ถิ่นฐานแต่ละแห่งมีธรรมเนียมปฏิบัติแตกต่างกัน…
ศาลบรรพชนของสกุลตวนมู่กราบไหว้ปีละครั้งในวันชิงหมิง ศาลบรรพชนของสกุลเหนียนและสกุลจูลูกหลานฝ่ายหญิงมิได้รับอนุญาตให้เข้าไป แรกเริ่มนางมิค่อยเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติคาดเดาว่า หอบูชาบูรพกษัตริย์ คือสถานที่สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ย่อมไม่คิดเฉียดกรายเข้าใกล้
ทว่าพระราชเสาวนีย์ล่าสุดประกาศว่า “ฝ่าบาททรงมีความกตัญญูอย่างมาก ดูเหมือนนี่จะใกล้ช่วงปลายปีแล้ว เพื่อให้ปีนี้ต้าฮั่นผ่านไปได้อย่างสงบสุขและผาสุก เหล่าสนมและพระชายาต่างพากันแวะเวียนมาสวดมนต์ขอพรจากเหล่าบรรพชนให้ช่วยปกปักษ์คุ้มครองต้าฮั่นสืบไป และดูแลความเรียบร้อยของศาลบรรพชน”
เพื่อแสดงความกตัญญูต่อเชื้อพระวงศ์และบูรพกษัตริย์แต่ปางหลัง สตรีสูงศักดิ์ในวังหลายผู้ล้วนเข้ามาชุมนุมอย่างชิดเชื้ออยู่ที่หอบูชาบูรพกษัตริย์แห่งนี้ หญิงสกุลตวนมู่มองเห็นสนมนางในที่พอคุ้นหน้าอยู่บ้างหลายคน พวกนางยอบกายกึ่งคำนับตามประเพณี มีเพียงผู้เดียวที่กิริยาท่าทางแตกต่างออกไป “เจ้ามาแล้วหรือ”หญิงสกุล A เอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม ก้าวตรงมาหานาง ฟังจากคำเรียกขานนับว่าสนิทสนมกันมาก “ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งถูกพลิกป้ายปรนนิบัติ ความจริงไม่ควรจะมา…” อวิ้นเหมยใช้พัดกลมป้องปากกระซิบอย่างห่วงใย นัยน์คล้ายชำเลืองมองไปทางด้านหนึ่ง อวิ้นเหมยเป็นธิดาขุนนางฝ่ายหวู่ขั้นสาม พบเจอกันหลายครั้ง บ้านท่านตาของนางอยู่ที่เจียงหนาน ย่าของหลงเยวี่ยและยายของอวิ้นเหมยไปมาหาสู่กันประจำจึงพลอยสนิทกันไปด้วย
หลงเยวี่ยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้น้ำเสียงและสีหน้าผ่อนคลายลงมาก “ข้าไม่มาก็คงถูกเล่าลือในทางชั่วร้าย มีเพียงอยู่ที่นี่จึงจะไม่มีผู้ใดตำหนิข้าได้”
“ฝ่าบาทโปรดปรานเจ้า ยังจะมีผู้ใดตำหนิเล่า” อวิ้นเหมยเอ่ยเสียงเย้า ใบหน้าของหลงเยวี่ยกลับหม่นแสง มุมปากกลับยกยิ้มชืดชา “พี่หญิงเหมยล้อเล่นแล้ว”
น้ำพระทัยฝ่าบาทยากจะหยั่ง ทว่าหลงเยวี่ยย่อมรู้ว่าสายตาที่ฝ่าบาทมองนาง หาได้มีความลึกซึ้งผูกพันไม่ หากว่าสิ่งนี้มิอาจทำให้นางท้อใจแล้วเช่นกัน สายตาของหญิงสาวพลันคมกริบขึ้นมา
“หาแต่ถ้าพวกนางคิดลองดีกับข้าจริง…ยังต้องดูว่าขวัญกล้าเพียงใด” อวิ้นเหมยรู้สึกว่าคำกล่าวนี้แฝงรังสีพิฆาตก็ขมวดคิ้ว “เอาเถิด เอาเถิด ไม่พูดถึงพวกนางแล้ว คนยังไม่มากรีบเข้าไปด้านในเถอะ”
