนี้เจ้าค่ะ..ข้าชอบการเก็บเงิน ชอบมีอิสระทางการเงิน..นั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้วเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ย ใต้ม่านบางของห้องชมละครพิเศษ เสียงอึกทึกภายนอกโรงอุปรากรค่อย ๆ กลายเป็นเพียงเสียงหรีดหริ่งในฉากหลัง เมื่อหลินหยาเอนตัวพิงเบาะไหมนุ่มละมุน หยิบผลไม้สีชมพูอ่อนฉ่ำวาวที่วางในจานเคลือบเบญจรงค์ขึ้นมากัดเบา ๆ น้ำหวานอมเปรี้ยวแตะปลายลิ้นทันทีจนดวงตากลมโตของนางหรี่พอใจ
“อื้ม…อร่อยแฮะ..อันนี้แม่งราคาแพงแน่เลย” นางพึมพำเบา ๆ พลางเคี้ยวช้า ๆ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อคล้ายลูกท้อ ตรงมุมปากยังมีน้ำผลไม้ใส ๆ แวววับอยู่เล็กน้อย เส้นผมขลับที่ตัดสั้นดูแปลกตากว่าก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้ใบหน้าหวานของหลินหยาเด่นชัดขึ้น ท่วงท่าและสีหน้าขณะเคี้ยวผลไม้นั้นช่างเหมือนสัตว์เล็กฟันแทะพองแก้ม น่ารักจนแม้แต่ใต้เท้าเถียนเฟิงที่กำลังพัดเบา ๆ อยู่ข้างตัว ยังต้องเหลือบตามองเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ
“ดูจากท่าทาง…” เขาเอ่ยด้วยเสียงเนิบ ๆ พลางกระพริบตาช้าแบบคนกำลังประมวลผล “คงไม่ได้มาเพราะข้าชวน แต่มาเพราะของว่างสินะ?”
“แหม่..ว่าอีกก็ถูกอีกเจ้าค่ะ..แน่นอน” หลินหยาตอบทันทีเสียงใส พร้อมเคี้ยวผลไม้คำใหม่เข้าไปอีกอย่างไม่ลังเล แล้วกลอกตาเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านอุตส่าห์พามาชมการแสดงพร้อมกับจัดอาหารเครื่องดื่มให้ขนาดนี้ ข้าจะไม่ตอบแทนด้วยการกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ยังไงเจ้าคะ?”
เถียนเฟิงมองนางนิ่ง ๆ พัดในมือเขาหยุดลงชั่วครู่ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมีประกายบางอย่างจาง ๆ คล้ายชายหนุ่มกำลังชมอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนเขาจะเอ่ยเบา ๆ “พูดได้ดี...ไม่เสียแรงที่ข้าลงทุน” เขาวางพัดลงแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวม เสียงกลองเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะเบา ๆ จากเวทีเบื้องหน้า สะท้อนผ่านม่านไม้ไผ่เบา ๆ ชวนให้ใจสงบ แต่หลินหยานั้นไม่ได้เงียบตาม ยังคงกินผลไม้ต่อไปอย่างมีความสุข แก้มกลมนั้นขยับไปมาอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าแบบเด็กน้อยที่ได้รับของชอบทำให้เถียนเฟิงที่มักเคร่งขรึมยังต้องเบือนหน้าเล็กน้อย กลัวว่านางจะเห็นว่ามุมปากเขากำลังคลี่ยิ้ม
“ท่านไม่กินหรือ?” นางถามขึ้นลอย ๆ แล้วเหลือบมองคนด้านข้างว่าทำไมไม่กินเอาแต่หยิบพัดพัดไปมางั้นแหละ ไม่ปวดมือหรือไงกันนะ? “ข้าไม่หิว” เขาตอบเรียบ ๆ
“ไม่หิวก็ดูข้ากินไปก่อนก็ได้นะเจ้าคะ” นางว่าพลางเอียงคอแล้วยิ้มตาหยี ท่าทางเหมือนแมวน้อยที่กำลังล้อเจ้านาย เถียนเฟิงปรายตามองหลินหยาอย่างเงียบงันอีกครั้งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำที่นางพึ่งพูดเมื่อครู่ อิสระทางการเงินอย่างที่นางว่า...หรือจะหมายถึงอิสระในการใช้ชีวิตอย่างอิสระจริง ๆ กันแน่? แม้จะพูดลอย ๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่นางกลับมีหลักของตัวเองเสมอ...เด็กสาวที่เคยไร้ที่ไปคนนั้น บัดนี้นั่งอยู่ข้างเขาแล้วในห้องรับรองชั้นสูงของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง…พร้อมรอยยิ้มที่สดใสเพราะได้กินของอร่อยฟรี ๆ
