
วันที่ 28 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ กรมราชทัณฑ์
ห้องไต่สวนของกรมราชทัณฑ์ยังคงเย็นเยียบด้วยกลิ่นของอำนาจและความเงียบที่เหมือนพัดพาจิตใจให้เคว้งคว้าง เหนือบัลลังก์ของตำแหน่งถิงเว่ย ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมแฝงแววคมเฉียบอย่างจางทังนั่งนิ่งสงบ เสื้อคลุมขุนนางของเขาถูกรีดเรียบไร้ที่ติ ลายพยัคฆ์เหล็กบนอกยังคงชี้ตรงเป็นนัยถึงความเป็นธรรมอย่างแน่วแน่ แววตาของเขาจับจ้องลงเบื้องล่างมิใช่ด้วยความลำเอียง หากแต่ประเมินทุกผู้ทุกคนที่ปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบา ๆ ตามด้วยเสียงขยับของประตูไม้สนที่เปิดออกช้า ๆ ร่างของ หนาน หลินหยา ถูกนำตัวเข้ามาอีกครั้ง ร่างบางในชุดนักโทษสีขาวที่สะอาดเกินกว่าที่ควรมี ผิวของนางดูซีดลงกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ริมฝีปากยังคงมีสีแต่งแต้มอยู่บ้างหากเพราะไอร้อนภายในร่างกาย นางเดินตรงอย่างไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด สายตาทหารหรือพยานไม่มีผลต่อนาง ข้อมือเล็กนั้นไม่มีโซ่ตรวน นั้นเพราะผู้คุมตัวนางรู้ดีว่านางไม่คิดหลบหนีเลยแม้แต่ครั้งเดียว..เส้นผมประบ่าของนางปล่อยอ่อนลงข้างแก้มนวลงาม ยิ่งขับให้ใบหน้างามนั้นเฉียบบางดูมีชีวิตชีวาขึ้น แม้จางทังจะเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวอย่างคนไม่สบาย แต่ในแววตาของหลินหยากลับมีประกายบางอย่าง..บางสิ่งที่ยังไม่ยอมจำนนง่าย ๆ
ในห้องนั้นเงียบเสียงจนได้ยินเสียงโบกพัดเบา ๆ ของใครคนหนึ่ง…
จางกงกง เจ้าทุกข์ผู้กล่าวหาผู้นั่งอยู่ทางซ้ายของห้อง โบกพักผ้าไหมสีดำลายเมฆน้ำหมึกช้า ๆ ดั่งคนที่ไม่มีอะไรให้เร่งรีบ สีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับคนดูโชว์ที่รู้ตอนจบของละครแล้ว แต่ในใจของเขานั้น..กลับรู้สึกร้อนวูบขึ้นให้คิดสงสัย เหตุใด..จางทังจึงเรียงไต่สวนอีกครั้งภายในวันเดียวเช่นนี้..เขาคิดโดยที่สายตาไม่หลุดไปจากบัลลังค์สูง นี่มิใช่ระเบียบปกติ คดีเช่นนี้มักเลื่อนนานหลายวันกว่าจะกลับมาสืบสวนอีกครั้งเพราะหาหลักฐานไม่เจอสักที แล้วเหตุใดชายตรงหน้าถึงมาเร็วเพียงนี้..มีไม้อะไรในใจเช่นนั้นหรือ?
ก่อนที่ขันทีหนุ่มจะเหลือบมองหลินหยาเพียงแววเดียว พอจะสังเหตุเห็นว่านางดูดีกว่าที่ควรเป็นในคุกหลวง คงจากอาหารดี เบาะนอนนุ่มและเสื้อผ้าสะอาด แม้จะซ่อนสายตาได้แต่สำหรับจางกงกงที่ผ่านการชิงไหวชิงพริบมานักต่อนัก เขาย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากน้ำมือผู้ใด..หรือว่า?..จางกงกงนั้นวางพัดในมือช้า ๆ ..เจ้าจะวางหมากหลอกให้ข้าเพื่อวางกับดักเช่นนั้นหรือไง?