ศาลบูชาบรรพชนเปี่ยมด้วยอำนาจที่สะกดผู้คน เบื้องหน้ามีป้ายวิญญาณของบูรพกษัตริย์แต่ปางก่อนตั้งเรียงราย ล้วนแต่ทำจากไม้เนื้อดีสลักอักษรทองคำ ลายอักษณ์หนักแน่นมั่นคง ยังมีจารึกคุณงามความดีประกาศอยู่รอบด้าน เมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตาของอดีตฮ่องเต้ในรัชกาลก่อนๆ หลายผู้ล้วนประหวั่นพรั่นพรึง มิกล้าเสียกิริยาแม้สักนิด
ท่วงทีของหลงเยวี่ยก็ยำเกรงมากทีเดียว
อวิ้นเหมยเดินไปเตรียมธูป ขณะที่หลงเยวี่ยรู้สึกว่ากลิ่นเครื่องหอมอ่อนบางแล้ว จึงไปอีกด้านหนึ่งตรงกระถางกำยาน เกลี่ยขี้เถ้าเพื่อดำอย่างเบามือ แล้วใช้แบบเครื่องหอมลายสัตว์มงคลวางทาบลงไป ใช้ช้อนตักผงไม้หอมเทลงตามรูปมงคล แล้วใช้ไม้กดลายดอกบัวกดทับอีกครา หลงเยวี่ยพยักหน้าให้ผู้ดูแลฟืนไฟรับหน้าที่จุดกำยาน
อวิ้นเหมยเดินกลับมาพอดี นางคุกเข่าลงบนอาสนะด้านข้างหลงเยวี่ยจุดธุปอธิษฐานแล้วปักลงบนกระถางสามขาเบื้องหน้า พริ้มหลับตาลงพึมพำบทสวดมนต์พลางนับลูกประคำ หลงเยวี่ยกระทำกิริยาดุจเดียวกัน นางยกธูปประสานคำนับเบื้องหน้า นัยน์ตาทอดมองป้ายวิญญาณ ยังคงคิดว่าต่อหน้าป้ายวิญญาณเหล่านี้นางคู่ควรเข้ามารบกวนแล้วหรือ?
หญิงสาวละวางความคิดพลางหลับตาลง ‘ต้าฮั่นธำรงยืนยาวนับร้อยปีเพราะบารมีบูรพกษัตริย์คุ้มครองป้องภัย หญิงสกุลตวนมู่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้วนพ้น เวลานี้คล้ายเคราะห์ซ้ำมาเยือน ภูตผีแดนตะวันออกกร้ำกรายมาถึงเจียงหนาน แผ่นดินทองคำใต้บารมีฝ่าพระบาท บังเกิดอาเภทร้ายแรงกลายเป็นอุทกภัยที่แผ่ขยายวงกว้าง ขอบารมีพระองค์โปรดคุ้มครองขับไล่ปีศาจจากแผ่นดินแห่งอานารยชนให้พ้นไป’
นางคำนับอีกคราก่อนปักธูปลงบนกระถาง เบื้องหน้าป้ายวิญญาณและภาพเหมือนอดีตฮ่องเต้ที่ผู้ไร้วาสนามิอาจพานพบ นางกลับได้เข้าเฝ้าพร้อมกันทีเดียวหกพระองค์ ช่างเป็นวาสนาที่หาได้ยากประหนึ่งพานพบเขากิเลนขนหางหงส์
หญิงสาวคุกเข่าลงที่อาสนะดังเดิม มือปลดลูกประคำจากอกเสื้อ ค่อยๆ สวดภาวนา
เนิ่นนานทีเดียวอวิ้นเหมยเป็นฝ่ายออกจากสมาธิก่อน นางสะกิดเรียกหลงเยวี่ย ““อีกประเดี๋ยวมีคนมากจะวุ่นวาย”
“คงจะไม่ขวัญกล้าหาเรื่องข้าที่นี่เป็นแน่” หลงเยวี่ยคิดชั่งใจ “พวกนางอยู่มาถึงหนึ่งเดือนสมควรทราบถึงความกตัญญูของฝ่าบาท”
อวิ้นเหมยอมยิ้มเข้าใจความนัยของหญิงสาว “อย่างที่เจ้าว่า…”
ความวุ่นวายดังเช่นที่หลงเยวี่ยและอวิ้นเหมยคาดเดาไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด อาศัยอยู่ในรั้ววังมาถึงหนึ่งเดือนย่อมตระหนักถึงความหนักเบา แม้จะกล่าววาจากระทบกระเทียบกันบ้างก็ไม่ร้ายแรง