แก้วจอกหยกเขียวที่ถูกจัดวางอย่างบรรจงบนถาดเงินนั้นหลินหยาหยิบขึ้นมาด้วยปลายนิ้วเรียวอย่างสง่างาม แม้จะไม่ใช่สาวชั้นสูงแบบพวกคนในเมืองหลวงโดยสายเลือด แต่ลีลาการเคลื่อนไหวของนางกลับสง่างามน่ามองราวสตรีผู้ได้รับการอบรมอย่างดีในตระกูลขุนนาง นางเอนตัวเล็กน้อย รินสุราใสลงไปในจอกของใต้เท้าเถียนเฟิงด้วยท่วงท่าราวกับบทละครอย่างหนึ่ง เสียงสุราสีอำพันที่ไหลรินลงสู่แก้วนั้นทำให้กลิ่นหอมแผ่วเบาของสุรานารีแดงคลุ้งอยู่ชั่วขณะ หลินหยายื่นจอกให้เขาโดยที่รอยยิ้มบางบนใบหน้าดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ดวงตากลับล้อแสงไฟในห้องรับรองจนเป็นประกายใสราวหยาดน้ำค้างยามรุ่งสาง "นี้ไงเจ้าคะ..." นางเอ่ยเสียงนุ่ม ขณะยื่นจอกสุราให้ "ข้ารินเหล้าให้ท่านได้อีกหลาย ๆ จอกเลยเจ้าค่ะ" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะหยอกเย้า คล้ายจะใสซื่อ แต่คนที่รู้จักนางดีจะรู้ว่าคำพูดของหลินหยา...ไม่มีคำไหนที่พูดเปล่า ๆ
ใต้เท้าเถียนเฟิงขยับพัดในมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมารับจอกด้วยนิ้วเรียวยาว แม้สีหน้าเขาจะยังสงบเงียบเหมือนเดิม หากแต่ดวงตาใต้เงาพัดนั้นกลับฉายประกายบางอย่างคล้ายกับความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ เขาพึมพำราวตอบคำถามในอดีตที่วนเวียนมานาน "ข้ายังจำได้ว่าข้าพูดเช่นนั้น..." เขาเว้นจังหวะ แล้วรับจอกจากมือของนางโดยมิรีรอ "เจ้าก็ยังจำได้จริง ๆ..."
หลินหยายิ้มหวาน ดวงตาแสร้งแปลงเป็นใสซื่อไร้เดียงสา “จำได้สิเจ้าคะ ใต้เท้าพูดเองนี่นา ข้าเป็นคนพูดจำน้อยก็จริง แต่เวลาใครพูดอะไรดี ๆ กับข้า ข้าจำได้หมดแหละ” ถึงปากจะบอกว่าจำน้อย แต่ตอนที่นางทำภารกิจให้เถียนเฟิง เล่าได้เป็นฉาก ๆ ละเอียดยันใครมีไฝบนหน้ากี่เม็ด..อืม..จำยาก..จำน้อย..ตรงไหนวะเนี้ย
“พูดอะไรดี ๆ หรือ?” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “บางคนอาจว่าเป็นคำเปรียบเปรยเย้ยหยันด้วยซ้ำ” เถียนเฟิงพูดเพราะเอาตรง ๆ มันเป็นคำประชด แต่สำหรับหลินหยาคำประชดพวกนั้นไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับคนที่คิดอะไรเยอะ แต่บางทีก็คิดอะไรไม่ทันเหมือนกัน..พวกความรู้สึกช้าสินะ?
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ?..แต่ที่ข้าได้ยินน่ะ..มันคือคำบอกต่อใจของข้ามาก ๆ เลยนะเจ้าคะ? ตอนนั้นท่านพูดแบบจริงใจสุด ๆ เลยด้วย ไม่รู้ตัวหรอกหรือเจ้าคะ?” ลินหยาเอนหลังพิงพนัก ท่วงท่าชวนให้นึกถึงแมวขี้อ้อนที่กำลังเหยียดกายรับแดด
ใต้เท้าเถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าที่มักไร้รอยยิ้มกลับปรากฏแววอ่อนลงเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ยกจอกสุราขึ้นจิบเล็กน้อย พยักหน้าช้า ๆ ราวกับยอมรับบางสิ่งอย่างไม่อาจปฏิเสธ แสงจากโคมไฟด้านหลังของห้องรับรองทอดผ่านม่านบางสาดเงาอ่อนลงบนเสี้ยวหน้าของทั้งสอง บนเวทีเบื้องล่างเสียงพิณเริ่มบรรเลงบทแรกของเรื่องลู่กุ้ยเฟยอย่างแผ่วเบา แต่เบื้องในห้องเล็กแห่งนี้ บทละครอีกบทหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้นเงียบ ๆ ระหว่างคนสองคนที่ต่างล่วงผ่านบททดสอบมาหลายฉากแล้วในชีวิตจริง
หลินหยา...ยังคงเป็นหลินหยา และเถียนเฟิง...ก็ยังเป็นเถียนเฟิงคนเดิมที่ไม่มีใครอ่านได้ขาดนัก
ม่านเวทีค่อย ๆ เคลื่อนเปิดออกท่ามกลางเสียงขลุ่ย เสียงพิณ และจังหวะระนาดไม้ไผ่ที่ประสานกันอย่างงดงาม วิถีของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่งในวันนั้นเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา สมกับเป็นวันแสดงใหญ่เรื่อง ลู่กุ้ยเฟย จางบุตรสาวคหบดีสู่กุ้ยเฟย เริ่มปฐมบทด้วย ลู่ไป๋หรั่น เทพธิดาจำแลง ที่ดัดแปลงจากพระสนมลู่ ผู้เป็นขวัญใจของราษฎรและเป็นที่โจษจันในราชสำนัก ยิ่งใหญ่จนเหล่าขุนนางบางส่วนยังต้องมาเบียดบังที่นั่งเพื่อดูให้ได้