ขณะนั้นเอง จางทังก็ขยับตัวเบา ๆ บนบัลลังก์แล้วเคาะไม้เปิดศาลอีกครั้ง เสียงนั้นสะท้อนชัดไปทั่วห้องไต่สวน “วันนี้ ข้าจงถิงเว่ย มีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องไต่สวนเพิ่มเติมโดยไม่อาจรอได้” น้ำเสียงของจางทังหนักแน่น ไร้ช่องโหว่ “มีหลักฐานบางประการที่เพิ่งถูกส่งถึงมือข้า และการชะลอการไต่สวนออกไปอาจเป็นการปล่อยให้เบาะแสสำคัญสูญหาย” เสียงไม้เคาะของถิงเว่ยจางทังดังสะท้อนก้องขึ้นในห้องไต่สวนครั้งที่สอง เสียงนั้นแม้ไม่ได้ดังมากนัก แต่ก้องลึกจนคนทั้งห้องต้องหยุดหายใจชั่วขณะ
"เปิดศาล" เขากล่าวด้วยเสียงเรียบนิ่ง หยิบม้วนผ้าไหมขึ้นดูอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่เว้นจังหวะ "เบิกตัวพยาน" ประตูไม้เปิดออกเบา ๆ ตามด้วยเสียงฝีเท้าเร่งเร้าแต่หนักแน่น นางกำนัลร่างผอมบางในชุดคลุมเรียบสีขาวของฝ่ายครัวหลวงก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีประหม่า มือทั้งสองประสานแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน หัวคำนับลึกก่อนจะยืนตัวตรงแต่ไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้น โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ถิงเว่ย และจางกงกงซึ่งกำลังโบกพัดอยู่เงียบ ๆ
"เจ้าจำได้หรือไม่" จางทังเอ่ยขึ้น เสียงของเขาไม่ได้ดัง แต่แฝงด้วยแรงกดดันอันเย็นเยียบ "เช้าวันนี้ เจ้าสารภาพอะไรต่อหน้าข้า" ดวงตาของนางกำนัลนั้นเบิกโพลงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หยุดหายใจแล้วพยักหน้าเบา ๆ นางหลุบตามองพื้น แล้วยกมือขึ้นคำนับใหม่เสียงสั่นพร่า “เจ้าค่ะใต้เท้า...ข้าจำได้...ข้าจะเล่าตามจริงทุกประการเจ้าค่ะ..." เสียงหายใจทั่วทั้งห้องนิ่งงันทันทีแม้กระทั่งพัดในมือของจางกงกงเองยังหยุดกลางอากาศ
"หลังจากเหตุการณ์วันที่ 26 ที่แม่นางหลินหยาได้ทำร้ายจางกงกง...กระหม่อมได้รับคำสั่งจากใต้เท้าจางกงกง...ให้จัดสุราเหมือนกับที่ใช้ในคืนนั้น...เพื่อให้ผู้ตรวจสอบเห็นว่าจอกสุรานั้นไม่ได้มีอะไรผิดปกติ..." เสียงนางกำนัลเริ่มสั่น มือกำแน่น ริมฝีปากที่ปริแตกแห้งผากเพราะความกลัวนั้นยังเอ่ยต่ออย่างทุลักทุเล "...จอกสุราที่นำมานั้น...ไม่ใช่ของจริงเจ้าค่ะ...ของจริงโดนทำลายไปแล้ว กระหม่อม...เป็นคนทำลายมันเอง...ตามคำสั่ง..."
"เหตุใดเจ้าจึงยอม?" จางทังถาม น้ำเสียงไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย แต่สายตาเฉียบคมกดจ้องจนหญิงสาวตัวสั่น
"...กระหม่อม...ได้รับเงินจากใต้เท้าจางกงกงเจ้าค่ะ..." เสียงนั้นลดลงเป็นเสียงกระซิบแทบไม่ได้ยิน "ยี่สิบตำลึงทอง..." ในห้องเกิดเสียงฮือเบา ๆ จากเหล่าทหารรักษาการณ์และเสนาขุนนางที่อยู่ร่วมฟังไต่สวน พัดในมือของจางกงกงพลิกกลับอีกด้าน เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง "เจ้ามีหลักฐานหรือไม่" จางทังถามเรียบ ๆ "กระหม่อมมีเจ้าค่ะ..." หญิงสาวตัวสั่นเทา หยิบถุงผ้าสีดำออกจากชายเสื้อ ยื่นออกไปเบื้องหน้า ในถุงนั้นมีตำลึงทองใหม่เอี่ยมเรียงแน่นอยู่
จางทังให้คนเดินเข้าไปตรวจสอบ ก่อนที่จะหันกลับมาแจ้งกับจางทัง “ตรวจสอบแล้ว เป็นจริงดั่งนางว่าขอรับท่าน” จางทังรับถุงเงินนั้นแล้วพยักหน้าเบา ๆ เขาวางมันลงบนโต๊ะด้านหน้า แล้วหันไปทางจางกงกงเป็นครั้งแรก
