[ห้องทรงอักษร]

[คัดลอกลิงก์]







ห้องทรงอักษร

{ ข้างบริเวณท้องพระโรง }










【 ห้องทรงอักษร 】

หูรับฟังความเท็จ ตาประจักษ์แจ้งในความจริง

บริเวณใกล้ชิดกับท้องพระโรง หนึ่งในสถานที่ซึ่งสามารถเข้าพบหวงตี้ได้ง่ายที่สุดมาตลอดหลายยุคหลายสมัย ' ห้องทรงอักษร ' ที่ใช้เพื่อปรึกษาหารือเรื่องราชกิจและเขียนราชโองการมาแล้วมากมายหลายฉบับ ทุกการตัดสินใจสำคัญ ๆ ล้วนแต่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ห้องทรงอักษรแห่งนี้ นอกจากหวงตี้แล้ว บางทีท่านอาจมีโอกาสได้พบขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมายที่พลัดกันแวะเวียนมาเข้าเฝ้านายเหนือหัว









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 6057 ไบต์และได้รับ 4 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-7-28 19:33

8

กระทู้

169

ตอบกลับ

1654

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
85
ตำลึงทอง
121
ตำลึงเงิน
1417
อีแปะ
27742
STR
30+3
INT
40+0
LUK
0+2
POW
50+0
CHA
70+19
VIT
15+27
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
4073
ความชั่ว
806
ความโหด
4418
โพสต์ 2024-7-28 20:04:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-28 23:03




ห้องทรงอักษร
วันที่ 27 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาห้านาฬิกาเป็นต้นไปจนถึงสิบหกนาฬิกา

ภายในเกี้ยวไม้ใหญ่โตและหรูหราเหนือกว่าเกี้ยวใดในแผ่นดินมีสองร่างของผู้ที่ใช้มันเป็นพาหนะนั่งเคียงกันอย่างสงบโดยไร้ซึ่งเสียงสนทนา ผ่านมากว่าครึ่งทางแล้วปัจจุบันก็ยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ฝั่งหนึ่งหลับตาไม่รับรู้โลกภายนอก อีกฝั่งก็ชะโงกหน้าดูทิวทัศน์ด้านนอกเอาจากช่องว่างระหว่างลายสลักไม้ประดับบนเกี้ยวที่พอจะมีช่องให้แสงลอดเข้ามา ทุกสิ่งอย่างดำเนินไปในรูปแบบนี้จนกระทั่ง..

โป๊ก

หน้าผากขาวผ่องของนงคราญกระแทกลงกับผนังเกี้ยวในตอนที่มันหยุดเคลื่อนกะทันหัน เสียงสะท้อนดังก้องภายในที่ตอกย้ำความอับอายของหญิงสาวปลุกให้โอรสสวรรค์เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพื่อนร่วมทาง เห็นคนงามดุจหยกข้างกายยกมือขาวผุดผาดนั้นขึ้นแตะหน้าผากด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นพร้อมสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเวทนา

ใบหน้าหวานแดงซ่านอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ไป๋หรั่นกดใบหน้าลงหลบหลีกสายตาคมกริบของอีกฝ่ายแต่ก็มิวายถูกจ้องมองจนรู้สึกว่าสมควรกล่าวแก้ตัว ทว่าด้วยความเป็นนาง เหม่ยเหรินหยกขาวขบริมฝีปากพร้อมกลืนน้ำลายก่อนจะพยายามปรับลมหายใจเพื่อควบคุมกิริยาภายใต้การเฝ้ามองของ ‘ ผู้เปรียบดั่งมังกร ’ ที่นางเผอิญปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา โอรสสวรรค์มองมาที่นางด้วยสายตาเชิงคำถาม สำหรับเขาหรือทายาทขุนนางที่เห็นของเช่นนี้มาตลอดชีวิตย่อมไม่มองว่าน่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าสำหรับคนที่ไม่เคยเข้ามาชื่นชมนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หลิวเช่อทันสังเกตเห็นทุกความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้น ไม่ว่าจะความอับอาย หรือความพยายามที่จะกลับมาสงบนิ่ง กระทั่งคำถามที่ส่งผ่านสายตายังทำให้คนตอบแฝงแววโศกเศร้า.. เดี๋ยวก่อน โศกเศร้า ?

“ หม่อมฉันเป็นบุตรีพ่อค้า เกรงว่าสถานที่โอ่อ่าเช่นนี้จะไม่เคยเห็นเพคะ ”

เกือบจะลืมไปแล้วว่านางคือน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของอีกหนึ่งบุคคลที่เขารู้จักดี ‘ ลู่ชางหรง ’ ผู้ปากร้ายคนนั้นที่แฝงกายทำงานลับให้เขามาตลอดหลายปี ปัจจุบันก็ยังต้องยอมกลั้นใจออกไปสืบราชการทั้ง ๆ ที่น้องสาวอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะแบบนี้จึงจำเป็นต้องดูแล ดูแลในฐานะน้องสาวสหายเช่นนี้ก็คงไม่นับว่าผิดต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ฮั่นอู่ตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางกล้าพูดก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ชายผู้ยืนเหนือคนนับหมื่นปิดเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างคร้านที่จะใส่ใจ

“ เปิดหน้าต่างเกี้ยว ”

นั่นคือคำสุดท้ายที่เขาพูดกับนางภายในเกี้ยวไม้ที่หรูหราคันนั้น



“ ฝ่าบา—- ”

“ พานางไปห้องทรงอักษร เจิ้นยังมีประชุม ”

บุรุษภูษานิลกล่าวเท่านั้นก่อนจะเดินหายไปพร้อมขันทีน้อยใหญ่ที่ก้าวตามไปอย่างเป็นระเบียบ ทิ้งให้ลู่เหม่ยเหรินที่ถูก ‘ เชิญ ’ มายืนเคว้งอยู่กับจางกงกงกันสองคนที่ข้างท้องพระโรง ชายไร้เพศยิ้มค้างอยู่เช่นนั้นแม้ว่าหว่างคิ้วจะเริ่มร่นเข้าหากันก็ตาม

“ วันนี้นายหญิงน้อยทำให้ข้าน้อยเปิดหูเปิดตามากทีเดียว ”

“ จางกงกงกล่าวเกินไปแล้ว ”

คนไม่รู้ก็นึกว่าทั้งสองสนทนายิ้มแย้ม แต่ถ้าอยู่ใกล้หน่อยย่อมสัมผัสได้ดีถึงดาบลับที่ฟาดกันครั้งแล้วครั้งเล่าหากเป็นคนอื่นคงชิงชังหรือไม่ก็เบื่อหน่าย แต่ความพยศเงียบเช่นนี้ต่างหากถึงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาชื่นชอบการร่วมสนทนากับอีกฝ่าย คล้ายว่าเราเลี้ยงลูกแมวขนฟูสีขาวตัวหนึ่งที่ต่อหน้าผู้คนแสนเชื่องแต่ลับหลังสามารถข่วนและกัดเป็นแผลเล็ก ๆ .. ฉลาดเฉลียวแต่ก็ยังอ่อนต่อความโหดร้ายของโลกใบนี้ยิ่งนัก จางกงกงนำทางสนมแซ่ลู่มาจนถึงห้องทรงอักษร

“ ข้าน้อยยังต้องตามไปรับใช้ฝ่าบาท รบกวนนายหญิงน้อยรอที่นี่ ”

เหมือนพาเด็กตาดำ ๆ คนหนึ่งมาปล่อยในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเอกสารทางราชการ ลู่ไป๋หรั่นที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังจะถูกลอยแพได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ ลู่เหม่ยเหรินอย่าได้กังวล ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทรับสั่งว่าอยากเสวยชาจากทางใต้ มิทราบว่าท่านอยากชงชาใดขึ้นถวาย ” เพื่อให้มีเรื่องไว้ต่อยอดถึงความเก่งกาจของนางต่อไป จางกงกงจำเป็นต้องทำทุกทางให้การเคลื่อนไหวของนางดูละเอียดอ่อนและมากความสามารถไปเสียทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่การเลือกชาถวายด้วยก็เช่นกัน

“ ชาทางใต้อย่างนั้นหรือ.. ”

ทางใต้มีชารสดี ๆ อยู่มาก ทว่าที่ขึ้นชื่อล้วนรวมกันอยู่ในการกล่าวขานถึงระดับขั้นอู่เจียน (ยอดทั้งห้า) ที่ประกอบไปด้วย ยอดสวรรค์ (เทียนเจียน) 、ยอดกำเนิด (เซิงเจียน) 、ยอดบรรณาการ (ก้งเจียน) 、ยอดปฐพี (ตี้เจียน) และ ยอดทองคำ (จินเจียน) เรียงจากที่หาได้ยาก ไปจนถึงระดับที่หาได้ง่าย แน่นอนว่าในระดับที่ชงถวายแด่ฝ่าบาทอย่างไรก็ต้องเป็นขั้นยอดกำเนิดขึ้นไปทว่าครึ่งหนึ่งในใจกลับนึกไปถึงขั้นยอดสวรรค์ที่โดยปกติแล้วมักจะถูกส่งมาเพื่อถวายให้แก่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น

“ เอาเป็นใบชายอดสวรรค์ (เทียนเจียนฉา) จากเจียงหนานก็แล้วกัน.. ” หลังจากคิดมาอย่างถี่ถ้วน คำตอบของไป๋หรั่นก็ทำให้จางกงกงแอบยิ้มได้ไม่ยาก นางเลือกได้ดี ชาดำที่มีรสชาติมันและอร่อยในตัวสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นชาจากสวรรค์ย่อมต้องสามารถช่วยบรรเทาความเคร่งเครียดจากการทรงงาน และต่อให้จะเป็นชาระดับที่หาได้ยาก แต่ก็เรียกได้ว่าวังหลวงมีอยู่ไม่ขาดเพราะเหล่าเกษตรกรที่ปลูกได้ด้วยแต่ส่งใบชาทั้งหมดมาที่วังหลวงเพื่อผ่านการบ่มหมักให้เข้าที่ตลอดหลายปีก่อนจะนำออกมาชงดื่มให้ได้รสที่ถูกต้องเฉพาะสำหรับหวงตี้

“ ข้าน้อยจะให้คนนำมาส่งให้ก่อนฝ่าบาทเลิกประชุม ”

“ นายหญิงน้อยเชิญพักผ่อน ”

มีอย่างที่ไหนโยนนางมาเข้าห้องทรงอักษรแล้วจะได้พักผ่อน..

กาลเวลาผ่านไปเช่นเดียวกับใบไม้ที่ร่วงโรย ทั้งหมดนี้เริ่มตั้งแต่ต้นยามเหม่า และก้าวเข้ามาสู่ปลายยามซื่อ ขนาดลู่ไป๋หรั่นที่ว่ากันว่าสงบนิ่งนักหนายังมีเผลอหลับทั้งที่มือถือตำราบทกวีเอาไว้ไม่ปล่อย เดิมทีหากให้รอคนสักสองชั่วยาวสำหรับนางถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดายขอเพียงมีตำราสักเล่มหรือกลหมากให้ขบคิด แต่ในกรณีนี้มันต่างกัน นางถูกลากมาตั้งแต่ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันได้สว่างต่อมาก็ถูกจับให้อยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ไร้คนข้างกายทั้งยังไม่มีสิ่งสันทนาการใด ๆ ฉะนั้นหากนางจะเผลอหลับไปราว ๆ หนึ่งถึงสองงีบก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเลยแม้แต่น้อย

“ ลู่เหม่ยเหริน ใกล้ถึงเวลาฝ่าบาทเสด็จมาที่ห้องนี้แล้วขอรับ ”

คนที่จางกงกงส่งมาเพื่อนำใบชาเทียนเจียนมาให้เป็นขันทีวัยหนุ่มคนหนึ่งที่กิริยามารยาทดูเพียบพร้อมสำรวมไม่ต่างอะไรจากสตรีซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกนัก ท้องพระโรงแตกต่างจากตำหนักใหญ่อย่างเว่ยหยางที่นางเคยเข้าไปเยือน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษพร้อมด้วยความน่าเกรงขามของมังกร การที่ขันทีดูอ้อนแอ้นเช่นนี้ยังสามารถใช้ชีวิตรอดมาได้ถ้าอย่างนั้นนางเองก็คงอยู่รอดในที่แห่งนี้ได้เช่นกัน

“ ขอบคุณเจ้ามากที่มาแจ้ง ช่วยข้าตั้งเตาต้มน้ำที ” นางปล่อยให้ขันทีน้อยทำหน้าที่ของเขาไป ในขณะที่นางก็จัดแต่งชุดและผมให้เรียบร้อยพร้อมกับนั่งหลังตรงรอการมาถึงของคนเป็นสามีที่ไม่รู้นึกครึ้มอย่างไรถึงได้ลากนางมาตั้งแต่เช้า

และในที่สุด ร่างที่สวมใส่ภูษาสีนิลก็เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าขึงขังพร้อมกับเสียงโครมครามจากด้านหลังที่พอจะได้ยินลาง ๆ ว่า ‘ ฝ่าบาทโปรดให้กระหม่อมเข้าเฝ้าด้วย .. ’ อะไรพวกนี้ เนตรหงส์ของคนงามฉายประกายแปลกใจ กลิ่นอายรุนแรงอันเนื่องมาจากอารมณ์ที่ไม่สงบของโอรสสวรรค์ทำให้บรรยากาศรอบด้านหนักอึ้ง กระทั่งจางกงกงที่หน้าระรื่นอยู่เสมอยังฉายแววจริงจังขึ้นเจ็ดส่วน ไป๋หรั่นไม่เอ่ยปากเรียกให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกตัว นางประสานมือและย่อกายลงพร้อมรับรู้ถึงกระแสลมเบา ๆ ที่ผ่านร่างไปเมื่อเขาเดินผ่านโดยไม่แลหรือแยแส รอกระทั่งร่างของผู้แทนสวรรค์นั่งลงบนที่ประทับของเขา ผู้เป็นสนมถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะรองนั่งอีกครั้งเพื่อเริ่มชงชาที่เตรียมไว้

พิธีชงชาผ่านไปพร้อมเสียงสนทนาหารือระหว่างจางกงกงและฝ่าบาทที่ดังขึ้นเป็นระยะ วันนี้มีฎีกานี้ วันนี้มีฎีกานั้น เจิ้นจะเขียนตอบอันนี้ เจิ้นจะประกาศอันนั้น วนไปครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลาที่นางกำลังใส่ใจกับการชงเครื่องดื่มเพื่อนำขึ้นถวาย สาวงามเพียงหนึ่งในนี้คล้ายกับว่าไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ต้นจนจบ รู้อีกทีสองมือนางก็ประคองถาดหยกที่มีจอกและป้านชาชุดหนึ่งยกขึ้นพลางเดินเข้าไปในระยะสายตาของทั้งสอง

“ เจ้า.. ”

‘ ฝ่าบาทนี่ท่านลืมนางไปแล้ว ? ’

‘ เขาดูเหมือนจะลืมข้าไปแล้วจริง ๆ ’

สองชีวิตที่อยู่ร่วมบริเวณเดียวกันกับโอรสสวรรค์ได้แต่ลอบถอนหายใจ ทว่าลู่เหม่ยเหรินที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี สุดท้ายก็เอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเงียบมานาน “ ก่อนหน้านี้เป็นฝ่าบาทเรียกหม่อมฉันให้มาชงชาปรนนิบัติ ” ร่างอรชรคุกเข่าลงข้างโตีะอักษรวางถาดหยกนั้นลงบนตักและเคลื่อนมือยกป้านขึ้นรินชาใส่ในจอกกระเบื้องลายครามพร้อมปิดท้ายด้วยการยกจอกชาขึ้นวางตรงที่ว่างบนโต๊ะทรงงาน

“ เป็นชายอดสวรรค์ที่ผ่านการเก็บจนได้ที่ ฝ่าบาทเชิญเสวยเพคะ ”

นางขยับถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อให้จางกงกงได้ใช้เข็มเงินตรวจพิษจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพวกเขาทั้งคู่ เหม่ยเหรินหยกขาวมีหน้าที่ชงชาเติมชาและนางก็ทำแค่นั้นจริง ๆ ตรงหน้าเป็นสามีที่ยกจอกชาขึ้นพิจารณาสีและรวมไปถึงกลิ่น นางที่ถอยออกมาก็ยืนมองอย่างสงบคล้ายนางกำนัลที่หน้าตาโดดเด่นกว่าคนอื่นเขานิดหน่อย.. (?) อย่างไรชายอดสวรรค์ก็คือชายอดสวรรค์ มีเพียงหวงตี้เท่านั้นที่ได้ลิ้มรองถึงรสสัมผัสของชาดำที่มีความมันละเลียดติดปลายลิ้น แทรกด้วยกลิ่นหอมผสมเข้มชวนให้ตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะเมื่อนำมาชงโดยน้ำค้างที่ดื่มเพียว ๆ ก็กระจายรสไปทั่วโพรงปากยิ่งทำให้สัมผัสได้ถึงคำว่า ‘แก่นแท้ของยอดชาสวรรค์’

“ ชงได้ดี ”

คำชมนี้มีค่าราวตำลึงทอง หลิวเช่อวางจอกลงข้างตัวและหันกลับไปสนใจในฎีกาที่เขาต้องจัดการโดยมีจางกงกงเป็นผู้ช่วย และมีลู่เหม่ยเหรินเป็นเด็กเติมชาอยู่ข้าง ๆ เวลาไหลผ่านไปเช่นนั้นรู้ตัวอีกทีคนที่ึคอยอยู่เคียงข้างฝ่าบาทก็คอยเหลือบสายตาส่งไปเป็นสัญญาณให้นายเหนือหัวจนอีกฝ่ายนึกรำคาญ “ เจ้า ”

เจ้าคำเดียวพาให้สะท้านทั่วทั้งบริเวณ จางกงกงหันมองด้วยสายตาที่แสร้งว่า ‘พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท?’ ฮั่นอู่ตี้หลิวเช่อที่มองอยู่เลิกคิ้วขึ้น “ นาง ” เขาพูดพร้อมกับลดสายตาลงไปหาร่างบางที่อยู่ห่างออกไป ทว่า..

“ …? ”

ไม่พบตัวคนทั้งที่ของก็ยังอยู่ คราวนี้กระทั่งจางกงกงที่ลอบสนับสนุนมาตลอดยังนิ่งอึ้ง

นางหนี ?

“ จางกงกง ”

ปัดโธ่เอ๊ย… เป็นเรื่องแล้ว คนที่คอยยิ้มอยู่เสมอลอบโอดครวญอยู่ในใจ เขาคุกเข่าลงพร้อมประสานมือคล้ายจะก้มลงขอความเมตตาจากฝ่าบาทด้วยสีหน้าซีดเซียว ผิดกับฮั่นอู่ตี้ที่แผ่บรรยากาศเย็นเฉียบออกผ่านรอบกายจนแทบจะเห็นเกล็ดน้ำแข็งขาวไล่กัดเซาะไปทั่วบริเวณ แต่แล้วเสียงประตูเปิดออกก็ดังขึ้นเบนความสนใจของพวกเขาทั้งคู่ เป็นนาง.. นงคราญชุดขาวที่ถือถาดวางเหยือกน้ำอยู่ นางก้าวเข้ามาด้วยท่าทางไม่เร่งร้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาสองคู่ที่มองมา

“ เจ้า ”

เขาพูดเป็นแต่คำว่าเจ้าหรือยังไง..

“ ฝ่าบาท.. เอ่อ ก่อนหน้านี้พระองค์กล่าวว่าไม่อยากให้คนนอกเข้าออก อีกอย่างทั้งคู่ต่างก็มีภาระในมือ หม่อมฉันเลยออกไปขอน้ำเพื่อนำมาต้มเติมชาด้วยตนเอง.. เหตุใดทั้งคู่ถึง… ” สภาพอารมณ์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวล้วนกักเก็บอยู่ใต้ใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละฝ่าย ไป๋หรั่นกะพริบตาปริบ นางประคองถาดในมือเดินกลับไปหาโอรสสวรรค์ด้วยท่าทางที่ดูเรียบร้อยเป็นอย่างมาก “ ทรง.. กริ้วหรือเพคะ ”

“ มาฝนหมึก ”

“ เพคะ ”

คนงามตอบรับเสียงอ่อน นางรินชาเติมให้เขาอีกครั้งก่อนจะเข้ามาอยู่แทนที่จางกงกงเพื่อช่วยฝนหมึกให้โอรสสวรรค์ด้วยตัวนางเอง เคียงข้างชายที่เป็นหนึ่งในแผ่นดินมีเงาร่างอ่อนหวานของเทพธิดาชดช้อยดูเพลินตาเป็นอย่างยิ่ง จางกงกงลอบพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะสังเกตจุดหนึ่ง “ ฝ่าบาท พระหัตถ์ทรงเลอะแล้วพ่ะย่ะค่ะ ” เพราะเมื่อครู่ที่มัวแต่ตกตะลึงกับการหายตัวไปโดยไร้ร่องรอยของสนมแซ่ลู่ทำให้ฝ่าบาทไม่ทันระวัง จางกงกงแทนที่จะส่งผ้าให้เขาเช็ด ขันทีมากแผนการผู้นี้กลับส่งผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมือสนมรักของฮั่นอู่ตี้อย่างรู้งาน

“ … ”

“ … ”

เงียบเป็นเป่าสากกันทั้งคู่ ไป๋หรั่นชำเลืองตามองคนที่ตั้งใจจัดวางสถานการณ์อย่างดีด้วยความอ่อนใจ “ ฝ่าบาท หม่อมฉัน—- ”

คงเป็นเพราะรำคาญมากแล้วจริง ๆ ฮั่นอู่ตี้ยื่นมือข้างที่เลอะมาตรงหน้านางด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เขาคิดว่าการทำเช่นนี้ไปให้จบไว ๆ ยังดีกว่าต้องฟังจางกงกงสาธยายเรื่องไร้สาระหลังจากนี้ไปอีกหลายวัน ฉะนั้นสิ่งที่ขันทีอสรพิษคาดหวังเอาไว้จึงเกิดขึ้นโดยง่าย นงคราญหยกวางผ้าเช็ดหน้าลงบนฝ่ามือกร้านก่อนจะจรดปลายนิ้วทาบลงอีกด้านของผ้าเช็ดหน้าและค่อย ๆ เช็ดเบา ๆ นักรบที่ใช้ชีวิตแข็งกระด้างไหนเลยจะเคยได้รับการปรนนิบัติที่อ่อนหวานถึงเพียงนี้ ขนาดพระพี่นางของเขายามเด็กยังไม่พิถีพิถันเท่านี้ เสี้ยวหนึ่งในความคิดฮั่นอู่ตี้มองว่าการวางนางไว้เป็นผู้ช่วยข้างกายก็ไม่แย่ กิริยามารยาทพอพกไปวัดไปวาได้ ทั้งยังหน้าตาไม่แย่ อาจทำประโยชน์ได้อีกมาก

“ พระหัตถ์ฝ่าบาทเย็นแล้ว ทรงถือจอกชาอุ่นมือไว้สักครู่สิเพคะ ส่วนประกาศราชการที่เขียนเสร็จแล้ว .. จางกงกง ”

“ ขอรับลู่เหม่ยเหริน ข้าน้อยจะนำไปจัดวางไว้อีกทาง ”

อืม .. ไม่แย่จริง ๆ นั่นล่ะ



( ชายอดสวรรค์ เทียนเจียน มีไว้ถวายหวงตี้เท่านั้นตามประวัติศาสตร์ หากจะนำไปใช้เป็นฉบับก๊อปปี้แนะนำรุ่นยอดกำเนิด หรือยอดบรรณาการนะจ๊ะ)
[NPC-11] จางกงกง +20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี
+1 ปรนนิบัติ (อีเว้นท์)
+1 ปรนนิบัติ ณ ห้องทรงพระอักษร
+ ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี






แสดงความคิดเห็น

++กำลังจัดทำพาร์ทบทจบ++  โพสต์ 2024-7-28 21:36
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2024-7-28 21:34
ยังไม่จบในห้องทรงอักษรเน้อ   โพสต์ 2024-7-28 21:33
โพสต์ 37850 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-7-28 20:04
โพสต์ 37,850 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-28 20:04

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +2 บารมี +15 ย่อ เหตุผล
Admin + 2 + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x2
x3
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x4
x2
x3
x6
x1
x22
x4
x18
x4
x3
x11
x2
x1
x4
x2
x5
x1
x6
x4
x15
x1
x4
x6
x1
โพสต์ 2024-7-30 20:02:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด

ยามเหลียนฮวาเบ่งบาน
วันที่ยี่สิบเก้า ชีเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบ ต้นยามเว่ย (13.30 น.)




     จากส่วนใน ออกมาส่วนนอกภายในเวลาราว ๆ หนึ่งก้านธูปได้ เว่ยเจียเหลียนฮวาเดินทางมาพร้อมกับปิ่นโตบรรจุอาหารมากมาย นางแวะห้องเครื่องอีกคราเพื่อจัดเรียงอาหารใหม่ลงปิ่นโต หากจะจัดวางอาหารเป็นจานใหญ่ใส่ถาดมาคงไม่ดีเท่าไหร่ ที่แห่งนี้หาใช่ตำหนักเว่ยหยางที่พักบรรทม นี่คือตำหนักวังหน้าอันเต็มไปด้วยขุนนางมากมาย การปรากฎกายของนางในที่แห่งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเสียเท่าไหร่นัก ทว่าจะอย่างไรได้เล่า ในเมื่อผู้เอ่ยปากตรัสแก่นางว่าให้ยกมาเลยตอนนี้ทั้งยังให้ใช้นามตัวเองออกหน้าก็คือไท่โฮ่วเอง

   “จางกงกงขอแสดงความเคารพแด่พระสนมเว่ยเจียเจี๋ยอวี่”

   “ทักทายจางกงกง ท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเคย”

   “หามิได้พระสนม ว่าแต่ท่านมาเสียวังหน้ามีธุระกระไรหรือ”

   “ข้ายกปิ่นโตมาถวายฝ่าบาทตามรับสั่งขององค์ไท่โฮ่วน่ะ”

  “เช่นนั้นเชิญพระสนมขอรับ”

   น้ำเสียงใสเอ่ยขึ้นบอกแก่จางกงกงที่ยืนรับหน้านางอยู่หน้าห้องทรงพระอักษร เอ่ยสนทนากันสักหน่อยก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทรงอักษร ดวงตาใสกวาดมองทั่วอย่างเร่งรีบทันทีที่บานประตูเปิด สองเท้าก้าวเดินมาตรงหน้าตั่งโต๊ะของโอรสสวรรค์ก่อนสองมือจะประสานยอบกายถวายความเคารพแด่ผู้ทรงอำนาจ

  “ถวายบังคมองค์หวงตี้ ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”

  
“ลุกขึ้น”

   “ขอบพระทัยเพคะ”

   “เจ้ามีธุระอะไร”

   “หม่อมฉันนำปิ่นโตมาถวายแด่ฝ่าบาท—”

   “ตามรับสั่งขององค์ไท่โฮ่ว ข้ารู้แล้ว เจ้าเอ่ยเช่นนี้ทุกครั้ง”

   วงคิ้วงามถึงกับเลิกขึ้น ใบหน้างามพยักหน้าให้แก่ถิงเอ๋อร์และไฉเอ๋อร์ให้จัดวางจานอาหารที่โตีะว่างไม่ไกลก่อนจะให้พวกนางออกไปก่อน เมื่อนางตรอจสอบรอบกายว่าไร้ผู้คนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาที่จะเอ่ยตอบตามใจนึกเช่นเดิม

   “ก็เสด็จแม่ของพระองค์ตรัสเช่นนั้น ไหนเลยหม่อมฉันจะทัดทานได้”

  “งั้นรึ”

   “เพคะ”

   สิ้นวจีเอื้อนเอ่ย ทั้งห้องพลันตกลงในความเงียบงันไม่ต่างจากก่อนนางจะมายืนในห้องห้องนี้ หากเป็นเช่นยามปกตินางคงไม่ถือกระไรนักเนื่องจากนางมักจะยกสำรับพวกนี้ไปให้ที่ตำหนักเว่ยหยาง ทว่าตอนนี้นางอยู่วังหน้า สตรีแม้เท่าเทียมทว่าหาได้มีสิทธิยุ่งราชกิจของสามีไม่ ซ้ำร้ายนางไม่คิดจะเอ่ยปากสิ่งใดออกไปให้เป็นการหาเสี้ยนหนามปักกาย เช่นนั้นแล้วการที่นางออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดคงเป็นการดี

   ประเดี๋ยวก็เกิดข่าวลือบ้าบอขึ้นมาอีก

  “ฝ่าบาท ที่นี่คือวังหน้า หม่อมฉันรั้งที่นี่นานคงไม่ดีแน่ เช่นนั้นแล้วขอพระองค์เกษมสำราญกับเป็ดเป่ยจิง กุ้ยฮวาเกาและหลงซูถังเพคะ”

   เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้รับทราบดีว่านางควรอยู่ตรงไหนเพื่อความสงบสุขของโลกใบน้อยของนางค่อย ๆ ยอบกายคำนับ ไม่เร่งรัดให้เขาทาน ไม่รั้งรอแลพิศสิ่งใด ร่างบางเตรียมหมุนกายออกจากห้องทรงอักษรแล้วก็ต้องชะงักค้างชั่วครู่

   “ช้าก่อน” สุรเสียงเอ่ยขึ้นก่อนจะผินพระพักต์คมไปทางอาหารที่นางจัดวางไว้ “วางหลงซูถังให้เจิ้นเพียงชิ้นเดียวพอ ที่เหลือเจ้าเอาไปรับประทานเองเสีย”

  “ขอบพระทัยเพคะ”

   ว่าแล้วก็เร่งเดินกลับที่ทางของตนเองพร้อมหลงซูถังหนึ่งจาน





+35 ความโปรดปราน ถวายเป็ดปักกิ่ง/ขนมกุ้ยฮวา/ไหมฟ้าแด่หวงตี้
รับขนมไหมฟ้าที่ได้รับประราชทานจากหวงตี้

[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์

[NPC-11] จางกงกง
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์

ได้ 1 ปรนจากมาที่ห้องทรงอักษรไหม ไม่ป้ะ แค่เอาของมาให้ หรือว่านี่คือาการปรนกลาย ๆ ?

เมื่อไหร่ผมจะได้เจอฟูจวินที่แท้จริงของดวงใจผม รักนะคะ หว่ออ้ายหนี่ ซารางเฮโย ฉางซานเซียนหวาง

@Admin 


แสดงความคิดเห็น

หัวใจถึงลิมิตแล้วจะต้องปลดล็อกก่อน  โพสต์ 2024-7-30 21:15
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-7-30 21:15
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-7-30 21:14
โพสต์ 12853 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-7-30 20:02
โพสต์ 12,853 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ชุดฉิงโหรว
(เจียยวี่)
  โพสต์ 2024-7-30 20:02
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
บัณฑิต
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ขลุ่ย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x8
x1
x2
x7
x18
x488
x2
x38
x24
x21
x21
x42
x13
x21
x7
x21
x8
x2
x1
x84
x67
x7
x2
x56
x31
x4
x5
x84
x101
x210
x75
x6
x85
x8
x10
x5
x6
x1
x2
x103
x8
x65
x21

8

กระทู้

169

ตอบกลับ

1654

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
85
ตำลึงทอง
121
ตำลึงเงิน
1417
อีแปะ
27742
STR
30+3
INT
40+0
LUK
0+2
POW
50+0
CHA
70+19
VIT
15+27
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
4073
ความชั่ว
806
ความโหด
4418
โพสต์ 2024-7-31 14:47:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-7-31 15:01




พิพากษา
วันที่ 27 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาบ่ายสองครึ่งเป็นต้นไป


เสียงฝนหมึกดังขึ้นเคล้ากับเสียงพู่กันที่ตวัดบนกระดาษครั้งแล้วครั้งเล่า ลู่เหม่ยเหรินที่ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เงียบ ๆ พร้อมกับช้อนตาขึ้นสังเกตหัวคิ้วที่ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันของพระเจ้าแผ่นดิน เขาขมวดคิ้วอีกแล้ว.. ฮั่นอู่ตี้เป็นชายที่ครองรูปโฉมเฉิดฉันเป็นเอก ใบหน้าคมคายของเขามักสงบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกคล้ายก้อนศิลาแต่เมื่อหยักยิ้มขึ้นมาต่อให้เป็นรอยยิ้มดูแคลนอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าโกรธเกรี้ยว

โชคดีที่เขาไม่ใช่นักรักตัวฉกาจ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่หน้าตาก็คงจะสามารถทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปได้ทุกหย่อมหญ้า สาวงามเช่นหยกขาวเก็บสายตากลับมาจากใบหน้าของเขา นางปัดเป่าความคิดไร้สาระในหัวพร้อมกับวางแท่งหมึกลงและหันไปหยิบป้านชาคล้ายตั้งใจว่าจะลุกไปเติม

“ ความยุติธรรมที่เจ้าต้องการ ”

ริมฝีปากของโอรสสวรรค์เปิดออกเพื่อเปล่งเสียงเพื่อรั้งกายคนที่หมายจะลุกเดินออกไปอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เงยหน้าจากเหล่าตัวอักษร นับตั้งแต่ขึ้นครองราชฮั่นอู่ตี้ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจในความเป็นธรรมเท่าที่จะใส่ใจได้

“ คิดว่าเจิ้นสามารถมอบมันให้เจ้าได้หรือไม่ ”

คนฟังเงียบไปครู่หนึ่ง สาวงามผุดผาดดั่งหยกลอบเก็บสายตาพลางก้มหน้าลง ฮั่นอู่ตี้ไม่เหลียวมองนาง นางเองก็หาได้ทอดสายตาไว้บนใบหน้าเขา มีเพียงเสียงสะเก็ดไฟจากธูปหอม และเสียงลมหายใจเท่านั้นที่ลอยเอื่อยอยู่รอบบริเวณ

“ … ”

“ ช่ —- ”

“ ฝ่าบาททรงเชื่อหรือไม่เพคะว่าพระองค์จะสามารถทำได้ ”

ผ่านมาหลายอึดใจกระทั่งเขาที่มากความอดทนยังคิดว่าคำถามนี้อาจฟังดูไม่เข้าท่าต่อสตรีถึงขนาดตั้งใจจะเกริ่นออกมาว่า ‘ ช่างเถิด ’ แล้วจัดแจงสั่งให้จางกงกงไปนำตัวคนเข้ามาตามแผนการที่ตระเตรียมไว้จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา ทว่ากลีบปากน้อยที่มักแย้มยิ้มกลับเปิดออกตอบรับขึ้นมาเสียก่อน

“ หลายวันมานี้หม่อมฉันไม่ทราบความคืบหน้าของคดี ไม่ทราบถึงขั้นตอน ไม่ทราบถึงความพยายามของผู้คนที่ไล่ตามความจริงเพื่อช่วยล้างมลทินให้กับหม่อมฉัน ” จางทังไม่เคยรายงานสักนิดว่าสืบอะไร ได้ถึงไหน ไปจับตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มมาได้ยังไง ทั้งหมดที่นางรู้เดิมทีล้วนเป็นข่าวโคมลอยที่บอกว่าเรื่องนี้ช่างใหญ่โตนัก หากไม่ใช่ว่ามีโอกาสได้พบตวนมู่เหม่ยเหรินนางก็คงถูกปิดหูปิดตาอยู่ในกรงทองของตำหนักนางหงส์ต่อไปอย่างไร้วันสิ้นสุด

“ แต่กระนั้นหม่อมฉันก็ยังเชื่อ ”

“ เชื่อในฝ่าบาท เชื่อในคนที่พระองค์เชื่อ ฉะนั้นแล้วหากพระองค์เชื่อว่าสามารถคืนความเป็นธรรมให้หม่อมมฉันได้ ” สาวงามกล่าวขานอย่างฉะฉาน ใบหน้าของนางหันตรงสบตาเขา ปล่อยให้เนตรมังกรมีโอกาสไล่ดูสีหน้าแววตาที่แสนบริสุทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ก่อนจะกล่าวประโยคที่ชวนให้ใจอุ่นวาบขึ้นเป็นการปิดท้าย “ หม่อมฉันก็ยินดีเชื่อในตัวพระองค์ ”

เพียงเท่านี้หมอกควันในใจพลันเลือนหาย ฮั่นอู่ตี้หยุดนิ่งไปหนึ่งช่วงหายใจก่อนจะพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจแล้ว พลางปล่อยให้นางลุกกลับไปเติมชาตรงพื้นที่ของนาง หลิวเช่อวางพู่กันลง เขาหันไปทางจางกงกงที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่แต่ต้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ ถึงเวลาแล้ว ไปเชิญพวกเขามา ”

ลมหายใจของจางกงกงชะงักไปเล็กน้อย เขาช้อนตาขึ้นมองนายของตนด้วยความประหลาดใจ ทว่าด้วยฐานะบ่าวที่มีทำให้เขาไม่สามารถขัดคำสั่งของอีกฝ่ายได้ จางกงกงค้อมตัวลงรับคำและก้าวเดินออกไปผ่านร่างของลู่เหม่ยเหรินที่เดินสวนกลับขึ้นไปยังแท่นพระที่นั่งพอดี

“ จากนี้ไปเจ้าต้องยืนอยู่ข้างกายข้า ใครกล่าวสิ่งใดไม่จำเป็นต้องสนใจ ตอบเพียงแต่สิ่งที่ข้าถามเท่านั้น ”

นี่มันเรื่องอะไรอีก ต้องพบใครกันแน่ เขาถึงได้สั่งให้นางต้องอยู่เป็นรูปสลักประดับข้างกายเขา?