บนเวที นักแสดงหญิงผู้รับบทลู่กุ้ยเฟยปรากฏตัวในชุดแพรไหมสีชมพูเข้มลายเมฆหมอกปักดิ้นทอง ศีรษะสวมมงกุฎทองประดับพลอยหยก ตัวบทถูกแต่งเติมอย่างมีชั้นเชิง เสริมบทบีบคั้นอารมณ์ของนางในยามยังเป็นนางในยศต่ำที่ถูกกลั่นแกล้ง ก่อให้เกิดฉากดราม่าที่ทั้งเศร้า ดุดัน และน่าหลงใหลในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ลู่ไป๋หรั่นถูกกรอกยาแท้งลูก หรือฉากที่นางถูกขังเดี่ยวจนแทบตายแต่ยังยืนหยัดมองพระจันทร์อย่างเด็ดเดี่ยว ก็ล้วนทำให้ผู้ชมหลายรายในห้องโถงถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ใต้เท้าเถียนเฟิงนั่งสงบนิ่งด้วยท่วงท่าของคนที่ดูเหมือนจะไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ของเรื่อง แต่ในดวงตาลึกนั้นกลับมีประกายคล้ายความเข้าใจ...หรืออาจจะมากกว่านั้น ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยตอนบทละครบรรยายถึงคำพูดของฮ่องเต้
แต่ในห้องรับรองพิเศษ…
“Z Z Z ZZzzzzZZ Z Z” …มีคนนอนแซ่บ
เถียนเฟิงไม่หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอคงไม่ได้ฟังอะไรพวกนี้เลย...เพราะหลินหยาตอนนี้กำลังเคี้ยวผลไม้ชิ้นสุดท้ายในจาน ข้างกายคือจอกสุราอีกครึ่งที่หมดไปแล้วหนึ่ง และข้าวอีกสองคำค้างอยู่ในถาด ตอนที่บทโศกแรกจบลงและนักแสดงหยุดพัก เปลี่ยนฉากนั้น หญิงสาวที่นั่งข้างเขา…ก็หลับไปแล้วเรียบร้อย เถียนเฟิงเหลือบตามองนางเงียบ ๆ หลินหยาเอนศีรษะพิงหมอนที่รองไว้ตรงพนักพิง มวยผมสั้นระต้นคอของนางมีปิ่นเล็ก ๆ ปักอยู่ และเมื่อก้มหน้าลงเล็กน้อย ผ้าผืนบางก็เลื่อนลงเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ จากการโบยที่หลังซึ่งยังไม่หายดี แก้มยุ้ยเพราะผลไม้ฉ่ำน้ำ ทำให้หน้าตาของนางตอนหลับนั้นดูเหมือนกระต่ายน้อยที่เผลอหมดแรงกลางทุ่งดอกไม้
คนอย่างเถียนเฟิงไม่ใช่คนที่ชอบหัวเราะ หรือแสดงออกแบบเรียบง่าย เขาทำแค่เพียงยกพัดขนนกขึ้นค่อย ๆ บังแสงจากโคมที่สะท้อนมาให้นางนอนสบายขึ้น ขยับหมอนข้างเล็กน้อยให้หลินหยาพิงได้ดีขึ้น แล้วมองไปยังเวทีเงียบ ๆ เอาความจริงสำหรับเถียนเฟิงเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะพาเธอมาดูการแสดงทั้งหมดหรอก…อาจแค่…อยากให้เธอได้พักบ้างจริง ๆ ในแบบที่ไม่ต้องคอยมองหน้าใคร ไม่ต้องเล่นบทบาท ไม่ต้องเก็บสีหน้า หรือแข็งใจต่อสู้กับใครที่คิดจะเหยียบย่ำเธออีกแล้ว
บทบาทของลู่กุ้ยเฟยดำเนินไปอย่างอลังการ ม่านเวทียังคงเปิด ปิด ดึงอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าช่วงเวลาที่แสนสงบเงียบที่อยู่ข้าง ๆ นั้น อาจเป็นละครอีกบทหนึ่ง…ที่เขาเองก็ดูอยู่เช่นกัน โดยไม่ต้องมีคนแสดงและในตอนนั้นเอง ใต้โต๊ะเล็กที่วางถาดอาหาร เขาเอื้อมปลายนิ้วไปหยิบผลไม้ชิ้นเล็ก ๆ จากจานที่เหลือไว้ แล้ววางใส่จานของตน...ไม่ใช่เพื่อกิน แต่เพื่อเก็บมันไว้…เผื่อหลินหยาจะตื่นมาหิวอีกครั้ง เพราะเธอ...เป็นแบบนั้นเสมอ
หลินหยา…หลับยาวจนม่านเวทีปิดไปสามรอบ นักแสดงคำนับ ภาพนักแสดงฮ่องเต้จูงมือพระสนมลู่ขึ้นครองตำแหน่งกุ้ยเฟย ปรบมือกระหึ่ม กลองเคาะจังหวะอังกะลุงส่งท้ายจบเรื่องไปอย่างสง่างาม เสียงปรบมือทั่วโรงยังไม่เท่าเสียงหายใจฟี้เบา ๆ ของใครบางคนข้าง ๆ ที่เอียงหัวมาพิงไหล่เขาไปตั้งแต่ฉากที่สอง แล้วไม่ขยับอีกเลยจนตอนนี้แทบจะนอนกลิ้งอยู่บนเบาะพิเศษของเขาแล้วด้วยซ้ำ ใต้เท้าเถียนเฟิงกระพริบตาเบา ๆ ขยับพัดลงช้า ๆ อย่างสงบแต่เต็มไปด้วยคำถามในใจ...