"ใต้เท้าจางกงกง ท่านมีสิ่งใดจะกล่าวไหม?" ทุกสายตาในห้องหันขวับมองขันทีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งยังคงนั่งอย่างสง่างาม มือหนึ่งยังคงโบกพัดอย่างไม่เร่งร้อน แต่เพียงเสี้ยววินาที…ในดวงตานั้น มีแววตาสบของชายที่ไม่ใช่เหยื่อ ไม่ใช่นักโทษ และไม่ใช่คนสารภาพผิด…หากแต่คือเสือที่กำลังรอจังหวะกระโจน เขาแค่นเสียงเบา ๆ คล้ายหัวเราะในลำคอ มือเรียวลูบพัดลงอย่างช้า ๆ "ข้า...ขอใช้สิทธิ์เงียบในการตอบคำถาม” เสียงของเขานิ่ง เยือกเย็น ราวกับกำแพงน้ำแข็ง แต่ยังคงมีประกายบางอย่างที่ยากจะอ่าน
ส่วนหลินหยา…ในขณะนั้น นางไม่ขยับแม้แต่น้อย แววตาของนางสงบนิ่งแต่เจือแววขำขัน เย้ยหยัน เสียงไม้เคาะศาลดังขึ้นอีกครั้งหนักแน่น เรียบคม ดังก้องไปทั่วห้องไต่สวนราวกับเป็นเสียงของอาญาสวรรค์ ถิงเว่ยจางทังลุกขึ้นยืนช้า ๆ แววตานิ่งขรึมไร้คลื่นอารมณ์ มือประสานอยู่เบื้องหน้าเสื้อคลุมขลิบเงิน เขากวาดสายตามองทุกผู้คนในห้อง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ต้องหา ขุนนาง หรือแม้แต่ผู้ถือพัดผู้นั้นที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
"ขอประกาศคำตัดสินในคดีนี้"
"หนาน หลินหยา แม้เจ้าจะเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน มิใช่ขุนนางผู้มีอำนาจ แต่กฎหมายแห่งแผ่นดินนี้ย่อมไม่แบ่งชั้นวรรณะ หากผู้ใดทำร้ายร่างกายขุนนางราชสำนัก ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายบ้านเมือง แต่เมื่อเจ้ารับสารภาพโดยไม่บิดเบือน และหลักฐานปรากฏว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอันเป็นภัย...ข้าจึงขอลดหย่อนโทษ โบย 50 ไม้" เสียงของเขาดังออกมาชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำราวกับมีดคมที่เฉือนลงไปไม่ใช่เพียงในเนื้อกระดาษ แต่ในศักดิ์ศรีของผู้ที่ถูกเอ่ยนาม ไม่มีเสียงประท้วง ไม่มีเสียงโอดครวญ แม้แต่จากหลินหยาซึ่งยังคงนั่งนิ่ง มองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ริมฝีปากนั้นคล้ายคลี่ยิ้มบางเบา…ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่เพราะอย่างน้อย...ความจริงก็กำลังค่อย ๆ เผยออกมา
เสียงพึมพำเริ่มดังในหมู่ผู้ฟัง แต่จางทังหาได้ใส่ใจ เขาหันไปยังนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่ตัวสั่นแทบล้มทั้งยืน "เจ้าคือผู้สมรู้ร่วมคิด ปกปิดความผิด ทำลายหลักฐาน และรับสินบน แม้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูง แต่ย่อมรู้ผิดชอบชั่วดี และเจ้าก็เลือกเส้นทางผิดเอง แต่เข้าสารภาพด้วยตนเอง ลดหย่อนโทษเช่นเดียวกัน โบย...50 ไม้ และปลดจากตำแหน่งนางกำนัลนับแต่วันนี้ กลับสู่ฐานะสามัญชน" ถ้อยคำเด็ดขาดดังตัดความหวังใด ๆ ที่หลงเหลือ นางกำนัลร่ำไห้สะอึกสะอื้นก้มลงคำนับไม่หยุด
จางทังสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยนามสุดท้ายชื่อที่ทำให้ทั่วทั้งห้องเงียบงันดั่งถูกปิดผนึก “และท่านใต้เท้าจางกงกง” เสียงพัดในมือจางกงกงหยุดเคลื่อนไหวในทันที
