“ฝ่าบาททรงเรียกพระสนมเข้าเผ้าที่ห้องทรงอักษรพะยะค่ะ”
เพียงประโยคเดียวของจางกงกงก็สร้างแรงกระตุ้นให้บ่าวใช้ทั้งตำหนักเถียนเซี่ยวิ่งไปมาเพราะคิดว่ามันคือการเรียกหาตามความโปรดปรานอันเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ต้องยอมรับเลยว่าเป็นเพราะนางที่ปฏิเสธไม่เข้าเฝ้าใด ๆ อีกเช่นกันทำให้การเรียกหาในครานี้ทำให้บ่าวผู้ภักดีทั้งหลายต่างทำท่าเหมือนกับว่านายหญิงแห่งตำหนักคิมหันต์ฤดูแห่งนี้จะยังคงเป็นที่โปรดปรานต่อไป
โธ่เอ้ยพวกไร้เดียงสา เจี่ยเจียกลับมาก็คงได้รู้ดำรู้แดงแล้ว
ในช่วงเวลาย่ำค่ำสนธยา ตะวันคล้อยต่ำสาดสีอำพันประดับท้องนภา ร่างของสตรีผู้ที่นับว่ามีอิทธิพลในวังหลังหากนับเพียงช่วงเวลานี้ได้หยุดยืน ณ หน้าตำหนักเว่ยหยาง เว่ยเจียเหลียนฮวาสูดหายในเข้าลึก ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีหน้าตำหนักเอ่ยขานการมาถึงของนาง
“พระสนมเว่ยเจียเสียนอี๋เข้าเฝ้าพะยะค่ะ”
ทุกย่างก้าวค่อย ๆ เดินตรงเข้าไปยังภายในห้องทรงอักษรที่แสนคุ้นเคย บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรยังขรึมขลัง แสงโคมสะท้อนแผ่นหยกฝังผนังราวละลายหายไปกับไอหมึกจาง ๆ ณ ชั่วขณะที่ดวงตาเมล็ดซิ่งเลื่อนจากพ้นไม้ขึ้นมาหวังถวายพระพรหวงตี้หลังฉากกั้นจำต้องสะดุดโดยพลัน
เพราะบุรุษตรงหน้านางคือเขาที่นางคะนึงหา
ฉางซานเซียนหวาง—จีหยาน
ริมฝีปากเล็กเผลอยกขึ้นจะเอ่ยนามของเขา ทว่ากลับถูกสติสัมปชัญญะทั้งหลายกดเอาไว้และเลือกที่จะยอบกายแสดงความเขาเคารพต่อผู้ที่(แสร้งว่า)ยิ่งใหญ่ที่สุดในต้าฮั่น
“เว่ยเจียเหลียนฮวาถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” นางเอ่ยก่อนจะหันไปทักทายเขาตามธรรมเนียมด้วยสายตาที่มากด้วยคำถามว่าเขาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
“ถวายความเคารพหวางเย่เพคะ”
“เช่นกัน พระสนม”
“ตามสบายเถิด” สุรเสียงเอ่ยออกมา ทว่าคำว่าตามสบายของเขาจะอยู่ได้นานสักเท่าไหร่กันเชียวเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“จางกงกง”
ราวกับรู้หน้าที่ ขันทีข้างกายองค์จักรพรรดิได้ถือม้วนกระดาษผ้าไหมสีทองลายมังกรออกมา เป็นภาพที่นางรู้สึกงุนงงและสับสนยิ่งว่านี่กำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นกัน
“ฉางซานเซียนหวาง และ พระสนมเว่ยเจียเสียนอี๋โปรดรับราชโองการ”
เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจควบคุมกายได้ เข่าเล็กทรุดลงนั่งกับพื้น มือเล็กยกขึ้นประสานด้วยท่าทางแสดงความเคารพต่อราชโองการของฮั่นอู่ตี้ผู้ยิ่งใหญ่
เสียงจางกงกงประกาศราชโองการดังขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าเพียงคำว่า
“สถาปนาเว่ยเจียเหลียนฮวาเป็นฟูเหรินเอก…” เอ่ยจบลง สถานการณ์ตรงหน้ามีเพียงความเงียบงัน ก็ราวกับระฆังยามสว่างฟ้ากระทบกลางใจใครบางคนเข้าเต็มแรง
หลิวชุ่นยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่โขกศีรษะ ไม่ร่ำไห้ ไม่แม้แต่ยกยิ้มในชั่วขณะแรก มีเพียงแววตาเรียวยาวใต้คิ้วเข้ม ที่เหลือบขึ้นมองฝ่าบาทเงียบ ๆ