นางเป็นมนุษย์หรือสัตว์ตัวเล็กที่กินอิ่มแล้วสลบกันแน่นะ…
เขานั่งนิ่ง ๆ อยู่พักใหญ่ ไม่ได้ปลุก ไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งเห็นหลินหยาหลับพิงเขาแบบนี้ ใต้เท้าผู้ไม่เคยให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวง่าย ๆ ยังนั่งเฉยราวกับมีเสาไม้ไผ่เสียบทะลุหลัง นิ่งจนเกินจะเรียกว่าปล่อยตัว ยิ่งตอนที่เธอขยับพลิกตัวในฝันแล้วกระแทกเอาไหล่เขาแรงจนสะเทือนทั้งเบาะ...แต่เถียนเฟิงก็เพียงกะพริบตาช้า ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
...กระทั่งโรงอุปรากรค่อย ๆ เริ่มเงียบลง แขกเริ่มทยอยลุกออก
ขณะที่ทุกคนรอบข้างทยอยกันกลับ เถียนเฟิงมองหน้าหลินหยาแล้วถอนหายใจเบา ๆ ในใจ แล้วพูดออกมาแบบพึมพำ เพราะแค่นั่งอยู่นิ่ง ๆ ยังเหนื่อยเหลือเกิน
“ขนาดดูละครชีวิตยังหลับ นางคงวางใจเกินไปจริง ๆ หรือตั้งใจใช้ข้าเป็นหมอนพิงกันแน่” เขาวางพัดลง รินชาอุ่นใส่ถ้วยไว้เผื่อนางตื่นจะได้ดื่ม แล้วโน้มตัวลงกระซิบเสียงเบาจนแทบไม่พ้นลมหายใจ “หลินหยา...ขืนเจ้าหลับอยู่ตรงนี้อีก ข้าจะอุ้มเจ้าไปส่งเองจริง ๆ ไม่ใช่ล้อเล่น” ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีปฏิกิริยา…นอกจากเสียงกรนเบา ๆ กับมือที่พยายามจะควานหาอะไรบางอย่างข้างตัวแล้วไปคว้าพัดขนนกของเขาเข้าแทน ก่อนจะกอดมันแน่นแนบอกเหมือนเป็นตุ๊กตานุ่ม ๆ จากบ้านเกิด…
…หลับแซ่บซะด้วย…ไม่ตื่นเลยวุ้ย…
เขาหลุบตามองพัดตัวเองในอ้อมแขนหล่อน...แล้วนิ่งไปอีกพัก ก่อนในที่สุดจะถอนหายใจอีกรอบ ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงปลายนิ้วเกี่ยวพัดออกจากอกเธออย่างแผ่วเบา คราวนี้ไม่ใช่เพราะหวงของ แต่กลัวนางทำพังน่ะสิ..คิดว่าราคามันเท่าไรกัน แล้วในวินาทีต่อมาชายหนุ่มก็อุ้มหลินหยาขึ้นทั้งตัว...เบาเหมือนอุ้มแมวขี้เซาไม่ต่างกันนัก
“คราวหน้า อยากมาหลับ ก็แค่บอกตรง ๆ ไม่ต้องพยายามทำท่าตื่นเต้นกับเรื่องโรงอุปรากรให้เหนื่อยหรอก” เขาพูดกับคนที่หลับคาอกเขาอย่างสงบ ปลายนิ้วเรียวยังคงวางมั่นใต้แผ่นหลังที่มีรอยแผลเบา ๆ ที่ยังไม่หายสนิท ก่อนพาเดินออกจากห้องรับรองไปอย่างไม่รีบร้อน ปล่อยให้ผู้คนในโรงงุนงงว่า...คนที่อุ้มหญิงสาวน่ารักแต่สภาพเหมือนลูกแมวหลับนี้คือใครกันแน่
แต่ทว่า..ก่อนฝ่าเท้าจะก้าวแรก พออุ้มขึ้นยังไม่ทันจะพ้นธรณีห้อง หลินหยาที่ควรจะหลับสนิทตามภาพพจน์ของผู้สลบไสลหลังกินอาหารไปเต็มท้องกลับลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ดวงตากลมปรือแบบลูกแมวเพิ่งโดนลากออกจากตะกร้า เธอเบลออย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าไม่ได้ตกใจอะไรกับการถูกอุ้มขึ้นกลางอากาศเลยแม้แต่น้อย แถมยัง…
"หื้อออ…หาววววว"
เสียงหาวยาวเหยียดดังขึ้นโดยไม่ผ่านการกรองสติ กลิ่นหอมของผลไม้ที่เธอกินไปก่อนหน้านี้ตลบอบอวล ลมหายใจอุ่นฟอดฟาดใส่ตรงหน้าของใต้เท้าเถียนเฟิงเต็ม ๆ พร้อมกับริมฝีปากเล็กนุ่มนั่นเผยอเบา ๆ ขณะหาวส่งตรงเข้าหน้าผู้ควบคุมราชการฝ่ายในของฮั่น…ผู้ไม่เคยแม้แต่จะให้ใครหายใจรดต้นคอมาก่อน…