"ท่านคือจงฉางชื่อ ขันทีสูงสุดผู้มีอำนาจควบคุมผู้คนในวังหลังและรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ท่านควรยึดมั่นในหน้าที่และความภักดีเป็นที่สุด แต่สิ่งที่ท่านทำ คือใช้ตำแหน่งและอำนาจในทางมิชอบ ท่านทราบดีว่าหากความผิดของเจ้าเมืองผานอวี้เป็นจริงดังว่า ท่านต้องเรียนให้ราชสำนักทราบความจริง ท่านควรรายงานหากตรวจสอบแล้วมันเป็นจริง แต่ท่านกลับเลือก ‘เก็บ’ ความนั้นไว้ แต่งเรื่องเสริมเติมแต่งเพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรอง ใช้เป็นหมากบนกระดานเล่นกับชีวิตของสตรีบริสุทธิ์"
"ท่านยังข่มขู่ บีบบังคับหญิงผู้หนึ่งเข้าสู่วังหลังโดยไม่สมัครใจ กระทำการใส่ร้าย บิดเบือนความจริง ทำลายหลักฐาน และให้สินบนเพื่อปิดปาก นี่ไม่ใช่เพียง ‘ความผิดส่วนบุคคล’ แต่เป็น ‘ภัยต่อราชสำนัก’" จางทังหยุดชั่วครู่ ก่อนประกาศด้วยเสียงแน่นหนัก ดั่งอาญาฟ้า “ข้าจึงตัดสินให้ลงโทษ...โบย 100 ไม้ และจำคุกกักบริเวณเป็นเวลา...สามเดือนเต็ม" ทุกเสียงในห้องหยุดนิ่ง แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะไม่อาจเปล่งออกมา จางกงกงยังคงนั่งเงียบ แต่พัดในมือของเขาหยุดลงโดยไม่รู้ตัว
"นี่คือคำตัดสินของถิงเว่ยผู้รักษาความยุติธรรมตามบัญชาสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดจะสูงส่งหรือไร้อำนาจ เมื่อยืนอยู่ใต้กฎหมาย ย่อมต้องเสมอภาค!" เสียงไม้เคาะศาลครั้งสุดท้ายดังขึ้นดังก้องในห้อง เงียบงันราวกับสวรรค์ปิดหู เพื่อให้มนุษย์รับฟังความยุติธรรม ถิงเว่ยจางทัง...คือผู้ถือดุลกฎหมายสมชื่อ ตุลาการพยัคฆ์เหล็ก
หลังจากนั้นนายทหารก็เข้ามาทำหน้าที่เขาพาตัวผู้ต้องหาอย่างหลินหยาและนางกำนัลห้องเครื่องครัวไปนั่งราบกับพื้นไม้กลางศาล เป็นไม้กระดานที่เตรียมไว้อยู่แล้ว แล้วเริ่มทำการโบยอย่างรวดเร็วและรุนแรง เสียงเฆี่ยนของแส้ไม้ลงบนผืนหลังดังขึ้นเป็นจังหวะ แผ่นกระดานเรียบเย็นเฉียบแนบกับร่างของหญิงสาวที่นั่งราบอยู่โดยไร้เสียงร้องใดหลุดจากเรียวปาก หลินหยานิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนหม่นซ่อนความเจ็บแสบไว้ในประกายแข็งกร้าว เธอกัดฟันแน่นทุกครั้งที่ไม้ลงกระทบแผ่นหลังเล็กที่ซีดขาวอยู่แล้วยิ่งดูเปราะบางกว่าเดิม ผ้าขาวบางของชุดนักโทษเปรอะเปื้อนด้วยเลือดสีเข้มราวกับรอยตราบาปของระบบยุติธรรมที่เพิ่งจารึกลงบนผิวหนังของหญิงสาวที่ยังไม่ถึงสิบห้าปีเต็มดีด้วยซ้ำ
ไม้ที่สิบเส้นเลือดสีเขียวใต้ผิวหนังปูดขึ้นอีกครั้งแม้จะไม่มาก พิษในร่างกายเคลื่อนไหวตามแรงสั่นสะเทือน ความเจ็บปวดระคนกับความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย ใบหน้าของหลินหยาซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย แต่เธอยังคงนิ่งโดยไม่เปล่งเสียง นางกัดฟันอย่างอดทน ดวงตาเบิกกว้างทว่าเต็มไปด้วยประกายมุ่งมั่น ปากเม้มแน่น เสี้ยวหนึ่งของเลือดสดเริ่มไหลออกจากจมูกอีกครั้งและหยดลงบนไม้กระดานอย่างเงียบงัน
ที่นั่งของเจ้าทุกข์ จางกงกงซึ่งควรพึงพอใจกับผลลัพธ์ เขากลับไม่อาจถอนสายตาจากหลินหยาที่นั่งอยู่กลางลานลงโทษได้เลย ความทรมานที่นางได้รับกลับมิได้ให้ความสะใจแก่เขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ใจของเขากลับเหมือนถูกบีบแน่นเสียจนต้องกำพัดแน่น หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นนางไร้เสียง ไร้คร่ำครวญแต่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวเงียบสงัดอย่างที่เขาไม่เคยเห็น เขาอยากจะขยับลุกขึ้น แต่พัดในมือกลับกลายเป็นสิ่งที่พันธนาการเขาไว้แทน
