[ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ]

[คัดลอกลิงก์]





ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ










เมื่อองค์เทพีอรอนงค์เคยตรอมตรมกับความรัก เมื่อหัวอกสตรีใดเล่าจะเข้าใจเท่าสตรีด้วยกัน 
เพื่อความรัก ความสมหวัง ก่อกำเนิดเป็นความศรัทธา 
สรรสร้างแหล่งสักการะเพื่อส่งต่อคำอธิฐานแด่ สัจจเทพผู้มากล้นความความรักต่อมนุษย์

จงกราบไว้ด้วยความศรัทธา จงคำนับน้อมรับโชคชะตาของเจ้าเอง
+5 ตบะฝึกฝน ทุกครั้งที่นั่งสมาธิและกราบไหว้บูชาภายในศาลเป็นเวลา 1 ชั่วยาม



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 3484 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-8-13 22:57
โพสต์ 2024-8-13 23:17:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2024-8-13 23:21


ยามเหลียนฮวาเบ่งบาน
วันที่สิบสอง ปาเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบ
ต้นยามเหม่า (05.00 น.)




   จากตำหนักเซวียนเต๋อสู่ศาลสัจเทพอี๋เหอ รถม้าหนึ่งคันขับเคลื่อนมาหยุดที่ศาลเจ้าชื่อดังในถนนสิบลี้ เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้เป็นผู้น้อยเร่งลงจากรถม้าเพื่อรอประคององค์ไท่โฮ่วด้วยความระมัดระวัง กายบางคอยเดินตามผู้สูงศักดิ์ไปอย่างว่าง่าย ตัวนางนั้นแท้จริงแล้วหาใช่ผู้ศรัทธาให้เทพเจ้ามากมายนัก แม้มีเทพเซียน ทว่าเมื่อมีจอมมาร ไหนเล่าจะเชื่อถือในเมื่อปีศาจมากมายยังคงเต็มท้องที่ราวกับว่าหากไม่ระมัดระวังตนให้ดียามเดินป่าเขาชมบึงคลองก็เสี่ยงพบตัวอนตรายได้ตลอด

   ทว่าเขาว่ากันว่า เมื่อจิตใจว้าวุ่น มนุษย์ย่อมมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นคง

   นางในยามนี้คงไม่ต่างจากคำกล่าวเหล่านั้นเท่าใดนัก ดวงใจที่ว้าวุ่น ความคิดที่ฟุ้งซ่าน มาดมกลิ่นธูปอาบควันสักหน่อยให้สำลักสักคราก็ไม่เลวนัก เหลียนฮวายอมรับเลยว่านางไม่ใช่ผู้ฝักใฝ่ทางธรรมจนไม่ค่อยจะมานักหรอกศาลเจ้าทั้งหลาย การจุดธูปไหว้เทพต่าง ๆ จึงเหล่มององค์ไท่โฮ่ทั้งสิ้น สองเรียวขาคุกเข่าบนเบาะนิ่ม มือเล็กประสานอธิฐานภายในใจ

   เทพอี๋เหอเจ้าคะ เทพอี๋เหอเจ้าขา กรรมใดเล่าหนอที่เหลียนฮวาต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นวังหลัง ขอให้ตัวข้าสมหวังสักครา ได้พบพานวาสนากล้าฉุดดึงออกจากวังวน

   สิ้นเสียงอ้อนวอนในดวงจิต สลักกลิ่นธูปในดวงใจ ร่างบางน้อมกายคำนับสามคราอย่างหวังว่าการสักการะสักครั้งจะส่งถึงผู้ใดสักตนบนสวรรค์ชั้นใดสักชั้น

   “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิเท่าใดนัก เอ้า เจ้าก็มานั่งกับอ้ายเจียเสียสักหน่อยสิ”

   “เพคะไท่โฮ่ว”

   จบที่นางต้องมานั่งขัดสมาธิหลับดวงตาตั้งจิตให้มั่นนั่งสมาธิราว ๆ เกือบครึ่งชั่วยามจนแทบจะเป็นตะคริวถึงได้กลับวังหลังที่นางไม่คิดว่าตนจะร้องเรียกหาถึงเพียงนี้มาก่อน…





[NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์

+50 บารมี เมื่อหัวใจไท่โฮ่วหรือหวงตี้เพิ่ม 1 ดวง
@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-8-13 23:22
โพสต์ 7480 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-8-13 23:17
โพสต์ 7,480 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-8-13 23:17
โพสต์ 7,480 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +1 ความโหด จาก บัณฑิต  โพสต์ 2024-8-13 23:17
โพสต์ 7,480 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก พู่กันขนแพะ  โพสต์ 2024-8-13 23:17

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +50 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x7
x70
x50
x10
x1
x40
x12
x33
x5
x42
x9
x40
x43
x1
x269
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x1
x11
x6
x1
x21
x33
x12
x2
x1
x19
x10
x5
x6
x3
x20
x4
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x247
x10
x4
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x105
x67
x33
x152
x6
x17
x81
x16
x10
x21

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2314
ความชั่ว
1069
ความโหด
2532
โพสต์ 2024-9-15 06:52:52 | ดูโพสต์ทั้งหมด




CHAPTER 27.3

วันที่สี่เดือนเก้าแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ
วันพุธ ช่วงเวลา 13:00 น.
เควสต์ปลดหัวใจไทเฮา : ศาลสัจจเทพอี๋เหอ

รถม้าเคลื่อนออกจากประตูฝั่งเสวียนอู่ ว่าถึงกฎมณเฑียรบาลผู้มีศักดิ์เช่นไทเฮามีสิทธิ์เข้าออกทางประตูหลักของพระราชวัง เพียงแต่การเสด็จพระราชดำเนินครั้งมิใช่พิธีการสำคัญ มิต้องการให้โดดเด่นสะดุดตา ฉะนั้นจึงใช้ประตูข้างในการเสด็จออก

สีพระพักตร์ของไทเฮาแฝงความกังวลอยู่บ้าง ทว่าวันเวลาผ่านมาเนิ่นนานมิได้มีการเคลื่อนกำลังพลที่สะกิดพระทัย ความหมองเศร้าหวั่นวิตกของพระนางจึงค่อยๆ คลายลงจนมีเรี่ยวแรงดำเนินพระราชจริยวัตรเช่นเก่าก่อน

หลงเยวี่ยอยู่ในวัยสาวแม้เป็นคุณหนูในตระกูลผู้ดีก็คล้ายถูกตามใจจนเสียคน รถม้าทั้งมืดและอึมครึม มีกลิ่นกฤษณาเพียงบางเบาทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง ถงกูกู่ที่นั่งมาด้วยก็คล้ายจะชินเสียแล้ว หลงเยวี่ยยิ้มบางเอ่ยว่า “ย่างเข้าเดือนเก้าดอกหอมหมื่นลี้เริ่มเบ่งบาน ถนนสิบหลี่มีหลายบ้านเรือนปลูกดอกหอมหมื่นลี้หลากสายพันธุ์ หม่อมฉันเห็นมีทั้งดอกหอมหมื่นลี้สีทอง (จินกุ้ย) ดอกหอมหมื่นลี้สีเงิน (อิ๋นกุ้ย) ดอกหอมหมื่นลี้สีแดง (ตันกุ้ย) และดอกหอมหมื่นลี้สีพระจันทร์ (เยวี่ยกุ้ย) สดสวยงดงามเพลินเพลินสายตายิ่ง”

“ดอกกุ้ยไม่ชอบอากาศหนาวและเย็นจัด เยวี่ยกุ้ยมีถิ่นกำเนิดที่แผ่นดินทางใต้ เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าเมืองหลวงมีดอกเยวี่ยกุ้ยเบ่งบานอย่างที่เจ้าว่ามาจริงหรือไม่”