…กลิ่นลูกท้อ…อ่า…กลิ่นลูกท้อจากปากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เขาอุ้มไว้ในวงแขน กลิ่นหวานอ่อน ๆ ติดปลายจมูกแบบที่ไม่ว่ากี่แผ่นพัดหรือขนนกก็โบกไม่หายง่าย ๆ ขนตายาวของเธอกระพริบช้า ๆ ก่อนจะโฟกัสเข้าที่ใบหน้าของเขา...แล้วหลินหยาก็แค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ สไตล์คนที่รู้ตัวแต่ไม่ยอมสารภาพ
“คิก…อ้าว..ใต้เท้าเถียนเฟิง..” เสียงยังแหบพร่าแบบคนเพิ่งตื่นเต็มที่ "ข้าหลับหรอเจ้าคะ...เอ๊ะ ข้าโดนอุ้ม?" เหมือนจะพึ่งรู้ตัวเพราะใบหน้าของเถียนเฟิงใกล้กว่าที่เคยนางเอียงหัวเบา ๆ เหมือนคนที่พึ่งจะรู้ตัวเหมือนกันนะเนี้ย แต่ไม่มีการเขินอาย วีดว้ายเหมือนเหล่าสตรีที่อยากให้เถียนเฟิงอุ้มจะตายชัก..เขินอายไม่มีเลย..หรือนางไม่ได้มองเขาเป็นบุรุษกันนะ?
"ให้ตายสิ กลิ่นขนสัตว์บนเสื้อท่านมันหอมดีจัง…ข้าฝันว่าได้กินเป็ดปักกิ่งที่ท่านเอามาให้ที่คุกหลวงอีกรอบเลยล่ะเจ้าค่ะ" แล้วหลินหยาก็หัวเราะเบา ๆ เหมือนกำลังเล่นสนุกกับปฏิกิริยาของเขา เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าเพราะโดนเปรียบว่าเป็นเป็ดปักกิ่งหรือเพราะใบหน้าใกล้ขนาดที่เห็นขนตานางชัดพอจะนับเส้นได้ แต่มือที่อุ้มก็ไม่ได้ปล่อย กลับกระชับมั่นกว่าเดิมหน่อยด้วยซ้ำ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
“แม่นางหลินหยา หากคิดจะใช้ข้าเป็นหมอนพิง กรุณาอย่าหาวใส่หน้าเจ้าของหมอน...” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย หรี่ตาลงแบบคนที่แยกไม่ออกว่าเขินหรือรำคาญ ก่อนจะพูดต่อเรียบ ๆ “และกรุณาอย่ากล่าวว่ากลิ่นเสื้อข้าคือกลิ่นเป็ดหรือสัตว์อีก...มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนอยู่ในโรงครัวมากกว่านั่งโรงอุปรากร”
หลินหยาหัวเราะคิกในลำคอ สะบัดนิ้วเล็ก ๆ แบบขำขันแล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ก็ท่านเป็นคนซื้อเป็ดปักกิ่งให้ข้านี่เจ้าคะ...ท่านต้องยอมรับชะตาแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เถียนเฟิงกลอกตาเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ แต่ยังคงอุ้มนางไว้ไม่ต่างจากเดิม “หึ...คราวหน้าข้าจะซื้อเต้าหู้ให้แทน” นางทำหน้าตื่นตกใจทันที "บาปกรรมนะเจ้าคะ! ข้าจะตายเอานะ! ท่านเล่นอะไรเนี้ย" แล้วนางก็เริ่มดิ้นเบา ๆ ในอ้อมแขนเขา ใต้เท้าเถียนเฟิงถึงกับถอนหายใจในใจ นางตื่นแล้วยังวุ่นวายได้ขนาดนี้ หากไม่ตื่นจะไม่ขวิดข้าตายหรือไร
“เงียบ ๆ แล้วกลับบ้านไปอาบน้ำเสีย...กลิ่นผลไม้ติดหน้าเจ้ายังมากพอจะล่อแมลงทั้งสวน” เถียนเฟิงพูดแบบเหนื่อยใจ..เป็นการมาดูการแสดงที่น่าจะเหนื่อยใจที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว ส่วนหลินหยาพอได้ยินแบบนั้นก็หน้ายู่ทันที
“ข้าไม่ได้เหม็นนะ!” หลินหยาเถียงในอ้อมแขนดิ้นหน่อย ๆ แต่ไม่แรงเพราะเดี๋ยวกระทบแผลบนหลัง “ข้าหอม!”
