[โรงอุปรากร ซ่านเถียนเฉียวหร่ง]

[คัดลอกลิงก์]






โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง

{ เมืองฉางอัน }





【โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง】
『เพลิดเพลินชีวาดั่งบทละคร』
อาคารไม้จัดสร้างอย่างงามวิจิตรแห่งนี้มีผู้คนคับคั่งเสมอ 
สถานบันเทิงแห่งใหญ่ที่ตั้งอยู่บน ถนนฉางอันสายตะวันตก 
จัดแสดงอุปรากรและดนตรีทุกวันช่วงพลบค่ำ แสงสีตระการตาน่าชม
นานทีจะเปิดให้คณะละครจากต่างเมืองเข้าร่วมการแสดงด้วย 
จัดเป็นหนึ่งในสถานบันเทิงยอดนิยมของที่ชาวฉางอัน 





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7669 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-20 10:56
โพสต์ 2024-9-14 18:45:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-18 19:37




โรงอุปรากร
วันที่ 24 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบสี่นาฬิกาเป็นต้นไป


ฉางอันคือเมืองไร้ราตรี.. แต่ในยามทิวาก็นับว่าไร้สิ้นสุดด้วยเช่นกัน

นานทีปีหนนางจะมีโอกาสได้ออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย โฉมงามอ่อนหวานภายใต้อาภรณ์ชั้นดีเคลื่อนกายไปตามเส้นถนนสิบลี้ กระทั่งสะดุดตากับแผ่นไม้สลักที่ประกาศถึงกำหนดการพิเศษของอาคารไม้ที่ได้รับการสรรสร้างมาเป็นอย่างดี

‘ ถึงคราวเริ่มลำนำบทใหม่
โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง
แห่งฉางอันได้จัดเตรียมการแสดงสุดยิ่งใหญ่

ตำนานเกี้ยวรักหงส์มังกร
ซินอวี๋ รับบท พระชายาลู่หนิง
ฉินเหอ รับบท จักรพรรดิแห่งต้าเหลียน ’


“ จักรพรรดิแห่งต้าเหลียนและพระชายาลู่หนิง? ” นงคราญหยกพึมพัมอยู่กับตนเองในระหว่างที่มือยกขึ้นแหวกแพรขาวที่บังการมองเห็นออก ไป๋หรั่นขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะลดมือลงเสมือนว่าตั้งใจจะก้าวผ่านไปจนได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนที่พลิกความคิดให้นางจำต้องหันกลับไปมองอุปรากรเข้าอีกครั้ง

“ แค่ชื่อก็ฟังดูคล้ายละครน้ำเน่าแล้ว ใครจะเสียเวลาไปดู ”

“ เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่งถึงกับบอกว่ามีคนวงในออกมาเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างลู่ซูเฟยและฝ่าบาทฮั่นอู่ของชาวเรา จนได้มาซึ่งบทประพันธ์ที่ดัดแปลงเนื้อหาความเป็นจริงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นละครเรื่องนี้จะพลาดไม่ได้ ! ”

ไม่ยักรู้ว่าเรื่องของนางเป็นที่สนใจถึงเพียงนี้.. ไป๋หรั่นเบี่ยงสายตากลับไปมองยังอาคารไม้งามวิจิตรอย่างชั่งใจ ที่จริงแล้วนางก็ยังพอมีเวลาอยู่มาก บางครั้งการดูความเห็นของประชาชนผ่านละครที่ถูกรังสรรขึ้นมาก็เป็นความคิดที่ดี สมัยครั้งยังอยู่ลั่วหยาง นางแทบจะเป็นแขกประจำของโรงอุปรากรใหม่ประจำเมืองเสียด้วยซ้ำ

“ ไม่นึกว่าเจ้าจะมาจริง ๆ เยี่ยมไปเลย ละครครั้งนี้ต้องสมบูรณ์แบบมากแน่ ”

ตรงข้ามกันกับพวกนางคือกลุ่มบัณฑิตหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่กำล้งล้อมวงครอบคนผู้หนึ่งพลางสนทนากันอย่างออกรส บัณฑิตชายเหล่านั้นล้วนแต่สวมใส่เสื้อผ้ามีราคา ทั้งยังดูมีหน้ามีตาถึงขนาดที่นงคราญหยกพอจะเดาออกได้เลยด้วยซ้ำว่าที่รอบข้างเต็มไปด้วยสตรีนั้นเป็นเพราะเหตุใด

“ ครั้งนี้คณะละครเฟิ่งหลวนมาเยือนถึงที่ โอกาสยากเช่นนี้สมควรคว้าไว้สักครั้ง ” เป็นเสียงที่คุ้นเคยเสียจนคนฟังไกล ๆ ยังลอบขมวดคิ้ว นงคราญหยกแหวกฝูงชนที่แออัดไปยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงอุปรากรเพื่อใช้แต้มต่อของพื้นแสนหรูหราที่ได้รับการจัดระเบียบจนโล่งกว้างให้กลายมาเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับกวาดสายตาตรวจสอบบุคคลที่นึกสงสัย

เป็นเขาจริง ๆ

ปลายสายตาของนางคือ เถียนเฟิง ต้าซือคงแห่งราชสำนัก ยอดบัณฑิตแสนสง่างามที่ผู้คนล้วนแต่หมายปอง ราวกับว่าเป็นโชคชะตาส่งเสริม ไม่รู้ว่าเป็นลมกลุ่มน้อยมาจากที่ใด หรือสิ่งไหนดลใจให้เถียนเฟิงละสายตาออกจากเหล่าสหายร่วมสำนักศึกษาจนพาลมาพบเสี้ยวหน้าของนงคราญที่เผยผ่านรอยแหวกของหมวกไผ่ผ้าคลุม ทั้งสองต่างจดจำกันและกันได้ แต่ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องทำเป็นสนิทสนมกลมกลืน ไป๋หรั่นเบนใบหน้ามาอีกทางพลางเจรจาคุยราคาเข้าชมกับเสี่ยวเอ้อร์หน้าโรงอุปรากร ฝั่งเถียนเฟิงที่มาพร้อมกับมิตรสหายต่างก็พากันเดินเข้าไปจับจองพื้นที่นั่งส่วนตัวด้านใน

“ อยู่มาวันหนึ่ง เรื่องของคนเขลาก็กลายเป็นละคร ” เจ้าของเรื่องฝ่ายหญิงหัวเราะเสียงแผ่วในขณะที่ถือป้ายไม้อนุญาตเข้ารับชมละครด้านใน ‘ เอาเถอะ.. อย่างไรก็คงไม่หลุดโลกหรือเพ้อฝันมากเสียจนเกินไปหรอก ’

.

.

.

ดูแล้วนางคงต้องถอนคำพูดที่ว่ามันคงไม่เพ้อฝันหรือหลุดโลก

ผู้ชมหลายคนเริ่มลุกออกจากโรงอุปรากร เว้นก็แต่คนที่ตกตะลึงในตำนานรักลุ่มหลงที่เหมือนจะ.. เร่าร้อนรุนแรงเกินไปหน่อย อย่างน้อย ๆ เมื่อหกปีก่อนนางก็ไม่เคยมีความคิดว่าจะหนีไปพร้อมชายใด หรือผลีกายให้ใครง่ายดายได้เพียงนั้น มือบางขยับเข้านวดคลึงขมับน้อยเบา ๆ นางรู้สึกว่าตัวเองปวดหัวแปล๊บขึ้นมาทันที เริ่มมาตั้งแต่ดูลำนำรักนี้ไปได้ราว ๆ หนึ่งเค่อนางก็อยากจะลุกขึ้นเดินออกจากโรงอุปรากรแล้ว

และแน่นอนว่านางก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนั้น

“ เจ้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่.. เรื่องราวความรักของทั้งสองดูคล้ายว่าควรอยู่ในบทประพันธ์ฝันหวานเกินกว่าจะเป็นจริงได้ ” หนึ่งในผู้ที่ดูมีสติกล่าวแย้งขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องที่ตนพึ่งจะดู ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจเป็นจริงได้ แต่อีกนัยหนึ่งก็ยังอยากฟังความเห็นของคนรอบกายเผื่อว่าเป็นแค่ตนที่คิดผิดไปคนเดียว

“ โอ๊ย แค่วาสนารักระหว่างสาวชาวบ้านกับไท่จื่อก็นับว่าละครพอแล้ว เรื่องที่เหลือทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า ”

นั่นก็ไม่นับว่าเป็นความคิดที่ผิด ไป๋หรั่นค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากที่นั่งพลางพาตัวเองก้าวเดินออกมาจากโรงอุปรากรช้า ๆ ในยามสนทธยาที่ท้องฟ้าขึ้นริ้วหลากประกาย นงคราญหยกเงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจออกผ่านริมฝีปากพลางเดินมุ่งไปด้านหน้า โดยไม่ทราบเลยว่าตลอดการเครื่องไหวนี้ยังมีสายตาคมคู่หนึ่งจับจ้องตัวนางไปจนลับสายตา









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14921 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-14 18:45
โพสต์ 14,921 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-9-14 18:45
โพสต์ 14,921 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-14 18:45
โพสต์ 14,921 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-14 18:45
โพสต์ 14,921 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-14 18:45
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x6
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-9-16 15:27:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-16 15:29




รถม้าคันหนึ่ง
วันที่ 24 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบแปดนาฬิกาเป็นต้นไป


“ แม่นาง แม่นาง !! รอประเดี๋ยวขอรับ ”

เสียงฝีเท้าคนเคล้าด้วยฝีเท้าม้าดังขึ้นจากด้านหลังเป็นสัญญาณผลักให้หมู่คนแหวกทางไม่เว้นแม้แต่นงคราญหยกที่ยังขยับหลบราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ทว่าเจ้าของเสียงร้องเรียกนั้นกลับหยุดฝีเท้าและก้มลงหอบแฮ่กอยู่ตรงหน้า

“ ท่าน .. ท่านอย่าพึ่งเดินต่อ.. ”

“ … ? ”

หญิงงามในรอบสามพันปีหลุบตาลงมองบ่าวชายที่ไอจนตัวโยก ใบหน้าใต้ผ้าแพรฉายแววประหลาดใจอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับคนรอบกายที่หันมองมาเป็นตาเดียว “ ตลอดทางเจ้าเรียก.. ข้า? ” ก้านนิ้วขาวขยับขี้เข้าหาตัวเองประกอบกับคำถามที่เอ่ยออกไป

“ ใช่แล้ว..ขอรับ ” บ่าวชายแปลกหน้าขยับศีรษะขึ้นลงเป็นการตอบรับอย่างเร่งร้อน สองมือกร้านขยับเข้าประสานกันหลังจากบังคับให้ตนเองรีบตั้งสติเมื่อรถม้าไม้แสนเรียบง่ายเคลื่อนตัวมาหยุดนิ่งที่ด้านหลัง “ บ่าวอาจทำให้แม่นางตกใจ ทว่านายท่านมีเรื่องอย่างสนทนากับแม่นางสักเล็กน้อย ”

เนตรหงส์ช้อนขึ้นมองหน้าต่างรถม้าที่แง้มเปิดเป็นช่องเล็ก ๆ พอให้พัดพับด้ามหนึ่งยื่นออกมา พัดคุณชายนั้นทำมาจากไม้เคลือบขัดจนขึ้นเงา ทว่าแทนที่จะเป็นสีไม้เข้มดำขลับเขากลับย้อมแกนพัดให้เป็นสีสว่างคล้ายงาช้าง ไป๋หรั่นหรี่ตาอย่างพิจารณา เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำกำลังบอกให้นางทราบว่าเคยเห็นพัดด้ามนี้มาก่อน

“ มิทราบว่าเป็นคุณชายบ้านใด? ”

สนทนากับผู้ติดตามไปก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ คำถามของสตรีสูงศักดิ์นอกตัวรถกระตุ้นริมฝีปากของชายลึกลับด้านในให้ยกขึ้น “ เถียน ” เสียงชายที่ลอดออกมาจากหน้าต่างรถมาทำให้รอบด้านเงียบเป็นเป่าสาก แซ่เถียนมีอยู่ทั่วก็จริง แต่แซ่เถียนที่ได้ดิบได้ดีก็นับว่ามีอยู่ไม่กี่ราย หนึ่งในนั้นคือชายผู้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมายอย่างต้าซือคงคนปัจจุบัน เถียนเฟิง

“ ครั้งนี้เผอิญผ่านมาพบ หากปล่อยนายหญิงกลับลำพัง เกรงว่านายท่านจะตำหนิเอาได้ ”

เสมือนว่าต้องการปิดประตูข่าวลือไร้สาระ บัดนี้เมื่อตัดสินเอาจากคำพูดของคุณชายในรถม้า เหล่าชาวเมืองก็ย่อมทราบว่าการเชิญสตรีร่วมทางในครั้งนี้มิใช่เพราะต้องการเกี้ยวพาราสี ฉะนั้นหลายคนจึงเริ่มตบเท้าเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ

“ .. เช่นนั้นก็รบกวนด้วย ” พัดคุณชายนั้นเป็นของคนแซ่เถียน.. และเถียนเดียวทีพอคุ้นตาก็นับว่าเป็นคนสนิทของสวามี ไป๋หรั่นขบขันในการตัดสินใจครั้งนี้ของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ทีแรกเป็นนางนึกอยากพิสูจน์ว่าใช่เขาจริงหรือไม่จึงได้เข้าไปเยือนโรงอุปรากร แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่เห็นหน้าค่าตากันผ่าน ๆ ผู้ที่เฉลียวฉลาดแยบยลอย่างเขาจะยังยื่นไมตรีมาให้นาง