หลงเยวี่ยรู้ว่าตนเองพลั้งปาก ดวงหน้าสวยสดจึงแดงก่ำ “หม่อมฉันทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าพระพักตร์แล้ว แม้ดอกเยวี่ยกุ้ยจะไม่บานแต่จินกุ้ย อิ๋นกุ้ย และตันกุ้ยยังคงเบ่งบานรอแสดงความกตัญญูให้พระองค์ทอดพระเนตรอยู่ทางด้านนอกเพคะ”

ไยไทเฮาจะไม่เข้าใจเจตนาของนาง ทรงขยับพระพักตร์บางเบา “อากาศด้านในอึดอัด ลองเปิดหน้าต่างเถิด”

หลงเยวี่ยเอื้อมมือแย้มบานหน้าต่างซึ่งมีม่านประดับพรางสายตาบุคคลภายนอกอีกหนึ่งชั้นมองเผินๆ คล้ายรถม้าของสกุลขุนนางสกุลหนึ่งออกไปไหว้พระ บางคนคิดว่าด้านในคงจะมีหญิงวัยกำดัดจึงได้เปิดหน้าต่างเช่นนี้— กลิ่นหอมอ่อนบางของดอกหอมหมื่นลี้คลอเคลียสายลมบางเบาแตะลงที่ปลายโสต ขับไล่ความอึมครึมในรถม้า และทิ้งความสดใสเจือจางไว้ที่บั้นปลาย สีพระพักตร์ของไทเฮาสดใสขึ้นมาก

ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอ่อนบางให้ชื่นจิต ทิวทัศน์ยามดอกไม้ร่วงโรยหลังฝนตกยังอ่อนละมุนหวานซึ้งในดวงใจ เปลวดอกกุ้ยฮวาหล่นกระจายตามโค่นต้นเป็นวงกว้างประหนึ่งดารดาษด้วยบุษราคัมเม็ดงาม ครากีบเท้าม้าย่ำเหยียบผ่านสายลมพลิ้วไหวหอบนำกลีบดอกบอบบางปลิวคว้างตามสายลม ราวกับเทพธิดาล่องลอยสู่สวรรค์ชั้นฟ้า งดงามอย่างน่าอัศจรรย์

“ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกลับงดงามแปลกตานัก” หวังจื่อทอดรำพัน มีกี่คราที่นางหยุดมองทิวทัศน์รอบด้านอย่างพินิจ วังหลวงชืดชาไร้สีสันประหนึ่งกรงนกใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยตาข่ายดักสัตว์ เนิ่นนานผ่านไปก็เริ่มเคยชินมองไม่เห็นสิ่งเล็กๆ ที่เปลี่ยนแปลง ประเดี๋ยวเดียวปลายสายตาก็ทอดไปไกลปะเข้ากับกลุ่มคนซึ่งสวมชุดขาดวิ่น ใบหน้าซอมซ่อ ท่าทางอิดโรย มองเห็นสายตาของไทเฮา ถงรั่วหลันก็ให้ทหารอารักขาผู้หนึ่งไต่ถาม ไม่ช้านานก็ได้ยินเสียงโลหะกระทบ นายทหารผู้นั้นวิ่งกลับมาแล้ว

“เรียนฮูหยินอาวุโสที่ด้านนั้นคือกลุ่มผู้ประสบภัยจากทางตอนใต้ โดยมากมาจากเมืองเจียงหนานที่เกิดอุทกภัยน้ำท่วมทั่วเขตเมือง ไม่อาจทำนา เสบียงกรังและผลผลิตเสียหายจึงมุ่งหน้าเสี่ยงตายมาที่ฉางอันขอรับ”

““นายท่านมีคำสั่งให้ช่วยเหลือลงไปแล้วไม่ใช่หรือ?” พระสุรเสียงเรียบนิ่งแฝงความกังขา

“มีคำสั่งจริงขอรับ ขอทานผู้นั้นเล่าว่า…ความช่วยเหลือมีลงไปแต่กิจการร้านรวงและผลผลิตต่างจมอยู่ใต้น้ำ บางผู้ล้มละลาย จึงได้คิดมาตั้งตัวใหม่ที่นี่ อีกทั้งบางกลุ่มอาจเพราะการแจกเสบียงไม่ทันการณ์จึงได้มาอาศัยเสบียงของเมืองข้างเคียงและเดินทางต่อมาที่ฉางอัน”

“...พ้นจากถนนนี้ไปแล้วให้เจ้านำเงินซื้อหาอาหาร ตั้งโรงทานแจกจ่ายสักหน่อย” ไทเฮาหลับพระเนตรอย่างแช่มช้า ละวางความสนใจจากภายนอก ทิ้งให้เสียงรถม้าดังกุมกับไปตามเส้นทาง ผ่านไปสักครู่ใหญ่จึงผินพระพักตร์มาทางหลงเยวี่ย เอ่ยถามราวกับมารดาสั่งสอนธิดา

“พ้นมาจากตรอกแล้วจึงให้คนตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารโดยไม่เปิดเผยชื่อเสียง เจ้าคิดเห็นเช่นไร—”

หลงเยวี่ยอมยิ้มบางระคนความอึดอัดใจ ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ทำให้ไทเฮาทอดพระเนตรภาพที่น่าอดสูเช่นนั้นอย่างคลุมเครือ “เรียนฮูหยินอาวุโส…” นางยกสายตาทรงเสน่ห์ไม่คล้ายคนที่ครุ่นคิดก่อนแล้วค่อยตอบ “ดูจากลักษณะแล้วผู้ประสบภัยเหล่านั้นซมซานยิ่งนัก จำนวนผู้เคราะห์ร้ายมองเผินๆ อาจไม่มากเท่าใด แต่กวาดสายตามองแล้วมีจำนวนหลายร้อยคน เรื่องมีใจบุญเอื้อเฟื้อนั้นเป็นชื่อเสียงที่ดีงามแพร่กระจายง่ายในหมู่ผู้ตกยาก นายหญิงอาวุโสแจกอาหารทางทิศประจิม ผู้ตกทุกข์ทางบูรพาเดินทางมาคอยท่า ทว่าเวลานี้ฮูหยินอาวุโสมาในทางลับมิได้มีพระเสาวนีย์กระทำการเอิกเกริกจะสร้างอันตราย คนพวกนั้นลำบากมากแล้ว…ไม่อาจคาดเดาว่าจะมิทำเรื่องไม่บังควร”

หวังจื่อพยักหน้าอย่างพอใจ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี มีเมตตาย่อมต้องไม่ทำให้ตนตกระกำลำบาก” เอ่ยแล้วก็ผินพระพักตร์ไปทางถงรั่วหลัน แย้มสรวลบางเบา “ศาสตร์ศิลป์การดนตรีของนางก็พอไปวัดไปวา แต่เรื่องประดานี้กลับมั่นใจนัก แปลกคนจริงๆ

ถงรั่วหลันแม้เป็นนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา แต่นี่มิใช่สถานการณ์ซึ่งต้องนำอำนาจนี้ออกมาใช้ จึงมิใคร่สะดวกออกปาก เพียงอมยิ้มรับคำกล่าวของไทเฮา ขบขันกับท่าทางเอียงอายของหลงเยวี่ย ไทเฮายังคงกล่าววาจาเราะร้ายหยอกล้อหญิงสาว

“ประหนึ่งเคยพบเจอเรื่องประดานี้”