“ข้ารู้แล้ว...” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “...ข้ารู้ดี” ...และมือเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยจากร่างของนางเลยด้วยซ้ำเขาอาจจะตั้งใจให้มันเป็นการอุ้มที่กินเวลานานกว่าความจำเป็นเล็กน้อยก็ได้ ใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยังอุ้มหลินหยาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยืนสงบเสงี่ยมอย่างคนใจเย็นแต่ซ่อนไว้ด้วยเสี้ยวบางของความดื้อเงียบ คล้ายว่ากำลังคำนวณท่าทีหรือเพียงแค่รอให้เธอฟื้นเต็มตาก่อนไม่แน่ใจนัก เพราะเจ้าตัวหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนกลับเป็นฝ่ายหรี่ตามองเขาก่อนทันทีอย่างรู้ทันว่าตอนนี้มันมีคนบางคนแอบเนียนใส่เธออยู่..
"เมื่อไรจะปล่อยอ่ะเจ้าคะ??" น้ำเสียงนั่นขุ่นแบบงอน ๆ "ท่าน..อย่ามาทำตัวเป็นพระเอกละครที่ปล่อยทิ้งดื้อ ๆ แล้วตกนะลงพื้นหลังดังแอ๊คคคนะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะว่า...ข้าโดนโบยมา 30 ไม้เชียวนะ! แผลยังไม่หายดี ถ้าท่านปล่อยข้าทิ้งกลางทางละก็…ข้าจะโกรธจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ"
ใต้เท้าเถียนเฟิงเลิกคิ้วนิดเดียวสายตาเรียบนิ่งปรือลงมองนาง "อืม..." เขารับคำเบา ๆ เหมือนใช้เวลาทบทวน แล้วเอ่ยเรียบ ๆ ในแบบของคนที่เอาเหตุผลมาร้อยเป็นเกราะชั้นดี "แสดงว่าแม่นางหลินหยายังพอมีเรี่ยวแรงจะเถียง...เช่นนั้นข้าควรปล่อยหรือยัง?" หลินหยาทำหน้าตาไม่พอใจเหมือนลูกแมวที่โดนดุตอนที่ได้ยินแบบนั้น “เอ๊ะ..ท่านนี้ อย่ามาย้อนข้านะเจ้าคะ..ข้าไม่ได้เถียงเจ้าค่ะ ข้าแค่เตือนท่านด้วยความหวังดี!”
เถียนเฟิงกลั้นหัวเราะไว้อย่างแนบเนียน ก่อนตอบกลับราบเรียบอีกครั้ง "เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อย...แต่จะวางเจ้าไว้กับที่อย่างอ่อนโยนไม่ตก ไม่เจ็บ และไม่เหมือนในละครเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เจ้าบอก" ว่าแล้วก็ก้าวเดินต่ออย่างมั่นคงไม่มีท่าทีจะหยุด หรือแม้แต่วางเธอลงทันทีตามคำขอด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อน ๆ” หลินหยาท้วง “ท่านพูดเหมือนจะอุ้มข้าต่อไปอีกสักพักเลยนะ ใต้เท้าเถียนเฟิง! เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดทำไงเจ้าคะ..ปล่อยเลยยย!” เถียนเฟิงปรายตามองอย่างเนิบช้า “เข้าใจผิดก็ปล่อยให้เขาเข้าใจไป...ข้ากลับคิดว่าความเข้าใจผิดบางอย่าง ก็น่าให้อภัยอยู่”
หลินหยาชะงักกึกไปกับถ้อยคำตรง ๆ นั่น ดวงตากลมโตเบิกเล็กน้อย แล้วรีบหลุบสายตาลง กระซิบเบา ๆ “ท่านพูดอะไรเนี้ยเจ้าคะ ข้าขนลุกอีกแล้วนะ…” หลินหยาเอ่ยบอกพลางเหมือนจะสงสัยกับการกระทำตอนนี้นิดหน่อย..อืม..เอาตรง ๆ ถ้าไม่นับตอนสลบนี้น่าจะเป็นครั้งที่สองที่นางใกล้ชิดผู้ชายขนาดนี้..ใช่ ๆ ครั้งแรกคือชกจางกงกงหน้าหงายไง..เพราะตอนนั้นนั่งคร่อมอีกคนไปเต็ม ๆ