บัลลังก์สูงสุดเบื้องหน้าคือถิงเว่ยจางทัง เขาไม่กล่าวคำใดออกมาในตอนแรก เพียงแต่นั่งนิ่งจ้องมองลงไปยังร่างของหลินหยาที่ค่อย ๆ ถูกทำโทษตามบัญชากฎหมาย เขาเห็นทุกอย่างเห็นเลือดที่ไหลจากจมูก เห็นริมฝีปากที่ไร้คำปริปาก เห็นความแน่วแน่ที่ยิ่งกว่าเพชร และเห็นความเงียบที่กู่ก้องไปทั่วทั้งห้อง
ผู้หญิงคนนี้…ไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยตัดสิน
ทหารคนหนึ่งขยับจะหยุด แต่จางทังกลับชูมือขึ้นให้ดำเนินต่อไป น้ำเสียงของเขายังสงบนิ่งดุจเกราะเหล็ก "สิบไม้แรกยังไม่พอสำหรับการสำนึก" ทว่าลึกลงไปในนัยน์ตา...จางทังเองก็รู้ดี ว่าร่างนี้ สตรีผู้นี้ใกล้จะถึงขีดสุดแล้ว
เขารู้ว่านางสู้เพื่อตัวเอง..แต่เพราะอะไรนางถึงกัดฟันฝืนขนาดนี้ ทั้งที่ร่างกายของนางกำลังสั่นสะท้านด้วยความทรมานเช่นนั้น แต่กลับไม่ยอมเปล่งเสียงแม้แต่คำเดียว ไม่ใช่เพราะเธอเข้มแข็งแต่เพราะเธอ เลือกแล้ว ที่จะรับมันไว้ทั้งหมด
เสียงไม้ที่สิบสองกระทบแผ่นหลังของหลินหยายังไม่ทันจางจากความรู้สึกสะเทือนใจของทุกคนในลานศาล เสียงฝีเท้าหนักแน่นของทหารกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นตามแนวระเบียง ศีรษะของผู้คนในที่นั้นพลันหันมองตามแรงสะท้อนของบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทันควัน “ขออนุญาติใต้เท้า” มือของนายทหารยื่นออกไปแตะบ่าชุดไหมสีเข้มของผู้ชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในฐานะเจ้าทุกข์ จางกงกง แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัส ท่อนแขนของเขาก็ถูกสะบัดแรงเสียจนเสียหลักถอยหนึ่งก้าว จางกงกงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ชุดไหมสีดำขลิบเงินของขันทีผู้สูงศักดิ์พริ้วตามแรงลม ดวงตาเรียวยาวกวาดมองไปยังบัลลังก์ของถิงเว่ยด้วยแววตาที่พลันเปลี่ยนจากเย็นเฉียบเป็นคมกริบ
“บังอาจนัก!” เขากล่าวเสียงต่ำ แต่น้ำเสียงเยือกเย็นเสียจนเหมือนมีน้ำแข็งไหลอยู่ในสายเลือด “ข้าอยู่ในฐานะข้าราชบริพารของฝ่าบาท ตำแหน่งจงฉางชื่อไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะสั่งจิกสั่งใช้ได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นท่านคิดจะสำเร็จโทษข้า...ด้วยอำนาจอะไร?” ห้องไต่สวนเงียบกริบ เหล่าทหารต่างลังเล ไม่กล้าขยับอีกแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่า...เสียงของจางทังก็ดังขึ้นในที่สุด
“อำนาจของกฎหมาย” มั่นคง เย็นเฉียบ เรียบนิ่ง และคำประกาศดั่งระฆังศาลเจ้าในยามพิพากษา ดวงตาแหลมคมคู่นั้นของถิงเว่ยจางทังมองตรงไปยังอีกฝ่ายคนที่แม้จะเป็นขันที หากแต่เดินบนเส้นทางแห่งอำนาจราวกับขุนนางใหญ่
“ท่านทำผิดกลางแผ่นดินฮั่น ใช้อำนาจกดขี่ บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม หลอกใช้ราษฎร์ บีบบังคับให้หญิงสาวเข้าวัง และที่สำคัญ เจตนาใส่ร้ายโดยอาศัยฐานะตัวเอง หากข้าไม่กล้าตัดสินเพียงเพราะท่านมีตำแหน่งสูง ก็เท่ากับว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นเพียงคำลวงสำหรับราษฎร หากขุนนางทำผิดแล้วมิอาจถูกตัดสิน แล้วจะมีขือมีแปไว้เพื่ออะไร?”
“เอาตัวไป!”