ครู่นั้นหลงเยวี่ยมีนัยน์ตารวดร้าววาบผ่าน เมื่อหลายปีก่อนครั้งที่ตวนมู่เจี้ยนเต๋อรั้งรักษาการณ์ที่แถบระเบียงเหอซี เกิดเหตุทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ชาวเมืองอดยาก อาหารขาดแคลน หลงเยวี่ยยังเป็นเด็กไม่รู้ประสา ตอนที่เดินผ่านถนนมุมเมืองพบขอทานน้อยน่าสงสารจึงมอบขนมอบร้อนให้เขาหนึ่งชิ้น กลับไม่รู้ว่ามีสายตาอีกหลายร้อยคู่คอยจับจ้องเฝ้ามองนางจากมุมใด เห็นคนหนึ่งได้รับผู้อื่นก็ต้องการบ้าง นางถูกพวกเขาฉีกทึ้งควานหาข้าวของ โชคดีที่บิดาอยู่ไม่ไกล…เขาโกรธจัดจนถีบคนผู้หนึ่งล้มลง คว้าตัวนางจากพื้นดิน อุ้มกลับจวน ท่วงท่าองอาจกล้าหาญยิ่งนัก… หญิงสาวไล้ลายปักประดับบนผ้า สัมผัสถึงความอบอุ่นเลือนรางที่โอบล้อมหัวใจ

รอยยิ้มเฝื่อนขมปรากฏเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ตามฉบับสนมนางใน

“หากวันหน้ามีโอกาสให้ผู้น้อยได้ตั้งโรงทาน ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอย่าถือสาที่ผู้น้อยไม่กล้าแจกแจงนามตนเอง…ขอใช้ชื่อเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเกราะคุ้มภัย ตั้งโรงทานโดยใช้นามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”

หวังจื่อแค่นเสียงในลำคอ ไยจะไม่รู้ว่าหลงเยวี่ยอยากใช้สิ่งนี้เทิดเกียรติแก่นาง เมื่อมีคนชื่นชมก็จะชื่นชมไทเฮา มิใช่สนมไร้ราชทินนาม อาศัยเพียงชื่อสกุลอยู่ในตำแหน่งเล็กๆ ป่ายปัดปัญหาขัดแย้งมรสุมนานัปการที่อาจเกิดแก่ตนเองในวันหน้า อีกทั้งประกาศว่าเป็น ‘คนของตำหนักตะวันตก’ [ตำหนักเซวียนเต๋อ]

ฝ่าบาทมิใคร่โปรดปรานนาง จึงยากที่จะแก่งแย่งกับสตรีอื่นในวัง หวังจื่อยอมให้นางทำเช่นนั้นนับเป็นการคุ้มภัยสตรีที่ไร้ความโปรดปรานผู้หนึ่ง

ฝ่าบาทหวงตัวนักทั้งรักมั่นเพียงหญิงสกุลลู่และหญิงสกุลเว่ยเจีย ทิ้งให้หญิงสาวอีกมากมายต้องเปล่าดายในวัง ใช้เวลาไปกับงานอดิเรกอย่างไม่สิ้นสุด คิดแล้วก็ถอดทอนใจ “ใช้นามของข้าก็ต้องทำให้ดี อย่าให้ขายหน้าใครเด็ดขาด”

“ผู้น้อยรับคำสั่ง—”


ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลงที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง อักษรงดงามบนแผ่นป้ายซุ้มประตูประกาศนามขององค์เทพไท้ไว้ว่า “ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ” เป็นหนึ่งในบรรดาทวยเทพที่ผู้คนกราบไหว้บูชา ที่เมืองฉางอันมีผู้ทรงศักดิ์หลายท่านเคารพกราบไหว้ สัจจเทพอี๋เหอ จึงโด่งดังอย่างยิ่ง เมื่อก้าวลงจากรถม้าหลงเยวี่ยก็ประคองไทเฮาเดินผ่านซุ้มประตู…ความรู้สึกสงัดเงียบประหนึ่งมรรคาสวรรค์ฉายอยู่ภายใต้หลังคาทรงสลับซับซ้อนที่สร้างอย่างประณีต ใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ที่แผ่ปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ เกิดเป็นความร่มรื่นชวนให้ใจสงบ

หญิงสาวประคองฮูหยินอาวุโสไปจนถึงโถงด้านใน กล่าวกันว่า ผู้ฝักใฝ่ในทางธรรมจะโปรดปรานกลิ่นกฤษณาเป็นพิเศษ บัดนี้ภายในโถงกราบไหว้บูชาสัจจเทพอี๋เหอมีกลิ่นของเครื่องหอมกฤษณาลอยล่อง พระนางเอ่ยบางเบา ““ข้าอยากสวดภาวนาให้ผิงหยางสักหน่อย”

หลงเยวี่ยยิ้มละไม “ผู้น้อยจะอยู่ด้านข้างคอยปรนนิบัติฮูหยินอาวุโสเจ้าค่ะ”

รอบด้านถูกคนกันออกอย่างเงียบเชียบ บัดนี้ทั่วสี่ทิศทางล้วนแล้วแต่มีทหารองครักษ์ประจำอยู่แต่ละมุม ทิ้งให้บรรยากาศด้านในอยู่ในความสงบ

ควันธูปโชยตัวขึ้นสูงท้องนภาอย่างแช่มช้าประหนึ่งโอบอุ้มความปรารถนาให้ลอยล่องไป ไทเฮาประทับอย่างสง่างามพริ้มพระเนตรลง พลางนับลูกปัดสร้อยประคำในมือผสานกับพึมพำบทสวด นางนั่งลงที่ฟูกด้านข้างเยื้องหลัง มองพระพักตร์เทวรูปซึ่งสลักดวงหน้าอย่างสตรีผู้มากเมตตา ความรู้สึกล้ำลึกบางอย่างผุดขึ้นที่กลางใจของหญิงสาว

ทว่ากลับไม่อาจทราบนามของมัน ยากจะบอกว่าคุ้นเคย พรั่นพรึง หนักแน่น หรือสิ่งใด

หลงเยวี่ยหลับตาลง ชั่วชีวิตของนางมีความปรารถนานับร้อยหมื่นวนเวียน กลับไม่มีปรารถนาใดที่อยากเอื้อนเอ่ยวิงวอนให้พระองค์ประทาน นางเพียงนั่งหลับตานิ่งๆ พึมพำบทสวดถวายเป็นมหากุศลแก่พระพี่นางเคียงข้างไทเฮา จวบจนเวลาล่วงเข้ายามเซิน [15.00-17.00 น.]

ไทเฮาขยับร่างกายออกจากสมาธิ เสียงเพียงเล็กน้อยก็สามารถดึงดูดผู้ฝึกวิชายุทธ์เช่นหลงเยวี่ยได้แล้ว นางขับร่างอย่างคล่องตัวประคองไทเฮาลุกจากฟูก อาจเพราะนั่งเป็นเวลานาน ท่าทางของหวังจื่อจึงมิใคร่คล่องแคล่วว่องไว

“พาข้าเดินยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยเถิด…” หลงเยวี่ยยิ้มละไมรับคำ

ทิวทัศน์ด้านหนึ่งของศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอคือทิวเขาสลับซับซ้อน สีอ่อนจางไล่สลับจนสุดลูกหูลูกตาคล้ายภาพวาดทิวทัศน์ของศิลปินเลื่องชื่อฉากหนึ่ง สุดปลายสายทางมีสวนเล็กๆ ซึ่งประดับประดาด้วยโขดหินและสวนน้ำจำลอง มีดอกไม้นานาชนิดอวดโฉมบานสะพรั่งประหนึ่งได้รับการดูแลอย่างดี ที่เด่นชัดคือเบญจมาศสีเงินจันทร์ดอกหนึ่งแผ่กลีบดอกร้อยกลีบบานสะพรั่งราวกับพระจันทร์ในคืนไร้เมฆ งดงามหาใดเปรียบ ที่นั่นมีศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบเจียงหนาน นางกำนัลที่ตามเสด็จยกสำรับของรับประทานเล่นและน้ำชา

“ทางด้านนั้นจัดสำรับรองไทเฮาแล้ว ให้หม่อมฉันประคองไปนะเพคะ”

หวังจื่อแสร้งหยุดฝีเท้า ปรายสายตามองเด็กสาวข้างกาย “ไม่เรียกข้าว่า ‘ฮูหยินผู้อาวุโส’ แล้วหรือ?”

“หากพระนางไม่ถือสา วันนี้หลงเยวี่ยขอให้พระนางเห็นแก่ความทุ่มเทของหม่อมฉัน ไม่เอาโทษที่หม่อมฉันเรียกขานพระนางว่า ‘ฮูหยินอาวุโส’ จนมืดค่ำ” หลงเยวี่ยเอ่ยเย้าเสียงออดอ้อนพลางขยับเท้าอีกด้าน “ฮูหยินอาวุโสโปรดระวังเท้าเจ้าค่ะ”

นางประคองหวังจื่อนั่งที่ด้านหนึ่งของศาลา บนโต๊ะหินมีของว่างหลายชิ้น อาทิ ขนมกุ้ยฮวา ขนมเหอฮวาซู ขนมโก๋ ด้านหนึ่งมีกาน้ำชาอุ่นร้อนคล้ายเพิ่งออกจากเตาไฟ หลงเยวี่ยใช้ทักษะที่เรียนรู้มาจากถงกูกู่ปรุงพระสุคนธรสชาถวายไทเฮา เป็นน้ำชาหลงจิ่งที่มีกลิ่นหอมหวน ท่วงท่าการหยิบจับของหลงเยวี่ยแลดูบอบบางอ่อนช้อย ยากจะคิดว่านางที่มีนิสัยเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งจะถนัดวางตัวเช่นนี้

ดูไม่คล้ายธิดาผู้ดีมีสกุลเท่าไรนัก

“ผู้น้อยเตรียมเต้าหู้ซิ่งเหรินไว้เพื่อฮูหยินผู้เฒ่า เหมาะที่จะรับประทานกับน้ำผึ้งอบรำดอกหอมหมื่นลี้นัก ขอท่านโปรดลิ้มรส”

“รสชาติไม่เลว” หวังจื่อเอ่ยชมหนึ่งคำ “อย่าเอาแต่ปรนนิบัติข้า เจ้าก็รับของว่างด้วยกันเสีย”

เมื่อไทเฮากล่าวเช่นนั้นนางกำนัลผู้หนึ่งก็ขยับกายมารับงานจากหลงเยวี่ย ไทเฮาพยักหน้าเอ่ยเรียบง่าย ““ยกน้ำชา” หลงจิ่งจากกาใบเดียวกันรินรดลงบนแก้วชา ควันกรุ่นยังลอยอยู่ไม่ห่าง “ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า”

หวังจื่อเป่าชาเล็กน้อยพลางใช้ฝาถ้วยชาป่ายไอร้อนที่ด้านบน แล้วยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสง่างาม แตกต่างจากท่าทางดื่มชาเฉกเช่นคนชั้นสูงอย่างฉาบฉวยที่เคยเห็น “เป็นข้าที่ต้องขอบใจเจ้าที่อุตส่าห์มาสถานที่เช่นนี้เป็นเพื่อนหญิงแก่อย่างข้า”

จบเควสต์ปลดหัวใจไทเฮา
ข่าวลือวันที่ 25 เดือน 8 ผู้ประสบภัยจากเจียงหนาน 15 exp
+50 บารมีเมื่อหัวใจไทเฮาเต็ม 1 ดวง (ดวงที่ 2)
[NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว
หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+10
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง +10 ความสัมพันธ์ ชาเกรดทอง (เต้าหู้อัลมอนด์&ชาหลงจิ่ง)
+5 โบนัสความสัมพันธ์อาหารปรุง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ชงชา
+5 โบนัสพูดคุยประจำวัน
@@Admin 


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2024-9-15 09:45
คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2024-9-15 09:45
โพสต์ 35912 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-9-15 06:52
โพสต์ 35,912 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม จาก บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก  โพสต์ 2024-9-15 06:52
โพสต์ 35,912 ไบต์และได้รับ +3 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 ความโหด จาก บาดเจ็บสาหัส  โพสต์ 2024-9-15 06:52

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +50 ย่อ เหตุผล
Watcher + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x1
x18
x3
x3
x7
x8
x2
x3
x4
x4
x1
x2
x3
x5
x1
x3
x18
x1
x5
x3
x1
x1
x5
โพสต์ 2025-6-6 03:01:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ หก เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น.


          กลาวค่ำคืนที่มีดวงดาวนับพันใต้ท้องฟ้าสีเข้มของมหานครฉางอันมีร่างของใครบางคนกำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ภายในสถานที่อันซึ่งไม่อาจมีใครควรมาหากไม่มีความจำเป็นอะไรนัก แต่กลับมีร่างเล็กของสตรีวัย 15 ขวบปีนอนอยู่ เสียงของอะไรบางอย่างในยามเหม่าทำให้เธอลืมตาตื่นที่นี่ คิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ได้รับการบำรุงตลอดมันดีกว่าศาลเจ้าร้างเมื่อวานเสียอีก..

          แสงเทียนนับสิบ ๆ ดวงวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบราวกับเอาไม้บรรทัดมาวัดความห่างของเทียนแต่ละเล่ม มันอยู่บนแท่นบูชาเบื้องหน้าที่มีรูปเคารพขององค์สัจจเทพอี้เหอ ภายในศาลเจ้าที่แสนเงียบสงบแห่งนี้ หลังคาทรงสูงประดับประดาไปด้วยเสาค้ำสีแดงเข้ม ฝ้าฉลุไม้อย่างปราณีตและแผ่นของผนังนั้นเป็นบานเลือนแบบสวยงามเรียงรายรอบอาคารให้ความรู้สึกขแงความขึงขลังและมีพลังศักดิ์สิทธิ์ล่องลอยอยู่ภายในอากาศทุกอนูของอากาศบริเวณนี้และวงกว้าง ทุกสิ่งราวกับโดนหยุดไว้ในช่วงของห้วงเวลาเดียวกัน เงาของเทียนสะท้อนรูปเทพองค์นี้อย่างเรืองรองบนพื้นไม้เก่าแก่ ลมหายใจหากพ่นออกมามันคงเย็นรินประหนึ่งว่าโลกภายนอกนั้นไม่อาจเป็นความจริงได้เลย

          เสียงน้ำไหลแผ่วเบาจากกระบอกไม้ไผ่อยู่บริเวณด้านหลังของห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ร่างของสตรีร่างเล็ก เป็นเด็กสาววัยสิบห้าผู้กำลังอึนเพราะพึ่งตื่นนอนได้เมื่อครู่ก็หาววอดเล็กน้อย เธอยกมือบางของตนเองแล้วประคองน้ำล฿บใบหน้าของตนเบา ๆ ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับมีความเหนื่อยอ่อนแต่กลับมีชีวิตที่เงียบสงบราวกับผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ความจริงแล้วไม่เลย เธอแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง เธอลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาที่เงียบสงัดของมหานครฉางอันและอีกไม่นานมันก็จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า การใช้ชีวิต ได้วนกลับมาอีกครั้งเป็นตอนที่น่าลำบากเหลือก่อน สัญชาตญาณของเธอจะบอกให้ตนเองรับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามาภายในศาลเจ้าแห่งนี้

          เธอไม่ได้ออกไปเพราะเธอไม่ใช่ผู้ดูแล หรือเจ้าของ ที่แห่งนี้เธอเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้นเอง..

          หลินหยาขยับเอาน้ำกลั่วปากเพื่อล้างคราบน้ำลายบูดของตนเองโดยที่พยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเท่าที่เบาได้ เพราะเธอยังไม่อยากโดนมหาเทพมาลงโทษเธอเพราะไปทำให้ความสงบของผู้ที่มากราบไหว้นั้นเสียไป และเมื่อเธอเดินออกมา ก็เหมือนจะชะงักเล็กน้อย..เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

          ชายร่างสูงผู้หญิงที่ยืนสงบหน้ารูปเคารพของเทพ เขาสวมชุดคลุมสีเข้ม ก่อนค่อย ๆ นั่งลงแล้วก้มศีรษะก้มต่ำด้วยท่วงท่าของความที่เคยชินกับการแบกรับความหนักหนาภายในจิตใจของตนเอง เส้นผมสีดำสนิทถูกรวบขึ้นอย่างเรียบง่าย ใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนคนที่ไม่เคยมีแม้แต่รอยยิ้ม แต่เหมือนเขาจะมีริ้วรอยบาง ๆ แต่กลับดูเด็กอย่างน่าประหลาดจนไม่อาจเดาได้ว่าเขาอายุเท่าไร เส้นคิ้วดกเฉียงต่ำลงอย่างคนที่ครุ่นคิดอยู่เสมอ รูปลัการ์นั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับ…

          มีบารมีบ้างอย่างที่ชัดเจนอยู่ภายใน แม้แต่ตอนนี้ภายในศาลาของศาลเจ้าองค์สัจจเทพอี้เหอก็ยังคงแลดูเงียบลงกว่าทุกเวลาที่ผ่านมา

          ….ดวงใจของสาววัยสิบห้ากระตุกเบา ๆ ราวกับกลีบบุปผาที่โดนลมหยอกในยามเช้า แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาที่จะหลงใหลเพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษที่ไม่อาจรู้จักได้แม้สักนิด แค่บางครั้งอาจจะไม่ใช่..หมายถึงว่า..เขาเป็นมนุษย์ใช่ไหมนะ?

          บุรุษผู้นั้นอยู่ตรงหน้ารูปปั้นองค์เทพอย่างสงบเงียบในชุดอาภรณ์สีเข้มลายทอละเอียด คาดผ้าแพรแดงแต้มกลางอกสะท้อนราศีของผู้สูงศักดิ์เกินจะเอ่ย ใบหน้าเรียวยาวของเขาได้รูปผิวพรรณขาวสว่างกระจ่างแต่ไม่ใสมากนักไม่อ่อนแอ มอบความรู้สึกแข็งแกร่งเงียบงันเช่นดั่งเหล็กที่โดนหลอมผ่านการกลึงขึ้นเงาของรูปร่าง คิ้วเข้มเฉียงพาดคล้ายคมดาบที่เพียงตวัดมองผู้ใดก็อาจสร้างบาดแผลบางอย่าง สายตาคมดุจน้ำนิ่งไหลลึกยากที่จะหยั่งทะลุใจของผู้เป็นเจ้าของได้เลย แต่กลับเยือกเย็นอย่างน่ากลัว รับกับจมูกที่โด่งสันตรงกับโครงหน้าที่ไร้รอยยิ้ม ริมฝีปากของเขาบางแนบสนิทบ่งบอกถึงความที่ไร้การเปิดใจให้คนได้ง่าย ๆ เป็นแน่แท้…

        “....”

          หลินหยาพยายามที่จะละสายตาเพราะเธอกลับมองเขาและพิจารณามากเกินไปแล้ว เธอขยับจัวไปหยิบเอาผ้าเก่าในถังมาเริ่มชุบน้ำแล้วก็ถูพื้นไม้รอบ ๆ ศาลเจ้าและไม่เข้าไปใกล้แท่นบูชาที่กำลังมีคนอยู่ด้วยท่าทีอันขยันขันแข็ง เรียบเฉย ไร้เสียง และไม่มีการสบตาของกันและกัน มีเพียงการเคลื่อนไหวที่สงบสุขและการให้เกียรติสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

          แต่แล้วก็พบว่าฝีเท้าที่หนักแน่นเป็นเสียงเดินใกล้เข้ามาแต่ก็ไม่อาจใกล้จนเห็นว่าเข้ามาประติดตัว เขาไม่ได้สนใจเธอ ไร้การให้ความสงสัยแม้สักนิดราวกับว่าเธอเป็นธาตุอากาศของตรงนี้ เพียงแต่วันนี้มีเพียงความสงสัยใคร่รู้ว่าเขาเป็นใคร หมายถึงเธอนะที่อยากรู้ ไม่ใช่เขา เมื่อเขาไหว้เสร็จแล้วเธอก็มองอีกฝ่ายเล็กน้อย เหมือนกับจะไปทำความสะอาดบริเวณหน้าแท่นบูชานั้น

          ทั้งสองเดินผ่านกันเป็นครั้งแรก หลินหยาทำเพียงขยับตัวก้มลงเล็กน้อยไม่ขยับตัวสบดวงตาของเขา มันทำให้เธอพอจะเดาความสูงที่ต่างกันของเธอและเขาได้ ชายหนุ่มน่าจะอายุประมาณ 183 เซนติเมตร ส่วนเธอสูง 168 เซนติเมตร ประมาณ 15 เซนติเมตร..มันก็ชัดเจนที่จะต้องก้มลงน่ะนะ การสบตามองจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป..แต่มันทำให้เธอมองเห็นเรือนผมยาวเหยียดสีดำขลับของเขาได้อย่างชัดเจนเกินกว่าที่ตัวเองจะคิดได้ เขารวบไว้เรียบร้อยบางส่วนโดยมีเปียเล็ก ๆ ประดับศีรษะด้านข้างอย่างเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน พวงผมยาวละมุนไหลคลอไหล่ราวสายหมึกที่ละเลงด้วยมือช่างผู้ชำนาญ แววตาของเขาในยามนี้ไม่อาจบอกได้ว่าเจ็บปวดหรืออดกลั้น เพียงแต่ลึกและแน่นราวมีเรื่องคั่งค้างซุกซ่อนอยู่ใต้แผ่นหินกาลเวลาตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่อาจได้ยินเสียงอะไรอีก คิดว่าการพบกันครั้งนี้จะไม่มีกระทั่งคำพูดอะไรเลยสักหน่อย เพราะความหนาวเย็นยะเยือกที่เกาะช่วงด้านหลัง ความจริงมันคงจะเกาะกินหัวใจของเขาด้วยละมั้ง?

          แต่สุดท้ายก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นมาจนได้ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงราบเรียบนิ่งสนิทราวกับไร้อารมณ์และความรู้สึกแต่มีความแคลงใจเล็กน้อย มันห้วน สั้น กระชับ ไร้วามอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้หยาบคาย และเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกเธอว่าแม่นางด้วยซ้ำ

          “ขออภัยท่านชาย ข้ามาขออาศัยที่นี่ชั่วคราวระหว่างการเก็บเงินเพื่อไปเช่าห้องของโรงเตี๊ยม ขออภัยจริง ๆ หากทำให้ท่านรำคาญใจเมื่อเวลาสักการะ” เสียงของเธอเอ่ยขึ้นบอก ดวงตาตรงไปตรงมา ไม่มีแววของความหวาดกลัว ไม่อ้อมค้อม แต่มีมารยาทแล้วก็น้ำเสียงอ่อนนิดหน่อย ไม่ถึงกับเป็นสตรีสะพรั่ง ไม่งดงามเช่นนางรำหรือนางสวรรค์

          ชายหนุ่มไม่ทำอะไรหลังจากนั้น ไม่กระทั่งบอกว่าเข้าใจแล้ว หรือพยักหน้า  เขาเดินผ่านเธอไปอย่างไร้เยื่อใยทำราวกับเธอไร้ซึ่งตัวตน ก่อนที่จะหายออกไปจากประตูศาล ส่วนหลินหยาก็พ่นลมหายใจเพราะตอนนี้ความเย็นยะเยือกเมื่อครู่หายไปแล้ว เธอชอบหน้าตาของเขานะ แต่เธอไม่ชอบความเงียบของเขาเลยสักนิดเดียว คิดพลางส่ายหัวตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเดินไปทำความสะอาดหน้าแท่นบูชาองค์เทพสัจจเทพให้เรียบร้อย โดยที่บางทีเธออาจจะไม่รู้อะไรเลยสักนิด ว่าเขากับเธอ คือขั้วตรงข้ามคนละฟากกว่าที่เธอคิดเสียอีก

          เมื่อทำเสร็จก็ถอยออกมาแล้วไหว้องค์สัจจเทพอีกครั้ง “ข้าไปก่อนนะเจ้าคะท่านเทพ ขอบคุณที่วันนี้ท่านให้ข้านอนเฝ้านะเจ้าคะ ข้าทำความสะอาดศาลเจ้าให้เรียบร้อย ขอตัวไปทำงานก่อนนะเจ้าคะ” หลังจากเอ่ยบอกก็ไหว้ให้เรียบร้อย แล้วเดินทางออกจากพื้นที่ตรงนี้มุ่งรู้ร้านค้าแรกกันเลย!!





พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน


แสดงความคิดเห็น

ลาภลอย ทำงาน มีคนรีบเร่งขี่ม้าด้วยความเร็วในขณะคุณกำลังออกจากศาลเจ้าจงเกือบซนคุณเข้า ดีที่หลิวอันพุ่งมาคว้าตัวคุณกระโดดหลบทัน (โรลเพลย์สร้างสตอรี่ตามอัธยาศัย)  โพสต์ 2025-6-6 03:05
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-6-6 03:04
โพสต์ 20420 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-6-6 03:01
โพสต์ 20,420 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-6 03:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-6-6 17:37:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด



วันที่ หก เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 07.10 - 07.30 น. (ลาภลอย ทำงาน)


          ยามเช้าตรู่ของเวลาเช้าในศาลเจ้าของสัจจเทพอี้เหอนั้นอุ่นขึ้นนิดหน่อยจากการที่เมื่อคืนวานพึ่งผ่านพ้นมาแสงอาทิตย์ขึ้นจนละลายความหนาวเหน็บช่วงกลางคืนเสียอยู่หมัดในเวลาที่แสงของมันฉายลงมายังพื้นโลกใต้ฟ้าของฉางอัน แสงแดดบามสายที่ลอดช่องไม้ไผ่ทอดยาวจนเป็นลำบนพื้นศาลเจ้าที่เงียบสงบเสียเหลือเกิน แต่พึ่งโค้งตัวเบา ๆ เพื่อลาท่านเทพเจ้า แล้วหมุนกายาของตนเองออกจากอาคารไม่ของพื้นที่ตรงนี้อย่างเงียบ ๆ เธออยู่ในชุดผ้าฝ้ายที่ไม่ได้เก่ามาก สะอาดเรียบร้อย ดวงหน้าน่ารักราวตุ๊กตาหุ่นไม้กระบอกจิ้มลิ้มขยับดวงตาขึ้นอย่างอารมณ์ดี และภายในใจที่มีอีกเป็นหมื่นล้านคำและความหมาย ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนมีเจือร่องรอยความเหนื่อยล้าเพียงเล็กน้อย เหมือนคนที่กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวแบบคนที่ผ่านอะไรมามากกว่าวัย แต่ก็ไม่เลย เธอไม่ได้ผ่านอะไรมามากเลยล่ะ

          ทว่า..ขณะที่ย่างเท้าออกจากตัวศาลเจ้าอย่างช้า ๆ เสียงฝีเท้าของรถม้าในยามเช้าก็ดังขึ้นมาอย่างไม่สมควรจะเกิดขึ้นในสถานที่สงบ เสียงกีบเท้ามันกระพืบพื้นหินด้านหน้าศาลเจ้า ม้าตัวเขื่องสีดำทะมึนที่โดนชายวัยกลางคนมีเคราหนวดเฟิ้มเร่งควบมันมาจากเชิงเนินด้านไกลลิบ ๆ แต่ไม่นานก็พุ่งมากอย่างที่ไม่มีท่าทีจะชะลอต่อสิ่งใดสักครั้ง..

          ลุงแกกำลังจะซิ่งไปส่งของเป็นเดลิเวอรี่หรืออย่างไรอันนี้ไม่ทราบได้เลย

          !!!?

          หลินหยาตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเท้าเหยียบพื้นของถนนเพราะเธอไม่ได้ดูหรอ หรือเพราะรถม้ามันมาเร็วเกินไปจนเธอไม่ทันตั้งตัวเพราะตอนแรกเห็นอยู่ว่ามันอยู่ไกลกว่านี้แต่มันมาด้วยความเร็วสูงแบบ เดอะเฟลช ถ้าดริ๊บหลบได้ลุงแกคงทำไปแล้ว แต่มันไม่ได้นี้ไงล่ะ!!

          เวลาเหมือนหยุดลงในชั่วอึดใจของเธอ….จะเกิดอะไรขึ้นต่อกันนะ….

          เงาของร่างสีเข้มที่ซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้กำแพงศาลเจ้านั้นเมื่อเห็นตามสัญชาตฐาณก็พุ่งตัวเข้ามาโดยไม่มีเสียง ไร้ซึ่งคำพูดหรือความตกใจ ไม่มีกระทั่งเสียงก้าวเดินหรือเบี้ยงตัว เหมือนสายฟ้าอัศนีที่ฟาดแหวกกลางอากาศเข้ามาในความเงียบ

          พรึ่บ!!

          อ้อมแขนอันทรงพลังของชายผู้นั้นโอบรั้งร่างกายของเด็กสาววัยขบเผาะ(?) โอบร่างของหลินหยาไว้แน่น ก่อนที่จะกระชากออกจากรัศมีของรถม้าสีดำทะมินคันเขื่องที่ซิ่งเร็วปานวอกโดยกระโจรพาตัวกลับเข้าไปข้างใจเขตร่มของศาลเจ้า ทันทีที่ปลายเท้าของเขาแตะพื้นอีกครั้งเสียงกีบเท้าม้าก็พุ่งเฉียบผ่านตรงที่เด็กสาวยืนอยู่ไปเพียงปลายเส้นผมเล็ก ๆ จนเหมือนว่าหากเธอโดนชนเข้าจริง ๆ อาจจะสิ้นชื่อได้โดยง่าย

          หลินหยารู้สึกถึงแรงตึงไหล่ที่กดแน่นบนหัวไหล่ของเธอ แขนของชายหนุ่มที่นางไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครกำลังโอบไหล่เธอไว้แน่น ความสูงที่ห่างกันสิบห้าเซนติเมตรทำให้หญิงสาวเห็นความแตกต่าง มันราวกับเขาพึ่งดึงชีวิตและศีรษะของเธอจากใบมีดแห่งโชคชะตาหรือเคียวเก็บวิญญาณของยมทูต ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของเธอเงยหน้าขึ้ยสบกับใบหน้าเข้มขรึงเย็นยะเยือกของชายผู้นั้นอีกครั้ง…

          เขา?..มาช่วยหรอ?!

          “!!!”

          “ท่านชาย..เอ่อ..ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเพราะพึ่งจะได้กล่าวออกมาอย่างพึ่งได้สติจริง ๆ เพราะเมื่อกี้เธอตาลายแบบสงสัยจริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตามไม่ทัน หัวสมองประมวลผลไม่ออกเลยสักนิด ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาเพียงสบตากับเธอด้วยดวงตาที่ลึก ราบเรียบแน่วแน่มือบยังคงวางบนไหล่ของเธอสายตาไม่มีความเปลี่ยนไปแม้แต่สักเล็กน้อยก็ไม่มี แต่ที่เห็นคือคิ้วหนาของเขาขยับเข้าหากันอย่างไม่พอใจ เช่นคมดาบที่ขยับเข้าหากันบางเบาราวกับไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้สักนิด

          …. เมื่อเขาเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรก็สบัดตัวออกอย่างเงียบ ๆ ไร้ซึ่งความเขินหรือไร้ซึ่งความรู้สึกยิ่งกว่าช่วยสิ่งมีชีวิตเท่านั้นเพราะไม่อยากเห็นใครตายต่อหน้าต่อตา น้ำเสียงราบเรียบเฉียบราวกับคมมีดเอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีความลังเลอะไรในน้ำเสียงเลย

          “หากเจ้ายังอยากมีชีวิตจนถึงรุ่งเช้าพรุ่งนี้..” เสียงของเขาทุ้มต่ำไม่ดังขึ้น ไม่รุนแรง แต่เยือกเย็นพอที่จะทำให้หลินหยาต้องสะดุ้ง “อย่าก้าวพ้นเงาของศาลเจ้าโดยไม่มองข้างทางอีก”

          คำพูดที่สองต่อมายาวกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่มีความเมตตาเจืออยู่ในน้ำเสียงแต่ความเงียบนั้นกลับชัดเจนว่าเขาเลือกจะช่วยเด็กสาวตัวเล็ก แต่เขาก็ยังดึงกระชากเธอออกมาก่อนที่ม้าจะพุ่งเข้าใส่เธอ แม้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยบอกว่าเป็นห่วงแต่ก็มีเหตุผลจัด ๆ ที่รู้ว่าถ้าใช้ชีวิตด้วยความประมาทต่อหน้าตัวเองมันคือความอัปยศของการใช้ชีวิตที่น่ารำคาญสายตาเสียเหลือเกิน

          “เอ่อ…ขอบคุณเจ้าค่ะท่านชาย ข้าขอโทษด้วย รอบหน้าข้าจะระวังให้มากกว่านี้” หลินหยาเอ่ยบอกเขาเช่นนั้น..เธอก้มหัวลงเบา ๆ เป็นการขอบคุณ หวังว่าคนที่สวมเสื้อผ้าแพง ๆ คงไม่เรียกเงินค่าเก็บของจากเธอหรอกนะ แบบนั้นโหดร้ายเกินไปแล้ว ฮือออ แต่ไม่ว่ะ เขาไม่สนใจเลยสักนิด

          ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ เขาทำเพียงขยับตัวหมุนกายของตนเอง เดินไปยังสถานที่อื่นเพราะหากอยู่ตรงนี้ต่อไปเขาอาจจะรู้สึกว่านางไม่น่าจะใช้ชีวิตในฉางอันได้แม้สักวันก็ได้ ราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการหยิบของตกพื้น ไม่ใช่การช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง ส่วนทางเด็กสาวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรหรอก เอาตรง ๆ …

          “หล่อจัด แต่เย็นชาเหมือนป่าช้าหน้าหนาวเลย..” เธอพึมพำตอนที่เข้าเดินจากไปแล้วหัวเราะคิกคัก ๆ กับตัวเองคนเดียวก่อนที่จะเหลือบมองดวงอาทิตย์..มันน่าจะสายมากแล้ว!! ต้องรีบไปทำงานเสียแล้วสิ คิดพลางวิ่งออกจากศาลเจ้าเร็วกว่าที่คิดมุ่งหน้าไปยังร้านค้าภายในตัวเมืองฉางอันอย่างรวดเร็วสุด ๆ




@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 5 โพสต์ 2025-6-6 22:38
โพสต์ 16058 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-6-6 17:37
โพสต์ 16,058 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-6 17:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-6-26 09:53:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 26 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ


           ยามกลางคืนหายไปเมื่อดวงจันทร์เด่นเหนือยอดไม้ ใต้เงาสะท้อนของแสงเทียนในศาลเจ้า รูปปั้นเทะสตรีอี๋เหอผู้ทรงอำนาจในศีลสัตย์ยืนทอดเนตรเงียบงัน ใบหน้าสงบนิ่งนั้นราวกับรู้ทุกคำภาวนา หลินหยาซึ่งมาถึงศาลเจ้าอีกคราในชุดที่นางใส่ประจำ ทว่าเวลานี้ต่างออกไป เส้นผมของนางที่ถูกตัดจนสั้นถึงเพียงบ่า เผยต้นคอขาวสะอาดประหนึ่งรอยแผลทางใจได้หลุดร่วงไปกับปลายเส้นผมนั้นแล้ว

           เธอยืนนิ่งอยู่หน้าศาลเนิ่นนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ ก้มลงแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าองค์เทพ มือที่เคยอ่อนหวานจากการเป่าขลุ่ยนั้นยกขึ้นแนบอก แล้วโน้มกายลงแตะพื้นเย็นเฉียบ นางกราบศาลเจ้าสามครั้ง ทุกครั้งที่หน้าผากแนบแผ่นศิลาเย็นนั้น ราวกับเธอได้ตัดชะตากรรมเก่าออกไปอีกส่วนหนึ่ง ทุกลมหายใจคือการปลดเปลื้องความแค้น ทุกการคำนับคือการฝังอดีตไว้กับแผ่นดิน

           เสียงอธิษฐานเบาราวกระซิบกับสายลมดังลอดจากริมฝีปากแดงจางของนาง “ท่านเทพผู้ทรงสัตย์อันบริสุทธ์ ข้าผู้นี้ หนาน หลินหยา ขอวิงวอนขอพรเพียงข้อเดียว ขอให้ข้าหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความทุกข์ที่เป็นอยู่ ขอให้ข้ามีพลังพอที่จะให้อภัยผู้ที่ทำลายข้าทั้งชีวิต หากแม้นชะตานำพาเราให้พบกันอีก ข้าขอให้เขามิเห็นหน้าข้าหากเขาไม่ต้องการ ขอให้คำสัจย์ของข้านี้เป็นตราสัญญาแห่งการหลุดพ้น มิใช่เพื่อลืมเลือน แต่เพื่อเติบโต”

           ดวงตาคู่งามนั้นหลับตาลงช้า ๆ หยาดน้ำตาหยดสุดท้ายที่นางจะร้องให้กับเขาหล่นลงพื้นศิลา รอยยิ้มบางจางของนางปรากฎขึ้น มุมปากของหลินหยายกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มแห่งผู้ที่กลืนความขมขื่นนั้นลงไปในอก และแปรมันเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงเมล็ดแห่งชีวิตใหม่ จากนี้ไป นางจะเป็นผู้เลือกทางเดินของตนเอง จะไม่ปล่อยให้ใครอีกคนมาบงการความรู้สึกหรือกังขังหัวใจไว้กับความเจ็บปวดอีก

           หลังจากนั้นหลินหยาก็ขยับตัว นางนั่งสมาธิต่อหน้าองค์เทพราวกับจะใช้ช่วงเวลานี้ชำระล้างทั้งจิตใจและร่างกายของนางให้บริสุทธิ์อีกครั้งจวนจนเวลานั้นล่วงไปถึง 1 ชั่วยาม

           เมื่อหลินหยาลืมตาขึ้นจากสมาธิ แววตาของนางที่เคยหม่นเศร้ากลับเปล่งประกายบางอย่าง แม้จะยังเหนื่อยล้า แต่หัวใจของนางสงบเสมือนทะเลที่เพิ่งผ่านพายุ เสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ความปวดในอกคล้ายถูกกลืนหายไปกับคำอธิษฐานที่ทิ้งไว้ในศาลเจ้า หลินหยาค่อย ๆ ยืดกายลุกขึ้น จัดชายเสื้อให้เรียบร้อย แล้วหยิบเส้นผมที่หลุดร่วงติดชายเสื้อออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะเอื้อมมือไปรวบเส้นผมยาวระดับไหล่ขึ้นแล้วมัดด้วยเชือกเส้นเล็ก กลบเกลื่อนราวกับไม่เคยตัดเส้นผมมาก่อน คนภายนอกย่อมไม่มีใครสังเกตได้หากไม่ได้จับจ้องจริง ๆ

           มือขวาของนางที่ชกหน้าจางกงกงอย่างไร้สติเมื่อคืน แม้แผลถลอกไม่ลึก แต่ยามนี้กลับเริ่มบวมตึงเล็กน้อย ปลายนิ้วบาง ๆ นั้นแสบร้อน หนึบชา ขยับแล้วเหมือนมีแรงดันบางอย่างไหลเวียนอยู่ภายใน.. “อืม..”

