
วันที่ 18 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 - 17.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ศาลาจื่อเถิงฮวา (พบ จางกงกง)
แดดยามเซินทอดผ่านร่มเงาเถาวัลย์ม่วงที่เลื้อยพาดชายหลังคาศาลา เงาไม้แกว่งไกวตามแรงลมราวกับบรรเลงบทกล่อมจากธรรมชาติให้จิตใจเหนื่อยล้าของหญิงสาวคลี่คลายลงทีละน้อย หลินหยาเดินเข้ามาในศาลาจื่อเถิงฮวาด้วยฝีเท้าอ้อยอิ่ง ไม่ใช่เพราะช้าโดยเจตนาแต่เพราะหัวใจมันไม่ได้เร่งเร้าให้นางรีบไปที่ใดอีกต่อไป สายลมพัดเส้นผมของนางกระจายเบา ๆ ดวงตาเรียวยาวทอดมองไกลออกไปยังทะเลทุ่งหญ้าเบื้องหน้า ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ไม่มีนัดไม่มีบุรุษสวมหน้ากากคนเดิม ไม่มีคนที่ชอบเล่นลิ้น ชอบพูดจาน่ากระชากคอเสื้อหรือแม้แต่คนที่ชอบขยับเข้ามาใกล้เกินไปเสมอในทุกบทสนทนา…
"บ้าเอ๊ย..." นางพึมพำกับตนเองเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้า แล้วปล่อยตัวลงนั่งพิงเสาหนึ่งของศาลา มือข้างหนึ่งกอดอกอีกข้างหนึ่งโยนห่อขนมในอ้อมแขนลงข้างกายโดยไม่สนใจมันอีก ริมฝีปากน้อย ๆ เงียบงันหยุดพูดแม้แต่คำเดียว นางไม่รู้หรอกว่าทำไมเท้าถึงพามาที่นี่หรือทำไมใจถึงยังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่ในที่เดิมเวลาซ้ำ ๆ เหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตแล้วก็ไม่ปาน
วันนี้เขาคงไม่มา
แน่นอนสิ…นางเป็นคนขอเขาให้ไปทำภารกิจเองกับปากจำได้ดีด้วยซ้ำว่ายกนิ้วเกี่ยวสัญญาไว้ ไม่รู้ว่าคนโรคจิตอย่างเขาจะทำจริงหรือไม่ แต่...ถ้าจะมาตามสัญญา เขาก็ไม่น่าจะมานั่งเล่นอยู่นี่กับนางเหมือนทุกวันเป็นแน่ คิดแล้วก็น่าขำเล็ก ๆ ที่ใจมันเงียบเหงาขึ้นมาเฉย ๆ เพราะขาดเสียงกวนประสาทประจำวันไปหนึ่งคน "จะมานอนเล่นเฉย ๆ ก็คงไม่มีใครว่าใช่ไหม..." นางพึมพำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เอนตัวลงบนพื้นไม้ของศาลา ลมเอื่อย ๆ พัดผ้าคลุมไหล่ไหวพลิ้วเสียงใบไม้เสียดสีกันบนยอดไม้ไกล ๆ กลายเป็นเสียงกล่อมหลับจากธรรมชาติอย่างอ่อนโยน
กลิ่นกฤษณาบางจางลอยแทรกเข้ามาเมื่อหอบลมจากด้านทิศใต้พัดขึ้นมายังศาลา หลินหยาปล่อยแขนปล่อยขาอย่างหมดแรงนางนอนหงาย แหงนหน้ามองเพดานไม้ของศาลาด้วยแววตาว่างเปล่า
วันนี้เงียบดีจังแฮะ…
คิดได้เช่นนั้น ดวงตางามก็ปิดลงอย่างไม่รู้ตัว นางหลับ...ในศาลาเดิมยามเดิม...ภายใต้เถาวัลย์ม่วง...โดยไม่รู้เลยว่าเพียงครู่หนึ่งหลังจากนั้น เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางทางเดินเงียบสงบ เสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินผ่านแนวไม้แถวหลังศาลาราวกับไร้น้ำหนัก ผ้าไหมสีทึบปลิวไหวเล็กน้อย ดวงตาคมที่คุ้นเคยของบุรุษสวมหน้ากากครึ่งหน้าเหลือบมองร่างเล็กบนศาลาไม้ด้วยสายตาลึกล้ำ เขาไม่ได้เดินเข้ามาในทันที เขาเพียงยืนนิ่งมองอยู่นาน…นานมากพอจะสังเกตลมหายใจของนางที่สม่ำเสมอและเรียบสงบ…
"...ดูเหมือนไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่ติดนิสัยมาที่นี่..." เสียงทุ้มต่ำพึมพำเบา ๆ จางหายไปในลม ทว่าแววตาที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนั้น กลับอ่อนลงราวกับคลี่เงาเมฆออกจากแสงอาทิตย์กลางฤดูหนาวที่แสนเยียบเย็น และเขาก็เดินเข้าไป...อย่างเงียบงันใกล้เข้ามาทีละก้าว...เพื่อมองให้ชัดว่านางหลับไปจริงหรือเปล่าเพราะถึงแม้จะไม่มีคำพูดใด ๆ ที่หลุดจากริมฝีปากของเขาในขณะนั้น แต่หัวใจของเขากำลังพูด… ‘วันนี้ ข้าต่างหาก...ที่รอเจ้า’
ภายใต้ร่มเงาของเถาวัลย์ม่วงที่เอนไหวตามแรงลมยามเซินร่างในชุดสีเข้มของบุรุษผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้ายืนนิ่งอยู่ข้างพ้นไม้ไม้สายตาคมปลาบทอดมองร่างบางที่นอนเหยียดยาวอยู่ในท่าทางที่แสนไร้การป้องกัน หลินหยาหลับสนิทจริง ๆ แก้มนวลขึ้นสีอ่อน ๆ เพราะไอแดด เส้นผมปล่อยยาวกระจายอย่างไม่ตั้งใจพาดบนพื้นและบ่าบาง หยาดเหงื่อเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงขมับจากความอุ่นของยามบ่าย เสียงหายใจแผ่วเบาระบายออกจากปลายจมูกขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ
สายตาของจางกงกง...แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาเอียงคอช้า ๆ เหมือนครุ่นคิด บางสิ่งในใจของเขาไหววูบ รอยยิ้มผุดขึ้นใต้หน้ากากอย่างเงียบงัน รอยยิ้มที่ไม่อาจเรียกได้ว่าอ่อนโยนหรือเมตตามันกลับคล้ายกับรอยยิ้มของใครบางคนที่กำลังครอบครองบางสิ่งที่ไม่ควรครอบครอง และนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นอย่างราบเรียบและเบิกบานแปลกประหลาด มือเรียวขาวสะอาดยกขึ้นอย่างไร้เสียง...ปลายนิ้วแตะเบา ๆ ลงบนแก้มนวลของหญิงสาว...เกลี่ยแผ่วราวกับกลัวนางจะตื่นแต่ก็ไม่หยุดยั้งเลยสักนิด
จากข้างแก้มลูบขึ้นขมับลากกลับลงมาปลายกราม แล้วแตะเบา ๆ ตรงมุมปากนั้น มุมปากที่เคยกล้าหาญเถียงเขามุมปากที่เคยกัดฟันด่าเขาในศาล มุมปากที่เคย...จุมพิตต้นคอเขาอย่างบ้าบิ่นในวันก่อน “...ช่างหลับได้อย่างไม่ระวังเช่นนี้...เจ้าไว้ใจข้าแล้วหรือยัง?” เสียงทุ้มต่ำกระซิบเบา ๆ ใกล้ใบหูข้างหนึ่ง ก่อนจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นไม่ขยับไปมากกว่านั้น แต่สายตาของเขากลับยิ่งดำมืดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองใบหน้าเล็กตรงหน้า
นิ้วเรียวแตะสันจมูกของหลินหยาแล้วเลื่อนกลับมาเกลี่ยที่แก้มอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง...เหมือนเด็กเล่นกับตุ๊กตาในความครอบครองของตนเองหรือไม่...ก็เหมือนอสูรร้ายกำลังชื่นชมซากเหยื่อที่ยังอุ่นอยู่ในเงามืดของตน
“ข้าจะทำให้เจ้าจำได้...ว่าผู้เดียวที่ล่วงเกินเจ้าได้คือข้า” เสียงกระซิบต่ำลอดริมฝีปากใต้หน้ากาก น้ำเสียงไม่ใช่คำขู่…แต่มันเหมือนคำสัญญา แล้วเขาก็ยังคงลูบแก้มเนียนนุ่มนั้นต่อไป...อย่างเงียบ ๆ ราวกับเวลาหยุดหมุนอยู่เพียงลมหายใจของหญิงสาวผู้ไม่รู้เลยว่ากำลังโดนคนที่นางเกลียดทำสิ่งใด คนนั้นคือใครบางคนที่เป็นเจ้าของความลับใต้หน้ากากนั้นไม่ใช่เพียงบุรุษในนามห่าวหมิง แต่คือจางกงกง...จงฉางชื่อผู้วางแผนซ้อนแผน
ผู้ไม่เคยยอมให้ใครขโมยสายตาของคนที่เขาปรารถนาไปได้แม้จะเป็นแค่การนอนหลับอย่างไร้เดียงสาเช่นนี้ก็ตาม
เสียงลมยามเซินพัดเอื่อยเอนเถาวัลย์ม่วงเบื้องศาลา...กลีบดอกสีอ่อนปลิวลงแตะปลายผมของหญิงสาวที่ยังหลับพริ้มอยู่บนพื้นไม้ ดวงหน้าขาวผ่องนั้นช่างนิ่งงันเสียจนดูราวกับภาพวาดโบราณหนึ่งในภาพที่หากเขามีก็จะไม่ยอมให้ใครเห็นอีกตลอดชีวิตและนั่นเอง...ที่ความต้องการบางอย่างแปรเปลี่ยนในหัวใจของเขาอย่างเงียบงัน
มือของเขาหยุดนิ่งที่แก้มนวลของสตรีตรงหน้าก่อนจะขยับเปลี่ยนตำแหน่งช้า ๆ ราวกับต้องต่อสู้กับตนเองแม้มันไม่เคยชนะ นิ้วเรียวลูบต่ำลงไปที่ซอกคอขาวลูบผ่านไหปลาร้าใต้สาบเสื้อเบา ๆ ปลายนิ้วที่เย็นนั้นแนบลงกับผิวที่ยังอุ่นร้อนจากแดดยามบ่าย มันช่างขัดกัน...จนเขาเผลอสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ กลั้นแรงกระเพื่อมในอกของตนเอง ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นขยับเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงไปใกล้อีกนิดเงาของหน้ากากบดบังลมหายใจที่อุ่นระอุซึ่งรินรดข้างแก้มของหลินหยา
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเริ่มจากเมื่อไรหรือบางที…เขาไม่อยากรู้ เพียงแต่วินาทีนั้นเขาอยากทำบางอย่างกับนาง…อยากจะก้มลงจุมพิตปลายแก้มนวลนั้นเบา ๆ อยากจะชิม...เพียงเสี้ยวเดียวของหญิงสาวที่ไม่เคยยอมอ่อนให้เขาง่าย ๆ สักครา
“...ข้าไม่ควร...” เขาพึมพำเสียงแผ่วดวงตานั้นกระพริบช้าเหมือนลังเล แต่แล้วเขาก็ขยับใกล้ขึ้นอีก ริมฝีปากที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเกือบจะแตะผิวนวลนั้นแทบจะแตะอยู่แล้ว......ถ้าไม่ใช่เพราะเงาของใบไม้ที่พลันพริ้วผ่านบ่าของเขา พร้อมเสียงกระซิบของลมที่เหมือนจะกระตุกสติอสูรในคราบบุรุษผู้ดีให้หวนคืน
เขาชะงัก ถอนหายใจเบา ๆ พลางยกมือขึ้นแตะหน้ากากตนเองราวกับจะเตือนตน “เจ้าคงไม่รู้...ว่าข้าใช้แรงทั้งหมดที่มี เพื่อไม่ทำมากกว่านี้...” เขาพึมพำให้เธอฟัง...แม้นางจะหลับอยู่ก็ตาม เพราะหลินหยาคือบาดแผลเดียวที่เขาไม่อยากรักษาคือยาพิษเดียวที่เขาเสพติด และหากเขาก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว...เขาอาจไม่ได้อยู่ในใจนางเลย