คล้ายคนที่... ปลงตกแล้วกับคนตรงหน้า
“แทนที่จะลงราชโองการเล่นงานข้าเรื่องแกล้งหลบราชกิจเพื่อคล้องคอเอาไว้ ทรงเลือกจะเล่นข้าเรื่องหัวใจแทนเสียอย่างนั้น”
เขาเอ่ยเบา ๆ คล้ายบ่นแต่กลับเจือความนับถือลึกซึ้ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มช้าช้า — ยิ้มของคนที่รู้ตัวดีว่า "เสียท่าจริง ๆ" ในหมากกระดานที่ไม่ได้ตั้งใจเล่น
“แต่ก็สมควรแล้วพะยะค่ะ… เพราะถึงข้าจะวางแผนได้ทุกเรื่อง ก็ไม่เคยรู้ว่าจะขอ 'ดอกบัว' ในบ่อทองคำของท่านมาไว้ที่บ่อสัมฤทธิ์ในจวนของข้าได้อย่างไร”
ว่าจบ หลิวชุ่นโค้งตัวลงเบา ๆ ไม่ใช่ก้มเพื่อแสดงความภักดีต่อบัลลังก์
หากแต่คือการยอมรับ — ยอมรับว่าสิ่งที่เขาคิดซ่อน... ถูกพระเนตรทะลุหมดสิ้น
ครั้นเมื่อยืดกายขึ้นเต็มส่วนสูงของกาย ใบหน้าคมคายผินไปมองสตรีผู้ยกมือประสานรับราชโองการข้างกาย นางยังคงงามและสงบนิ่ง ราวบทกลอนวังหลังที่แต่งด้วยภาษาดาบ ทว่าดวงตาที่ไม่อยากจะเชื่อสถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขารู้ได้เลยว่าเหตุการณืนี้เป็นฝีมือของพระเชรษฐาเพียงผู้เดียว
ทอดพิศ ณ ดวงตากลมที่วาวใสนั้น รู้ได้ ณ ก้นบึ้งของดวงใจว่าสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงคำเดียว
รับราชโองการ
“เอาเถิด… ใจข้าอยากจะเป็นคนเอ่ยสู่ขอนางด้วยตนเองถึงเพียงใด ทว่าหากท่านละเล่นเช่นนี้คงมีเพียงรับราชโองการแต่โดยดี” เสียงทุ้มเปล่งออกมาก่อนจะคลี่ยิ้มเอื่อยเฉื่อยแบบเดิม
“แม้นจะดูไร้ความตั้งมั่นสู่ขอนาง… ทว่า—ก็ปลอดภัยกว่ามุดจวนคนเขาแล้วโดนหมาไล่”
เงียบงัน— บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรคล้ายถูกกลืนด้วยความนิ่งยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างตกพื้น ก่อนจะมีเพียงเสียงพู่กันวางลงเบา ๆ บนแท่นหมึก เสียงนั้นเบา… แต่กลับดังประหนึ่งอสนีบาต
ชายผู้สูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดิน เงยพระพักตร์ขึ้นช้า ๆ แสงจากตะเกียงสาดต้องใบหน้าเฉียบคมทรงอำนาจ — สายพระเนตรที่แม้ไม่ได้กวาดผ่านใครโดยตรงก็ราวถูกเสียบตรึงไว้ในชั่วพริบตา…กำลังเจือด้วยความสนุกสนานในที
เพราะเขาคือบุคคลที่ได้ดูละครรัก ณ ที่นักที่ดีที่สุด
“เจ้ากล้าพูดได้ขนาดนี้…” พระสุรเสียงเรียบ แฝงเยาะและเย็น คล้ายสายลมตัดเหล็ก
“…แปลว่าเจ้าคิดจะรับผิดชอบทุกอย่างที่จะตามมาใช่หรือไม่”
หลิวชุ่นยกยิ้มเล็กน้อย ราวกับถูกท้าทายแล้วกลับรู้สึกสบายใจเสียด้วยซ้ำ
“ตราบเท่าที่ฝ่าบาทไม่ตรัสว่า ‘ทุกอย่าง’ นั้นรวมถึงครึ่งแผ่นดิน… ข้าก็พอรับไหวพะยะค่ะ”
คราบมังกรสวรรค์เลิกพระคิ้วเพียงน้อย ก่อนจะทรงหัวเราะแผ่ว มิใช่เสียงขบขัน แต่คือเสียงของผู้ที่นั่นมองกลยุทธ์การวางกระดานทั้งแผ่นดินไว้เบื้องพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ แล้วเห็นหมากตัวหนึ่งยอมเดินตรงเข้ากลางแต่โดยดีทั้ง ๆ ที่มันดิ้นรนมาแสนนาน