เสียงกลอนประตูรถม้าที่ถูกปลดออกคล้ายว่าต้องการเชิญให้เข้ามา ด้านบ่าวชายที่ได้รับคำสั่งวิ่งตามหญิงสาวมาเป็นเวลานานก็ไม่น้อยหน้ารีบนำบันไดไม้ลงมาวางให้อีกฝ่ายได้ก้าวขึ้นไปบนตัวรถ นงคราญหยกดึงประตูไม้ให้เปิดออก ที่อยู่ด้านในเป็นใต้เท้าเถียนตามคาด.. ไป๋หรั่นนิ่งงันไปครู่หนึ่งคล้ายขบขันในความเกี่ยวพันของโชคชะตา ก่อนที่จะก้าวเข้าไปนั่งด้านใน พร้อมปล่อยให้บ่าวชายจัดการปิดประตู เก็บบันได

“ หากสายตาของกระหม่อมไม่ผิดพลาด ”

“ พระชายา? ”

“ ไม่นึกเลยว่าใต้เท้าเถียนชื่นชอบการชมละครด้วย ” สาวงามไร้ซึ่งคำเอื้อนเอ่ย นางปลดหมวกไผ่ผ้าคลุมออกแทนการตอบกลับด้วยคำพูดซึ่งนับว่าเป็นการเฉลยความจริงที่เรียบง่ายพอจะให้เถียนเฟิงนึกพอใจ ไป๋หรั่นวางหมวกไว้ที่ข้างกายก่อนจะเชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อย “ หวังว่าใต้เท้าจะไม่หลงเชื่อในภาพเพ้อฝันที่เสริมเติมแต่งเกินความเป็นจริง ”

“ ถวายบังคมพระชายา ”

“ ไม่ต้องมากพิธี ”

ยังไงพวกเขาก็พอนับว่าเป็นคนกันเองได้อยู่บ้าง นงคราญหยกกวาดสายตาสำรวจดูความเปลี่ยนไปของชายตรงหน้าหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลาพักใหญ่ ๆ ต้าซือคงยังเป็นชายรูปงามเหลือร้ายอย่างเคย เขาสวมใส่เสื้อสีเข้มพร้อมคลี่พัดโบกเบา ๆ ดูรื่นรมย์นัก “ กระหม่อมยังไม่มีโอกาสได้แสดงความยินดีต่อพระชายาอย่างเป็นทางการ .. มิทราบพระชายาสะดวกร่วมมื้ออาหารกับกระหม่อมสักหนหรือไม่? ”

พระชายาหยกหลุบตาลงพิจารณาคำเชิญจากหนึ่งในสามซานกงที่นางเคยได้พบมาก่อน อย่างไรเสียวันนี้ตำหนักตงเฉินก็ปิดรับแขกชั่วคราว ยามดึกดื่นคงไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีใครผลีผลามมาเยี่ยมเว้นเสียแต่ฝ่าบาทที่สามารถมาได้ทุกเมื่อ “ เปิ่นกงพอมีเวลาอยู่บ้าง ”

“ ..พระชายาเคยได้ไปที่โรงเตี๊ยมชิงหมิงหรือยังพ่ะย่ะค่ะ? ”

“ โรงเตี๊ยมใหญ่นอกเมืองฉางอันนะหรือ ” ไป๋หรั่นเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของโรงเตี๊ยมใหญ่นอกเมืองมาก่อน เห็นว่าความหรูหราไม่ต่างอะไรไปจากโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงทว่าราคาย่อมเยากว่า ลึกลับกว่า และรองรับแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่า เพราะหากจำไม่ผิด.. เถ้าแก่ผู้จัดสร้างโรงเตี๊ยมชิงหมิงนั้นคือเชื้อพระวงศ์ที่ละทิ้งลาภยศ น้องชายที่ฉายแววเกรียงไกรของจักรพรรดิแสนยิ่งใหญ่

“ ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ” เถียนเฟิงพยักหน้าเสริมกับคำตอบของตนเอง ต้าซือคงยกมือขึ้นเคาะโครงรถจากด้านในเบา ๆ พอเป็นสัญญาณให้สารถีรู้ว่าต้องบังคับม้าให้เดินหน้าไปตามเดิมหลักจากออกนอกเส้นทางมาพักใหญ่แล้ว “ วันนี้กระหม่อมมีนัดกับสหายที่นั่น เขากล่าวว่าจะเบิกสุราดอกท้อแห่งโรงเตี๊ยมชิงหมิงที่หาทานยากนั้นออกมาต้อนรับ ฉะนั้นกระหม่อมจึงจะขอให้โอกาสนี้ถวายสุราที่เลิศรสเป็นอันดับหนึ่งของฉางอันเพื่อเป็นการฉลองให้กับท่าน ”

เมื่อได้ฟังอย่างนั้นคนงามที่สงวนท่าทีมานานก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว เท่าที่ฟังดูแล้วเหมือนเขา.. กำลังจับแพะชนแกะ เดิมทีสุรานั้นควรเป็นของเขา แต่แล้วเขาที่สมควรได้รับก็กลับยกมันมาให้นาง หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกึ่งทางการกึ่งเป็นกันเอง “ ในเมื่อสุรานี้หายากนัก เหตุใดจึงไม่เก็บไว้ลิ้มลองเองเล่า? ”

“ กระหม่อมยังมีโอกาสอื่นให้ร้องขอได้ ” แผ่นดินนี้มีแค่ผู้ที่สามารถหมักยอดสุราได้นั้นมีไม่มาก ทว่าหนึ่งในผู้ที่สามารถทำได้กลับเป็นสหายสนิทของเขา เถียนเฟิงส่ายศีรษะเล็กน้อยเมื่อนึกถึงชายที่ตนนัดว่าจะไปพบ สุราดอกท้อที่หลายคนเฝ้าตามหาจนแทบพลิกแผ่นเมื่อมาอยู่ในสายตาเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเหล้าหมักของเพื่อนที่มักมีแวะเวียนมาให้ได้ดื่มกินอยู่เป็นประจำ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น.. ละไว้ให้เราได้หารือกันในอนาคตเถิด ยามนี้มาแลกเปลี่ยนความเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเสียหน่อยดีกว่า ”

ช้ากว่านี้ไม่มาเร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ ไป๋หรั่นเบี่ยงสายตาของตนเองออกไปนอกรถม้าทันทีที่สัมผัสได้ถึงเเค้าลางของเรื่องที่อีกฝ่ายจะเอ่ยถึง “ เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องนำมาขบคิดทุกครั้งไปก็ได้ ” คล้ายการบอกจุดประสงค์ไปในตัวว่าไม่ต้องการสนทนาถึงเรื่องที่อาจทำให้จิตใจไม่ปลอดโปร่ง และหากถามว่าสิ่งใดแลกมากับถ้อยคำที่เสียไป.. แน่นอนว่าต้องเป็นการหัวเราะทุ้มต่ำชวนให้จั๊กจี๊นั่นอย่างไรเล่า







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20142 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-9-16 15:27
โพสต์ 20,142 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-16 15:27
โพสต์ 20,142 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-16 15:27
โพสต์ 20,142 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-16 15:27
โพสต์ 20,142 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-16 15:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x6
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-7-1 01:05:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 01 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเว่ย เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ ถนนสิบลี้ โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง


ยามเว่ยของเดือนหก ฟ้าครึ้มบางเบาราวผืนไหมขาวทอดผ่านผืนฟ้าแคว้นฮั่นเหนือฉางอันไม่ร้อนนัก ไม่เย็นเกิน วันหนึ่งซึ่งผู้คนพากันออกจากเรือนด้วยจิตใจเบิกบาน ถนนฉางอันตะวันตกยิ่งครึกครื้นเมื่อโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง โรงใหญ่ชื่อดังมีการแสดงชุดพิเศษ มีแขกเหรื่อชั้นสูงมารวมตัวกันมากมาย ขบวนรถม้าชั้นดีเรียงรายสองฟากถนน หญิงงามชายหนุ่มต่างสวมชุดงามวิจิตร ประดับพลอย ประดับทอง แต่งกายราวจะไปพบองค์ชายเสียเอง


ท่ามกลางกลุ่มชนระดับสูงที่ทยอยเข้าโรงอุปรากร หลินหยาก็ปรากฏกายสตรีผู้ไม่เคยสนใจงานพิธีหรูหรา หากแต่วันนี้กลับปรากฏตัวในชุดตัดเย็บสีชมพูอ่อนผสมขาว สะอาดตาแต่ดูงดงามสมศักดิ์ศรีบุตรสาวขุนนางแม้จะเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็กอย่างเมืองผานอวี้ มณฑลเจียวจื่อ ที่อยู่สุดขอบทางใต้ติดทะเลเพราะเป็นเมืองท่า สายคาดเอวผ้าแพรโปร่งผูกเป็นโบแน่นที่ช่วงเอวระบายเป็นชั้นอ่อนละมุน สีชมพูอมสีพีชตัดกับผิวขาวดุจหยกของนาง ส่วนสอดแทรกตามแขนเสื้อและชายชุดนั้นมีลวดลายปักที่เหมือนจะเป็นพัดขนนกลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใต้เท้าเถียนเฟิงใช้เสมอ จนไม่อาจแน่ใจว่าเป็นเพียงบังเอิญหรือตั้งใจ


ผมของหลินหยาแม้จะถูกตัดเมื่อไม่นาน แต่ก็ถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์สีอ่อน เส้นบางเบาเล็ดรอดเคียงพวงแก้มขาวราวกลีบอิงเถา นางยืนนิ่งอยู่ด้านนอกโรงอุปรากร มองผู้คนเดินเข้าไปทีละคน สีหน้าเรียบสงบแต่แฝงความประหม่าเบา ๆ เพราะไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้เลยสักนิด…แม่งเอ้ย…ทำไมที่นี่มันหรูงี้วะ คนกัดก้อนเกลือกินแบบเธอมาที่นี่ทำไมเนี้ย..


และเมื่อเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอของขุนนางคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางเสียงจอแจ ฝูงชนก็เบี่ยงทางโดยมิได้นัดหมาย เถียนเฟิงมาในชุดขุนนางยศรองสีหมึกมังกร พัดขนนกสีขาวสะอาดอยู่ในมือ ดวงตาเยือกเย็นราวจับทิศทางลมฝนได้แม้เพียงเศษกลิ่น เขาหยุดเท้าเมื่อเห็นหลินหยา ดวงตาใต้เรียวคิ้วเฉียบทอดมองสตรีตรงหน้าอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง "แต่งตัวเสียจนข้าแทบจำมิได้" เสียงเขาเรียบเรื่อย พัดในมือกระดิกช้า ๆ ก่อนจะยกขึ้นปิดริมฝีปากตนเองเล็กน้อยเหมือนกลั้นรอยยิ้ม


ส่วนหลินหยาพอได้ยินแบบนั้นเธอก็ชะงักอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะเบ้ปากเบา ๆ ตามที่ตัวเองชอบทำ “ข้าก็แต่งตัวให้สมกับที่บอกท่านไง ให้สมกับสถานที่หรูหราหมาเห่าแบบนี้อ่ะ..ไม่ได้อยากให้ท่านจำข้าไม่ได้หน่อยนะเจ้าคะ” หลินหยาเอ่ยพลางทำหน้าบูดนิดหน่อย


“หรือว่าตั้งใจให้ข้าจำได้แต่เจ้า?” เถียนเฟิงเอ่ยถามเหมือนจะขำนิดหน่อยภายในใจจากน้ำเสียงส่วนปลายที่ดูจะติดตลกนิดหน่อย


“ท่านนี่..อย่าพูดอะไรแบบนั้นในที่แบบนี้สิเจ้าคะ..คนอย่างเยอะ ขนลุกอ่ะ” หลินหยาเหลือบมองซ้ายขวาแบบหวาด ๆ ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีอย่างแก้เก้อพลางแสร้งก้มดูผ้าชุดตนเอง “อีกอย่างนะเจ้าคะ ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรทั้งนั้นเรื่องนี้นะ..ลายปักชุดนี่อ่ะ คนขายบอกว่าเป็นลายเถาวัลย์พัดอะไรสักอย่างเจ้าค่ะ...มารู้ทีหลังว่าน่าจะเหมือนพัดของท่าน ก็ช่างเถอะ ข้าไม่ได้คิดอะไรนะเจ้าคะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ”


เถียนเฟิงมองเงียบ ๆ แล้วกระพริบตาช้า “หืม? ไม่คิดอะไรแต่ใส่มาด้วยใจกล้า ปล่อยให้ลายปักเดินนำหน้าตนเองเข้ามาในเขตคนชั้นสูงแห่งนี้ เจ้าคงใจกล้าไม่น้อย”


หลินหยาที่ได้ชินแบบนั้นก็กรอกตาเล็กน้อยใส่อีกคน อีตาหมอนี้มันชอบพูดอะไรแบบนี้กับเธอจริง ๆ เลยนะเนี้ย “ท่านเจ้าคะ..ข้าก็เป็นบุตรสาวเจ้าเมืองนะเจ้าคะ ไม่ได้เป็นคนขายเหล้าหรือนักดนตรีฝึกหัดเหมือนตอนที่อยู่หอว่านหงเหรินสักหน่อย” หลินหยายกคางขึ้นน้อย ๆ ดวงตาเปล่งประกายจาง ๆ อย่างขี้เล่นปนซื่อ “น่าเสียดายอย่างเดียว ผมสั้นมันทำทรงผมได้น้อยอ่ะ..” เธอพูดพลางทำหน้ายู่เล็กน้อย


เถียนเฟิงมองเส้นผมที่รวบขึ้นของนาง พลางยกพัดขึ้นบังแววตานั้นไว้ "เจ้าก็งามได้โดยไม่ต้องพึ่งความยาวของผม" เขาเอ่ยนิ่ง ๆ ก่อนจะหมุนพัดกลับลงข้างตัว “ไปกันเถอะ ข้าจองที่ไว้ชั้นดี มีทั้งน้ำชา ขนม และเหล้านารีแดง...ที่เจ้าชอบ”


“ท่านนี่วางแผนจะล่อลวงข้าหรือยังไงเจ้าคะ...” หลินหยาเอ่ยพลางหัวเราะเล็กน้อยรอยยิ้มของนางตอนนี้คล้ายจะอ่อนโยนกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับอาการเจ็บจากพิษยังคงอยู่แต่การได้มาพักผ่อนแบบนี้อาจจะไม่เลวก็ได้นะ? พลางเดินเคียงเขาไปเพื่อเข้าไปด้านในโรงอุปรากร "แล้วท่านล่ะ…" นางว่าพลางเหลือบตามองเขาอย่างเจาะจงในจังหวะที่เท้าก้าวผ่านซุ้มประตูงามหน้าโรงอุปรากร "คิดยังไงมาชวนข้ามาดูอะไรแบบนี้ล่ะ?"


