ท่ามกลางลำธารยาวไม่รู้จบกระแสน้ำเย็นเชียบพัดพาสติของนงคราญปลิวหายไปพร้อมกัน หลังจากการพยายามเอื้อมไปคว้ากิ่งไม้ตลอดสามครั้งที่ผ่านมาล้มเหลวไม่เป็นท่า ไป๋หรั่นก็เริ่มที่จะหมดหวังแล้วบางทีการลอยหายไปตามกระแสน้ำนี้คงไม่แย่อย่างที่คิด กระทั่งแผ่นหลังกระแทกเข้ากับโขดหินก้อนใหญ่ นางถึงได้กลับมาคร่ำครวญอีกครั้งว่าจะอย่างไรก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้จะดีที่ไม่กระแทกถูกในส่วนสำคัญแต่ด้วยแรงปะทะที่ได้รับก็ทำเอาร่างบางในสายธารเริ่มสองตาพร่าไปทีละน้อย
บางทีวาสนาและบุญของนางคงจบที่ตรงนี้
ใบหน้างามจมหายลงใต้ผิวน้ำเช่นเดียวกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เปลือกตาบางนั้นเริ่มที่จะหย่อนลงคลุมเนตรรัตติกาลให้จมลงสู่ความมืด นางไม่ใช่สายเลือดเจียงหนานที่เกิดมาพร้อมน่านน้ำ ประสบการณ์ชีวิตที่มีมากสุดคือพี่ชายกวดขันให้พอประคองตัวในสถานการณ์คับขัน ฉะนั้นในยามที่มวลน้ำแทรกซึมเข้าร่างผ่านโพรงจมูกบีบให้นางต้องเผชิญกับความทรมาณของการไร้ซึ่งอากาศหายใจควบคู่มากับความแสบซ่านไปทั่วร่าง ลู่ไป๋หรั่นไม่ทราบจริง ๆ ว่านางควรรับมืออย่างไร
“ ฝ่าบาท ตรงนั้นพ่ะย่ะค่ะ !! ”
ก่อนที่สติสัมปะชัญญะของนางจะมอดมลายจนหมดสิ้น ที่เหนือน้ำมีเสียงก้องกังวานของชายผู้หนึ่งดังขึ้นและตามมาด้วยเสียงแตกกระเซ็นของมวลน้ำเมื่อร่างสูงโปร่งพุ่งทะยานราวมังกรวารีที่ได้หวนคืนสู่ถิ่นกำเนิด เงาสีดำแหวกว่ายตามสายน้ำเข้ามาคว้าร่างอรชรก่อนโผขึ้นสูดอากาศหายใจเหนือผิวน้ำอีกครั้ง
“ เจี๋ยยวี่ เจี๋ยยวี่? ”
ท่อนแขนหนาข้างหนึ่งโอบรัดที่รอบเอวนวลนาง ส่วนอีกข้างประคองไหล่บางเขย่าไปมาเพื่อเรียกให้ได้สติ หลิวเช่อ ยังได้ยินเสียงหายใจออกมาจากร่างนี้แม้จะแผ่วเบาจึงเท่ากับเขาไม่ได้มาช้าไปเสียทีเดียว ถึงการเขย่าเพื่อปลุกคนจมน้ำจะไม่ใช่ทางเลือกยอดนิยมหรือสิ่งที่ควรทำ ทว่าครั้งนี้กลับได้ผลอย่างน่าประหลาดลู่เจี๋ยยวี่ที่เกือบได้ข้ามแม่น้ำเหลืองถึงจะยังไม่ลืมตาแต่ก็คายน้ำออกมารอบใหญ่พร้อมเสียงไอค่อกแค่กอีกหลายทีชวนให้คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้นึกอุ่นใจขึ้นว่าหนึ่งร่างในอ้อมแขนนี้ยังไม่ถูกพรากจากไป
ดวงหน้าหวานล้ำซีดเซียวประดุจหิมะตกลงซบบนบ่ากว้างเช่นเดียวกับเรือนกายกรุ่นไอหอมฝูหรงฮวาที่แนบอยู่กับลำตัวแกร่งของโอรสสวรรค์ ฮั่นอู่ตี้ค่อย ๆ ว่ายพาสนมของตนกลับขึ้นฝั่ง ส่วนเว่ยชิงที่ติดตามมาด้วยก็เก็บสายตาของตนไปอีกทางอย่างรู้ความ
“ ไปแจ้งคนของกระโจมใหญ่ให้ตามหมอหลวง ตลอดทั้งทางเจิ้นต้องไม่เห็นผู้ใดสอดหน้ามาขวาง ” รับสั่งนี้แข็งกร้าวทั้งยังเฉียบขาดเป็นอย่างมาก สตรีของเขาไหนเลยจะให้ผู้อื่นมาพิศมองได้โดยง่าย ในขณะที่หลิวเช่อกระชับแขนที่โอบกายบางเข้าหาตัวมากขึ้น เว่ยชิงก็ประสานมือรับคำสั่งก่อนจะหันหลังวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปอีกทาง ทิ้งให้พระเจ้าแผ่นดินได้มีเวลากดใบหน้าลงก้มมองร่างที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสงบ
ปลายนิ้วหยาบกร้านทาบลงที่แอ่งชีพจรบริเวณลำคอระหงส์ของสาวงามช้า ๆ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ ก่อนจะไล่สายตาลงไปตามร่างอ้อนแอ้นที่เดิมก็สวมอาภรณ์เข้ารับกับรูปร่าง ยามนี้เมื่อหลายส่วนลู่ลงตามทรวดทรงก็เท่ากับเปิดเผยให้เห็นถึงความเย้ายวนแต่กำเนิดที่สตรีแต่ละนางล้วนมีแตกต่างกันออกไป โชคดีที่สามีของนางไม่ใช่คนหมกมุ่น หลิวเช่อปลดเสื้อคลุมของตัวเองออกและจำต้องใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่นั้นพันทับร่างแสนสะโอดสะองค์ของนงคราญพลางอุ้มนางขึ้นและเร่งก้าวเท้าไปตามเส้นทางกลับกระโจมใหญ่
“ ฝ่าบาท นี่มันเกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พระองค์บาดเจ็—- !! ” เมื่อมาถึง หมอหลวงประจำราชสำนักรีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าคร่ำเครงราวฟ้าถล่มดินทลาย การที่ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกตัวหมอหลวงในทุกครั้งล้วนเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น ฉะนั้นแล้วนอกจากความตื่นตระหนกเจือเป็นห่วง ยังแทรกมาด้วยความหวาดเกรงว่าภาระหน้าที่ในครั้งนี้อาจเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้หนก่อน ๆ แต่เมื่อสายตาของหมอหลวงได้สบกับสายพระเนตรของมังกรหนุ่มที่พึ่งก้าวเข้ามาในกระโจม คำพูดของคนต่ำศักดิ์กว่าก็ขาดช่วงไปทันที
งามปราดเปรียวดุจหงส์ตื่น ชดช้อยดั่งมังกรท่องเวหา ท่วงท่าคือจันทร์เร้นเมฆา พลิ้วไหวคล้ายหิมะพัดหวนคืน.. เคยมีผู้บัญญัติการชมโฉมของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันไว้เช่นนี้ ซึ่งตัวเขาก็หาได้ปฏิเสธ แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้งในยามที่ผู้สูงส่งเหนือใครเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำ กระทั่งแพขนตายังมีไอเย็นแผ่ออกมา ความงามที่อยู่ตรงหน้าย่อมไม่มีมนุษย์ใดเทียบเคียงได้
“ ต้าซือหม่า มัดตาเขาซะ ”
“ พ่ะย่ะค่ะ? ”
หมอหลวงร้องรับเสียงสูง ส่วนต้าซือหม่าที่รู้สาเหตุดีได้แต่กระชับผ้าผูกผมเส้นหนึ่งที่ขนาดพอคาดดวงตาได้พอดีในมือ “ ท่านหมอหลวงโปรดเข้าใจด้วย นี่เป็นเรื่องสำคัญ ” เว่ยชิงพูดในขณะที่ชำเลืองตามองนายเหนือหัวที่เดินย่ำเท้าไปยังเตียงด้านในพร้อมกับวางม้วนเสื้อคลุมและค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ดูเปียกชื้นออกเป็นร่างที่หลับใหลของเจ้าตำหนักตงเฉิน
“ อ อ้อ ”
ในระหว่างที่ต้าซือหม่ากำลังดำเนินการมัดตาให้เรียบร้อย.. หลิวเช่อทอดสายตาลงกับร่างที่จมอยู่กับนิทราพลางคิดไปถึงสาเหตุที่ตนออกตามหานาง ตอนนั้นมันผ่านเวลามาพักใหญ่หลังจากที่นางเดินออกไป เดิมทีเขาเองก็เกือบจะลืมนางอยู่รอมร่อหากไม่ใช่ว่ามีนางกำนัลที่ได้รับมอบหมายใฟ้ดูแลลู่เจี๋ยยวี่ตลอดการเสด็จประพาสครั้งนี้เดินมามอบอาหารให้ซานกงทั้งสาม
ยามที่ดูบนหลังม้าคล้ายว่าภาระหน้าที่ของนางถูกปลดออกเหลือเพียงความอิสระและบริสุทธิ์อย่างสาวงามวัยแรกแย้ม ไม่รู้ว่าหากเปลี่ยนจากการขี่ม้ากินลมชมทิวทัศน์มาเป็นการขี่ม้าเพื่อไล่ล่าสิ่งมีชีวิต.. นางจะยังนึกสำราญกับมันได้อยู่หรือไม่ ที่จริงแล้วโอรสสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความคิดไร้สาระเช่นนี้เลย หากไม่ใช่เพราะว่าตลอดหลายครั้งที่ผ่านมาทีละน้อยเขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายยามที่ได้อยู่ใกล้นาง เริ่มสนใจ.. กับการเฝ้ามองการตัดสินใจที่เงียบสงบเหล่านั้น