ครึ่งแผ่นดินงั้นหรือ เข้าใจเอ่ยถึงสิ่งที่ต้องตามมานัก การแต่งตั้งสตรีในวังระดับเสียนอี๋ให้เป็นฟูเหรินของหวางเย่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ฉางซานเซียนหวางเป็นน้องชายของจักรพรรดิ การให้เขาครองตัวสตรีที่มีอำนาจวาสนาเทียบสตรีฝ่ายใน เท่ากับ กำลังสร้าง "ขั้วอำนาจอีกฝั่ง" ขึ้นมา นั่นหมายถึง “พลังสนับสนุน” ที่จะกระเพื่อมสมดุลราชสำนัก
เขายอมรับแล้วว่าตนนั้นมีแรงกำลังมากพอที่จะปีนบัลลังก์ทองนี้ ทว่าการที่มอบนางให้เป็นการสื่อถึงกิ่งมะกอกที่ฝ่าบาทจงใจยื่นไป หวังให้พระอนุชาผู้สำนึกในบ้านเมืองตลอดมาจะรู้ซึ้งในรางวัลของผู้เสียสลยใต้เงาที่ทอดยาว
“หวังว่า… คนของเจ้าจะมีค่าพอให้เจ้ายอมเดินหมากทั้งกระดานเพราะนาง”
สุรเสียงเอ่ยออกมาพร้อมกับสะบัดมือให้จางกงกงยื่นราชโอการนั่นแก่หวางเย่เสียแล้วเดินเข้ามาหาเขา จางกงกงรับฟังสิ่งนั้นที่โอรสสวรรค์ตรัสออกมาและถ่ายทอดออกไปเสียงดังชัดแจ้ง
“ฝ่าบาททรงมีพระกรุณาให้ฉางซานเซียนหวางสามารถจัดงานที่ใดก็ได้ในต้าฮั่น งบประมาณไม่จำกัดเพียงแค่ยื่นเสนออย่างถูกต้อง ขอให้งานมงคลสมรสนี้ได้รับคำอวยพรอย่างล้นพ้น”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี” เสียงทั้งสองได้ประสานเข้าด้วยกัน
“ไปได้แล้ว พวกเจ้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกเยอะ”
เช่นนั้นแล้วทั้งสองก็ต่างขอบังคมทูลลาแก่องค์จักรกรรดิแดนมังกรอันยิ่งใหญ่ ครั้นพ้นสายตาคมไปร่างสูงก็ดึงร่างเล็กไปสวมกอดแนบแน่น เป็นการโอบกอดที่ไม่จำเป็นคนสนใจผู้ใดอีกต่อไปแล้ว
นางเป็นของเขา
ของเขาอย่างถูกต้องทุกระเบียบนิ้ว
เป็นของเขาแต่เพียงผุ้เดียว
“ในที่สุด… ก็ได้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าเสียที”
วาจาที่เอื้อนเอ่ยนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าลมหายใจ หากกลับแผ่คลื่นสั่นสะเทือนอยู่ในใจของผู้พูด ไม่ใช่ประโยคโอ้อวด หรือคำแสดงชัยชนะของผู้ชนะศึกบนกระดานชีวิต แต่เป็นถ้อยคำจากผู้ที่ลอบภาวนาต่อสวรรค์ในใจมาแรมปี — โดยไม่เคยเอื้อนเอ่ยออกมาให้ผู้ใดล่วงรู้
เบื้องหลังถ้อยคำหนึ่งประโยค คือความรู้สึกขอบคุณมากมายที่ไม่เคยได้เอ่ย
ขอบคุณเฒ่าจันทราผู้ผูกด้ายแดง แม้นเขาจะเคยแสร้งทำเป็นไม่สนใจโชคชะตา แต่ในใจลึก ๆ ก็ภาวนาให้นางผู้หนึ่งเดินมาในเส้นด้ายของเขาสักวัน
ขอบคุณเทพซ่างกู่ผู้ประทานเส้นทาง แม้เส้นทางนั้นจะคดเคี้ยว เต็มด้วยเงื่อนไขและเล่ห์เหลี่ยม แต่สุดท้ายก็พาเขามาถึงปลายทางที่เรียกว่า “นาง”
ขอบคุณฝ่าบาท — ผู้เป็นทั้งมารและพรในคราวเดียวกัน ผู้ที่ครอบครองนางก่อนหน้าทว่ากลับถนอมไม่แตะต้อง ผู้ที่พรากจากแต่หยิบยื่นให้ในคราวเดียวกัน ในเมื่อเขาไม่อาจยื่นมือไปชิงนางได้โดยตรงการรับไว้จากพระหัตถ์ของใต้หล้าก็ถือเป็นเกียรติที่สุดเท่าที่บุรุษเช่นเขาจะพึงมี
และที่สุดของทั้งหมด…
ขอบคุณนาง — สตรีผู้ปรากฎขึ้นมาในโลกเงามืดของเขา ไม่ว่าจะในหอบัณฑิต ฉางซาน หรือสุสานที่ร้างผู้คน ในช่วงเวลาที่เขาคะนึงหามักปรากฎนางตรงหน้าเสมอ
ดังนั้น... คำว่า
"ในที่สุด"
…จึงเป็นคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบเสียที
千山万水,终得一人相随
(ข้ามพันเขาหมื่นสายนที สุดท้ายได้มีคนหนึ่งเคียงข้าง)