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

สุดปลายห้องทรงอักษรปรากฏร่างของโอรสสวรรค์นั่งอยู่เหนือคนทั่วไปราว ๆ สองขั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เจ้าแผ่นดินฉลองพระองค์ด้วยภูษาสีนิลปักไหมทองรูปมังกรกลางหมู่เมฆพร้อมกันนั้นเยื้องออกไปทางด้านข้างพระที่นั่งก็ยังมีร่างของสตรีงามโดดเด่นยืนเคียงอยู่ไม่ห่าง สองตาคมกริบของผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นจรดลงบนตัวสองบุคคลที่กำลังก้าวตามหลังขันทีขั้นกลางเข้ามา

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

สิ้นเสียงถวายพระพร ฮั่นอู่ตี้หรี่ตาลงก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางจางกงกงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว จงฉางซื่อคนปัจจุบันโน้มตัวลงฟังการกระซิบรายงานจากขันทีหน้าตำหนักที่สับเท้าเข้ามาแจ้งความพร้อมของด้านหน้าตำหนัก “ ฝ่าบาท ” หัวหน้าขันทีเงยขึ้นกราบทูลเป็นสัญญาณให้กับนายเหนือหัวด้วยท่าทางอ่อนน้อม ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ ฮั่นอู่ตี้ยกมือขึ้นปรามคนสนิทและหันกลับมาเอ่ยต่อเหม่ยเหรินทั้งสอง

“ ลุกขึ้น ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“นังจิ้งจอก”

ร่างบอบบางปานต้นหลิวลุกจากถวายพระพรแล้วก็เมินหน้าขันทีที่ยกเก้าอี้เล็กมาถวาย เดินนวยนาดที่ข้างพระที่นั่งจงใจใช้ศอกกระทุ้งลู่เหม่ยเหริน แทรกกลางระหว่างทั้งสองคน “ฝ่าบาทเพคะ— ลู่เหม่ยเหรินถูกกักตัวมานาน จะปรนนิบัติรับใช้ได้ถูกใจพระองค์ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันไม่วางใจเลยจริงๆ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแล้วหันมาทางลู่เหม่ยเหริน “เจ้า! ยังอยู่ในระหว่างต้องคดี ยังจะมารยาสาไถยโผล่หัวมาต่อหน้าพระพักตร์ ยังไม่รีบหลบไปอีก”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ไหนเลยจะรู้ว่า ‘ จิ้งจอก ’ ที่นางกล่าวว่าปรนนิบัติได้ไม่ดีนั้นอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ยามเหม่า ลู่ไป๋หรั่นที่ถูกแรงกระทุ้งดันออกจากจุดเดิมลอบใช้สายตากวาดมองสาวสวยคมคายที่ให้กลิ่นอายเหมือนสตรีนอกด่าน มั่นใจ โผงผาง มีทีท่าพร้อมกีดกันผู้อื่นออก.. เหมือนว่าจะตรงตามขนบความตรงไปตรงมาของชาวทุ่งหญ้าอยู่บ้าง

เมื่อฟังจากคำของตวนมู่เหม่ยเหรินพร้อมด้วยการกล่าวของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ นางย่อมทราบว่าอีกฝ่ายแซ่เฮ่อถู ทั้งยังมียศเจี๋ยอวี๋ที่สูงกว่านางไปหนึ่งขั้น ทว่าสิ่งที่เลือกกล่าวนั้นกลับคล้ายคนที่หนึ่งจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “ ที่แท้เป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ .. ”

“ ได้ยินว่าท่านบาดเจ็บ ” เนตรหงส์ขยับมองจากศีรษะจรดปลายเท้าของร่างผอมบางพร้อมหยักยิ้มที่มุมปาก “ ดีเหลือเกินที่ท่านรักษาตัวได้ไวถึงเพียงนี้.. ”

คล้ายกับการกล่าวเตือนให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ระหว่างเหม่ยเหรินที่ปรนนิบัติได้ไม่ถูกใจเท่าที่ควรกับการใช้งานเจี๋ยอวี๋ที่พึ่งรักษาตัวหายในสายตาจักรพรรดิหากอยากจะประคองท่าทีเจ้าแผ่นดินผู้ทรงธรรม ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายจะเลือกใช้ใคร ไป๋หรั่นไม่ใช่คนที่กระทบกระทั่งกับใครเพื่อความโปรดปรานของบุรุษที่ไม่แน่นอน อย่างน้อย ๆ หากจะให้ต่อกร ก็ต้องเป็นเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกกดหัวข่มได้โดยง่ายดังเช่นในครั้งนี้ เหม่ยเหรินแซ่ลู่ระบายยิ้มสร้างความไม่ชอบใจให้กับคนที่พึ่งตั้งตนเป็นศัตรู

สาวงามดั่งหยกหันไปทางตวนมู่เหม่ยเหรินที่หาได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปะทะฉากนี้ “ ตวนมู่เหม่ยเหริน ” เรียกได้ว่าเป็นการหักหน้าเจี๋ยอวี๋ผู้หนึ่งเสียดื้อ ๆ เมื่อคนที่นางเรียกเสียงหวานทั้งยังประคองร่างยอบลงทักทายกลับเป็นคนที่มียศเดียวกัน

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

คิ้วเข้มราวกระบี่พาดเลิกขึ้นเล็กน้อย ฮั่นอู่ตี้มิได้ปรายตามองคนที่แทรกกายมาคั่นกลาง และแน่นอนว่าไม่แม้แต่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่ถูกกันออกไป เขาเบื่อหน่ายการละเล่นชิงดีชิงเด่นของสตรี โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ยังมีคนโง่เขลาถึงขนาดไม่ทราบว่าถูกเรียกมาด้วยเหตุใด ยามนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในครรลองสายตาของโอรสสวรรค์ย่อมเป็นร่างบางเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งประคองจอกชาอยู่อย่างสงบ

เขาจะถือเสียว่าเมื่อครู่ไม่ได้ยินวาจาใด ๆ ของสามสตรีที่ต่างก็สาดน้ำเย็นใส่กันไปคนละถัง

“ กระทั่งที่ยืนของตนเองยังไม่ทราบ เจิ้นคงไม่จำเป็นต้องคาดหวังการปรนนิบัติจากเจ้า ”

วาจานี้นับว่ารุนแรงในการหักน้ำใจสตรี มังกรสวรรค์ผู้ไม่โปรดลูกไม้มารยาหันไปหาจางกงกงพร้อมคำพูดที่ว่า “ แนะนำนางสักประโยคว่าที่ใดควร ที่ใดไม่ควร ตั้งแต่ต้นจนจบในสายตาฝ่าบาทไม่มีแม้กระทั่งเงาหรือการชำเลืองไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ราวกับว่าการที่เคยเสด็จไปหาก่อนหน้านี้เป็นแค่ฝันหนึ่งตื่น

“ เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ” ชายงามในชุดขันทีย่ำเท้าเข้ามาช้า ๆ พลางผายมือเป็นการเรียนเชิญ “ ที่ของท่านอยู่ทางนี้ขอรับ ”

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาฝ่าบาททรงดีกับเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยิ่งนัก มิเคยต่อว่ารุนแรงเพียงนี้ หยาดน้ำตาพลันร่วงหล่นลงจากนัยน์ตาดอกท้อราวม่านไข่มุก ไหล่บอบบางสะเทินไหว “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเพียงลืมตัวชั่วคราว ขอพระองค์โปรดอภัยด้วยเพคะ”

เมื่อเห็นว่าเวลานี้ฝ่าบาทเข้าข้างใคร ท่าทีของเฮ่อถูเหม่ยเหรินที่มีต่อลู่เหม่ยเหรินพลันอ่อนโยน “น้องหญิงลู่เวลานี้ยังเป็นนักโทษในคดีอุกฉกรรจ์ ฝ่าบาททรงโปรดน้องหญิงมากเพียงนี้ ผู้คนจะตำหนิถึงคุณธรรมของพระองค์นะเพคะ”

นัยน์ตาสีเข้มขลับเช่นนภายามรัตติกาลเรืองโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ เจ้ากำลังตำหนิเจิ้น? ”

โอรสสวรรค์เดิมทีก็ใจแคบ(?)เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้มีคนมาหลั่งน้ำตาอยู่ข้าง ๆ พลางจีบปากจีบคอกล่าวว่า ‘ กังวลถึงชื่อเสียงท่าน ’ ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ คนอย่างเขาย่อมมองเป็นว่าอีกฝ่ายไปกินดีหมีหัวใจเสือมามากกว่าถึงได้กล้ากล่าวต่อหน้าเขาโดยไม่ยั้งคิดเช่นนี้

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ลนลานคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะ “หม่อมฉันมิบังอาจ หม่อมฉันแค่กลัวว่า ผู้คนจะตำหนิน้องหญิงลู่…”

“ ฝ่าบาท เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงแค่เป็นกังวลจึงมิทันได้ระมัดระวังคำพูด โปรดทรงอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ ” จางกงกงเห็นท่าไม่ดีรีบประสานมือโค้งลงขอความเมตตาเพื่อเป็นการช่วยประคองให้สถานการณ์ไม่มุ่งลงเหว

ด้วยเหตุนี้ในที่สุดสายพระเนตรของฝ่าบาทก็ตวัดมองไปยังร่างที่คุกเข่าลงโขกศีรษะ พระหัตถ์ที่หยาบกร้านยกขึ้นคลึงสันจมูกก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้รอบด้านเงียบงันไร้ผู้คนกล้ากล่าวทักท้วงถึงสิ่งใด ฮั่นอู่ตี้ทราบดีถึงความต้องการของจางกงกง ร่องรอยความไม่พึงใจยังฉายอยู่บนหว่างคิ้วแต่กระนั้นก็ได้แต่ทำใจปรับความขุ่นเคืองให้จางลง

“ พอแล้ว ” หลิวเช่อผ่อนลมหายใจออก เขาละสายตาจากร่างที่หมอบกราบอยู่กับพื้นพร้อมเปลี่ยนท่าทางจากนั่งนิ่งเป็นการยกชาขึ้นจิบ “ เจ้าไปนั่งพักเสีย เจิ้นเรียกมาพูดคุยไหนเลยต้องลำบากมาปรนนิบัติ ”

คนสนิทย่อมดูออกว่าการจะพูดประโยคนี้สำหรับฝ่าบาทนับว่ายากเย็นนัก จางกงกงลอบก้มหน้ายิ้มแหยอย่างอ่อนใจจากนั้นจึงค่อยหันไปช่วยพูดขยายความ.. หมายถึง โน้มน้าวเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋อีกครั้ง “ พระสนมฝ่าบาททรงเป็นห่วงว่าร่างกายท่านเดิมทีก็มิสู้ดีนัก ครั้งนี้แค่ต้องการพบหน้าสนทนาร่วมกับท่าน ในใจไม่อยากให้ฝืนทนความเจ็บปวดมาคอยรับใช้ใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ดีนัก ยามนี้พระสนมได้รับความสะเทือนใจ อย่างไรขอเชิญไปนั่งพักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ” เรื่องราวปั้นแต่งจากปากจางกงกงลื่นไหลประหนึ่งเป็นความจริงที่หลบซ่อนมานาน คนที่กล่าวความเท็จได้ตาไม่กะพริบเช่นนี้ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับการอยู่เป็นคนสนิทเคียงข้างผู้ที่ไม่เคยจะไว้หน้าผู้ใด

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดเปลือกตาที่วามวาวด้วยหยาดน้ำตา “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ขันทีขั้นกลางในตำหนักเดินเข้ามาประคอง เจี๋ยอวี๋ผู้เป็นที่โปรดปราน ไปนั่งยังเก้าอี้เล็กตรงข้ามตวนมู่เหม่ยเหริน สังเกตได้ว่าฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยเพราะกิริยาของนางแล้ว เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ก็สงบลงมาก ทว่ากลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ห้องทรงอักษรตอนนี้มีเหม่ยเหรินที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ‘เย่เหม่ยเหรินจนน้ำตาย’ อยู่พร้อมทั้งสองนาง ย่อมเกิดความแคลงใจว่าฝ่าบาทเรียกนางมาที่นี่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนอย่างไร ท่าทีจึงเงียบสงบกว่าตอนแรกมาก

ในที่สุดห้องทรงอักษรก็กลับสู่ความสงบ โทสะของโอรสสวรรค์เจือจางลงแล้ว สองสาวงามที่นั่งอยู่เบื้องหน้าต่างก็มีชาคนละจอกอยู่ในมือ มีก็แต่เหม่ยเหรินที่เคยยืนข้างกายผู้นั้นที่ตอนนี้เหมือนจะตัดสินใจยืนถัดลงมาอีกขั้นเพื่อรักษาระยะห่างและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

ฮั่นอู่ตี้กดใบหน้าก้มลงมองฎีกาที่เหลืออยู่บนโต๊ะคล้ายกับเรียกคนมาเพื่อ ‘ อยู่เป็นเพื่อน ’ จริง ๆ อยู่ราว ๆ ครึ่งก้านธูป ท้ายที่สุดเมื่ออ่านฎีกาม้วนนั้นจบ ริมฝีปากหนาก็หยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่คล้ายว่าสามารถเย้ยหยันคนทั่วโลกหล้าโดยอาศัยเพียงหนึ่งรอยยิ้ม “ เป็นฎีกาที่ดี.. ทำให้เจิ้นนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องถามเจ้าสองคน ”

โอรสสวรรค์หยิบป้ายทองแดงที่สลักเป็นคำว่าตวนมู่ขึ้นพลิกไปมาบนมือ ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นป้ายนี้ เคยเห็นขุนพลที่ดี เคยเห็นความสามารถที่เกรียงไกรจากบุคคลที่มีสิทธิ์สามารถใช้งานมัน สายพระเนตรของฝ่าบาทยังคงสงบนิ่งแต่ลึกลงไปใต้ความสงบนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความชื่นชม “ ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

คำตอบของตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นดังคาด หลิวเช่อพยักหน้ารับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตาไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่นั่งถัดมาอีกทาง “ เจ้าเล่า รู้จักหรือไม่? ”

รอจนตวนมู่เหม่ยเหรินนั่งประจำที เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ระมัดระวังกิริยาจนยากจะรับแม้แต่ชาสักถ้วย ก็หยัดกายขึ้นบ้าง นางเป็นหญิงงามที่งามแตกต่างจากชาวฮั่น แม้ท่วงท่าจะไม่สำรวมเท่าแต่ก็มีความสดใสที่ยากจะมองข้าม นัยน์ตาที่ฉ่ำวาวด้วยเพิ่งผ่านการร้องไห้ยิ่งทำให้หญิงสาวในเวลานี้ดูบอบช้ำเกินทน น่าเสียดายว่าที่ห้องทรงอักษรมีลู่เหม่ยเหรินที่โด่ดเด่นกว่าใคร เมื่อต้องเทียบกับโฉมสะคราญเช่นนั้น ความน่าทะนุถนอมดูแลของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พลันด้อยค่าลงจนมิอาจเห็น ท่วงท่าของนางแลดูอ่อนแอ คิ้วทรงหลิวที่วาดอย่างประณีตขมวดบางเบาคล้ายมีความเศร้าอยู่ลึกๆ ที่ฝ่าบาทตรัสถามตนเช่นเดียวกับผู้ต้องสงสัยอย่างหญิงสกุลตวนมู่ “ทูลฝ่าบาท ป้ายชิ้นนั้นหม่อมฉันไม่เคยเห็นเพคะ…” เสียงแว่วหวานของนางแฝงความออดอ้อน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งดังเดิม

ในที่นี่อาจมีเพียงเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงคนเดียวที่ใบหน้าฉาบความสงสัยเหลือคณา

เมื่อสิ้นคำของทั้งสองฝ่าย ป้ายทหารในมือก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ชายผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นพยักหน้าราวกับกระจ่างในคำตอบของทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็หันไปกล่าวกับจางกงกงที่อยู่ข้างกาย “ ให้เข้ามา ”

จางกงกงที่รอคำนี้มานานรีบประสานมือค้อมกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะยืนเต็มความสูงและหันไปทางประตูห้องทรงอักษร “ จางถิงเว่ยและทหารองครักษ์ฉีจินซานเข้าเฝ้าได้ !!! ” จงฉางซื่อตะเบ็งเสียงประกาศกร้าวดังไปถึงด้านนอกที่รอฟังสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว

เสียงฝีเท้าหลายคู่เริ่มดังใกล้เข้ามามากขึ้นก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของเจ้ากรมยุติธรรมคนปัจจุบันและทหารองครักษ์ฉีจินซานที่ถูกพาตัวเข้ามาโดยมีมือปราบอีกสองสามคนคอยตามประกบอย่างระแวดระวัง จางทังหรือที่ทราบกันในนามจางจิ่งสิงเป็นฝ่ายเดินนำเข้ามาก่อน เมื่อมาถึงบริเวณที่นับว่าใกล้พอต่อการสนทนา ร่างสูงภายใต้เครื่องแบบขุนนางก็คุกเข่าลงถวายพระพร โดยมีฉีจินซานและมือปราบด้านหลังที่ทรุดกายลงตามการกรุยทางของจางถิงเว่ย

“ กระหม่อมจางถิงเว่ยมาเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี ” ท้ายประโยคที่เป็นการถวายพระพรหาได้มีเพียงเขาคนเดียวที่กล่าวยังมีเสียงของชายชาตรีอีกหลายชีวิตที่ให้ความเคารพแด่พระเจ้าแผ่นดิน

“ รายงานมา ”

“ พ่ะย่ะค่ะ ”

ถิงเว่ยหนุ่มรับคำสั่งเสียงเข้ม เขาเหลือบสายตาขึ้นมองเหล่า ‘ ผู้ต้องสงสัย ’ ที่อยู่พร้อมหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเก็บสายตาลงกราบทูลเนื้อความของคดีที่สืบหามาได้ “ จากการสืบค้นพบว่าจดหมายที่ถูกส่งให้เย่เหม่ยเหรินก่อนเกิดเหตุทั้งยังอ้างว่าเป็นจดหมายนัดพบจากลู่เหม่ยเหรินนั้นถูกเขียนโดยใช้กระดาษคุณภาพชั้นเลิศที่ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน ” เสียงของใต้เท้าจางเงียบไปครู่หนึ่ง เปิดโอกาสให้จางกงกงที่รับหน้าที่ผู้ขยี้เนื้อหาได้มีช่องสอบถามเพิ่มเติมโดยแสร้งว่าเป็นการสงสัยใคร่รู้

“ ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน? คุณภาพดีถึงเพียงนั้นเชียว.. ทว่าลู่เหม่ยเหรินก็หาใช่ธิดาตระกูลค้าขายทั่วไป ด้วยฐานันดรของนางสามารถเสาะหากระดาษชนิดนี้ได้หรือไม่ ”

นงคราญหยกที่อยู่เงียบมานานลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย นางปรายตามองท่าทางของจงฉางซื่อที่เข้าถึงบทบาท ‘ ผู้ไม่รู้ ’ เป็นอย่างดี ใครกันที่เป็นฝ่ายกล่าวว่าหากหาเบาะแสได้ก่อนกรมราชทัณฑ์ก็ยินดียื่นโอกาสล้างแค้นให้นางถึงมือ

จางถิงเว่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบกลับอย่างหนักแน่น “ เป็นไปไม่ได้ กระดาษชนิดนี้นับว่าเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้แคว้นเพื่อนบ้านที่สวามิภักดิ์ต่อต้าฮั่น มิอาจนับว่าเป็นของค้าขายหรือใช้งานได้เนื่องจากมีโทษถึงตายในฐานลักลอบแย่งชิงของหลวง ” ทันทีที่จบคำตอบนี้ความสงบนิ่งบนใบหน้าของโอรสสวรรค์ก็เปลี่ยนไป

เสียง ‘ อ้อ ’ เบา ๆ ดังขึ้นจากปากเขา เท่านั้นก็เพียงพอที่จะพลิกห้องทรงอักษรที่เคยปลอดโปร่งให้กลายมาเป็นแดนหิมะหนาวเหน็บเสียดผิวคนเป็นอย่างยิ่ง

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

หากแต่เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หญิงจากนอกด่านเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกคำพูดนี้ของจางถิงลอบทำร้ายย่อมไม่มีแก่ใจจะมองนัยน์ตาดูแคลนของตวนมู่เหม่ยเหริน เรื่องนี้มิอาจสรุปได้ว่านางเป็นผู้ผิด เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น นางอาจถูกใส่ร้ายก็เป็นได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริดอย่างยากจะปกปิด สีหน้านั้นยากจะตัดสินว่าเป็นนางโง่เขลาจนไม่รู้ว่าควรใช้กระดาษเช่นไรใส่ร้ายคน หรือตระหนกตกใจที่จู่ๆ เรื่องนี้ก็รวบพันตนเข้าไปเกี่ยวข้องกันแน่

“ ส่วนลายมือที่ปรากฏอยู่บนจดหมายเป็นลายมือของลู่เหม่ยเหรินจริงที่ได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านตงฟางซั่วที่เข้ามามีส่วนช่วยวิเคราะห์และเทียบเคียง แ… ” เมื่อส่วนแรกถูกรายงานจนจบก็เป็นปกติที่จะรายงานส่วนที่สองทว่ายังไม่ทันได้รายงานจนถึงจุดสำคัญ พระหัตถ์ของฝ่าบาทก็ยกขึ้นปรามเป็นสัญญาณให้หยุด

“ เป็นลายมือของลู่เหม่ยเหริน แล้วมีอะไรอีก ”

จางถิงเว่ยรับใช้ฝ่าบาทมานานย่อมทราบว่ายามนี้อีกฝ่ายต้องการให้ตนหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ เจ้ากรมราชทัณฑ์พยักหน้ารับอย่างไร้คนเข้าใจก่อนจะหยิบอีกประเด็นขึ้นรายงานต่อเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ “ บริเวณสระน้ำซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุได้มีการพบของชิ้นหนึ่ง ”

ขุนนางหนุ่มล่วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกล่องไม้สีดำเรียบที่ผ่านการเคลือบเงาอย่างดีออกมาและยกขึ้นคล้ายต้องการถวายให้ฝ่าบาทได้ทรงพิจารณา จางกงกงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวเข้ามารับกล่องและนำขึ้นถวายแก่ฝ่าบาท ทว่าฮั่นอู่ตี้กลับไร้ซึ่งความเร่งร้อนที่จะเปิดมันออกดู เขาพยักหน้า ปล่อยกล่องไม้ให้วางอยู่บนโต๊ะทรงงานอย่างนั้นพร้อมกับประคองสีหน้าสงบนิ่งเพื่อรอฟังข้อมูลถัดไป

“ ป้ายของสกุลตวนมู่ที่ถูกพบนั้นเป็นของจริง และฉีจิงซานผู้นี้ก็เคยทำงานในกองทัพของเหอซีอิงกงจริง”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ตวนมู่เหม่ยเหริน โปรดระวังกิริยาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนอบน้อมเย็นเยียบดังจากขันที

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

สายตาหลายคู่ยามนี้ล้วนเคลื่อนไปมองที่เหม่ยเหรินจากตระกูลวีรชนที่ลุกขึ้นแสดงกิริยาไม่น่ามองยามที่ทราบถึงเนื้อหาส่วนนี้ สายตาทั้งหมดผสมปนเปไปด้วยการตำหนิบ้าง ดูแคลนคล้ายว่านางแก้ตัวบ้าง หรือไม่ก็หน่ายใจราวกับสมเพชเวทนา จะมีก็แต่สายตาไม่กี่คู่ที่ยังเผยความรู้สึกในด้านอื่น อย่างเช่นจางทัง จางถิงเว่ยชำเลืองตามองไปทางตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างสงบถึงแม้ว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกขัดประโยคด้วยแรงโทสะผสานตกตะลึงนั้นก็ตาม ด้านลู่เหม่ยเหรินที่มองภาพรวมทั้งหมดมานานก็มีท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการดูหมิ่น

ทว่าที่ทรงอำนาจที่สุดย่อมไม่พ้นสายพระเนตรมังกรที่เคลื่อนกลับไปมองยังร่างชดช้อยที่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นกล้าหาญอยู่ราว ๆ เจ็ดส่วน ฮั่นอู่ตี้พิจารณาดูความงามอย่างมีเอกลักษณ์นั้น เฝ้ามองถึงการเปลี่ยนแปลงไปมาบนสีหน้าและแววตา ความตื่นตระหนกของนาง เขาทราบ ความร้อนรุ่มที่มาจากความไม่เป็นธรรม เขาเองก็ทราบ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเช่อไม่ใช่คนโอนอ่อนอย่างไร้เหตุ สายตาของเขาเรียบเย็นไร้ความรู้สึกแต่ก็มีประกายบางอย่างที่ชวนให้คนมองนึกประหลาดใจ

‘ นางหาใช่ผู้ที่สมควรต้องกังวล ’ หลิวเช่อคิดแต่กลับไร้ซึ่งการปลอบประโลมที่แสดงออก

“ พูดต่อไป ”

จางถิงเว่ยที่ได้ยินคำอนุญาตจากฝ่าบาทก้มใบหน้าลงอีกครั้ง “ จากการสืบหลักฐานเบื้องต้น กระหม่อมพบว่ามีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ พยานผู้นี้เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ยามนี้รออยู่ด้านนอก แต่ถึงแม้กระหม่อมจะสืบหาพยานมาได้แต่เขาก็ไม่ยอมสารภาพว่ารับคำสั่งผู้ใดมา จากดุลพินิจของกระหม่อม ท่าทางของฉีจิงซานคล้ายว่าต้องการปกป้องคนผู้นั้น แ…. ”

เสียงของจางถิงเว่ยขาดช่วงไปเป็นครั้งที่สาม หนนี้อาศัยเพียงการเปลี่ยนแปลงบนพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ก็เพียงพอที่จะห้ามปรามหลักฐานของคดีไม่ให้หลุดออกมามากไปกว่านั้น สายตาของฮั่นอู่ตี้เคลื่อนผ่านร่างของถิงเว่ยไปยังเบื้องหลังที่มีกายสูงใหญ่ของทหารองครักษ์ฉีจิงซาน “ ให้เขาพูด ”

“ ฝ่าบาท ” ชายชาติทหารหน้าซีดไปทันทีที่ถูกกล่าวถึง ชายเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการปลิดชีวิตเย่เหม่ยเหรินก้มหน้าลงให้การอย่างลนลาน “ กระหม่อมฉีจิงซานผู้เป็นทหารองครักษ์ ในวันที่เย่เหม่ยเหรินเสียชีวิต เป็นคืนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นกระหม่อมกำลังลาดตระเวนเพื่อรักษาความปลอดภัยจึงได้มีโอกาสลงมือ กระหม่อมทราบดีว่าโทษฐานสังหารคนหนักหนานัก อีกทั้งกระหม่อมยังเข้าใจว่าการทำเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้น แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับนายหญิงขอรับ ทุกอย่างกระหม่อมเป็นผู้กระทำเอง กระทำลงไปเพราะหนี้รักฝังลึก ในยามที่ยังเยาว์กระหม่อมและเย่เหม่ยเหรินเป็นสหายใกล้ชิดถึงขนาดที่กระหม่อมตั้งใจอยากสู่ขอนาง ทว่านางกลับไม่รักษาสัญญาณ ทอดทิ้งกระหม่อมและเลือกก้าวเข้ามาสู่รั้ววังใน ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

คำให้การยาวเหยียดของฉีจิงซานดูซื่อตรงและสำนึกผิดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจุดที่ต้องการกล่าวว่า ‘ หาได้เกี่ยวข้องกับนายหญิง ’ ประโยคนี้ยิ่งดูจริงจังขึ้นหลายส่วน “ ส่วนที่พาดพิงถึงลู่เหม่ยเหริน .. เป็น เป็นกระหม่อมอยากล้างแค้นให้เย่เหม่ยเหรินที่เคียดแค้นต่อนางยิ่ง จึงกระทำเกินกว่าเหตุหาหลักฐานทิ้งไว้เพื่อป้ายสีนาง ”

เป็นรักลึกซึ้งปานผูกจิตนี่เอง(ประชด) เหม่ยเหรินแซ่ลู่ที่ยืนฟังอยู่ได้แต่ขมวดคิ้วขึ้นมา ริ้วรอยความไม่พึงใจบนหน้างามนี้หากมีคนพบเห็นเข้าย่อมต้องอ่อนระทวยแล้วรีบปรี่เข้ามาเอาอกเอาใจ แต่ในยามที่ผู้คนล้วนแต่เฝ้ามองเพียงคำสารภาพไหนเลยจะมีคนคำนึงถึงสภาพจิตใจของคนที่อยู่เฉย ๆ ก็ถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรงชนิดที่สามารถพรากลมหายใจของนางไปได้ทุกเมื่อ อีกทั้งคำให้การนี้ไม่เห็นจะมีส่วนใดที่เข้าท่า

เขากล่าวว่าทำทั้งหมดด้วยตนเองแล้วเหตุใดจึงสามารถหาของสำคัญมากมายอย่างกระดาษที่ใช้กันในวงแคบ ไหนเลยจะสามารถขีดเขียนในรูปแบบอักษรที่คล้ายคลึงถึงขนาดที่ตงฟางซั่วยังกล่าวว่าเป็นอักษรของนาง และหากซื่อสัตย์ต่อคำให้การที่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายหญิงไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ป้ายทหารตกหล่นในที่เกิดเหตุ

“ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำเรื่องใดลงไป ”

กระทั่งหยกเย็นไร้ใจยังต้องเค้นเสียงลอดไรฟันเพื่อกล่าวออกมา ทว่านางทำได้เพียงเท่านั้น แม้จะไม่ใช่การหันมองจนเต็มตา ทว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทก็เบี่ยงมาคล้ายย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ นงคราญหยกลอบกำหมัดพลางขบริมฝีปากก่อนจะเบือนหน้าออกไปอีกทาง

“ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมมิสมควรกระทำโดยไร้การยั้งคิดเช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงมีรับสั่งลงโทษกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ !!! ” พริบตาถัดจากนี้คล้ายว่ามีความวุ่นวายแผ่กระจายทั่วห้องอักษร เสียงตะโกนขอร้องให้ฝ่าบาทประทานโทษถึงตายจากผู้ให้การสารภาพว่าลงมือกระทำดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่เพียงเท่านั้น เหล่ามือปราบที่มีหน้าที่คอยประกบเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายก็จำเป็นต้องตวาดห้ามการกระทำอันไม่สมควรนี้ก่อให้เกิดเป็นมรสุมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กซัดเข้ากลางห้องทรงอักษรที่เริ่มชักชวนให้ขันทีน้อยใหญ่ต่างก็พากันซุบซิบอย่างออกรส

จางกงกงที่มองอยู่ต่อให้อยากปั้นละครน้ำเน่าเกี่ยวกับการใส่ร้ายแย่งชิงอย่างไรสุดท้ายเมื่อสถานการณ์ดันพลิกออกมาเป็นรูปแบบนี้ก็ได้แต่ปวดหัวไปพร้อม ๆ กับทำหน้าลำบากใจ ครั้งนี้เขาคาดการณ์ความคิดของฝ่าบาทไม่ออก แม้จะพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอพระทัยนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าความพิโรธอย่างแท้จริงของโอรสสวรรค์จะปะทุขึ้นมาเมื่อใ—-

ปัง !!!

พระหัตถ์หนาฟาดลงกับโต๊ะทรงงานอย่างแรงเกิดเป็นเสียงดังครึกโครมที่สยบทุกการกระทำของชาวประชารอบกาย คล้ายกับมีฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ จะขุนนาง สนม หรือขันทีล้วนแต่ทรุดกายลงอย่างคร่ำเครียดพร้อมร้องออกมาเป็นคำว่า “ ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วยเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ ”

ใบหน้าของฮั่นอู่ตี้ยังคงสงบ ตรงกันข้ามกับการไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะมีร่องรอยของความพอใจและ ‘ เย้ยหยัน ’ แทรกอยู่ในแววตาอย่างเห็นได้ชัด “ เหตุใดจึงมัวแต่ถกเถียงเรื่องไร้สาระ ” ไม่มีใครรู้ว่าความหมายในคำพูดนี้ของพระองค์คืออะไร ทรงเชื่อไปแล้วว่าเป็นความผิดตวนมู่เหม่ยเหริน? หรือมองว่าหลักฐานทั้งหมดล้วนไม่มูล?

“ เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ” พระพักตร์ของเจ้าแผ่นดินดูปลอดโปร่งนัก ท่าทางที่แสดงออกมาของเขาคล้ายจะไม่ไยดีต่อสำนวนคดีที่ถูกรายงาน มีเพียงการหันไปกล่าวกับเจี๋ยอวี๋เพียงผู้เดียวในที่แห่งนี้ด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป

“ เจิ้นไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อต้องทนฟังเรื่องนี้หรอก ”

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หัวใจชาวาบ ความโกรธเกรี้ยวของมังกรผู้ใดจะไม่กลัวเกรง ทว่าเพียงครู่เดียวอากัปกิริยาที่ตื่นตระหนกของนางก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงของหวงตี้ที่ตรัสออกมาเพียงชื่อนาง ทำให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋รู้สึกพิเศษกว่าใคร ในหัวใจหวานล้ำเพราะคาดเดาว่า พระองค์โปรดปรานนางเหมือนเก่า วงคิ้วงามสะท้อนอารมณ์หวานซึ้ง นัยน์ตาทอประกายอ่อนหวาน “เพื่อให้ได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาท แม้ต้องฟังเรื่องโหดร้ายเหล่านี้ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”

รอบด้านไม่มีใครกล้าขัดความประสงค์ของฝ่าบาท ต่อให้ประหลาดใจสักแค่ไหนก็ยังต้องเงียบกริบ หลิวเช่อไม่เพียงปล่อยให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เรียกคะแนนสงสารอยู่อย่างนั้น เขายังยกชาขึ้นจิบคล้ายคนที่ยินดีฟังนางกล่าวไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่จางกงกงยังต้องขมวดคิ้ว

“ เจิ้นจำได้ว่ายามพบเจิ้นเจ้าจะห้อยป้ายหยกสลักคำว่าเฮ่อถูไว้ที่เอว ครั้งนี้ไม่ยักเห็น ทำไม? ไม่มั่นใจกับความงามของป้ายนั้นแล้วหรือ ”

ใบหน้างดงามอ้าปากคราหนึ่งก่อนจะหุบลง สีหน้า นัยน์ตาอ้ำอึ้ง คลับคล้ายกังวลและโศกเศร้า “ป้ายนั้น…ตอนที่หม่อมฉันออกนอกวังไปเมื่อคราวก่อน บังเอิญทำหล่นหายเพคะ…”

ริมฝีปากของโอรสสวรรค์หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายของบุรุษเพศที่สามารถตรึงสายตาของผู้คน มือของเขาเปิดฝากล่องไม้ที่พึ่งถูกจางทังนำขึ้นถวายได้ไม่นานระหว่างที่รับฟังคำตอบจากปากขององค์หญิงเผ่าซงหนู อาจเป็นเพราะชายแขนภูษาที่รุ่มร่าม รวมไปถึงความสูงของพระที่นั่งซึ่งต่างระดับจากผู้อื่น ไม่ว่าใครต่างก็หาได้ทราบว่าฝ่าบาทได้หยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องนั้น ทั้งหมดล้วนเห็นแค่การเปิดและปิดกล่องลงช้า ๆ โดยที่ใบหน้าของพระองค์ยังคงปราศร่องรอยการเปลี่ยนแปลง

“ เจ้ามาจากนอกด่านไม่คุ้นชินพื้นที่ เจิ้นเข้าใจ ช่วงนี้ได้ยินว่าเจ้ามุ่งมั่นกับการฝึกเขียนอ่านอักษรฮั่นจนเป็นที่โจษจันว่าเขียนได้ดีนัก ” ฮั่นอู่ตี้ขยับมือเรียกจางกงกงให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะสิ่งหนึ่งไว้บนมือคนสนิท

จงฉางซื่อที่ก้าวเข้ามารับเมื่อได้เห็นของในมือก็มีสีหน้าตกตะลึง จางกงกงรีบเก็บสีหน้าพร้อมระบายยิ้มที่ดูฝืด ๆ ออกมาอย่างผิดสังเกต ยามนี้เขาทราบแล้วว่าในพระทัยฝ่าบาทมีสิ่งใด ขันทีอสรพิษได้แต่แสดงความสงสารเหล่าหญิงสาวที่ต่อจากนี้ต้องเผชิญกับเล่ห์เหลี่ยมมังกรอยู่ในใจโดยที่ทั้งตัวเขาก็ขยับเข้าไปหาเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พร้อมยื่นสิ่งที่อยู่ในมือออกไป

เป็นป้ายหยกงามชิ้นหนึ่งที่ส่องประกายเล่นกับแสงได้ดียิ่งนัก โดยเฉพาะบริเวณเนื้อหยกที่สลักลงเป็นคำว่า ‘ เฮ่อถู ’ ในภาษาฮั่น ดูจะชดช้อยแต่ก็แทรกไว้ด้วยความทรงพลังสมกับที่เป็นของแสดงฐานันดรของผู้เป็นถึงองค์หญิง

“ ของสำคัญควรรักษาให้ดี หากไม่ใช่ว่ามีคนของเจิ้นไปพบป้ายหยกนี้เข้า มันก็คงไม่พ้นหายสาบสูญไปแล้ว ” ราวกับญาติผู้ใหญ่กำลังตักเตือนและสอนสั่งคนในการดูแลของตนเอง หลิวเช่อขยับตัวเล็กน้อย เขาเปลี่ยนท่าทางขึงขังให้ดูผ่อนคลายยิ่งขึ้นผิดกับจางถิงเว่ยที่แววตากระตุกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกส่งกลับคืนเจ้าของ

“ หากเจ้าอยากขอบคุณเจิ้น ถ้าเช่นนั้นก็เขียนประโยคมงคลให้เจิ้นสักแผ่น ” เก็บของสำคัญให้ ตักเตือนเพียงเล็กน้อย ทั้งยังเสนอทางทดแทนคุณให้สตรี นับว่าเป็นการรวมสิ่งที่ ‘ หลิวเช่อ ’ ปกติไม่มีทางที่จะลงมือทำ แต่สำหรับหมู่สนมที่เข้าวังได้ไม่นานไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงของผู้เป็นพระสวามี

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ชะงักงัน ใบหน้าฉายแววกังวลใจเล็กน้อย หากเพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา รอยยิ้มหวานล้ำโค้งประดับดวงหน้าผ่องใส “ของสิ่งนี้เป็นของสำคัญของหม่อมฉัน ราวกับฟ้าลิขิตให้ฝ่าบาทนำมาคืน วาสนาของพวกเราช่างราวกับเทพชะตาลิขิต นับแต่นี้หม่อมฉันจะรักษาไว้อย่างดี มิกล้าให้ห่างตัวเพคะ” นางเอ่ยพลางยอบกายขอบพระทัย ไม่ช้านานจากนั้นขันทีคู่พระทัยก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับถาดวางกระดาษ แท่นฝนหมึก และพู่กัน ยังมีคนนำโต๊ะเล็กๆ มาวางต่อหน้านาง ดุจว่า ‘คำขอ’ นั้นเป็นภาพลวงตา เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋มิทันได้สังเกตถึงสถานการณ์ที่บีบรัดให้นางต้องเขียน ยังคงคิดว่าหวงตี้ปรารถนาจะทอดพระเนตรความก้าวหน้าในการคัดอักษรของตน ร่างบางเผยรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาประหนึ่งหญิงสาวชาวบ้านที่ซื่อสัตย์และรักมั่น นิ้วเรียวยาวจับพู่กันจุ่มบนถาดหมึกที่มีผู้ฝนให้แล้ว ก่อนจะบรรจงลากอักษรลงบนกระดาษขาวอย่างประณีต ในใจหวังเพียงว่าฝ่าบาทจะชื่นชมยินดี

อักษรข่ายซูอันงามล้ำประหนึ่งงูน้ำพลิ้วไหวในสายธาร ชดช้อยดุจกิ่งหลิวต้องลมวาดตวัดร้อยและซ้อนทับตามลำดับขั้นของการเขียน ลายตวัดเพริดแพรวอย่างยากจะเชื่อว่าหญิงนอกด่านผู้นี้เพิ่งร่ำเรียนอักษรฮั่น มิหนำซ้ำยังเลือกอักษรที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ การลากเส้นแน่วแน่มั่นคงบ่งบอกถึงการเขียนที่ใส่จิตวิญญาณเข้าไว้ด้านใน สุดท้ายก็กลายเป็นอักษร “ฝู” (ความสุข) อันประณีต

เสียงอ่อนหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว “หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะมีความผาสุก เปี่ยมด้วยโชคและสิริมงคลดุจอักษรนี้เพคะ”

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ตั้งใจคัดอักษรอย่างดีหาได้รู้เลยว่านี่ล้วนแต่เป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ฝ่าบาทตระเตรียมไว้เพื่อนาง ทันทีที่จางกงกงนำกระดาษซึ่งผ่านมือของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ขึ้นมาถวาย มือหนึ่งของฝ่าบาทก็ถูกกระดาษแผ่นนั้นไว้ ในขณะที่มืออีกข้างก็ถือกระดาษอีกแผ่น

“ น่าสนใจ ”

ฮั่นอู่ตี้พึมพัมกับตัวเอง ไม่มีใครทราบว่าเขานึกครึ้มอะไรอยู่ เพราะประโยคถัดมาจากริมฝีปากนี้ค่อนข้างสร้างความแตกตื่นได้มากทีเดียว “ ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้าขึ้นมาดูนี่สิ ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

ที่ปรากฏบนกระดาษทั้งสองแผ่นคือรอยพู่กันที่เขียนเป็นประโยคมงคลสำหรับอวยพรแด่หวงตี้ที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ต่างเพียงแค่สองจุด หนึ่งคือรอยหมึกที่แผ่นหนึ่งเหมือนจะถูกเขียนเมื่อก่อนหน้านี้จนหยดหมึกแห้งสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีกแผ่นยังต้องใช้เวลากว่าจะแห้งพอม้วนเก็บ และส่วนที่สองย่อมเป็นประโยคที่แตกต่างแต่ก็เผอิญมีบางอักษรที่เป็นตัวเดียวกันง่ายต่อการเทียบลายมือ

“ อยู่นี่ก่อน ” สุรเสียงของมังกรกล่าวอย่างกระซิบเบา ๆ กับเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่ทั้งที่ตัวยังนั่งตรง

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ จางถิงเว่ย ก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวว่ามีพยานใช่หรือไม่ ”

“ พ่ะย่ะค่ะ? ”

ขนาดจางถิงเว่ยยังเงยหน้าขึ้นตอบรับเสียงสูงอย่างเสียเชิง ‘ ฝ่าบาทท่านผ่านแม่น้ำเหลืองไปไกลแล้วเหตุใดจึงวกกลับมาเอายามนี้เล่า ’ ภายในใจของผู้คนล้วนแต่คิดเป็นเสียงเดียวกัน จางทังรีบกลับมาปรับท่าทางให้สงบอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้ผู้ติดตามวิ่งไปแจ้งให้ด้านนอกนำตัวพยานเข้ามา

“ เบิกตัวพยาน !!! ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้โด่งดังปรากฏตัวขึ้นกลางห้องทรงอักษรผ่านการเชื้อเชิญให้เดินเข้ามา หาใช่การลากอย่างทารุณ ‘ ชางเยี่ยนเป่ย ’ ชายเจ้าสำราญที่ตลอดชีวิตไม่เคยเหยียบย่างเข้าเขตราชการตัวสั่นระริกเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่เกรงกลัว “ เป็นเกียรติของกระหม่อมที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ ”

“ อืม ” เจ้าแผ่นดินที่ได้รับการถวายพระพรติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนคำว่าหมื่นปีเหล่านั้นจะกลายเป็นแสนปีอยู่ร่อมร่อได้แต่ตอบรับในลำคอ “ ถิงเว่ยกล่าวกับเจิ้นว่าเจ้าเป็นพยาน เคยพบเขาหรือ ”

เขาในที่นี้ย่อมเป็นฉีจิงซานที่ซีดเซียวเพราะบรรยากาศของห้องทรงอักษรที่หนักอึ้งได้กดทับกายเขาจนทำให้รู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่สำหรับชางเยี่ยนเป่ยที่พึ่งเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างซื่อตรงและพยักหน้า “ เขาเป็นลูกค้าประจำของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงที่กระหม่อมดูแล ”

“ ใช่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงเข้าไปสอบถามว่าช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ เถ้าแก่ชางได้พบฉีจิงซานบ้างหรือไม่ ” จางทังช่วยกล่าวเสริมในส่วนที่เป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงเสาะหาพยานคนนี้ขึ้นมาได้ ด้านชางเยี่ยนเป่ยถึงจะไม่เคยให้การในคดีสำคัญแต่ก็พอรู้ว่าต่อจากนี้ตัวเองต้องพูดอะไร

“ กระหม่อมทราบวันที่เกิดเหตุจากใต้เท้าจาง .. แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสามวันก่อนหน้านั้น ลูกค้าท่านนี้ได้สนทนากับแม่นางปริศนาท่านหนึ่งที่เขาเรียกนางว่านายหญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นนายหญิงผู้นั้นแต่งตัวธรรมดาทั้งยังสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมจึงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่กระหม่อมได้ยินเขาพูดกับแม่นางว่า ‘ ชีวิตข้าต่อให้ต้องตายก็พร้อมถวายให้นายหญิง ’

ฉีจิงซานตัวสั่นระริก เขาเริ่มกลับมาพูดพึมพัมเสียงเบาสลับดังว่า “ ไม่ใช่ ไม่ใช่นายหญิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ สามวันก่อนเย่เหม่ยเหรินตายไป เจิ้นจำได้ว่าวันนั้นพี่ชายที่เป็นข่านของเจ้าแวะมาเยือนฉางอันเจ้าจึงได้ขอข้าออกไปพบเขา..” ประโยคนี้ของฝ่าบาทแม้จะไร้ซึ่งคำถามแต่ก็คล้ายจะประกาศชัดถึงเจตนาที่กล่าวขึ้น ยามนี้ไม่มีใครกล้าแทรกสิ่งใดเพราะสายตาคมกริบของโอรสสวรรค์กำลังจ้องมองอย่างกดดันอยู่ที่ร่างขององค์หญิงนอกด่านที่ได้โอกาสเข้ามารับใช้ใกล้ชิดเป็นถึงสนมในวังหลวง

ความตื่นตะลึงวาดผ่านใบหน้าอันงดงามของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ นางค่อยๆ เก็บงำความรู้สึกนั้นลงพลางทูลต่อหวงตี้ด้วยความสัตย์ซื่ออย่างที่สุด “วันนั้นหม่อมฉันออกไปพบเสด็จพี่จริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ได้พบเขามานานในใจคิดถึงและห่วงหา มีเรื่องให้ถามไถ่พูดคุยมากมาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้ว แม้นในใจจะยังไม่อยากจาก ก็จำต้องกลับวังในเวลาพลบค่ำ คำพูดของหม่อมฉันหาได้โป้ปดมดเท็จ วาจานี้…หากพระองค์ไม่เชื่อมั่นในตัวของหม่อมฉัน โปรดเชื่อมั่นความภักดีของอันต๋าและชาวซงหนู เรื่องนี้พระองค์สามารถส่งจดหมายถามเสด็จพี่เพื่อเป็นพยานให้หม่อมฉันได้เพคะ เราสองพี่น้องภักดีต่อต้าฮั่น ไม่กล้าหมิ่นพระบารมี มิกล้าสมคบคิดวางแผนร้ายอย่างเด็ดขาด” เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เอ่ยอย่างหนักแน่นมั่นคง แม้ว่าพยานที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะมิใช่สิ่งที่น่าเชื่อถือ แต่นางก็สู้อย่างสุดใจ ประหนึ่งวาดหวังว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่มีร่วมกับหวงตี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จะฉุดดึงนางขึ้นจากความสงสัยของพระองค์ พลันร่างของนางสนมที่สูงศักดิ์ที่สุดในที่แห่งนี้ก็ทรุดลงต่ำ “ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาและให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”

“ จางถิงเว่ย ”

“ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ”

“ สรุปแล้วคดีนี้มีความเป็นมาอย่างไร ”

มาถึงแล้ว ! หลายชีวิตสูดหายใจเข้าพร้อมกัน ในที่สุดหลังความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของผู้ครองบัลลังก์ก็จะจบลงและถึงคราวความจริงได้ออกมาเฉิดฉายแล้ว

“ กราบทูลฝ่าบาท ฉีจิงซานและตระกูลฉีรับใช้กองทัพเหอซีอิงกงมาสามชั่วอายุคน ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพ เขายินดีพลีชีพเพื่อปกป้องสายเลือดตระกูลตวนมู่ แม้บุกน้ำลุยไฟก็มิยอมปริปาก ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนที่เขาพบและออกคำสั่งให้ลงมือสังหารเย่เหม่ยเหรินจะต้องมีบทบาทสำคัญ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนกับเย่เหม่ยเหริน เป็นเขาโกหกพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองมีภูมิลำเนาห่างกันนับพันลี้ย่อมไม่สามารถรู้จักถึงขนาดฝากใจรัก ” เสียงก้องกังวานของจางทังกระทบเข้าโสตประสาทของคนทั่วทั้งห้อง

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ ระหว่างสืบสำนวนคดี กระหม่อมพบว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นกับลู่เหม่ยเหริน เว่ยเจียเจี๋ยอวี๋ และซ่างกวนเหม่ยเหรินช่วงหลังมานี้ ล้วนแต่เป็นฝีมือของนายหญิงที่ฉีจิงซานพบที่โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ” เขาไม่กล่าวว่านายหญิงนั้นคือใคร แต่สายตากลับชักนำทุกคนให้มองไปยังร่างอรชรของสตรีแซ่ตวนมู่ที่ยามนี้ขยับขึ้นมายืนอยู่เคียงข้างฝ่าบาทจนกลายเป็นเป้าสายตาได้อย่างง่ายดาย

“ ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน ส่วนผู้ร้ายตัวจริงนั้น.. ราวกับจุดคลายปริศนาในละครน้ำดีที่ผู้คนชมชอบ หลายชีวิตรอบด้านลุ้นจนตัวโก่งแต่ผู้ที่มีหน้าที่สรุปเรื่องกลับดึงเชิงไว้พร้อมประสานมือโค้งลงอย่างดี “ ฝ่าบาท ”

‘ โอ๊ย ใต้เท้าจางท่านโยนบทกลับไปให้ฝ่าบาททำไม ! อยากเห็นพวกเราขาดใจตายหรืออย่างไร !! ’

ระหว่างที่หลายคนเอาแต่คร่ำครวญ โอรสสวรรค์วางมือลงบนเข่าของตัวเองช้า ๆ “ ลู่เหม่ยเหริน ”

เป็นนาง?

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

สายตามากมายล้วนจับจ้องไปที่ฝ่าบาท กระทั่งขันทีระดับกลางที่เตรียมพร้อมหากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ยังเงยหน้าจากการพิจารณาลวดลายมงคลบนพรม เวลานี้หลักฐานและพยานต่างถอยห่างออกมาไกลเกินกว่าจะระบุว่า ลู่เหม่ยเหริน เป็นคนร้ายแล้ว

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แสดงออกแบบไหน ล้วนไม่สำคัญ

คนงามที่ไร้บทมาตลอดหนึ่งชั่วยามที่นั่งถกเถียงกันไปกันมาคราวนี้ถึงกับไร้คำพูดใดจะเปล่งออก มีก็แต่เสียงสั่นเครือพร้อมด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ ฝ ฝ่าบาท เหตุใดท่าน.. ” ในที่สุดไป๋หรั่นก็ได้ทราบ ช่วงเวลาที่บีบคั้นให้นางโดดเดี่ยวอย่างโหดร้ายที่สุด ทั้งยังตัดรอนความหวังนางได้อย่างเยือกเย็น ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นได้เพราะคำพูดภายใต้การตัดสินใจของเขา ให้ความหวังนาง ให้ที่พึ่งพิงนาง อนุญาตให้นางคว้าคนสนิทเขาไว้เป็นที่กำบัง แต่สุดท้ายเขากลับช่วงชิงทั้งหมดโดยอาศัยเพียงหนึ่งวาจา เนตรหงส์คลอหน่วยด้วยหยาดน้ำ จะให้นางแก้ต่างอย่างไร ให้นางรอดพ้นเช่นไร !!

แต่แทนที่มือปราบหรือเจ้ากรมราชทัณฑ์จะปรี่เข้าคุมตัว ทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่จางกงกงที่เคยออกตัวอย่างชัดเจนว่าให้การสนับสนุนเหม่ยเหรินแซ่ลู่ล้วนไม่ขยับ จนกระทั่งหลายคนหวนนึกได้ว่าใต้เท้าจางถิงเว่ยได้กล่าวอะไรไว้เป็นอย่างสุดท้าย

‘ ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน ’

“ เจ้าดู ” เสียงของฝ่าบาทดังขึ้นอีกครั้ง เขาลุกขึ้นช้า ๆ “ คนผิดอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว ”

“ … ”

“ พูดมา อยากให้เจิ้นจัดการตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างไร ”

คล้ายจะไม่ผิดไปจากที่คาด แต่ก็สร้างความตกใจได้เป็นอย่างยิ่ง ราวกับโอรสสวรรค์หลงลืมไปแล้วว่ายามนี้สตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคือคนบงการเหตุฆ่าสังหารทั้งยังจงใจใส่ร้ายผู้อื่น และผู้อื่นที่ถูกใส่ร้ายก็ไม่พ้นคนที่ยืนห่างจากทั้งสองไปเพียงหนึ่งขั้น การให้พวกนางเผชิญหน้ากันในระยะประชิดเช่นนี้…

อำมหิต.. ช่างอำมหิตนัก

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

มีอย่างที่ไหนให้สตรีตัดสินโทษ สาวงามดั่งหยกนิ่งอึ้งไปถึงขนาดหลงลืมว่าสองตายังคงเอ่อล้นไปด้วยน้ำ เดิมทีนางกลั้นน้ำตาไว้ ต่อให้ต้องกลืนเข็มพันเล่มก็ไม่ยินดีหลั่งน้ำตาให้กับการกล่าวหาเช่นนี้ ทว่าความตื่นตะลึงกลับทำให้นางลืมสิ้น น้ำตาของสาวงามคล้ายไข่มุกมากมูลค่า

“ พระองค์.. ตรัสว่าอย่างไร…นะเพคะ? ”

“ นางคือคนที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนและลำบาก เจิ้นจะลงโทษตามที่เจ้าปรารถนา ”

เห็นเขาหนักแน่นในถ้อยคำเช่นนี้ย่อมสร้างความสะพรึงให้แก่คนรอบข้าง เว้นเสียแต่จางกงกงที่ทราบดีถึงความอำมหิตนี้ในฐานะคนสนิทเขาเคยลงมือทำงานลับให้ฝ่าบาทมานับครั้งไม่ถ้วนเขาไม่เคยกังขาในการตัดสินใจของอีกฝ่ายจนกระทั่งครั้งนี้ ‘ ฝ่าบาท.. ครั้งนี้เป็นพระองค์บีบเค้นพวกนางเกินไปแล้ว ’ จางกงกงได้แต่เวทนาอยู่ในใจ

ในศีรษะน้อย ๆ ของลู่เหม่ยเหรินขาวโพลนดั่งหยก นางกะพริบตาปริบพลางผินหน้ามองไปรอบกายช้า ๆ ทุกชีวิตรอบด้านมีสีหน้าที่แปลกประหลาดยิ่ง บางคนหนักใจ บางคนตื่นตะลึง บางคนสงสาร บางคนเวทนา นางมองผ่านคนแล้วคนเล่าจนวกกลับมาหยุดที่ร่างงามบนพื้น ‘ ไม่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้ .. ไม่สิ ไม่จริง ’

ลู่ไป๋หรั่นเงยหน้าขึ้นมองจางกงกงที่อยู่ถัดออกไป ในแววตานั้นแฝงแววกระหายซึ่งความช่วยเหลือแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการพยักหน้าเพียงครั้งเดียว ขนาดคนสนิทของอีกฝ่ายยังไม่สามารถลงมือช่วยเหลือได้ โฉมสะคราญงามเพริดพริ้งเลื่อนสายตากลับไปยังโอรสสววรค์ นางขยับริมฝีปากแห้งผากทั้งที่ยังหลั่งน้ำตาพร้อมทั้งส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ ฝ่าบาท .. ”

“ มันมิสมควรเป็นเช่นนี้เพคะ ” สตรีงามในอาภรณ์ขาววาดแขนออกทิ้งเข่าลงกับพื้นพร้อมก้มลงร้องขอความเมตตา “ ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ”

“ เรื่องที่เจิ้นถามมีเพียงว่าเจ้าต้องการให้ทำอย่างไรกับผู้ที่กระทำความผิด ”

แม้ไม่ตวาดหรือกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่วาจานี้กลับตอกลึกในใจของผู้ฟัง สองมือของหวงตี้ขยับไขว่หลังอย่างรอคอย

“ … ” หากนางไม่ตอบเกรงว่าตลอดทั้งวันนี้คงได้แต่คุกเข่า ลู่ไป๋หรั่นลอบจิกเล็บลงกับหลังมือของตนเองจนเกิดเป็นรอยช้ำแดงดูน่ากลัว ในขณะที่ก้มหน้าอยู่นางลอบชำเลืองตามองตวนมู่เหม่ยเหรินเล็กน้อยก่อนจะกล้ำกลืนความข้องใจลงไป “ ต้าฮั่นมีกฏบ้านกฏเมือง ตามบัญญัติกฏหมายระบุโทษฐานขั้นใดให้ตัดสินตามนั้นเพคะ ”

เป็นนางที่ยอมถอยมาหนึ่งก้าวด้วยการตอบความปรารถนาของตนเองก่อน หากเป็นปกตินางอาจกล่าวว่าสุดแล้วแต่ฝ่าบาทจะตัดสินใจเนื่องจากพระองค์เป็นถึงเจ้าแผ่นดินมีสิทธิ์ตัดสินโทษทัณฑ์ แต่ในยามนี้ที่นางยังต้องขอร้องกับเขา คำยกยอถึงปานนั้นย่อมไม่มีทางหลุดออกมาจากปาก ไป๋หรั่นไม่เว้นช่วงให้ใครได้ตอบโต้ นางรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกราบทูล “ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินนี้ พระองค์ได้โปร—- ”

“ ดี ” เจ้าแผ่นดินกล่าวขึ้นแทรกประโยคของนางเสียงดัง ผู้ครองรัศมีมังกรสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งพร้อมทิ้งตัวนั่งบนพระที่นั่งอีกครั้ง “ อย่าได้รีบร้อน จากนี้ยังมีประกาศที่พวกเจ้าทุกชีวิตต้องฟัง ”

คล้ายว่าพระองค์จงใจกล่าวกับตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นพิเศษ หลิวเช่อพึงพอใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว จึงเวลาตัดสินผิดถูกและหยิบเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ใส่หีบทิ้งลงทะเลเพื่อไม่ให้ใครยกมันขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้อีก “ จางกงกงเตรียมร่างราชโองการ ”

“ ด้วยคดีเย่เหม่ยเหรินกินเวลามานาน บัดนี้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ลู่เหม่ยเหรินพ้นจากมลทินทุกอย่างโดยสิ้นเชิง เจิ้นขอพระราชทาน 10 ตำลึงทอง และเต้าหู้ 10 หน่วยให้แก่ลู่เหม่ยเหรินเพื่อเป็นการเยียวยาในความโขคร้ายที่นางต้องเผชิญ และเจิ้นขอปลด เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ออกจากตำแหน่ง มอบหมายให้ถิงเว่ย จางทังเป็นผู้ดำเนินโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ไม่ว่านางจะเป็นใครมาจากไหน เมื่อเหยียบอยู่บนแผ่นดินต้าฮั่นย่อมต้องเคารพกฏหมายแผ่นดินเจิ้น ! ส่วนทหารองครักษ์ฉีจิงซานโทษฐานฆ่าคนตาย แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการและถูกหลอกใช้ ลดโทษให้เหลือเพียงทัณฑ์หนึ่งดาบสองท่อนในวันที่ 12 เดือนแปด เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 10 ยามโหย่ว ! ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

ราชโองการจะถูกเขียนออกมาตามพระราชดำรัสที่ฝ่าบาทได้กล่าวไว้ ครั้งนี้ลู่ไป๋หรั่นมีสีหน้าทึ่มทื่อเช่นเด็กโง่งมไปแล้วจริง ๆ ทุกชีวิตในห้องทรงอักษรถูกฝ่าบาทควบคุมให้พลิกไปพลิกมาประหนึ่งของเล่น นี่เป็นหนแรกที่นางรู้สึกว่าตัวตนของเขายิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสามารถคงอยู่เคียงข้างเขาได้ เห็นเขาเล่นบรรจงสร้างสถานการณ์เปลี่ยนไปมาเป็นอย่างดีเพื่อหลอกให้ทุกคนตายใจลึก ๆ แล้วย่อมหวาดระแวงขึ้นหลายส่วน

กลับกลายเป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋…ไม่ถูก เวลานี้คือ เฮ่อถูซื่อ (นางเฮ่อถู) ที่คลับคล้ายว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใบหน้าของนางขาวซีดดุจคนตาย ละลักละล่ำพูดอย่างร้อนรน ในน้ำเสียงมีทั้งประกายความหวังและความสิ้นหวัง ชวนให้ผู้ฟังหดหู่อาดูรอย่างที่สุด “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงตรัสชื่อผิดแล้วเพคะ” เฮ่อถูซื่อยังคงคว้าฟางเส้นสุดท้ายของนาง

“เมื่อสักครู่ใต้เท้าจางก็กล่าวอย่างชัดเจน…ว่าเป็นฝีมือของตวนมู่เหม่ยเหริน”

“ ก่อนหน้านี้จางถิงเว่ยได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เจิ้น เป็นจดหมายที่ดักได้จากม้าเร็วที่ลอบออกจากเมืองในยามวิกาล ” จดหมายที่มีร่องรอยการเปิดผนึกแล้วถูกยื่นไปให้จางกงกง “ ถึงขนาดนี้เจ้ายังกล้าโป้ปดต่อหน้าเจิ้นอีก !! ”

“ ถึงอันต๋า นี่เป็นเรื่องสำคัญ หากภายหน้าฝ่าบาททรงตรัสถามว่าอันต๋ามาเยี่ยมเยือนน้องที่ฉางอันหรือไม่ ขอให้อันต๋าทูลรายงานต่อฝ่าบาทว่าได้มาเยี่ยมเยือนน้องจริง ๆ เรื่องนี้สำคัญ เกี่ยวพันถึงความตายของน้องสาวอันต๋า หากครานี้ท่านไม่ช่วย เกรงว่าชาตินี้คงไร้ซึ่งองค์หญิงเฮ่อถูแล้ว ” จางกงกงอ่านออกสิ่งที่อยู่ในจดหมายออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด เป็นการยืนยันหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่สร้างความกระจ่างในใจให้กับผู้คนได้เป็นอย่างดี

“จดหมายนั่น…” เฮ่อถูซื่ออ้าปากค้าง ดุจดั่งม่านฝันหลุดลงจากฟ้า นัยน์ตาเบิกกว้าง “ไม่…จริง ไม่จริงเพคะ นั่นเป็นจดหมายปลอม หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ—” น้ำตาพรั่งพรูลงจากดวงตาดอกท้อ อาบลงสองแก้มนวล “ฝ่าบาทเพคะ จดหมายนั่นไม่ใช่ความจริงเลยนะเพคะ พวกนาง…พวกนาง!” เฮ่อถูซื่อยกนิ้วกราดชี้หน้าลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหริน “ต้องเป็นพวกนางที่รวมหัวกันใส่ร้ายหม่อมฉัน!”

“นาง! นางจิ้งจอกพวกนี้จะต้องสมคบคิดกับเผ่าปีศาจเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าซงหนูและต้าฮั่น ฝ่าบาท…จะทรงตกหลุมพรางของนางปีศาจพวกนี้ไม่ได้นะเพคะ” ดวงตาของนางวาวโรจน์ หากคลอด้วยหยาดน้ำตา ในเมื่อไม่อาจรอดด้วยเล่ห์ก็จำต้องรอดด้วยเหตุผล เฮ่อถูซื่อยังคงเชื่อมั่นว่านางสามารถบีบบังคับฝ่าบาทได้ “พวกนาง…ไม่สิ พวกมัน พวกปีศาจร้ายพวกนั้นต้องการให้พระองค์สังหารหม่อมฉันแน่ๆ หากพระองค์ทำเช่นนั้นอันต๋าจะต้องพิโรธและเกิดแตกหักกับฝ่าบาท เมื่อนั้นประชาชนสองแคว้น ชายแดนเหนือจะต้องไม่สงบ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”

“ทางฝั่งตะวันตกมีปีศาจกร้ำกราย รบกวนหทัยพระองค์ทุกคืนวัน หากเกินศึกทางเหนือขึ้นอีกชาวประชาจะทนได้อย่างไร”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นกังวลอย่างยิ่งเพคะ ได้โปรดไตร่ตรองด้วยเพคะ!