… ส่วนเถียนเฟิงน่ะหรอ เขาตอบต่อเลย “ข้าก็แค่เตือนด้วยความหวังดี” เถียนเฟิงย้อนเสียงราบเรียบแบบไม่ให้หล่อนมีทางโต้ทัน จนกระทั่งหลินหยาเบะปากระบายยิ้มอย่างจนใจในแบบที่คนแพ้ทั้งที่ยังอยากเถียงต่อ เถียนเฟิงที่ยังคงอุ้มหลินหยาอยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่เร่งร้อน ฟังเสียงบ่นและการระบายของอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ ราวกับเป็นเสียงลมหายใจประจำวันของเขาแล้วในตอนนี้...น้ำเสียงของนางนั้นเหมือนจะไม่คิดอะไรมากนัก แต่ถ้อยคำกลับก่อคลื่นกระเพื่อมในใจผู้ฟังได้ไม่ยาก
“โหยยย ท่าน..พอเถอะน่า ปล่อยเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่นะ!” หลินหยายู่หน้า ตวัดตาดุใส่พลางพูดเรื่อยเปื่อยแต่ดวงตาแอบกระวนกระวายแบบคนที่ไม่ได้แคร์...แต่ก็แอบแคร์ “รู้ไหมเจ้าคะ เมื่อเช้านี้ข้าเดินผ่านตลาดน่ะ ได้ยินแม่ค้าปากตลาดพูดกันเสียงดังเลยเจ้าค่ะ เรื่องที่หวยหนานอ๋องมารับโทษโบยแทนสาวชาวบ้านกึ่งหนึ่ง! คนเขาพูดกันเต็มไปหมดว่าคงจะมีข่าวดีเรื่องพระชายาหวยหนานหวางคนใหม่” ดวงตาคู่นั้นเหลือบขึ้นมองเถียนเฟิงนิด ๆ "แล้วก็ท่านหลิวอันเขาก็ม่ายมาหลายปีแล้วด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะข่าวลือพวกนั้นมันวุ่นวายจะตายชัก โอ้ยยยย" เธอพูดแล้วหันหน้าออก ทำหน้ายู่ใส่ลม
“ทั้งที่ข้าสนิทกับท่านหลิวอันเพราะคิดว่าเขาเป็นแค่พ่อค้าเต้าหู้นะ! แล้วก็สนิทกับลูกสาวของเขา หรงเล่อ ด้วย...เราเป็นเพื่อนกันเจ้าค่ะ เพื่อนสนิทด้วย! แต่ตอนนี้คนอื่นคิดแล้วก็กลายเป็นอะไรไปหมดก็ไม่รู้แล้วอ่ะ ข่าวลือไฟลามทุ่งชัด ๆ เลย”
เถียนเฟิงที่ฟังอยู่เงียบ ๆ ไม่ขัดจังหวะ แต่ในดวงตาเรียบนิ่งกลับสะท้อนความคิดวูบไหว ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น อ๋องหลิวอัน กับ ธิดาหวยหนานอ๋อง หรงเล่อ ก็ยิ่งชัดว่าเขารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยิน แต่เพราะสายข่าวของเขาทำงานละเอียดทุกวินาที เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก นอกจากเสียงตอบรับที่ราบเรียบจนยากจะเดาความรู้สึก “ข้ารู้” แค่นั้น…
หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา ทำน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “รู้? ท่านรู้เรื่องอะไรเจ้าคะ?..โหขี้ปากขนาดนั้นก็ต้องรู้สิเจ้าคะ”
เถียนเฟิงหยุดเดินชั่วขณะก่อนจะตอบเสียงเบา “ข้ารู้ว่าหวยหนานอ๋องยอมรับโทษแทนเจ้า…รู้ว่าเขามีบุตรสาวชื่อหรงเล่อ…รู้ว่าเจ้าไม่รู้ว่าเขาคือใครตอนแรก และรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังรู้สึกซับซ้อนมาก”
หลินหยาตาโตอึ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดตามความรู้สึกของตัวเอง นี้เธอโดนตามติดปะเนี้ย เฮ้ยย ทำไมอีตาหมอนี้มันน่ากลัวจังเลยหรือมันแค่ฉลาดเฉย ๆ กันแน่นะ? “ท่านนี่มัน…!! ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าท่านน่ะน่ากลัวเจ้าค่ะ ฉลาดจนน่ากลัวเลยอ่ะ!”