เขาหันหน้าหนีจากใบหน้างามนั้นเพียงนิด สูดหายใจอย่างควบคุม แล้วนั่งลงข้างเธอด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นแต่ในใจกลับเผาไหม้...เหมือนพยัคฆ์ที่กอดซากเหยื่อไว้แน่นแต่ไม่อาจกัดกิน เขาหลับตาเงียบ ๆ ข้างเธอ ไม่ได้แตะต้องอีกแต่เพียงมือหนึ่ง...ยังวางไว้ที่ปลายนิ้วของเธอ และยามที่นางตื่นขึ้นมาเขาจะยิ้มแบบเดิม แล้วแกล้งเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นเลย
ปลายสายลมวังเวงแห่งยามเซิน…แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนตัวลงเหนือศาลาจื่อเถิงฮวาแต่แววตาของชายผู้สวมหน้ากากกลับฉายแสงอำมหิตอันเยียบเย็นราวพญางูเฝ้าถ้ำ เขานั่งนิ่งมือเรียวยังวางแนบอยู่กับปลายนิ้วของหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างเขา แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนยิ่งกว่าสายน้ำใต้ธารน้ำแข็ง เมื่อคืนคนของเขารายงานว่าหลินหยาเข้ามาที่ศาลาจื่อเถิงฮวาแห่งนี้ในยามไห่ พบกับ ขันทีฝ่ายแรงงาน คนหนึ่ง…ที่เขาเองไม่คิดว่าจะต้องจำชื่อมันด้วยซ้ำ แต่เพราะ…นางนั่งอยู่กับมันถึง สองชั่วยาม เขาจึงจำมันขึ้นใจทันที
สองชั่วยาม? นั่นมันไม่ใช่แค่การทักทายด้วยน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วร่ำลากันไป นั่นมัน…ความสนิทชิดใกล้ที่เขาไม่ได้รับ
จางกงกงบีบมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วสวมแหวนหยกขาวสะท้อนแสงเย็นวับ มุมปากภายใต้หน้ากากยกขึ้นนิดหนึ่ง…ยกในแบบที่ไม่มีใครกล้าบรรยายว่ารอยยิ้ม "เจ้าเริ่มชินกับเสรีภาพที่ข้ามอบให้งั้นหรือ?" เขาพึมพำราวกระซิบเย็นยะเยือก "หืม…หรือเจ้าคิดว่าที่นี่คือสวนหลังบ้านเจ้าหรืออย่างไร?" สายตาเขาลอบเหลือบมองหญิงสาวที่นอนพริ้มในแสงบ่ายอีกครั้งหนึ่ง "เจ้าอยากเป็นนกน้อยที่บินหนีจากกรงทอง? ได้…แต่จงรู้ไว้ว่าปีกของเจ้าก็ติดกลิ่นของข้าเสียแล้ว"
หากนางรู้…ว่านอกจากนางที่สะกดรอยแล้วคนที่นางพบเมื่อคืนถูกลอบสะกดรอยตามโดยคนของเขา หากนางรู้…ว่าเพียงที่นางเผลอหัวเราะให้ชายอื่น เขาก็มีชื่อของมันไว้ในบัญชีคนที่ ‘ควรเฝ้าดู’ เขาไม่ได้โง่พอจะปล่อยให้แมวน้อยตัวนี้หลุดจากมืออีกเป็นครั้งที่สองแต่เขาก็ไม่ได้โหดร้ายพอ…ที่จะฆ่าแมวที่ตนหลงใหลเพียงเพราะนางไปเล่นกับคนอื่น
อย่างน้อย…ก็ยังไม่ถึงตอนนั้น
จางกงกงโน้มตัวลงมาอีกครั้งเส้นผมยาวของเขาร่วงลงปลายคางหญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัว มือหนึ่งเขาแตะเบา ๆ ที่ปลายคางนางอย่างอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นความรักแท้และมากเกินกว่าจะเป็นเพียงมิตรสหาย "หากเจ้ารู้ความจริงเข้า…" เขาพึมพำแผ่วราวกระซิบใส่ผิวเนื้อของคนที่นอนอยู่ "เจ้าจะยังยอมให้ข้าอยู่ใกล้เช่นนี้อีกหรือเปล่านะ?"
ดวงตาใต้หน้ากากนั้นไม่ได้ยิ้ม...แต่กลับแฝงแสงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ราวกับความรู้สึกอยากจะกอดนางไว้แน่น ๆ พร้อมทั้งฉีกปีกของนางเองด้วยมือเปล่า บางที...เขาก็อยากเห็นว่า ถ้านางโกรธเขาจริง ๆ ขึ้นมา...จะกัดเขาแรงแค่ไหนกันแน่ในตอนที่ใจนางมีเขาอยู่ภายในนั้นหรือบางทีนางจะยอมให้เขากัดก่อนกันนะ?
ทว่าตอนนี้จางกงกงนิ่งค้างเงียบเสียยิ่งกว่าเงาไม้ที่ทอดแนบลงบนพื้นศาลาในยามบ่าย ใบหน้าของเขาโน้มลงมาเสียจนสามารถสัมผัสลมหายใจอ่อน ๆ ของหลินหยาได้ทุกครั้งที่นางหายใจเข้าออก แม้ดวงตาของนางยังหลับพริ้มแต่ผิวแก้มแดงระเรื่อนั้นกลับยิ่งกระตุ้นบางสิ่งในอกเขาให้ร้อนวูบขึ้น นิ้วเรียวที่แตะอยู่ปลายคางนางนั้นตอนนี้เกร็งแน่นขึ้นเล็กน้อย จางกงกงรู้…รู้ดีว่าเขาควรถอยแต่หัวใจกลับเฆี่ยนตีอย่างบ้าคลั่งราวปีศาจที่ถูกขังมานานกำลังร้องเรียกให้ปลดปล่อย
หนึ่งคืบ…ริมฝีปากของเขาห่างจากนางเพียงแค่หนึ่งคืบ หนึ่งคืบของหายนะ ของสิ่งที่ไม่ควร หนึ่งคืบของสิ่งที่เขา ห้ามทำ หากยังอยากมี ‘หลินหยา’ อยู่ข้างกายต่อไป แต่แล้วแววตาใต้หน้ากากกลับสั่นระริก ความรู้สึกโหวงวาบที่ก่อเกิดขึ้นในอกไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิด
แต่เพราะมัน ตื่นเต้น
“เจ้า...ไม่รู้เลยหรือว่าทำกับข้าไว้อย่างไรบ้าง…” เสียงกระซิบที่พ้นออกจากริมฝีปากของเขานั้นต่ำเกินกว่าจะเป็นเสียงของคนที่ควรพูดกับสตรีในยามหลับ เสียงที่ทั้งแผ่วเบา...ทั้งเยียบเย็น ทั้งคล้ายคำวิงวอนและคำสาปแช่งในคราเดียวกัน “เจ้าจูบข้าก่อน…เจ้าทำให้ข้าเฝ้าคิดถึงรอยจูบแผ่ว ๆ ที่ต้นคอในยามหลับตา และตอนนี้เจ้าหลับอยู่ตรงหน้า…เหมือนบอกข้าว่า ข้าทำอะไรกับเจ้าก็ได้…ใช่หรือไม่?” เสียงขบกรามเบา ๆ ดังขึ้นในลำคอ แววตาเขาแดงวาบขึ้นวูบหนึ่งจากแรงอารมณ์ที่เกือบเอ่อล้น
มือข้างที่ยังวางอยู่ที่ปลายคางของหลินหยา…ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากนางด้วยปลายนิ้วแผ่วเบา เย็นเฉียบและสั่นน้อย ๆ ราวจะระงับความรู้สึกที่เริ่มเกินควบคุม ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น เขาอยากแตะมันด้วยปากของตัวเอง แต่…เขายังห้ามตัวเองได้ "แค่จูบเดียว...แค่จูบเดียว...เจ้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำ" แต่เสียงในหัวอีกด้านกลับกระซิบว่า ‘หรือเจ้าจะให้ตื่นขึ้นมาทันทีที่สัมผัส...ให้ดวงตาคู่นั้นจ้องข้าตอนที่ข้ากำลังทำผิดต่อนางอยู่เต็มสองตา’
จางกงกงสะบัดหน้าเล็กน้อยราวจะดึงตัวเองจากห้วงดำมืด ก่อนที่มือที่แตะริมฝีปากของหลินหยาจะผละออกอย่างรวดเร็วราวกับมันร้อนจัด แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนพิงเสาศาลาหันหลังให้เธอทั้งที่ยังได้ยินเสียงลมหายใจนุ่ม ๆ ของนางอยู่ข้างหลัง ดวงตาใต้หน้ากากนั้นหลุบต่ำเสียงหัวใจในอกยังเต้นไม่หยุด
“อย่าให้ข้าหลงใหลเจ้าไปมากกว่านี้เลย หลินหยา…” เขาพึมพำ “เพราะหากข้าหลงใหลมากกว่านี้…มันอาจไม่ใช่ความรักเลยก็ได้”
ในยามบ่ายที่ลมร้อนกรุ่นกรายจากทุ่งข้างทางทอดตัวมาสู่ศาลาจื่อเถิงฮวา เงาเถาวัลย์ม่วงพลิ้วไหวเบาบางไม่อาจกันแสงแดดได้ทั้งหมด แสงอ่อนจึงกระทบผิวหน้าของหลินหยาที่หลับใหลอยู่กลางศาลา…ขับให้ใบหน้านวลนั้นขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อยราวดอกท้อที่กำลังจะผลิบาน หญิงสาวพลิกตัวเล็กน้อย มือเรียวเลื่อนขึ้นปัดบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนคล้ายไล่ความร้อนพลางส่งเสียงครางแผ่วเบาราวแมวกำลังงอแง หลับก็ไม่สนิท ตื่นก็ไม่ตื่น เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดที่ขมับด้านขวา
จางกงกงที่พิงเสาศาลาอยู่ก่อนแล้วขยับตัวอย่างเชื่องช้า เงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่รุกล้ำเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยสีหน้าแปลกประหลาดก่อนที่สายตาจะวกกลับมามองหลินหยาอีกครั้ง "...ร้อนหรือ" เขาพึมพำกับตัวเอง ไม่ได้ถามให้นางตอบแต่เหมือนทดสอบบางอย่างในจิตใจของตน แล้วก็หัวเราะจมูกเบา ๆ “ช่างเถอะ ร้อนก็ให้ร้อนสิ เจ้าเคยเผาใจข้าให้ลุกเป็นไฟยังไง ตอนนี้ก็แค่เจอเพลิงแดดเสียบ้าง...เจ้าจะหนีไปไหนได้”
แม้จะกล่าววาจาเย้ยหยันเช่นนั้นแต่ท่าทางกลับไม่สอดคล้องแม้แต่น้อย มือของเขาขยับช้า ๆ ไปที่แขนเสื้อด้านใน พลิกข้อมือหยิบพัดผ้าไหมสีมืดลายมังกรล่องเมฆเล่มบางออกมา แล้วเขาก็นั่งลงใกล้ร่างที่ยังหลับพริ้มอยู่ตรงหน้า เสียง “ฟึ่บ” เบา ๆ ของพัดกระทบอากาศดังขึ้นช้า ๆ สม่ำเสมอในจังหวะที่น่าหงุดหงิดไม่ใช่เพราะลมมันแรงหรือน้อยเกิน แต่เป็นเพราะ…มันกำลังถูกพัดวีให้กับ นาง
มือเรียวเยือกเย็นของเขานั้นขยับอย่างคล่องแคล่วแต่ ไม่เต็มใจนัก บางครั้งก็หยุดกลางคันคล้ายจะถอนใจ บางครั้งก็หยุดวีไปเสียดื้อ ๆ แล้วมองนางตาขวาง แต่สุดท้ายก็กลับมาวีใหม่ด้วยท่าที เหมือนประชดตัวเอง
"เจ้าไม่ควรจะได้อะไรแบบนี้หรอกนะ...แต่เจ้าได้เสี่ยวหยา" เสียงเขาเบาราวคำสาปหรือบทกลอนแช่งเงียบ ๆ ที่จบลงด้วยสายตาที่ทอดมองผิวนวลที่ยังมีหยาดเหงื่อซึมเบา ๆ จางกงกงยกพัดขึ้นช้า ๆ แล้วก้มลงกระซิบเบาใกล้ใบหูของหลินหยา เสียงเขาช่างอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดแต่หากฟังให้ลึกกลับชวนให้รู้สึกวาบวาบไม่ไว้ใจ “เจ้านี่มัน...เป็นนางปีศาจจริง ๆ …ให้ข้าแตะเจ้าไม่ได้แต่กลับทำให้ข้าอยากทำมากขึ้นทุกที”