พวกนางช่วยกันจัดแจงงานในหอบรรพชนอีกเล็กน้อย ทว่าศาลในยามนี้เต็มไปด้วยเหล่าสนมนางในที่ปฏิบัติตามพระราชเสาวนีย์ แม้มีใจก็ไร้งาน ล่วงเข้ายามซื่อ (เก้าโมงเช้า) ถงรั่วกูกู่จากตำหนักเซวียนเต๋อพร้อมด้วยนางกำนัลระดับร่างก็หยุดอยู่หน้าศาลบรรพชนอย่างนอบน้อม เอ่ยว่า “ไทเฮาซาบซึ้งในน้ำพระทัยของนายหญิงและนายหญิงน้อย มีพระราชเสาวนีย์ให้ประทานเงินขวัญถุง…โปรดรับ…”
เมื่อได้รับเงินขวัญถุงแล้ว สนมนางในจึงทยอยกลับตำหนักที่พักของตน หลงเยวี่ยและอวิ้นเหมยควงแขนกันเดินช้าๆ ออกจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ “มีข่าวน้ำท่วมที่เจียงหนาน ปีศาจออกอาละวาด ไม่รู้ว่าท่านตาและท่านยายจะเป็นอย่างไร มาครั้งนี้ข้าขอพรให้พวกท่านโดยเฉพาะ…” อวิ้นเหมยเอ่ยอย่างกังวล หลงเยวี่ยแหงนหน้ามองฟ้าสีคราม เอ่ยถอนใจ
“ไม่มีข่าวร้ายแจ้งมานับเป็นเรื่องดี”
“จริงของเจ้า” อวิ้นเหมยยังไม่คลายกังวล หลงเยวี่ยชวนนางพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ อีกเล็กน้อย จนผ่านต้นไหวสูงสง่า ขันทีชราผู้หนึ่งสืบเท้าเดินอย่างนอบน้อมตรงมาทางด้านนี้ เมื่อใบหน้าอวบอูมแฝงรอยยับย่นใกล้เข้ามา หลงเยวี่ยก็พอจำได้ว่าเขาคือขันทีแซ่ไต้
“ถวายบังคมตวนมู่เหม่ยเหริน” ไต้กงกงโค้งคารวะ นัยน์ตาชำเลืองมองอวิ้นเหมยสักครู่ “ถวายบังคมAเหม่ยเหริน”
หลงเยวี่ยจดจำได้ว่าขันทีผู้นี้คือคนของฝ่าบาทก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างเกรงใจ ซ้ำยังนับถือคนผู้นี้…อวิ้นเหมยไม่โดดเด่น เขายังสามารถเรียกขานนางได้ถูกต้อง ความใส่ใจนี้มิอาจดูเบาได้จริงๆ มิจำเป็นต้องวางท่า หลงเยวี่ยปรายมือ น้ำเสียงหวานละไมแม้นมีแววฉอเลาะอ่อนหวาน กลับถือตัวยิ่ง “ลำบากไต้กงกงแล้ว อย่าได้มากพิธี…เจ้ามาที่นี่มีเรื่องใดหรือ?”
“เมื่อสักครู่กระหม่อมไปที่ตำหนักเมิ่งเหยาไม่พบนายหญิงน้อย ได้ยินนางกำนัลเอ่ยว่าท่านมาบูชาบูรพกษัตริย์จึงเร่งติดตามมา— ตวนมู่เหม่ยเหริน ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกหาท่าน ขอเชิญนายหญิงน้อยทางด้านนี้” ไต้กงกงผายมือเชื้อเชิญ หลงเยวี่ยมีความสัมพันธ์อันดีกับอวิ้นเหมยใส่ใจความรู้สึกของนางมาก ทว่าแม้อวิ้นเหมยแม้จะกระจ่างแจ้งในถ้อยคำของไต้กงกงที่เจตนากีดกันนางออกไปกลับยังมีนัยน์ตาที่สงบนิ่งนัก
ในดินแดนแห่งนี้ผู้ที่ไร้รักอาจกล่าวได้ว่า พบความปรานีอย่างที่สุด
อวิ้นเหมยยิ้มพริ้มเพรามิเห็นฟันตามธรรมเนียม “สวดมนต์วิงวอนบูรพกษัตริย์หลายชั่วยาม ข้ารู้สึกวิงเวียนกลิ่นธูป…คงจะกลับตำหนักไปพักผ่อนแล้ว ไม่รบกวนน้องหญิงไปส่ง”
หลงเยวี่ยพยักหน้า “พี่หญิงรักษาตัวด้วย” แล้วจึงตามไต้กงกงไป