คำกล่าวของหญิงสกุลเฮ่อถูแม้จะยกย่อเหตุผลมาเพียงใดก็มิอาจปิดกั้นเจตนาใช้ ‘สถานะ’ ของตนบีบบังคับหวงตี้โดยอ้อม อาจกล่าวได้กระมังว่า สิ่งนี้เป็นนางที่ขุดหลุมฝังตัวเองจนมิด

“ ก็ดี ”

มังกรสุริยาแย้มยิ้มอย่างโหดเหี้ยม แววตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความกระหายในการเอาชนะ “ หากเขากล้าแตกหักกับต้าฮั่นทั้งที่น้องสาวกระทำการผิดถึงเพียงนี้ เจิ้นก็ยินดีปะทะกับเขาจวบจนแว่นแคว้นของเจ้าจะเลือนหายไปจากผืนแผ่นดินตะวันออก ” หลิวเช่อยินดีฝังคำความเห็นที่โหดเหี้ยมนี้ไว้ในใจอีกฝ่าย เพื่อให้นางสิ้นหวังไปกับความรู้สึกที่กระทำผิดเพียงหนึ่งครั้งก็แลกมากับชีวิตนับร้อยนับพันในทุ่งหญ้าที่นางรัก อย่างไรเสียซงหนูก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เลี้ยงไม่เคยเชื่องมาตลอดหลายชั่วอายุคน จะช้าหรือเร็ว สักวันก็ต้องมีการกำจัดขั้นเด็ดขาดเกิดขึ้น

“ ทหาร ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

เพราะเป็นคำขอร้องจากตวนมู่เหม่ยเหรินที่ก่อนหน้านี้ถูกใช้ไม่ต่างจากหมากในมือ เห็นแก่ที่นางถูกปิดหูปิดตาให้เคลื่อนไหวตามความต้องการของทั้งคนร้ายตัวจริงไปจนถึงตัวเขา หลิวเช่อแม้จะขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังยกมือขึ้นปรามการลากตัวของทหารที่แทบจะหอบเอาร่างใหญ่ของทหารองครักษ์ที่ต้องโทษให้ลอยขึ้นจากพื้นเพื่อทำการพาตัวออกไป

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

ฉีจินซานภักดีเหนืออื่นใด หากว่าเวลานี้กลับต้องมาตายเพราะ ‘จำนายหญิงผิดฝาผิดตัว’ ในใจก็เกิดสะเทือนเลื่อนลั่นปานฟ้าพลิกแผ่นดินกลับด้าน แม้กระทั่งเวลานี้ก็ยังคงหัวสมองขาวโพลนนเพียงแต่บังเกิดความยินดีว่า ‘นายหญิงปลอดภัย’ เพียงเท่านั้นก็คุ้มค่าที่จะตายแล้ว

เขาเงยหน้า ดวงตาใสกระจ่างในคร่านี้ถึงได้เห็น ‘อดีตคุณหนูสี่’ ที่บัดนี้เติบใหญ่ ท่วงท่าของนางผิดแปลกไปจากเมื่อสิบสองปีโดยสิ้นเชิง หากกาลเวลาไร้ความปราณีชะตากรรมยิ่งผกผัน เขามีตาหาไร้แววจึงมองเห็นหยกแดงเป็นทับทิม ความผิดพลาดของทหารจะน้อยหรือมาค่าตอบแทนล้วนเป็นชีวิตดุจเดียวกัน

ฉีจินซานได้เพียงข่มกลั้นความรู้สึก เขาประสานมือไปทางด้านหน้า “ครอบครัวสกุลฉีในรุ่นของข้าน้อยมีสามคน พี่ชายทั้งสองของข้าล้วนตายสิ้นในสงครามที่ระเบียงเหอซีขอรับ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ท่านพ่อและท่านปู่ล้วนตายที่สนามรบ ท่านแม่สิ้นจากโรคระบาด ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

“ไม่มีขอรับ”

ย่อมเป็นสวรรค์ไม่เคยปราณี ทุกคนล้วนแต่มีอุปสรรคในชีวิตของตนเอง หลงเยวี่ยยังคงเอ่ยเสียงละไม

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

อันร้อยพันคุณธรรมทั้งปวง ความกตัญญูคืออันดับแรก

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

หากไม่ใช่ว่าถูกหลอกใช้อนาคตของเขาย่อมสดใส คนใจดีมีมาก แต่ที่ซื่อสัตย์กลับหาได้ยากยิ่ง ทว่าโทษฐานฆ่าคนตายนับเป็นโทษร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้ ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต อาศัยกฏหมายนี้บ้านเมืองจึงปราศจากการฆ่าฟันกันเองไปช่วงหนึ่ง ฮั่นอู่ตี้ให้เกียรติทั้งสองได้สนทนากันในวาระสุดท้ายย่อมต้องปรายตามองเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่เล็กน้อย

สมกับเป็นบุตรสาวของเหอซีอิงกงผู้นั้น

หลิวเช่อถอนสายตาออกจากร่างที่สวมใส่ชุดวิหคเหิน เขาเปิดปากเปล่งคำสั่งขาดหนึ่งคำ “ ลากตัวออกไป ”

เมื่อมีคำสั่งนี้แล้ว เหล่าทหารก็ลากตัวนักโทษทั้งสองออกจากบริเวณห้องทรงอักษร รอบข้างคล้ายสามารถขับไล่เหมันต์ที่เคยครอบงำทั่วห้อง เปลี่ยนให้กลับกลายมาเป็นคิมหันต์อีกครั้งตามที่มันสมควรจะเป็น

“ ฝ่าบาท แล้วเรื่องตวนมู่เหม่ยเหริน… ” ต่อให้จะไม่เคยสนทนาเป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิด ทว่าจางกงกงยังยินดีช่วยกล่าวแทนอีกฝ่ายในช่วงท้ายที่สุด ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะละครฉากนี้ที่ฝ่าบาทและจางทังร่วมกันสร้างล้วนสร้างความชอกช้ำให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ฉะนั้นแล้วหากปล่อยให้เกรงว่าจะไม่สมควร

“ เจิ้นจะประทานรางวัลให้เจ้าเช่นที่ลู่เหม่ยเหรินได้รับ ”

ฮั่นอู่ตี้ไม่ได้กล่าวกับจางกงกง เขาหันกลับไปทางตวนมู่หลงเยวี่ยที่ยังคงอยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน “ คดีนี้ส่งผลเสียแก่พวกเจ้าทั้งคู่ สมควรได้รับการเยียวยาเช่นเดียวกัน ” เป็นวิธีตัดสินใจที่เรียบง่ายสมกับเป็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากพระทัยของชายที่ไม่เคยจะสนใจสตรีมาก่อน จางกงกงที่พอได้ทราบเช่นนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แค่วันนี้หนึ่งวัน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองอายุสั้นลงเกือบสิบปี จงฉางซื่อที่จัดการเรื่องราวว่องไวใช้เวลาไม่นานก็สามารถเบิกตัวขันทีขั้นกลางผู้หนึ่งมาพร้อมกับถาดของพระราชทานสำหรับตวนมู่เหม่ยเหริน

“ ตวนมู่เหม่ยเหรินโปรดรับของพระราชทานนี้ด้วยเถิด ” เป็นอีกครั้งที่จางกงกงแสดงออกถึงความโอนอ่อนให้กับสตรีที่มีฐานะเป็นภรรยาของนายตน

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue

เขาพูดกับตวนมู่เหม่ยเหรินหนึ่งประโยค ชำเลืองตาไปมองลู่เหม่ยเหรินที่ยังทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้นอีกครู่หนึ่งแล้วจึงกราบทูลกับฝ่าบาทว่า “ เหม่ยเหรินทั้งสองได้รับความสะเทือนใจจากการตัดสินคดีครั้งนี้ ฝ่าบาท ส่งทั้งคู่กลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ”

เป็นคำเสนอแนะที่ดีมาก ฮั่นอู่ตี้ปรายตามองหญิงสาวที่คนหนึ่งเหมือนจะยังตั้งตัวไม่ได้ ส่วนอีกคนดีกว่าหน่อยสามารถกลับมายืดหยัดได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ยังแฝงความร้าวรานไว้ผ่านลาดไหล่บางที่ดูแฝงไว้ด้วยความนัยมากกว่าปกติ

“ … ”

หากเป็นบุรุษทั่วไป ลักลอบหลอกใช้คนเช่นนี้ย่อมแสดงความรับผิดชอบที่ดูอ่อนโยนหรือการเอาใจใส่ขึ้นมาบ้าง แต่ในเมื่อเป็นถึงหวงตี้ แทนที่ฮั่นอู่ตี้จะมีรับสั่งปลอบประโลมพิเศษเพิ่มเติม เขากลับทำแค่พยักหน้าและ.. “ อืม ลำบากพวกเจ้าแล้ว ” การกล่าวเหมารวมครั้งนี้ล้วนแต่ทำให้คนฟังที่กระจัดกระจายกันอยู่คนละทิศถึงกับใบ้กินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

จางกงกงอยากจะถอนหายใจอีกสักครั้ง แต่เกรงว่าหนนี้ตนจะทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ เขาประสานสองมือพร้อมโค้งลง “ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจจัดการ—- เด็ก ๆ พาลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหรินกลับไปพัก ”

“ เดี๋ยวก่อน ”

สุรเสียงมังกรรั้งให้การจางกงกงหันกลับไปมอง “ พวกเจ้าทั้งหมดออกไป ”

“ ส่วนเจ้า ” ยังคงเป็นลู่เหม่ยเหรินที่ได้กลับมาอยู่ในครรลองเนตรของโอรสสวรรค์อีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไร เพราะทั้งหมดรู้เพียงแค่ว่าฝ่าบาททรงตรัสคำสุดท้ายออกมาเพียงว่า “ อยู่ก่อน ”

ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue



สิ่งที่ได้จากอีเว้นท์ +35 บารมี จากการผ่านคดีฆ่าคนตายแล้วรอดตาย
ได้รับ 10 ตำลึงทอง และ เต้าหู้ 10

ค่าความสัมพันธ์
[NPC-11] จางกงกง +20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี
[NPC-11] จางกงกง +5 พูดคุยประจำวัน
[NPC-09] จาง ทัง +5 พูดคุยประจำวัน
[NPC-09] จาง ทัง +20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี

@Admin @Longyue






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-09] จาง ทัง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-7-31 15:23
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-7-31 15:22
โพสต์ 145726 ไบต์และได้รับ 60 EXP!  โพสต์ 2024-7-31 14:47
โพสต์ 145,726 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-31 14:47
โพสต์ 145,726 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-7-31 14:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +10 บารมี +35 ย่อ เหตุผล
Admin + 10 + 35

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x2
x3
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x4
x2
x3
x6
x1
x22
x4
x18
x4
x3
x11
x2
x1
x4
x2
x5
x1
x6
x4
x15
x1
x4
x6
x1

8

กระทู้

169

ตอบกลับ

1654

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
85
ตำลึงทอง
121
ตำลึงเงิน
1417
อีแปะ
27742
STR
30+3
INT
40+0
LUK
0+2
POW
50+0
CHA
70+19
VIT
15+27
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
4073
ความชั่ว
806
ความโหด
4418
โพสต์ 2024-7-31 20:49:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-8-1 15:05




ร่วมโต๊ะในวัง
วันที่ 27 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาประมาณบ่ายสามครึ่งถึงสี่โมง

คล้อยหลังฝีเท้ามากมายที่ก้าวออกไป เหม่ยเหรินแซ่ลู่กดใบหน้าลงนงคราญหยกร่ำไห้โดยไร้สุ้มเสียงนับว่าเป็นหนึ่งในความสามารถที่ชวนให้คนมองรู้สึกร้าวรานใจไม่ต่างอะไรไปจากการเผลอทำหยกเนียนละเอียดชิ้นดีแตกกระจายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ ทั้งยังไม่สามารถสิ่งที่ล้ำค่าเทียบเคียงเดิมมาทดแทนได้ ฮั่นอู่ตี้มองภาพนั้นด้วยความชินชา มีคนมากมายร้องไห้ฟูมฟายเพื่อร้องขอจากเขา มีคนมากมายกรีดร้องคร่ำครวญเพียงเพราะต้องการความเมตตา การร้องไห้เป็นการแสดงออกของผู้แพ้ที่อ่อนแอ ฉะนั้นการที่นางเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้งทีแต่ก็ยังร้องไห้อยู่นี้นับว่าทำให้หลิวเช่อรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยทีเดียว

“ ลุกขึ้น ” รับสั่งของผู้ครองรัศมีมังกรเรียบเอื่อยเย็นชา “ มีที่ที่เจ้าต้องไปกับเจิ้น ”

แข็งกระด้าง ปลอบใครไม่เป็น ใจร้ายเกินคน ทั้งยังอำมหิตโหดเหี้ยม

หนึ่งวันมานี้ไป๋หรั่นได้รู้แล้วว่าพระสวามีเป็นผู้เลิศล้ำเกินมนุษย์ทั้งยังยากคาดเดา เหม่ยเหรินแซ่ลู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย นางช้อนสายตาขึ้นสบมองพระพักตร์ของหวงตี้ กล่าวกันว่าคนงามขอแค่เพียงชะม้ายชายตายังชวนให้สั่นไหว ไหนเลยการจดจ้องทั้งที่สองตาแดงก่ำอย่างน่าสงสารจะไม่ทำให้จิตคนสะท้าน? หลิวเช่อนิ่งงันไปเล็กน้อย ตลอดชีวิตเขาเจอคนอยู่ไม่ขาดสาย ครั้งแรกที่เจอกับนางก็นับว่างามถึงขนาดชวนให้ตกตะลึงแต่หลังจากนั้นย่อมไม่มีทางที่จะได้เห็นเขาเสียเชิงให้กับรูปลักษณ์แค่เพียงภายนอก

ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

เหมือนกับการที่พึ่งได้รู้ว่าชาขอเพียงเปลี่ยนน้ำก็สามารถเปลี่ยนรส

ยังคงเป็นสาวงามคนเดิมที่บรรยากาศต่างออกไปจนคล้ายว่าเป็นผู้อื่น

น่าเสียดายที่ฮั่นอู่ตี้หาใช่ผู้ที่รักหยกถนอมบุปผา โอรสสวรรค์หรี่เนตรลงเล็กน้อยก่อนจะผินตัวเดินนำไปอีกทางทั้ง ทิ้งให้นงคราญชุดขาวต้องค่อย ๆ ยันกายลุกเพียงลำพัง ไป๋หรั่นเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง นางปัดฝุ่นผงจากลำตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปด้วยสีหน้าซึมเศร้า

“ เจิ้นคืนความยุติธรรมแก่เจ้าแล้ว ” เสียงที่ดังขึ้นลอยมาจากทิศไหนนางก็ไม่แน่ใจนัก ทันทีที่ก้าวขาข้ามประตูกั้นด้านหลังโต๊ะทรงงานไป๋หรั่นก็ได้พบกับพื้นที่ห้องพักรับรองหลังห้องทรงอักษรที่ดูผ่อนคลายต่างจากบรรยากาศทึมทึบที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือของห้องทรงอักษร

“ เหตุใดจึงยังร้องไห้ ”

ผู้ถามเดินออกมาหลังฉากกั้นที่มุมห้อง เป็นฮั่นอู่ตี้ในชุดว่าราชการเช่นเดิมเปลี่ยนก็แค่การปลดหมวกม่านมุกออกจากศีรษะดูเป็นกันเองมากขึ้น และเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น

“ ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน.. ” เสียงละมุนเรียบชวนให้ฟังครั้งนี้สั่นไหวไปเล็กน้อย ไป๋หรั่นหลุบสายตาลงเพื่อหลบเลี่ยงการสบตา ทว่ายิ่งไม่มองกลับยิ่งตื่นกลัว สุดท้ายจึงได้แต่หลับตาลงพร้อมสูดหายใจเข้า “ หม่อมฉันไม่แน่ใจนักว่าตัวหม่อมฉันจะสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้เพคะ ”

รอบข้างเงียบสงัดมีเพียงเสียงนกเสียงกาที่ลอยแว่วมาจากที่ไกล “ ไม่อยากมีชีวิตแล้ว? ” เขาถามด้วยเสียงนิ่งขรึม

“ นั่นไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉัน.. ”

“ มานั่งนี่ ”

ผู้ใหญ่เรียกนางก็ได้แต่ทำตาม โฉมงามพิลาสล้ำย่ำเท้าเข้าไปใกล้โต๊ะที่ตั้งอยู่ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าของตำหนัก ฮั่นอู่ตี้รออย่างสงบ เขารอจนสองมือขาวผ่องของรูปสลักหยกที่มีชีวิตเริ่มจะยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา “ ยกเข้ามา ” หวงตี้ออกคำสั่งกับอากาศ … แน่นอน ในห้องนี้มีน้อยคนนักจะเข้าได้ โดยเฉพาะในเวลาอย่างนี้ ยามนี้นอกจากนางและเขารอบด้านก็ไร้ซึ่งร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทว่าคนอย่างหลิวเช่อไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด หลังจากออกคำสั่งแค่รอบเดียวไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ใกล้เข้ามา ผู้สั่งการปรายตามองสาวงามที่มีสีหน้างุนงง ตอนนี้ไม่มีจางกงกงช่วยอธิบาย .. ฮั่นอู่ตี้เผยสีหน้ารำคาญใจออกมาเล็กน้อย “ อยู่ทานมื้อเย็นร่วมกับเจิ้น ”

ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลู่ไป๋หรั่นกะพริบตาไปมาอยู่สองสามครั้งก่อนจะรู้สึกตัวเมื่ออาหารจานแรกถูกวางลงบนโต๊ะลายเมฆลงรักตามลำดับต่อไปนี้..

“ ทูลฝ่าบาท พระกระยาหารมื้อนี้มีดังนี้ ”

“ หม้อร้อนใส่รังนกและเนื้อไก่ตอนฉีก 1 อย่าง 、หม้อร้อน ใส่รังนกและเนื้อเป็ดผัด 1 อย่าง 、หม้อร้อนใส่ไก่ตอนผัดกับผักกาดขาว 1 อย่าง 、แผ่นกระเพาะแกะ 1 อย่าง 、ไก่ทัวทัง 1 อย่าง ” ไม่รู้ว่าผ่านการฝึกมากี่ครั้งแล้ว นางกำนัลผู้กล่าวรายชื่อสำรับถึงสามารถพูดได้ตรงตามจังหวะคนที่ก้าวเข้ามาวางจานและก้าวออกอย่างพอดิบพอดี ลู่ไป๋หรั่นมองความเคลื่อนไหวที่แสนเป็นระเบียบด้วยสายตาชื่นชม

“ นางมีแผล ส่งคนไปเอายาแล้วมาช่วยทาให้นาง ” หลิวเช่อกำชับนางกำนัลเพิ่มหนึ่งประโยคโดยไม่แม้แต่จะหันมอง โอรสสวรรค์หยิบตะเกียบขึ้นรอให้ขันทีฝ่ายตรวจสอบอาหารใช้เข็มเงินไล่ปักเพื่อตรวจสอบพิษในอาหารแต่ละจาน ด้านนางกำนัลที่ถูกสั่งก็นิ่งไปเล็กน้อยไม่ต่างอะไรจากคนเจ็บที่ถูกกล่าวถึง

เขาสังเกตด้วย?

นางกำนัลขั้นกลางผู้นั้นรีบดึงสมาธิของตัวเองกลับมาเพื่อก้มตอบรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปจัดการตามที่ฝ่าบาทต้องการเช่นเดียวกับขันทีตรวจสอบอาหารที่เมื่อหมดหน้าที่ก็ถอยกลับไปยืนที่ซอกหลืบมุมมืดของตัวเอง “ เจ้าชอบอันใดก็เอาไปทานเสีย ” ฮั่นอู่ตี้กล่าวเช่นนั้นจริง แต่ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วภรรยาย่อมต้องทานหลังสามีโดยเฉพาะกฏระเบียบในวังหลังที่มีแยกย่อยไปอีกมากมาย ไหนเลยจะสามารถหมางเมินธรรมเนียมปฏิบัติได้โดยง่าย

ทว่าหลิวเช่อกลับเข้าใจเป็นว่านางไม่มีสิ่งที่ถูกใจในสำรับรอบนี้… ‘ เรื่องมากนัก ’ ต่อให้มองนางดีขึ้นหนึ่งส่วน สิ่งร้าย ๆ ก็ยังเพิ่มขึ้นตามประสาชายชาตรีที่ไม่เข้าใจสตรีเพศอีกครึ่งส่วน ฮั่นอู่ตี้พลิกตะเกียบในมือตนเองและเงยหน้าขึ้นพูดอีกครั้ง “ เอาเข้ามาอีก ”

“ เพคะ? ”

คราวนี้ไวกว่าครั้งก่อนมาก นางกำนัลน้อยใหญ่ก้าวเข้ามาพร้อมถาดอาหารมากมาย พร้อมกันนั้นพี่สาวนักรายงานชื่ออาหารคนเดิมก็เดินยืดอกมาพร้อมตลับกระเบื้องทรงกลมในมืออย่างผึ่งผาย “ ทูลฝ่าบาท รอบนี้ประกอบไปด้วยไข่ไก่ผัด 1 อย่าง 、หางกวางนึ่งกับไก่ตอนจัดใส่จานหลุม 1 อย่าง 、เนื้อกวางจัดใส่จานหลุม 1 อย่าง 、หมั่นโถวเล็กแบบ เซี่ยงเหยียน 1 อย่าง 、แป้งทอดน้ำตาลทรายขาว 1 อย่าง 、ขนมปังไป๋เมี่ยนซือเกาและขนมปังจากแป้งข้าวฟ่าง 1 อย่าง 、ขนมเข่ง 1 อย่าง ” ละลานตา สิ่งเดียวที่นางสามารถใช้บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารนั้นคือคำว่าละลานตา ไป๋หรั่นนิ่งอึ้งกับความอลังการที่มุ่งเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวถึงขนาดที่แม้แต่น้ำตายังหยุดไหลไปเสียดื้อ ๆ

แน่นอน ฮั่นอู่ตี้ที่มองอยู่ย่อมรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ “ เป็นเด็กโลภเสียจริง ” ต้องให้นำของมามากมายนักถึงจะยอมหยุดร้องไห้ ทว่าอาศัยเพียงหนึ่งวาจาใครเล่าจะเข้าใจเหม่ยเหรินแซ่ลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากถามกลับ “ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไร.. ”

“ สำรับเบื้องต้นไม่เพียงพอจะทำให้เจ้าพอใจ ” เห็นแก่ที่นางถูกปักปรำก่อนหน้านี้ และเห็นแก่ที่บทสนทนาในค่ำคืนนั้นช่วยทำให้เขารู้จักนางในรูปแบบที่ซื่อตรง หลิวเช่อไม่นึกดูแคลนท่าทางเช่นนี้ หลายวันที่ผ่านมานางคงเผชิญหน้ากับความลำบากมาไม่น้อย เสด็จแม่กล่าวว่าเมื่อจบเรื่องก็สมควรให้รางวัลนาง บางทีการร่วมโต๊ะเช่นนี้อาจพอจะเรียกว่าเป็นรางวัลได้อยู่บ้าง

“ มิใช่เช่นนั้นเพคะ ” คำปฏิเสธเสียงแผ่วทำให้เขาหันกลับมามองด้วยสายตาถามว่า ‘ แล้วอย่างไร ’

เสียงกู่ร้องดังขึ้นเตือนใจอยู่ในหัวนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไป๋หรั่นไม่มีความจำเป็นต้องพยายามอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ ทว่ามุมมองของเขาที่มีต่อนางก็นับว่าเป็นเกราะกำบังชิ้นสำคัญในการมีชีวิตอยู่ภายในวัง “ เป็นเพราะ…ธรรมเนียม.. ” นงคราญหยกขาวก้มหน้าลงตอบเสียงเบา ยามนี้หาใช่เพียงกระบอกตาที่ร้อนผาว สองแก้มที่หลงเหลือรอยน้ำตาเริ่มถูกริ้วแดงจาง ๆ เกาะกินไปทีละน้อย โฉมงามเบี่ยงใบหน้าไปอีกทางท่ามกลางความสงสัยมากมายที่จ้องมองมา

“ เป็นภรรยาไหนเลยจะสามารถทานก่อนสามี ”

“ ต้องเป็นท่านทานก่อน หม่อมฉันถึงจะ… ”

“ … ”

ครั้งนี้เป็นหลิวเช่อที่พูดไม่ออกแทน เขาพึ่งฉุกคิดได้ว่านางไม่ใช่เพียงน้องสาวของสหาย ไม่ใช่แค่ผู้ถูกปองร้ายที่ต้องได้รับการปกป้องแต่ยังเป็นถึงสนมของเขา ‘ เหม่ยเหริน ’ ที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างถูกต้อง ด้านนางกำนัลน้อยใหญ่ที่อยู่โดยรอบแม้จะไม่พูดอะไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเบา ๆ พวกนางไม่เคยมีโอกาสได้เห็นฝ่าบาทร่วมโต๊ะเสวยกับสตรีที่ไม่ใช่ไท่โฮ่วหรือองค์หญิง แล้วดูยามนี้สิ ครั้งแรกที่มีหญิงอื่นมาร่วมเสวยในวัง.. นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีบรรยากาศข้าวใหม่ปลามันที่ยังตั้งตัวกันไม่ได้ปรากฏขึ้นชวนให้คนเห็นนึกเอ็นดู

“ ฝ่าบาท บ่าวบังอาจขอกราบทูล ”

“ ว่ามา ”

“ บ่าวนำยามาเพื่อทาให้ลู่เหม่ยเหรินแล้ว.. ให้บ่าวได้ถวายการรักษาเบื้องต้นเถิดเพคะ จากนี้จะได้ให้ลู่เหม่ยเหรินได้ปรนนิบัติฝ่าบาท ” นางกำนัลวัยกลางคนกล่าวพร้อมสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม นับว่าเป็นผู้กล้าที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์นัก หลิวเช่อย่อมไม่สะทกสะท้านกับเรื่องจำพวกนี้ แต่กับเหม่ยเหรินแซ่ลู่ที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องสัมผัสฉันท์สามีภรรยาย่อมอับอายเป็นธรรมดา

“ อืม ”

มืองามของไป๋หรั่นถูกนางกำนัลประคองขึ้นมาในระดับอก ชายแขนเสื้อสีขาวรุ่มร่ามนั้นถูกพับเป็นทบขึ้นไปเผยให้เห็นก้านนิ้วเรียวยาวขาวผ่องที่แถวบริเวณหลังมือซ้ายมีรอยช้ำและรอยแผลซึ่งเกิดจากเล็บที่จิกเข้ากับผิวหนัง สีหน้าของนางกำนัลที่อาสามาทายาให้ดูหมองลงทันตา ไป๋หรั่นลอบช้อนสายตาขึ้นมองการขบริมฝีปากในยามที่แต่ละนิ้วควักยาและนำมันมาทาเคลือบบนปากแผล ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อในที่สุดการทายาก็จบลง เหล่านางกำนัลที่อยู่รอตรวจสอบท้ายที่สุดก็ยอบกายเดินจากไป ทิ้งไว้ให้ในห้องเหลือเพียงแต่สองชีวิตอย่างหนึ่งหวงตี้กับหนึ่งเหม่ยเหริน

“ ... ”

“ … ”

เขาไม่พูด นางไม่พูด บริบทเดิม ๆ ที่สองฝ่ายต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างเงียบสงบ

ทว่าครั้งนี้คล้ายจะมีความเปลี่ยนแปลงอยู่หนึ่งสิ่ง..

ทั้งที่ฮั่นอู่ตี้ยังไม่ทันได้ขยับตะเกียบลงมือทำอาหาร สองมื้อที่ข้างหนึ่งช้ำไปของนงคราญก็ขยับประคองถ้วยตักน้ำแกงจากหม้อร้อนที่ใส่รังนกและเนื้อเป็ดผัดจนกลิ่นหอมของแกงลอยเอื่อยขึ้นตามควันฉุย ช้อนเครื่องปั้นเครือบขาวชั้นดีจุ่มลงคนน้ำแกงในถ้วยช้า ๆ สาวงามสกุลหยกยกถ้วยเข้าใกล้ใบหน้าพลางเปิดริมฝีปากเป่าลมเบา ๆ ออกมาช่วยพัดไอร้อนให้เลือนหายไปจากน้ำแกง

หลิวเช่อนึกว่าในที่สุดนางก็ยอมแพ้แล้ว แต่ไม่เลย ขณะที่โอรสสวรรค์ขยับตะเกียบเข้าคีบไก่ทัวทัง สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นถ้วยน้ำแกงในมือนางที่วางลงตรงหน้าเขา โฉมงามพิลาสล้ำคล้ายความกระด้างกระเดื้องเหล่านั้นออกไปจากใบหน้าเหลือไว้แต่กลิ่นอายราบเรียบผสมปนเปไปกับความเศร้าสร้อยที่ดูเปราะบางยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า

“ ...? ”

“ หม่อมฉันไร้ความสามารถ วันนี้ถูกฝ่าบาทและใต้เท้าจางร่วมกันสร้างละครตบตาได้ครู่หนึ่งยังขวัญเสียไม่หาย ทว่าชีวิตนี้หม่อมฉันก้าวมาเป็นสตรีของพระองค์ ทั้งยังเอ่ยไว้ด้วยตนเองว่าเชื่อมั่นในฝ่าบาทเสมอ ” หยกเย็นงามเฉิดฉายเช่นจันทรา ลู่ไป๋หรั่นแม้ไม่แย้มยิ้มก็ยังคงงามหยาดเยิ้ม “ ฝ่าบาทปกป้องหม่อมฉันในฐานะสวามี ในฐานะเจ้าแผ่นดินที่ดูแลราษฎรไหนเลยจะต้องมากังวลกับการคิดเล็กคิดน้อยของสตรี ”

“ หม่อมฉันในฐานะคนของพระองค์ ต่อให้วังหลังนี้ใช้ชีวิตยากนักก็ยังยินดีเรียนรู้ ”

รอยยิ้มขมขื่นของนางช่างงามนัก เหม่ยเหรินแซ่ลู่ผู้นี้ตัดสินใจแล้ว.. ออกไปแล้วอย่างไร ออกไปไม่ได้แล้วอย่างไร หากนางไม่แกล้งตายหรือเปลี่ยนชื่อแซ่จากนี้ย่อมไม่หลงเหลือชื่อเสียงให้ใครทาบทามอีกแล้ว มีแต่ต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น อยู่ให้ได้ อยู่ให้รอด ต่อให้ถูกลืมทิ้งไว้ในตำหนักสักที่ ลู่ไป๋หรั่นก็ไม่นึกเสียดาย



สิ่งที่ใช้

+100 พลังงาน ร่วมทานอาหารชุดจักรพรรดิ
ปรนนิบัติฝ่าบาทในขณะทานอาหาร +1 ปรนนิบัติ (ตักแกงให้รินชาให้)
+10-20 โบนัสความโปรดปรานจากหวงตี้
[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี

เปิดรับอีเว้นท์เลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยยวี๋ @Admin






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-7-31 21:00
โพสต์ 33914 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-7-31 20:49
โพสต์ 33,914 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-7-31 20:49
โพสต์ 33,914 ไบต์และได้รับ +8 คุณธรรม +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-7-31 20:49
โพสต์ 33,914 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดเหวินเฉิน
(เหม่ยเหริน)
  โพสต์ 2024-7-31 20:49

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +1 พลังงาน +100 ย่อ เหตุผล
Admin + 1 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x2
x3
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x4
x2
x3
x6
x1
x22
x4
x18
x4
x3
x11
x2
x1
x4
x2
x5
x1
x6
x4
x15
x1
x4
x6
x1

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
437
อีแปะ
15257
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
1979
ความชั่ว
1244
ความโหด
2637
โพสต์ 2024-8-2 22:21:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด




ถ้าไม่มีคุณลู่ก็ไม่มีวันนี้ครับ .มองEXP l อยากได้สีเต้ดีๆ กว่านี้ .เหม่อ
@Admin


CHAPTER 16


วันที่ 27 เดือน 07 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 | เวลาบ่ายสองครึ่งเป็นต้นไป


เฉาหยางเงียบงันดุจร้างไร้ผู้คน กล่าวกันว่าหลงเยวี่ยมีอารมณ์ร้าย หญิงรับใช้ในตำหนักเซวียนเต๋อที่ถูกส่งตัวมาดูแลทางด้านนี้มีไม่น้อยที่มีสีหน้าหวาดหวั่นระคนเกรงกลัว ทว่าหญิงสาวเจ้าของเรือนกลับนิ่งเงียบจนผิดคาดมีเพียงเสียงหมากกระแทกกระดาน กึก กึก แผ่วเบาราวกับผีร้ายเท่านั้น

จวบจนล่วงเข้าช่วงเวลาบ่ายคล้อย ถึงได้มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

ขันทีขั้นกลางจากตำหนักทรงอักษรเร่งเดินผ่านสะพานและทะเลสาบมาที่ตำหนักเซวียนเต๋อ ปราดเดียวก็มาหยุดอยู่ที่หน้าพระตำหนักรองเฉาหยางแล้ว เนื่องจากการประกาศราชโอการในวันนี้ไม่เป็นทางการนัก ขันทีวัยกลางคนจึงทำเพียงประสานมืออย่างน้อบนอม เอ่ยเสียงนุ่มนวล

“นายหญิงน้อย–ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” กงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม “พวกกระหม่อมจะรออยู่ที่ด้านนอกค่อยนำเสด็จนายหญิง”

“เข้าใจแล้ว”

หลงเยวี่ยเอ่ยเสียงสะบัด นางไม่ได้มีแก่ใจเดินหมาก อีกทั้งคำว่า ‘ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า’ ก็มีผลต่อหัวใจของนางมาก หญิงสาวจึงทำหูทวนลมกับถ้อยคำเร่งรัดอ้อมๆ เพียงสวมชุดคลุมสีเขียวอ่อนลายวิหคเหินทับอีกชั้น แล้วปักปิ่นดอกมณฑาทำจากเงินประดับด้วยทับทิมงดงาม ขับเน้นประกายเจิดจริสให้ดวงหน้าขาวผ่อง แล้วจึงเดินออกจากตำหนักภายใต้การนำทางของขันที

ตำหนักทรงอักษรอยู่ข้างท้องพระโรง แลดูโอ่อ่าหรูหราเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีหลงเยวี่คาดเดาว่าคงจะสืบความเรื่องของ เย่เหม่ยเหริน จากนางระหว่างทางมาจึงใคร่ครวญอยู่ไม่น้อย หากว่าเมื่อมาถึงที่หน้าตำหนักกลับเจอหญิงสาวท่วงท่าเฉิดฉัน นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความเย่อหยิ่ง จากลักษณะของนางและชุดประจำตำแหน่ง คงเป็นเจี๋ยอวี๋ผู้หนึ่ง นางกำนัลติดตามรับใช้กระซิบที่ด้านข้าง “เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพคะ”

ความดูหมิ่นพาดผ่านดวงตาคู่งาม มุกระย้าจากปิ่นแกว่งไกวตามจังหวะก้าวเดิน

“หม่อมฉันตวนมู่หลงเยวี่ย ถวายพระพรเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ขอให้ท่านสมดั่งหวังทุกประการ” หลงเยวี่ยนยอบกายด้วยท่วงท่าแช่มช้อย แววตาจับจ้องบนเครื่องหน้าที่ผิดแปลกจากชาวฮั่นเล็กน้อยนั้น หาได้มีความเคารพยำเกรงใดๆ แฝงอยู่ในดวงตา

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงของเผ่าซงหนู แม้นจะเป็นพวกนอกด่านก็มีศักดิ์ศรีและความห้าวหาญในแบบฉบับของตนเอง บัดนี้เป็นที่โปรดปรานมีอำนาจเหนือสนมใดในวังหลัง (ยกเว้นเว่ยเจียเจี๋ยอวี๋) ไยเลยจะนิ่งเฉยต่อการดูแคลน ริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยชาดเอ่ยเสียงไม่พอใจ “ตวนมู่เหม่ยเหริน ถึงเจ้าจะเป็นธิดาของเหอซีอิงกงผู้ล่วงลับ ข้าก็เป็นธิดาของเฮ่อถูเช่นกัน ตอนนี้เจ้ามีตำแหน่งต่ำกว่าข้าก็ควรจะมีมารยาทหน่อยหรือไม่”

หลงเยวี่ยเชิดหน้าอย่างไม่แยแส “พี่หญิงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว” ‘พี่หญิง’ นางเอ่ยเรียกอย่างสนิทสนมปานนี้ ย่อมมีเจตนายั่วเย้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เย่อหยิ่งในยศศักดิ์ไหนเลยจะอยากนับญาติกับนาง หลงเยวี่ยถอนหายใจแผ่วเบา ดุจระอาใจเหลือแสน “หม่อมฉันเคารพพี่หญิงตามระเบียบทุกประการ เราต่างเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ ไยต้องกล่าวถึงครอบครัวเดิมด้วยเพคะ”