แล้วเขาก็ถอนหายใจเหมือนแพ้ เหมือนโมโหตัวเองแต่พัดก็ยังเคลื่อนไหวในมือเขาต่อไปช้า ๆ เนิบ ๆ อย่างอดทน...อย่าง คนที่กำลังกล้ำกลืน ว่าแม้จะรำคาญแค่ไหน ก็เลิกไม่ได้อยู่ดี
เสียงพัดผ้าไหมที่โบกวนเวียนเหนือร่างของหลินหยานั้นทั้งนุ่มนวลและสม่ำเสมอ…เย็นพอให้สบายแต่ไม่แรงจนสะดุ้ง มือของจางกงกงขยับขึ้นลงอย่างมีจังหวะ นัยน์ตาหลังหน้ากากยังจับจ้องใบหน้าของนางไม่ลดละราวกับใช้สายตาสลักลายเส้นทุกเส้นบนใบหน้านั้นลงบนสมองของตน และแล้ว...ในจังหวะที่เงียบสงัดที่สุดของศาลา ขนตาหนาฟูยาวงอนงามสีดำสนิทของหลินหยาก็ขยับกระพริบเล็กน้อย แล้วดวงตาหวานคู่นั้นก็ปรือเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางแสงบ่ายรำไรและลมพัดอ่อน ใบหน้าเธอแดงระเรื่อจากไอแดดและการนอนม้วนตัวอย่างสบาย มือเรียวยกขึ้นปัดไรผมก่อนที่จะมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างเลือนราง
ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้า กำลังนั่งเอียงตัวพัดให้นาง ใบหน้าครึ่งล่างของเขาเปื้อนรอยยิ้มแผ่วที่อ่านไม่ออกว่าเยาะหยันเจ้าเล่ห์ หรือกลืนอารมณ์อื่นใดเอาไว้กันแน่ แต่แววตาหลังหน้ากากนั้น…มันจ้องนางแน่นิ่ง จ้องเสียจนเหมือนเขาจะหลุดออกจากโลกใบนี้ไปแล้วและผู้หญิงตรงหน้าคือสิ่งเดียวที่ยังรั้งเขาไว้
"...หืม…อืม?" หลินหยาครางเบา ๆ ขณะกระพริบตาอีกสองสามที เสียงนั้นนุ่มลึกหวานละมุนจากการเพิ่งตื่นนอน ริมฝีปากแดงน้อย ๆ แห้งติดกันแล้วเผยอออกน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว สีหน้าเธอยังงุนงง ดวงตาเปียกฉ่ำแววระยับด้วยละอองน้ำที่ยังไม่มลาย มือข้างหนึ่งยันพื้นขณะที่ผมเผ้าปล่อยยาวหล่นระบายไหล่…เส้นผมบางเส้นแนบแก้ม
ในชั่วพริบตานั้นเอง
มือของจางกงกงหยุดนิ่งพัดในมือร่วงลงกระแทกพื้นศาลาอย่างเงียบงัน ดวงตาใต้หน้ากากของเขาขยายขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกไปชั่วขณะ หลินหยาในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่หญิงสาวที่ดื้อรั้นเฉลียวฉลาดหรือปากกล้าระรานเขาเสมอไป แต่ตอนนี้เธอคือภาพลวงตา…ความฝันซ้อนฝัน…ปีศาจสาวจากตำราโบราณที่มีแต่จะดูดกลืนสติเขาทั้งเป็น
“...อา...ดูท่าจะเป็นเอามาก” เสียงกระซิบต่ำแทบไม่ออกจากลำคอเขาริมฝีปากหยักยกขึ้นเพียงเล็กน้อย “ตื่นแล้วหรือ เจ้าปีศาจในร่างแม่นางน้อยเสี่ยวหยา” เขานั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีจะถอย หนำซ้ำยังโน้มกายลงมาเล็กน้อย ใช้หลังนิ้วข้างหนึ่งลากจากแนวไรผมที่ห้อยลงริมแก้มจนถึงปลายคางที่เพิ่งเคยวางมือนิ่ง ๆ ไม่กี่อึดใจเมื่อครู่ น้ำเสียงของเขาทั้งเบาและหนาวเย็นราวจะสะกดใจ “เจ้ารู้ตัวไหมว่าใบหน้าแบบนี้น่ะ…ฆ่าคนได้เลยนะ” น้ำเสียงเยือกเย็น แต่ดวงตากลับร้อนระอุจนแทบจะแผดเผาทั้งศาลาให้มอดไหม้ไปพร้อมหัวใจของเขา
หลินหยาปรายตามองเขาอย่างงุนงงตอนที่อีกคนบอกแบบนั้น ทั้งที่สมองยังหมุนช้าอยู่จากการเพิ่งตื่น แสงบ่ายอุ่นส่องลอดร่มเงาเถาวัลย์ที่คลุมอยู่เหนือหลังคาศาลา ขับให้ใบหน้าของชายตรงหน้าเธอดูราวกับภาพวาดลึกลับที่มีชีวิตจริงในความฝันซ้อนฝัน หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นพัดผ้าไหมตกอยู่ข้างตัวเธอ ขณะที่อีกฝ่าย...ยังโน้มตัวอยู่ตรงนั้นจ้องเธอไม่วางตา "ท่าน...มาได้ยังไง..." นางเอ่ยเสียงเบาน้ำเสียงแหบพร่าจากการหลับตากแดด แต่ทว่าแฝงความเคลือบแคลงชัดเจน
จางกงกงในคราบห่าวหมิงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขากลับยังคงมองเธออย่างนั้น…มองเหมือนจะถอดผิวหนังของเธอออกมาอ่าน เขานิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่ควบแน่นในดวงตา "ข้าแค่หลับ...แต่ท่านนี่สิ...อยู่ดีไม่ว่าดีมาพัดวีให้ข้าทำไมกัน?" หลินหยาพูดต่อแต่แววตายังเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจ นิ้วมือเรียวขยับเล็กน้อยเหมือนกำลังชั่งใจว่าจะยันตัวลุกหรือไม่แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาก่อนหน้ากลับวนเวียนในหัวเธอเสียก่อน
ปีศาจในร่างข้าหรอ…?