เถียนเฟิงเหลือบตามองนางข้างกายที่กำลังเอียงคอถามอย่างนึกสงสัย น้ำเสียงของหลินหยายังเต็มไปด้วยความน่ารักปนความอยากรู้ตามประสาคนไม่ชอบให้คนอื่นอ่านใจได้ง่ายนัก แต่กับเขานางยอมถามตรง ๆ เสียงฝีเท้าของผู้คนรายรอบคล้ายเบาลงชั่วขณะ ดวงตาคู่นั้นของเถียนเฟิงมองตรงไปยังทางเดินหินอ่อนภายใน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ "วันนี้มีการแสดงใหม่... 'ลู่กุ้ยเฟย จากลูกสาวคหบดีสู่กุ้ยเฟย'" เถียนเฟิงอธิบายให้หลินหยาเข้าใจ ก็เป็นเรื่องราวที่โด่งดังมาตลอดทั้งปีจากที่นางเข้าไปถวายตัวในวัง


แค่ประโยคนั้น ก็เพียงพอให้หลินหยาชะงักก้าวแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "อ้อ...พระสนมลู่หรือเจ้าคะ..." เธอพูดต่ออย่างรู้เรื่อง “ที่มีแต่คนเชียร์ให้เป็นฮองเฮาอะนะ ฮ่องเต้รักนางมากใช่ไหมนะ…เห็นว่า…มีบุตรกับนางแค่คนเดียวด้วยสินะเจ้าคะ...” เสียงนางเบาลงโดยไม่ตั้งใจ ริมฝีปากเคลื่อนช้ากว่าหัวใจที่เต้นสะดุด นัยน์ตาเบือนออกจากใบหน้าของเถียนเฟิงเล็กน้อย ไปมองภาพจิตรกรรมฝาผนังของฉากอุปรากรแทน…สีหน้าคล้ายจะเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว


ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นวาบกลับเข้ามา..ใบหน้านั้น..ขององค์ชายหรูเสวียน..พระองค์..ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย..แต่เสียงที่ดังมันคือ..


เสียงหัวเราะ เสียงกรีดร้องในใจ เสียงที่เคยมีคนสั่งให้นางยั่วยวนเขา หลอกใช้ร่างกายแลกข้อมูล กระทั่งชักพาให้ชายผู้หนึ่งตกหลุมรักเพื่อใช้น้ำใจเขาเป็นเครื่องมือต่อรองในวังหลวง…แต่โชคดี…โชคดีนักที่มันไม่ได้เกิดขึ้น "..." หลินหยาหลุบตาลง ลมหายใจนางกระทบอกเบา ๆ เหมือนคนหายใจติดขัดเล็กน้อย ราวกับถูกกลิ่นบางอย่างรัดคอไว้ กลิ่นของอดีตที่ยังอวลติดอยู่ในผ้าแพรที่นางสวมใส่


เถียนเฟิงขยับสายตาอย่างแนบเนียน เห็นว่านางนิ่งไปนานกว่าปกติ เสียงผู้คนรอบข้างยังคงดังเรื่อย ๆ แต่เงาของนางในดวงตาเขากลับเงียบลงกว่าที่ควรจะเป็น เขาจึงขยับพัดในมือขึ้นหมุนช้า ๆ แล้วกล่าวเสียงนิ่งแต่ต่ำลงเล็กน้อย “ข้าไม่ได้พามาดูประวัติใคร พาเจ้ามาดูโรงอุปรากร” เขาพูดราวกำลังแยกน้ำเสียงความหมายออกจากสิ่งที่ผู้คนใส่ใจ “แค่อยากให้เจ้าได้พักบ้าง…หลังผ่านอะไรมาก”


หลินหยาคล้ายสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากะพริบหนึ่งที ก่อนจะหันกลับมามองเขา สีหน้าดูสงบขึ้นราวกับกำลังข่มอารมณ์กระเพื่อมไว้ภายใน “เอ่อ..ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ..” นางว่าเบา ๆ เช่นนั้น พลางลอบถอนหายใจนิด ๆ “ข้าแค่คิดอะไรนิดหน่อยเองเจ้าค่ะ..แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ข้าปกติดี” นางบอกเขาแบบนั้น


เถียนเฟิงไม่ได้ซักอีกคำ เพียงแค่ก้าวนำเข้าด้านในพร้อมพูดต่อเรียบเรื่อย “หากระหว่างการแสดงเจ้ารู้สึกไม่ดี...ก็อย่าฝืนออกมา หาข้า เดินไปเงียบ ๆ ข้าจะตามเจ้าไปเอง” หลินหยาหันมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ดวงตากลับมีรอยยิ้มขึ้นช้า ๆ เหมือนจะอบอุ่นขึ้นกว่าทุกทีที่เคยแสดงออกต่อเขา แล้วกล่าวตอบอีกฝ่าย “ขอบคุณนะเจ้าคะใต้เท้าเถียนเฟิง…”


เมื่อหลินหยาก้าวเข้าสู่ภายในโรงอุปรากรพร้อมกับใต้เท้าเถียนเฟิง กลิ่นหอมจางของไม้หอมจันทน์และกลิ่นชาดีเกรดพรีเมียมตลบอยู่ในอากาศ นางเงยหน้ามองเพดานทรงโค้งที่ประดับลายปักมือจากช่างหลวง ถัดมาอีกไม่กี่ก้าวคือทางเดินพรมสีแดงทอทองที่นำพาพวกเขาไปยัง ‘ห้องชั้นกลางที่เห็นชัดที่สุด’ ที่มีม่านไหมสีหยกบางบางปิดแยกจากผู้ชมทั่วไป มีเครื่องปรับกลิ่นหอมไผ่ แถมยังมีคนคอยเปลี่ยนผลไม้ ขนมและชาร้อนแทบทุกสิบห้านาที!


"...อื้อหือ" หลินหยาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมพึมพำเบา ๆ ตอนเห็นพนักงานเปิดม่านต้อนรับเข้าห้องชมพิเศษนั้นอย่างเคารพ นางเหลือบมองที่นั่งไม้แกะสลักลายมังกรทองที่รองด้วยเบาะไหมหรูสองตัว ตั้งเคียงกัน...พร้อมโต๊ะข้างเล็ก ๆ วางขนมเม็ดบัว ขนมสอดไส้ และผลท้อจากแดนใต้หั่นบาง ๆ โรยเกลือเบา ๆ ...โอวแม่เจ้า


พลางหันไปทางคนข้าง ๆ “ใต้เท้าเถียนเฟิงงง!! ข้านึกว่าท่านจะพาข้ามาดูการแสดงธรรมดาเสียอีก..โห..ที่ไหนได้..นี่มันที่นั่งระดับดีที่สุดเลยหรอเจ้าคะ? ท่านนี้ทุ่มทุนมากเลยนะเจ้าคะ..รวยโคตรเลยอ่ะ!!” หลินหยาพูดแล้วหันไปมองอีกคนด้วยสีหน้าอึ้งปนน่าขำ น้ำเสียงของหลินหยาผสมกลิ่นอายระคนระหว่างความหมั่นไส้หยอก ๆ กับความอึ้งตาโตแบบไม่อยากเชื่อ สองแก้มของนางยกขึ้นจากรอยยิ้ม แม้ดวงตาจะยังมีเงาเศร้าจางแฝงลึกอยู่แต่คราวนี้กลับดูมีชีวิตชีวากว่าทุกวันก่อนหน้านี้


ใต้เท้าเถียนเฟิงปรายตามองนางจากที่นั่งข้างกัน เขายกพัดขนนกขึ้นพัดช้า ๆ คล้ายไม่ใส่ใจน้ำเสียงเย้าแหย่นั้น แต่ที่มุมปากกลับขยับขึ้นบางเบา "ข้าไม่รวย...แต่ข้าไม่มีหนี้" คำตอบเรียบเฉียบสไตล์คนมีชั้นเชิง แถมยังแทงใจหลินหยาจัง ๆ จนเธอเบิกตานิดหนึ่งก่อนจะแค่นเสียงเบา ๆ พลางโบกมือเหมือนอยากตีคนพูด


“ท่านนี้มัน..ทำอย่างกับว่าข้ามีอ่ะ..ถ้าไม่ใช่หนี้ทางจิตใจ..ก็เพราะท่านเป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ ข้าถึงขัดท่านบ่อยนัก..รู้ไหมเจ้าคะ ข้าเนี้ยแพ้พวกไม่มีหนี้แบบนี้ที่สุดเลยเห่อออ”


เถียนเฟิงไม่ตอบ เพียงแค่ละสายตาออกไปยังเวทีเบื้องหน้า ซึ่งเริ่มมีเสียงเคาะกลองใกล้เปิดม่านการแสดงแล้ว ชั่วขณะหนึ่งแสงสว่างสีทองอุ่นอาบทั่วโรงอุปรากรใหญ่…เขาหลุบตาเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงแผ่วพอได้ยินกันแค่สองคน "ถ้าเจ้าไม่มีหนี้ในใจ…เจ้าก็จะมีอิสระเช่นกัน" คำพูดที่แทรกกลางเสียงโหมโรงนั้น ราวกับไม่ได้พูดเพียงเรื่องเงินทอง หากแต่หมายถึงสิ่งลึกกว่านั้น…บางสิ่งที่เขาไม่เคยพูด แต่หลินหยาเข้าใจได้ในแววตาเงียบ ๆ ของเขาเช่นกัน


นางชะงัก ดวงตาค่อย ๆ ลดลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตัก เงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “อืม..เจ้าค่ะ..ข้าจะพยายาม..แม้จะยังจ่ายหนี้ชีวิตและความรู้สึกไม่หมดก็ตาม..ข้าน่ะ..ไม่ชอบการเป็นหนี้เจ้าค่ะ..ข้าชอบการเก็บเงิน ชอบมีอิสระทางการเงิน..นั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้าแล้วเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ย ใต้ม่านบางของห้องชมละครพิเศษ เสียงอึกทึกภายนอกโรงอุปรากรค่อย ๆ กลายเป็นเพียงเสียงหรีดหริ่งในฉากหลัง เมื่อหลินหยาเอนตัวพิงเบาะไหมนุ่มละมุน หยิบผลไม้สีชมพูอ่อนฉ่ำวาวที่วางในจานเคลือบเบญจรงค์ขึ้นมากัดเบา ๆ น้ำหวานอมเปรี้ยวแตะปลายลิ้นทันทีจนดวงตากลมโตของนางหรี่พอใจ


“อื้ม…อร่อยแฮะ..อันนี้แม่งราคาแพงแน่เลย” นางพึมพำเบา ๆ พลางเคี้ยวช้า ๆ แก้มใสขึ้นสีระเรื่อคล้ายลูกท้อ ตรงมุมปากยังมีน้ำผลไม้ใส ๆ แวววับอยู่เล็กน้อย เส้นผมขลับที่ตัดสั้นดูแปลกตากว่าก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้ใบหน้าหวานของหลินหยาเด่นชัดขึ้น ท่วงท่าและสีหน้าขณะเคี้ยวผลไม้นั้นช่างเหมือนสัตว์เล็กฟันแทะพองแก้ม น่ารักจนแม้แต่ใต้เท้าเถียนเฟิงที่กำลังพัดเบา ๆ อยู่ข้างตัว ยังต้องเหลือบตามองเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ


“ดูจากท่าทาง…” เขาเอ่ยด้วยเสียงเนิบ ๆ พลางกระพริบตาช้าแบบคนกำลังประมวลผล “คงไม่ได้มาเพราะข้าชวน แต่มาเพราะของว่างสินะ?”


“แหม่..ว่าอีกก็ถูกอีกเจ้าค่ะ..แน่นอน” หลินหยาตอบทันทีเสียงใส พร้อมเคี้ยวผลไม้คำใหม่เข้าไปอีกอย่างไม่ลังเล แล้วกลอกตาเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านอุตส่าห์พามาชมการแสดงพร้อมกับจัดอาหารเครื่องดื่มให้ขนาดนี้ ข้าจะไม่ตอบแทนด้วยการกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ยังไงเจ้าคะ?”