เสียงตวาดนั้นเด็ดขาด ทันใดนั้นเหล่ามือปราบที่อยู่ภายในศาลก็รีบกรูกันเข้าหา คราวนี้ไม่มีความลังเล ทหารทั้งสองฝ่ายยื่นมือคว้าตัวจางกงกงไว้แน่น แม้เขาจะพยายามต้าน แต่ก็ถูกล็อกแขนทั้งสองข้างโดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อรองอีก จางกงกงหันหน้าขึ้นมองบัลลังก์อีกครั้ง พัดดำในมือเขาร่วงหล่นลงพื้น ใบหน้าขาวจัดนั้นบิดเบี้ยวเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของถิงเว่ย จางกงกงกัดฟันครั้งนี้ เขาเองก็ต้านไม่ไหว เพราะแม้จะเอ่ยนามฝ่าบาทออกมาได้...แต่ในศาลแห่งนี้ ไม่มีพระราชโองการ ไม่มีตราอนุญาตจากราชสำนัก เขาจึง ไม่มีทางหนี จากบทลงโทษที่ชอบธรรมนี้ได้เลย
ขณะที่ร่างของจางกงกงถูกพาตัวโบยเช่นสตรีทั้งสองด้วยข้อหาเต็มแผ่นหลัง สีหน้าของจางทังยังคงเย็นเฉียบ เขารู้ว่าความยุติธรรมในวันนี้ยังไม่อาจทะลวงกำแพงแห่งอำนาจได้ทั้งหมด คงไม่อาจกักขังหรือกักบริเวณ 3 เดือนนั้นได้แน่แท้ แต่หากไม่เริ่มจากคนเช่นเขาแล้ว ใครจะกล้าเป็นต้นแบบให้กับระบบที่กำลังเน่าเฟะนี้อีกเล่า? ..อย่างน้อยที่สุด เด็กสาวคนนั้นที่ยังนั่งหายใจรวยรินอยู่กลางลานทรมานเธอจะไม่ถูกเหยียบซ้ำลงในดิน โดยที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาพูดแทนอีกต่อไป
เสียงหวดไม้ครั้งที่สามสิบดังขึ้นในจังหวะที่แผ่นหลังของหลินหยาเริ่มแอ่นเกร็ง ภายใต้ชุดนักโทษสีขาวสะอาดเปื้อนเลือด สีหน้าของนางขาวซีดแต่ดวงตากลับยังแน่วแน่ ปลายนิ้วมือที่สั่นระริกเกาะขอบไม้กระดานไว้แน่นราวกับยึดมั่นในอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครมองเห็นได้ ทว่าในขณะที่เสียงหวดไม้ครั้งที่ 31 กำลังจะฟาดลงมา…
“ช้าก่อน” น้ำเสียงเยือกเย็น ทุ้มต่ำ และทรงอำนาจดังกระแทกผนังอิฐหินของลานพิพากษาอย่างเฉียบขาด สะกดทั้งเหล่าทหาร มือโบย และผู้คนโดยรอบให้หยุดการเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งซ้ำสอง ทหารยามหน้าประตูลานไต่สวนเปิดทางให้โดยไม่ต้องมีผู้ใดเปล่งเสียงสั่ง ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างเมื่อเห็นบุรุษในชุดสีน้ำเงินกรมท่าขลิบทองเดินก้าวเข้ามาอย่างหนักแน่น สัญลักษณ์หยกขาวสะท้อนแดดห้อยอยู่ตรงเอว บ่งชัดถึงสถานะอันสูงส่งเหนือผู้ใดในศาล
เขี้ยวคมอสุรา หวยหนานหวาง หลิวอัน พระปิตุลาแห่งองค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ และหนึ่งในผู้ควบคุมกองกำลังชั้นสูงในราชสำนัก ผู้ที่มีเพียงชื่อก็สามารถสั่นคลอนขุนนางได้ทั้งแผ่นดิน
หลิวอันก้าวเข้าสู่ใจกลางลานพิพากษาอย่างไม่ลดฝีเท้าแม้แต่น้อย ดวงตาเรียวยาวใต้คิ้วคมกริบปรากฏแววเฉียบเย็นยิ่งกว่าหยกน้ำแข็ง พลันกวาดมองภาพเบื้องหน้า ร่างของหลินหยาที่คุกเข่าอยู่บนไม้กระดานแผ่นใหญ่ เสื้อขาวเปื้อนเลือด หายใจหอบถี่ ริมฝีปากเม้มแน่นไม่เอื้อนเอ่ยแม้คำเดียว และอีกด้าน...จางกงกงที่เพิ่งถูกโบยไปสิบไม้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเปลี่ยนสีจางแดง ริมฝีปากกัดแน่นข้างนางกำนัลที่ร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวด
“ข้าขอใช้อำนาจของหวยหนานหวาง ขอให้ยุติการโบยลง ณ ชั่วคราว” หลิวอันประกาศเสียงเรียบ ทุกคำออกมาจากริมฝีปากนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก ฝ่ามือแข็งกร้าวของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งจะยกขึ้นเป็นสัญญาณห้ามมือปราบที่กำลังโบยสตรีตัวเล็กอย่างหลินหยาอยู่ตรงนั้น หลิวอันก้าวขึ้นไปข้างกระดานโบยอย่างสง่างาม อำนาจที่แผ่ซ่านจากผู้เป็นพระปิตุลากลับกดทับบรรยากาศจนทั่วทั้งลานเงียบกริบ
เขาโค้งกายคำนับเบื้องหน้าศาลอย่างมีมารยาท สมกับผู้ทรงคุณธรรมแม้จะอยู่ในวงศ์มังกร แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ดังกังวานไปทั่ว “โทษที่เหลือของแม่นางหนานผู้นี้...ข้าหลิวอัน จะขอรับไว้เอง” คำกล่าวนั้นทำเอาทั้งศาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจตกตะลึงของทหารยามและผู้คนที่ล้อมรอบ บนบัลลังก์ถิงเว่ย จางทังที่กำลังจะสั่งให้ลงไม้ถัดไปถึงกับชะงัก สายตาเข้มข้นตวัดลงมายังบุรุษผู้กล้าประกาศรับโทษผู้นั้น
“หวยหนานหวาง...ท่านทราบดีหรือไม่ว่าท่านพูดสิ่งใดออกมา?”