หญิงชาวเฮ่อถูหรือจะมาอบรบกฎระเบียบแก่หญิงชาวฮั่น วาจาของหญิงสกุลเฮ่อถูช่างน่าขบขันยิ่งนัก

หญิงสกุลเฮ่อถูมีประกายเกลียดชังวาบผ่านบนใบหน้า แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นความละมุนอ่อนหวาน “น้องหญิงเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ซ้ำยังเข้ามาในฐานะนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ข้ากลัวว่าน้องหญิงจะยังไม่ชินกับธรรมเนียมในวังหลัง ที่นี่มิใช่จวนเซี่ยวหนิงให้เจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่ เวลานี้ข้าเป็นที่โปรดปรานเจ้าควรระมัดระวังท่าทางของตนเองไว้บ้าง”

“พี่หญิงแนะนำได้ถูกแล้ว” หลงเยวี่ยแค้นหัวเราะโดยไร้เสียง “เพียงแต่ว่าหลงเยวี่ยเป็นเพียง ผู้ต้องสงสัย เพคะ” นางหรี่นัยน์ตาหวานล้ำเชิดหน้าเอ่ยอย่างไม่กลัวเกรง “จางถิงเว่ยยังไม่ตัดสินโทษ พี่หญิงตั้งตนเป็นใหญ่ก้าวก่ายวังหน้า ตัดสินแทนเช่นนั้นหม่อมฉันไม่กล้ารับ พี่หญิงมาจากดินแดนกันดาร— ดูเหมือนกฎระเบียบของชาวฮั่นจะยังไม่กระจ่างแจ้งเท่าใด”

“ปากแดงๆ ของน้องหญิงช่างเจรจาพาที—”

ฉับพลัน กงกงหน้าขันทีก้าวขึ้นมาเอ่ย “เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ตวนมู่เหม่ยเหริน เชิญด้านในพ่ะย่ะค่ะ” ขัดคำของหญิงจากสกุลเฮ่อถูพอดิบพอดี หลงเยวี่ยแย้มรอยยิ้มอ่อนหวาน ให้เกียรติเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ตามระเบียบ “เชิญพี่หญิงเพคะ”

สุดปลายห้องทรงอักษรปรากฏร่างของโอรสสวรรค์นั่งอยู่เหนือคนทั่วไปราว ๆ สองขั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เจ้าแผ่นดินฉลองพระองค์ด้วยภูษาสีนิลปักไหมทองรูปมังกรกลางหมู่เมฆพร้อมกันนั้นเยื้องออกไปทางด้านข้างพระที่นั่งก็ยังมีร่างของสตรีงามโดดเด่นยืนเคียงอยู่ไม่ห่าง สองตาคมกริบของผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นจรดลงบนตัวสองบุคคลที่กำลังก้าวตามหลังขันทีขั้นกลางเข้ามา

แม้หลงเยวี่ยจะมีอคติต่อเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่เป็นชาวนอกด่าน ทว่าต่อหน้าหวงตี้ย่อมมิอาจแสดงอาการจนเกินงาม นางเดินตามหลังเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ตามตำแหน่ง ยอบกายลงตามหลังตามระเบียบแบบแผน “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”

สิ้นเสียงถวายพระพร ฮั่นอู่ตี้หรี่ตาลงก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางจางกงกงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว จงฉางซื่อคนปัจจุบันโน้มตัวลงฟังการกระซิบรายงานจากขันทีหน้าตำหนักที่สับเท้าเข้ามาแจ้งความพร้อมของด้านหน้าตำหนัก “ฝ่าบาท” หัวหน้าขันทีเงยขึ้นกราบทูลเป็นสัญญาณให้กับนายเหนือหัวด้วยท่าทางอ่อนน้อม ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ ฮั่นอู่ตี้ยกมือขึ้นปรามคนสนิทและหันกลับมาเอ่ยต่อเหม่ยเหรินทั้งสอง

“ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ยังคงเป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่เอ่ยนำ

ร่างบอบบางสองร่างเคลื่อนกายขึ้นอย่างแช่มช้า ดุจบัวบานผุดขึ้นจากเวิ้งน้ำอันสะอาดใส หากว่าเมื่อลุกขึ้นมาสายตาพลันปะทะกับร่างอรชรข้างกายประมุขแห่งตำหนัก หลงเยวี่ยมีทีท่าตะลึงงัน นางชื่นชมฝ่าบาทมานาน แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว หากเมื่อเห็นสตรีอื่นเคียงข้างก็ยากจะห้ามรู้สึกหน่วงในใจ ทว่าเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋กลับถลึงตามองภาพนั้นอย่างขุ่นเคือง หลงเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างนางได้ยินอย่างแจ่มชัด

“นังจิ้งจอก”

ร่างบอบบางปานต้นหลิวลุกจากถวายพระพรแล้วก็เมินหน้าขันทีที่ยกเก้าอี้เล็กมาถวาย เดินนวยนาดที่ข้างพระที่นั่งจงใจใช้ศอกกระทุ้งลู่เหม่ยเหริน แทรกกลางระหว่างทั้งสองคน “ฝ่าบาทเพคะ— ลู่เหม่ยเหรินถูกกักตัวมานาน จะปรนนิบัติรับใช้ได้ถูกใจพระองค์ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันไม่วางใจเลยจริงๆ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแล้วหันมาทางลู่เหม่ยเหริน “เจ้า! ยังอยู่ในระหว่างต้องคดี ยังจะมารยาสาไถยโผล่หัวมาต่อหน้าพระพักตร์ ยังไม่รีบหลบไปอีก”

หลงเยวี่ยรับน้ำชาจากขันทีในตำหนักพลันต้องแค่นหัวเราะออกมา “เจี๋ยอวี๋ปรนนิบัติหวงตี้ไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว เหม่ยเหรินจะเทียบท่านได้อย่างไร” นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหาได้มองภาพบาดใจ เพียงแต่นางและลู่เหม่ยเหรินที่ต้องคดีต่างอยู่ที่นี่ เจี๋ยอวี๋กล่าวหนึ่งกระทบสอง ช่างน่าขุ่นใจนัก

ทว่าในเวลาที่เป็นผู้ต้องสงสัย ฝ่าบาทก็ยังโปรดปรานลู่เหม่ยเหริน ฝ่ายในหรือจะไม่ริษยานาง

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

หลงเยวี่ยและนาง(ลู่เหม่ยเหริน)มีฐานะเท่าเทียมกัน เมื่ออีกฝ่ายคำนับเช่นนั้น นางก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยอบตัวอย่างให้เกียรติ สีหน้าของหลงเยวี่ยประดับรอยยิ้ม มองเผินๆ สามารถดูได้ว่ายินยอมเป็นมิตรกลับผู้ใด “ลู่เหม่ยเหริน”

คิ้วเข้มราวกระบี่พาดเลิกขึ้นเล็กน้อย ฮั่นอู่ตี้มิได้ปรายตามองคนที่แทรกกายมาคั่นกลาง และแน่นอนว่าไม่แม้แต่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่ถูกกันออกไป เขาเบื่อหน่ายการละเล่นชิงดีชิงเด่นของสตรี โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ยังมีคนโง่เขลาถึงขนาดไม่ทราบว่าถูกเรียกมาด้วยเหตุใด ยามนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในครรลองสายตาของโอรสสวรรค์ย่อมเป็นร่างบางเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งประคองจอกชาอยู่อย่างสงบ

เขาจะถือเสียว่าเมื่อครู่ไม่ได้ยินวาจาใด ๆ ของสามสตรีที่ต่างก็สาดน้ำเย็นใส่กันไปคนละถัง

“กระทั่งที่ยืนของตนเองยังไม่ทราบ เจิ้นคงไม่จำเป็นต้องคาดหวังการปรนนิบัติจากเจ้า”

วาจานี้นับว่ารุนแรงในการหักน้ำใจสตรี มังกรสวรรค์ผู้ไม่โปรดลูกไม้มารยาหันไปหาจางกงกงพร้อมคำพูดที่ว่า “แนะนำนางสักประโยคว่าที่ใดควร ที่ใดไม่ควรตั้งแต่ต้นจนจบในสายตาฝ่าบาทไม่มีแม้กระทั่งเงาหรือการชำเลืองไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ราวกับว่าการที่เคยเสด็จไปหาก่อนหน้านี้เป็นแค่ฝันหนึ่งตื่น

“เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋” ชายงามในชุดขันทีย่ำเท้าเข้ามาช้า ๆ พลางผายมือเป็นการเรียนเชิญ “ที่ของท่านอยู่ทางนี้ขอรับ”

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาฝ่าบาททรงดีกับเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยิ่งนัก มิเคยต่อว่ารุนแรงเพียงนี้ หยาดน้ำตาพลันร่วงหล่นลงจากนัยน์ตาดอกท้อราวม่านไข่มุก ไหล่บอบบางสะเทินไหว “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเพียงลืมตัวชั่วคราว ขอพระองค์โปรดอภัยด้วยเพคะ”

เมื่อเห็นว่าเวลานี้ฝ่าบาทเข้าข้างใคร ท่าทีของเฮ่อถูเหม่ยเหรินที่มีต่อลู่เหม่ยเหรินพลันอ่อนโยน “น้องหญิงลู่เวลานี้ยังเป็นนักโทษในคดีอุกฉกรรจ์ ฝ่าบาททรงโปรดน้องหญิงมากเพียงนี้ ผู้คนจะตำหนิถึงคุณธรรมของพระองค์นะเพคะ”

นัยน์ตาสีเข้มขลับเช่นนภายามรัตติกาลเรืองโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เจ้ากำลังตำหนิเจิ้น?”

โอรสสวรรค์เดิมทีก็ใจแคบ(?)เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้มีคนมาหลั่งน้ำตาอยู่ข้างๆ พลางจีบปากจีบคอกล่าวว่า ‘กังวลถึงชื่อเสียงท่าน’ ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ คนอย่างเขาย่อมมองเป็นว่าอีกฝ่ายไปกินดีหมีหัวใจเสือมามากกว่าถึงได้กล้ากล่าวต่อหน้าเขาโดยไม่ยั้งคิดเช่นนี้

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ลนลานคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะ “หม่อมฉันมิบังอาจ หม่อมฉันแค่กลัวว่า ผู้คนจะตำหนิน้องหญิงลู่…”

“ฝ่าบาท เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงแค่เป็นกังวลจึงมิทันได้ระมัดระวังคำพูด โปรดทรงอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงเห็นท่าไม่ดีรีบประสานมือโค้งลงขอความเมตตาเพื่อเป็นการช่วยประคองให้สถานการณ์ไม่มุ่งลงเหว

ด้วยเหตุนี้ในที่สุดสายพระเนตรของฝ่าบาทก็ตวัดมองไปยังร่างที่คุกเข่าลงโขกศีรษะ พระหัตถ์ที่หยาบกร้านยกขึ้นคลึงสันจมูกก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้รอบด้านเงียบงันไร้ผู้คนกล้ากล่าวทักท้วงถึงสิ่งใด ฮั่นอู่ตี้ทราบดีถึงความต้องการของจางกงกง ร่องรอยความไม่พึงใจยังฉายอยู่บนหว่างคิ้วแต่กระนั้นก็ได้แต่ทำใจปรับความขุ่นเคืองให้จางลง

“พอแล้ว” หลิวเช่อผ่อนลมหายใจออก เขาละสายตาจากร่างที่หมอบกราบอยู่กับพื้นพร้อมเปลี่ยนท่าทางจากนั่งนิ่งเป็นการยกชาขึ้นจิบ “เจ้าไปนั่งพักเสีย เจิ้นเรียกมาพูดคุยไหนเลยต้องลำบากมาปรนนิบัติ”

คนสนิทย่อมดูออกว่าการจะพูดประโยคนี้สำหรับฝ่าบาทนับว่ายากเย็นนัก จางกงกงลอบก้มหน้ายิ้มแหยอย่างอ่อนใจจากนั้นจึงค่อยหันไปช่วยพูดขยายความ.. หมายถึง โน้มน้าวเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋อีกครั้ง “พระสนมฝ่าบาททรงเป็นห่วงว่าร่างกายท่านเดิมทีก็มิสู้ดีนัก ครั้งนี้แค่ต้องการพบหน้าสนทนาร่วมกับท่าน ในใจไม่อยากให้ฝืนทนความเจ็บปวดมาคอยรับใช้ใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ดีนัก ยามนี้พระสนมได้รับความสะเทือนใจ อย่างไรขอเชิญไปนั่งพักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เรื่องราวปั้นแต่งจากปากจางกงกงลื่นไหลประหนึ่งเป็นความจริงที่หลบซ่อนมานาน คนที่กล่าวความเท็จได้ตาไม่กะพริบเช่นนี้ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับการอยู่เป็นคนสนิทเคียงข้างผู้ที่ไม่เคยจะไว้หน้าผู้ใด

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดเปลือกตาที่วามวาวด้วยหยาดน้ำตา “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ขันทีขั้นกลางในตำหนักเดินเข้ามาประคองเจี๋ยอวี๋ผู้เป็นที่โปรดปราน ไปนั่งยังเก้าอี้เล็กตรงข้ามตวนมู่เหม่ยเหริน สังเกตได้ว่าฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยเพราะกิริยาของนางแล้ว เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ก็สงบลงมาก ทว่ากลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ห้องทรงอักษรตอนนี้มีเหม่ยเหรินที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ‘เย่เหม่ยเหรินจนน้ำตาย’ อยู่พร้อมทั้งสองนาง ย่อมเกิดความแคลงใจว่าฝ่าบาทเรียกนางมาที่นี่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนอย่างไร ท่าทีจึงเงียบสงบกว่าตอนแรกมาก

ในที่สุดห้องทรงอักษรก็กลับสู่ความสงบ โทสะของโอรสสวรรค์เจือจางลงแล้ว สองสาวงามที่นั่งอยู่เบื้องหน้าต่างก็มีชาคนละจอกอยู่ในมือ มีก็แต่เหม่ยเหรินที่เคยยืนข้างกายผู้นั้นที่ตอนนี้เหมือนจะตัดสินใจยืนถัดลงมาอีกขั้นเพื่อรักษาระยะห่างและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้อีก

ฮั่นอู่ตี้กดใบหน้าก้มลงมองฎีกาที่เหลืออยู่บนโต๊ะคล้ายกับเรียกคนมาเพื่อ ‘อยู่เป็นเพื่อน’ จริง ๆ อยู่ราวๆ ครึ่งก้านธูป ท้ายที่สุดเมื่ออ่านฎีกาม้วนนั้นจบ ริมฝีปากหนาก็หยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่คล้ายว่าสามารถเย้ยหยันคนทั่วโลกหล้าโดยอาศัยเพียงหนึ่งรอยยิ้ม “เป็นฎีกาที่ดี.. ทำให้เจิ้นนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องถามเจ้าสองคน ”

โอรสสวรรค์หยิบป้ายทองแดงที่สลักเป็นคำว่าตวนมู่ขึ้นพลิกไปมาบนมือ ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นป้ายนี้ เคยเห็นขุนพลที่ดี เคยเห็นความสามารถที่เกรียงไกรจากบุคคลที่มีสิทธิ์สามารถใช้งานมัน สายพระเนตรของฝ่าบาทยังคงสงบนิ่งแต่ลึกลงไปใต้ความสงบนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความชื่นชม “ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่”

บทละครเมื่อครู่ทำให้นางดูถูกเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ไม่น้อย ทว่ามุมมองที่มีต่อฝ่าบาทกลับยิ่งกลับตารปัตร อย่างไรเวลานี้เขาก็ไม่ใช่ ‘รัชทายาท’ แต่คือจักรพรรดิผู้ครอบครองแผ่นดินอย่างแท้จริง ไยจะเป็นคนผู้เดิมที่นางชื่นชมมานาน นัยน์ตาหวานล้ำเผยประกายเหยียดหยามตนเอง นางปราดตามองชายที่ไม่พบหน้ามาเนิ่นนาน ม่านลูกปัดห้อยพระมาลาทิ้งสายลงเบื้องล่าง บดบังใบหน้าอันสง่างามจนเหลือเพียงโครงเค้าอันเลือนรางพร่าเบลอ อาจเพราะพระองค์หนักแน่นม่านหยกนั้นจึงมิได้แกว่งไกวอย่างสับสนวุ่นวาย หากแต่กาลก่อนจวบจนเวลานี้ หลงเยวี่ยก็มิอาจมองเห็นสีหน้าของพระองค์ที่มองมายังตนได้เลย หากว่าความรู้สึกเพียงเล็กน้อยที่แฝงมาในวาจา ประหนึ่งน้ำเย็นที่หล่อเลี้ยงจิตใจนาง คำถามของพระองค์ดุจเดียวกับที่จางถิงเว่ยถามนาง

คลับคล้ายว่าพระองค์ยินดีฟังจากปากของนางมากกว่าสำนวนคดีที่ถูกถวาย (อ๋อเปล่า น่าจะยังไม่อ่าน)

หลงเยวี่ยยืดตัวขึ้นแล้วยอบกายลงอีกครั้ง ในสายตามีเพียงฝ่าบาท “กราบทูลฝ่าบาท สิ่งนี้คือป้ายบอกสังกัดนายทหารประจำกองทัพพยัคฆ์ของสกุลตวนมู่ หม่อมฉันรู้จักเพคะ” ในน้ำเสียงของนางแฝงความชื่นชมของสตรีอย่างยากจะปิดบัง แวบหนึ่งคลับคล้ายนางสัมผัสได้ถึงเสียงเย้ยหยันบางเบาจากเจี๋ยอวี๋ที่นั่งอีกฝั่ง

คำตอบของตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นดังคาด หลิวเช่อพยักหน้ารับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตาไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่นั่งถัดมาอีกทาง “เจ้าเล่า รู้จักหรือไม่?”

รอจนตวนมู่เหม่ยเหรินนั่งประจำที เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ระมัดระวังกิริยาจนยากจะรับแม้แต่ชาสักถ้วย ก็หยัดกายขึ้นบ้าง นางเป็นหญิงงามที่งามแตกต่างจากชาวฮั่น แม้ท่วงท่าจะไม่สำรวมเท่าแต่ก็มีความสดใสที่ยากจะมองข้าม นัยน์ตาที่ฉ่ำวาวด้วยเพิ่งผ่านการร้องไห้ยิ่งทำให้หญิงสาวในเวลานี้ดูบอบช้ำเกินทน น่าเสียดายว่าที่ห้องทรงอักษรมีลู่เหม่ยเหรินที่โด่ดเด่นกว่าใคร เมื่อต้องเทียบกับโฉมสะคราญเช่นนั้น ความน่าทะนุถนอมดูแลของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พลันด้อยค่าลงจนมิอาจเห็น ท่วงท่าของนางแลดูอ่อนแอ คิ้วทรงหลิวที่วาดอย่างประณีตขมวดบางเบาคล้ายมีความเศร้าอยู่ลึกๆ ที่ฝ่าบาทตรัสถามตนเช่นเดียวกับผู้ต้องสงสัยอย่างหญิงสกุลตวนมู่ “ทูลฝ่าบาท ป้ายชิ้นนั้นหม่อมฉันไม่เคยเห็นเพคะ…” เสียงแว่วหวานของนางแฝงความออดอ้อน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งดังเดิม

ในที่นี่อาจมีเพียงเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงคนเดียวที่ใบหน้าฉาบความสงสัยเหลือคณา

เมื่อสิ้นคำของทั้งสองฝ่าย ป้ายทหารในมือก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ชายผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นพยักหน้าราวกับกระจ่างในคำตอบของทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็หันไปกล่าวกับจางกงกงที่อยู่ข้างกาย “ให้เข้ามา”

จางกงกงที่รอคำนี้มานานรีบประสานมือค้อมกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะยืนเต็มความสูงและหันไปทางประตูห้องทรงอักษร “จางถิงเว่ยและทหารองครักษ์ฉีจินซานเข้าเฝ้าได้!!!” จงฉางซื่อตะเบ็งเสียงประกาศกร้าวดังไปถึงด้านนอกที่รอฟังสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว

เสียงฝีเท้าหลายคู่เริ่มดังใกล้เข้ามามากขึ้นก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของเจ้ากรมยุติธรรมคนปัจจุบันและทหารองครักษ์ฉีจินซานที่ถูกพาตัวเข้ามาโดยมีมือปราบอีกสองสามคนคอยตามประกบอย่างระแวดระวัง จางทังหรือที่ทราบกันในนามจางจิ่งสิงเป็นฝ่ายเดินนำเข้ามาก่อน เมื่อมาถึงบริเวณที่นับว่าใกล้พอต่อการสนทนา ร่างสูงภายใต้เครื่องแบบขุนนางก็คุกเข่าลงถวายพระพร โดยมีฉีจินซานและมือปราบด้านหลังที่ทรุดกายลงตามการกรุยทางของจางถิงเว่ย

“กระหม่อมจางถิงเว่ยมาเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี” ท้ายประโยคที่เป็นการถวายพระพรหาได้มีเพียงเขาคนเดียวที่กล่าวยังมีเสียงของชายชาตรีอีกหลายชีวิตที่ให้ความเคารพแด่พระเจ้าแผ่นดิน

“รายงานมา”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ถิงเว่ยหนุ่มรับคำสั่งเสียงเข้ม เขาเหลือบสายตาขึ้นมองเหล่า ‘ผู้ต้องสงสัย’ ที่อยู่พร้อมหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเก็บสายตาลงกราบทูลเนื้อความของคดีที่สืบหามาได้ “จากการสืบค้นพบว่าจดหมายที่ถูกส่งให้เย่เหม่ยเหรินก่อนเกิดเหตุทั้งยังอ้างว่าเป็นจดหมายนัดพบจากลู่เหม่ยเหรินนั้นถูกเขียนโดยใช้กระดาษคุณภาพชั้นเลิศที่ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน” เสียงของใต้เท้าจางเงียบไปครู่หนึ่ง เปิดโอกาสให้จางกงกงที่รับหน้าที่ผู้ขยี้เนื้อหาได้มีช่องสอบถามเพิ่มเติมโดยแสร้งว่าเป็นการสงสัยใคร่รู้

“ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน? คุณภาพดีถึงเพียงนั้นเชียว.. ทว่าลู่เหม่ยเหรินก็หาใช่ธิดาตระกูลค้าขายทั่วไป ด้วยฐานันดรของนางสามารถเสาะหากระดาษชนิดนี้ได้หรือไม่”

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

จางถิงเว่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบกลับอย่างหนักแน่น “เป็นไปไม่ได้ กระดาษชนิดนี้นับว่าเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้แคว้นเพื่อนบ้านที่สวามิภักดิ์ต่อต้าฮั่น มิอาจนับว่าเป็นของค้าขายหรือใช้งานได้เนื่องจากมีโทษถึงตายในฐานลักลอบแย่งชิงของหลวง” ทันทีที่จบคำตอบนี้ความสงบนิ่งบนใบหน้าของโอรสสวรรค์ก็เปลี่ยนไป

เสียง ‘อ้อ’ เบา ๆ ดังขึ้นจากปากเขา เท่านั้นก็เพียงพอที่จะพลิกห้องทรงอักษรที่เคยปลอดโปร่งให้กลายมาเป็นแดนหิมะหนาวเหน็บเสียดผิวคนเป็นอย่างยิ่ง

หลงเยวี่ยกลับมองต่างจากจางถิงเว่ย สิ่งของอย่างไรก็มีวิธีแย่งชิงมา— เพียงแต่ว่าเรื่องนี้หาใช่สิ่งที่นางกระทำได้ และเพราะนางกระทำไม่ได้ถึงยิ่งควรไหลไปตามน้ำ เรื่องนี้เจตนาพุ่งเป้าไปที่เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ แม้หลงเยวี่ยจะพยายามสำรวมสุดใจ ก็ยังอดไม่ได้ต้องลอบจิบน้ำชาอวยพร อาจเพราะจางถิงเว่ยให้ข้อมูลที่ดีต่อนางกระมัง หลงเยวี่ยจึงเกิดความชื่นชมต่ออีกฝ่ายอีกหลายส่วน ทว่าชายหนุ่ม ‘ฉีจินซาน’ ที่อยู่ด้านข้าง มองอย่างไรก็ไม่คุ้น คนผู้นี้ที่ใส่ร้ายนางร่างกายมีร่องรอยของทัณฑ์ทรมาน ช่างสาสมยิ่งนัก

หากแต่เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หญิงจากนอกด่านเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกคำพูดนี้ของจางถิงลอบทำร้ายย่อมไม่มีแก่ใจจะมองนัยน์ตาดูแคลนของตวนมู่เหม่ยเหริน เรื่องนี้มิอาจสรุปได้ว่านางเป็นผู้ผิด เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น นางอาจถูกใส่ร้ายก็เป็นได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริดอย่างยากจะปกปิด สีหน้านั้นยากจะตัดสินว่าเป็นนางโง่เขลาจนไม่รู้ว่าควรใช้กระดาษเช่นไรใส่ร้ายคน หรือตระหนกตกใจที่จู่ๆ เรื่องนี้ก็รวบพันตนเข้าไปเกี่ยวข้องกันแน่

“ส่วนลายมือที่ปรากฏอยู่บนจดหมายเป็นลายมือของลู่เหม่ยเหรินจริงที่ได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านตงฟางซั่วที่เข้ามามีส่วนช่วยวิเคราะห์และเทียบเคียง แ… ” เมื่อส่วนแรกถูกรายงานจนจบก็เป็นปกติที่จะรายงานส่วนที่สองทว่ายังไม่ทันได้รายงานจนถึงจุดสำคัญ พระหัตถ์ของฝ่าบาทก็ยกขึ้นปรามเป็นสัญญาณให้หยุด

“เป็นลายมือของลู่เหม่ยเหริน แล้วมีอะไรอีก”

จางถิงเว่ยรับใช้ฝ่าบาทมานานย่อมทราบว่ายามนี้อีกฝ่ายต้องการให้ตนหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ เจ้ากรมราชทัณฑ์พยักหน้ารับอย่างไร้คนเข้าใจก่อนจะหยิบอีกประเด็นขึ้นรายงานต่อเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ “บริเวณสระน้ำซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุได้มีการพบของชิ้นหนึ่ง”

ขุนนางหนุ่มล่วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกล่องไม้สีดำเรียบที่ผ่านการเคลือบเงาอย่างดีออกมาและยกขึ้นคล้ายต้องการถวายให้ฝ่าบาทได้ทรงพิจารณา จางกงกงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวเข้ามารับกล่องและนำขึ้นถวายแก่ฝ่าบาท ทว่าฮั่นอู่ตี้กลับไร้ซึ่งความเร่งร้อนที่จะเปิดมันออกดู เขาพยักหน้า ปล่อยกล่องไม้ให้วางอยู่บนโต๊ะทรงงานอย่างนั้นพร้อมกับประคองสีหน้าสงบนิ่งเพื่อรอฟังข้อมูลถัดไป

“ป้ายของสกุลตวนมู่ที่ถูกพบนั้นเป็นของจริง และฉีจิงซานผู้นี้ก็เคยทำงานในกองทัพของเหอซีอิงกงจริง”

“จางถิงเว่ย!” หลงเยวี่ยพลันเผลอตัวหยัดกายร้องไปทางเจ้ากรมยุติธรรม “ท่านกล่าวเช่นนี้มีจุดประสงค์อันใด”

ตวนมู่เหม่ยเหริน โปรดระวังกิริยาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนอบน้อมเย็นเยียบดังจากขันที หลงเยวี่ยแม้นจะตื่นตระหนกเพียงใดก็ยังต้องเข้าใจว่าตนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ร่างกายของนางเย็นเยียบพลันไร้เรี่ยวแรงจนต้องเอนกายพิงโต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในพริบตา

สายตาหลายคู่ยามนี้ล้วนเคลื่อนไปมองที่เหม่ยเหรินจากตระกูลวีรชนที่ลุกขึ้นแสดงกิริยาไม่น่ามองยามที่ทราบถึงเนื้อหาส่วนนี้ สายตาทั้งหมดผสมปนเปไปด้วยการตำหนิบ้าง ดูแคลนคล้ายว่านางแก้ตัวบ้าง หรือไม่ก็หน่ายใจราวกับสมเพชเวทนา จะมีก็แต่สายตาไม่กี่คู่ที่ยังเผยความรู้สึกในด้านอื่น อย่างเช่นจางทัง จางถิงเว่ยชำเลืองตามองไปทางตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างสงบถึงแม้ว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกขัดประโยคด้วยแรงโทสะผสานตกตะลึงนั้นก็ตาม ด้านลู่เหม่ยเหรินที่มองภาพรวมทั้งหมดมานานก็มีท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการดูหมิ่น

ทว่าที่ทรงอำนาจที่สุดย่อมไม่พ้นสายพระเนตรมังกรที่เคลื่อนกลับไปมองยังร่างชดช้อยที่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นกล้าหาญอยู่ราว ๆ เจ็ดส่วน ฮั่นอู่ตี้พิจารณาดูความงามอย่างมีเอกลักษณ์นั้น เฝ้ามองถึงการเปลี่ยนแปลงไปมาบนสีหน้าและแววตา ความตื่นตระหนกของนาง เขาทราบ ความร้อนรุ่มที่มาจากความไม่เป็นธรรม เขาเองก็ทราบ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเช่อไม่ใช่คนโอนอ่อนอย่างไร้เหตุ สายตาของเขาเรียบเย็นไร้ความรู้สึกแต่ก็มีประกายบางอย่างที่ชวนให้คนมองนึกประหลาดใจ

‘นางหาใช่ผู้ที่สมควรต้องกังวล’ หลิวเช่อคิดแต่กลับไร้ซึ่งการปลอบประโลมที่แสดงออก

“พูดต่อไป”

จางถิงเว่ยที่ได้ยินคำอนุญาตจากฝ่าบาทก้มใบหน้าลงอีกครั้ง “จากการสืบหลักฐานเบื้องต้น กระหม่อมพบว่ามีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ พยานผู้นี้เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ยามนี้รออยู่ด้านนอก แต่ถึงแม้กระหม่อมจะสืบหาพยานมาได้แต่เขาก็ไม่ยอมสารภาพว่ารับคำสั่งผู้ใดมา จากดุลพินิจของกระหม่อม ท่าทางของฉีจิงซานคล้ายว่าต้องการปกป้องคนผู้นั้น แ….”

เสียงของจางถิงเว่ยขาดช่วงไปเป็นครั้งที่สาม หนนี้อาศัยเพียงการเปลี่ยนแปลงบนพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ก็เพียงพอที่จะห้ามปรามหลักฐานของคดีไม่ให้หลุดออกมามากไปกว่านั้น สายตาของฮั่นอู่ตี้เคลื่อนผ่านร่างของถิงเว่ยไปยังเบื้องหลังที่มีกายสูงใหญ่ของทหารองครักษ์ฉีจิงซาน “ให้เขาพูด”

“ฝ่าบาท” ชายชาติทหารหน้าซีดไปทันทีที่ถูกกล่าวถึง ชายเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการปลิดชีวิตเย่เหม่ยเหรินก้มหน้าลงให้การอย่างลนลาน “กระหม่อมฉีจิงซานผู้เป็นทหารองครักษ์ ในวันที่เย่เหม่ยเหรินเสียชีวิต เป็นคืนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นกระหม่อมกำลังลาดตระเวนเพื่อรักษาความปลอดภัยจึงได้มีโอกาสลงมือ กระหม่อมทราบดีว่าโทษฐานสังหารคนหนักหนานัก อีกทั้งกระหม่อมยังเข้าใจว่าการทำเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้น แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับนายหญิงขอรับ ทุกอย่างกระหม่อมเป็นผู้กระทำเอง กระทำลงไปเพราะหนี้รักฝังลึก ในยามที่ยังเยาว์กระหม่อมและเย่เหม่ยเหรินเป็นสหายใกล้ชิดถึงขนาดที่กระหม่อมตั้งใจอยากสู่ขอนาง ทว่านางกลับไม่รักษาสัญญาณ ทอดทิ้งกระหม่อมและเลือกก้าวเข้ามาสู่รั้ววังใน”

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้าง ‘นายหญิง’ เรื่องนี้ไม่ใช่เล่นแล้ว เอ่ยตามระดับอาวุโส พวกเขาใช้คำว่า ‘นายหญิง’ เรียกแทนนางเพื่อไม่ให้สับสนกับอิ๋นซีที่เริ่มเติบโต ซ้ำยัง—

โกหก! โกหกทั้งเพ!

แม้แต่นางยังดูออกว่า ‘ฉีจินซาน’ ผู้นี้โป้ปด มีหรือฝ่าบาทและจางจิ่งสิงจะดูไม่ออก ท่าทางภักดีเช่นนั้น กล่าวคำโป้ปดเช่นนั้น แผนร้ายครานี้ถูกขีดเขียนมาอย่างดี แม้แต่ท่วงทำนองอารมณ์ของ ‘ฉีจินซาน’ ใครก็สัมผัสได้ถึงความหนักแน่นภักดี ดวงตาของหลงเยวี่ยสั่นไหวอย่าไม่อาจหักห้าม

คำให้การยาวเหยียดของฉีจิงซานดูซื่อตรงและสำนึกผิดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจุดที่ต้องการกล่าวว่า ‘หาได้เกี่ยวข้องกับนายหญิง’ ประโยคนี้ยิ่งดูจริงจังขึ้นหลายส่วน “ส่วนที่พาดพิงถึงลู่เหม่ยเหริน .. เป็น เป็นกระหม่อมอยากล้างแค้นให้เย่เหม่ยเหรินที่เคียดแค้นต่อนางยิ่ง จึงกระทำเกินกว่าเหตุหาหลักฐานทิ้งไว้เพื่อป้ายสีนาง”

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

“กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมมิสมควรกระทำโดยไร้การยั้งคิดเช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงมีรับสั่งลงโทษกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!!!” พริบตาถัดจากนี้คล้ายว่ามีความวุ่นวายแผ่กระจายทั่วห้องอักษร เสียงตะโกนขอร้องให้ฝ่าบาทประทานโทษถึงตายจากผู้ให้การสารภาพว่าลงมือกระทำดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่เพียงเท่านั้น เหล่ามือปราบที่มีหน้าที่คอยประกบเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายก็จำเป็นต้องตวาดห้ามการกระทำอันไม่สมควรนี้ก่อให้เกิดเป็นมรสุมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กซัดเข้ากลางห้องทรงอักษรที่เริ่มชักชวนให้ขันทีน้อยใหญ่ต่างก็พากันซุบซิบอย่างออกรส

จางกงกงที่มองอยู่ต่อให้อยากปั้นละครน้ำเน่าเกี่ยวกับการใส่ร้ายแย่งชิงอย่างไรสุดท้ายเมื่อสถานการณ์ดันพลิกออกมาเป็นรูปแบบนี้ก็ได้แต่ปวดหัวไปพร้อม ๆ กับทำหน้าลำบากใจ ครั้งนี้เขาคาดการณ์ความคิดของฝ่าบาทไม่ออก แม้จะพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอพระทัยนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าความพิโรธอย่างแท้จริงของโอรสสวรรค์จะปะทุขึ้นมาเมื่อใ—-

ปัง!!!

พระหัตถ์หนาฟาดลงกับโต๊ะทรงงานอย่างแรงเกิดเป็นเสียงดังครึกโครมที่สยบทุกการกระทำของชาวประชารอบกาย คล้ายกับมีฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ จะขุนนาง สนม หรือขันทีล้วนแต่ทรุดกายลงอย่างคร่ำเครียดพร้อมร้องออกมาเป็นคำว่า “ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ”

ใบหน้าของฮั่นอู่ตี้ยังคงสงบ ตรงกันข้ามกับการไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะมีร่องรอยของความพอใจและ ‘เย้ยหยัน’ แทรกอยู่ในแววตาอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดจึงมัวแต่ถกเถียงเรื่องไร้สาระ” ไม่มีใครรู้ว่าความหมายในคำพูดนี้ของพระองค์คืออะไร ทรงเชื่อไปแล้วว่าเป็นความผิดตวนมู่เหม่ยเหริน? หรือมองว่าหลักฐานทั้งหมดล้วนไม่มูล?

“เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋” พระพักตร์ของเจ้าแผ่นดินดูปลอดโปร่งนัก ท่าทางที่แสดงออกมาของเขาคล้ายจะไม่ไยดีต่อสำนวนคดีที่ถูกรายงาน มีเพียงการหันไปกล่าวกับเจี๋ยอวี๋เพียงผู้เดียวในที่แห่งนี้ด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป

“เจิ้นไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อต้องทนฟังเรื่องนี้หรอก”

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หัวใจชาวาบ ความโกรธเกรี้ยวของมังกรผู้ใดจะไม่กลัวเกรง ทว่าเพียงครู่เดียวอากัปกิริยาที่ตื่นตระหนกของนางก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงของหวงตี้ที่ตรัสออกมาเพียงชื่อนาง ทำให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋รู้สึกพิเศษกว่าใคร ในหัวใจหวานล้ำเพราะคาดเดาว่า พระองค์โปรดปรานนางเหมือนเก่า วงคิ้วงามสะท้อนอารมณ์หวานซึ้ง นัยน์ตาทอประกายอ่อนหวาน “เพื่อให้ได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาท แม้ต้องฟังเรื่องโหดร้ายเหล่านี้ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”

รอบด้านไม่มีใครกล้าขัดความประสงค์ของฝ่าบาท ต่อให้ประหลาดใจสักแค่ไหนก็ยังต้องเงียบกริบ หลิวเช่อไม่เพียงปล่อยให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เรียกคะแนนสงสารอยู่อย่างนั้น เขายังยกชาขึ้นจิบคล้ายคนที่ยินดีฟังนางกล่าวไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่จางกงกงยังต้องขมวดคิ้ว

“เจิ้นจำได้ว่ายามพบเจิ้นเจ้าจะห้อยป้ายหยกสลักคำว่าเฮ่อถูไว้ที่เอว ครั้งนี้ไม่ยักเห็น ทำไม? ไม่มั่นใจกับความงามของป้ายนั้นแล้วหรือ”

ใบหน้างดงามอ้าปากคราหนึ่งก่อนจะหุบลง สีหน้า นัยน์ตาอ้ำอึ้ง คลับคล้ายกังวลและโศกเศร้า “ป้ายนั้น…ตอนที่หม่อมฉันออกนอกวังไปเมื่อคราวก่อน บังเอิญทำหล่นหายเพคะ…”

ริมฝีปากของโอรสสวรรค์หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายของบุรุษเพศที่สามารถตรึงสายตาของผู้คน มือของเขาเปิดฝากล่องไม้ที่พึ่งถูกจางทังนำขึ้นถวายได้ไม่นานระหว่างที่รับฟังคำตอบจากปากขององค์หญิงเผ่าซงหนู อาจเป็นเพราะชายแขนภูษาที่รุ่มร่าม รวมไปถึงความสูงของพระที่นั่งซึ่งต่างระดับจากผู้อื่น ไม่ว่าใครต่างก็หาได้ทราบว่าฝ่าบาทได้หยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องนั้น ทั้งหมดล้วนเห็นแค่การเปิดและปิดกล่องลงช้า ๆ โดยที่ใบหน้าของพระองค์ยังคงปราศร่องรอยการเปลี่ยนแปลง

“เจ้ามาจากนอกด่านไม่คุ้นชินพื้นที่ เจิ้นเข้าใจ ช่วงนี้ได้ยินว่าเจ้ามุ่งมั่นกับการฝึกเขียนอ่านอักษรฮั่นจนเป็นที่โจษจันว่าเขียนได้ดีนัก” ฮั่นอู่ตี้ขยับมือเรียกจางกงกงให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะสิ่งหนึ่งไว้บนมือคนสนิท

จงฉางซื่อที่ก้าวเข้ามารับเมื่อได้เห็นของในมือก็มีสีหน้าตกตะลึง จางกงกงรีบเก็บสีหน้าพร้อมระบายยิ้มที่ดูฝืด ๆ ออกมาอย่างผิดสังเกต ยามนี้เขาทราบแล้วว่าในพระทัยฝ่าบาทมีสิ่งใด ขันทีอสรพิษได้แต่แสดงความสงสารเหล่าหญิงสาวที่ต่อจากนี้ต้องเผชิญกับเล่ห์เหลี่ยมมังกรอยู่ในใจโดยที่ทั้งตัวเขาก็ขยับเข้าไปหาเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พร้อมยื่นสิ่งที่อยู่ในมือออกไป

เป็นป้ายหยกงามชิ้นหนึ่งที่ส่องประกายเล่นกับแสงได้ดียิ่งนัก โดยเฉพาะบริเวณเนื้อหยกที่สลักลงเป็นคำว่า ‘เฮ่อถู’ ในภาษาฮั่น ดูจะชดช้อยแต่ก็แทรกไว้ด้วยความทรงพลังสมกับที่เป็นของแสดงฐานันดรของผู้เป็นถึงองค์หญิง

“ของสำคัญควรรักษาให้ดี หากไม่ใช่ว่ามีคนของเจิ้นไปพบป้ายหยกนี้เข้า มันก็คงไม่พ้นหายสาบสูญไปแล้ว” ราวกับญาติผู้ใหญ่กำลังตักเตือนและสอนสั่งคนในการดูแลของตนเอง หลิวเช่อขยับตัวเล็กน้อย เขาเปลี่ยนท่าทางขึงขังให้ดูผ่อนคลายยิ่งขึ้นผิดกับจางถิงเว่ยที่แววตากระตุกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกส่งกลับคืนเจ้าของ

“หากเจ้าอยากขอบคุณเจิ้น ถ้าเช่นนั้นก็เขียนประโยคมงคลให้เจิ้นสักแผ่น” เก็บของสำคัญให้ ตักเตือนเพียงเล็กน้อย ทั้งยังเสนอทางทดแทนคุณให้สตรี นับว่าเป็นการรวมสิ่งที่ ‘หลิวเช่อ’ ปกติไม่มีทางที่จะลงมือทำ แต่สำหรับหมู่สนมที่เข้าวังได้ไม่นานไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงของผู้เป็นพระสวามี

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ชะงักงัน ใบหน้าฉายแววกังวลใจเล็กน้อย หากเพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา รอยยิ้มหวานล้ำโค้งประดับดวงหน้าผ่องใส “ของสิ่งนี้เป็นของสำคัญของหม่อมฉัน ราวกับฟ้าลิขิตให้ฝ่าบาทนำมาคืน วาสนาของพวกเราช่างราวกับเทพชะตาลิขิต นับแต่นี้หม่อมฉันจะรักษาไว้อย่างดี มิกล้าให้ห่างตัวเพคะ” นางเอ่ยพลางยอบกายขอบพระทัย ไม่ช้านานจากนั้นขันทีคู่พระทัยก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับถาดวางกระดาษ แท่นฝนหมึก และพู่กัน ยังมีคนนำโต๊ะเล็กๆ มาวางต่อหน้านาง ดุจว่า ‘คำขอ’ นั้นเป็นภาพลวงตา เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋มิทันได้สังเกตถึงสถานการณ์ที่บีบรัดให้นางต้องเขียน ยังคงคิดว่าหวงตี้ปรารถนาจะทอดพระเนตรความก้าวหน้าในการคัดอักษรของตน ร่างบางเผยรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาประหนึ่งหญิงสาวชาวบ้านที่ซื่อสัตย์และรักมั่น นิ้วเรียวยาวจับพู่กันจุ่มบนถาดหมึกที่มีผู้ฝนให้แล้ว ก่อนจะบรรจงลากอักษรลงบนกระดาษขาวอย่างประณีต ในใจหวังเพียงว่าฝ่าบาทจะชื่นชมยินดี

อักษรข่ายซูอันงามล้ำประหนึ่งงูน้ำพลิ้วไหวในสายธาร ชดช้อยดุจกิ่งหลิวต้องลมวาดตวัดร้อยและซ้อนทับตามลำดับขั้นของการเขียน ลายตวัดเพริศแพร้วอย่างยากจะเชื่อว่าหญิงนอกด่านผู้นี้เพิ่งร่ำเรียนอักษรฮั่น มิหนำซ้ำยังเลือกอักษรที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ การลากเส้นแน่วแน่มั่นคงบ่งบอกถึงการเขียนที่ใส่จิตวิญญาณเข้าไว้ด้านใน สุดท้ายก็กลายเป็นอักษร “ฝู” (ความสุข) อันประณีต

เสียงอ่อนหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว “หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะมีความผาสุก เปี่ยมด้วยโชคและสิริมงคลดุจอักษรนี้เพคะ”

เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ตั้งใจคัดอักษรอย่างดีหาได้รู้เลยว่านี่ล้วนแต่เป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ฝ่าบาทตระเตรียมไว้เพื่อนาง ทันทีที่จางกงกงนำกระดาษซึ่งผ่านมือของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ขึ้นมาถวาย มือหนึ่งของฝ่าบาทก็ถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ ในขณะที่มืออีกข้างก็ถือกระดาษอีกแผ่น

“น่าสนใจ”

ฮั่นอู่ตี้พึมพัมกับตัวเอง ไม่มีใครทราบว่าเขานึกครึ้มอะไรอยู่ เพราะประโยคถัดมาจากริมฝีปากนี้ค่อนข้างสร้างความแตกตื่นได้มากทีเดียว “ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้าขึ้นมาดูนี่สิ”

หลงเยวี่ยที่เพิ่งหายจากอาการตื่นตระหนกได้ไม่นาน กะพริบตาปรับอารมณ์ ความพรั่นพรึงที่เกิดขึ้นในชั่วลัดตายากจะปกปิด นางยอบตัวลงหนึ่งครายังคงไม่เข้าใจว่าฝ่าบาทจะให้นางดูสิ่งใด บันไดเพียงสองขั้นก่อนถึงที่ประทับนั่งช่างอันตรายอย่างยิ่ง พาร่างอันคล้ายโรยแรงเดินขึ้นยืนอยู่ทางด้านข้างพระวรกาย นัยน์ตาทรงเสน่ห์ที่บัดนี้อับประกายแสงลงมองกระดาษสองแผ่นที่กางอยู่บนโต๊ะทรงอักษร ความเงียบงันอันยากจะคาดเดาปรากฏบนใบหน้าขาวผ่อง

“...”

ที่ปรากฏบนกระดาษทั้งสองแผ่นคือรอยพู่กันที่เขียนเป็นประโยคมงคลสำหรับอวยพรแด่หวงตี้ที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ต่างเพียงแค่สองจุด หนึ่งคือรอยหมึกที่แผ่นหนึ่งเหมือนจะถูกเขียนเมื่อก่อนหน้านี้จนหยดหมึกแห้งสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีกแผ่นยังต้องใช้เวลากว่าจะแห้งพอม้วนเก็บ และส่วนที่สองย่อมเป็นประโยคที่แตกต่างแต่ก็เผอิญมีบางอักษรที่เป็นตัวเดียวกันง่ายต่อการเทียบลายมือ

“อยู่นี่ก่อน” สุรเสียงของมังกรกล่าวอย่างกระซิบเบา ๆ กับเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่ทั้งที่ตัวยังนั่งตรง

ประกายในดวงตาคู่งามกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ” หลงเยวี่ยยอบกายลง สุ้มเสียงฟังแล้วดูอ่อนหวานเย้ายวน หาแม้กล่าวว่า ‘ตรงนี้’ หลงเยวี่ยยังคงต้องรักษาระยะห่างอยู่บ้าง

“จางถิงเว่ย ก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวว่ามีพยานใช่หรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ?”

ขนาดจางถิงเว่ยยังเงยหน้าขึ้นตอบรับเสียงสูงอย่างเสียเชิง ‘ฝ่าบาทท่านผ่านแม่น้ำเหลืองไปไกลแล้วเหตุใดจึงวกกลับมาเอายามนี้เล่า’ ภายในใจของผู้คนล้วนแต่คิดเป็นเสียงเดียวกัน จางทังรีบกลับมาปรับท่าทางให้สงบอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้ผู้ติดตามวิ่งไปแจ้งให้ด้านนอกนำตัวพยานเข้ามา

“เบิกตัวพยาน!!!”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้โด่งดังปรากฏตัวขึ้นกลางห้องทรงอักษรผ่านการเชื้อเชิญให้เดินเข้ามา หาใช่การลากอย่างทารุณ ‘ชางเยี่ยนเป่ย’ ชายเจ้าสำราญที่ตลอดชีวิตไม่เคยเหยียบย่างเข้าเขตราชการตัวสั่นระริกเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่เกรงกลัว “เป็นเกียรติของกระหม่อมที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ ”

“อืม” เจ้าแผ่นดินที่ได้รับการถวายพระพรติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนคำว่าหมื่นปีเหล่านั้นจะกลายเป็นแสนปีอยู่ร่อมร่อได้แต่ตอบรับในลำคอ “ถิงเว่ยกล่าวกับเจิ้นว่าเจ้าเป็นพยาน เคยพบเขาหรือ”

เขาในที่นี้ย่อมเป็นฉีจิงซานที่ซีดเซียวเพราะบรรยากาศของห้องทรงอักษรที่หนักอึ้งได้กดทับกายเขาจนทำให้รู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่สำหรับชางเยี่ยนเป่ยที่พึ่งเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างซื่อตรงและพยักหน้า “เขาเป็นลูกค้าประจำของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงที่กระหม่อมดูแล”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงเข้าไปสอบถามว่าช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ เถ้าแก่ชางได้พบฉีจิงซานบ้างหรือไม่” จางทังช่วยกล่าวเสริมในส่วนที่เป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงเสาะหาพยานคนนี้ขึ้นมาได้ ด้านชางเยี่ยนเป่ยถึงจะไม่เคยให้การในคดีสำคัญแต่ก็พอรู้ว่าต่อจากนี้ตัวเองต้องพูดอะไร

“กระหม่อมทราบวันที่เกิดเหตุจากใต้เท้าจาง .. แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสามวันก่อนหน้านั้น ลูกค้าท่านนี้ได้สนทนากับแม่นางปริศนาท่านหนึ่งที่เขาเรียกนางว่านายหญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นนายหญิงผู้นั้นแต่งตัวธรรมดาทั้งยังสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมจึงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่กระหม่อมได้ยินเขาพูดกับแม่นางว่า ‘ ชีวิตข้าต่อให้ต้องตายก็พร้อมถวายให้นายหญิง ’

ฉีจิงซานตัวสั่นระริก เขาเริ่มกลับมาพูดพึมพัมเสียงเบาสลับดังว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่นายหญิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง”

นางหญิง ที่ฉีจิงซานพูดถึงคือหลงเยวี่ยไม่ผิดแน่ คิ้วเรียวบางขมวดมุ่น ความภักดีเช่นนี้ไหนเลยจะลวงกันได้ง่ายถึงปานนั้น คนเถรตรงที่แม้แต่วิธีหลอกลวงยังทำไม่เป็นเช่นนี้— ทว่าเวลานี้เขากำลังหลอกลวงเบื้องสูง นางไม่ใช่นายหญิงที่เขาเอ่ยถึง ยิ่งไม่มีทางเป็นผู้ที่เขาเอ่ยวาจานั้นด้วย นางลอบมองกิริยาหวงตี้ แม้นในใจจะเครียดขึ้งขึ้นมา อยากเอ่ยวาจาแก้ต่าง แต่นางพบว่าตนควรสงบปากไว้ก่อน

“สามวันก่อนเย่เหม่ยเหรินตายไป เจิ้นจำได้ว่าวันนั้นพี่ชายที่เป็นข่านของเจ้าแวะมาเยือนฉางอันเจ้าจึงได้ขอข้าออกไปพบเขา..” ประโยคนี้ของฝ่าบาทแม้จะไร้ซึ่งคำถามแต่ก็คล้ายจะประกาศชัดถึงเจตนาที่กล่าวขึ้น ยามนี้ไม่มีใครกล้าแทรกสิ่งใดเพราะสายตาคมกริบของโอรสสวรรค์กำลังจ้องมองอย่างกดดันอยู่ที่ร่างขององค์หญิงนอกด่านที่ได้โอกาสเข้ามารับใช้ใกล้ชิดเป็นถึงสนมในวังหลวง

ความตื่นตะลึงวาดผ่านใบหน้าอันงดงามของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ นางค่อยๆ เก็บงำความรู้สึกนั้นลงพลางทูลต่อหวงตี้ด้วยความสัตย์ซื่ออย่างที่สุด “วันนั้นหม่อมฉันออกไปพบเสด็จพี่จริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ได้พบเขามานานในใจคิดถึงและห่วงหา มีเรื่องให้ถามไถ่พูดคุยมากมาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้ว แม้นในใจจะยังไม่อยากจาก ก็จำต้องกลับวังในเวลาพลบค่ำ คำพูดของหม่อมฉันหาได้โป้ปดมดเท็จ วาจานี้…หากพระองค์ไม่เชื่อมั่นในตัวของหม่อมฉัน โปรดเชื่อมั่นความภักดีของอันต๋าและชาวซงหนู เรื่องนี้พระองค์สามารถส่งจดหมายถามเสด็จพี่เพื่อเป็นพยานให้หม่อมฉันได้เพคะ เราสองพี่น้องภักดีต่อต้าฮั่น ไม่กล้าหมิ่นพระบารมี มิกล้าสมคบคิดวางแผนร้ายอย่างเด็ดขาด” เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เอ่ยอย่างหนักแน่นมั่นคง แม้ว่าพยานที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะมิใช่สิ่งที่น่าเชื่อถือ แต่นางก็สู้อย่างสุดใจ ประหนึ่งวาดหวังว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่มีร่วมกับหวงตี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จะฉุดดึงนางขึ้นจากความสงสัยของพระองค์ พลันร่างของนางสนมที่สูงศักดิ์ที่สุดในที่แห่งนี้ก็ทรุดลงต่ำ “ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาและให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”

“จางถิงเว่ย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“สรุปแล้วคดีนี้มีความเป็นมาอย่างไร”

มาถึงแล้ว! หลายชีวิตสูดหายใจเข้าพร้อมกัน ในที่สุดหลังความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของผู้ครองบัลลังก์ก็จะจบลงและถึงคราวความจริงได้ออกมาเฉิดฉายแล้ว

“กราบทูลฝ่าบาท ฉีจิงซานและตระกูลฉีรับใช้กองทัพเหอซีอิงกงมาสามชั่วอายุคน ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพ เขายินดีพลีชีพเพื่อปกป้องสายเลือดตระกูลตวนมู่ แม้บุกน้ำลุยไฟก็มิยอมปริปาก ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนที่เขาพบและออกคำสั่งให้ลงมือสังหารเย่เหม่ยเหรินจะต้องมีบทบาทสำคัญ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนกับเย่เหม่ยเหริน เป็นเขาโกหกพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองมีภูมิลำเนาห่างกันนับพันลี้ย่อมไม่สามารถรู้จักถึงขนาดฝากใจรัก” เสียงก้องกังวานของจางทังกระทบเข้าโสตประสาทของคนทั่วทั้งห้อง

หลงเยวี่ยมองจางจิ่งสิงอย่างตื่นตะลึง

ในที่สุดก็รู้แล้วว่าข้อความที่ออกจากปากเขามีแต่ความจริงทุกประการ… ความลวงและความจริงซ้อนทับกันจนนางแยกไม่ออก หากว่าเป็นคนของกองธงตวนมู่จริง— นายหญิงที่เขารับคำสั่งคือผีสางนางไม้ตนใดกัน หากแต่ถ้อยคำต่อมาของจางจิ่งสิงก็ค่อยๆ ทำให้นางคลายกังวล

เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนนางจะเขาวัง นอกจากความวุ่นวายคราไปกรมราชทัณฑ์คนของนางหาได้เคลื่อนไหวสิ่งใด— ในความเป็นจริงพวกเขาย่อมเคลื่อนไหวเฉพาะเวลาที่เกิดอันตรายแก่นางเท่านั้น เรื่องฆ่าหญิงในวังต้องห้ามหาใช่สิ่งที่เร่งด่วนปานนั้น

ยังคงแก้ต่างได้

“ระหว่างสืบสำนวนคดี กระหม่อมพบว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นกับลู่เหม่ยเหริน เว่ยเจียเจี๋ยอวี๋ และซ่างกวนเหม่ยเหรินช่วงหลังมานี้ ล้วนแต่เป็นฝีมือของนายหญิงที่ฉีจิงซานพบที่โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง” เขาไม่กล่าวว่านายหญิงนั้นคือใคร แต่สายตากลับชักนำทุกคนให้มองไปยังร่างอรชรของสตรีแซ่ตวนมู่ที่ยามนี้ขยับขึ้นมายืนอยู่เคียงข้างฝ่าบาทจนกลายเป็นเป้าสายตาได้อย่างง่ายดาย

“ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน ส่วนผู้ร้ายตัวจริงนั้น.. ” ราวกับจุดคลายปริศนาในละครน้ำดีที่ผู้คนชมชอบ หลายชีวิตรอบด้านลุ้นจนตัวโก่งแต่ผู้ที่มีหน้าที่สรุปเรื่องกลับดึงเชิงไว้พร้อมประสานมือโค้งลงอย่างดี “ฝ่าบาท”

‘โอ๊ย ใต้เท้าจางท่านโยนบทกลับไปให้ฝ่าบาททำไม! อยากเห็นพวกเราขาดใจตายหรืออย่างไร!!’ (เรื่องไม่จบทีเพราะนายอะ)

ระหว่างที่หลายคนเอาแต่คร่ำครวญ โอรสสวรรค์วางมือลงบนเข่าของตัวเองช้า ๆ “ลู่เหม่ยเหริน ”

เป็นนาง?

เป็นนาง?

ถ้อยความเดียวกันขีดอยู่บนหน้าของหญิงสกุลตวนมู่ และคณะลูกขุนพยานที่พรั่งพร้อมอยู่ในตำหนักทรงอักษร นัยน์ตาหวานล้ำเบิกกว้างมองไปทางหญิงสกุลลู่ที่คลับคล้ายว่า งุงงง เช่นเดียวกัน โอรสสวรรค์กล่าวเช่นนี้หรือยังไม่หลักฐานที่ไม่เปิดเผย?

พลันหลงเยวี่ยเกิดความรู้สึกที่มากมาย คิ้วบางปานกิ่งหลิวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะขึ้งตามองหญิงสกุลลู่เขม็ง สื่อความหมายชัดเจนว่า ‘เจ้าหลอกลวงข้า?’

สายตามากมายล้วนจับจ้องไปที่ฝ่าบาท กระทั่งขันทีระดับกลางที่เตรียมพร้อมหากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ยังเงยหน้าจากการพิจารณาลวดลายมงคลบนพรม เวลานี้หลักฐานและพยานต่างถอยห่างออกมาไกลเกินกว่าจะระบุว่า ลู่เหม่ยเหริน เป็นคนร้ายแล้ว

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

แต่แทนที่มือปราบหรือเจ้ากรมราชทัณฑ์จะปรี่เข้าคุมตัว ทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่จางกงกงที่เคยออกตัวอย่างชัดเจนว่าให้การสนับสนุนเหม่ยเหรินแซ่ลู่ล้วนไม่ขยับ จนกระทั่งหลายคนหวนนึกได้ว่าใต้เท้าจางถิงเว่ยได้กล่าวอะไรไว้เป็นอย่างสุดท้าย

‘ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน’

“เจ้าดู” เสียงของฝ่าบาทดังขึ้นอีกครั้ง เขาลุกขึ้นช้า ๆ “คนผิดอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว”

“ … ”

“พูดมา อยากให้เจิ้นจัดการตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างไร”

คล้ายจะไม่ผิดไปจากที่คาด แต่ก็สร้างความตกใจได้เป็นอย่างยิ่ง ราวกับโอรสสวรรค์หลงลืมไปแล้วว่ายามนี้สตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคือคนบงการเหตุฆ่าสังหารทั้งยังจงใจใส่ร้ายผู้อื่น และผู้อื่นที่ถูกใส่ร้ายก็ไม่พ้นคนที่ยืนห่างจากทั้งสองไปเพียงหนึ่งขั้น การให้พวกนางเผชิญหน้ากันในระยะประชิดเช่นนี้…

อำมหิต.. ช่างอำมหิตนัก

หลงเยวี่ยคลับคล้ายเกิดแรงกดทับบนบ่าทั้งสองข้าง พลันความหวาดหวั่นฉาบทาบขึ้นมา นางเบิกนัยน์ตากว้างมองหญิงสกุลลู่ ชั่วพริบตาร่างในชุดวิหคเหินทรุดลงข้างตั่งพระที่นั่ง มิใช่การอ้อนวอนต่อลู่เหม่ยเหริน ตรงหน้านางคือร่างสูงส่งและเย็นเยียบดุจศิลาน้ำแข็งเบื้องหน้า “ฝ่าบาท…”

น้ำเสียงของนางบางเบา ปิ่นบางในม้วยผมถูกดึงออกมาจ่อที่คอ “หม่อมฉันสาบานด้วยเกียรติทั้งหมดที่หม่อมฉันมี เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ”

เบื้องหลังของนางคือสกุลตวนมู่ทั้งสกุล ท่านย่ามิอาจตรากตรำ อิ๋นซีและอิ๋นเหวินยังเด็กนัก มีหรือนางจะกล้าสร้างเรื่องใหญ่โต

หลงเยวี่ยกดปลายปิ่นลึกลงข้างลำคอ หากจะต้องโทษเพราะความผิดที่ไม่ได้ก่อนางยินดีตายเพื่อรักษาเกียรติ ทว่าดวงเนตรคู่คมกลับหาได้สนใจในตัวนาง สายพระเนตรคู่นั้นเวลานี้ยังคงมีเพียง…ลู่เหม่ยเหริน

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

“นางคือคนที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนและลำบาก เจิ้นจะลงโทษตามที่เจ้าปรารถนา”

เห็นเขาหนักแน่นในถ้อยคำเช่นนี้ย่อมสร้างความสะพรึงให้แก่คนรอบข้าง เว้นเสียแต่จางกงกงที่ทราบดีถึงความอำมหิตนี้ในฐานะคนสนิทเขาเคยลงมือทำงานลับให้ฝ่าบาทมานับครั้งไม่ถ้วนเขาไม่เคยกังขาในการตัดสินใจของอีกฝ่ายจนกระทั่งครั้งนี้ ‘ฝ่าบาท.. ครั้งนี้เป็นพระองค์บีบเค้นพวกนางเกินไปแล้ว’ จางกงกงได้แต่เวทนาอยู่ในใจ

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

“เรื่องที่เจิ้นถามมีเพียงว่าเจ้าต้องการให้ทำอย่างไรกับผู้ที่กระทำความผิด”

แม้ไม่ตวาดหรือกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่วาจานี้กลับตอกลึกในใจของผู้ฟัง สองมือของหวงตี้ขยับไขว่หลังอย่างรอคอย

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

“ดี” เจ้าแผ่นดินกล่าวขึ้นแทรกประโยคของนางเสียงดัง ผู้ครองรัศมีมังกรสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งพร้อมทิ้งตัวนั่งบนพระที่นั่งอีกครั้ง “อย่าได้รีบร้อน จากนี้ยังมีประกาศที่พวกเจ้าทุกชีวิตต้องฟัง”

คล้ายว่าพระองค์จงใจกล่าวกับตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นพิเศษ หลิวเช่อพึงพอใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว จึงเวลาตัดสินผิดถูกและหยิบเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ใส่หีบทิ้งลงทะเลเพื่อไม่ให้ใครยกมันขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้อีก “จางกงกงเตรียมร่างราชโองการ”

“ด้วยคดีเย่เหม่ยเหรินกินเวลามานาน บัดนี้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ลู่เหม่ยเหรินพ้นจากมลทินทุกอย่างโดยสิ้นเชิง เจิ้นขอพระราชทาน 10 ตำลึงทอง และเต้าหู้ 10 หน่วยให้แก่ลู่เหม่ยเหรินเพื่อเป็นการเยียวยาในความโขคร้ายที่นางต้องเผชิญ และเจิ้นขอปลด เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ออกจากตำแหน่ง มอบหมายให้ถิงเว่ย จางทังเป็นผู้ดำเนินโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ไม่ว่านางจะเป็นใครมาจากไหน เมื่อเหยียบอยู่บนแผ่นดินต้าฮั่นย่อมต้องเคารพกฏหมายแผ่นดินเจิ้น ! ส่วนทหารองครักษ์ฉีจิงซานโทษฐานฆ่าคนตาย แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการและถูกหลอกใช้ ลดโทษให้เหลือเพียงทัณฑ์หนึ่งดาบสองท่อนในวันที่ 12 เดือนแปด เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 10 ยามโหย่ว!”

หลงเยวี่ยหมดแรงในท้ายที่สุดปิ่นดองมณฑาในมือพลันร่วงหล่นลงในคราเดียวพร้อมกับร่างกายที่ล้มลง ความโล่งอกประหนึ่งยกภูผาขึ้นจากอกเข้ามาเยี่ยมกราย ความปลอดภัยของนางย่อมหมายถึงความปลอดภัยของจวนสกุลตวนมู่ หญิงสาวค่อยๆ หยัดกายขึ้นมาจากพื้นอันเยียบเย็น

โปรดย้อนดูโรลของ ลู่ไป๋หรั่น @LuBairan

กลับกลายเป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋…ไม่ถูก เวลานี้คือ เฮ่อถูซื่อ (นางเฮ่อถู) ที่คลับคล้ายว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใบหน้าของนางขาวซีดดุจคนตาย ละลักละล่ำพูดอย่างร้อนรน ในน้ำเสียงมีทั้งประกายความหวังและความสิ้นหวัง ชวนให้ผู้ฟังหดหู่อาดูรอย่างที่สุด “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงตรัสชื่อผิดแล้วเพคะ” เฮ่อถูซื่อยังคงคว้าฟางเส้นสุดท้ายของนาง

“เมื่อสักครู่ใต้เท้าจางก็กล่าวอย่างชัดเจน…ว่าเป็นฝีมือของตวนมู่เหม่ยเหริน”

“ก่อนหน้านี้จางถิงเว่ยได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เจิ้น เป็นจดหมายที่ดักได้จากม้าเร็วที่ลอบออกจากเมืองในยามวิกาล” จดหมายที่มีร่องรอยการเปิดผนึกแล้วถูกยื่นไปให้จางกงกง “ถึงขนาดนี้เจ้ายังกล้าโป้ปดต่อหน้าเจิ้นอีก!!”

“ถึงอันต๋า นี่เป็นเรื่องสำคัญ หากภายหน้าฝ่าบาททรงตรัสถามว่าอันต๋ามาเยี่ยมเยือนน้องที่ฉางอันหรือไม่ ขอให้อันต๋าทูลรายงานต่อฝ่าบาทว่าได้มาเยี่ยมเยือนน้องจริง ๆ เรื่องนี้สำคัญ เกี่ยวพันถึงความตายของน้องสาวอันต๋า หากครานี้ท่านไม่ช่วย เกรงว่าชาตินี้คงไร้ซึ่งองค์หญิงเฮ่อถูแล้ว” จางกงกงอ่านออกสิ่งที่อยู่ในจดหมายออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด เป็นการยืนยันหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่สร้างความกระจ่างในใจให้กับผู้คนได้เป็นอย่างดี

“จดหมายนั่น…” เฮ่อถูซื่ออ้าปากค้าง ดุจดั่งม่านฝันหลุดลงจากฟ้า นัยน์ตาเบิกกว้าง “ไม่…จริง ไม่จริงเพคะ นั่นเป็นจดหมายปลอม หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ—” น้ำตาพรั่งพรูลงจากดวงตาดอกท้อ อาบลงสองแก้มนวล “ฝ่าบาทเพคะ จดหมายนั่นไม่ใช่ความจริงเลยนะเพคะ พวกนาง…พวกนาง!” เฮ่อถูซื่อยกนิ้วกราดชี้หน้าลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหริน “ต้องเป็นพวกนางที่รวมหัวกันใส่ร้ายหม่อมฉัน!”

“นาง! นางจิ้งจอกพวกนี้จะต้องสมคบคิดกับเผ่าปีศาจเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าซงหนูและต้าฮั่น ฝ่าบาท…จะทรงตกหลุมพรางของนางปีศาจพวกนี้ไม่ได้นะเพคะ” ดวงตาของนางวาวโรจน์ หากคลอด้วยหยาดน้ำตา ในเมื่อไม่อาจรอดด้วยเล่ห์ก็จำต้องรอดด้วยเหตุผล เฮ่อถูซื่อยังคงเชื่อมั่นว่านางสามารถบีบบังคับฝ่าบาทได้ “พวกนาง…ไม่สิ พวกมัน พวกปีศาจร้ายพวกนั้นต้องการให้พระองค์สังหารหม่อมฉันแน่ๆ หากพระองค์ทำเช่นนั้นอันต๋าจะต้องพิโรธและเกิดแตกหักกับฝ่าบาท เมื่อนั้นประชาชนสองแคว้น ชายแดนเหนือจะต้องไม่สงบ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”

“ทางฝั่งตะวันตกมีปีศาจกร้ำกราย รบกวนหทัยพระองค์ทุกคืนวัน หากเกินศึกทางเหนือขึ้นอีกชาวประชาจะทนได้อย่างไร”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นกังวลอย่างยิ่งเพคะ ได้โปรดไตร่ตรองด้วยเพคะ!”

คำกล่าวของหญิงสกุลเฮ่อถูแม้จะยกย่อเหตุผลมาเพียงใดก็มิอาจปิดกั้นเจตนาใช้ ‘สถานะ’ ของตนบีบบังคับหวงตี้โดยอ้อม อาจกล่าวได้กระมังว่า สิ่งนี้เป็นนางที่ขุดหลุมฝังตัวเองจนมิด

“ก็ดี”

มังกรสุริยาแย้มยิ้มอย่างโหดเหี้ยม แววตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความกระหายในการเอาชนะ “หากเขากล้าแตกหักกับต้าฮั่นทั้งที่น้องสาวกระทำการผิดถึงเพียงนี้ เจิ้นก็ยินดีปะทะกับเขาจวบจนแว่นแคว้นของเจ้าจะเลือนหายไปจากผืนแผ่นดินตะวันออก” หลิวเช่อยินดีฝังคำความเห็นที่โหดเหี้ยมนี้ไว้ในใจอีกฝ่าย เพื่อให้นางสิ้นหวังไปกับความรู้สึกที่กระทำผิดเพียงหนึ่งครั้งก็แลกมากับชีวิตนับร้อยนับพันในทุ่งหญ้าที่นางรัก อย่างไรเสียซงหนูก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เลี้ยงไม่เคยเชื่องมาตลอดหลายชั่วอายุคน จะช้าหรือเร็ว สักวันก็ต้องมีการกำจัดขั้นเด็ดขาดเกิดขึ้น

“ทหาร”

คำกล่าวของพระองค์ช่างห้าวหาญยิ่งนัก

หลงเยวี่ยยอบตัวลงอีกครา ใบหน้าหวานก้มลมต่ำดุจกลัวจะทำเป็นเรื่องให้ขุ่นเคืองพระทัย นางเฮ่อถูต่ำช้าจะอยู่หรือตายย่อมไม่ควรค่าจะสนใจ ทว่าฉีจินซานที่ถูกตัดสินโทษประหารชีวิตนั้น ดีชั่วอย่างไรครอบครัวก็รับใช้สกุลตวนมู่อย่างภักดี มิอาจนิ่งดูดายอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงอ่อนหวานยามนี้ไม่กล้าแม้แต่จะใช้สำเนียงฉอเลาะ

“ฝ่าบาทเพคะ แม้ฉีจินซานจะกระทำผิดจริงๆ หากว่าเรื่องนี้ก็เป็นเพราะ ‘กองธงพยัคฆ์’ เป็นเหตุ”

“กองธงพยัคฆ์ภักดีต่อฝ่าบาทอย่างสุดหัวใจ ต่อให้มีนายทหารที่ภักดีจวบจนชีวิตจะหาไม่ ก็จะเห็นพระองค์เป็นสำคัญ สกุลตวนมู่ ไม่คิดและไม่อาจเอื้อมสร้างตนเป็นปฏิปักษ์กับฝ่าบาทอย่างเด็ดขาด เรื่องในครานี้เป็นเพราะเขาภักดีจนไม่ลืมหูลืมตาถึงได้ถูกหลอกใช้ ฉีจินซานได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว หากแต่…แม้จะโง่เขลาปานใดก็มีคุณธรรมเป็นของตน มิควรตายไปอย่างมีห่วงหากังวล โทษของเขาหม่อมฉันละอายใจเกินกว่าจะออกปากร้องขอชีวิต เพียงแต่ว่า…ขอหม่อมฉันกล่าวกับเขาสักประโยค…”

เพราะเป็นคำขอร้องจากตวนมู่เหม่ยเหรินที่ก่อนหน้านี้ถูกใช้ไม่ต่างจากหมากในมือ เห็นแก่ที่นางถูกปิดหูปิดตาให้เคลื่อนไหวตามความต้องการของทั้งคนร้ายตัวจริงไปจนถึงตัวเขา หลิวเช่อแม้จะขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังยกมือขึ้นปรามการลากตัวของทหารที่แทบจะหอบเอาร่างใหญ่ของทหารองครักษ์ที่ต้องโทษให้ลอยขึ้นจากพื้นเพื่อทำการพาตัวออกไป

ความอ่อนโยนผุดผายดุจดังบุปผาเบ่งบานกลางสายน้ำของหลงเยวี่ย ย่อมเป็นท่าทีที่มีไว้เพื่อองค์จักรพรรดิ ต่อหน้าผู้อื่นไหนเลยนางจะเป็นหญิงสาวที่โอนอ่อนปานนั้น เมื่อคำร้องขอถูกอนุญาตกลายๆ แล้ว หลงเยวี่ยก็เอ่ยถามสามประโยค น้ำเสียงหวานละไมของนางหาใช่น้ำเสียงที่หวงหาในชีวิตผู้คน นัยน์ตาที่หลุบมองก็ยากนักจะหาความอาลัย

วงคิ้วงามเลิกขึ้นสูง “ฉีจินซาน— เจ้ามีพี่น้องหรือไม่”

ฉีจินซานภักดีเหนืออื่นใด หากว่าเวลานี้กลับต้องมาตายเพราะ ‘จำนายหญิงผิดฝาผิดตัว’ ในใจก็เกิดสะเทือนเลื่อนลั่นปานฟ้าพลิกแผ่นดินกลับด้าน แม้กระทั่งเวลานี้ก็ยังคงหัวสมองขาวโพลนเพียงแต่บังเกิดความยินดีว่า ‘นายหญิงปลอดภัย’ เพียงเท่านั้นก็คุ้มค่าที่จะตายแล้ว

เขาเงยหน้า ดวงตาใสกระจ่างในครานี้ถึงได้เห็น ‘อดีตคุณหนูสี่’ ที่บัดนี้เติบใหญ่ ท่วงท่าของนางผิดแปลกไปจากเมื่อสิบสองปีโดยสิ้นเชิง หากกาลเวลาไร้ความปราณีชะตากรรมยิ่งผกผัน เขามีตาหาไร้แววจึงมองเห็นหยกแดงเป็นทับทิม ความผิดพลาดของทหารจะน้อยหรือมากค่าตอบแทนล้วนเป็นชีวิตดุจเดียวกัน

ฉีจินซานได้เพียงข่มกลั้นความรู้สึก เขาประสานมือไปทางด้านหน้า “ครอบครัวสกุลฉีในรุ่นของข้าน้อยมีสามคน พี่ชายทั้งสองของข้าล้วนตายสิ้นในสงครามที่ระเบียงเหอซีขอรับ”

รอยยิ้มหวานพลันเหยียดกว้าง คล้ายอ่อนโยนอย่างที่สุด “คนอื่นเล่า”

“ท่านพ่อและท่านปู่ล้วนตายที่สนามรบ ท่านแม่สิ้นจากโรคระบาด”

“ภรรยาและบุตรของเจ้า?”

“ไม่มีขอรับ”

ย่อมเป็นสวรรค์ไม่เคยปราณี ทุกคนล้วนแต่มีอุปสรรคในชีวิตของตนเอง หลงเยวี่ยยังคงเอ่ยเสียงละไม “...ไม่มีผู้เสียใจต่อการจากไปของเจ้านับว่าเป็นเรื่องดี ดูท่าทางเจ้ายังอ่อนเยาว์อยู่มากคงไม่รู้กระมังว่าผู้ที่กองธงพยัคฆ์ตวนมู่ถวายความเคารพสูงสุดคือฝ่าบาท—” นัยน์ตาหวานล้ำตำหนิกลายๆ “กล้าก่อเรื่องในเขตพระราชฐาน แม้เจ้าจะได้รับคำสั่งจากคนสกุลตวนมู่ แต่หากเรื่องนั้นเกี่ยวพันถึงฝ่าบาทผู้ที่ต้องตายก็ควรเป็นเจ้า อย่างไรเสียความภักดีของเจ้าหาใช่สิ่งที่ไร้ค่า ข้าให้สัญญา หลุมศพสกุลฉีจะไม่ไร้ผู้เซ่นไหว้ตราบเท่าที่สกุลตวนมู่ยังอยู่บนแผ่นดิน”

อันร้อยพันคุณธรรมทั้งปวง ความกตัญญูคืออันดับแรก

ฉีจินซานตายแล้วย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุมศพคนสกุลฉีไร้ผู้เซ่นไหว้ในอีกร้อยปีให้หลัง หลงเยวี่ยย่อมไม่อาจแล้งน้ำใจ

กล่าวจบแล้วนางก็ยอบกายลงถวายความเคารพแก่จักรพรรดิ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

หากไม่ใช่ว่าถูกหลอกใช้อนาคตของเขาย่อมสดใส คนใจดีมีมาก แต่ที่ซื่อสัตย์กลับหาได้ยากยิ่ง ทว่าโทษฐานฆ่าคนตายนับเป็นโทษร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้ ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต อาศัยกฏหมายนี้บ้านเมืองจึงปราศจากการฆ่าฟันกันเองไปช่วงหนึ่ง ฮั่นอู่ตี้ให้เกียรติทั้งสองได้สนทนากันในวาระสุดท้ายย่อมต้องปรายตามองเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่เล็กน้อย

สมกับเป็นบุตรสาวของเหอซีอิงกงผู้นั้น

หลิวเช่อถอนสายตาออกจากร่างที่สวมใส่ชุดวิหคเหิน เขาเปิดปากเปล่งคำสั่งขาดหนึ่งคำ “ลากตัวออกไป”

เมื่อมีคำสั่งนี้แล้ว เหล่าทหารก็ลากตัวนักโทษทั้งสองออกจากบริเวณห้องทรงอักษร รอบข้างคล้ายสามารถขับไล่เหมันต์ที่เคยครอบงำทั่วห้อง เปลี่ยนให้กลับกลายมาเป็นคิมหันต์อีกครั้งตามที่มันสมควรจะเป็น

“ฝ่าบาท แล้วเรื่องตวนมู่เหม่ยเหริน…” ต่อให้จะไม่เคยสนทนาเป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิด ทว่าจางกงกงยังยินดีช่วยกล่าวแทนอีกฝ่ายในช่วงท้ายที่สุด ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะละครฉากนี้ที่ฝ่าบาทและจางทังร่วมกันสร้างล้วนสร้างความชอกช้ำให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ฉะนั้นแล้วหากปล่อยให้เกรงว่าจะไม่สมควร

“เจิ้นจะประทานรางวัลให้เจ้าเช่นที่ลู่เหม่ยเหรินได้รับ”

ฮั่นอู่ตี้ไม่ได้กล่าวกับจางกงกง เขาหันกลับไปทางตวนมู่หลงเยวี่ยที่ยังคงอยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน “คดีนี้ส่งผลเสียแก่พวกเจ้าทั้งคู่ สมควรได้รับการเยียวยาเช่นเดียวกัน” เป็นวิธีตัดสินใจที่เรียบง่ายสมกับเป็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากพระทัยของชายที่ไม่เคยจะสนใจสตรีมาก่อน จางกงกงที่พอได้ทราบเช่นนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แค่วันนี้หนึ่งวัน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองอายุสั้นลงเกือบสิบปี จงฉางซื่อที่จัดการเรื่องราวว่องไวใช้เวลาไม่นานก็สามารถเบิกตัวขันทีขั้นกลางผู้หนึ่งมาพร้อมกับถาดของพระราชทานสำหรับตวนมู่เหม่ยเหริน

“ตวนมู่เหม่ยเหรินโปรดรับของพระราชทานนี้ด้วยเถิด” เป็นอีกครั้งที่จางกงกงแสดงออกถึงความโอนอ่อนให้กับสตรีที่มีฐานะเป็นภรรยาของนายตน

ของพระราชทานจากฝ่าบาทแม้จะเป็นเพียงหินหนึ่งก้อนก็ล้ำค่าสุดคณานับ (ในสายตาตวนมู่นะ) หลงเยวี่ยย่อมดีใจอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มยินดี นางรับของจางจากกงกงโดยมิถือว่านั่นเป็นเพียงมือของข้ารับใช้ รับของของฝ่าบาท ไม่ว่าจากมือใครย่อมเท่ากับรับของจากพระองค์

ร่างบางยอบกายต่ำ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มิอาจเอ่ยว่า ‘จางกงกง’ ไร้ความชอบหากไม่ใช่เขาเอ่ยปากหวงตี้ไหนเลยจะคิดถึงนาง บันทึกนี้ย่อมจดไว้ในใจ

เขาพูดกับตวนมู่เหม่ยเหรินหนึ่งประโยค ชำเลืองตาไปมองลู่เหม่ยเหรินที่ยังทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้นอีกครู่หนึ่งแล้วจึงกราบทูลกับฝ่าบาทว่า “เหม่ยเหรินทั้งสองได้รับความสะเทือนใจจากการตัดสินคดีครั้งนี้ ฝ่าบาท ส่งทั้งคู่กลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เป็นคำเสนอแนะที่ดีมาก ฮั่นอู่ตี้ปรายตามองหญิงสาวที่คนหนึ่งเหมือนจะยังตั้งตัวไม่ได้ ส่วนอีกคนดีกว่าหน่อยสามารถกลับมายืดหยัดได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ยังแฝงความร้าวรานไว้ผ่านลาดไหล่บางที่ดูแฝงไว้ด้วยความนัยมากกว่าปกติ

“ … ”

หากเป็นบุรุษทั่วไป ลักลอบหลอกใช้คนเช่นนี้ย่อมแสดงความรับผิดชอบที่ดูอ่อนโยนหรือการเอาใจใส่ขึ้นมาบ้าง แต่ในเมื่อเป็นถึงหวงตี้ แทนที่ฮั่นอู่ตี้จะมีรับสั่งปลอบประโลมพิเศษเพิ่มเติม เขากลับทำแค่พยักหน้าและ.. “อืม ลำบากพวกเจ้าแล้ว” การกล่าวเหมารวมครั้งนี้ล้วนแต่ทำให้คนฟังที่กระจัดกระจายกันอยู่คนละทิศถึงกับใบ้กินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

จางกงกงอยากจะถอนหายใจอีกสักครั้ง แต่เกรงว่าหนนี้ตนจะทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ เขาประสานสองมือพร้อมโค้งลง “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจจัดการ—- เด็ก ๆ พาลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหรินกลับไปพัก”

“เดี๋ยวก่อน”

สุรเสียงมังกรรั้งให้การจางกงกงหันกลับไปมอง “พวกเจ้าทั้งหมดออกไป”

“ส่วนเจ้า” ยังคงเป็นลู่เหม่ยเหรินที่ได้กลับมาอยู่ในครรลองเนตรของโอรสสวรรค์อีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไร เพราะทั้งหมดรู้เพียงแค่ว่าฝ่าบาททรงตรัสคำสุดท้ายออกมาเพียงว่า “อยู่ก่อน”

ใครเล่ายินยอมพร้อมใจเห็นชายในฝันเคียงคู่อยู่กับหญิงอื่น หัวใจของหลงเยวี่ยเจ็บปวดอย่างที่สุด ประดุจถูกมือที่มองไม่เห็นฉีกเป็นชิ้นๆ แม้นจะรู้สึกชอกช้ำอยู่ข้างในใจ หากแต่สามีตามขนบของนางหาใช่คนทั่วไป เป็นถึงฝ่าพระบาทผู้สูงส่ง นัยน์ตาคู่งามคล้ายแฝงความเหยียดหยันอยู่ลึกๆ ในที่สุดก็ถอนสายตาออกจากภาพนั้น

นางยอบตัวลงอย่างงดงามอีกครา “หม่อมฉันทูลลาเพคะ”

…เข้าวังมาแล้ว เวลาของนางกับฝ่าบาทย่อมยาวนานถึงชั่วชีวิต หากนางไม่เพลี่ยงพล้ำจนตกตาย ความสัมพันธ์ก็ยังสานต่อไปได้

ก็แค่ก้าวถอยหนึ่งก้าว…จะยากเย็นเพียงใด

ร่างในชุดผ้าต่วนสีเขียวสดใสประดับลายวิหคเหินเหยียดรอยยิ้ม ในที่สุดก็ตัดสินใจย่างเท้าออกจากที่ประทับอันโอ่อ่า พร้อมกับบรรดาขันทีและคนจากกรมราชทัณฑ์ เบื้องหน้าตำหนักทรงอักษรใกล้ค่ำแล้ว เนื่องจากการพิจารณาคดีกินเวลานาน ฟากฟ้าทางทิศตะวันตกกลายเป็นสีม่วงพลับพลึงย้อมทองฉาบทอลงเหนือพื้นกว้างหน้าตำหนักเป็นประกายระยับจับตาแม้นจะแฝงไว้ซึ่งความอึมครึมเศร้าสร้อยของยามอาทิตย์อัสดง— คดีคลี่คลายแล้วหลงเยวี่ยหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดหัวใจถึงได้เจ็บปวดปานนั้น

รอยยิ้มสะคราญพลันหายไปจากใบหน้างาม เหลือเพียงความเวิ้งว้างอาดูร วงคิ้วหลิวเรียวยาวพาลบอกห้วงอารมณ์จนหมดสิ้น หลงเยวี่ยใช้นิ้วเกี่ยวพันเชือกผูกเอว ปลายหางตาพลันเหลือบเห็นจางจิ่งสิงที่มีสีหน้าคล้ายปลอดโปร่ง—- คดีฆาตกรรมเย่เหม่ยเหรินคลี่คลายลงไปแล้ว เขาไหนเลยจะกลัดกลุ้มเหมือนวันวาน

ฝีเท้าของนางค่อยๆ ขยับเทียบเคียงเรียงคู่ไปกับจางจิ่งสิง

“จางถิงเว่ยไขคดีดุจเทพเซียน วันนี้ข้าได้เห็นเป็นขวัญตาแล้ว—” กล่าวคำขอขมาต่อหน้าไท่โฮ่วแล้วก็แล้วไป หากต่อหน้าจางจิ่งสิง หลงเยวี่ยก็ยังคงหาได้อ่อนน้อมต่อเขาไม่ ร้องรับส่งเป็นลูกคู่กับฝ่าบาท หลักฐานก็อยู่ในมือจนหมดสิ้น จะแสดงทีท่ารีรอให้ผู้อื่นหวาดกลัวเพื่อเหตุใด น่าชังยิ่งนัก ปลายนิ้วพลันสะบัดชายเสื้อทิ้ง ทว่าบัดนี้ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนหวานละมุนละไม

“หลงเยวี่ยรอดพ้นโทษตายมาได้เพราะใต้เท้าตรากตรำ” หากจางจิ่งสิงเกียจคร้านทำงานเสียหน่อยหรือจงใจป้ายสีนาง ด้วยเหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอให้รับโทษตายแล้ว ทว่าเพราะการค้นหาความจริงอย่างไม่ลดละ ความผิดของเฮ่อถูซื่อจึงปรากฏ แต่ไรมานางแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน ไหนเลยจะคิดเคียดแค้นจางจิ่งสิงเข้ากระดูกดำ “คุณธรรมของใต้เท้าข้าผู้แซ่ตวนมู่จะจดจำไม่ลืม”

จางจิ่งสิงมองปราดเดียวก็แจ่มชัดในความรู้สึกที่ต้องการเอ่ยคำ ‘ขอบคุณ’ ของหญิงสกุลตวนมู่

“กระหม่อมทำตามหน้าที่มิบังอาจรับคำชมของนายหญิง” (ทำตามหน้าที่เฉยๆ จย้า)

หลงเยวี่ยแค่นเสียงหัวเราะบางเบา ไม่มีแก่ใจจะต่อความยาวสาวความยืดอีก ความรู้สึกประดักประเดิดคืบคลานเข้ามาอย่างแผ่วเบา… “ขอบคุณท่านมาก” แม้จะฝืนใจอย่างไรก็ควรกล่าวสักประโยค พลันนางรู้สึกอึดอัดอย่างที่สุด สุดท้ายจึงเร่งฝีเท้าจากไป



อีเวนต์

+35 บารมี จากการผ่านคดีฆ่าคนตายแล้วรอดตาย ได้รับ 10 ตำลึงทอง และ เต้าหู้ 10


[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้

หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +10 ความสัมพันธ์

พูดคุยประจำวัน +5 ความสัมพันธ์

รวม 15 ความสัมพันธ์


[NPC-09] จาง ทัง

หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +10 ความสัมพันธ์

พูดคุยประจำวัน +5 ความสัมพันธ์

รวม 15 ความสัมพันธ์
[NPC-11] จางกงกง

หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +10 ความสัมพันธ์

พูดคุยประจำวัน +5 ความสัมพันธ์

รวม 15 ความสัมพันธ์



แสดงความคิดเห็น

เอ่อ...ทำไมได้จากฮั่นหวู่ตี้ 2 รอบละครับ  โพสต์ 2024-8-2 23:09
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-8-2 23:06
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-8-2 23:06
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-09] จาง ทัง เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-8-2 23:06
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-8-2 23:02

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +10 บารมี +35 ย่อ เหตุผล
Admin + 10 + 35

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x5
x2
x19
x4
x1
x4
x8
x9
x2
x3
x5
x4
x2
x1
x2
x1
x3
x5
x2
x4
x20
x1
x7
x3
x1
x2
x6

8

กระทู้

169

ตอบกลับ

1654

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
85
ตำลึงทอง
121
ตำลึงเงิน
1417
อีแปะ
27742
STR
30+3
INT
40+0
LUK
0+2
POW
50+0
CHA
70+19
VIT
15+27
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
4073
ความชั่ว
806
ความโหด
4418
โพสต์ 2024-8-17 17:53:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-8-17 17:57




ลวดลายสะคราญโฉม
วันที่ 08 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
สิบห้านาฬิกาสิบห้านาทีเป็นต้นไป


“ ดูท่างานของเจ้าในห้องเครื่องคงเสร็จสมบูรณ์ไปเกือบหมดแล้ว ” สองหัตถ์ของโอรสสวรรค์ขยับไขว่ที่หลังลำตัว หลิวเช่อปรายตามองสาวงามที่ต่อให้มีคราบเขม่าควันก็ยังมิสามารถลดทอนความงามชวนเพ้อฝันของนางแล้วก็พลันคิดขึ้นมาหนึ่งประโยคว่าตราบใดที่ต้าฮั่นยังมีหยาดฟ้าลงมาจุติ ความเกรียงไกรของแผ่นดินก็ยิ่งแสดงออกได้ง่ายดายยิ่งขึ้นเช่นกัน ฝ่ามือหนายื่นเข้าช้อนปลายเชือกผ้ากันเปื้อนขึ้นกับมือ ก่อนจะกระตุกเบา ๆ ชวนให้ใจหวิวด้วยท่าทางเปี่ยมเสน่ห์ “ เจิ้นมีเรื่องให้เจ้าทำ เนื้อกวางนั้นให้ผู้อื่นนำไปที่ตำหนักตงเฉินก่อน ส่วนเจ้าตามเจิ้นมา ”

ไป๋หรั่นไม่คาดหวังคำอธิบาย และเขาก็ไม่อธิบายอะไรออกมาเช่นกัน

ทีแรกเหล่านางกำนัลที่ถูกต้อนออกมาล้วนประหลาดใจว่าด้านในเกิดเรื่องอันใดขึ้นเนื่องจากไม่ทราบว่าเจ้าของคำสั่งนี้คือผู้ใด จวบจนมีคนผู้หนึ่งทำสีหน้าตะลึงลาน ตาถลนจนแทบออกจากเบ้า หลายคนถึงได้หันมองตามเขาและพบเข้ากับความตกใจที่ไม่แพ้ไปจากอีกฝ่าย

มินึกมิฝันว่าชีวิตนี้จะได้เห็นฮั่นอู่ตี้เสด็จมายังห้องเครื่องด้วยตัวพระองค์เอง ทั้งยังออกมาในรูปแบบที่ยกมือหนึ่งให้ลู่เจาอี๋ได้กอบกุมอีกด้วย !

“ จางกงกง ”

ในขณะที่ทุกคนกำลังอ้ำอึ้ง หลิวเช่อเปรยเสียงเรียบกับขันทีคนสนิท พร้อมกับพาตัวเองและสนมเอกขึ้นไปบนเกี้ยวมังกรที่เคลื่อนมารอรับอยู่ก่อนแล้ว และเพื่อไม่ให้เสียเวลา ฮั่นอู่ตี้ตกลงกับจางกงกงไว้แล้วว่าตนเองจะมุ่งหน้าไปก่อน เพราะกำหนดการที่กำลังจะมาถึงนี้.. เกรงว่าล่าช้าไม่ได้

“ หลี่กู่กู ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ลู่เจาอี๋เสด็จไปห้องอักษรร่วมกับพระองค์ เกรงว่าสำรับที่พระสนมเตรียมเอาไว้ คงต้องรบกวนหลี่กู่กูนำกลับไปที่ตำหนักตงเฉินก่อน จากนั้นค่อยตามมาที่ห้องอักษร ” จงฉางชื่อถ่ายทอดความประสงค์ของฝ่าบาทพร้อมมอบรอยยิ้มเบาบางให้กับหลี่ผู่เยว่ที่ยอบกายลงฟังอย่างนอบน้อม

“ ขอบคุณจงฉางชื่อที่ช่วยแนะนำ ข้าน้อยจักรีบเคลื่อนย้ายสำรับให้เสร็จสิ้นและตามไปสมทบภายหลัง ”



“ พึ่งมีการแจ้งเข้ามาว่าคณะทูตจากโหรวหร่านต้องการขอเข้าเฝ้าเจิ้น ”

เสียงของหลิวเช่อกระตุ้นให้ไป๋หรั่นชำเลืองตามองดูนอกเกี้ยวเพื่อดูว่ายามนี้ตนอยู่แถวใด จากนั้นถึงได้ตระหนัก.. ว่ามาจวบจนจะครึ่งทางแล้ว สวามีถึงพึ่งได้อ้าปากบอกว่าสาเหตุการเรียกตัวเร่งด่วนขนาดที่มารับด้วยตนเองนี้คืออะไร กลีบปากบางของไป๋หรั่นเผยอออกคล้ายต้องการถามบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เม้มปากสนิทแน่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าสตรีไม่ถือว่ามีสิทธิ์มีเสียงอะไรในเรื่องของบ้านเมืองนัก

โอรสสวรรค์ที่เห็นว่านางไม่ได้สอบถามเรื่องใดเป็นการพิเศษนอกจากพยักหน้าเบา ๆ ก็เริ่มที่จะกล่าวต่อ “ โหรวหร่านมาครั้งนี้เพื่อสวามิภักดิ์ต่อแผ่นดินใหญ่ พวกเขาเป็นกลุ่มที่อาศัยในเขตตะวันตก รบราฝ่าฟันกับเผ่าปีศาจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ” ไป๋หรั่นไม่เคยได้ยินหวงตี้พูดอะไรยาวเกินหนึ่งประโยคมาก่อนจนกระทั่งครั้งนี้ ฮั่นอู่ตี้ของชาวประชาอธิบายเสียงเรียบด้วยความใจเย็นชวนให้เลื่อมใสในท่วงท่ากิริยาที่ดูแล้วคล้ายคำว่าจักรพรรดิแห่งแผ่นดินขึ้นมาบ้าง

“ พวกเขาต้องการความคุ้มครอง เจิ้นให้ได้ ทว่าสิ่งที่เจิ้นต้องการจากพวกเขา.. ต้องใช้การตะล่อมสักหน่อย ”

ทหารต้าฮั่นอ่อนประสบการณ์ในการรับมือปีศาจ นอกจากการส่งเสริมฝ่ายนั้นแล้ว หลิวเช่อต้องอยากใช้โอกาสนี้ในการพัฒนากำลังคนของตน แต่โหรวหร่านไม่ใช่ชิ้นเนื้อที่เคี้ยวง่าย เว้นเสียแต่เขาจะใส่ใจกับการต้อนรับให้มากขึ้นหน่อยเพื่อเปิดใจเหล่าคณะทูตให้มองต้าฮั่นไปในทางที่ดี

ที่จริงจะใช้กำลังบีบเหมือนอย่างที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ปัญหา ทว่า..

เนตรมังกรตวัดเข้ามองหญิงงามที่เฝ้าคอยคำพูดต่อไปของเขาอย่างตั้งใจ หลิวเช่อมีลางสังหรณ์ว่านางสามารถทำได้ นางสามารถช่วยเขาได้ และสามารถทำให้เขาพึงพอใจที่ได้ประกาศต่อคนทั่วหล้าว่านางเป็นของต—- การขมวดของคิ้วเข้มราวกระบี่คล้ายการตัดสะบั้นความคิดแปลกพิกลเหล่านั้น

“ เจิ้นจะกล่าวกับพวกเขาว่าโหรวหร่านมีวัฒนธรรมดีเลิศอย่างไร ต้าฮั่นเราก็มีเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากให้เจ้าที่ชำนาญในศาสตร์ศิลป์แสดงความสามารถ ”

ประโยคหลังจากนี้เขาไม่ต้องพูดนางก็รู้สึกสาเหตุแล้ว ในทุกสถานการณ์เจรจาล้วนแต่ง่ายดายที่สุดเมื่อผู้ยื่นและผู้รับข้อเสนอเกิดความจรรโลงใจ หลิวเช่อกำลังปั้นภาพความรื่นเริงเพื่อยืนยันถึงความสงบของต้าฮั่น.. “ ฝ่าบาท หากว่าราชทูตเหล่านั้นเกิดมองความปรารถนาครั้งนี้เป็นโอ้อวดเล่าเพคะ? ” คำถามนี้น่าประหลาดที่มันก็ฟังดูธรรมดาแต่กลับสามารถจุดรอยยิ้มหยักลึกที่มุมปากของโอรสสวรรค์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ อย่าทำให้เป็นอย่างนั้นเสียก็จบแล้ว ”

ดูท่าตลอดชีวิตของหลิวเช่อคงไม่เคยมีคำว่าล้มเหลว ไป๋หรั่นถอนหายใจเฮือกก่อนที่จะขบฟันลงกับริมฝีปากเบา ๆ พลางครุ่นคิดว่าหากอาศัยความสามารถของตนเองแล้วนางจะสามารถโน้มน้าวใจคนได้มากแค่ไหน

“ ไม่ต้องคิดใหัมันวุ่นวาย ”

เสียงของหวงตี้คล้ายน้ำเย็นกระแสหนึ่งที่ราดรดบนตัวนางนับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเพื่อเป็นการเตือนให้ตั้งสติ “ ทำให้สุดความสามารถ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นหน้าที่ของสามีเจ้า ” เขากล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนทั้งที่คำพูดนี้ฟังแล้วแปลกหูนัก

“ เชื่อว่าภรรยาคงไม่ทำให้สามีต้องผิดหวัง ”

เพราะเขาไม่เคยให้งานง่ายต่อนางเลยสักครั้ง

จากเกี้ยวมังกรสู่ห้องทรงอักษร เมื่อมาถึงหลิวเช่ออนุญาตให้สนมของตนไปจัดเสื้อผ้าหน้าผมที่ห้องพักด้านหลัง ส่วนตัวเขาก็เปิดเอกสารราชการอ่านไปพลาง ๆ รอจนจางกงกงที่ตามมาสมทบก่อนหน้านี้ก้าวเข้ามารายงานว่าจางเชียนได้นำทางคณะทูตมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว

ฮั่นอู่ตี้ปรายตามองด้านหลังที่ยังไร้วี่แววเล็กน้อย เขาไม่สามารถยืดระยะเวลาออกไปได้เพราะรอสตรีเพียงผู้เดียว และอีกอย่างคนเช่นนางในเวลาปกติคงรีบกลับมายืนเคียงข้างเขาแล้ว เว้นเสียแต่ว่าลู่เจาอี๋ผู้นั้นก็มีแผนการที่คิดเอาไว้เช่นกัน

“ ให้พวกเขาเข้ามา ”

คำอนุญาตของหลิวเช่อได้รับการตอบสนองอย่างทันที ประตูห้องทรงอักษรเปิดออกพร้อมเงาร่างของต้าหงหลูผู้เก่งกาจพร้อมด้วยคณะทูตโหรวหร่านดูแปลกตา เดินมุ่งหน้ามาสู่พื้นที่ลานยืนสำหรับถวายพระพรแก่โอรสสวรรค์

“ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ระหม่อมต้าหงหลูจางเชียนได้พาแขกบ้านแขกเมืองมาเข้าเฝ้าพระองค์แล้ว ” น้ำเสียงที่แสนมั่นใจของเจ้ากรมการทูตดังก้องทั่วบริเวณ โดยที่ด้านหลังของเขาคือเหล่าคณะทูตโหรวหร่านที่คุกเข่าลงถวายพระพรกันอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่าได้รับการแนะนำวิธีการเข้าพบหวงตี้ในขั้นแรกมาก่อนแล้ว

“ จากโหรวหร่านถึงฉางอันคงต้องผ่านการปรับตัวมาไม่น้อย มาถึงที่นี่ได้นับว่าเป็นผู้มีความสามารถ เหตุใดจะต้องแสดงท่าทีเกรงใจถึงเพียงนั้น ” พระพักตร์เรียบเฉยราวน้ำแข็งผิดกับวาจาถ้อยทีถ้อยอาศัยอยู่มาก ตัวตนของเขาองอาจน่าเกรงขามโดยธรรมชาติ แม้ว่าจะพยายามลดหลั่นรัศมีมังกรแต่ก็ไม่พ้นถูกมองว่าอยู่ไกลเกินเอื้อมอีกตามเคย

“ ห้องทรงอักษรหาใช่ท้องพระโรง เชิญทุกท่านทำตัวตามสบาย ” เขากล่าวอย่างนั้นแต่จะมีใครบ้างที่กล้าทำตัวตามสบายต่อหน้าสายพระเนตรของชายผู้ครองราชย์นับแต่อายุสิบเจ็ดหนาวจวบจนถึงปัจจุบัน โอรสสวรรค์ไล่สายตาดูคนจากคณะทูตช้า ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีสตรีใดแทรกมากับคณะก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้คิดสำราญทางลัดด้วยการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปเสียหมด

“ เพื่อเป็นการแสดงความประสงค์ที่จะสวามิภักดิ์ โหรวหร่านได้ส่งคุณชายทัวปาจื่อ ทายาทราชครูเอกร่วมเดินทางมามอบของบรรณาการหลักพ่ะย่ะค่ะ ” ต้าหงหลูรับหน้าที่ผู้เรียนขั้นตอนต่าง ๆ ตามที่ควรจะเป็น ราชทูตเอกแห่งแผ่นดินพยักหน้าให้กับคุณชายทัวปาที่ประหม่าเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่หน้าโอรสสวรรค์ แต่กระนั้นก็ยังกระชับกำกล่องหยกซึ่งนับว่าเป็นของหายากจากเขตแดนทะเลทรายขึ้นมายื่นออกพร้อมค้อมหลังลง

หลิวเช่อพยักหน้ารับเป็นสัญญาณให้จางกงกงเดินไปตรวจสอบสิ่งของ

จงฉางชื่อก้าวลงจากแท่นข้างพระที่นั่ง มุ่งหน้าไปยังตัวแทนคณะทูตและค่อมกายลงเพื่อทักทายอย่างให้เกียรติก่อนจะค่อย ๆ เปิดฝากล่องหยกออก เผยให้พบกับแหวนคุณภาพเลิศสองวงที่วางเคียงกันอย่างสวยงาม จางกงกงใช้เวลาตรวจสอบอีกเล็กน้อยว่าไม่มีลูกไม้ใด ในที่สุดก็ถอยออกมาพร้อมกับหันไปพยักหน้าเป็นการบอกว่าของบรรณาการดูปลอดภัยดีในเบื้องต้น