เถียนเฟิงมองนางนิ่ง ๆ พัดในมือเขาหยุดลงชั่วครู่ แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมีประกายบางอย่างจาง ๆ คล้ายชายหนุ่มกำลังชมอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนเขาจะเอ่ยเบา ๆ “พูดได้ดี...ไม่เสียแรงที่ข้าลงทุน” เขาวางพัดลงแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวม เสียงกลองเริ่มดังขึ้นเป็นจังหวะเบา ๆ จากเวทีเบื้องหน้า สะท้อนผ่านม่านไม้ไผ่เบา ๆ ชวนให้ใจสงบ แต่หลินหยานั้นไม่ได้เงียบตาม ยังคงกินผลไม้ต่อไปอย่างมีความสุข แก้มกลมนั้นขยับไปมาอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าแบบเด็กน้อยที่ได้รับของชอบทำให้เถียนเฟิงที่มักเคร่งขรึมยังต้องเบือนหน้าเล็กน้อย กลัวว่านางจะเห็นว่ามุมปากเขากำลังคลี่ยิ้ม


“ท่านไม่กินหรือ?” นางถามขึ้นลอย ๆ แล้วเหลือบมองคนด้านข้างว่าทำไมไม่กินเอาแต่หยิบพัดพัดไปมางั้นแหละ ไม่ปวดมือหรือไงกันนะ? “ข้าไม่หิว” เขาตอบเรียบ ๆ


“ไม่หิวก็ดูข้ากินไปก่อนก็ได้นะเจ้าคะ” นางว่าพลางเอียงคอแล้วยิ้มตาหยี ท่าทางเหมือนแมวน้อยที่กำลังล้อเจ้านาย เถียนเฟิงปรายตามองหลินหยาอย่างเงียบงันอีกครั้งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำที่นางพึ่งพูดเมื่อครู่ อิสระทางการเงินอย่างที่นางว่า...หรือจะหมายถึงอิสระในการใช้ชีวิตอย่างอิสระจริง ๆ กันแน่? แม้จะพูดลอย ๆ เหมือนไม่คิดอะไร แต่นางกลับมีหลักของตัวเองเสมอ...เด็กสาวที่เคยไร้ที่ไปคนนั้น บัดนี้นั่งอยู่ข้างเขาแล้วในห้องรับรองชั้นสูงของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง…พร้อมรอยยิ้มที่สดใสเพราะได้กินของอร่อยฟรี ๆ 


แก้วจอกหยกเขียวที่ถูกจัดวางอย่างบรรจงบนถาดเงินนั้นหลินหยาหยิบขึ้นมาด้วยปลายนิ้วเรียวอย่างสง่างาม แม้จะไม่ใช่สาวชั้นสูงแบบพวกคนในเมืองหลวงโดยสายเลือด แต่ลีลาการเคลื่อนไหวของนางกลับสง่างามน่ามองราวสตรีผู้ได้รับการอบรมอย่างดีในตระกูลขุนนาง นางเอนตัวเล็กน้อย รินสุราใสลงไปในจอกของใต้เท้าเถียนเฟิงด้วยท่วงท่าราวกับบทละครอย่างหนึ่ง เสียงสุราสีอำพันที่ไหลรินลงสู่แก้วนั้นทำให้กลิ่นหอมแผ่วเบาของสุรานารีแดงคลุ้งอยู่ชั่วขณะ หลินหยายื่นจอกให้เขาโดยที่รอยยิ้มบางบนใบหน้าดูเหมือนไม่มีพิษภัย แต่ดวงตากลับล้อแสงไฟในห้องรับรองจนเป็นประกายใสราวหยาดน้ำค้างยามรุ่งสาง "นี้ไงเจ้าคะ..." นางเอ่ยเสียงนุ่ม ขณะยื่นจอกสุราให้ "ข้ารินเหล้าให้ท่านได้อีกหลาย ๆ จอกเลยเจ้าค่ะ" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะหยอกเย้า คล้ายจะใสซื่อ แต่คนที่รู้จักนางดีจะรู้ว่าคำพูดของหลินหยา...ไม่มีคำไหนที่พูดเปล่า ๆ


ใต้เท้าเถียนเฟิงขยับพัดในมือเล็กน้อย ก่อนจะหันมารับจอกด้วยนิ้วเรียวยาว แม้สีหน้าเขาจะยังสงบเงียบเหมือนเดิม หากแต่ดวงตาใต้เงาพัดนั้นกลับฉายประกายบางอย่างคล้ายกับความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ เขาพึมพำราวตอบคำถามในอดีตที่วนเวียนมานาน "ข้ายังจำได้ว่าข้าพูดเช่นนั้น..." เขาเว้นจังหวะ แล้วรับจอกจากมือของนางโดยมิรีรอ "เจ้าก็ยังจำได้จริง ๆ..."


หลินหยายิ้มหวาน ดวงตาแสร้งแปลงเป็นใสซื่อไร้เดียงสา “จำได้สิเจ้าคะ ใต้เท้าพูดเองนี่นา ข้าเป็นคนพูดจำน้อยก็จริง แต่เวลาใครพูดอะไรดี ๆ กับข้า ข้าจำได้หมดแหละ” ถึงปากจะบอกว่าจำน้อย แต่ตอนที่นางทำภารกิจให้เถียนเฟิง เล่าได้เป็นฉาก ๆ ละเอียดยันใครมีไฝบนหน้ากี่เม็ด..อืม..จำยาก..จำน้อย..ตรงไหนวะเนี้ย


“พูดอะไรดี ๆ หรือ?” เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “บางคนอาจว่าเป็นคำเปรียบเปรยเย้ยหยันด้วยซ้ำ” เถียนเฟิงพูดเพราะเอาตรง ๆ มันเป็นคำประชด แต่สำหรับหลินหยาคำประชดพวกนั้นไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับคนที่คิดอะไรเยอะ แต่บางทีก็คิดอะไรไม่ทันเหมือนกัน..พวกความรู้สึกช้าสินะ?


“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ?..แต่ที่ข้าได้ยินน่ะ..มันคือคำบอกต่อใจของข้ามาก ๆ เลยนะเจ้าคะ? ตอนนั้นท่านพูดแบบจริงใจสุด ๆ เลยด้วย ไม่รู้ตัวหรอกหรือเจ้าคะ?” ลินหยาเอนหลังพิงพนัก ท่วงท่าชวนให้นึกถึงแมวขี้อ้อนที่กำลังเหยียดกายรับแดด


ใต้เท้าเถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงหน้าที่มักไร้รอยยิ้มกลับปรากฏแววอ่อนลงเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ยกจอกสุราขึ้นจิบเล็กน้อย พยักหน้าช้า ๆ ราวกับยอมรับบางสิ่งอย่างไม่อาจปฏิเสธ แสงจากโคมไฟด้านหลังของห้องรับรองทอดผ่านม่านบางสาดเงาอ่อนลงบนเสี้ยวหน้าของทั้งสอง บนเวทีเบื้องล่างเสียงพิณเริ่มบรรเลงบทแรกของเรื่องลู่กุ้ยเฟยอย่างแผ่วเบา แต่เบื้องในห้องเล็กแห่งนี้ บทละครอีกบทหนึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้นเงียบ ๆ ระหว่างคนสองคนที่ต่างล่วงผ่านบททดสอบมาหลายฉากแล้วในชีวิตจริง


หลินหยา...ยังคงเป็นหลินหยา และเถียนเฟิง...ก็ยังเป็นเถียนเฟิงคนเดิมที่ไม่มีใครอ่านได้ขาดนัก


ม่านเวทีค่อย ๆ เคลื่อนเปิดออกท่ามกลางเสียงขลุ่ย เสียงพิณ และจังหวะระนาดไม้ไผ่ที่ประสานกันอย่างงดงาม วิถีของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่งในวันนั้นเปี่ยมไปด้วยความหรูหรา สมกับเป็นวันแสดงใหญ่เรื่อง ลู่กุ้ยเฟย จางบุตรสาวคหบดีสู่กุ้ยเฟย เริ่มปฐมบทด้วย ลู่ไป๋หรั่น เทพธิดาจำแลง ที่ดัดแปลงจากพระสนมลู่ ผู้เป็นขวัญใจของราษฎรและเป็นที่โจษจันในราชสำนัก ยิ่งใหญ่จนเหล่าขุนนางบางส่วนยังต้องมาเบียดบังที่นั่งเพื่อดูให้ได้


บนเวที นักแสดงหญิงผู้รับบทลู่กุ้ยเฟยปรากฏตัวในชุดแพรไหมสีชมพูเข้มลายเมฆหมอกปักดิ้นทอง ศีรษะสวมมงกุฎทองประดับพลอยหยก ตัวบทถูกแต่งเติมอย่างมีชั้นเชิง เสริมบทบีบคั้นอารมณ์ของนางในยามยังเป็นนางในยศต่ำที่ถูกกลั่นแกล้ง ก่อให้เกิดฉากดราม่าที่ทั้งเศร้า ดุดัน และน่าหลงใหลในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ลู่ไป๋หรั่นถูกกรอกยาแท้งลูก หรือฉากที่นางถูกขังเดี่ยวจนแทบตายแต่ยังยืนหยัดมองพระจันทร์อย่างเด็ดเดี่ยว ก็ล้วนทำให้ผู้ชมหลายรายในห้องโถงถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


ใต้เท้าเถียนเฟิงนั่งสงบนิ่งด้วยท่วงท่าของคนที่ดูเหมือนจะไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ของเรื่อง แต่ในดวงตาลึกนั้นกลับมีประกายคล้ายความเข้าใจ...หรืออาจจะมากกว่านั้น ริมฝีปากบางขยับเพียงเล็กน้อยตอนบทละครบรรยายถึงคำพูดของฮ่องเต้


แต่ในห้องรับรองพิเศษ…


“Z Z Z  ZZzzzzZZ  Z Z” …มีคนนอนแซ่บ


เถียนเฟิงไม่หันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายทันที เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอคงไม่ได้ฟังอะไรพวกนี้เลย...เพราะหลินหยาตอนนี้กำลังเคี้ยวผลไม้ชิ้นสุดท้ายในจาน ข้างกายคือจอกสุราอีกครึ่งที่หมดไปแล้วหนึ่ง และข้าวอีกสองคำค้างอยู่ในถาด ตอนที่บทโศกแรกจบลงและนักแสดงหยุดพัก เปลี่ยนฉากนั้น หญิงสาวที่นั่งข้างเขา…ก็หลับไปแล้วเรียบร้อย เถียนเฟิงเหลือบตามองนางเงียบ ๆ หลินหยาเอนศีรษะพิงหมอนที่รองไว้ตรงพนักพิง มวยผมสั้นระต้นคอของนางมีปิ่นเล็ก ๆ ปักอยู่ และเมื่อก้มหน้าลงเล็กน้อย ผ้าผืนบางก็เลื่อนลงเล็กน้อยเผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ จากการโบยที่หลังซึ่งยังไม่หายดี แก้มยุ้ยเพราะผลไม้ฉ่ำน้ำ ทำให้หน้าตาของนางตอนหลับนั้นดูเหมือนกระต่ายน้อยที่เผลอหมดแรงกลางทุ่งดอกไม้


คนอย่างเถียนเฟิงไม่ใช่คนที่ชอบหัวเราะ หรือแสดงออกแบบเรียบง่าย เขาทำแค่เพียงยกพัดขนนกขึ้นค่อย ๆ บังแสงจากโคมที่สะท้อนมาให้นางนอนสบายขึ้น ขยับหมอนข้างเล็กน้อยให้หลินหยาพิงได้ดีขึ้น แล้วมองไปยังเวทีเงียบ ๆ เอาความจริงสำหรับเถียนเฟิงเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะพาเธอมาดูการแสดงทั้งหมดหรอก…อาจแค่…อยากให้เธอได้พักบ้างจริง ๆ ในแบบที่ไม่ต้องคอยมองหน้าใคร ไม่ต้องเล่นบทบาท ไม่ต้องเก็บสีหน้า หรือแข็งใจต่อสู้กับใครที่คิดจะเหยียบย่ำเธออีกแล้ว


บทบาทของลู่กุ้ยเฟยดำเนินไปอย่างอลังการ ม่านเวทียังคงเปิด ปิด ดึงอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าช่วงเวลาที่แสนสงบเงียบที่อยู่ข้าง ๆ นั้น อาจเป็นละครอีกบทหนึ่ง…ที่เขาเองก็ดูอยู่เช่นกัน โดยไม่ต้องมีคนแสดงและในตอนนั้นเอง ใต้โต๊ะเล็กที่วางถาดอาหาร เขาเอื้อมปลายนิ้วไปหยิบผลไม้ชิ้นเล็ก ๆ จากจานที่เหลือไว้ แล้ววางใส่จานของตน...ไม่ใช่เพื่อกิน แต่เพื่อเก็บมันไว้…เผื่อหลินหยาจะตื่นมาหิวอีกครั้ง เพราะเธอ...เป็นแบบนั้นเสมอ


หลินหยา…หลับยาวจนม่านเวทีปิดไปสามรอบ นักแสดงคำนับ ภาพนักแสดงฮ่องเต้จูงมือพระสนมลู่ขึ้นครองตำแหน่งกุ้ยเฟย ปรบมือกระหึ่ม กลองเคาะจังหวะอังกะลุงส่งท้ายจบเรื่องไปอย่างสง่างาม เสียงปรบมือทั่วโรงยังไม่เท่าเสียงหายใจฟี้เบา ๆ ของใครบางคนข้าง ๆ ที่เอียงหัวมาพิงไหล่เขาไปตั้งแต่ฉากที่สอง แล้วไม่ขยับอีกเลยจนตอนนี้แทบจะนอนกลิ้งอยู่บนเบาะพิเศษของเขาแล้วด้วยซ้ำ ใต้เท้าเถียนเฟิงกระพริบตาเบา ๆ ขยับพัดลงช้า ๆ อย่างสงบแต่เต็มไปด้วยคำถามในใจ... 