“ข้าย่อมทราบ” หลิวอันตอบทันที น้ำเสียงแน่วแน่ ไม่สูงไม่ต่ำ “หากผู้ใดเต็มใจรับโทษแทน หรือแบ่งเบาโทษครึ่งหนึ่งให้ผู้ถูกลงโทษ โดยไม่ได้ละเมิดกฎหมายของแผ่นดิน ข้าย่อมสามารถใช้สิทธินั้นได้ตามข้อบัญญัติในหมวดโทษปรับประจำนครหลวง” กล่าวจบ หลิวอันก็ยืนอย่างมั่นคงในท่ามกลางทุกสายตา
จางทังที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลง ชั่งน้ำหนักอยู่เพียงชั่วขณะ เขายกมือขึ้นเป็นเชิงอนุญาต “เช่นนั้น...มือปราบ นำแม่นางหนานไปยังโรงหมอรักษาทันที อย่าให้ช้า ส่วนหวยหนานอ๋อง...เชิญท่านรับโทษอีกยี่สิบไม้ให้ครบถ้วนตามจำนวนที่ข้าตัดสิน” เสียงรับคำดังพร้อมกันจากเหล่าทหารทันทีที่ถิงเว่ยจางทังออกคำสั่ง
หลินหยา ที่แม้ร่างกายอ่อนแรงจนแทบจะล้มลงกับพื้นเมื่อถูกพยุงออกจากกระดาน ตอนแรกนางไม่เข้าใจเพราะดวงตาพร่ามัว ว่าเห็นใดหวยหนานอ๋องถึงมาช่วยนาง แต่เมื่อนางกลับเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาที่ขุ่นมัวจากพิษในร่างและความเจ็บปวดกลับเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อเงาของบุรุษตรงหน้าเดินไปคุกเข่าบนกระดานโบยแทนนาง นั่น...คือชายที่นางเคยจับมือไว้ในร้านเต้าหู้...ชายที่นางเคยร้องไห้ใส่...ชายที่นางเคยนึกว่าเป็นแค่คนขายเต้าหู้ขี้เก๊กเงียบ ๆ คนนั้น…
หลิวอัน?..
พระปิตุลาในองค์จักรพรรดิ??
หวยหนานหวาง??!!!