“...ท่านนั่นแหละปีศาจ...ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย...” เธอบ่นพึมพำงัวเงียออกมาในขณะที่พยายามยันกายลุกขึ้นจากพื้นศาลา ข้อมือหนึ่งยันพื้นอีกข้างเลื่อนจับผนังเบา ๆ เพื่อพยุงตัว ใบหน้านวลมีรอยยับจากการนอนแต่กลับยิ่งน่ามองในแววตาของชายผู้สวมหน้ากาก ริมฝีปากแดงเรื่อแย้มเล็ก ๆ อย่างไม่รู้ตัวคล้ายคนยังไม่หลุดจากภวังค์ของฝัน
เสียงการขยับกายของเขาขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เงาของเขาทอดยาวทาบทับร่างของเธออย่างช้า ๆ ขณะที่นางยังทรุดตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งอยู่เช่นนั้น ใบหน้าของเขาโน้มลงมาต่ำกว่าระดับตา ก่อนที่มือหนึ่งจะยื่นมาช่วยประคองอย่างเงียบงันแต่ไม่ขออนุญาตใด ๆ ทั้งสิ้น “พัดให้ก็ผิด...มองก็ผิด...เรียกเจ้าว่าปีศาจก็ยังผิดอีกหรือเสี่ยวหยา?” เขาเอ่ยช้า ๆ คล้ายยั่วล้อแต่แฝงความทึมทึบในน้ำเสียงนั้น ราวกับเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงพาตัวเองกลับมาที่นี่...ทั้งที่รู้ว่ามาแล้วก็ยากจะควบคุมใจตัวเอง
หลินหยาหันขวับ ดวงตายังติดง่วงแต่เริ่มชัดขึ้นจากความรู้สึกบางอย่างในคำพูดและน้ำเสียงนั้น “ก็ใช่น่ะสิ! ท่านมัน…ป่วยจิต!” แล้วก็คว้าแขนเสื้อเขาไว้ยันตัวขึ้นจนได้ สายตาของเธอมองเขาอย่างระแวดระวังปนเหนื่อยใจ
แต่แทนที่จะโต้กลับจางกงกงกลับระบายรอยยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มที่เหมือนคนเพิ่งถูกเด็กสาวที่ตนเองแอบหลงรักด่าตรง ๆ ว่า ‘ป่วยจิต’ แล้วยังรู้สึกว่า...เสียงนั้นน่าฟังนัก “ข้าป่วยจิต? ก็ดีสิ...” เขาเอ่ยเสียงเบาแล้วก้มศีรษะลงมาอีกนิด กระซิบที่ข้างหูนางด้วยน้ำเสียงราวกับจะกลืนกินหัวใจให้ละลาย “งั้นเจ้าก็อย่าเผลอทำให้ข้าคลั่ง...เพราะหากจิตของข้ามันไม่คืนรูปอีกต่อไป เจ้าจะหนีไม่รอดแล้วนะ...เสี่ยวหลินหยา” เสียงสุดท้ายนั้นต่ำลึกเสียจนชื่อของเธอแทบแปรเปลี่ยนเป็นคาถาล่ามโซ่หัวใจ
ในคราแรกหลินหยาอยากจะด่าหัวอีกคนเอาเขาสักทีแต่ทว่านางกลับได้รับกลิ่นอะไรบางอย่างเข้าจมูกก่อนเพราะเขาขยับเข้ามาใกล้นางมากในตอนนี้ กลิ่นบางอย่างที่เหมือนกับกลิ่นของสุรารสเลิศและน้ำหอมของอิสตรี..หลินหยาจึงกรอกตาใส่กับชายหนุ่มตรงหน้านาง รู้ดีว่าเขาไปหอว่านหงเหรินก่อนมาที่นี่ในทุกวัน แต่วันนี้เขาคงจะดื่มสุราไปด้วยและนางก็แทบไม่ต้องถามว่ากลิ่นน้ำหอมที่นางได้กลิ่นนั้นมาจากไหน..
“สนุกดีไหมล่ะ? ที่หอว่านหงเหรินนั้นน่ะ”
จางกงกงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำของหลินหยา ดวงตาที่เคยวาววับด้วยความพึงใจฉับพลันแปรเปลี่ยนไปชั่ววูบหนึ่ง สีหน้านั้นดูคล้ายจะหัวเราะแต่ไม่ขำแม้แต่น้อย หลินหยาหรี่ตาใส่อีกคน มือข้างหนึ่งยกขึ้นปัดฝุ่นตามชายเสื้อคลุมของตนเองอย่างจงใจจะไม่สบตา เขาอุตส่าห์ทำเสียงพร่าแหบหลอนขนาดนั้นตอนกระซิบชื่อเธอข้างหู แต่กลิ่นสุราบาง ๆ ที่คลุ้งลอยตามลมหายใจของเขานั่นแหละทำให้นางแทบจะอยากทิ่มเข่าซัดท้องเขาเสียให้จุก "กลิ่นสุรา กับ...กลิ่นดอกเยว่ฮวาเจือมะลิ...หวานเชียวนักล่ะ" เธอพึมพำเสียงเย็น สายตาเลื่อนมองตั้งแต่ปลายผ้าคลุมไหล่เขาขึ้นไปจนถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากครึ่งซีก "วันนี้นี้...ข้าคงเป็นแค่แขกประจำศาลาเถิงฮวา ส่วนท่านคงไปเป็นแขกประจำหอว่านหงเหรินสินะ?"
นางยิ้มมุมปากให้แต่ไม่มีความขบขันแม้แต่น้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หากเป็นสุราก็คงแรงพอจะเผาใจให้ไหม้ "สนุกดีไหมล่ะ...มีคนใหม่ให้ลองแทนที่ข้าในหอว่านหงเหรินน่ะ? หรือว่านางให้บริการดีกว่าข้าเสียอีก?" คำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ ดวงตาของหลินหยามีแววประชดเจือความหมางเมินอย่างชัดเจนบ่าของนางขยับขึ้นนิดหนึ่งเหมือนจะถอนหายใจแต่กลั้นไว้ เส้นผมบางส่วนไหลระคนไปกับสายลมยามเย็น หญิงสาวหมุนตัวเล็กน้อยเพื่อจะเดินออกห่าง ท่าทีเยือกเย็นไม่ต่างจากมีดบางที่เชือดช้า ๆ โดยไม่ต้องลงแรงมาก
แต่จางกงกง...หาได้เป็นเช่นเหยื่อเช่นนั้นไม่ เขาก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งจับหลินหยาให้หันเข้ามาหาเขาเช่นเคยแล้วกระชากความนิ่งของอากาศทันที "ที่หอว่านหงเหรินน่ะหรือ?" เสียงของเขาต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในน้ำเสียงไม่มีความขอโทษ ไม่มีความเขินอาย มีเพียงความแหลมคมเยือกเย็นจนแทบสะกิดแผลในใจให้หลินหยาสะดุ้ง
"เจ้าหึงหรือ?" คำถามนั้นมาพร้อมกับเงาที่บดบังแสงอาทิตย์บ่ายเต็มศาลา เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยอีกครั้ง เจ้าของหน้ากากครึ่งซีกขยับชิดจนแผ่นหลังของหลินหยาแทบจะปะทะกับเสาไม้ศาลาโดยไม่รู้ตัว "แต่นางไม่ใช่เจ้า เสี่ยวหยา" เขาว่าอย่างราบเรียบ ลมหายใจเป่ารดแนวกรามของนางโดยไม่ตั้งใจหรืออาจตั้งใจมากเกินไปก็ได้ "กลิ่นนั้น...ติดมาจากปลายเสื้อข้าเอง ไม่ใช่บนตัวข้า...อยากพิสูจน์ไหมล่ะ?"