นางเป็นมนุษย์หรือสัตว์ตัวเล็กที่กินอิ่มแล้วสลบกันแน่นะ…


เขานั่งนิ่ง ๆ อยู่พักใหญ่ ไม่ได้ปลุก ไม่ได้เอ่ยอะไร ยิ่งเห็นหลินหยาหลับพิงเขาแบบนี้ ใต้เท้าผู้ไม่เคยให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวง่าย ๆ ยังนั่งเฉยราวกับมีเสาไม้ไผ่เสียบทะลุหลัง นิ่งจนเกินจะเรียกว่าปล่อยตัว ยิ่งตอนที่เธอขยับพลิกตัวในฝันแล้วกระแทกเอาไหล่เขาแรงจนสะเทือนทั้งเบาะ...แต่เถียนเฟิงก็เพียงกะพริบตาช้า ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น


...กระทั่งโรงอุปรากรค่อย ๆ เริ่มเงียบลง แขกเริ่มทยอยลุกออก


ขณะที่ทุกคนรอบข้างทยอยกันกลับ เถียนเฟิงมองหน้าหลินหยาแล้วถอนหายใจเบา ๆ ในใจ แล้วพูดออกมาแบบพึมพำ เพราะแค่นั่งอยู่นิ่ง ๆ ยังเหนื่อยเหลือเกิน


“ขนาดดูละครชีวิตยังหลับ นางคงวางใจเกินไปจริง ๆ หรือตั้งใจใช้ข้าเป็นหมอนพิงกันแน่” เขาวางพัดลง รินชาอุ่นใส่ถ้วยไว้เผื่อนางตื่นจะได้ดื่ม แล้วโน้มตัวลงกระซิบเสียงเบาจนแทบไม่พ้นลมหายใจ “หลินหยา...ขืนเจ้าหลับอยู่ตรงนี้อีก ข้าจะอุ้มเจ้าไปส่งเองจริง ๆ ไม่ใช่ล้อเล่น” ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีปฏิกิริยา…นอกจากเสียงกรนเบา ๆ กับมือที่พยายามจะควานหาอะไรบางอย่างข้างตัวแล้วไปคว้าพัดขนนกของเขาเข้าแทน ก่อนจะกอดมันแน่นแนบอกเหมือนเป็นตุ๊กตานุ่ม ๆ จากบ้านเกิด…


…หลับแซ่บซะด้วย…ไม่ตื่นเลยวุ้ย…


เขาหลุบตามองพัดตัวเองในอ้อมแขนหล่อน...แล้วนิ่งไปอีกพัก ก่อนในที่สุดจะถอนหายใจอีกรอบ ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงปลายนิ้วเกี่ยวพัดออกจากอกเธออย่างแผ่วเบา คราวนี้ไม่ใช่เพราะหวงของ แต่กลัวนางทำพังน่ะสิ..คิดว่าราคามันเท่าไรกัน แล้วในวินาทีต่อมาชายหนุ่มก็อุ้มหลินหยาขึ้นทั้งตัว...เบาเหมือนอุ้มแมวขี้เซาไม่ต่างกันนัก


“คราวหน้า อยากมาหลับ ก็แค่บอกตรง ๆ ไม่ต้องพยายามทำท่าตื่นเต้นกับเรื่องโรงอุปรากรให้เหนื่อยหรอก” เขาพูดกับคนที่หลับคาอกเขาอย่างสงบ ปลายนิ้วเรียวยังคงวางมั่นใต้แผ่นหลังที่มีรอยแผลเบา ๆ ที่ยังไม่หายสนิท ก่อนพาเดินออกจากห้องรับรองไปอย่างไม่รีบร้อน ปล่อยให้ผู้คนในโรงงุนงงว่า...คนที่อุ้มหญิงสาวน่ารักแต่สภาพเหมือนลูกแมวหลับนี้คือใครกันแน่


แต่ทว่า..ก่อนฝ่าเท้าจะก้าวแรก พออุ้มขึ้นยังไม่ทันจะพ้นธรณีห้อง หลินหยาที่ควรจะหลับสนิทตามภาพพจน์ของผู้สลบไสลหลังกินอาหารไปเต็มท้องกลับลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ดวงตากลมปรือแบบลูกแมวเพิ่งโดนลากออกจากตะกร้า เธอเบลออย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าไม่ได้ตกใจอะไรกับการถูกอุ้มขึ้นกลางอากาศเลยแม้แต่น้อย แถมยัง…


"หื้อออ…หาววววว"


เสียงหาวยาวเหยียดดังขึ้นโดยไม่ผ่านการกรองสติ กลิ่นหอมของผลไม้ที่เธอกินไปก่อนหน้านี้ตลบอบอวล ลมหายใจอุ่นฟอดฟาดใส่ตรงหน้าของใต้เท้าเถียนเฟิงเต็ม ๆ พร้อมกับริมฝีปากเล็กนุ่มนั่นเผยอเบา ๆ ขณะหาวส่งตรงเข้าหน้าผู้ควบคุมราชการฝ่ายในของฮั่น…ผู้ไม่เคยแม้แต่จะให้ใครหายใจรดต้นคอมาก่อน…


…กลิ่นลูกท้อ…อ่า…กลิ่นลูกท้อจากปากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เขาอุ้มไว้ในวงแขน กลิ่นหวานอ่อน ๆ ติดปลายจมูกแบบที่ไม่ว่ากี่แผ่นพัดหรือขนนกก็โบกไม่หายง่าย ๆ ขนตายาวของเธอกระพริบช้า ๆ ก่อนจะโฟกัสเข้าที่ใบหน้าของเขา...แล้วหลินหยาก็แค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ สไตล์คนที่รู้ตัวแต่ไม่ยอมสารภาพ


“คิก…อ้าว..ใต้เท้าเถียนเฟิง..” เสียงยังแหบพร่าแบบคนเพิ่งตื่นเต็มที่ "ข้าหลับหรอเจ้าคะ...เอ๊ะ ข้าโดนอุ้ม?" เหมือนจะพึ่งรู้ตัวเพราะใบหน้าของเถียนเฟิงใกล้กว่าที่เคยนางเอียงหัวเบา ๆ เหมือนคนที่พึ่งจะรู้ตัวเหมือนกันนะเนี้ย แต่ไม่มีการเขินอาย วีดว้ายเหมือนเหล่าสตรีที่อยากให้เถียนเฟิงอุ้มจะตายชัก..เขินอายไม่มีเลย..หรือนางไม่ได้มองเขาเป็นบุรุษกันนะ?


"ให้ตายสิ กลิ่นขนสัตว์บนเสื้อท่านมันหอมดีจัง…ข้าฝันว่าได้กินเป็ดปักกิ่งที่ท่านเอามาให้ที่คุกหลวงอีกรอบเลยล่ะเจ้าค่ะ" แล้วหลินหยาก็หัวเราะเบา ๆ เหมือนกำลังเล่นสนุกกับปฏิกิริยาของเขา เถียนเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งไม่รู้ว่าเพราะโดนเปรียบว่าเป็นเป็ดปักกิ่งหรือเพราะใบหน้าใกล้ขนาดที่เห็นขนตานางชัดพอจะนับเส้นได้ แต่มือที่อุ้มก็ไม่ได้ปล่อย กลับกระชับมั่นกว่าเดิมหน่อยด้วยซ้ำ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น


“แม่นางหลินหยา หากคิดจะใช้ข้าเป็นหมอนพิง กรุณาอย่าหาวใส่หน้าเจ้าของหมอน...” เขาเอียงหน้าเล็กน้อย หรี่ตาลงแบบคนที่แยกไม่ออกว่าเขินหรือรำคาญ ก่อนจะพูดต่อเรียบ ๆ “และกรุณาอย่ากล่าวว่ากลิ่นเสื้อข้าคือกลิ่นเป็ดหรือสัตว์อีก...มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนอยู่ในโรงครัวมากกว่านั่งโรงอุปรากร”


หลินหยาหัวเราะคิกในลำคอ สะบัดนิ้วเล็ก ๆ แบบขำขันแล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ก็ท่านเป็นคนซื้อเป็ดปักกิ่งให้ข้านี่เจ้าคะ...ท่านต้องยอมรับชะตาแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เถียนเฟิงกลอกตาเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ แต่ยังคงอุ้มนางไว้ไม่ต่างจากเดิม “หึ...คราวหน้าข้าจะซื้อเต้าหู้ให้แทน” นางทำหน้าตื่นตกใจทันที "บาปกรรมนะเจ้าคะ! ข้าจะตายเอานะ! ท่านเล่นอะไรเนี้ย" แล้วนางก็เริ่มดิ้นเบา ๆ ในอ้อมแขนเขา ใต้เท้าเถียนเฟิงถึงกับถอนหายใจในใจ นางตื่นแล้วยังวุ่นวายได้ขนาดนี้ หากไม่ตื่นจะไม่ขวิดข้าตายหรือไร


“เงียบ ๆ แล้วกลับบ้านไปอาบน้ำเสีย...กลิ่นผลไม้ติดหน้าเจ้ายังมากพอจะล่อแมลงทั้งสวน” เถียนเฟิงพูดแบบเหนื่อยใจ..เป็นการมาดูการแสดงที่น่าจะเหนื่อยใจที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว ส่วนหลินหยาพอได้ยินแบบนั้นก็หน้ายู่ทันที


“ข้าไม่ได้เหม็นนะ!” หลินหยาเถียงในอ้อมแขนดิ้นหน่อย ๆ แต่ไม่แรงเพราะเดี๋ยวกระทบแผลบนหลัง “ข้าหอม!”


“ข้ารู้แล้ว...” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนเบือนหน้าหนีเล็กน้อย “...ข้ารู้ดี” ...และมือเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยจากร่างของนางเลยด้วยซ้ำเขาอาจจะตั้งใจให้มันเป็นการอุ้มที่กินเวลานานกว่าความจำเป็นเล็กน้อยก็ได้ ใต้เท้าเถียนเฟิงที่ยังอุ้มหลินหยาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยืนสงบเสงี่ยมอย่างคนใจเย็นแต่ซ่อนไว้ด้วยเสี้ยวบางของความดื้อเงียบ คล้ายว่ากำลังคำนวณท่าทีหรือเพียงแค่รอให้เธอฟื้นเต็มตาก่อนไม่แน่ใจนัก เพราะเจ้าตัวหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนกลับเป็นฝ่ายหรี่ตามองเขาก่อนทันทีอย่างรู้ทันว่าตอนนี้มันมีคนบางคนแอบเนียนใส่เธออยู่..


"เมื่อไรจะปล่อยอ่ะเจ้าคะ??" น้ำเสียงนั่นขุ่นแบบงอน ๆ "ท่าน..อย่ามาทำตัวเป็นพระเอกละครที่ปล่อยทิ้งดื้อ ๆ แล้วตกนะลงพื้นหลังดังแอ๊คคคนะเจ้าคะ ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะว่า...ข้าโดนโบยมา 30 ไม้เชียวนะ! แผลยังไม่หายดี ถ้าท่านปล่อยข้าทิ้งกลางทางละก็…ข้าจะโกรธจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ"


ใต้เท้าเถียนเฟิงเลิกคิ้วนิดเดียวสายตาเรียบนิ่งปรือลงมองนาง "อืม..." เขารับคำเบา ๆ เหมือนใช้เวลาทบทวน แล้วเอ่ยเรียบ ๆ ในแบบของคนที่เอาเหตุผลมาร้อยเป็นเกราะชั้นดี "แสดงว่าแม่นางหลินหยายังพอมีเรี่ยวแรงจะเถียง...เช่นนั้นข้าควรปล่อยหรือยัง?" หลินหยาทำหน้าตาไม่พอใจเหมือนลูกแมวที่โดนดุตอนที่ได้ยินแบบนั้น “เอ๊ะ..ท่านนี้ อย่ามาย้อนข้านะเจ้าคะ..ข้าไม่ได้เถียงเจ้าค่ะ ข้าแค่เตือนท่านด้วยความหวังดี!” 


เถียนเฟิงกลั้นหัวเราะไว้อย่างแนบเนียน ก่อนตอบกลับราบเรียบอีกครั้ง "เช่นนั้นข้าจะไม่ปล่อย...แต่จะวางเจ้าไว้กับที่อย่างอ่อนโยนไม่ตก ไม่เจ็บ และไม่เหมือนในละครเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เจ้าบอก" ว่าแล้วก็ก้าวเดินต่ออย่างมั่นคงไม่มีท่าทีจะหยุด หรือแม้แต่วางเธอลงทันทีตามคำขอด้วยซ้ำ


“เดี๋ยวก่อน ๆ” หลินหยาท้วง “ท่านพูดเหมือนจะอุ้มข้าต่อไปอีกสักพักเลยนะ ใต้เท้าเถียนเฟิง! เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดทำไงเจ้าคะ..ปล่อยเลยยย!” เถียนเฟิงปรายตามองอย่างเนิบช้า “เข้าใจผิดก็ปล่อยให้เขาเข้าใจไป...ข้ากลับคิดว่าความเข้าใจผิดบางอย่าง ก็น่าให้อภัยอยู่”


หลินหยาชะงักกึกไปกับถ้อยคำตรง ๆ นั่น ดวงตากลมโตเบิกเล็กน้อย แล้วรีบหลุบสายตาลง กระซิบเบา ๆ “ท่านพูดอะไรเนี้ยเจ้าคะ ข้าขนลุกอีกแล้วนะ…” หลินหยาเอ่ยบอกพลางเหมือนจะสงสัยกับการกระทำตอนนี้นิดหน่อย..อืม..เอาตรง ๆ ถ้าไม่นับตอนสลบนี้น่าจะเป็นครั้งที่สองที่นางใกล้ชิดผู้ชายขนาดนี้..ใช่ ๆ ครั้งแรกคือชกจางกงกงหน้าหงายไง..เพราะตอนนั้นนั่งคร่อมอีกคนไปเต็ม ๆ 


… ส่วนเถียนเฟิงน่ะหรอ เขาตอบต่อเลย “ข้าก็แค่เตือนด้วยความหวังดี” เถียนเฟิงย้อนเสียงราบเรียบแบบไม่ให้หล่อนมีทางโต้ทัน จนกระทั่งหลินหยาเบะปากระบายยิ้มอย่างจนใจในแบบที่คนแพ้ทั้งที่ยังอยากเถียงต่อ เถียนเฟิงที่ยังคงอุ้มหลินหยาอยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่เร่งร้อน ฟังเสียงบ่นและการระบายของอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ ราวกับเป็นเสียงลมหายใจประจำวันของเขาแล้วในตอนนี้...น้ำเสียงของนางนั้นเหมือนจะไม่คิดอะไรมากนัก แต่ถ้อยคำกลับก่อคลื่นกระเพื่อมในใจผู้ฟังได้ไม่ยาก


“โหยยย ท่าน..พอเถอะน่า ปล่อยเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่นะ!” หลินหยายู่หน้า ตวัดตาดุใส่พลางพูดเรื่อยเปื่อยแต่ดวงตาแอบกระวนกระวายแบบคนที่ไม่ได้แคร์...แต่ก็แอบแคร์ “รู้ไหมเจ้าคะ เมื่อเช้านี้ข้าเดินผ่านตลาดน่ะ ได้ยินแม่ค้าปากตลาดพูดกันเสียงดังเลยเจ้าค่ะ เรื่องที่หวยหนานอ๋องมารับโทษโบยแทนสาวชาวบ้านกึ่งหนึ่ง! คนเขาพูดกันเต็มไปหมดว่าคงจะมีข่าวดีเรื่องพระชายาหวยหนานหวางคนใหม่” ดวงตาคู่นั้นเหลือบขึ้นมองเถียนเฟิงนิด ๆ "แล้วก็ท่านหลิวอันเขาก็ม่ายมาหลายปีแล้วด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะข่าวลือพวกนั้นมันวุ่นวายจะตายชัก โอ้ยยยย" เธอพูดแล้วหันหน้าออก ทำหน้ายู่ใส่ลม