“ข้าแค่ระวังเจ้า” เขาตอบเรียบง่าย “โลกนี้ไม่ใจดีนัก เจ้าเองก็รู้ดี ข้าไม่อยากเห็นเจ้าถูกลากกลับไปในเงาต่อหน้าต่อตาอีก” หลินหยาชะงักไป...จู่ ๆ คำพูดนั้นมันทำให้หัวใจเธอเต้นช้าลง เหมือนเธอรู้ว่านี่คือคนที่เฝ้ามองอยู่จากระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล มาตลอด แต่เธอก็ยังฝืนพูดต่อแบบคนไม่ยอมแพ้แบบวกเข้าเรื่องประมาณว่าฉันรู้นะว่าแกเนียนอุ้มฉันนานเกินไปแล้ว “งั้นท่านจะวางข้าลงหรือยังเจ้าคะ ข้าเดินเองได้แล้วนะ”
เถียนเฟิงไม่ตอบในทันที แต่มุมปากขยับขึ้นนิดหนึ่ง “เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าเป็นพระเอกหนังที่ปล่อยคนกลางอากาศ?” ส่วนหลินหยาก็แทบจะกรอกตา อีตานี้มันกวนตีนเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เว้ย “…แน่ใจสิเจ้าคะ ข้าไม่ใช่นางเอกนะเว้ย” หลินหยาตอบกลับด้วยท่าทางที่พยายามจะเกรี้ยวกราดมีคำว่าเว้ยด้วยแบบตัวเองก็เผลอติดออกมา..แต่ดูยังไงก็เหมือนแมวขู่เสียมากกว่า
และในที่สุด ใต้เท้าเถียนเฟิงก็ยอมวางเธอลงอย่างอ่อนโยน ราวกับคำสัญญาที่ให้ไว้ แต่ก่อนปล่อยมือจากแผ่นหลังนั้น เขาก็พูดขึ้นเสียงเบา...เบาจนเธอได้ยินแค่คนเดียว “ข้าระวังเจ้าทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้า...แล้วเจ้าเรียกมันว่าอะไรนะ? ห่วงใยหรือว่าวุ่นวายดี” พอได้ยินแบบนั้นหลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนนี้เท้าถึงพื้นเอง
ดวงตาเธออ่อนลงเล็กน้อยแต่ยังเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้มากนักสายตากลมโตของนางหรี่เรียว ๆ ของหญิงสาวจ้องขึ้นมาพร้อมคำถามเสียงแข็งอย่างจับผิด "ท่านไม่ได้คิดจะใช้งานข้าใช่ไหมเจ้าคะ?" ประโยคนั้นมาพร้อมท่าทางกอดอก หน้างอแบบเต็มขั้น จนดูแล้วคล้ายแมวที่เพิ่งถูกแย่งขนมมากกว่าแม่นางผู้เพิ่งออกจากคุกหลวง "ข้าบอกก่อนเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่รับทำงานแล้วตอนนี้ ท่านหมอบอกว่าให้พักผ่อนนะ.. งานรายวันก็ไม่ได้ทำไม่งั้นจะตายก่อน ที่หอว่านหงเหรินก็ไม่ได้กลับไปอีกมีประเด็นกับเจ้าของ!" คำว่า มีประเด็น ถูกเน้นเสียงเป็นพิเศษจนดูมีน้ำหนักมากพอจะทำให้ยอดเสนาบดีส่ายหน้าให้เงียบ ๆ
เถียนเฟิงมองนางนิ่ง ก่อนจะขยับมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มบางเฉียบที่แทบไม่ปรากฏ แต่ก็พอจะเห็นได้หากมองใกล้พอ “แม่นางหลิน ข้าพาเจ้ามาดูอุปรากร ไม่ใช่มาจ้างงาน ข้าก็แค่สงสารแมวน้อยที่ไม่มีใครรับฝากไว้ เลยพาออกมาหาความสุขนอกกรงเท่านั้น” เขาตอบเรียบแต่มีน้ำเสียงเหมือนกลั้นหัวเราะไว้
“แมวน้อยบ้านท่านสิเจ้าคะ” หลินหยาเบ้ปากทันที ก่อนจะทิ้งน้ำเสียงงอแงลงกลายเป็นนุ่มนวลขึ้นทีละนิด “แต่ขอบคุณนะที่พามา ข้ารู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ เลยล่ะ อิ่มท้องด้วย” เธอยิ้มให้อย่างจริงใจเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับเด็กสาวที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับไม้ขลุ่ยหนึ่งอันและความฝันในมือทั้งสองข้าง ไม่ใช่หญิงสาวที่เคยผ่านความเจ็บช้ำในคุกหลวงมาก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน
เถียนเฟิงเพียงพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดสิ่งใดต่อในทันที “ถ้าเจ้าหายดีแล้ว ก็อย่าลืมหาความสุขแบบนี้ด้วยตัวเองบ้าง” เขาทิ้งท้ายเสียงเรียบ ก่อนจะเดินช้า ๆ เคียงข้างเธอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางแดดบ่ายของฉางอันที่ยังคงเจิดจ้า และตอนนี้ที่โรงอุปรากรแห่งนี้ก็มีคนที่ชอบโวยวายเหมือนแมว..จากที่เคยจะพามาดูการแสดง กลายเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ปลดหัวใจจ้าาาาา
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
(ใส่ไว้เฉยๆ มันติด)