หลินหยาจ้องเขาตาขวางมือเธอกำแน่นจนเส้นเอ็นขึ้น เขาพูดจาเหมือนคนที่ไม่รู้จักคำว่า 'รู้สึกผิด' และไม่มีทีท่าว่าจะคิดแก้ตัวในแบบที่คนทั่วไปควรทำ หากแต่มากกว่านั้น......เขากลับดูจะเพลิดเพลินกับการเห็นนางหึงหวงมากกว่าที่ควรจะเป็น
หลินหยายืนตัวตรงน้ำเสียงห้วนห้าวทั้งที่ยังขมวดคิ้วหน้านิ่งไม่หลบสายตาคนตรงหน้าแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้หึง ท่านคิดอะไรมาก็ผิดหมด ข้าแค่เหม็นกลิ่นสุราไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำว่าท่านไปคลุกคลีกับใครหรืออิสตรีใดมาบ้าง!” นางพูดกระแทกเสียงในช่วงท้าย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงแต่ก็ไม่วายปรายตากลับราวกับอยากให้คำพูดของตนเจ็บแสบเสียจนอีกฝ่ายหน้าชาไปเลย
จางกงกงยิ้มมุมปากเบา ๆ เมื่อได้ยินราวกับคนที่ไม่ได้สะเทือนอะไรเลยทั้งสิ้น เขาขยับก้าวเข้าหาอีกนิด ชิดเข้ามาอีกหน่อยจนหลินหยารู้สึกถึงแรงลมหายใจอุ่น ๆ ที่กระทบแก้มบางของตนอีกครา ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกบดบังด้วยหน้ากากสีดำขลับที่ลายขอบทองสะท้อนแสงตะวันยามเย็นพอดิบพอดี
“ไม่หึง?” เขาทวนเสียงนุ่มคล้ายกระซิบติดหู นัยน์ตาที่มองต่ำลงยังกึ่งกลางลำคอของนางฉายแววราวกับนักล่ากำลังเพลินกับการหยอกเหยื่อที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงเล็บตนเอง “แล้วทำไมหน้าเจ้าตึงนักล่ะ แม่นางไม่หึงทั้งที่คนอื่นเขาลูบแขนข้า ลากข้าไปกินเหล้ารำสุรา เอียงตัวกระซิบคำหวานข้างหูไม่หยุด?”
หลินหยาเบะปากทันทีที่ได้ยินยิ่งคิดภาพตามอารมณ์ยิ่งขุ่นมัวกว่าที่เคย "แล้วท่านจะให้ข้าทำอะไรเล่า? จะให้ดมพิสูจน์หรือยังไง? ข้าไม่ใช่หมานะ!" นางตอบทันควัน น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด ขณะที่มือทั้งสองข้างกำแน่นข้างลำตัว ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งต่อต้านก็ยิ่งตกหลุมพรางแสนสนุกของเขาเข้าเต็มประตู ทว่านั่นแหละ...มันคือสิ่งที่จางกงกงรออยู่
เขาโน้มตัวลงอีกนิดแสร้งกระซิบใกล้จนไรผมของหลินหยาสะบัดไหวตามแรงลมหายใจ แล้วกล่าวด้วยเสียงพร่าและเจือกลิ่นเย้าแหย่ตามแบบฉบับของจงฉางชื่อผู้นี้ “เจ้าจะไม่ดมก็ได้...แต่ถ้าอยากพิสูจน์จริง ๆ...ก็ต้องชิมต่างหาก”
“…ชิม?” หลินหยาเลิกคิ้วทันทีดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนใจถาม “ชิมอะไรของท่าน?”
“ริมฝีปากข้า” เขาตอบโดยไม่รีรอแล้วก็หัวเราะเบา ๆ อย่างเป็นสุข ยามเห็นใบหน้าของนางแทบควันขึ้นหู “กลิ่นน้ำหอมมันติดมาจากริมฝีปากใช่หรือไม่เจ้าถึงได้เข้าใจผิดหนักหนาเช่นนี้?” เขาแสร้งถอนหายใจอย่างเวทนา “ถ้าอย่างนั้นก็ชิมเสียหน่อยจะได้รู้ว่าเป็นกลิ่นของใครกันแน่”
“ทะ…ท่านมันบ้า!” หลินหยาแทบจะกระทืบเท้าลงพื้นแต่เพราะตอนนี้เขาอยู่ใกล้เหลือเกิน เธอเลยทำได้เพียงหรี่ตาใส่แล้วหมุนตัวจะเดินหนีทว่าข้อมือของนางกลับถูกคว้าไว้อีกครั้งเหมือนทุกที จางกงกงไม่ได้รั้งแรงนัก...แต่ทำพอให้หลินหยาหันกลับมามองแล้วกระซิบต่อในน้ำเสียงที่ดึงให้หัวใจเต้นดังเหมือนกลองรบ “ไม่ต้องกลัวไปนะ...ข้าไม่เคยให้ใครชิมก่อนถ้าข้าไม่อยากให้ชิม” คำคำนั้นหล่นลงกลางอากาศราวกับตะปูปักกลางอกหลินหยาทันที
"ข้าบอกว่า….!" หลินหยายังไม่ทันได้สะบัดคำต่อให้จบดี มือของนางก็ยังคงถูกรั้งไว้แน่นแนบแน่นอยู่ในอุ้งมือของบุรุษผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้า ริมฝีปากของเขายังคงแตะแนบรอยยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายจะล้อเลียนเสียยิ่งกว่าหยอกเย้า...แต่ดวงตาคู่นั้นตาคมวาวที่มองทะลุถึงความวาบหวิวในอกนางกลับยิ่งทิ่มแทง
"เช่นนั้นพรุ่งนี้" จางกงกงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นปนหยอกเย้า ขณะใช้แรงดึงข้อมือนางให้นางถลาเข้ามาใกล้เขาอีกก้าว ใกล้จนปลายจมูกแทบชนกัน “ลองไปพิสูจน์ที่หอว่านหงเหรินด้วยตาตัวเองดีหรือไม่ ว่ามีสตรีใด 'มายุ่งเกี่ยวกับข้า' จริงหรือเปล่า?” หลินหยาเบิกตาเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันตอบ เขาก็พูดต่อเสียแล้ว "อย่ากังวล เถ้าแก่หลิวไค่ไม่แตะต้องเจ้าแน่นอน ไม่ว่าจะหอว่านหงเหรินหรือโรงชาเมฆาซ่อนจันทร์ หากเจ้าจะเดินย่างกรายเข้าไปข้าก็จัดการได้ดั่งลัดนิ้วมือ"
“…จะพูดให้ฟังดูดีทำไม ท่านมันป่วยจิต!” หลินหยาถลึงตาใส่ สะบัดข้อมืออย่างแรง แม้ไม่หลุดออกแต่เธอก็ยังเงื้อมืออีกข้างขึ้นเหมือนจะฟาดมันเสียให้รู้แล้วรู้รอด “จะลากข้าไปเหวอะไรอีก พรุ่งนี้จะไปหอว่านหงเหรินงั้นเรอะ!? เอาเวลานั้นไปตามหาท่านจางทังดีกว่าไม่ใช่รึ!”
จางกงกงยังคงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาขยับหน้าก้มลงต่ำ กระซิบเบา ๆ ข้างหูของหลินหยาอย่างอ้อยอิ่งเสียงพร่าแหบที่เปื้อนยิ้มราวจะกัดลึกเข้าไปถึงเส้นประสาท "อยากให้ข้าตามหาใคร เจ้าก็ต้อง 'อยู่ให้จับตา' ให้ข้าทำงานสิแม่นางน้อย ข้าจะได้มีแรงใจ...ว่าเจ้าจะไม่หายไปพร้อมชายอื่นที่ไหนอีก" เขาพูดอย่างนั้นก่อนจะปล่อยข้อมือนางลงในที่สุด แต่ไม่ได้ถอยออก เขากลับยื่นมือข้างหนึ่งไล้เบา ๆ ที่แขนเสื้อของหลินหยาราวกับจะลบลายน้ำหอมที่อาจจะติดอยู่จากหอที่ตนเคยเหยียบย่าง ก่อนกระซิบชิดข้างแก้ม "อีกอย่าง...จะไปหอว่านหงเหรินกันทั้งที หากมีแม่นางหลินหยาผู้เคยเป็นขวัญใจของที่นั่นร่วมด้วยข้าว่าน่าสนุกดีมิใช่หรือ?"
"ข้าอยากจะเอาไม้หน้าสามฟาดหัวท่านให้หน้าแหก!" หลินหยาว่าเสียงลอดไรฟัน หน้าขึ้นสีเรื่อระคนโกรธ แต่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงอาการเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากเงาสะท้อนของรอยยิ้มรื่นรมย์ในดวงตา...เหมือนผู้ชายโรคจิตที่กำลังสนุกกับการลอบมองแมวตัวน้อยดิ้นกระเส่าในกรงและดูท่าเขา...ก็กำลังอยากขังแมวตัวนี้ไว้ในกรงของเขาเองเสียด้วยสิ
หลินหยากรอกตาใส่อีกฝ่ายช่วงนี้แค่คุยกับเขานางก็อารมณ์ขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะอารมณ์ขึ้นแบบดี ๆ นะ อารมณ์ขึ้นแล้วกำหมัดน่ะสิ นางเลยเบ้ปาก "แบล่!" หลินหยาว่าแล้วแลบลิ้นใส่พร้อมกอดอกสะบัดหน้าหนี ริมฝีปากน้อย ๆ นั้นเบ้ปากราวจะบอกว่าแค่ยืนใกล้ก็จะสำลักอากาศเสียให้ได้ “พรุ่งนี้ข้าจะตามไปดูก็เพื่อถามเรื่องท่านจางทังหรอกนะ ไม่ใช่ว่าอยากเจอหน้าเจ้าสักหน่อย อย่า เข้า ใจ ผิด!” หญิงสาวกล่าวเสียงแข็งย้ำทุกคำอย่างคนที่ทั้งโกรธทั้งขัดใจแต่กลับดูเหมือนลูกแมวขู่ฟ่อใส่พญาเสือเสียมากกว่า
ขณะที่เจ้าตัวกำลังจะหันหลังเดินออกไปสีหน้าท่าทางนั้นก็ฉายชัดว่า ‘จะไปให้พ้น ๆ หน้าซะที’ อย่างไม่ปิดบัง แต่ไอ้คนตรงหน้าน่ะสิ คนที่ควรจะสะท้านกลัว...กลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคออีกครั้ง ทั้งที่ยืนพิงเสาศาลาอยู่ตามเดิม ราวกับไม่มีอะไรใดจะทำให้เขาสะเทือนใจได้แม้แต่นิด
"หืม..." จางกงกงในคราบห่าวหมิงขยับปลายนิ้วเกลี่ยพัดที่ยังถืออยู่ช้า ๆ คล้ายกำลังวาดลมตามจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นเร่งจากความบันเทิงมากกว่าความโกรธ “เจ้าจะไปหาจวินจู่หรงเล่อที่จวนหวยหนานหวางงั้นหรือ? หรือรอบนี้จะไปเดินเล่นกันที่ตลาดเหมือนทุกที?” ดวงตาหลังหน้ากากที่เคยสงบเย็นฉ่ำชั่วพริบตากลับสะท้อนแสงวาบไม่ใช่แสงแห่งความหึงหวงอย่างเปิดเผย แต่เป็นความเยือกเย็นราววังน้ำวนที่พร้อมกลืนกินใครก็ตามที่หลินหยาหันหน้าไปหา "ดี" เขาพึมพำตามหลังเสียงเบา “อย่าลืมกลับเร็ว ๆ แล้วกัน ข้าจะได้ฝันถึงเจ้าตอนกลางคืนโดยไม่ต้องค้างคาใจว่าถูกใครแย่งไปทั้งตัว...ทั้งหัวใจ”
คำท้ายพร่าแผ่วแต่หลินหยาที่ได้ยินกลับชะงักเท้าไปครึ่งก้าว หันขวับกลับมาเบิกตาใส่เหมือนจะตะโกนถาม "เมื่อกี้พูดอะไรนะ!" นางเปิดปากและพัดในมือเขาก็ถูกยกขึ้นมากั้นครึ่งล่างใบหน้าไว้เสียแล้ว มีเพียงดวงตาคมใต้หน้ากากที่มองตรงกลับมาอย่างไม่หลบเลี่ยง "เจอกันพรุ่งนี้ แม่นางน้อย" เสียงหัวเราะแผ่วแทรกมาอีกครั้งในลมที่ผ่านระหว่างใบพัด "ข้าเฝ้ารออยู่ที่เดิม...พร้อม ‘คำตอบ’ บางอย่างที่เจ้าควรเตรียมมาให้ข้า" หลินหยาถลึงตาใส่อีกครั้ง ก่อนจะหันหลังสะบัดชายเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่สะบัดเหมือนจะฟาดอารมณ์ปะทะลมยามเย็น แต่ถึงจะเดินจากไปไกลแค่ไหน เสียงกระซิบสุดท้ายของใครบางคนก็ดูเหมือนจะไล่ตามมาติด ๆ...คล้ายจะกระซิบในใจไม่ยอมให้ลืม
"จะกลับไปหาสหายรักหรือจะหนีข้าไปจากใจเจ้ากันแน่...เสี่ยวหยา"
@Admin
พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: เห่อ สุขใจ ผปค สุขใจ
รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม
(เต็มสักที ปลด 10 ดวงโว้ยยย)