“ทั้งที่ข้าสนิทกับท่านหลิวอันเพราะคิดว่าเขาเป็นแค่พ่อค้าเต้าหู้นะ! แล้วก็สนิทกับลูกสาวของเขา หรงเล่อ ด้วย...เราเป็นเพื่อนกันเจ้าค่ะ เพื่อนสนิทด้วย! แต่ตอนนี้คนอื่นคิดแล้วก็กลายเป็นอะไรไปหมดก็ไม่รู้แล้วอ่ะ ข่าวลือไฟลามทุ่งชัด ๆ เลย”


เถียนเฟิงที่ฟังอยู่เงียบ ๆ ไม่ขัดจังหวะ แต่ในดวงตาเรียบนิ่งกลับสะท้อนความคิดวูบไหว ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น อ๋องหลิวอัน กับ ธิดาหวยหนานอ๋อง หรงเล่อ ก็ยิ่งชัดว่าเขารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เพราะบังเอิญได้ยิน แต่เพราะสายข่าวของเขาทำงานละเอียดทุกวินาที เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก นอกจากเสียงตอบรับที่ราบเรียบจนยากจะเดาความรู้สึก “ข้ารู้” แค่นั้น…


หลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา ทำน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “รู้? ท่านรู้เรื่องอะไรเจ้าคะ?..โหขี้ปากขนาดนั้นก็ต้องรู้สิเจ้าคะ”


เถียนเฟิงหยุดเดินชั่วขณะก่อนจะตอบเสียงเบา “ข้ารู้ว่าหวยหนานอ๋องยอมรับโทษแทนเจ้า…รู้ว่าเขามีบุตรสาวชื่อหรงเล่อ…รู้ว่าเจ้าไม่รู้ว่าเขาคือใครตอนแรก และรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังรู้สึกซับซ้อนมาก”


หลินหยาตาโตอึ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดตามความรู้สึกของตัวเอง นี้เธอโดนตามติดปะเนี้ย เฮ้ยย ทำไมอีตาหมอนี้มันน่ากลัวจังเลยหรือมันแค่ฉลาดเฉย ๆ กันแน่นะ? “ท่านนี่มัน…!! ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าท่านน่ะน่ากลัวเจ้าค่ะ ฉลาดจนน่ากลัวเลยอ่ะ!”


“ข้าแค่ระวังเจ้า” เขาตอบเรียบง่าย “โลกนี้ไม่ใจดีนัก เจ้าเองก็รู้ดี ข้าไม่อยากเห็นเจ้าถูกลากกลับไปในเงาต่อหน้าต่อตาอีก” หลินหยาชะงักไป...จู่ ๆ คำพูดนั้นมันทำให้หัวใจเธอเต้นช้าลง เหมือนเธอรู้ว่านี่คือคนที่เฝ้ามองอยู่จากระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล มาตลอด แต่เธอก็ยังฝืนพูดต่อแบบคนไม่ยอมแพ้แบบวกเข้าเรื่องประมาณว่าฉันรู้นะว่าแกเนียนอุ้มฉันนานเกินไปแล้ว “งั้นท่านจะวางข้าลงหรือยังเจ้าคะ ข้าเดินเองได้แล้วนะ”


เถียนเฟิงไม่ตอบในทันที แต่มุมปากขยับขึ้นนิดหนึ่ง “เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าเป็นพระเอกหนังที่ปล่อยคนกลางอากาศ?” ส่วนหลินหยาก็แทบจะกรอกตา อีตานี้มันกวนตีนเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ เว้ย “…แน่ใจสิเจ้าคะ ข้าไม่ใช่นางเอกนะเว้ย” หลินหยาตอบกลับด้วยท่าทางที่พยายามจะเกรี้ยวกราดมีคำว่าเว้ยด้วยแบบตัวเองก็เผลอติดออกมา..แต่ดูยังไงก็เหมือนแมวขู่เสียมากกว่า


และในที่สุด ใต้เท้าเถียนเฟิงก็ยอมวางเธอลงอย่างอ่อนโยน ราวกับคำสัญญาที่ให้ไว้ แต่ก่อนปล่อยมือจากแผ่นหลังนั้น เขาก็พูดขึ้นเสียงเบา...เบาจนเธอได้ยินแค่คนเดียว “ข้าระวังเจ้าทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้า...แล้วเจ้าเรียกมันว่าอะไรนะ? ห่วงใยหรือว่าวุ่นวายดี” พอได้ยินแบบนั้นหลินหยาเงยหน้าขึ้นมองเขาตอนนี้เท้าถึงพื้นเอง


ดวงตาเธออ่อนลงเล็กน้อยแต่ยังเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้มากนักสายตากลมโตของนางหรี่เรียว ๆ ของหญิงสาวจ้องขึ้นมาพร้อมคำถามเสียงแข็งอย่างจับผิด  "ท่านไม่ได้คิดจะใช้งานข้าใช่ไหมเจ้าคะ?" ประโยคนั้นมาพร้อมท่าทางกอดอก หน้างอแบบเต็มขั้น จนดูแล้วคล้ายแมวที่เพิ่งถูกแย่งขนมมากกว่าแม่นางผู้เพิ่งออกจากคุกหลวง "ข้าบอกก่อนเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่รับทำงานแล้วตอนนี้ ท่านหมอบอกว่าให้พักผ่อนนะ.. งานรายวันก็ไม่ได้ทำไม่งั้นจะตายก่อน ที่หอว่านหงเหรินก็ไม่ได้กลับไปอีกมีประเด็นกับเจ้าของ!" คำว่า มีประเด็น ถูกเน้นเสียงเป็นพิเศษจนดูมีน้ำหนักมากพอจะทำให้ยอดเสนาบดีส่ายหน้าให้เงียบ ๆ


เถียนเฟิงมองนางนิ่ง ก่อนจะขยับมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มบางเฉียบที่แทบไม่ปรากฏ แต่ก็พอจะเห็นได้หากมองใกล้พอ “แม่นางหลิน ข้าพาเจ้ามาดูอุปรากร ไม่ใช่มาจ้างงาน ข้าก็แค่สงสารแมวน้อยที่ไม่มีใครรับฝากไว้ เลยพาออกมาหาความสุขนอกกรงเท่านั้น” เขาตอบเรียบแต่มีน้ำเสียงเหมือนกลั้นหัวเราะไว้


“แมวน้อยบ้านท่านสิเจ้าคะ” หลินหยาเบ้ปากทันที ก่อนจะทิ้งน้ำเสียงงอแงลงกลายเป็นนุ่มนวลขึ้นทีละนิด “แต่ขอบคุณนะที่พามา ข้ารู้สึกผ่อนคลายสุด ๆ เลยล่ะ อิ่มท้องด้วย” เธอยิ้มให้อย่างจริงใจเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับเด็กสาวที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับไม้ขลุ่ยหนึ่งอันและความฝันในมือทั้งสองข้าง ไม่ใช่หญิงสาวที่เคยผ่านความเจ็บช้ำในคุกหลวงมาก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน


เถียนเฟิงเพียงพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดสิ่งใดต่อในทันที “ถ้าเจ้าหายดีแล้ว ก็อย่าลืมหาความสุขแบบนี้ด้วยตัวเองบ้าง” เขาทิ้งท้ายเสียงเรียบ ก่อนจะเดินช้า ๆ เคียงข้างเธอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางแดดบ่ายของฉางอันที่ยังคงเจิดจ้า และตอนนี้ที่โรงอุปรากรแห่งนี้ก็มีคนที่ชอบโวยวายเหมือนแมว..จากที่เคยจะพามาดูการแสดง กลายเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ปลดหัวใจจ้าาาาา


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-08] เถียน เฟิง

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

(ใส่ไว้เฉยๆ มันติด)


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-08] เถียน เฟิง เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-1 01:41
โพสต์ 134409 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 01:05
โพสต์ 134,409 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-1 01:05
โพสต์ 134,409 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-1 01:05
โพสต์ 134,409 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-1 01:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-2 18:44:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 02 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 18.00 น. ณ ถนนสิบลี้ โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง


ยามโหย่วล้วงเข้ามาแล้วแสงตะวันยามเย็นทอดผ่านซุ้มประตูไม้เก่าแก่ของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง ลำแสงอุ่นไล้ขอบกระเบื้องมุงหลังคาสีเขียวแก่สะท้อนเป็นเงาทอง ด้านหน้าทางเข้ามีแผงขายผลไม้หวานวางเรียงราย กลิ่นผลท้อหมักน้ำผึ้งลอยฟุ้งละมุน หลินหยาสวมชุดสีชมพูอ่อนผูกผ้าเอวแบบง่าย ๆ ยืนยิ้มพลางตะครุบพวงองุ่นสุกบนแผงมาเชยชม ทว่าเมื่อเหลือบสายตาไปด้านหนึ่ง ดวงตากลมหวานก็ทอแสงระยิบอย่างดีใจ ร่างสูงเพรียวงามละมุนในชุดผ้าไหมสีเทาเงินคล้ายม่านหมอกยามเช้า กำลังเดินผ่านมาท่ามกลางผู้คน รอยยิ้มเบาบางบนเรียวปากนั้น...ต่อให้ผ่านไปกี่เดือน หลินหยาก็ไม่มีวันลืมได้


"พี่ฉู่!" เสียงเจื้อยแจ้วเรียกขึ้นพร้อมมือเล็กที่โบกไปมาแรงจนแขนเสื้อปลิวตามแรงลม สาวน้อยแห่งผานอวี้ก้าวพรวดเข้าไปใกล้อย่างไม่ถือตัว ดวงตากลมโตเปล่งประกายยินดี "ไม่ได้พบกันนานเลย! ข้ายังแอบนึกว่าพี่ฉู่จะหนีข้าไปอยู่ในถ้ำลับของเซียนซะแล้วเสียอีกเจ้าค่ะ"


เซียนกระบี่ผลิวสันต์หันมามองต้นเสียง ใบหน้าอันสงบเรียบนั้นแย้มยิ้มเล็กน้อยในแบบที่หาได้ยากยิ่งในยุทธภพ "แม่นางน้อย..." เสียงเอื้อนเอ่ยนั้นอ่อนโยนดุจลมวสันต์ "ช่วงนี้ข้าออกเดินทาง รับภารกิจปราบปีศาจทางเทือกเขาฉินหลิง แล้วก็เก็บวัตถุดิบมาขายที่ตลาดเลยไม่ได้แวะไปช่วยท่านหมอเสียหลายวัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่คิดถึงข้ามากนักนะ"


"ฮึ่ม ข้าเกือบจะคิดว่าพี่ฉู่ลืมแม่นางน้อยผู้นี้เสียแล้วล่ะสิเจ้าคะ" หลินหยาแกล้งเบ้ปาก แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมดวงหน้าเปื้อนยิ้มจริงใจ มือหนึ่งยังถือองุ่นไว้ อีกมือก็ยื่นมาเหมือนจะดึงแขนอีกฝ่าย "แต่ไม่เป็นไร เท่านชอบมานั่งฟังอุปรากรที่นี่หรือเจ้าคะ??”


แววตาของเซียนกระบี่งามคู่นั้นทอดมองสาวน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดูที่ไม่เจือความห่างเหิน นางพยักหน้าเบา ๆ "แน่นอน...เจ้ามาดูด้วยกันไหม? ข้าย่อมยินดี หากได้มีแม่นางน้อยนั่งเคียงข้าง เสียงขลุ่ยจะยิ่งไพเราะขึ้นอีกเท่าตัว" หลินหยาแกล้งยิ้มพอง ๆ แล้วหัวเราะเสียงใส "พี่ฉู่ชมข้าอีกแล้ว เดี๋ยวข้าก็ลอยตามลมไปจริง ๆ หรอก" ตอบพลางเอียงหน้าหันไปมองเวทีโรงอุปรากรที่ยังไม่เปิดม่าน เสียงซ้อมเครื่องดนตรีแว่วคลอเบา ๆ พร้อมกลิ่นธูปหอมและชาสมุนไพรที่ลอยจากโรงน้ำชาใกล้กัน


ริมฝีปากเล็กขยับยิ้มมุมหนึ่งราวจะกลั้นหัวเราะ นางหันกลับไปทางพี่ฉู่อีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายคล้ายจะเกเรนิด ๆ "เอ...ไม่ดีกว่าล่ะพี่ฉู่ ข้าไม่ดูดีกว่าเข้าค่ะ นั่งดูทีไรหลับทุกที เสียงเอ้อเอิ้งเขาน่ะไพเราะจนเหมือนคาถากล่อมนอน ข้าคงไม่คุ้มหรอกดูไปเดี๋ยวก็งีบหลับน้ำลายไหล เสียภาพพจน์หมดเจ้าค่ะ ข้ายิ่งไม่ค่อยจะมีภาพพจน์ดีเสียด้วยสิ" แล้วนางก็หัวเราะคิกคักพลางล้วงจากแขนเสื้อหยิบไหสุราขนาดย่อมออกมาฝาไม้สนฝนเรียบ ข้างไหผูกด้ายแดงแน่นหนา และผ้าแพรห่อปากไหเป็นสีแดงแก่แบบสุรานารีแดงที่ขึ้นชื่อในหมู่ชาวเมือง


"ที่จริงข้าแวะมาหาพี่ฉู่ต่างหาก เห็นพี่ผ่านมาพอดีก็เลยเรียกไว้ นี่ของฝากข้าเองเจ้าค่ะ!" หลินหยายื่นไหสุราขึ้นไปต่อหน้าอีกฝ่าย "สุรานารีแดง หนึ่งไห! ได้มาจากบ้าน เขาเอามาให้ทีเดียวหลายไหจนข้าคิดว่าคงไม่มีทางกินหมดในปีนี้แน่ ๆ ก็เลยแบ่งมาบ้าง เอาไว้ให้พี่ฉู่กินตอนไปทำงานหรือตอนพักก็ได้ หอมมาก รสดีด้วยนะ แต่ข้าจะบอกไว้ว่ามันแรงเหมือนใจคนเมา"