นางแทบไม่อยากเชื่อในสายตาตนเอง ใบหน้าอันซีดขาวเปื้อนเลือดของนางเอียงเล็กน้อยเพื่อสบดวงตาคู่นั้นที่หันมามอง…เยือกเย็นนัก ทว่าในความเยือกเย็นนั้นกลับไม่เคยทอดทิ้งสายตาของนางเลยแม้แต่วินาทีเดียว “เหตุใด...ท่าน” หลินหยาเอ่ยในลำคอแผ่วเบา...เสียงแหบพร่าเกินกว่าจะเปล่งออกไปได้ แต่นางรู้ในใจดี..นี่คือคนเดียวกันกับผู้ที่ยื่นมือออกมารับเธอไว้ในวันที่เธอล้มลงไม่เหลือใคร และตอนนี้...แม้จะต้องถูกหวดด้วยไม้โทษถึงยี่สิบครั้งเขาก็ยังเลือกเดินเข้ามาหาเธออีกครั้ง...โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
บนกระดานไม้สำหรับไว้ลงโทษ หลิวอันนั่งคุกเข่าอย่างมั่นคงตลอดกระบวนการ เขายังคงไม่แสดงอาการเจ็บปวด ไม่เปล่งเสียงแม้แต่น้อย ท่าทางของเขานั้นเยือกเย็นและเด็ดขาด ราวกับผาหินที่ไม่มีวันสั่นไหว ชุดคลุมที่ประณีตพลิ้วไหวตามแรงหวด สะท้อนประกายตะวันยามสายที่ทอดผ่านซี่ไม้ของหน้าต่าง เสียงหวดไม้ดังสะท้อนลั่นศาล ไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่สอง...สาม...แต่ต้องนับเป็นครั้งที่ยี่สิบ
หลินหยาในอ้อมแขนของนายทหาร ไม่อาจละสายตาจากร่างของเขา คนที่เคยยื่นเต้าหู้ให้เธอเงียบ ๆ ตรงตลาดตะวันออกทั้งที่เขาไม่รู้ว่านางแพ้ถั่วเหลือง ภาพผุดขึ้นมาท่ามกลางม่านน้ำตาที่คลอเบ้าอย่างเงียบงันแต่กลับไม่ไหลออกมาแม้แต่น้อยให้เป็นน้ำตา นางพยายามจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่เสียงกลับติดในลำคอ…ราวกับมีก้อนอะไรจุกแน่นไว้
"ท่าน...จะทำไปทำไม..." เสียงแหบพร่าตามลมนั่นคือคำถามเดียวของนาง แต่ไม่มีคำตอบจากเขา มีเพียงการกระทำที่ปิดปากเสียงทั้งหมดไว้แล้ว
ไม่ไกลนัก จางกงกง ผู้เคยนั่งยิ้มพลางโบกพัดด้วยความเยือกเย็นขณะเห็นผู้อื่นทุกข์ทรมาน ในวันนี้กลับต้องนั่งคุกเข่าบนกระดานโบยข้างกัน ร่างกายแข็งแรงกำยำแต่งดงามแบบคนที่เป็นขันทีในวังหลวง นานนักแล้วที่เขาไม่ได้ถูกลงโทษเช่นนี้ เสียงไม้กระทบร่างกายดังก้องในหัวใจของทุกผู้คน จางกงกงมองหลินหยาผ่านม่านเลือดบนใบหน้า เขามองชายอีกคนที่บัดนี้ถูกโบยแทนนาง เขาเคยคิดแต่เพียงว่าหากหวยหนานหวางช่วยนางจะติดใส่ฐานกบฎต่อราชสำนักหลวง..ทว่าในยามนี้กลับคุกเข่าอยู่ข้างนาง รับโทษอย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่มีเงาของความลังเลแม้แต่น้อย
บนบัลลังก์ของศาล ถิงเว่ยจางทังยังคงนั่งนิ่ง สายตาแน่นิ่งเย็นชาโดยปราศจากความเวทนาใด ๆ ขุนนางต้องรับโทษเช่นเดียวกับราษฎร และควรรุนแรงกว่าเพราะเป็นถึงผู้รับใช้ใต้พระบาทที่ทำทุกอย่างเพื่ออาณาประชาราช เขาพูดไปเช่นนั้น และเขาก็ทำได้จริงโดยไม่ลังเล แม้จะเป็นถึงพระปิตุลาองค์จักรพรรดิ หรือจงฉางชื่อผู้มีอำนาจเหนือขันทีทั้งวังหลวง หากกระทำผิด ก็ต้องรับโทษเฉกเช่นสามัญชน
แม้ในใจลึก ๆ เขาจะรู้ดีว่า การกระทำครั้งนี้ของหวยหนานอ๋องจะต้องกลายเป็นที่ถามถึงหากมีคนล่วงรู้ แต่ในห้วงเวลานี้ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเสียงโบยที่ดังขึ้นพร้อมเสียงลมหายใจสั่นไหวของสตรีคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมชายผู้หนึ่ง...จึงกล้ายอมเอาหลังตนเองรับไม้ลงโทษแทนเธออย่างเงียบงัน เมื่อไม้สุดท้ายหวดลง เสียงเงียบงันอันปกคลุมทั้งศาลนั้นหนักหนากว่าครั้งใด ทั้งทหารยาม ข้าราชบริพาร ยันนางกำนัลผู้เข้ามาเป็นพยานที่โดนโบยด้วย ต่างมองตากันด้วยความไม่เชื่อสายตา
สตรีเด็กสาวตัวเล็กที่ทำให้หวยหนานอ๋องยอมคุกเข่ารับโทษแทน และทำให้จงฉางชื่อผู้ลือนามรับโทษทัณฑ์..ด้วยสตรีเพียงคนเดียว

@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -
รางวัล:
+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-09] จาง ทัง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม [NPC-04] หลิว อัน
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม [NPC-11] จางกงกง
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม