เสียงฝนหมึกดังขึ้นเคล้ากับเสียงพู่กันที่ตวัดบนกระดาษครั้งแล้วครั้งเล่า ลู่เหม่ยเหรินที่ทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เงียบ ๆ พร้อมกับช้อนตาขึ้นสังเกตหัวคิ้วที่ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันของพระเจ้าแผ่นดิน เขาขมวดคิ้วอีกแล้ว.. ฮั่นอู่ตี้เป็นชายที่ครองรูปโฉมเฉิดฉันเป็นเอก ใบหน้าคมคายของเขามักสงบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกคล้ายก้อนศิลาแต่เมื่อหยักยิ้มขึ้นมาต่อให้เป็นรอยยิ้มดูแคลนอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าโกรธเกรี้ยว
โชคดีที่เขาไม่ใช่นักรักตัวฉกาจ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่หน้าตาก็คงจะสามารถทำให้บ้านเมืองวุ่นวายไปได้ทุกหย่อมหญ้า สาวงามเช่นหยกขาวเก็บสายตากลับมาจากใบหน้าของเขา นางปัดเป่าความคิดไร้สาระในหัวพร้อมกับวางแท่งหมึกลงและหันไปหยิบป้านชาคล้ายตั้งใจว่าจะลุกไปเติม
“ ความยุติธรรมที่เจ้าต้องการ ”
ริมฝีปากของโอรสสวรรค์เปิดออกเพื่อเปล่งเสียงเพื่อรั้งกายคนที่หมายจะลุกเดินออกไปอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เงยหน้าจากเหล่าตัวอักษร นับตั้งแต่ขึ้นครองราชฮั่นอู่ตี้ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจในความเป็นธรรมเท่าที่จะใส่ใจได้
“ คิดว่าเจิ้นสามารถมอบมันให้เจ้าได้หรือไม่ ”
คนฟังเงียบไปครู่หนึ่ง สาวงามผุดผาดดั่งหยกลอบเก็บสายตาพลางก้มหน้าลง ฮั่นอู่ตี้ไม่เหลียวมองนาง นางเองก็หาได้ทอดสายตาไว้บนใบหน้าเขา มีเพียงเสียงสะเก็ดไฟจากธูปหอม และเสียงลมหายใจเท่านั้นที่ลอยเอื่อยอยู่รอบบริเวณ
“ … ”
“ ช่ —- ”
“ ฝ่าบาททรงเชื่อหรือไม่เพคะว่าพระองค์จะสามารถทำได้ ”
ผ่านมาหลายอึดใจกระทั่งเขาที่มากความอดทนยังคิดว่าคำถามนี้อาจฟังดูไม่เข้าท่าต่อสตรีถึงขนาดตั้งใจจะเกริ่นออกมาว่า ‘ ช่างเถิด ’ แล้วจัดแจงสั่งให้จางกงกงไปนำตัวคนเข้ามาตามแผนการที่ตระเตรียมไว้จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา ทว่ากลีบปากน้อยที่มักแย้มยิ้มกลับเปิดออกตอบรับขึ้นมาเสียก่อน
“ หลายวันมานี้หม่อมฉันไม่ทราบความคืบหน้าของคดี ไม่ทราบถึงขั้นตอน ไม่ทราบถึงความพยายามของผู้คนที่ไล่ตามความจริงเพื่อช่วยล้างมลทินให้กับหม่อมฉัน ” จางทังไม่เคยรายงานสักนิดว่าสืบอะไร ได้ถึงไหน ไปจับตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มมาได้ยังไง ทั้งหมดที่นางรู้เดิมทีล้วนเป็นข่าวโคมลอยที่บอกว่าเรื่องนี้ช่างใหญ่โตนัก หากไม่ใช่ว่ามีโอกาสได้พบตวนมู่เหม่ยเหรินนางก็คงถูกปิดหูปิดตาอยู่ในกรงทองของตำหนักนางหงส์ต่อไปอย่างไร้วันสิ้นสุด
“ แต่กระนั้นหม่อมฉันก็ยังเชื่อ ”
“ เชื่อในฝ่าบาท เชื่อในคนที่พระองค์เชื่อ ฉะนั้นแล้วหากพระองค์เชื่อว่าสามารถคืนความเป็นธรรมให้หม่อมมฉันได้ ” สาวงามกล่าวขานอย่างฉะฉาน ใบหน้าของนางหันตรงสบตาเขา ปล่อยให้เนตรมังกรมีโอกาสไล่ดูสีหน้าแววตาที่แสนบริสุทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ก่อนจะกล่าวประโยคที่ชวนให้ใจอุ่นวาบขึ้นเป็นการปิดท้าย “ หม่อมฉันก็ยินดีเชื่อในตัวพระองค์ ”
เพียงเท่านี้หมอกควันในใจพลันเลือนหาย ฮั่นอู่ตี้หยุดนิ่งไปหนึ่งช่วงหายใจก่อนจะพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจแล้ว พลางปล่อยให้นางลุกกลับไปเติมชาตรงพื้นที่ของนาง หลิวเช่อวางพู่กันลง เขาหันไปทางจางกงกงที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่แต่ต้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ ถึงเวลาแล้ว ไปเชิญพวกเขามา ”
ลมหายใจของจางกงกงชะงักไปเล็กน้อย เขาช้อนตาขึ้นมองนายของตนด้วยความประหลาดใจ ทว่าด้วยฐานะบ่าวที่มีทำให้เขาไม่สามารถขัดคำสั่งของอีกฝ่ายได้ จางกงกงค้อมตัวลงรับคำและก้าวเดินออกไปผ่านร่างของลู่เหม่ยเหรินที่เดินสวนกลับขึ้นไปยังแท่นพระที่นั่งพอดี
“ จากนี้ไปเจ้าต้องยืนอยู่ข้างกายข้า ใครกล่าวสิ่งใดไม่จำเป็นต้องสนใจ ตอบเพียงแต่สิ่งที่ข้าถามเท่านั้น ”
นี่มันเรื่องอะไรอีก ต้องพบใครกันแน่ เขาถึงได้สั่งให้นางต้องอยู่เป็นรูปสลักประดับข้างกายเขา?
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
สุดปลายห้องทรงอักษรปรากฏร่างของโอรสสวรรค์นั่งอยู่เหนือคนทั่วไปราว ๆ สองขั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เจ้าแผ่นดินฉลองพระองค์ด้วยภูษาสีนิลปักไหมทองรูปมังกรกลางหมู่เมฆพร้อมกันนั้นเยื้องออกไปทางด้านข้างพระที่นั่งก็ยังมีร่างของสตรีงามโดดเด่นยืนเคียงอยู่ไม่ห่าง สองตาคมกริบของผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นจรดลงบนตัวสองบุคคลที่กำลังก้าวตามหลังขันทีขั้นกลางเข้ามา
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
สิ้นเสียงถวายพระพร ฮั่นอู่ตี้หรี่ตาลงก่อนจะเบี่ยงหน้าไปทางจางกงกงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหว จงฉางซื่อคนปัจจุบันโน้มตัวลงฟังการกระซิบรายงานจากขันทีหน้าตำหนักที่สับเท้าเข้ามาแจ้งความพร้อมของด้านหน้าตำหนัก “ ฝ่าบาท ” หัวหน้าขันทีเงยขึ้นกราบทูลเป็นสัญญาณให้กับนายเหนือหัวด้วยท่าทางอ่อนน้อม ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ ฮั่นอู่ตี้ยกมือขึ้นปรามคนสนิทและหันกลับมาเอ่ยต่อเหม่ยเหรินทั้งสอง
“ ลุกขึ้น ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“นังจิ้งจอก”
ร่างบอบบางปานต้นหลิวลุกจากถวายพระพรแล้วก็เมินหน้าขันทีที่ยกเก้าอี้เล็กมาถวาย เดินนวยนาดที่ข้างพระที่นั่งจงใจใช้ศอกกระทุ้งลู่เหม่ยเหริน แทรกกลางระหว่างทั้งสองคน “ฝ่าบาทเพคะ— ลู่เหม่ยเหรินถูกกักตัวมานาน จะปรนนิบัติรับใช้ได้ถูกใจพระองค์ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันไม่วางใจเลยจริงๆ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแล้วหันมาทางลู่เหม่ยเหริน “เจ้า! ยังอยู่ในระหว่างต้องคดี ยังจะมารยาสาไถยโผล่หัวมาต่อหน้าพระพักตร์ ยังไม่รีบหลบไปอีก”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ไหนเลยจะรู้ว่า ‘ จิ้งจอก ’ ที่นางกล่าวว่าปรนนิบัติได้ไม่ดีนั้นอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ยามเหม่า ลู่ไป๋หรั่นที่ถูกแรงกระทุ้งดันออกจากจุดเดิมลอบใช้สายตากวาดมองสาวสวยคมคายที่ให้กลิ่นอายเหมือนสตรีนอกด่าน มั่นใจ โผงผาง มีทีท่าพร้อมกีดกันผู้อื่นออก.. เหมือนว่าจะตรงตามขนบความตรงไปตรงมาของชาวทุ่งหญ้าอยู่บ้าง
เมื่อฟังจากคำของตวนมู่เหม่ยเหรินพร้อมด้วยการกล่าวของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ นางย่อมทราบว่าอีกฝ่ายแซ่เฮ่อถู ทั้งยังมียศเจี๋ยอวี๋ที่สูงกว่านางไปหนึ่งขั้น ทว่าสิ่งที่เลือกกล่าวนั้นกลับคล้ายคนที่หนึ่งจะตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “ ที่แท้เป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ .. ”
“ ได้ยินว่าท่านบาดเจ็บ ” เนตรหงส์ขยับมองจากศีรษะจรดปลายเท้าของร่างผอมบางพร้อมหยักยิ้มที่มุมปาก “ ดีเหลือเกินที่ท่านรักษาตัวได้ไวถึงเพียงนี้.. ”
คล้ายกับการกล่าวเตือนให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ระหว่างเหม่ยเหรินที่ปรนนิบัติได้ไม่ถูกใจเท่าที่ควรกับการใช้งานเจี๋ยอวี๋ที่พึ่งรักษาตัวหายในสายตาจักรพรรดิหากอยากจะประคองท่าทีเจ้าแผ่นดินผู้ทรงธรรม ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายจะเลือกใช้ใคร ไป๋หรั่นไม่ใช่คนที่กระทบกระทั่งกับใครเพื่อความโปรดปรานของบุรุษที่ไม่แน่นอน อย่างน้อย ๆ หากจะให้ต่อกร ก็ต้องเป็นเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกกดหัวข่มได้โดยง่ายดังเช่นในครั้งนี้ เหม่ยเหรินแซ่ลู่ระบายยิ้มสร้างความไม่ชอบใจให้กับคนที่พึ่งตั้งตนเป็นศัตรู
สาวงามดั่งหยกหันไปทางตวนมู่เหม่ยเหรินที่หาได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปะทะฉากนี้ “ ตวนมู่เหม่ยเหริน ” เรียกได้ว่าเป็นการหักหน้าเจี๋ยอวี๋ผู้หนึ่งเสียดื้อ ๆ เมื่อคนที่นางเรียกเสียงหวานทั้งยังประคองร่างยอบลงทักทายกลับเป็นคนที่มียศเดียวกัน
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
คิ้วเข้มราวกระบี่พาดเลิกขึ้นเล็กน้อย ฮั่นอู่ตี้มิได้ปรายตามองคนที่แทรกกายมาคั่นกลาง และแน่นอนว่าไม่แม้แต่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่ถูกกันออกไป เขาเบื่อหน่ายการละเล่นชิงดีชิงเด่นของสตรี โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ยังมีคนโง่เขลาถึงขนาดไม่ทราบว่าถูกเรียกมาด้วยเหตุใด ยามนี้สิ่งเดียวที่อยู่ในครรลองสายตาของโอรสสวรรค์ย่อมเป็นร่างบางเพียงหนึ่งเดียวที่นั่งประคองจอกชาอยู่อย่างสงบ
เขาจะถือเสียว่าเมื่อครู่ไม่ได้ยินวาจาใด ๆ ของสามสตรีที่ต่างก็สาดน้ำเย็นใส่กันไปคนละถัง
“ กระทั่งที่ยืนของตนเองยังไม่ทราบ เจิ้นคงไม่จำเป็นต้องคาดหวังการปรนนิบัติจากเจ้า ”
วาจานี้นับว่ารุนแรงในการหักน้ำใจสตรี มังกรสวรรค์ผู้ไม่โปรดลูกไม้มารยาหันไปหาจางกงกงพร้อมคำพูดที่ว่า “ แนะนำนางสักประโยคว่าที่ใดควร ที่ใดไม่ควร ” ตั้งแต่ต้นจนจบในสายตาฝ่าบาทไม่มีแม้กระทั่งเงาหรือการชำเลืองไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ราวกับว่าการที่เคยเสด็จไปหาก่อนหน้านี้เป็นแค่ฝันหนึ่งตื่น
“ เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ” ชายงามในชุดขันทีย่ำเท้าเข้ามาช้า ๆ พลางผายมือเป็นการเรียนเชิญ “ ที่ของท่านอยู่ทางนี้ขอรับ ”
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาฝ่าบาททรงดีกับเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยิ่งนัก มิเคยต่อว่ารุนแรงเพียงนี้ หยาดน้ำตาพลันร่วงหล่นลงจากนัยน์ตาดอกท้อราวม่านไข่มุก ไหล่บอบบางสะเทินไหว “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเพียงลืมตัวชั่วคราว ขอพระองค์โปรดอภัยด้วยเพคะ”
เมื่อเห็นว่าเวลานี้ฝ่าบาทเข้าข้างใคร ท่าทีของเฮ่อถูเหม่ยเหรินที่มีต่อลู่เหม่ยเหรินพลันอ่อนโยน “น้องหญิงลู่เวลานี้ยังเป็นนักโทษในคดีอุกฉกรรจ์ ฝ่าบาททรงโปรดน้องหญิงมากเพียงนี้ ผู้คนจะตำหนิถึงคุณธรรมของพระองค์นะเพคะ”
นัยน์ตาสีเข้มขลับเช่นนภายามรัตติกาลเรืองโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ เจ้ากำลังตำหนิเจิ้น? ”
โอรสสวรรค์เดิมทีก็ใจแคบ(?)เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยามนี้มีคนมาหลั่งน้ำตาอยู่ข้าง ๆ พลางจีบปากจีบคอกล่าวว่า ‘ กังวลถึงชื่อเสียงท่าน ’ ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ คนอย่างเขาย่อมมองเป็นว่าอีกฝ่ายไปกินดีหมีหัวใจเสือมามากกว่าถึงได้กล้ากล่าวต่อหน้าเขาโดยไม่ยั้งคิดเช่นนี้
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ลนลานคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะ “หม่อมฉันมิบังอาจ หม่อมฉันแค่กลัวว่า ผู้คนจะตำหนิน้องหญิงลู่…”
“ ฝ่าบาท เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงแค่เป็นกังวลจึงมิทันได้ระมัดระวังคำพูด โปรดทรงอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ ” จางกงกงเห็นท่าไม่ดีรีบประสานมือโค้งลงขอความเมตตาเพื่อเป็นการช่วยประคองให้สถานการณ์ไม่มุ่งลงเหว
ด้วยเหตุนี้ในที่สุดสายพระเนตรของฝ่าบาทก็ตวัดมองไปยังร่างที่คุกเข่าลงโขกศีรษะ พระหัตถ์ที่หยาบกร้านยกขึ้นคลึงสันจมูกก่อนจะหลับตาลง ปล่อยให้รอบด้านเงียบงันไร้ผู้คนกล้ากล่าวทักท้วงถึงสิ่งใด ฮั่นอู่ตี้ทราบดีถึงความต้องการของจางกงกง ร่องรอยความไม่พึงใจยังฉายอยู่บนหว่างคิ้วแต่กระนั้นก็ได้แต่ทำใจปรับความขุ่นเคืองให้จางลง
“ พอแล้ว ” หลิวเช่อผ่อนลมหายใจออก เขาละสายตาจากร่างที่หมอบกราบอยู่กับพื้นพร้อมเปลี่ยนท่าทางจากนั่งนิ่งเป็นการยกชาขึ้นจิบ “ เจ้าไปนั่งพักเสีย เจิ้นเรียกมาพูดคุยไหนเลยต้องลำบากมาปรนนิบัติ ”
คนสนิทย่อมดูออกว่าการจะพูดประโยคนี้สำหรับฝ่าบาทนับว่ายากเย็นนัก จางกงกงลอบก้มหน้ายิ้มแหยอย่างอ่อนใจจากนั้นจึงค่อยหันไปช่วยพูดขยายความ.. หมายถึง โน้มน้าวเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋อีกครั้ง “ พระสนมฝ่าบาททรงเป็นห่วงว่าร่างกายท่านเดิมทีก็มิสู้ดีนัก ครั้งนี้แค่ต้องการพบหน้าสนทนาร่วมกับท่าน ในใจไม่อยากให้ฝืนทนความเจ็บปวดมาคอยรับใช้ใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ดีนัก ยามนี้พระสนมได้รับความสะเทือนใจ อย่างไรขอเชิญไปนั่งพักก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ” เรื่องราวปั้นแต่งจากปากจางกงกงลื่นไหลประหนึ่งเป็นความจริงที่หลบซ่อนมานาน คนที่กล่าวความเท็จได้ตาไม่กะพริบเช่นนี้ต่างหากถึงจะเหมาะสมกับการอยู่เป็นคนสนิทเคียงข้างผู้ที่ไม่เคยจะไว้หน้าผู้ใด
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดเปลือกตาที่วามวาวด้วยหยาดน้ำตา “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ขันทีขั้นกลางในตำหนักเดินเข้ามาประคอง เจี๋ยอวี๋ผู้เป็นที่โปรดปราน ไปนั่งยังเก้าอี้เล็กตรงข้ามตวนมู่เหม่ยเหริน สังเกตได้ว่าฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยเพราะกิริยาของนางแล้ว เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ก็สงบลงมาก ทว่ากลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ห้องทรงอักษรตอนนี้มีเหม่ยเหรินที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ‘เย่เหม่ยเหรินจนน้ำตาย’ อยู่พร้อมทั้งสองนาง ย่อมเกิดความแคลงใจว่าฝ่าบาทเรียกนางมาที่นี่เพื่ออยู่เป็นเพื่อนอย่างไร ท่าทีจึงเงียบสงบกว่าตอนแรกมาก
ในที่สุดห้องทรงอักษรก็กลับสู่ความสงบ โทสะของโอรสสวรรค์เจือจางลงแล้ว สองสาวงามที่นั่งอยู่เบื้องหน้าต่างก็มีชาคนละจอกอยู่ในมือ มีก็แต่เหม่ยเหรินที่เคยยืนข้างกายผู้นั้นที่ตอนนี้เหมือนจะตัดสินใจยืนถัดลงมาอีกขั้นเพื่อรักษาระยะห่างและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นได้อีก
ฮั่นอู่ตี้กดใบหน้าก้มลงมองฎีกาที่เหลืออยู่บนโต๊ะคล้ายกับเรียกคนมาเพื่อ ‘ อยู่เป็นเพื่อน ’ จริง ๆ อยู่ราว ๆ ครึ่งก้านธูป ท้ายที่สุดเมื่ออ่านฎีกาม้วนนั้นจบ ริมฝีปากหนาก็หยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่คล้ายว่าสามารถเย้ยหยันคนทั่วโลกหล้าโดยอาศัยเพียงหนึ่งรอยยิ้ม “ เป็นฎีกาที่ดี.. ทำให้เจิ้นนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่ต้องถามเจ้าสองคน ”
โอรสสวรรค์หยิบป้ายทองแดงที่สลักเป็นคำว่าตวนมู่ขึ้นพลิกไปมาบนมือ ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นป้ายนี้ เคยเห็นขุนพลที่ดี เคยเห็นความสามารถที่เกรียงไกรจากบุคคลที่มีสิทธิ์สามารถใช้งานมัน สายพระเนตรของฝ่าบาทยังคงสงบนิ่งแต่ลึกลงไปใต้ความสงบนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความชื่นชม “ ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือไม่ ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
คำตอบของตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นดังคาด หลิวเช่อพยักหน้ารับคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตาไปทางเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่นั่งถัดมาอีกทาง “ เจ้าเล่า รู้จักหรือไม่? ”
รอจนตวนมู่เหม่ยเหรินนั่งประจำที เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ระมัดระวังกิริยาจนยากจะรับแม้แต่ชาสักถ้วย ก็หยัดกายขึ้นบ้าง นางเป็นหญิงงามที่งามแตกต่างจากชาวฮั่น แม้ท่วงท่าจะไม่สำรวมเท่าแต่ก็มีความสดใสที่ยากจะมองข้าม นัยน์ตาที่ฉ่ำวาวด้วยเพิ่งผ่านการร้องไห้ยิ่งทำให้หญิงสาวในเวลานี้ดูบอบช้ำเกินทน น่าเสียดายว่าที่ห้องทรงอักษรมีลู่เหม่ยเหรินที่โด่ดเด่นกว่าใคร เมื่อต้องเทียบกับโฉมสะคราญเช่นนั้น ความน่าทะนุถนอมดูแลของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พลันด้อยค่าลงจนมิอาจเห็น ท่วงท่าของนางแลดูอ่อนแอ คิ้วทรงหลิวที่วาดอย่างประณีตขมวดบางเบาคล้ายมีความเศร้าอยู่ลึกๆ ที่ฝ่าบาทตรัสถามตนเช่นเดียวกับผู้ต้องสงสัยอย่างหญิงสกุลตวนมู่ “ทูลฝ่าบาท ป้ายชิ้นนั้นหม่อมฉันไม่เคยเห็นเพคะ…” เสียงแว่วหวานของนางแฝงความออดอ้อน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งดังเดิม
ในที่นี่อาจมีเพียงเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เพียงคนเดียวที่ใบหน้าฉาบความสงสัยเหลือคณา
เมื่อสิ้นคำของทั้งสองฝ่าย ป้ายทหารในมือก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ชายผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นพยักหน้าราวกับกระจ่างในคำตอบของทั้งคู่ แต่แล้วเขาก็หันไปกล่าวกับจางกงกงที่อยู่ข้างกาย “ ให้เข้ามา ”
จางกงกงที่รอคำนี้มานานรีบประสานมือค้อมกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะยืนเต็มความสูงและหันไปทางประตูห้องทรงอักษร “ จางถิงเว่ยและทหารองครักษ์ฉีจินซานเข้าเฝ้าได้ !!! ” จงฉางซื่อตะเบ็งเสียงประกาศกร้าวดังไปถึงด้านนอกที่รอฟังสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว
เสียงฝีเท้าหลายคู่เริ่มดังใกล้เข้ามามากขึ้นก่อนจะตามมาด้วยการปรากฏตัวของเจ้ากรมยุติธรรมคนปัจจุบันและทหารองครักษ์ฉีจินซานที่ถูกพาตัวเข้ามาโดยมีมือปราบอีกสองสามคนคอยตามประกบอย่างระแวดระวัง จางทังหรือที่ทราบกันในนามจางจิ่งสิงเป็นฝ่ายเดินนำเข้ามาก่อน เมื่อมาถึงบริเวณที่นับว่าใกล้พอต่อการสนทนา ร่างสูงภายใต้เครื่องแบบขุนนางก็คุกเข่าลงถวายพระพร โดยมีฉีจินซานและมือปราบด้านหลังที่ทรุดกายลงตามการกรุยทางของจางถิงเว่ย
“ กระหม่อมจางถิงเว่ยมาเข้าเฝ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น ๆ ปี ” ท้ายประโยคที่เป็นการถวายพระพรหาได้มีเพียงเขาคนเดียวที่กล่าวยังมีเสียงของชายชาตรีอีกหลายชีวิตที่ให้ความเคารพแด่พระเจ้าแผ่นดิน
“ รายงานมา ”
“ พ่ะย่ะค่ะ ”
ถิงเว่ยหนุ่มรับคำสั่งเสียงเข้ม เขาเหลือบสายตาขึ้นมองเหล่า ‘ ผู้ต้องสงสัย ’ ที่อยู่พร้อมหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเก็บสายตาลงกราบทูลเนื้อความของคดีที่สืบหามาได้ “ จากการสืบค้นพบว่าจดหมายที่ถูกส่งให้เย่เหม่ยเหรินก่อนเกิดเหตุทั้งยังอ้างว่าเป็นจดหมายนัดพบจากลู่เหม่ยเหรินนั้นถูกเขียนโดยใช้กระดาษคุณภาพชั้นเลิศที่ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน ” เสียงของใต้เท้าจางเงียบไปครู่หนึ่ง เปิดโอกาสให้จางกงกงที่รับหน้าที่ผู้ขยี้เนื้อหาได้มีช่องสอบถามเพิ่มเติมโดยแสร้งว่าเป็นการสงสัยใคร่รู้
“ ไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปในแผ่นดิน? คุณภาพดีถึงเพียงนั้นเชียว.. ทว่าลู่เหม่ยเหรินก็หาใช่ธิดาตระกูลค้าขายทั่วไป ด้วยฐานันดรของนางสามารถเสาะหากระดาษชนิดนี้ได้หรือไม่ ”
นงคราญหยกที่อยู่เงียบมานานลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย นางปรายตามองท่าทางของจงฉางซื่อที่เข้าถึงบทบาท ‘ ผู้ไม่รู้ ’ เป็นอย่างดี ใครกันที่เป็นฝ่ายกล่าวว่าหากหาเบาะแสได้ก่อนกรมราชทัณฑ์ก็ยินดียื่นโอกาสล้างแค้นให้นางถึงมือ
จางถิงเว่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบตอบกลับอย่างหนักแน่น “ เป็นไปไม่ได้ กระดาษชนิดนี้นับว่าเป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้แคว้นเพื่อนบ้านที่สวามิภักดิ์ต่อต้าฮั่น มิอาจนับว่าเป็นของค้าขายหรือใช้งานได้เนื่องจากมีโทษถึงตายในฐานลักลอบแย่งชิงของหลวง ” ทันทีที่จบคำตอบนี้ความสงบนิ่งบนใบหน้าของโอรสสวรรค์ก็เปลี่ยนไป
เสียง ‘ อ้อ ’ เบา ๆ ดังขึ้นจากปากเขา เท่านั้นก็เพียงพอที่จะพลิกห้องทรงอักษรที่เคยปลอดโปร่งให้กลายมาเป็นแดนหิมะหนาวเหน็บเสียดผิวคนเป็นอย่างยิ่ง
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
หากแต่เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หญิงจากนอกด่านเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกคำพูดนี้ของจางถิงลอบทำร้ายย่อมไม่มีแก่ใจจะมองนัยน์ตาดูแคลนของตวนมู่เหม่ยเหริน เรื่องนี้มิอาจสรุปได้ว่านางเป็นผู้ผิด เพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น นางอาจถูกใส่ร้ายก็เป็นได้ แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริดอย่างยากจะปกปิด สีหน้านั้นยากจะตัดสินว่าเป็นนางโง่เขลาจนไม่รู้ว่าควรใช้กระดาษเช่นไรใส่ร้ายคน หรือตระหนกตกใจที่จู่ๆ เรื่องนี้ก็รวบพันตนเข้าไปเกี่ยวข้องกันแน่
“ ส่วนลายมือที่ปรากฏอยู่บนจดหมายเป็นลายมือของลู่เหม่ยเหรินจริงที่ได้รับการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านตงฟางซั่วที่เข้ามามีส่วนช่วยวิเคราะห์และเทียบเคียง แ… ” เมื่อส่วนแรกถูกรายงานจนจบก็เป็นปกติที่จะรายงานส่วนที่สองทว่ายังไม่ทันได้รายงานจนถึงจุดสำคัญ พระหัตถ์ของฝ่าบาทก็ยกขึ้นปรามเป็นสัญญาณให้หยุด
“ เป็นลายมือของลู่เหม่ยเหริน แล้วมีอะไรอีก ”
จางถิงเว่ยรับใช้ฝ่าบาทมานานย่อมทราบว่ายามนี้อีกฝ่ายต้องการให้ตนหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ เจ้ากรมราชทัณฑ์พยักหน้ารับอย่างไร้คนเข้าใจก่อนจะหยิบอีกประเด็นขึ้นรายงานต่อเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ “ บริเวณสระน้ำซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุได้มีการพบของชิ้นหนึ่ง ”
ขุนนางหนุ่มล่วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกล่องไม้สีดำเรียบที่ผ่านการเคลือบเงาอย่างดีออกมาและยกขึ้นคล้ายต้องการถวายให้ฝ่าบาทได้ทรงพิจารณา จางกงกงที่เห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวเข้ามารับกล่องและนำขึ้นถวายแก่ฝ่าบาท ทว่าฮั่นอู่ตี้กลับไร้ซึ่งความเร่งร้อนที่จะเปิดมันออกดู เขาพยักหน้า ปล่อยกล่องไม้ให้วางอยู่บนโต๊ะทรงงานอย่างนั้นพร้อมกับประคองสีหน้าสงบนิ่งเพื่อรอฟังข้อมูลถัดไป
“ ป้ายของสกุลตวนมู่ที่ถูกพบนั้นเป็นของจริง และฉีจิงซานผู้นี้ก็เคยทำงานในกองทัพของเหอซีอิงกงจริง”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ตวนมู่เหม่ยเหริน โปรดระวังกิริยาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนอบน้อมเย็นเยียบดังจากขันที
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
สายตาหลายคู่ยามนี้ล้วนเคลื่อนไปมองที่เหม่ยเหรินจากตระกูลวีรชนที่ลุกขึ้นแสดงกิริยาไม่น่ามองยามที่ทราบถึงเนื้อหาส่วนนี้ สายตาทั้งหมดผสมปนเปไปด้วยการตำหนิบ้าง ดูแคลนคล้ายว่านางแก้ตัวบ้าง หรือไม่ก็หน่ายใจราวกับสมเพชเวทนา จะมีก็แต่สายตาไม่กี่คู่ที่ยังเผยความรู้สึกในด้านอื่น อย่างเช่นจางทัง จางถิงเว่ยชำเลืองตามองไปทางตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างสงบถึงแม้ว่าตนจะเป็นฝ่ายถูกขัดประโยคด้วยแรงโทสะผสานตกตะลึงนั้นก็ตาม ด้านลู่เหม่ยเหรินที่มองภาพรวมทั้งหมดมานานก็มีท่าทางตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการดูหมิ่น
ทว่าที่ทรงอำนาจที่สุดย่อมไม่พ้นสายพระเนตรมังกรที่เคลื่อนกลับไปมองยังร่างชดช้อยที่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นกล้าหาญอยู่ราว ๆ เจ็ดส่วน ฮั่นอู่ตี้พิจารณาดูความงามอย่างมีเอกลักษณ์นั้น เฝ้ามองถึงการเปลี่ยนแปลงไปมาบนสีหน้าและแววตา ความตื่นตระหนกของนาง เขาทราบ ความร้อนรุ่มที่มาจากความไม่เป็นธรรม เขาเองก็ทราบ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวเช่อไม่ใช่คนโอนอ่อนอย่างไร้เหตุ สายตาของเขาเรียบเย็นไร้ความรู้สึกแต่ก็มีประกายบางอย่างที่ชวนให้คนมองนึกประหลาดใจ
‘ นางหาใช่ผู้ที่สมควรต้องกังวล ’ หลิวเช่อคิดแต่กลับไร้ซึ่งการปลอบประโลมที่แสดงออก
“ พูดต่อไป ”
จางถิงเว่ยที่ได้ยินคำอนุญาตจากฝ่าบาทก้มใบหน้าลงอีกครั้ง “ จากการสืบหลักฐานเบื้องต้น กระหม่อมพบว่ามีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ พยานผู้นี้เป็นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ยามนี้รออยู่ด้านนอก แต่ถึงแม้กระหม่อมจะสืบหาพยานมาได้แต่เขาก็ไม่ยอมสารภาพว่ารับคำสั่งผู้ใดมา จากดุลพินิจของกระหม่อม ท่าทางของฉีจิงซานคล้ายว่าต้องการปกป้องคนผู้นั้น แ…. ”
เสียงของจางถิงเว่ยขาดช่วงไปเป็นครั้งที่สาม หนนี้อาศัยเพียงการเปลี่ยนแปลงบนพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ก็เพียงพอที่จะห้ามปรามหลักฐานของคดีไม่ให้หลุดออกมามากไปกว่านั้น สายตาของฮั่นอู่ตี้เคลื่อนผ่านร่างของถิงเว่ยไปยังเบื้องหลังที่มีกายสูงใหญ่ของทหารองครักษ์ฉีจิงซาน “ ให้เขาพูด ”
“ ฝ่าบาท ” ชายชาติทหารหน้าซีดไปทันทีที่ถูกกล่าวถึง ชายเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการปลิดชีวิตเย่เหม่ยเหรินก้มหน้าลงให้การอย่างลนลาน “ กระหม่อมฉีจิงซานผู้เป็นทหารองครักษ์ ในวันที่เย่เหม่ยเหรินเสียชีวิต เป็นคืนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นกระหม่อมกำลังลาดตระเวนเพื่อรักษาความปลอดภัยจึงได้มีโอกาสลงมือ กระหม่อมทราบดีว่าโทษฐานสังหารคนหนักหนานัก อีกทั้งกระหม่อมยังเข้าใจว่าการทำเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้น แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับนายหญิงขอรับ ทุกอย่างกระหม่อมเป็นผู้กระทำเอง กระทำลงไปเพราะหนี้รักฝังลึก ในยามที่ยังเยาว์กระหม่อมและเย่เหม่ยเหรินเป็นสหายใกล้ชิดถึงขนาดที่กระหม่อมตั้งใจอยากสู่ขอนาง ทว่านางกลับไม่รักษาสัญญาณ ทอดทิ้งกระหม่อมและเลือกก้าวเข้ามาสู่รั้ววังใน ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
คำให้การยาวเหยียดของฉีจิงซานดูซื่อตรงและสำนึกผิดเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจุดที่ต้องการกล่าวว่า ‘ หาได้เกี่ยวข้องกับนายหญิง ’ ประโยคนี้ยิ่งดูจริงจังขึ้นหลายส่วน “ ส่วนที่พาดพิงถึงลู่เหม่ยเหริน .. เป็น เป็นกระหม่อมอยากล้างแค้นให้เย่เหม่ยเหรินที่เคียดแค้นต่อนางยิ่ง จึงกระทำเกินกว่าเหตุหาหลักฐานทิ้งไว้เพื่อป้ายสีนาง ”
เป็นรักลึกซึ้งปานผูกจิตนี่เอง(ประชด) เหม่ยเหรินแซ่ลู่ที่ยืนฟังอยู่ได้แต่ขมวดคิ้วขึ้นมา ริ้วรอยความไม่พึงใจบนหน้างามนี้หากมีคนพบเห็นเข้าย่อมต้องอ่อนระทวยแล้วรีบปรี่เข้ามาเอาอกเอาใจ แต่ในยามที่ผู้คนล้วนแต่เฝ้ามองเพียงคำสารภาพไหนเลยจะมีคนคำนึงถึงสภาพจิตใจของคนที่อยู่เฉย ๆ ก็ถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรงชนิดที่สามารถพรากลมหายใจของนางไปได้ทุกเมื่อ อีกทั้งคำให้การนี้ไม่เห็นจะมีส่วนใดที่เข้าท่า
เขากล่าวว่าทำทั้งหมดด้วยตนเองแล้วเหตุใดจึงสามารถหาของสำคัญมากมายอย่างกระดาษที่ใช้กันในวงแคบ ไหนเลยจะสามารถขีดเขียนในรูปแบบอักษรที่คล้ายคลึงถึงขนาดที่ตงฟางซั่วยังกล่าวว่าเป็นอักษรของนาง และหากซื่อสัตย์ต่อคำให้การที่ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายหญิงไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ป้ายทหารตกหล่นในที่เกิดเหตุ
“ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าทำเรื่องใดลงไป ”
กระทั่งหยกเย็นไร้ใจยังต้องเค้นเสียงลอดไรฟันเพื่อกล่าวออกมา ทว่านางทำได้เพียงเท่านั้น แม้จะไม่ใช่การหันมองจนเต็มตา ทว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทก็เบี่ยงมาคล้ายย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ นงคราญหยกลอบกำหมัดพลางขบริมฝีปากก่อนจะเบือนหน้าออกไปอีกทาง
“ กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมมิสมควรกระทำโดยไร้การยั้งคิดเช่นนี้ ขอฝ่าบาททรงมีรับสั่งลงโทษกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ !!! ” พริบตาถัดจากนี้คล้ายว่ามีความวุ่นวายแผ่กระจายทั่วห้องอักษร เสียงตะโกนขอร้องให้ฝ่าบาทประทานโทษถึงตายจากผู้ให้การสารภาพว่าลงมือกระทำดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่เพียงเท่านั้น เหล่ามือปราบที่มีหน้าที่คอยประกบเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายก็จำเป็นต้องตวาดห้ามการกระทำอันไม่สมควรนี้ก่อให้เกิดเป็นมรสุมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กซัดเข้ากลางห้องทรงอักษรที่เริ่มชักชวนให้ขันทีน้อยใหญ่ต่างก็พากันซุบซิบอย่างออกรส
จางกงกงที่มองอยู่ต่อให้อยากปั้นละครน้ำเน่าเกี่ยวกับการใส่ร้ายแย่งชิงอย่างไรสุดท้ายเมื่อสถานการณ์ดันพลิกออกมาเป็นรูปแบบนี้ก็ได้แต่ปวดหัวไปพร้อม ๆ กับทำหน้าลำบากใจ ครั้งนี้เขาคาดการณ์ความคิดของฝ่าบาทไม่ออก แม้จะพอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอพระทัยนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าความพิโรธอย่างแท้จริงของโอรสสวรรค์จะปะทุขึ้นมาเมื่อใ—-
ปัง !!!
พระหัตถ์หนาฟาดลงกับโต๊ะทรงงานอย่างแรงเกิดเป็นเสียงดังครึกโครมที่สยบทุกการกระทำของชาวประชารอบกาย คล้ายกับมีฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ จะขุนนาง สนม หรือขันทีล้วนแต่ทรุดกายลงอย่างคร่ำเครียดพร้อมร้องออกมาเป็นคำว่า “ ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วยเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ ”
ใบหน้าของฮั่นอู่ตี้ยังคงสงบ ตรงกันข้ามกับการไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะมีร่องรอยของความพอใจและ ‘ เย้ยหยัน ’ แทรกอยู่ในแววตาอย่างเห็นได้ชัด “ เหตุใดจึงมัวแต่ถกเถียงเรื่องไร้สาระ ” ไม่มีใครรู้ว่าความหมายในคำพูดนี้ของพระองค์คืออะไร ทรงเชื่อไปแล้วว่าเป็นความผิดตวนมู่เหม่ยเหริน? หรือมองว่าหลักฐานทั้งหมดล้วนไม่มูล?
“ เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ ” พระพักตร์ของเจ้าแผ่นดินดูปลอดโปร่งนัก ท่าทางที่แสดงออกมาของเขาคล้ายจะไม่ไยดีต่อสำนวนคดีที่ถูกรายงาน มีเพียงการหันไปกล่าวกับเจี๋ยอวี๋เพียงผู้เดียวในที่แห่งนี้ด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป
“ เจิ้นไม่ได้เรียกเจ้ามาเพื่อต้องทนฟังเรื่องนี้หรอก ”
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋หัวใจชาวาบ ความโกรธเกรี้ยวของมังกรผู้ใดจะไม่กลัวเกรง ทว่าเพียงครู่เดียวอากัปกิริยาที่ตื่นตระหนกของนางก็เปลี่ยนไป น้ำเสียงของหวงตี้ที่ตรัสออกมาเพียงชื่อนาง ทำให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋รู้สึกพิเศษกว่าใคร ในหัวใจหวานล้ำเพราะคาดเดาว่า พระองค์โปรดปรานนางเหมือนเก่า วงคิ้วงามสะท้อนอารมณ์หวานซึ้ง นัยน์ตาทอประกายอ่อนหวาน “เพื่อให้ได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาท แม้ต้องฟังเรื่องโหดร้ายเหล่านี้ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”
รอบด้านไม่มีใครกล้าขัดความประสงค์ของฝ่าบาท ต่อให้ประหลาดใจสักแค่ไหนก็ยังต้องเงียบกริบ หลิวเช่อไม่เพียงปล่อยให้เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เรียกคะแนนสงสารอยู่อย่างนั้น เขายังยกชาขึ้นจิบคล้ายคนที่ยินดีฟังนางกล่าวไปเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่จางกงกงยังต้องขมวดคิ้ว
“ เจิ้นจำได้ว่ายามพบเจิ้นเจ้าจะห้อยป้ายหยกสลักคำว่าเฮ่อถูไว้ที่เอว ครั้งนี้ไม่ยักเห็น ทำไม? ไม่มั่นใจกับความงามของป้ายนั้นแล้วหรือ ”
ใบหน้างดงามอ้าปากคราหนึ่งก่อนจะหุบลง สีหน้า นัยน์ตาอ้ำอึ้ง คลับคล้ายกังวลและโศกเศร้า “ป้ายนั้น…ตอนที่หม่อมฉันออกนอกวังไปเมื่อคราวก่อน บังเอิญทำหล่นหายเพคะ…”
ริมฝีปากของโอรสสวรรค์หยักขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์เหลือร้ายของบุรุษเพศที่สามารถตรึงสายตาของผู้คน มือของเขาเปิดฝากล่องไม้ที่พึ่งถูกจางทังนำขึ้นถวายได้ไม่นานระหว่างที่รับฟังคำตอบจากปากขององค์หญิงเผ่าซงหนู อาจเป็นเพราะชายแขนภูษาที่รุ่มร่าม รวมไปถึงความสูงของพระที่นั่งซึ่งต่างระดับจากผู้อื่น ไม่ว่าใครต่างก็หาได้ทราบว่าฝ่าบาทได้หยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องนั้น ทั้งหมดล้วนเห็นแค่การเปิดและปิดกล่องลงช้า ๆ โดยที่ใบหน้าของพระองค์ยังคงปราศร่องรอยการเปลี่ยนแปลง
“ เจ้ามาจากนอกด่านไม่คุ้นชินพื้นที่ เจิ้นเข้าใจ ช่วงนี้ได้ยินว่าเจ้ามุ่งมั่นกับการฝึกเขียนอ่านอักษรฮั่นจนเป็นที่โจษจันว่าเขียนได้ดีนัก ” ฮั่นอู่ตี้ขยับมือเรียกจางกงกงให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะสิ่งหนึ่งไว้บนมือคนสนิท
จงฉางซื่อที่ก้าวเข้ามารับเมื่อได้เห็นของในมือก็มีสีหน้าตกตะลึง จางกงกงรีบเก็บสีหน้าพร้อมระบายยิ้มที่ดูฝืด ๆ ออกมาอย่างผิดสังเกต ยามนี้เขาทราบแล้วว่าในพระทัยฝ่าบาทมีสิ่งใด ขันทีอสรพิษได้แต่แสดงความสงสารเหล่าหญิงสาวที่ต่อจากนี้ต้องเผชิญกับเล่ห์เหลี่ยมมังกรอยู่ในใจโดยที่ทั้งตัวเขาก็ขยับเข้าไปหาเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋พร้อมยื่นสิ่งที่อยู่ในมือออกไป
เป็นป้ายหยกงามชิ้นหนึ่งที่ส่องประกายเล่นกับแสงได้ดียิ่งนัก โดยเฉพาะบริเวณเนื้อหยกที่สลักลงเป็นคำว่า ‘ เฮ่อถู ’ ในภาษาฮั่น ดูจะชดช้อยแต่ก็แทรกไว้ด้วยความทรงพลังสมกับที่เป็นของแสดงฐานันดรของผู้เป็นถึงองค์หญิง
“ ของสำคัญควรรักษาให้ดี หากไม่ใช่ว่ามีคนของเจิ้นไปพบป้ายหยกนี้เข้า มันก็คงไม่พ้นหายสาบสูญไปแล้ว ” ราวกับญาติผู้ใหญ่กำลังตักเตือนและสอนสั่งคนในการดูแลของตนเอง หลิวเช่อขยับตัวเล็กน้อย เขาเปลี่ยนท่าทางขึงขังให้ดูผ่อนคลายยิ่งขึ้นผิดกับจางถิงเว่ยที่แววตากระตุกไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกส่งกลับคืนเจ้าของ
“ หากเจ้าอยากขอบคุณเจิ้น ถ้าเช่นนั้นก็เขียนประโยคมงคลให้เจิ้นสักแผ่น ” เก็บของสำคัญให้ ตักเตือนเพียงเล็กน้อย ทั้งยังเสนอทางทดแทนคุณให้สตรี นับว่าเป็นการรวมสิ่งที่ ‘ หลิวเช่อ ’ ปกติไม่มีทางที่จะลงมือทำ แต่สำหรับหมู่สนมที่เข้าวังได้ไม่นานไหนเลยจะรู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงของผู้เป็นพระสวามี
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ชะงักงัน ใบหน้าฉายแววกังวลใจเล็กน้อย หากเพียงพริบตาก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา รอยยิ้มหวานล้ำโค้งประดับดวงหน้าผ่องใส “ของสิ่งนี้เป็นของสำคัญของหม่อมฉัน ราวกับฟ้าลิขิตให้ฝ่าบาทนำมาคืน วาสนาของพวกเราช่างราวกับเทพชะตาลิขิต นับแต่นี้หม่อมฉันจะรักษาไว้อย่างดี มิกล้าให้ห่างตัวเพคะ” นางเอ่ยพลางยอบกายขอบพระทัย ไม่ช้านานจากนั้นขันทีคู่พระทัยก็ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับถาดวางกระดาษ แท่นฝนหมึก และพู่กัน ยังมีคนนำโต๊ะเล็กๆ มาวางต่อหน้านาง ดุจว่า ‘คำขอ’ นั้นเป็นภาพลวงตา เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋มิทันได้สังเกตถึงสถานการณ์ที่บีบรัดให้นางต้องเขียน ยังคงคิดว่าหวงตี้ปรารถนาจะทอดพระเนตรความก้าวหน้าในการคัดอักษรของตน ร่างบางเผยรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาประหนึ่งหญิงสาวชาวบ้านที่ซื่อสัตย์และรักมั่น นิ้วเรียวยาวจับพู่กันจุ่มบนถาดหมึกที่มีผู้ฝนให้แล้ว ก่อนจะบรรจงลากอักษรลงบนกระดาษขาวอย่างประณีต ในใจหวังเพียงว่าฝ่าบาทจะชื่นชมยินดี
อักษรข่ายซูอันงามล้ำประหนึ่งงูน้ำพลิ้วไหวในสายธาร ชดช้อยดุจกิ่งหลิวต้องลมวาดตวัดร้อยและซ้อนทับตามลำดับขั้นของการเขียน ลายตวัดเพริดแพรวอย่างยากจะเชื่อว่าหญิงนอกด่านผู้นี้เพิ่งร่ำเรียนอักษรฮั่น มิหนำซ้ำยังเลือกอักษรที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ การลากเส้นแน่วแน่มั่นคงบ่งบอกถึงการเขียนที่ใส่จิตวิญญาณเข้าไว้ด้านใน สุดท้ายก็กลายเป็นอักษร “ฝู” (ความสุข) อันประณีต
เสียงอ่อนหวานเอ่ยเจื้อยแจ้ว “หม่อมฉันหวังว่าฝ่าบาทจะมีความผาสุก เปี่ยมด้วยโชคและสิริมงคลดุจอักษรนี้เพคะ”
เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ตั้งใจคัดอักษรอย่างดีหาได้รู้เลยว่านี่ล้วนแต่เป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายที่ฝ่าบาทตระเตรียมไว้เพื่อนาง ทันทีที่จางกงกงนำกระดาษซึ่งผ่านมือของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ขึ้นมาถวาย มือหนึ่งของฝ่าบาทก็ถูกกระดาษแผ่นนั้นไว้ ในขณะที่มืออีกข้างก็ถือกระดาษอีกแผ่น
“ น่าสนใจ ”
ฮั่นอู่ตี้พึมพัมกับตัวเอง ไม่มีใครทราบว่าเขานึกครึ้มอะไรอยู่ เพราะประโยคถัดมาจากริมฝีปากนี้ค่อนข้างสร้างความแตกตื่นได้มากทีเดียว “ ตวนมู่เหม่ยเหริน เจ้าขึ้นมาดูนี่สิ ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
ที่ปรากฏบนกระดาษทั้งสองแผ่นคือรอยพู่กันที่เขียนเป็นประโยคมงคลสำหรับอวยพรแด่หวงตี้ที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ต่างเพียงแค่สองจุด หนึ่งคือรอยหมึกที่แผ่นหนึ่งเหมือนจะถูกเขียนเมื่อก่อนหน้านี้จนหยดหมึกแห้งสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีกแผ่นยังต้องใช้เวลากว่าจะแห้งพอม้วนเก็บ และส่วนที่สองย่อมเป็นประโยคที่แตกต่างแต่ก็เผอิญมีบางอักษรที่เป็นตัวเดียวกันง่ายต่อการเทียบลายมือ
“ อยู่นี่ก่อน ” สุรเสียงของมังกรกล่าวอย่างกระซิบเบา ๆ กับเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่ทั้งที่ตัวยังนั่งตรง
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ จางถิงเว่ย ก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวว่ามีพยานใช่หรือไม่ ”
“ พ่ะย่ะค่ะ? ”
ขนาดจางถิงเว่ยยังเงยหน้าขึ้นตอบรับเสียงสูงอย่างเสียเชิง ‘ ฝ่าบาทท่านผ่านแม่น้ำเหลืองไปไกลแล้วเหตุใดจึงวกกลับมาเอายามนี้เล่า ’ ภายในใจของผู้คนล้วนแต่คิดเป็นเสียงเดียวกัน จางทังรีบกลับมาปรับท่าทางให้สงบอีกครั้ง ก่อนจะสั่งให้ผู้ติดตามวิ่งไปแจ้งให้ด้านนอกนำตัวพยานเข้ามา
“ เบิกตัวพยาน !!! ”
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมผู้โด่งดังปรากฏตัวขึ้นกลางห้องทรงอักษรผ่านการเชื้อเชิญให้เดินเข้ามา หาใช่การลากอย่างทารุณ ‘ ชางเยี่ยนเป่ย ’ ชายเจ้าสำราญที่ตลอดชีวิตไม่เคยเหยียบย่างเข้าเขตราชการตัวสั่นระริกเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนเชิดหน้าขึ้นราวกับไม่เกรงกลัว “ เป็นเกียรติของกระหม่อมที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปีพ่ะย่ะค่ะ ”
“ อืม ” เจ้าแผ่นดินที่ได้รับการถวายพระพรติดต่อกันอย่างต่อเนื่องจนคำว่าหมื่นปีเหล่านั้นจะกลายเป็นแสนปีอยู่ร่อมร่อได้แต่ตอบรับในลำคอ “ ถิงเว่ยกล่าวกับเจิ้นว่าเจ้าเป็นพยาน เคยพบเขาหรือ ”
เขาในที่นี้ย่อมเป็นฉีจิงซานที่ซีดเซียวเพราะบรรยากาศของห้องทรงอักษรที่หนักอึ้งได้กดทับกายเขาจนทำให้รู้สึกเหมือนจะขาดใจ แต่สำหรับชางเยี่ยนเป่ยที่พึ่งเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างซื่อตรงและพยักหน้า “ เขาเป็นลูกค้าประจำของโรงเตี๊ยมชางลั่งถิงที่กระหม่อมดูแล ”
“ ใช่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงเข้าไปสอบถามว่าช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ เถ้าแก่ชางได้พบฉีจิงซานบ้างหรือไม่ ” จางทังช่วยกล่าวเสริมในส่วนที่เป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงเสาะหาพยานคนนี้ขึ้นมาได้ ด้านชางเยี่ยนเป่ยถึงจะไม่เคยให้การในคดีสำคัญแต่ก็พอรู้ว่าต่อจากนี้ตัวเองต้องพูดอะไร
“ กระหม่อมทราบวันที่เกิดเหตุจากใต้เท้าจาง .. แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสามวันก่อนหน้านั้น ลูกค้าท่านนี้ได้สนทนากับแม่นางปริศนาท่านหนึ่งที่เขาเรียกนางว่านายหญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นนายหญิงผู้นั้นแต่งตัวธรรมดาทั้งยังสวมหมวกไผ่ผ้าคลุมจึงไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่กระหม่อมได้ยินเขาพูดกับแม่นางว่า ‘ ชีวิตข้าต่อให้ต้องตายก็พร้อมถวายให้นายหญิง ’ ”
ฉีจิงซานตัวสั่นระริก เขาเริ่มกลับมาพูดพึมพัมเสียงเบาสลับดังว่า “ ไม่ใช่ ไม่ใช่นายหญิง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ สามวันก่อนเย่เหม่ยเหรินตายไป เจิ้นจำได้ว่าวันนั้นพี่ชายที่เป็นข่านของเจ้าแวะมาเยือนฉางอันเจ้าจึงได้ขอข้าออกไปพบเขา..” ประโยคนี้ของฝ่าบาทแม้จะไร้ซึ่งคำถามแต่ก็คล้ายจะประกาศชัดถึงเจตนาที่กล่าวขึ้น ยามนี้ไม่มีใครกล้าแทรกสิ่งใดเพราะสายตาคมกริบของโอรสสวรรค์กำลังจ้องมองอย่างกดดันอยู่ที่ร่างขององค์หญิงนอกด่านที่ได้โอกาสเข้ามารับใช้ใกล้ชิดเป็นถึงสนมในวังหลวง
ความตื่นตะลึงวาดผ่านใบหน้าอันงดงามของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ นางค่อยๆ เก็บงำความรู้สึกนั้นลงพลางทูลต่อหวงตี้ด้วยความสัตย์ซื่ออย่างที่สุด “วันนั้นหม่อมฉันออกไปพบเสด็จพี่จริงๆ เพคะ หม่อมฉันไม่ได้พบเขามานานในใจคิดถึงและห่วงหา มีเรื่องให้ถามไถ่พูดคุยมากมาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้ว แม้นในใจจะยังไม่อยากจาก ก็จำต้องกลับวังในเวลาพลบค่ำ คำพูดของหม่อมฉันหาได้โป้ปดมดเท็จ วาจานี้…หากพระองค์ไม่เชื่อมั่นในตัวของหม่อมฉัน โปรดเชื่อมั่นความภักดีของอันต๋าและชาวซงหนู เรื่องนี้พระองค์สามารถส่งจดหมายถามเสด็จพี่เพื่อเป็นพยานให้หม่อมฉันได้เพคะ เราสองพี่น้องภักดีต่อต้าฮั่น ไม่กล้าหมิ่นพระบารมี มิกล้าสมคบคิดวางแผนร้ายอย่างเด็ดขาด” เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เอ่ยอย่างหนักแน่นมั่นคง แม้ว่าพยานที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะมิใช่สิ่งที่น่าเชื่อถือ แต่นางก็สู้อย่างสุดใจ ประหนึ่งวาดหวังว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาที่มีร่วมกับหวงตี้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จะฉุดดึงนางขึ้นจากความสงสัยของพระองค์ พลันร่างของนางสนมที่สูงศักดิ์ที่สุดในที่แห่งนี้ก็ทรุดลงต่ำ “ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาและให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
“ จางถิงเว่ย ”
“ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ”
“ สรุปแล้วคดีนี้มีความเป็นมาอย่างไร ”
มาถึงแล้ว ! หลายชีวิตสูดหายใจเข้าพร้อมกัน ในที่สุดหลังความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของผู้ครองบัลลังก์ก็จะจบลงและถึงคราวความจริงได้ออกมาเฉิดฉายแล้ว
“ กราบทูลฝ่าบาท ฉีจิงซานและตระกูลฉีรับใช้กองทัพเหอซีอิงกงมาสามชั่วอายุคน ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพ เขายินดีพลีชีพเพื่อปกป้องสายเลือดตระกูลตวนมู่ แม้บุกน้ำลุยไฟก็มิยอมปริปาก ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนที่เขาพบและออกคำสั่งให้ลงมือสังหารเย่เหม่ยเหรินจะต้องมีบทบาทสำคัญ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนกับเย่เหม่ยเหริน เป็นเขาโกหกพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองมีภูมิลำเนาห่างกันนับพันลี้ย่อมไม่สามารถรู้จักถึงขนาดฝากใจรัก ” เสียงก้องกังวานของจางทังกระทบเข้าโสตประสาทของคนทั่วทั้งห้อง
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ ระหว่างสืบสำนวนคดี กระหม่อมพบว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นกับลู่เหม่ยเหริน เว่ยเจียเจี๋ยอวี๋ และซ่างกวนเหม่ยเหรินช่วงหลังมานี้ ล้วนแต่เป็นฝีมือของนายหญิงที่ฉีจิงซานพบที่โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ” เขาไม่กล่าวว่านายหญิงนั้นคือใคร แต่สายตากลับชักนำทุกคนให้มองไปยังร่างอรชรของสตรีแซ่ตวนมู่ที่ยามนี้ขยับขึ้นมายืนอยู่เคียงข้างฝ่าบาทจนกลายเป็นเป้าสายตาได้อย่างง่ายดาย
“ ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน ส่วนผู้ร้ายตัวจริงนั้น.. ” ราวกับจุดคลายปริศนาในละครน้ำดีที่ผู้คนชมชอบ หลายชีวิตรอบด้านลุ้นจนตัวโก่งแต่ผู้ที่มีหน้าที่สรุปเรื่องกลับดึงเชิงไว้พร้อมประสานมือโค้งลงอย่างดี “ ฝ่าบาท ”
‘ โอ๊ย ใต้เท้าจางท่านโยนบทกลับไปให้ฝ่าบาททำไม ! อยากเห็นพวกเราขาดใจตายหรืออย่างไร !! ’
ระหว่างที่หลายคนเอาแต่คร่ำครวญ โอรสสวรรค์วางมือลงบนเข่าของตัวเองช้า ๆ “ ลู่เหม่ยเหริน ”
เป็นนาง?
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
สายตามากมายล้วนจับจ้องไปที่ฝ่าบาท กระทั่งขันทีระดับกลางที่เตรียมพร้อมหากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ยังเงยหน้าจากการพิจารณาลวดลายมงคลบนพรม เวลานี้หลักฐานและพยานต่างถอยห่างออกมาไกลเกินกว่าจะระบุว่า ลู่เหม่ยเหริน เป็นคนร้ายแล้ว
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แสดงออกแบบไหน ล้วนไม่สำคัญ
คนงามที่ไร้บทมาตลอดหนึ่งชั่วยามที่นั่งถกเถียงกันไปกันมาคราวนี้ถึงกับไร้คำพูดใดจะเปล่งออก มีก็แต่เสียงสั่นเครือพร้อมด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ ฝ ฝ่าบาท เหตุใดท่าน.. ” ในที่สุดไป๋หรั่นก็ได้ทราบ ช่วงเวลาที่บีบคั้นให้นางโดดเดี่ยวอย่างโหดร้ายที่สุด ทั้งยังตัดรอนความหวังนางได้อย่างเยือกเย็น ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นได้เพราะคำพูดภายใต้การตัดสินใจของเขา ให้ความหวังนาง ให้ที่พึ่งพิงนาง อนุญาตให้นางคว้าคนสนิทเขาไว้เป็นที่กำบัง แต่สุดท้ายเขากลับช่วงชิงทั้งหมดโดยอาศัยเพียงหนึ่งวาจา เนตรหงส์คลอหน่วยด้วยหยาดน้ำ จะให้นางแก้ต่างอย่างไร ให้นางรอดพ้นเช่นไร !!
แต่แทนที่มือปราบหรือเจ้ากรมราชทัณฑ์จะปรี่เข้าคุมตัว ทั้งหมดไม่เว้นแม้แต่จางกงกงที่เคยออกตัวอย่างชัดเจนว่าให้การสนับสนุนเหม่ยเหรินแซ่ลู่ล้วนไม่ขยับ จนกระทั่งหลายคนหวนนึกได้ว่าใต้เท้าจางถิงเว่ยได้กล่าวอะไรไว้เป็นอย่างสุดท้าย
‘ ลู่เหม่ยเหรินคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายมลทิน ’
“ เจ้าดู ” เสียงของฝ่าบาทดังขึ้นอีกครั้ง เขาลุกขึ้นช้า ๆ “ คนผิดอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว ”
“ … ”
“ พูดมา อยากให้เจิ้นจัดการตวนมู่เหม่ยเหรินอย่างไร ”
คล้ายจะไม่ผิดไปจากที่คาด แต่ก็สร้างความตกใจได้เป็นอย่างยิ่ง ราวกับโอรสสวรรค์หลงลืมไปแล้วว่ายามนี้สตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาคือคนบงการเหตุฆ่าสังหารทั้งยังจงใจใส่ร้ายผู้อื่น และผู้อื่นที่ถูกใส่ร้ายก็ไม่พ้นคนที่ยืนห่างจากทั้งสองไปเพียงหนึ่งขั้น การให้พวกนางเผชิญหน้ากันในระยะประชิดเช่นนี้…
อำมหิต.. ช่างอำมหิตนัก
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
มีอย่างที่ไหนให้สตรีตัดสินโทษ สาวงามดั่งหยกนิ่งอึ้งไปถึงขนาดหลงลืมว่าสองตายังคงเอ่อล้นไปด้วยน้ำ เดิมทีนางกลั้นน้ำตาไว้ ต่อให้ต้องกลืนเข็มพันเล่มก็ไม่ยินดีหลั่งน้ำตาให้กับการกล่าวหาเช่นนี้ ทว่าความตื่นตะลึงกลับทำให้นางลืมสิ้น น้ำตาของสาวงามคล้ายไข่มุกมากมูลค่า
“ พระองค์.. ตรัสว่าอย่างไร…นะเพคะ? ”
“ นางคือคนที่ทำให้เจ้าเดือดร้อนและลำบาก เจิ้นจะลงโทษตามที่เจ้าปรารถนา ”
เห็นเขาหนักแน่นในถ้อยคำเช่นนี้ย่อมสร้างความสะพรึงให้แก่คนรอบข้าง เว้นเสียแต่จางกงกงที่ทราบดีถึงความอำมหิตนี้ในฐานะคนสนิทเขาเคยลงมือทำงานลับให้ฝ่าบาทมานับครั้งไม่ถ้วนเขาไม่เคยกังขาในการตัดสินใจของอีกฝ่ายจนกระทั่งครั้งนี้ ‘ ฝ่าบาท.. ครั้งนี้เป็นพระองค์บีบเค้นพวกนางเกินไปแล้ว ’ จางกงกงได้แต่เวทนาอยู่ในใจ
ในศีรษะน้อย ๆ ของลู่เหม่ยเหรินขาวโพลนดั่งหยก นางกะพริบตาปริบพลางผินหน้ามองไปรอบกายช้า ๆ ทุกชีวิตรอบด้านมีสีหน้าที่แปลกประหลาดยิ่ง บางคนหนักใจ บางคนตื่นตะลึง บางคนสงสาร บางคนเวทนา นางมองผ่านคนแล้วคนเล่าจนวกกลับมาหยุดที่ร่างงามบนพื้น ‘ ไม่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้ .. ไม่สิ ไม่จริง ’
ลู่ไป๋หรั่นเงยหน้าขึ้นมองจางกงกงที่อยู่ถัดออกไป ในแววตานั้นแฝงแววกระหายซึ่งความช่วยเหลือแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการพยักหน้าเพียงครั้งเดียว ขนาดคนสนิทของอีกฝ่ายยังไม่สามารถลงมือช่วยเหลือได้ โฉมสะคราญงามเพริดพริ้งเลื่อนสายตากลับไปยังโอรสสววรค์ นางขยับริมฝีปากแห้งผากทั้งที่ยังหลั่งน้ำตาพร้อมทั้งส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ ฝ่าบาท .. ”
“ มันมิสมควรเป็นเช่นนี้เพคะ ” สตรีงามในอาภรณ์ขาววาดแขนออกทิ้งเข่าลงกับพื้นพร้อมก้มลงร้องขอความเมตตา “ ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ”
“ เรื่องที่เจิ้นถามมีเพียงว่าเจ้าต้องการให้ทำอย่างไรกับผู้ที่กระทำความผิด ”
แม้ไม่ตวาดหรือกล่าวอย่างฉุนเฉียว แต่วาจานี้กลับตอกลึกในใจของผู้ฟัง สองมือของหวงตี้ขยับไขว่หลังอย่างรอคอย
“ … ” หากนางไม่ตอบเกรงว่าตลอดทั้งวันนี้คงได้แต่คุกเข่า ลู่ไป๋หรั่นลอบจิกเล็บลงกับหลังมือของตนเองจนเกิดเป็นรอยช้ำแดงดูน่ากลัว ในขณะที่ก้มหน้าอยู่นางลอบชำเลืองตามองตวนมู่เหม่ยเหรินเล็กน้อยก่อนจะกล้ำกลืนความข้องใจลงไป “ ต้าฮั่นมีกฏบ้านกฏเมือง ตามบัญญัติกฏหมายระบุโทษฐานขั้นใดให้ตัดสินตามนั้นเพคะ ”
เป็นนางที่ยอมถอยมาหนึ่งก้าวด้วยการตอบความปรารถนาของตนเองก่อน หากเป็นปกตินางอาจกล่าวว่าสุดแล้วแต่ฝ่าบาทจะตัดสินใจเนื่องจากพระองค์เป็นถึงเจ้าแผ่นดินมีสิทธิ์ตัดสินโทษทัณฑ์ แต่ในยามนี้ที่นางยังต้องขอร้องกับเขา คำยกยอถึงปานนั้นย่อมไม่มีทางหลุดออกมาจากปาก ไป๋หรั่นไม่เว้นช่วงให้ใครได้ตอบโต้ นางรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกราบทูล “ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินนี้ พระองค์ได้โปร—- ”
“ ดี ” เจ้าแผ่นดินกล่าวขึ้นแทรกประโยคของนางเสียงดัง ผู้ครองรัศมีมังกรสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งพร้อมทิ้งตัวนั่งบนพระที่นั่งอีกครั้ง “ อย่าได้รีบร้อน จากนี้ยังมีประกาศที่พวกเจ้าทุกชีวิตต้องฟัง ”
คล้ายว่าพระองค์จงใจกล่าวกับตวนมู่เหม่ยเหรินเป็นพิเศษ หลิวเช่อพึงพอใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว จึงเวลาตัดสินผิดถูกและหยิบเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ใส่หีบทิ้งลงทะเลเพื่อไม่ให้ใครยกมันขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้อีก “ จางกงกงเตรียมร่างราชโองการ ”
“ ด้วยคดีเย่เหม่ยเหรินกินเวลามานาน บัดนี้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ลู่เหม่ยเหรินพ้นจากมลทินทุกอย่างโดยสิ้นเชิง เจิ้นขอพระราชทาน 10 ตำลึงทอง และเต้าหู้ 10 หน่วยให้แก่ลู่เหม่ยเหรินเพื่อเป็นการเยียวยาในความโขคร้ายที่นางต้องเผชิญ และเจิ้นขอปลด เฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ออกจากตำแหน่ง มอบหมายให้ถิงเว่ย จางทังเป็นผู้ดำเนินโทษตามกฏหมายบ้านเมือง ไม่ว่านางจะเป็นใครมาจากไหน เมื่อเหยียบอยู่บนแผ่นดินต้าฮั่นย่อมต้องเคารพกฏหมายแผ่นดินเจิ้น ! ส่วนทหารองครักษ์ฉีจิงซานโทษฐานฆ่าคนตาย แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการและถูกหลอกใช้ ลดโทษให้เหลือเพียงทัณฑ์หนึ่งดาบสองท่อนในวันที่ 12 เดือนแปด เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 10 ยามโหย่ว ! ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
ราชโองการจะถูกเขียนออกมาตามพระราชดำรัสที่ฝ่าบาทได้กล่าวไว้ ครั้งนี้ลู่ไป๋หรั่นมีสีหน้าทึ่มทื่อเช่นเด็กโง่งมไปแล้วจริง ๆ ทุกชีวิตในห้องทรงอักษรถูกฝ่าบาทควบคุมให้พลิกไปพลิกมาประหนึ่งของเล่น นี่เป็นหนแรกที่นางรู้สึกว่าตัวตนของเขายิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสามารถคงอยู่เคียงข้างเขาได้ เห็นเขาเล่นบรรจงสร้างสถานการณ์เปลี่ยนไปมาเป็นอย่างดีเพื่อหลอกให้ทุกคนตายใจลึก ๆ แล้วย่อมหวาดระแวงขึ้นหลายส่วน
กลับกลายเป็นเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋…ไม่ถูก เวลานี้คือ เฮ่อถูซื่อ (นางเฮ่อถู) ที่คลับคล้ายว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง ใบหน้าของนางขาวซีดดุจคนตาย ละลักละล่ำพูดอย่างร้อนรน ในน้ำเสียงมีทั้งประกายความหวังและความสิ้นหวัง ชวนให้ผู้ฟังหดหู่อาดูรอย่างที่สุด “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงตรัสชื่อผิดแล้วเพคะ” เฮ่อถูซื่อยังคงคว้าฟางเส้นสุดท้ายของนาง
“เมื่อสักครู่ใต้เท้าจางก็กล่าวอย่างชัดเจน…ว่าเป็นฝีมือของตวนมู่เหม่ยเหริน”
“ ก่อนหน้านี้จางถิงเว่ยได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้เจิ้น เป็นจดหมายที่ดักได้จากม้าเร็วที่ลอบออกจากเมืองในยามวิกาล ” จดหมายที่มีร่องรอยการเปิดผนึกแล้วถูกยื่นไปให้จางกงกง “ ถึงขนาดนี้เจ้ายังกล้าโป้ปดต่อหน้าเจิ้นอีก !! ”
“ ถึงอันต๋า นี่เป็นเรื่องสำคัญ หากภายหน้าฝ่าบาททรงตรัสถามว่าอันต๋ามาเยี่ยมเยือนน้องที่ฉางอันหรือไม่ ขอให้อันต๋าทูลรายงานต่อฝ่าบาทว่าได้มาเยี่ยมเยือนน้องจริง ๆ เรื่องนี้สำคัญ เกี่ยวพันถึงความตายของน้องสาวอันต๋า หากครานี้ท่านไม่ช่วย เกรงว่าชาตินี้คงไร้ซึ่งองค์หญิงเฮ่อถูแล้ว ” จางกงกงอ่านออกสิ่งที่อยู่ในจดหมายออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด เป็นการยืนยันหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่สร้างความกระจ่างในใจให้กับผู้คนได้เป็นอย่างดี
“จดหมายนั่น…” เฮ่อถูซื่ออ้าปากค้าง ดุจดั่งม่านฝันหลุดลงจากฟ้า นัยน์ตาเบิกกว้าง “ไม่…จริง ไม่จริงเพคะ นั่นเป็นจดหมายปลอม หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ—” น้ำตาพรั่งพรูลงจากดวงตาดอกท้อ อาบลงสองแก้มนวล “ฝ่าบาทเพคะ จดหมายนั่นไม่ใช่ความจริงเลยนะเพคะ พวกนาง…พวกนาง!” เฮ่อถูซื่อยกนิ้วกราดชี้หน้าลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหริน “ต้องเป็นพวกนางที่รวมหัวกันใส่ร้ายหม่อมฉัน!”
“นาง! นางจิ้งจอกพวกนี้จะต้องสมคบคิดกับเผ่าปีศาจเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าซงหนูและต้าฮั่น ฝ่าบาท…จะทรงตกหลุมพรางของนางปีศาจพวกนี้ไม่ได้นะเพคะ” ดวงตาของนางวาวโรจน์ หากคลอด้วยหยาดน้ำตา ในเมื่อไม่อาจรอดด้วยเล่ห์ก็จำต้องรอดด้วยเหตุผล เฮ่อถูซื่อยังคงเชื่อมั่นว่านางสามารถบีบบังคับฝ่าบาทได้ “พวกนาง…ไม่สิ พวกมัน พวกปีศาจร้ายพวกนั้นต้องการให้พระองค์สังหารหม่อมฉันแน่ๆ หากพระองค์ทำเช่นนั้นอันต๋าจะต้องพิโรธและเกิดแตกหักกับฝ่าบาท เมื่อนั้นประชาชนสองแคว้น ชายแดนเหนือจะต้องไม่สงบ เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”
“ทางฝั่งตะวันตกมีปีศาจกร้ำกราย รบกวนหทัยพระองค์ทุกคืนวัน หากเกินศึกทางเหนือขึ้นอีกชาวประชาจะทนได้อย่างไร”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นกังวลอย่างยิ่งเพคะ ได้โปรดไตร่ตรองด้วยเพคะ!”
คำกล่าวของหญิงสกุลเฮ่อถูแม้จะยกย่อเหตุผลมาเพียงใดก็มิอาจปิดกั้นเจตนาใช้ ‘สถานะ’ ของตนบีบบังคับหวงตี้โดยอ้อม อาจกล่าวได้กระมังว่า สิ่งนี้เป็นนางที่ขุดหลุมฝังตัวเองจนมิด
“ ก็ดี ”
มังกรสุริยาแย้มยิ้มอย่างโหดเหี้ยม แววตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความกระหายในการเอาชนะ “ หากเขากล้าแตกหักกับต้าฮั่นทั้งที่น้องสาวกระทำการผิดถึงเพียงนี้ เจิ้นก็ยินดีปะทะกับเขาจวบจนแว่นแคว้นของเจ้าจะเลือนหายไปจากผืนแผ่นดินตะวันออก ” หลิวเช่อยินดีฝังคำความเห็นที่โหดเหี้ยมนี้ไว้ในใจอีกฝ่าย เพื่อให้นางสิ้นหวังไปกับความรู้สึกที่กระทำผิดเพียงหนึ่งครั้งก็แลกมากับชีวิตนับร้อยนับพันในทุ่งหญ้าที่นางรัก อย่างไรเสียซงหนูก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เลี้ยงไม่เคยเชื่องมาตลอดหลายชั่วอายุคน จะช้าหรือเร็ว สักวันก็ต้องมีการกำจัดขั้นเด็ดขาดเกิดขึ้น
“ ทหาร ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
เพราะเป็นคำขอร้องจากตวนมู่เหม่ยเหรินที่ก่อนหน้านี้ถูกใช้ไม่ต่างจากหมากในมือ เห็นแก่ที่นางถูกปิดหูปิดตาให้เคลื่อนไหวตามความต้องการของทั้งคนร้ายตัวจริงไปจนถึงตัวเขา หลิวเช่อแม้จะขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังยกมือขึ้นปรามการลากตัวของทหารที่แทบจะหอบเอาร่างใหญ่ของทหารองครักษ์ที่ต้องโทษให้ลอยขึ้นจากพื้นเพื่อทำการพาตัวออกไป
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
ฉีจินซานภักดีเหนืออื่นใด หากว่าเวลานี้กลับต้องมาตายเพราะ ‘จำนายหญิงผิดฝาผิดตัว’ ในใจก็เกิดสะเทือนเลื่อนลั่นปานฟ้าพลิกแผ่นดินกลับด้าน แม้กระทั่งเวลานี้ก็ยังคงหัวสมองขาวโพลนนเพียงแต่บังเกิดความยินดีว่า ‘นายหญิงปลอดภัย’ เพียงเท่านั้นก็คุ้มค่าที่จะตายแล้ว
เขาเงยหน้า ดวงตาใสกระจ่างในคร่านี้ถึงได้เห็น ‘อดีตคุณหนูสี่’ ที่บัดนี้เติบใหญ่ ท่วงท่าของนางผิดแปลกไปจากเมื่อสิบสองปีโดยสิ้นเชิง หากกาลเวลาไร้ความปราณีชะตากรรมยิ่งผกผัน เขามีตาหาไร้แววจึงมองเห็นหยกแดงเป็นทับทิม ความผิดพลาดของทหารจะน้อยหรือมาค่าตอบแทนล้วนเป็นชีวิตดุจเดียวกัน
ฉีจินซานได้เพียงข่มกลั้นความรู้สึก เขาประสานมือไปทางด้านหน้า “ครอบครัวสกุลฉีในรุ่นของข้าน้อยมีสามคน พี่ชายทั้งสองของข้าล้วนตายสิ้นในสงครามที่ระเบียงเหอซีขอรับ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ท่านพ่อและท่านปู่ล้วนตายที่สนามรบ ท่านแม่สิ้นจากโรคระบาด ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
“ไม่มีขอรับ”
ย่อมเป็นสวรรค์ไม่เคยปราณี ทุกคนล้วนแต่มีอุปสรรคในชีวิตของตนเอง หลงเยวี่ยยังคงเอ่ยเสียงละไม
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
อันร้อยพันคุณธรรมทั้งปวง ความกตัญญูคืออันดับแรก
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
หากไม่ใช่ว่าถูกหลอกใช้อนาคตของเขาย่อมสดใส คนใจดีมีมาก แต่ที่ซื่อสัตย์กลับหาได้ยากยิ่ง ทว่าโทษฐานฆ่าคนตายนับเป็นโทษร้ายแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้ ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต อาศัยกฏหมายนี้บ้านเมืองจึงปราศจากการฆ่าฟันกันเองไปช่วงหนึ่ง ฮั่นอู่ตี้ให้เกียรติทั้งสองได้สนทนากันในวาระสุดท้ายย่อมต้องปรายตามองเหม่ยเหรินแซ่ตวนมู่เล็กน้อย
สมกับเป็นบุตรสาวของเหอซีอิงกงผู้นั้น
หลิวเช่อถอนสายตาออกจากร่างที่สวมใส่ชุดวิหคเหิน เขาเปิดปากเปล่งคำสั่งขาดหนึ่งคำ “ ลากตัวออกไป ”
เมื่อมีคำสั่งนี้แล้ว เหล่าทหารก็ลากตัวนักโทษทั้งสองออกจากบริเวณห้องทรงอักษร รอบข้างคล้ายสามารถขับไล่เหมันต์ที่เคยครอบงำทั่วห้อง เปลี่ยนให้กลับกลายมาเป็นคิมหันต์อีกครั้งตามที่มันสมควรจะเป็น
“ ฝ่าบาท แล้วเรื่องตวนมู่เหม่ยเหริน… ” ต่อให้จะไม่เคยสนทนาเป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิด ทว่าจางกงกงยังยินดีช่วยกล่าวแทนอีกฝ่ายในช่วงท้ายที่สุด ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะละครฉากนี้ที่ฝ่าบาทและจางทังร่วมกันสร้างล้วนสร้างความชอกช้ำให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกราย ฉะนั้นแล้วหากปล่อยให้เกรงว่าจะไม่สมควร
“ เจิ้นจะประทานรางวัลให้เจ้าเช่นที่ลู่เหม่ยเหรินได้รับ ”
ฮั่นอู่ตี้ไม่ได้กล่าวกับจางกงกง เขาหันกลับไปทางตวนมู่หลงเยวี่ยที่ยังคงอยู่ร่วมบริเวณเดียวกัน “ คดีนี้ส่งผลเสียแก่พวกเจ้าทั้งคู่ สมควรได้รับการเยียวยาเช่นเดียวกัน ” เป็นวิธีตัดสินใจที่เรียบง่ายสมกับเป็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมาจากพระทัยของชายที่ไม่เคยจะสนใจสตรีมาก่อน จางกงกงที่พอได้ทราบเช่นนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แค่วันนี้หนึ่งวัน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองอายุสั้นลงเกือบสิบปี จงฉางซื่อที่จัดการเรื่องราวว่องไวใช้เวลาไม่นานก็สามารถเบิกตัวขันทีขั้นกลางผู้หนึ่งมาพร้อมกับถาดของพระราชทานสำหรับตวนมู่เหม่ยเหริน
“ ตวนมู่เหม่ยเหรินโปรดรับของพระราชทานนี้ด้วยเถิด ” เป็นอีกครั้งที่จางกงกงแสดงออกถึงความโอนอ่อนให้กับสตรีที่มีฐานะเป็นภรรยาของนายตน
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue
เขาพูดกับตวนมู่เหม่ยเหรินหนึ่งประโยค ชำเลืองตาไปมองลู่เหม่ยเหรินที่ยังทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้นอีกครู่หนึ่งแล้วจึงกราบทูลกับฝ่าบาทว่า “ เหม่ยเหรินทั้งสองได้รับความสะเทือนใจจากการตัดสินคดีครั้งนี้ ฝ่าบาท ส่งทั้งคู่กลับไปพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ”
เป็นคำเสนอแนะที่ดีมาก ฮั่นอู่ตี้ปรายตามองหญิงสาวที่คนหนึ่งเหมือนจะยังตั้งตัวไม่ได้ ส่วนอีกคนดีกว่าหน่อยสามารถกลับมายืดหยัดได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ยังแฝงความร้าวรานไว้ผ่านลาดไหล่บางที่ดูแฝงไว้ด้วยความนัยมากกว่าปกติ
“ … ”
หากเป็นบุรุษทั่วไป ลักลอบหลอกใช้คนเช่นนี้ย่อมแสดงความรับผิดชอบที่ดูอ่อนโยนหรือการเอาใจใส่ขึ้นมาบ้าง แต่ในเมื่อเป็นถึงหวงตี้ แทนที่ฮั่นอู่ตี้จะมีรับสั่งปลอบประโลมพิเศษเพิ่มเติม เขากลับทำแค่พยักหน้าและ.. “ อืม ลำบากพวกเจ้าแล้ว ” การกล่าวเหมารวมครั้งนี้ล้วนแต่ทำให้คนฟังที่กระจัดกระจายกันอยู่คนละทิศถึงกับใบ้กินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
จางกงกงอยากจะถอนหายใจอีกสักครั้ง แต่เกรงว่าหนนี้ตนจะทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ เขาประสานสองมือพร้อมโค้งลง “ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอบังอาจจัดการ—- เด็ก ๆ พาลู่เหม่ยเหรินและตวนมู่เหม่ยเหรินกลับไปพัก ”
“ เดี๋ยวก่อน ”
สุรเสียงมังกรรั้งให้การจางกงกงหันกลับไปมอง “ พวกเจ้าทั้งหมดออกไป ”
“ ส่วนเจ้า ” ยังคงเป็นลู่เหม่ยเหรินที่ได้กลับมาอยู่ในครรลองเนตรของโอรสสวรรค์อีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไร เพราะทั้งหมดรู้เพียงแค่ว่าฝ่าบาททรงตรัสคำสุดท้ายออกมาเพียงว่า “ อยู่ก่อน ”
ติดตามผ่านโรลของ ตวนมู่หลงเยวี่ย @Longyue