เซียนกระบี่ผลิวสันต์รับไหสุรานั้นมาอย่างนุ่มนวล สัมผัสเย็นจากผิวไหยังไม่ทันหาย ความเงียบงันอ่อนโยนก็คล้ายจะแทรกเข้ามาระหว่างทั้งสอง “ขอบใจ...แม่นางน้อย” นางกล่าวเพียงเท่านั้น ดวงตาคู่งามทอดมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง “เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ...” เสียงนั้นเบาราวหยาดฝน “ให้โดยไม่เคยถามว่าจะได้อะไรตอบแทน”



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-17] ฉู่ ซ่วนจื่อ

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

มอบ สุรานารีแดง สุราเกรดแดง ความสัมพันธ์ +25

(โอนแล้วจ้าาา)


แสดงความคิดเห็น

ความสัมพันธ์กับ ฉู่ ซ่วนจื่อ ถึงหัวใจตันแล้ว  โพสต์ 2025-7-2 18:57
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-17] ฉู่ ซ่วนจื่อ เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-7-2 18:56
โพสต์ 21239 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 18:44
โพสต์ 21,239 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-2 18:44
โพสต์ 21,239 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-2 18:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-3 22:32:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-3 23:19


วันที่ 03 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 22.00 น. ณ ถนนสิบลี้ หน้าโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง (พบ โจว จิน)


ยามไห่ ขณะจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางฟ้า สะเก็ดแสงเย็นจางสาดผ่านผนังไม้ของโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่งที่เพิ่งปิดม่านลงได้ไม่นาน ถนนสิบลี้เบื้องหน้าโรงอุปรากรค่อย ๆ คลายความวุ่นวาย เหล่าผู้คนที่แห่กันเข้าชมต่างทยอยแยกย้ายกลับ เหลือเพียงแสงโคมข้างทางที่ไหวระริกตามสายลมยามค่ำ และเสียงเกี๊ยะกระทบพื้นหินเงียบ ๆ เป็นระยะ หลินหยาค่อย ๆ เดินผ่านผู้คนไปเงียบ ๆ ผ้าคลุมบางเฉียบแนบติดแผ่นหลังแม้แห้งแล้วจากฝนยามพลบค่ำ หากเส้นผมยังคงเปียกชื้นเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นผสมกลิ่นฝนติดปลายจมูก เธอไม่ได้สวมชุดที่โดนฝนแล้วเพราะเปลี่ยนตอนอยู่ศาลาจื่อเถิงฮวา


นางเพียงคิดจะรีบเดินกลับไปยังเรือนหลังเล็กของท่านอ๋องหลิวอันอย่างเงียบ ๆ เพราะคิดว่าหรงเล่อคงรออยู่แล้ว หากแต่โลกไม่ให้เรื่องง่ายขนาดนั้น…


พลั่ก…!! เอ๊อะ..??


จังหวะที่หลินหยาเอี้ยวตัวเลี่ยงคนข้างหน้า กลับชนเข้ากับร่างชายผู้หนึ่งเต็มแรงจนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไหล่เล็กกระทบกับอกเสื้อของอีกฝ่ายจนกลิ่นหอมของผ้าแพรและกลิ่นไม้กฤษณาระเหยอ่อน ๆ ลอยเข้าจมูก "โอ๊ย!!" หลินหยาหลุดเสียงเบาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า บุรุษในชุดผ้าไหมดำขลิบทอง รูปโฉมสะอาดสะอ้าน หน้าตาดูสุขุมเรียบเย็นแต่มีรังสีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกว่า...ควรเจรจากับเขาด้วยความระวัง ราวกับรอยยิ้มสุภาพที่เขาแต้มบนริมฝีปากบางนั้นไม่เคยบอกเล่าความจริง


เขาคือ โจวจิน (แน่นอนว่าหลินหยาไม่รู้จัก) พ่อค้านักเจรจาผู้เป็นที่รู้จักในฉางอันและแวดวงปีศาจน้อยใหญ่ ชายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความประนีประนอมในน้ำเสียง แต่ลึก ๆ แล้วไม่มีใครได้เปรียบเขาจริงด้านข้างมีไก่ดำตัวเบ้อเริ่มขนเงาวาวราวกระจก เดินตามหลังเจ้าของอย่างเชิดหน้าขึงอก ดวงตากลมขุ่นจ้องนางราวกับจะกล่าวว่า 'เจ้าเดินชนใครกัน? รู้หรือไม่ว่านี่คือเจ้านายข้า!'


“โอ...ขออภัยเถิดขอรับแม่นาง...มิทราบว่าท่านเดินคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ถึงได้หลงทางมาชนคนออกมาจากโรงอุปรากรเช่นข้า?” เสียงชายหนุ่มทุ้มต่ำเจือเย้าหยอก หากแต่ไม่หยิ่งยโส แม้จะตั้งใจให้ดูสุภาพ ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับมีแววคำนวณที่หลินหยารู้สึกได้แทบจะทันที


หลินหยาชะงักไปครู่หนึ่ง หางตากระตุกเมื่อเห็นเจ้าไก่ดำที่ยืนทำหน้าเหมือนขุนศึกใส่เธอ “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ…ข้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง” เธอกล่าวเรียบ ๆ พร้อมก้มศีรษะน้อย ๆ ตามมารยาท ดวงตาเฉี่ยวของนางยังมีแววระแวดระวัง ไม่ใช่จากบุรุษตรงหน้า...แต่จากเจ้าไก่ต่างหาก 


โจวจินมองหญิงสาวตรงหน้าแวบหนึ่ง แววตาเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความงามของนางเพราะเขาเจอคนงามกว่านางมาเยอะ แต่เป็นเพราะท่าทีของนางไม่คล้ายสาวชาวบ้านธรรมดา แม้เสื้อผ้าจะไม่ประดับหรูหรา แต่สัมผัสแรกคือ...คนมีชั้นเชิง เขากวาดตามองตั้งแต่เส้นผมที่เปียกชื้นเรื่อ ๆ ไล่ลงถึงปลายแขนเสื้อที่ยังอับกลิ่นฝน ก่อนจะยิ้มบางคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนฝนรอบนอกจะหนักใช่เล่น” ชายหนุ่มกล่าวพลางเอียงหน้าเล็กน้อย “หากแม่นางยังมิได้ที่พัก ข้ารู้จักร้านน้ำชาดี ๆ ไม่ไกลจากนี่นัก เจ้าของร้านมักมีขนมใหม่อยู่เสมอ อุ่นพอจะไล่ความชื้นจากร่างกายได้ดีทีเดียว” น้ำเสียงนั้นเจือมิตรไมตรีจนอาจลวงใจคนพเนจรให้วางใจได้ไม่ยาก แต่หากใครคุ้นคำเล่าลือของโจวจินย่อมรู้ดีว่า...ไม่มีคำว่า 'ฟรี' ในพจนานุกรมของเขา


แต่หลินหยาเมินคำชวนไปกินน้ำชาที่ไม่เหมือนจีบ เหมือนจะโดนจับไปขายตรงมากกว่า “อืม..ในฉางอันไม่ตกนี่นะเจ้าคะ…” หลินหยาว่าพลางยกมือเสยเส้นผมที่ยังชื้นไล้ปลายใบหูขึ้นอย่างลวก ๆ ชายเสื้อนอกแนบติดลำตัวบ่งบอกว่าคงเพิ่งเปลี่ยนมาไม่นาน กลิ่นฝนจาง ๆ ยังติดอยู่ตามรอยพับเล็ก ๆ ตรงคอเสื้อ นางยิ้มแห้ง มุมปากโค้งขึ้นนิดเดียวพอให้พ้นความเสียมารยาท “...ข้าขออภัยที่ชนท่านชาย” โจวจินเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนุ่มเย็นปนล้าเอ่ยแทรกขึ้น ท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ความร้อนรนของคนที่รู้สึกผิดจริง หากแต่ดูคล้ายกับคนที่เจอเรื่องมาเยอะเกินจะไม่อยากมีเรื่องอีกสักรายเสียมากกว่า


นางลดสายตาลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อมแต่แค่นั้นก็พอให้เห็นเจ้าไก่ตัวนั้น ไก่ดำอหังการผู้ยืนข้างโจวจินเหมือนองค์รักษ์ประจำตัว กลีบหงอนเชิดขึ้นอย่างโอหัง ดวงตาเล็กกลมขึงจ้องนางอย่างกับมันเข้าใจว่าเพียงเพราะนางเป็นหญิงสาวเปียกฝนผู้หลงทางจึงไม่มีสิทธิ์เดินชนเจ้านายผู้สูงศักดิ์ของมัน


หลินหยาชะงักมองมันเพียงแวบเดียวแวบเดียวจริง ๆ แต่พอเห็นเจ้าสัตว์ขนเงาวาวทำท่าเหมือนจะเปิดปากพูดอะไร เธอกลับเปลี่ยนจากรอยยิ้มอ่อนหวานเป็น สายตาเฉียบคมแบบแม่ครัวที่เพิ่งวางมีดสับกระดูกลงแล้วพูดว่า ‘อยากเป็นไก่ขอทานไหมล่ะเจ้าน่ะ’ ทันที ไม่ต้องพูดออกเสียงก็สื่อได้ชัดเจนว่าถ้าเจ้าไก่ยังปากดีอีกคำเดียว…คืนนี้ได้ลงหม้อแน่แก่ไอ้ไก่อ้วน


ทว่าเพียงชั่ววูบเดียวที่สายตานั้นพาดผ่าน เฮยจีชะงัก...แล้วถอยหลังกรุบ ๆ หนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ก่อนจะทำเป็นจัดระเบียบขนใต้ปีก พลางบิดคอหลบเหมือนว่า ‘ข้าไม่ได้จะพูดอะไรนะ...ไม่รู้ไม่ชี้ไม่เกี่ยวไม่สน’ โจวจินที่ยืนพินิจอยู่ข้าง ๆ เห็นทั้งหมดพอดี ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอีกครั้ง ครั้งนี้คือยิ้มจริง ไม่ใช่รอยยิ้มทางการค้าทั่วไป หากแต่เป็นรอยยิ้มของชายที่พบของแปลกซึ่งน่าทดลองเล่นด้วยสักระยะ “แม่นางดูจะสนิทกับไก่เป็นพิเศษ” เขาว่าราบเรียบ ท่าทางสุภาพแต่เสียงเจือกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เฮยจีมักไม่ลงรอยกับคนแปลกหน้า แต่ดูท่าจะแพ้สายตาของท่านกระมัง...”


เฮยจีส่งเสียง “กุ๊ก... เบา ๆ เหมือนจะประท้วงว่า ข้าเปล่านะ! ข้าแค่ไม่อยากเปียกน้ำแบบสตรีที่มองข้าเหมือนจะเอาไปทำเป็นไก่ทอดผู้พัน


หลินหยาขยับตัวนิด ๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย แต่หากฟังจากน้ำเสียงแล้วกลับเหมือนจะซ่อนเข็มยาวไว้ในปลายประโยค “ท่านชายอาจเข้าใจผิด...ข้ามิได้สนิทกับไก่เจ้าค่ะ เพียงแต่อาหารที่เดินได้ก็ทำให้ข้านึกถึงตอนหิวก็เท่านั้นว่าควรทำเมนูอะไรดี” นางปรายตามองเฮยจีแวบหนึ่ง แวบเดียวจริง ๆ และเจ้าไก่ก็ตัวแข็งทื่อไปอีกครั้ง


โจวจินหัวเราะเบา ๆ จนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไหวตามแรงลมที่พัดผ่านกล่าวอย่างเรียบเย็นแต่ทุ้มลึกเจือความสนุกในน้ำเสียง “ข้าเริ่มสนใจแม่นางแล้วสิ หากคืนนี้ไม่รีบร้อนกลับบ้าน...สนใจเดินคุยเล่นกันสักครู่หรือไม่? ข้าขอสาบานในนาม ‘พ่อค้าที่รักคุณธรรม’ ว่าจะไม่ขโมยแม่นางไปขายที่ไหนแน่นอน”


หลินหยาขมวดคิ้ว แต่กลับกลั้นหัวเราะไว้ได้เพียงเสี้ยววินาที เพราะประโยค ‘พ่อค้าที่รักคุณธรรม’ นั้นฟังดูเสียดแทงกว่าเสียงเขียงสับ นางยังไม่ได้ตอบทันที เพียงปรายตามองเจ้าเฮยจี แล้วเลิกคิ้วเบา ๆ เหมือนไม่ได้สนใจคนแต่สนใจไก่มากกว่า เฮยจีเบือนหน้าหนีอย่างเชื่องช้า พร้อมขยับปีกเหมือนจะพึมพำในใจว่า เอาอีกแล้ว…วันนี้ข้าขอแค่รอดชีวิตก็พอ


หลินหยามองรอยยิ้มเจือความหยอกล้อของอีกฝ่ายสลับกับเจ้าไก่ที่ยังคงยืนพองขนอยู่ข้างเท้าโจวจิน ใบหน้าเธอยังคงเปื้อนยิ้มบาง ดูสุภาพ เรียบร้อย หากแต่ชัดเจนว่าเป็นรอยยิ้ม ‘ฉันไม่เล่นด้วยนะ’ มากกว่าจะเป็นความยินดีใด ๆ "ขะ...ขอบคุณท่านชายที่กรุณาเจ้าค่ะ" นางเอ่ยเสียงหวานหากเจือแววลน ๆ ใต้สำเนียงที่พยายามควบคุมให้เรียบร้อย “แต่ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าต้องรีบกลับ มีคนรออยู่” คำพูดยังไม่จบดี นางก็ช้อนกระโปรงเบา ๆ หันหลังกลับทันที


แล้ว ฟิ๊ววววววววววว!