ทางด้านหลิวเช่อที่อยู่ไกล ๆ เองก็หรี่ตามองแหวนในกล่องนั้นเช่นเดียวกัน มันคืองานฝีมือชั้นเลิศที่ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ใดก็มองเห็นเช่นตัวบุคคลที่ยามนี้ยังไม่ยอมปรากฏตัวออกมา โอรสสวรรค์สมองว่างเปล่าฉับพลันที่นึกถึงสตรีที่ขยันทำให้เขาต้องคอยเฝ้ามองอยู่เสมอผู้นั้น แต่ในขณะเดียวกันความคุ้นตาของแหวนสองวงในกล่องก็ยังคงลุกลามจวบจนทายาทราชครูทัวปารวบรวมความกล้ากลั้นใจกล่าวว่าสิ่งที่ฝ่ายโหรวหร่านนำมาเป็นของบรรณาการนั้นคือสิ่งใด

“ แหวนทั้งสองวงนี้คือแหวนดาราจรัสอันหาได้ยากยิ่ง ความสามารถของมันนั้นมีไว้สำหรับอำนวยความสะดวกของผู้ใช้งาน เนื่องมาจากผู้คนเชื่อกันว่าแหวนชนิดนี้สร้างมาจากศิลาที่ตกจากฟ้าทำให้มีความสามารถประหลาดที่ปัจจุบันก็ยังแสดงออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าผู้สร้างทั่วสารทิศ ”

คุณชายทัวปาสูดหายใจเข้าอีกครั้ง “ ทูลฝ่าบาท กระหม่อมขออนุญาตสาธิตให้พวกท่านได้ชม ” เพราะมันคือของบรรณาการ แตะซี้ซั้วไม่ได้ ทว่าหากไม่มีใครใช้ให้ดู เหล่าผู้ที่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของแหวนดาราจรัสจะไปทราบได้อย่างไรว่าของแท้นั้นใช้งานแบบไหน

“ อนุญาต ”

จบคำของโอรสสวรรค์ คุณชายทัวปาสวมแหวนไว้ที่นิ้วชี้มือซ้ายพร้อมกับประคองกล่องหยกไว้ในมือซ้ายเช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะประหม่าจนขาเกือบสั่น แต่เมื่อได้สัมผัสและใช้ในสิ่งที่ฝีกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนความกังวลของเขาก็คลายลง

คุณชายทัวปาแสดงความอัศจรรย์ของแหวนดาราจรัสอย่างต่อเนื่องในการทำให้สิ่งของต่าง ๆ หายไปจากมือเขาได้ดั่งใจนึก ก่อนที่เวลาต่อมาจะนำของเหล่านั้นออกมาอีกครั้ง โดยไร้เงื่อนไขว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หรือเล็กใหญ่มากน้อยยังไง สร้างความตะลึงให้กับชาวต้าฮั่นที่น้อยครั้งจะมีโอกาสได้พบเห็นความแปลกประหลาดพิสดารนี้ เว้นก็แต่หลิวเช่อที่สีหน้ายังคงสงบไร้ริ้วความเปลี่ยนแปลง

“ โหรวหร่านมอบของล้ำค่าถึงเพียงนี้ นับว่าจริงใจต่อต้าฮั่นมาก เพราะการเดินทางที่ลำบากทำให้เส้นทางการติดต่อถูกขัดขาดกะทันหัน เจิ้นเลยไม่ได้เตรียมงานรื่นเริงไว้ต้อนรับ ” สีหน้าของเหล่าคณะทูตล้วนใจชื้นขึ้นมากเมื่อเห็นว่าผู้ครองอำนาจให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี มีก็แต่จางกงกงและจางเชียนเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดจะพูดอย่างไรก็ได้ คนอย่างฮั่นอู่ตี้ต่อให้รู้ก็ไม่มีทางลงทุนจัดงานใหญ่โตแค่เพราะต้อนรับอย่างเดียวแน่นอน

“ จางกงกง เจิ้นอยากดูแหวนดาราจรัสนั้นใกล้ ๆ ”

จงฉางชื่อรับคำสั่งอย่างทันท่วงที ชายไร้เพศในชุดขันทียื่นมือไปรับกล่องหยกบรรจุแหวนดาราจรัสทั้งสองวงอย่างทะนุถนอมก่อนจะนำไปทูลมอบถวายให้แก่หวงตี้ที่มีพระประสงค์อยากดูอย่างใกล้ชิด

หลิวเช่อเปิดฝากล่องออก ด้วยความสามารถที่เปี่ยมล้นของมังกร โอรสสวรรค์สามารถทราบได้ทันทีว่าแหวนวงใดคือแหวนที่ถูกสวมไปแล้ว ชายบนบพระที่นั่งเหนือผู้คนหยิบแหวนที่เคยถูกสวมขึ้นมาคลึงในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบฝากล่องมาปิดมันไว้ใหสนิทดังเดิม

เดิมทีหวงตี้สามารถเลือกแหวนที่ไม่เคยผ่านมือใคร ทว่าใจเขากลับมีความปรารถนาหนึ่งผุดขึ้นมา แหวนดาราจรัสคู่นี้มาด้วยกัน ก็สมควรที่จะมีผู้สวมเป็นคนที่อยู่เคียงข้างกัน ฉะนั้นเขาจึงคิดถึงสาวงามที่ยังคงเร้นกายในยามนี้ ทว่าหากให้นางสวมแหวนที่ผ่านมือชายอื่นมา .. ใบหน้าแยบคายนั้นแฝงความเย็นเชียบไว้ห้าส่วนโดยไม่มีผู้ใดสังเกตถึง

“ จางกงกง ”

“ เพราะการหารือครั้งนี้มีเพื่อสานไมตรี แม้จะมิมีงานเลี้ยงใหญ่โต ทว่าฝ่าบาทได้คำนึงถึงทุกท่านจนจัดเตรียมการต้อนรับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชิญทุกท่านนั่งก่อน ” จางกงกงกำลังเกลี่ยกล่อมคนให้คล้อยตามสุดความสามารถ แต่ด้านผู้สั่งการกลับคลึงแหวนวงนั้นในมือพลางคิดถึงอนาคตอย่างไร้จุดจบ

อีกวงหนึ่งเก็บไว้ให้นาง.. ของล้ำค่าเช่นนี้สมควรให้ในวาระสำคัญ

หากนางได้ขึ้นเสียนเฟย? ไม่สิ กุ้ยเฟย หรือว่า.. หวงโฮ่—-

“ ฝ่าบาท ”

ไม่รู้ว่าผู้คนสนทนากันอย่างไร รู้ตัวอีกทีการเรียกหานี้กลับมาจากเสียงหวานละมุนคุ้นหู หลิวเช่อเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงก็พบนางอัปสรผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างที่นั่งเขา พร้อมประคองชามาหนึ่งจอกท่ามกลางสายตาของผู้ที่ไม่เคยพบหน้านาง นับแต่วินาทีที่นางปรากฏกาย ทุกคนในห้องทรงอักษรล้วนตื่นตะลึงจนได้แต่ยืนมองนิ่ง ๆ คล้ายวิญญาณล่องลอยไปเข้าหานางโดยมีความงามเป็นตัวชักเชิด ไม่ว่าจะผิวเนื้อเนียนลออ ผมเผ้างามสลวย โฉมหน้างามล้ำเหนือกว่าดอกบัวหรือร่างอรชรดั่งกิ่งหลิวล้วนแลดูงามยิ่ง

“ ฝ่าบาท.. ท่านนี้คือ ? ”

จางเชียนที่พบหญิงงามมาแล้วหลายชนชาติเคราะห์ดีที่ตั้งตัวได้เร็ว เขาเก็บสายตากลับมาลอบชำเลืองมองท่าทีของคุณชายทัวปาที่เหลียวมองคอแทบหัก แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบ ๆ พลางช่วยออกปากถามแทนทุกท่านว่าโฉมสะคราญหยาดฟ้าผู้นี้นั้นคือใคร

“ ลู่เจาอี๋ สนมเอกของเจิ้นเอง ”

คล้ายจะมีเสียงแตกกระจายของใจหลายดวงยามที่พบว่าคนงามถึงเพียงนี้มีเจ้าของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โอรสสวรรค์กดมุมปากหยักเป็นรอยยิ้มลึกด้วยความพึงพอใจก่อนจะหันไปถามสนมเอกของตนด้วยท่าทางใส่ใจ “ เหตุใดจึงมาช้านัก? ”

“ ฝ่าบาทรับสั่งให้หม่อมฉันเตรียมการรับรองให้เรียบร้อย จึงใช้เวลามากไปหน่อย ทุกท่านที่เดินทางมาไกล คงไม่คุ้นเคยกับการต้อนรับเช่นต้าฮั่น ฉะนั้นถือว่าพักดื่มชาที่เจ้าบ้านเตรียมรับสักกาเถิด ” เมื่อไป๋หรั่นพยักหน้า เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ปรี่เข้ามาพร้อมถาดน้ำชาแยกไปสำหรับทูตแต่ละบุคคล โดยเฉพาะของจางเชียนที่มีการจัดวางอย่างดี บอกให้รู้ถึงความใส่ใจที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ

โอรสสวรรค์ปรายตามองการจัดการเสร็จสรรพที่คณะทูตล้วนก็มีนางกำนัลดูแลประกบคอยรินชาหรือแนะนำวิธีการดื่มให้เงียบ ๆ สลับกับเคลื่อนมองความหัวไวของสนมตนที่อธิบายไม่กี่คำก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร

“ เรียกเจ้ามาใช่ว่าจะให้เพียงรับรองแค่เล็กน้อย ”

ทำราวกับว่าเรื่องราวนี้ไม่เคยได้รับการสนทนามาก่อน หลิวเช่อวางแหวนดาราจรัสไว้บนฝากล่องหยกพร้อมหันไปกล่าวกับคณะทูตที่ในมือต่างก็มีจอกชากันคนละจอก “ เจาอี๋ของเจิ้นเป็นหญิงงามมากความสามารถ พวกท่านมาถึงที่นี่ควรได้รับชมวัฒนธรรมในแบบต้าฮั่น ฉะนั้นนางจึงเป็นบุคคลที่เหมาะสมนัก ”

“ ถ้าเช่นนั้นโปรดอนุญาตให้กองสังคีตได้เข้ามาด้านในด้วยเถิดเพคะ ”

สนมรักทูลขอทั้งทีมีหรือชายที่ผู้คนมองว่าฝากรักผูกใจกับหญิงงามนั้นจะปฏิเสธ หลิวเช่อพยักหน้าก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจางกงกงถึงได้พยักหน้าบอกกับขันทีชั้นผู้น้อยให้เปิดประตูรับกองสังคีตจำนวนไม่มากเข้ามาด้านใน กองสังคีตที่เข้ามานี้ประกอบไปด้วยนักบรรเลงกู่เจิงหนึ่งคน นักเป่าขลุ่ยอีกหนึ่งคน ผู้ขับร้องอีกหนึ่ง และผู้ไม่ทราบหน้าที่อีกสี่นางที่บางคนก็โอบเครื่องดนตรี บางคนก็ถือไม้ลำเล็กที่ปลายผูกผ้าแพร

ศาสตร์การแสดงดนตรีเพียงอย่างเดียวนับว่าตื่นเขินเกินไปหากผู้ฟังมิใช้นักสุนทรีแต่กำเนิด ฉะนั้นที่มีองค์ประกอบครบถ้วนทั้งยังง่ายต่อการหลอกล่อใจย่อมเป็นร่ายรำที่มาจากสาวงาม ไป๋หรั่นประสานมือวางไว้บริเวณหน้าท้องพร้อมย่ำเท้าเดินลงจากข้างพระที่นั่งไปได้ราว ๆ สามก้าวก็หันกลับไปยังโอรสสวรรค์ที่นั่งอยู่บนนั้น

“ กิ่งดอกซื่อเวย(ดอกยี่เข่ง)ในแจกันข้างพระที่นั่งนั้นทรงมอบให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ? ”

ข้างกายมังกรยังมีตู้เตี้ยที่หลังตู้วางแจกันลายครามชั้นเลิศไว้หนึ่งอัน ในแจกันนั้นมีกิ่งบาง ๆ ของดอกซื่อเวยอวดโฉมชูช่อเป็นสีแดงสด โอรสสวรรค์ใช้เวลาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า ฉะนั้นจางกงกงที่มีหน้าที่เป็นเหมือนแขนขาจึงต้องเดินโฉบไปหยิบกิ่งซื่อเวยนี้มาส่งมอบให้พระสนม

ลู่เจาอี๋ยอบกายคารวะขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่นางจะหันหลังให้กับสายตาคมที่จดจ้อง เดินลงไปกลางพื้นกว้างพร้อมเอื้อมมือขึ้นปลดสายผูกผมออกเส้นหนึ่งปล่อยให้เกศาที่เคยรวบสูงเยี่ยงหญิงที่ออกเรือนแล้วได้สยายลงมาถึงครึ่งศีรษะพร้อมกับแผ่กระจายกลิ่นหวานจรุงใจคล้ายกลิ่นดอกฝูหรงเหมือนอย่างที่เคยได้พบ ฉับพลันเนตรมังกรของโอรสสวรรค์กระตุกวูบ ครั้งจะออกปากห้ามนงคราญไม่ให้เฉิดฉายนักก็เกรงว่าคงจะสายเกินไปแล้ว

ร่างอรชรนั้นหันหลังให้สามีโดยไม่หันกลับไปนางค่อย ๆ ผูกผ้ารัดผมลงกับกิ่งซื่อเวยพลางยืนนิ่งรอเริ่มต้นการแสดง แต่ก็หยุดนิ่งได้ไม่นาน.. เสียงขับขานเอื้อนร้องก็ดังขึ้นนำให้เรือนกายได้โยกย้าย มิมีผู้ใดได้เห็นหน้าของโฉมงามในยามที่นางกรีดกราย เทพธิดาจำแลงในอาภรณ์สีครามเหลือบชาดนั้นแช่มช้าอ่อนหวาน ทว่าเปี่ยมไปด้วยความลื่นไหลราวผกาช่อหนึ่งที่โอนอ่อนไปตามสายลม

อาจเป็นเพราะจื่อซีอี๋นั่วเป็นยอดอาภรณ์ที่ขับเน้นทรวงทรงทำให้ทุกการเคลื่อนไหวสร้างความเพลินตาสำราญใจให้ผู้รับชมเป็นอย่างมาก ทว่าต่อให้เงาร่างจะงามเพียงใดเมื่อหันกลับมาก็ยังไม่มีส่วนไหนที่สามารถดึงดูดใจได้เท่าโฉมหน้าสวยหวานเพียบพร้อมที่แฝงรอยยิ้มซึมลึกในใจผู้รับชม

ร่างกายของไป๋หรั่นอ้อนแอ้นอรชรทั้งยังอ่อนช้อยเพราะผ่านการเคี่ยวเข็ญด้านร่ายรำมาตลอดหลายสิบปี ผนวกรวมกับรูปลักษณ์พิลาสล้ำสมดังนางเซียน เพียงแค่ชะม้ายชายตาหนึ่งครั้ง สะบัดช่อดอกไม้หนึ่งหนยังว่างามนักงามหนา แต่ด้วยท่วงท่าลื่นไหลไร้รอยต่อสะดุดตาที่เผยให้เห็นฝีไม้ลายมือและความเชี่ยวชาญ ย่อมสร้างความเลื่อมใสศรัทธาคล้อยตามมาหลังจากความชื่นชมโดยผิวเผิน

ลู่เจาอี๋จงใจร้อยเรียงท่วงท่าที่หมุนสะบัดกายเป็นส่วนมากเพื่อหาจังหวะเหมาะสมในการคลายสายรัดแขนและปล่อยบางสิ่งออกมา .. สิ่งนั้นแม้เล็กจ้อยแต่ก็มีมากจนเกิดเป็นภาพฝันของลมที่พัดผ่านบุปผา กลีบเหมยกุ้ยแดงฉานปลิดปลิวออกจากใต้วงแขนอาภรณ์กว้างทุกครั้งที่นางเหวี่ยงร่างจนครบรอบ ชวนให้แว่บแรกนึกเป็นว่านางเสกบุปผาออกมาจากสองมือ

แม้จะเป็นสนม แต่ในขณะหนึ่งก็เป็นสตรี วิธีการทอดสะพาน ปรายเสน่ห์ล้วนซึมซาบอยู่ในใจ ผนวกกับเอกลักษณ์ในการวาดลวดลวยของสำนักศึกษาที่นางร่ำเรียนมา แม้ว่าจะเป็นเพลงเร็วสดใส แต่ด้วยความเคยชินของสาวงามก็ยังมีช่วงจังหวะเวลาให้ได้ทำเป็นเชื่องช้าอ่อนหวานไล่สบตากับผู้คน กระทั่งยอดฝีมือยังต้องตกอยู่ในภวังค์ นับประสาอะไรกับคณะทูตที่ขนาดคนงามถึงเพียงนี้ยังพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

ขณะสุดท้ายที่เสียงขับร้องเร่งจังหวะขึ้น นั้นประจวบเหมาะพอดีกับที่กลีบเหมยกุ้ยในแขนเสื้อนางหมดแล้ว เนตรหงส์วาวโรจน์ขึ้นด้วยความพึงพอใจ การคาดการณ์ของนางถูกต้อง ดังนั้นที่คอยชูโรงหลักย่อมเป็น..

นางกำนัลฝ่ายสังคีตอีกสี่นางที่แต่เดิมถือก้านไม้พันผ้าแพรที่ส่วนปลายเริ่มออกลายกับคนงามเขาบ้างแล้ว ทั้งหมดสะบัดมือหนึ่งครั้ง ม้วนผ้าที่พันไว้ก็คลี่ออกดูคล้ายหมอกโปร่งบางที่กระทบกับพื้น ตบกลีบบุปผาบนพื้นให้กระเด็นขึ้น ประจวบเหมาะกับนงคราญหยกที่สะบัดแขนสร้างระลอกลมประคองกลีบดอกเหล่านั้นให้เคลื่อนตามความต้องการ จบลงด้วยการหมุนกายสะบัดกางแขนออกเป็นเส้นขนาน กระจายกลีบผกาให้โรยราลงหน้าคณะทูตตลอดสองฝั่ง ส่วนตัวเองนั้นก็ยื่นปลายกิ่งซื่อเวยในมือให้ชี้ไปทางโอรสสวรรค์พร้อมย่อกายลง



มีความอ่อนหวานแทรกอยู่ในแววตา แต่ก็มีความโศกาล้นออกที่ปลายหาง ตลอดการร่ายรำนี้เขาจ้องมองนางอย่างเงียบงัน เฝ้ามองโฉมสะคราญที่มีหน้าที่คอยดำเนินการตามความต้องการของตนทั้งที่ใจบีบรัดอย่างน่าประหลาด เขาและนางก็ไม่ได้ต่างสถานะกันนัก คนหนึ่งเพราะมีหน้าที่เป็นสนม คอยแบ่งเบาภาระ ปรนนิบัติดูแล จึงต้องแสดงว่ารักใคร่ห่วงหา อีกคนหนึ่งเพราะเป็นหวงตี้ มีหน้าที่ยิ่งใหญ่ จึงไม่ยินดีที่จะสัมผัสกับความสำราญทั้งกายใจโดยท่องแท้ คนงามที่ว่างามนั้นก็จริงอยู่ ท่วงท่าอ่อนหวานดูผ่าน ๆ ก็นับว่าเก่งกาจเกินใคร ทว่าความไม่ยินดีที่ความสัมพันธ์นี้ตื้นเขินกลับชัดเจนนัก

ร่างของนงคราญย่อลงจรดพื้นพลางหันหลังให้กับสายพระเนตรของโอรสสวรรค์อีกครั้ง หนนี้มีเพียงเสียงบรรเลงดนตรีไร้ซึ่งการขับร้อง ชวนให้ทุกท่านสามารถสนใจกับร่างตรงหน้าที่กรีดกรายกระบวนสุดท้ายได้เต็มตาจนกระทั่งเสียงเพลงเลือนหาย พร้อมกายงามที่หยุดนิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใดสักคำ แม้ว่าผู้ร่ายรำจะกลับมายืนยอบกายขอบคุณแล้วก็ยังไม่มีสักเสียงที่หลุดออกจากปากคน ปล่อยให้หนึ่งเนตรหงส์สบกับเนตรมังกรเนิ่นนานโดยไร้การแปลซึ่งความหมายในแววตานั้น

“ เป็นอย่างไร เจาอี๋ของเจิ้นถ่ายทอดออกมาได้ดีใช่หรือไม่ ” โอรสสวรรค์เบี่ยงสายตาออกเป็นผู้แรก กลับมาช่วยเรียกสติให้มวลมนุษย์ที่ได้ไปเยือนภพเซียนให้กลับมาบนดินโดยอาศัยเสียงเรียบเอื่อยที่แผ่รัศมีเย็นเฉียบ

“ ลู่เจาอี๋งดงามมากความสามารถ ข้าน้อยเดินทางหลายปีพบคนมาก ยังไม่เคยเห็นใครมีความสามารถถึงเพียงนี้ ” ต้าหงหลูกล่าวอย่างชื่นชม ใบหน้าของเขาประดับยิ้มเบาบางไปถึงแววตา แต่ก็หาได้ดูลุ่มหลงมัวเมาเท่าคุณชายทัวปาที่เขาพามา “ สมควรกล่าวว่าเป็นโฉมงามเลิศล้ำในต่ำใต้

กระทั่งราชทูตเอกยังกล่าวถึงขนาดนี้ ไป๋หรั่นระบายยิ้มบางตอบรับคำชื่นชมของเขาพร้อมย่อลงขอบคุณด้วยความจริงใจ ส่วนคุณชายทัวปาที่ตั้งสติขึ้นมาได้แล้วแม้จะกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อยแต่ก็พูดเยินยอออกมาด้วยสีหน้าแดงซ่านสร้างความขบขันระคนเอ็นดูให้กับเหล่าคณะทูต “ อาศัยความสามารถเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าแม้แต่เทพเซียนยังสามารถเผชิญเคราะห์ได้เพื่อนาง

หลิวเช่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะวางสายตาไว้ที่ร่างอรชรของสนมเอกเช่นเดิม ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองกล่าวได้ถูกต้องนัก แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบความละเอียดอ่อนและเก่งกาจของนางได้เท่าเขา คิดถึงจุดนี้หลิวเช่อก็ชอบใจขึ้นหลายส่วน “ พวกท่านชอบ เจิ้นก็วางใจ ถ้าเช่นนั้นเราก็หารือกันต่ออีกสักหน่อยเถิด.. เจาอี๋ มานี่

หวงตี้เรียกคนของเขากลับไปยืนข้างกายเหมือนอย่างเดิม .. โดยครั้งนี้ ในที่สุดก็ไร้คนขวางกั้นเสียที



[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี

[NPC-12] จาง เชียน
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง และ +10 ชาเกรดทอง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ของว่างประเภทอาหารปรุง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ชาประเภทชงชา

ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี
ร่ายรำต่อหน้าคณะทูตดิฉันก็ควรได้ค่าบารมีเช่นกันค่ะ
ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์หัวใจหวงตี้หรือไท่โฮ่วเพิ่มขึ้น 1 ดวง +50 บารมี
( หลังปลดได้หัวใจดวงที่แปดเต็ม )

จากเควส : หากทำการแสดงออกมายิ่งใหญ่ +10-40 ตบะ
ขึ้นกับการแสดงของคุณว่าจะอลังการแค่ไหน
(ให้เวลาเตรียมตัวสามสิบนาที ได้เท่านี้นับว่าเกินมนุษย์รังสรรแล้วค่ะ)






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-8-17 18:15
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-12] จาง เชียน เพิ่มขึ้น 65 โพสต์ 2024-8-17 18:15
ฝ่าบาททรงให้คนนำรางวัลมาตบให้ลู่ไป๋หรั่น +20 ตำลึงทอง และ สุรา 1 ไห   โพสต์ 2024-8-17 18:15
โพสต์ 60776 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-8-17 17:53
โพสต์ 60,776 ไบต์และได้รับ +10 EXP +20 คุณธรรม +20 ความโหด จาก ชุดจื่อซีอี๋นั่ว(เจาอี๋)  โพสต์ 2024-8-17 17:53

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +20 ตบะฝึกฝน +40 บารมี +95 ย่อ เหตุผล
Admin + 20 + 40 + 95

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x2
x3
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x4
x2
x3
x6
x1
x22
x4
x18
x4
x3
x11
x2
x1
x4
x2
x5
x1
x6
x4
x15
x1
x4
x6
x1

8

กระทู้

169

ตอบกลับ

1654

เครดิต

ผู้ใฝ่รู้

พลังน้ำใจ
85
ตำลึงทอง
121
ตำลึงเงิน
1417
อีแปะ
27742
STR
30+3
INT
40+0
LUK
0+2
POW
50+0
CHA
70+19
VIT
15+27
‘ หลี่ผู่เยว่ • 李谱月 ’
เลเวล 1
คุณธรรม
4073
ความชั่ว
806
ความโหด
4418
โพสต์ 2024-8-21 23:35:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด



มาเยือนด้วยความตั้งใจ
วันที่ 13 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบสองนาฬิกาเป็นต้นไป


ที่จริงนางไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันไหนที่นางมาเยือนห้องทรงอักษรด้วยสองเท้าของตัวเอง

การทำอย่างนี้ในยามที่ค่ำลงไปฝ่ายชายจะต้องไปหาสตรีอื่นนับว่าเป็นเรื่องกระอักกระอ่วน แต่อย่างที่ทราบ นางเองก็มีเหตุผลที่ทำให้พาตัวเองมาจนถึงที่นี่.. ไป๋หรั่นไม่ได้ผลีผลามเข้าไปอย่างที่ใคร ๆ คิด นางรอ และรอเวลา จวบจนถึงยามเที่ยงวันที่เหล่านางกำนัลจะต้องนำสำรับกลางวันขึ้นถวาย นางจึงได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมนางกำนัลเหล่านั้น

“ เป็นพระสนมดี ๆ ไม่ชอบ เหตุใดถึงขยันหาภาระเข้าตัวนัก ”

หลิวเช่อคิดไว้อยู่แล้วว่าหวงซานเหมาเฟิงถ้วยนี้มีเอกลักษณ์เกินไป คล้ายรสชาติที่ผ่านการชงนงคราญหยก ทว่าน้อยครั้งนักที่นางจะเป็นฝ่ายมาพบตนด้วยตัวนางเอง ฉะนั้นทีแรกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจ ทว่าเมื่อปัดมือส่งสัญญาณบอกให้เบิกของว่าง ใครจะไปนึกว่าผู้ที่เดินถือมันเข้ามาจะเป็นถึงลู่เจาอี๋แห่งตำหนักตงเฉิน

“ ได้ยินว่าหลังงานคล้ายพระราชสมภพขององค์ไท่โฮ่ว ก็ทรงมีราชกิจมากมายเข้ามาให้พระองค์ต้องจัดการ ” จานอู๋โยวเกาวางลงกับโต๊ะช้า ๆ โดยที่นางไม่ได้แทรกกายไปนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย แต่กลับทำแค่เพียงยืนประคองถาดสีนิลฉลุลายหมู่ตานสวยสดสีทองอร่าม “ หม่อมฉันห่วงว่าความตึงเครียดจากงานจะส่งถึงพระวรกาย อย่างน้อยเลยคิดว่าหากสามารถบรรเทาความหนักอึ้งนี้ลงได้บ้างก็อาจจะเป็นเรื่องดีเพคะ ”

โฉมงามระบายยิ้มอ่อนหวานพลางหลุบตาลงมองอู๋โยวเกาสีสดน่าทาน “ ขนมที่หม่อมฉันทำมามีนามว่าไร้กังวล ฉะนั้นหากสามารถทำให้พระองค์ไร้กังวลลงได้ในเรื่องเล็กเรื่องน้อย ก็นับว่าความปรารถนาของหม่อมฉันสมฤทธิ์ผลแล้ว ” โอรสสวรรค์ใช้สองนิ้วหยิบเจ้าขนมรูปทรงดอกไม้ที่มีทั้งส่วนสีขาวสลับม่วงพร้อมปล่อยกลิ่นหอมอ่อนดูน่าทานออกมาพิจารณา

“ สีอย่างนี้.. เจิ้นไม่เคยพบในอาหารมาก่อน ”

ราวกับต้องมีการยืนยันให้แน่ใจว่าทานได้

“ หากฝ่าบาทจะทรงอนุญาต.. ”

ลู่ไป๋หรั่นกดใบหน้าคงขอความกรุณาและได้รับเสียงตอบกลับมาเป็นการอืมเบา ๆ ในลำคอ ทีแรกนางตั้งใจจะเอื้อมไปหยิบอู๋โยวเกาอีกชิ้นบนจาน ทว่าไม่ทันที่มือจะได้สัมผัสถึง จานสีขาวก็ถูกเลื่อนให้ห่างออกไปโดยมือหนาของผู้ครองรัศมีมังกร

หลิวเช่อไม่ได้กล่าวอะไรออกมา นางเองก็ไม่ได้ถามเช่นกัน

อู๋โยวเกาในมือเขาถูกยื่นมาในทางที่นางยืน ในเมื่อโอรสสวรรค์ไม่ต้องการให้นางทดสอบชิ้นอื่น ถ้าเช่นนั้นชิ้นในมือเขาก็คงเป็นคำตอบเดียวแล้ว มือบางคู่น้อยของลู่เจาอี๋ยื่นออกไปคล้ายจะหยิบรับมันขึ้นมาแต่อู๋โยวเกานั้นก็ยังถูกดึงออกไปอีกทาง

ครั้งนี้นางช้อนตาขึ้นมองชายที่หน้าไม่เปลี่ยนสีด้วยความประหลาดใจ

การกระทำครั้งนี้ในสายตาคนนอกคงไม่พ้นการหยอกล้อกันของสามีภรรยา แต่ในสายตาของคนในเรื่องกลับแฝงความไม่เข้าใจไว้มากกว่าเจ็ดส่วน .. น่าตลกนักที่เจ้าของสายตาคู่นั้นมิใช่นาง ทว่ากลับเป็นฮั่นอู่ตี้ที่กระทำลงไปแล้ว แต่ก็ยังมิเข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนจึงเลือกทำเช่นนี้

กระทั่งสาวงามที่ใช้ความพยายามตลอดหลายครั้ง เลือกที่จะโน้มตัวลงจรดริมฝีปากงับกับขนมในมือเขาโดยไม่ใช่การหยิบมาทานอีกต่อไป เมื่อนั้นเขาถึงได้เข้าใจว่าความต้องการลึก ๆ ของตนนั้นคืออย่างไร

เห็นนางวิ่งวนอยู่ในกำมือเขานับเป็นหนึ่งในความต้องการ เห็นนางโอนอ่อนไปกับความคิดที่ไม่แน่นอนของเขา ก็นับว่าเป็นความต้องการเช่นกัน

“ เป็นอย่างไร ”

ที่นางกัดไปเป็นแค่เพียงส่วนเล็ก ๆ ไม่ถึงครึ่งของชิ้นเสียด้วยซ้ำ ผู้ครองบัลลังก์มังกรหลุบตาลงมองขนมชิ้นเล็กที่แหว่งไปเสี้ยวหนึ่งในมือแล้วก็พลันกระตุกยิ้มเบา ๆ

“ อู๋โยวเกาก็.. เป็นอู๋โยวเกาเพคะ ” ทันทีที่ตอบไปเช่นนี้ พระเนตรของโอรสสวรรค์ก็ตวัดขึ้นอย่างขึงขังจนคนตอบหลุดหัวเราะร่วน บางทีคงเป็นเพราะความสดใสที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยทำให้เขานิ่งงันไป “ ขนมนี้อร่อยนักเพคะ หวานนุ่มมีความเหนียวนิด ๆ พอให้เคี้ยวเพลิน ทานคู่กับชาเขียวแล้วรสชาติเลิศล้ำยิ่ง ”

สรุปแล้วว่าเป็นของทานได้ ทั้งยังไร้พิษภัย..

ฮั่นอู่ตี้ที่พึ่งได้สติหลุบตาลงมองขนมชิ้นน้อยในมืออีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ ส่งด้านที่ถูกกัดแล้วเข้าปากเงียบ ๆ ปรากฏว่าเป็นอย่างที่นางพูดไว้ รสชาติหวานละมุนไม่จัดจนแสบปากกับสัมผัสหนุบหนับเคี้ยวเพลิน ดูเป็นขนมที่เด็ก ๆ คงถูกใจ แต่เมื่อทานคู่กับชาแล้วก็พบว่าเป็นหนึ่งในของแกล้มชาที่ทำให้สนุกสนานกับการดื่มมากยิ่งขึ้น

“ หากฝ่าบาททรงโปรดไว้มีโอกาส หม่อมฉันจะนำมาถวายอีก.. แต่น่าเสียดาย วันนี้หม่อมฉันไม่อาจอยู่ปรนนิบัติฝ่าบาทได้นานนัก ที่ตำหนักตงเฉินมีการจัดระเบียบใหม่ให้หม่อมฉันไปตรวจสอบ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา อู๋โยวเกาและชาหวงซานเหมาเฟิงนี้ยังมีสำรองอีกชุด เอาไว้ฝ่าบาทนำมันไว้ดื่มแก้กระหายขณะทรงงานนะเพคะ ”

นางมาแล้วก็จะไป.. เช่นนี้เลย?

หลิวเช่อคล้ายว่าจะพูดไม่ออกอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นใบหน้างามที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่แสนอ่อนโยนนั้น ตัวเขาก็จนปัญญาที่จะรั้งนางไว้ข้างกาย จึงได้แต่พยักหน้าเป็นการอนุญาตพร้อมกับปล่อยให้สนมเอกผู้นั้นได้ก้าวออกจากเขตห้องทรงอักษรไปจนกระทั่งลับสายตา..



รางวัลงาน: +50 พลังใจ, 8 ตำลึงทอง , +30 EXP , +20 บารมี ,
+2 ปรนนิบัติ (ไม่ได้ปรนนิบัติจากโรลปกติ ได้แค่จากเควส)
และ +15 ตบะฝึกฝนจากการมุมานะฝึกทำขนมและชา
ความโปรดปรานจากหวงตี้ +35 แต้ม (รวมชากับขนมที่ให้แล้ว - ไว้เพิ่มหลังปลดก็ได้จ้ะ)

คิดค้นเมนูอาหารใหม่ ๆ พร้อมโรลถวายหวงตี้ยังตำหนัก +50 บารมี (สัปดาห์ละครั้ง)
ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2024-8-21 23:45
โพสต์ 16092 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-8-21 23:35
โพสต์ 16,092 ไบต์และได้รับ +2 EXP +7 คุณธรรม +7 ความโหด จาก ชุดจื่อซีอี๋นั่ว(เจาอี๋)  โพสต์ 2024-8-21 23:35
โพสต์ 16,092 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-8-21 23:35
โพสต์ 16,092 ไบต์และได้รับ +2 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2024-8-21 23:35

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 ตำลึงทอง +8 ตบะฝึกฝน +15 ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +2 บารมี +85 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 8 + 15 + 2 + 85

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
มีดแล่เนื้อ
หมวกไผ่ผ้าคลุม
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x1
x1
x2
x3
x1
x2
x1
x1
x2
x1
x4
x2
x3
x6
x1
x22
x4
x18
x4
x3
x11
x2
x1
x4
x2
x5
x1
x6
x4
x15
x1
x4
x6
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้