ฉะนั้นหลิวเช่อจึงตัดสินใจจะทดสอบนางอีกสักครั้ง เหมือนกับที่ทดสอบตัวของเขาเอง
เสียดายที่ดันมามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตัดหน้าจนเสียกระบวนไปหมด
“ ฝ่าบาท??? ”
“ ฝ่าบาท เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ” ต้าซือหม่าเว่ยชิงเดินกลับเข้ามาแจ้งหลังฉากกั้นพร้อมพาตัวหมอหลวงที่ถูกปิดตาให้ก้าวตามมาด้วย อาศัยสายตาที่ชวนให้เสียวสันหลังวาบทั้งที่ไม่ทันได้มองเห็นจากองค์หวงตี้ หมอหลวงก็ลอบกลืนน้ำลายพลางถามเสียงเบา
“ ส สรุปแล้วมีเหตุใด..เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? ”
“ นางจมน้ำ ”
หนึ่งคำตอบนี้มีหรือหมอหลวงจะไม่เข้าใจ หญิงสาวเพียงผู้เดียวที่มีศักดิ์พอทำองค์จักรพรรดิเป็นเดือดเป็นร้อนได้หากไม่ใช่โฉมสะคราญลู่เจี๋ยยวี่ผู้นั้นแล้วจะเป็นใครอีก “ ถ้าเช่นนั้นโปรดอนุญาตให้กระหม่อมตรวจอาการสักหน่อย.. ” คำขอนี้เมื่อได้รับการอนุญาต ทางหมอหลวงที่เห็นรอบด้านแบบลาง ๆ ก็คลำทางไปจนถึงข้างเตียงนอน
“ กระหม่อมขออนุญาต.. ” เขาเกริ่นเสียงอ่อยพลางวางผ้าผืนหนึ่งลงบนข้อมือบางแล้วจากนั้นค่อยจรดปลายนิ้วลงตรงจุดชีพจรอย่างแม่นยำ หมอหลวงที่ทำงานให้ราชสำนักมาเกือบตลอดชีวิตเดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวคลายออกท่ามกลางความกดดันที่มากล้น จนผ่านไปได้สักครึ่งจิบชาในที่สุดก็ถึงได้กล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ “ ชีพจรอ่อนแต่ไม่ถึงขนาดเป็นอันตรายต่อชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าคงเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ยามนี้ให้นางพักผ่อนเสียก่อน ”
“ ร่างกายนางรับไอหยินมากเกินไปถึงได้เฉียบเย็นเช่นนี้ สิ่งที่ทำได้คือให้นางกำนัลมาช่วยผลัดชุดและเตรียมสำรับอุ่น ๆ ให้นางทานตอนที่ฟื้น ประเดี๋ยวกระหม่อมจะเขียนเทียบยาปรับสมดุลร่างกายเผื่อไว้ให้สักฉบับ จากนั้นรอลู่เจี๋ยยวี่ฟื้นคืนสติเสียก่อน ค่อยมาตรวจสอบอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ ” อาการของนางเป็นการบอบช้ำที่ภายใน ไร้ซึ่งกลิ่นคาวเลือดก็เท่ากับหาได้มีแผลหนักที่ภายนอก แต่มีรอยช้ำหรือไม่นั้น.. จะให้ไปพลิกสำรวจร่างสตรีของจักรพรรดิก็ใช่เรื่อง
“ พระองค์เองได้รับไอหยินกะทันหัน สมควรผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์และซดน้ำแกงสักถ้วย ส่วนกำหนดการล่าสัตว์ในวันนี—- ”
“ เลื่อนออกไป ”
นึกว่าต้องโน้มน้าวมากกว่านี้เสียอีก อย่าว่าแต่หมอหลวงที่งุนงง แม้แต่เว่ยชิงก็ยังงุนงง “ ฝ่าบาท แต่ว่า- ”
“ ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เลื่อนเวลาออกขบวนอย่างไม่มีกำหนดจนกว่านางจะฟื้น ผู้ใดไม่พอใจก็เชิญกลับไปด้วยสองเท้าของตัวเอง ” ถ้อยคำของเขาไร้ความเมตตา ขาดซึ่งความเห็นใจสมกับเป็นมังกรผู้ปราดเปรื่องเรืองอำนาจโดยไร้คู่ต่อกร “ เทียบยานั่นเจ้าก็รีบ ๆ เขียนเสีย แจ้งจางกงกงว่าลู่เจี๋ยยวี่ผลัดตกน้ำให้ตามคนมาดูแล ”
“ และหากมีผู้ใดประพฤติตนผิดแปลก.. จับตาดูไว้อย่าให้คลาดสายตา ”
…
ธูปหอมมอดดับไปดอกแล้วดอกเล่า.. จากยามเฉินล่วงเข้าสู่ยามซื่อ ถัดมาเป็นยามอู่และเมื่อก้าวเข้าสู่ยามเว่ย ในที่สุดผู้ที่ครองเตียงโดยลำพังมานานก็เริ่มขยับ “ ลู่เจี๋ยยวี่! เจ้า เจ้ารีบไปแจ้งฝ่าบาท ลู่เจี๋ยยวี่ฟื้นแล้ว ” เสียงสตรีเจื้อยแจ้วลอยเข้ากระทบโสตประสาท ไป๋หรั่นปรือตาขึ้นมองผืนผ้าที่ถูกขึงตรึงเป็นกระโจมใหญ่ด้วยสายตาเลื่อนลอย เทพธิดาจำแลงผู้นี้สัมผัสได้ถึงอาการปวดหัวอย่างรุนแรงรวมไปถึงความรู้สึกหนักอึ้งที่ทำให้ยากจะขยับ แต่ถึงกระนั้นเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นร่างในชุดคล้ายกับกลุ่มคนสุดท้ายที่นางพบ ใบหน้างามนั้นก็ผงะซีดไปโดยทันที
แต่แล้วอยู่ ๆ จากบรรยากาศตื้นตันซาบซึ้งประหลาดใจก็พลันเปลี่ยนมาเป็นกดทับเย็นเยียบ เมื่อเงาร่างของของโอรสสวรรค์ปรากฏขึ้นภายในส่วนในของกระโจมใหญ่ หลิวเช่อเดินนำจางกงกงและเว่ยชิงเข้ามาด้วยท่าทางไม่เร่งร้อนแต่ก็ใช่ว่าจะเยือกเย็นอย่างที่เคย สองเนตรมังกรหลุบลงเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของสนมตนในยามที่มองนางกำนัลข้างเตียงก็ลอบขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ เจี๋ยยวี่ ” เสียงเรียกของเขาทำให้กายบางสะดุ้งเฮือก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่นางหันขวับมองเขาอย่างตกใจเช่นนี้ นับว่ามีสิ่งที่..แปลกไปอยู่บ้างจริง ๆ
“ ฝ่าบาท ”
“ เหตุใดจึงตกน้ำ ” หากนางอยากก้าวลงไปด้วยตัวเองย่อมปลดเสื้อตัวนอกหรือรองเท้าวางไว้ริมฝั่ง แต่นี้ทั้งหมดยังอยู่กับตัวนาง หลิวเช่อปล่อยให้สนมของตนได้มีเวลาคิดทบทวนในระหว่างที่เขาหันไปรับน้ำแกงที่ถูกเคี่ยวเตรียมไว้ตลอดหลายชั่วยามจากจางกงกงมาคนเล็กน้อย หลิวเช่อปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา สัญชาติญาณมังกรเฉียบคมเช่นเดียวกับสองตาที่ไม่เคยปล่อยให้รายละเอียดเล็กน้อยได้หลุดรอด
“ หม่อมฉัน.. ”
โฉมสะคราญเลิศล้ำกดใบหน้าลงพร้อมหลับตา นางใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะร้อยเรียงเรื่องในหัวได้จนเข้าที่เข้าทาง ตอบว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ได้ แต่แรกเรื่องนี้มีเงื่อนงำหากปิดบังในตอนนี้อนาคตย่อมยากจะหันกลับได้ แต่ในขณะเดียวกันนางก็ไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา ชื่อของบุคคลที่สามค่อนข้างสุ่มเสี่ยงเกินไป ไป๋หรั่นไม่เชื่อว่านี่คือฝีมือของน้องสาวคนสนิท .. เว่ยเจียเหลียนฮวาที่นางรู้จักเป็นคนเจ้าแผนการก็จริงแต่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาก วิธีการที่นางเลือกใช้ไม่มีทางเป็นการลอบกัดทำร้ายรุนแรง ต้องเป็นวิธีแยบยลกว่านี้และส่งผลต่อสภาพจิตใจมากกว่านี้
เป็นชั่วขณะหนึ่งที่ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ ลู่เจี๋ยยวี่ลอบช้อนตาขึ้นชำเลืองมอง ‘ คนนอก ’ อย่างไม่สบายใจ
ประจวบเหมาะกับในยามที่สายพระเนตรของหลิวเช่อยังคงจรดมองลงมาทำให้สวามีดีเด่นผู้นี้ทราบในความต้องการของนางโดยทันที “ ออกไปก่อน ” โอรสสวรรค์ออกปากไล่คนอื่นให้ออกนอกกระโจมไป เหลือเพียงหนึ่งมังกรสุริยาและหนึ่งเทพธิดาหยกให้อยู่ร่วมกันในร่มเงาของกระโจมขนาดใหญ่
“ ระหว่างที่หม่อมฉันสลบไป มีนางกำนัลหายไปหรือไม่เพคะ? ”
เพียงหนึ่งคำถามไถ่ เนตรมังกรเรืองโรจน์ขึ้นด้วยแรงโทสะ ถ้วยน้ำแกงในมือเขาสั่นจนของร้อนที่อยู่ด้านในกระฉอกรดฝ่ามือทว่าสิ่งที่ผู้ซีดเซียวกระทำลงไปกลับนุ่มนวลแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง.. ไป๋หรั่นวางปลายนิ้วลงกับขอบถ้วยน้ำแกงก่อนจะเคาะเบา ๆ พอให้ผู้ที่ถือรู้สึกตัว ริมฝีปากบางหยักเป็นรอยยิ้มเบาบาง “ เบื้องหน้าพระพักตร์มีคลื่นลมซัดสาดเรื่องราวในบ้านยังไม่สงบ.. ฝ่าบาทไม่โปรดการแก่งแย่งของฝ่ายใน เรื่องนี้หม่อมฉันทราบอยู่แก่ใจ ”
ชามน้ำแกงถูกยกออกจากมือสากที่กระจายไอร้อนทั้งที่ยังไม่ทันได้สัมผัส ลู่ไป๋หรั่นยกชายแขนภูษาสีนิลของโอรสสวรรค์ขึ้นและใช้มันเป็นตัวกลางคั่นสัมผัสระหว่างมือนุ่มที่รองใต้พระหัตถ์นั้นพลางยกขึ้นเป่าในบริเวณที่ถูกของร้อนลวกช้า ๆ สัมผัสแผ่วเบาผสานกับกลุ่มลมที่รดลงกลางอุ้งมือชวนให้รู้สึกหยุบหยิบไปทั้งร่าง หว่างคิ้วที่เคยยับย่นเริ่มคลายลงช้า ๆ หลงเหลือไว้เพียงแต่การเฝ้าคอยว่าหยกขาวนางนี้จะโน้มน้าวตนอย่างไรอีก
“ ท้องพระโรงมีการฟาดฟันของขุนนางฉันใด ที่ส่วนในก็มีการแย่งชิงฉันนั้น ทว่าเรื่องนี้.. หาใช่สิ่งที่พระองค์ควรต้องใส่ใจเพคะ ” มีอย่างที่ไหนบอกว่าเรื่องสามภรรยาสี่อนุสำหรับฝ่ายสามีไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ควรต้องใส่ใจ หลิวเช่อกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้งผิดกับร่องรอยความปลอดโปร่งบนหน้านงคราญ
“ หมายความว่าอย่างไร ”
“ ผู้ที่รับมือกับสตรีได้ดียิ่ง.. ย่อมเป็นสตรีด้วยกัน ”
อีกฝ่ายคงลืมสิ้นไปแล้วว่าลู่ไป๋หรั่นไม่ใช่คนหัวอ่อนโดยธรรมชาติ ตัวตนของนางถูกป้ายสีย้อมขาวจนจรัสจ้าดั่งจันทรา แต่ใครเล่าจะทราบว่าลึกลงไปใต้กำแพงขาวนั้นจะมีสีสันในรูปแบบใด “ เรื่องครั้งนี้ใช่ว่าเกี่ยวพันเพียงหม่อมฉัน ยังมีชื่อเสียงของสหายเป็นเดิมพัน .. ” เจี๋ยยวี่หยกขาวปล่อยมือของผู้ครองรัศมีมังกรลงก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการประคองชามน้ำแกงขึ้นซดเป็นคำเล็ก ๆ
“ เจิ้นปกป้องเจ้าได้ ”
ปกป้อง?
หากนางเป็นคนบ้าบิ่นกว่านี้อีกหน่อย..
เนตรหงส์งามหยดที่ประกอบด้วยนัยน์ตาดำขลับอย่างท้องฟ้ายามรัตติกาลสั่นระริกด้วยความเย้นหยันต่อโลกหล้า “ จะทรงปกป้องหม่อมฉันอย่างไรเพคะ? ดำเนินคดีสืบหาตัวผู้ร้าย ปล่อยให้ผู้วางแผนสบโอกาสปล่อยข่าวว่าหม่อมฉันเป็นคนเจ้าแผนการแสร้งถูกกระทำทับถมลงอีกทอดเช่นนั้นหรือ? ” ทว่าคำถามนี้ของนางคล้ายจะสัมผัสถูกเส้นความอดทนของหลิวเช่อเข้าอย่างพอดิบพอดี
“ ทุกสิ่งดำเนินการไปตามที่ควร เหตุใดจึงไม่พอใจ ”
การนึกคิดของสตรีเข้าใจยากยิ่งกว่ากฏหมายบ้านเมืองหรือกลยุทธ์การศึก น้ำเสียงของโอรสสวรรค์เจือไว้ซึ่งโทสะ เขาสามารถลุกเดินจากไปได้เลยนับตั้งแต่ตอนนี้เพราะอย่างไรก็ได้รู้คำตอบที่ต้องการแล้ว แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจ
“ หากหม่อมฉันกล่าวว่านี่คือฝีมือของเว่ยเจียเสียนอี๋เล่าเพคะ ”
“ ..!! ”
แม้แต่ลมหายใจของเขายังถึงกับหยุดชะงัก เนตรหงส์ของเจี๋ยยวี่แซ่ลู่เรืองขึ้นด้วยความเวทนา
“ เจ้าล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว ! ”
“ หม่อมฉันถามว่าหากเป็นฝีมือของเว่ยเจียเสียนอี๋เล่าเพคะ ” ครั้งนี้ลู่ไป๋หรั่นถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่จริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่จริงแล้วไม่จำเป็นเลย.. นางไม่จำเป็นต้องกล่าวชื่อน้องสาวคนสนิทขึ้นมาทั้งที่รู้ว่าอันตราย แต่สิ่งที่นางทำอยู่ในตอนนี้นับเป็นการทดสอบครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีต่อสวามี แค่ครั้งเดียวที่นางอยากจะทราบถึงมุมมองของเขาเพื่อไตร่ตรองให้ดีว่าสมควรทุ่มเททั้งชีวิตนับจากนี้เพื่อคนเพียงผู้เดียวดีหรือไม่
“ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์เจิ้นย่อมส่งคดีนี้ให้จางทังตรวจสอบ หากผิดก็ว่ากันไปตามผิด หากถูกใส่ร้ายย่อมต้องเยียวยาให้แก่นาง ” หลิวเช่อไม่เสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย ด้วยใจที่ร้อนเร่าเขามองนางราวกับจะแผดเผาให้สิ้นซาก แต่ในพริบตาต่อมาก็ไม่อาจฝืนใจถือสานางได้นานนัก.. หากมีผู้ใดสามารถมีโทสะต่อผู้ที่ถือครองทั้งใบหน้าและบรรยากาศเช่นนี้ได้ก็คงต้องเรียกว่าเป็นยักษ์มารไร้ใจแล้ว แต่คำตอบนี้กลับสร้างเสียงหัวเราะใสกระจ่างดังขึ้นช้า ๆ คล้ายเสียงกระซิบของภูตพราย ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แม้ว่ามันจะเป็นความสงบราวนภาโปร่งทว่าเศร้าซึมราวฝนพรำ “ นี่หรือเพคะ.. สิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสว่าปกป้องได้ ”
บนพักตร์มังกรมีความสงสัยฉายเอาไว้ “ ในสายตาของพระองค์.. เว่ยเจียเสียนอี๋ และลู่เจี๋ยยวี่ต่างกันอย่างไรเพคะ ” ครั้งนี้หลิวเช่อเริ่มที่จะพูดไม่ออกบ้างแล้วจริง ๆ เขาไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดตามไม่ทันว่าสนมผู้นี้ต้องการสื่อสิ่งใด
“ หม่อมฉันและนางเป็นสนมยศสูงไม่กี่คนเช่นเดียวกัน มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าผู้อื่นเช่นเดียวกัน มีข่าวลือนับไม่ถ้วนทั้งที่จริงและเท็จเช่นเดียวกัน มักถูกลากไปอยู่ในใจกลางความวุ่นวายเช่นเดียวกัน ” ความคล้ายคลึงแต่ละข้อถูกร้อยเรียงออกมาผ่านริมฝีปากบางที่ขยับอย่างน่ามอง “ กระทั่งการตัดสินใจของพระองค์ยามเมื่อเราสองเผชิญหน้ากับปัญหาก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน.. ”
“ ฮั่นอู่ตี้บริสุทธิ์เกรียงไกร จริงเป็นจริง เท็จเป็นเท็จ นับเป็นแบบอย่างของคนทั่วหล้ารวมไปถึงขุนนาง หม่อมฉันทราบดีว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก ให้ชาวประชาได้ประจักษ์ชัดในความจริงผ่านหลักฐานผ่านคำให้การ แล้วพวกหม่อมฉันเล่าเพคะ? ตกเป็นที่ครหาของคนหมู่มากทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าแม้แต่ชายที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมิแม้แต่จะเชื่อมั่นในตัวพวกนาง สิ่งนี้เป็นการปกป้องหรือทำร้ายกันแน่ ” ถึงคราวนางบ้างแล้วที่ขมวดคิ้วจนใบหน้ายับยุ่ง น้ำเสียงของไป๋หรั่นไม่ดังไม่เบา มันไม่ได้สั่นเครืออย่างคนระเบิดอารมณ์แต่กลับเป็นการใช้หนึ่งมุมมองที่เขาไม่เคยนึกใส่ใจย้อนเข้ามาตบหน้าอีกฝ่ายอย่างจัง “ ในสายพระเนตรจวบจนถึงตอนนี้ยังคงเห็นว่าสตรีทุกคนดาษดื่นเหมือนกัน ไร้ซึ่งความแตกต่างอยู่อีกหรือเพคะ? ”
ประโยคนี้บาดหูนัก หลิวเช่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองล้วนต่างออกไป ทว่า..