เสียงฝีเท้าสาวเร็วติดพื้นหินดังกระทบเป็นจังหวะระห่ำพร้อมกับร่างบางที่หายวับราวสายลมพัด หลินหยา...เดอะแฟลชแห่งฉางอัน ผู้ไม่ต้องร่ายมนต์ก็สามารถหายวับจากสายตาพ่อค้ามหาเจ้าเล่ห์ได้ในพริบตาเดียว ไม่แม้แต่จะให้โอกาสโจวจินเอ่ยคำว่า ‘ว่าไงนะ?’ ด้วยซ้ำ นางไม่ได้วิ่งแบบวิ่งธรรมดา นางวิ่งแบบ กูไม่อยู่ล่ะจ้าาาาาา’ พุ่งตัวออกไปกลางถนนสิบลี้ด้วยความเร็ว


ชายหนุ่มกะพริบตาเบา ๆ หนึ่งที ก่อนจะหัวเราะในลำคอ "หึ..." รอยยิ้มตรงมุมปากกลับค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้นเล็กน้อย คล้ายสนุกเสียเต็มประดา "น่าสนใจเสียจริง..." เขากระซิบพลางหันไปมองเจ้าไก่ดำที่ยืนเหวอไม่แพ้เขา เฮยจีในตอนนี้ขยับคอหงอนงึก ๆ อย่างกับจะถามว่า 'เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ?' ก่อนจะส่งเสียง "กุ๊กกู๋..." ยาว ๆ เหมือนถอนหายใจว่าตัวเองน่าจะรอดจากการโดนโยนลงหม้อต้ม


โจวจินเพียงยืนมองเงาของหญิงสาวที่หายลับไปกับทางโค้งเบื้องหน้า “สาวน้อยคนนั้น...น่าจะยังไม่รู้ว่าคนที่ชนข้ากลางถนนในค่ำคืนส่วนใหญ่แล้ว...มักได้ลงชื่อไว้ในบัญชีหนี้สินของข้าเสมอ” เสียงเขาราบเรียบแต่แฝงความหมาย



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: จะกินไก่ เลือดรักไก่มันแรง


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-13] โจว จิน

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] โจว จิน เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-7-4 00:40
โพสต์ 42167 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-3 22:32
โพสต์ 42,167 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-3 22:32
โพสต์ 42,167 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-3 22:32
โพสต์ 42,167 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-3 22:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 6 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 22 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ เวลา 09.00 - 11.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ฝั่งตะวันตก โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง

อีเว้นท์ ภารกิจ "ด้ายแดงแห่งรอยร้าว"


หลินหยาเดินทางมาที่โรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง ในช่วงต่อมา หลินหยาได้ยินข่าวลือว่ามีนักแสดงอุปรากรคนหนึ่งได้รับบทบาทสำคัญ แต่กลับหายตัวไปอย่างลึกลับ หลินหยาต้องสืบสวนการหายตัวไปของนักแสดงผู้นี้ อาจมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ในบทอุปรากร หรือในการแสดงบนเวที เธอนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ เห็นว่ามีคนออกตามหาพวกมือปราบเองก็ออกตามหาเหมือนกัน เธอเลยกะว่าจะเดินไปถามแต่ทว่าพวกเขากลับคิดว่านางเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก…แถมโดนไล่อีก พวกนี้นี่!! 


“ข้าไม่ใช่เด็กนะเจ้าคะ….”


“หืม? ตัวแม่นางน้อยออกจะเล็กจ้อยเพียงนี้ แต่ทำไมแม่นางถึงหน้าตาคุ้น ๆ กันนะ?” เขาทำท่าทางเหมือนเคยเห็นภาพนางจากลูกกรงพิกล หลินหยาเลยถอนหายใจเฮือกใหญ่ตอนที่อีกฝ่ายบอกท่าทางกวน ๆ เหมือนคนที่จะสำรวจเธออย่างงั้นแหละ หลินหยาเลยบอก “ข้าเป็นเพื่อนกับท่านจางทังน่ะเจ้าค่ะ เคยโดนเข้าจับขังด้วย” เอ่ยขึ้นแบบต้องขออภัยท่านจางทังเป็นล้านครั้งที่เอาชื่อท่านมาอ้างนะเจ้าคะ


ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบมือปราบที่พูดจาดูกวน ๆ ตอนแรกถึงกับชะงักกึกเมื่อได้ยินชื่อของ “ถิงเว่ยจางทัง” เอ่ยหลุดจากปากของหญิงสาวตรงหน้า เขาหรี่ตาไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วเหมือนกำลังกลืนคำสบถไว้ในลำคอ แล้วพูดเบา ๆ ว่า “บัดซบเอ๊ย…นึกว่าเด็กวัด...ที่แท้สหายของท่านจางทังเราะ...ถ้าเขารู้ข้าตายห่าแน่” หลินหยายืนสงบเสงี่ยม ท่าทีเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายหัวหมุนเพียงใด ขณะที่อีกสองคนที่เป็นมือปราบรุ่นน้องก็ทำท่าจะเข้ามาห้ามไม่ให้หล่อนยุ่งเรื่องใหญ่ พอเห็นรุ่นพี่ถึงกับเปลี่ยนสีหน้า รีบหุบปากแล้วถอยหลังกลับไปทางโรงแสดงเงียบ ๆ ไม่กล้าปริปากแม้แต่คำ


“ข้ามาขอข้อมูลน่ะเจ้าค่ะ” หลินหยากล่าวเสียงเรียบ แต่นัยน์ตาหวานล้ำเปล่งความแน่วแน่ และวาวระยับน้อย ๆ ด้วยความใคร่รู้ “เรื่องนักแสดงอุปรากรคนนั้น ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่..ได้หรือไม่เจ้าคะ? มันสำคัญกับข้ามากเลย”


“โธ่…แม่นาง…เจ้านี่มัน...” มือปราบรุ่นพี่นั่นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะก้าวมาข้างหลินหยา เขากอดอกมองไปยังโรงอุปรากรเก่าแก่ตรงหน้า อาคารสีดำแดงทรงสูงแบบจีนโบราณที่มีหน้าต่างกระดาษสาเปิดอ้าเป็นช่อง ๆ ขอบหน้าจั่วลวดลายเมฆหมอกทองเก่า ลานด้านหน้ามีธงประจำคณะโบกไหวอ่อนโยนตามลมเช้า “นามของนางคือ ‘หยางซินหรู’ นักแสดงอุปรากรที่เพิ่งได้รับบท ‘หญิงเงาหิมะ’ บทนำในอุปรากรโบราณที่ไม่เคยมีใครกล้าแสดงเต็มเรื่องมาเกือบสิบปี เพราะมัน...ถูกสาป” เขาเว้นจังหวะ แล้วว่าต่อเสียงเบาลง “ผู้ที่รับบทนี้ก่อนหน้า ล้วน...หายตัวหรือเสียสติ หลังจากแสดงถึงฉากที่สาม ข้าเองก็ไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องพวกนี้นักหรอก แต่คราวนี้แม้แต่ผู้คัดบทและผู้ดูแลเบื้องหลัง ยังหายไปอีกคน”


หลินหยาเงียบไปชั่วครู่ พลางเหลือบตาลงมองพื้นหินสีเทาใต้เท้า นางเคยได้ยินบทหญิงเงาหิมะมาก่อนในคราวที่เคยเป็นสาวใช้ในหอว่านหงเหรินอยู่นะ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวผู้รอคนรักกลับมาจากสงครามท่ามกลางหิมะทางเหนือที่ไม่มีวันละลาย...และสุดท้ายหัวใจของนางก็กลายเป็นน้ำแข็งจนวันตาย หากนางจำไม่ผิด ฉากที่สาม...คือฉากที่หญิงเงาหิมะถูก “ตรึงคำสัญญา” ไว้กับร่างของตนโดยใช้เงาตนเองผูกกับสายลมเหนือ


“ข้าขอเข้าไปดูเวทีก่อนนะเจ้าคะ” นางกล่าวในที่สุด


“เอาแบบนี้เลยเหรอ...” ชายหนุ่มพยักหน้าแบบจนปัญญา “งั้นเจ้าระวังตัวละกัน ข้าจะให้เสี่ยวหูข้างในพาเจ้าไปหลังโรง ข้าคงต้องคอยกันพวกบัณฑิตปากมากด้านหน้าไว้ให้ด้วย…” เขาหัวเราะขื่น ๆ พร้อมผายมือให้หลินหยาเดินนำไป แล้วส่งสัญญาณให้มือปราบรุ่นน้องวิ่งเข้าไปในโรงอุปรากร


หลินหยาก้าวย่างมั่นคงไปตามทางเดินหินลายหมากรุก ใต้หลังคาไม้ที่ห้อยโคมผ้าสีเลือดนกอย่างประณีต กลิ่นเครื่องหอมและกลิ่นฝุ่นละครเวทีเริ่มแตะจมูกเบา ๆ เสียงขลุ่ยโบราณคลอมาแต่ไกลจากเวทีฝึกด้านใน...แต่สิ่งที่นางตั้งใจคือห้องแต่งตัวของหยางซินหรู และบทอุปรากรที่นางฝากไว้ หากเศษเสี้ยวแห่ง “ความหวัง” นั้นมีอยู่จริง...บางทีความจริงอันโหดร้ายก็อาจจะถูกขับร้องให้กลายเป็นเพลงงิ้วแห่งโชคชะตา ที่พร้อมให้นางไขปริศนา


หลินหยาเดินทางเข้ามาในห้องแต่งตัวของหยางซินหรู เธอเดินสำรวจก่อนที่จะสำรวจหลายที่จนกระทั่งพบบางอย่าง เป็นบันทึกที่เหมือนกับบทละครโดนบันทึกไว้ถึง เศษเสี้ยวแห่งความหวังนั้น หลินหยาที่อ่านได้แต่คิดก่อนที่เธอจะขมวงดคิ้วเพราะมันมีอะไรบางอย่างในภาพของบันทึกนั้น ด้ายสีแดงในภาพ?


หลินหยาเอื้อมมือไปแตะปลายด้ายสีแดงเส้นนั้นที่โผล่พ้นออกมาจากมุมกระดาษเก่าในบันทึก ดวงตาเธอเบิกกว้างเมื่อสัมผัสแล้วพบว่ามัน “ไม่ใช่แค่ภาพวาด” มันเป็นด้ายจริง ๆ ด้ายที่บางเบา ละเอียดลื่นราวกับไหมชั้นดี แต่น่าประหลาดที่แฝงไว้ด้วยไออุ่นประหลาดในยามที่ปลายนิ้วสัมผัส เธอดึงปลายด้ายเบา ๆ อย่างระมัดระวัง…มันเลื่อนออกมาจากหน้ากระดาษอย่างไม่มีสิ่งใดขัดขืน ราวกับเส้นด้ายนั้น “ซ่อนตัวอยู่” และเพียงรอให้มีใครสักคนผู้เข้าใจความหวังของหญิงสาวคนนั้น มา “ปลุก” มันให้ตื่นจากห้วงนิทราแห่งความเงียบ


เมื่อเส้นด้ายหลุดพ้นจากหน้าหนังสือ เสียงกระดิ่งเบา ๆ ดังสะท้อนในอากาศอย่างลึกลับ ละอองสีทองบางเบาคล้ายฝุ่นดาวโรยตัวช้า ๆ ล้อมรอบปลายนิ้วของหลินหยา…สัมผัสอบอุ่นราวแสงตะวันยามเช้าสัมผัสลงกลางใจของเธอ เธอหลุบตามองบันทึกที่ถืออยู่ ในหน้าเดียวกันมีรอยน้ำหมึกเลือนลางบรรจงเขียนไว้เป็นลายมือของหยางซินหรู


‘หากข้าได้เกิดใหม่อีกครั้ง ข้าขอให้เสียงร้องของข้า…ไปถึงผู้ที่ยังมีความหวัง แม้ต้องแลกด้วยความทรงจำก็ตาม’


หลินหยาเม้มปากแน่นเล็กน้อย นัยน์ตาไหววูบ เจ็บปวดประหลาดในใจเมื่อคิดว่าหญิงสาวคนหนึ่งต้องเลือกทางเดินอันแสนเดียวดายเพื่อส่งผ่าน “บางสิ่ง” ให้กับคนอื่น “แม่นางเจ้าทำอะไรลงไปกัน...ความหวังงั้นหรอ...” เธอพึมพำเบา ๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งด้ายสีแดงนั้นก็วางอยู่ในมือเธออย่างสมบูรณ์ เศษเสี้ยวแห่งความหวัง ชิ้นที่สอง ได้ถูกค้นพบ หลินหยาพับบันทึกอย่างระมัดระวัง วางไว้ที่เดิม ก่อนจะเหลียวมองห้องแต่งตัวเก่าซึ่งเงียบงันอีกครั้งหนึ่ง


“ขอให้เสียงของเจ้าถูกจดจำ แม่นางหยางซินหรู…” เธอกระซิบเบา ๆ เหมือนรำพันถึงวิญญาณหญิงสาวในบทละครที่ไม่มีใครกล้าร้องต่อ


จากนั้นหลินหยาก็ออกจากห้องนั้น เดินฝ่าความเงียบของหลังเวทีโรงอุปรากรซ่านเถียนเฉียวหร่ง ด้วยใจที่แน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม ข้างในตอนนี้มีด้ายแดงอยู่สองเส้น…แต่โชคชะตากลับเหมือนยิ่งผูกแน่นเข้าไปอีก…เส้นสุดท้ายที่เธอต้องตามหาคือ “ความรัก” ...ซึ่งสถานที่นั้น…กำลังรอเธออยู่ ณ ร้านค้าที่หลินหยาเดินทางไปประจำทุกวันไม่เคยขาด




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: รักจางทังค่ะ 5555555

รางวัล:  ได้รับ  "เศษเสี้ยวความทรงจำแห่งความหวัง" (ไอเท็มประกอบฉาก)


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 32249 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 32,249 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 32,249 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 32,249 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
โพสต์ 32,249 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 6 วันที่แล้ว
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้