“ หากไร้ความผิดไยต้องหวั่นเกรง หน่วยราชการตรวจสอบนับเป็นการดำเนินการที่สะอาดบริสุทธิ์และมีเกียรติมากสุดในแผ่นดิน ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ให้นางอย่างไร้ผู้คิดแย้ง ” หลิวเช่อสวนกลับด้วยแนวคิดอย่างปัญญาชนที่เปิดเผยจริงใจ หลักการการปกครองหล่อหลอมให้ตัวตนร้ายกาจนี้ไขว่คว้าความน่าเชื่อถือในการพิสูจน์อันแน่ชัดทุกทาง
“ แล้วหากหลักฐานที่ทรงเชื่อมั่นนั้นคือหลักฐานเท็จ? ”
“ นี่เจ้าดูหมิ่นความสามารถของบ้านเมืองหรืออย่างไร ”
“ เป็นเพราะผู้ที่ทราบดีว่าเล่ห์หลวงนี้หนักหนาได้ถึงเพียงไหนคือตัวพระองค์เองต่างหากเพคะ ” โอรสสวรรค์ชะงักนิ่งงันไป สบโอกาสให้เจี๋ยยวี่หยกขาวถอนหายใจเฮือกพลางขยายความต่อ “ ฝ่าบาทคือนักปกครอง ทว่ารูปแบบของการปกครองบ้านเมืองมิอาจใช้กับเรื่องในบ้านได้เพคะ ”
“ เหตุใดจึงไม่ได้ สตรียังสามารถเข้าบ้านมาพร้อมความคาดหวังของบิดา ”
นงคราญหยกเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ‘ นี่เขาประชด? ’ น่าเสียดายนักที่ความเห็นของสามีกับผู้เป็นภรรยาคัดค้านกันมากเกินไป “ เกรงว่าในสายตาพระองค์หม่อมฉันเป็นได้เพียงเท่านั้นหรือเพคะ.. ” เป็นได้เพียงสตรีที่เข้ามาพร้อมความคาดหวังของบิดา ไป๋หรั่นเค้นหัวเราะออกมาดูเชื่องช้าและเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
“ ตำแหน่งหวงตี้คล้อยตามคำคนไม่ได้ ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถถึงเพียงนี้ ย่อมถูกต้องแล้วที่จะตัดสินใจดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ดูแล้วหม่อมฉันคงยังไม่มีความสามารถมากพอให้ฝ่าบาทเชื่อมั่นในความสามารถและการตัดสินใจ ” สองเท้าเปลือยเปล่าหย่อนลงจากเตียงช้า ๆ ลู่ไป๋หรั่นยืนกับพื้นโดยที่เท้าบางไร้ซึ่งการห่อหุ้ม นางก้าวห่างออกมาด้วยสีหน้าสงบราว ๆ สามเก้า ก่อนจะทิ้งเข่าลงคำนับทูลแด่สวามีผู้เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน
“ หม่อมฉันน้อมรับการตัดสินใจของฝ่าบาท ทว่ามิยินดีมอบคำให้การใดทั้งสิ้น ฉะนั้นโปรดเมตตาปล่อยผ่านเรื่องครั้งนี้สักครั้งเถิดเพคะ ” มือของโอรสสวรรค์ขยับเข้ากำหมัดเพื่อสะกัดกั้นความคุกกรุ่นในใจ ไร้คำตอบที่เปล่งออกไป ชายภูษาสีนิลพัดผ่านร่างนางพาลจากไปทิ้งไว้เพียงรัศมีแผดเผาที่อาจผลาญสิ่งรอบกายให้ไหม้เป็นจุณ ต่อมาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าม้าควบไปไกลพร้อมกับมีผู้เลิกม่านกระโจมเดินเข้ามาด้านใน
“ ลู่เจี๋ยยวี่ ”
เป็นต้าซือหม่า..
ไป๋หรั่นระบายยิ้มเบาบางด้วยใบหน้าซีดขาวในขณะที่มือน้อยกำลังจับพู่กันขีดเขียนบางสิ่งลงบนพัดผ้าขาวผืนบาง “ เหตุใดต้าซือหม่าจึงไม่ร่วมขบวนล่าสัตว์กับหลาย ๆ ท่าน มิใช่ว่าท่านได้รับการจับตามองว่าอาจเป็นผู้ที่ล่าได้มากรองจากฝ่าบาทหรอกหรือ? ”
ชายแสนสุภาพที่ได้รับคำสั่งและถูกกำชับไม่ให้แพร่งพรายความลับยกมือขึ้นเกาแก้มด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูลำบากใจ “ ม้าของข้าน้อยอาการมิสู้ดี สมควรให้มันได้พัก จากนั้นก็ได้ยินจางกงกงกล่าวว่าลู่เจี๋ยยวี่หาได้ตามเสด็จ ข้าน้อยจึงแวะมาเผื่อว่าสามารถให้ความช่วยเหลือท่านได้ ” ทั้งหมดนี้ฟังแล้วดูสมกับเป็นต้าซือหม่าคนปัจจุบันแห่งราชสำนักมาก ทว่าชายชาตรีจะสามารถช่วยอะไรหญิงสาวได้ หากไม่ใช่การดูแลความเรียบร้อยและปลอดภัย
“ ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าเว่ยมาทานของว่างสักถ้วยก่อนเถิด ”
โฉมงามพยักเพยิดไปทางถ้วยบัวลอยที่วางอยู่ไม่ไกล “ ข้าทานไม่ลง.. ทำมาแล้วจะปล่อยให้เสียเปล่าคงไม่ได้ คงต้องวานใต้เท้าเว่ยช่วยแบ่งเบาภาระนี้แล้ว ” คนงามกล่าวโดยที่สองตาจรดลงอยู่กับตัวอักษรข่ายซูบนพัดขาว
少小离家老大回,乡音无改鬓毛衰。
儿童相见不相识,笑问客从何处来。
“ นี่คือ..? ”
“ ของขวัญวันคล้ายวันประสูติของเซียวจื่อไท่โฮ่วน่ะ ” ปลายพู่กันแต้มลงเป็นใบหลิวที่เฉียบคม แม้นไม่อาจเรียกว่าเป็นยอดภาพล้ำเลิศ แต่ตัวอักษรที่ขีดเขียนอยู่ตรงมุมพัดนั้นนับว่าล้ำค่าเป็นอย่างมาก “ สิ่งที่ข้าทำได้ดีก็มีเพียงการรังสรรของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ”
ไม่น่าใช่ ลู่เจี๋ยยวี่ท่านมีพรสวรรค์ในการโน้มน้าวใจคนทั้งยังเป็นผู้แรกที่ทำให้ฝ่าบาทมีโทสะแต่ก็ยังนึกห่วง เว่ยชิงครุ่นคิดพลางพยักหน้าราวกับมีส่วนร่วมในบทสนทนานี้แม้ในใจจะยังเสียดายนักที่ไม่อาจแถลงหนึ่งข้อเท็จจริงให้นางได้ทราบ
…
“ ฝ่าบาท ”
ดึกดื่นค่ำคืนแล้ว ผู้ที่ออกมารอรับเสด็จที่หน้ากระโจมตามธรรมเนียมย่อมไม่พ้น ‘ ลู่เจี๋ยยวี่ ’ ผู้เดิมที่พักรักษาตัวในกระโจมตลอดวัน เนตรหงส์งามหยดนั้นช้อนมองเหล่าขุนนางที่ตามเสด็จช้า ๆ เมื่อเห็นได้ว่าหลายชีวิตเหนื่อยหอบผิดกับผู้เป็นสามีที่ดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย? คล้ายว่าได้ปลดปล่อยความขุ่นเคืองออกไปผ่านการล่าสัตว์ที่… “ ฝ่าบาททรงหักโหมล่าสัตว์ไว้มาก รบกวนลู่เจี๋ยยวี่ช่วยดูแลด้วย ” เป็นจางกงกงที่กล่าวอย่างอ่อนแรง โดยที่ด้านหลังยังมีเหล่าทหารและขันทีบางส่วนช่วยกันแบกหามร่างสัตว์ไร้ชีวิตมากองรวมกันเป็นเนินใหญ่
“ ลำบากทุกท่านแล้ว ข้าให้นางกำนัลเตรียมอาหาร ของว่างและสุรารับรองไว้ในกระโจมแล้ว กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด ” ยังคงเป็นลู่เจี๋ยยวี่ที่จัดการรับรองผู้คนได้อย่างดีเยี่ยมสมกับที่เป็นบุตรสาวคหบดีรู้วิธีการว่าควรต้องทำอย่างไร แม้ว่าการตกอยู่ภายใต้สายตาของคนหมู่มากจะไม่ใช่เรื่องที่นางอึดอัด แต่การตกอยู่ภายใต้สายตาของโอรสสวรรค์ที่ยากหยั่งถึงชีวิตจิตใจนั้นต่างหากที่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้านางดูแข็งกระด้างขึ้นได้หลายส่วน “ หม่อมฉันให้ขันทีเตรียมขั้นตอนสรงน้ำไว้แล้วเพคะ มิทราบทรงอยากเสวยสิ่งใดก่อนหรื— ”
“ ไม่จำเป็น ”
ฮั่นอู่ตี้กล่าวกับนางเป็นคำสุดท้ายของคืน.. คำสุดท้ายจริง ๆ
หลังจากนั้นไม่ว่าจะปรนนิบัติปลดเสื้อผ้าหรือช่วยสวมใส่ รวมไปจนถึงตอนที่สองร่างเอนขนาบข้างบนเตียงแคบก็ยังไม่มีคำพูดใดหลุดมาสักประโยค จวบจนสัมผัสได้ว่าสตรีข้างกายผลอยหลับไปแล้วถึงได้หันกลับมามองช้า ๆ “ คล้ายพี่ชายเจ้าเสียไม่มีผิด ” เป็นวาจาแผ่วเบาเคล้าเสียงถอนหายใจ หลิวเช่อผุดกายขึ้นจากเตียงหมายจะเดินไปจิบชาสักจอก ทว่าสายตาพลันเห็นไหสุราวางทับกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งอยู่กลางโต๊ะ โอรสสวรรค์มุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจพลางสาวเท้าเข้าไปหยิบไหสุรานั้นขึ้นสำรวจ ฉับพลันสิ่งแรกที่ปะทะเข้ากับสายพระเนตรกลับเป็นตัวอักษรคุ้นตาที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้น
“ … ”
มีคนอย่างนี้อยู่เคียงข้าง เขาจะไปขุ่นเคืองนานได้อย่างไร?