           หลินหยาก้มลงดูมันนิ่ง ๆ แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะที่ขยับนิ้ว มันไม่ใช่เพียงความปวดของเนื้อหนังหลังชกใครเข้าไปด้วยแรงอารมณ์ ไม่ใช่อาการที่พึงมีของเพียงแค่มือที่บอบช้ำ แต่มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง กำลังแทรกตัวเข้าไปทีละนิด ลึกขึ้น ลึกขึ้นเรื่อย ๆ นางหลับตานิดหนึ่ง ร่างกายเธอไวต่อพลังปราณมากกว่าคนทั่วไป นางสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดแผกใรกระแสเลือด..

           “มัน..แปลกจัง” เธอกระซิบพึมพำกับตัวเอง

           กลิ่นเลือดที่ติดอยู่ปลายนิ้ว ไม่ได้เหมือนเลือดคนปกติ มันมีความร้อนแผ่วเบาแทรกตัวอยู่ในความเย็น เธอไม่รู้หรอกว่าเพราะกำลังของจางกงกงหรือเพราะสิ่งใด แต่บางอย่างกำลังเกาะกุมเธอไว้แล้วอย่างเงียบงัน นางทำเพียงหยิบผ้าผืนเล็กมาพันมือไว้เหมือนคนไม่ใส่ใจพร้อมกับยักไหล่บาง ๆ “ช่างมันเถอะ..เดี๋ยวก็คงหาย”

           แต่ร่างกายนางรู้ดี มันจะไม่หายไป..เมื่อเวลาผ่านไหทุกอย่างจะปรากฎเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่นางใช้แรง หรือหอบเหนื่อยหลังจากออกแรงเพียงเล็กน้อย พิษในสายเลือดนั้นจะค่อย ๆ แสดงอาการ ทรมารเธอจากภายในอย่างเงียบเชียบ เหมือนมังกรโบราณที่แฝงตัวอยู่ในเงา รอวันคืบคลานเข้าไปกัดกินหัวใจเธอ

           หลินหยาไม่รู้...ว่าสิ่งที่นางได้มาในคืนนั้น ไม่ใช่แค่รอยเจ็บแห่งความแค้น แต่คือคำสาปเงียบที่ถูกฝากไว้ในเลือดของเธอเอง





@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -

รางวัล: +5 ตบะฝึกฝน



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 12222 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-26 09:53
โพสต์ 12,222 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-26 09:53
โพสต์ 12,222 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-26 09:53
โพสต์ 12,222 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-26 09:53
โพสต์ 12,222 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-26 09:53

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +5 ย่อ เหตุผล
Watcher + 5

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-7-1 18:44:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 30 อู่เยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ (เวลา 09.00 - 11.00 น.)



ในยามสายเมื่อแสงตะวันเริ่มทอแสงแรงขึ้น ซูเหยาเดินทางมาถึงศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ แม้ศาลเจ้าแห่งนี้จะตั้งอยู่ในเมืองแต่กลับให้ความรู้สึกสงบเงียบ แตกต่างจากความวุ่นวายของตลาดที่เพิ่งจากมาอย่างสิ้นเชิง นางก้าวผ่านซุ้มประตูไม้แกะสลักอย่างช้า ๆ สูดหายใจลึก ๆ รับอากาศบริสุทธิ์ที่เจือกลิ่นธูปและดอกไม้บูชา


ภายในศาลเจ้าไม่ได้ประดับประดาอะไรมากนัก ซูเหยามุ่งตรงไปยังแท่นบูชาหลัก ที่ประดิษฐานองค์สัจจเทพอี๋เหอ รูปปั้นของท่านสง่างาม ใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา บ่งบอกถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนศรัทธา นางวางตะกร้าดอกไม้และผลไม้ที่เตรียมมาอย่างตั้งใจลงบนแท่นบูชา จุดธูปหอมดอกใหญ่สามดอก แล้วปักลงในกระถางทองเหลือง


ซูเหยาคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์สัจจเทพอี๋เหอ ประนมมือขึ้นเหนือศีรษะ หลับตาลงช้า ๆ ปล่อยจิตใจให้สงบระงับจากเรื่องราวเมื่อเช้าตรู่ เสียงสวดมนต์แผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของนาง


“ข้าพเจ้าซูเหยา น้อมกายถวายบูชาแด่องค์สัจจเทพอี๋เหอ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงจิตสงบ ขอให้ปัญญาบังเกิด ขอให้หลุดพ้นจากความกังวลทั้งปวง ขอให้ข้าพเจ้ามีสติในทุกย่างก้าว มีกำลังกายกำลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อสานต่อปณิธานอันสูงส่งของท่านตา เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ขอองค์สัจจเทพโปรดเมตตา ประทานพรให้ข้าพเจ้าได้พบหนทางอันกระจ่างแจ้ง และสามารถนำแสงธรรมที่ได้รับไปส่องนำทางแก่ผู้อื่นได้ด้วยเทอญ”


นางสวดภาวนาเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิ น้อมกายลงกราบสามครั้ง ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ห้วงแห่งการนั่งสมาธิ ซูเหยานั่งอยู่ในท่านั่งสมาธิอย่างสงบนิ่ง สองมือวางซ้อนกันบนตัก ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เสียงภายนอกค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือเพียงเสียงลมพัดกระทบกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ห้อยอยู่ตามชายคาศาลเจ้า


กาลเวลาดูราวจะหยุดนิ่ง ทว่าเมื่อครบหนึ่งชั่วยาม ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ลืมขึ้นช้า ๆ ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกล


“บังอาจนัก! ไม่รู้หรือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่องค์ไท่โฮ่วเสด็จมาเป็นประจำ รีบไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”


ซูเหยาหันขวับใบหน้าฉายแววตกใจงุนงง นางรีบลุกขึ้นยืน ทว่าก่อนที่นางจะทันได้ขยับตัว เสียงที่สองก็ดังขึ้น น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลแต่แฝงอำนาจบางอย่าง


“พอเถอะ อย่าได้ส่งเสียงเอะอะไปเลย นางมาก่อนก็ให้นางปฏิบัติจนเสร็จเถิด”


นางรีบหันกลับไปตามเสียงนั้น ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าทำให้นางถึงกับเข่าอ่อน สตรีสูงศักดิ์ในชุดแพรไหมงดงามปักลายหงส์สีทองอร่าม กำลังก้าวเข้ามาพร้อมขบวนขันทีและนางกำนัลกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละคนล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์ประณีต แสดงถึงฐานะอันสูงส่ง ใบหน้าของสตรีผู้นั้นดูทรงอำนาจยิ่ง ซูเหยาจำได้ในทันที...นางคือ องค์ไท่โฮ่ว!


ซูเหยาตกใจมากรีบหมอบกราบแทบไม่ทัน


“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมิได้ล่วงรู้มาก่อนว่า...ว่าจะทรงเสด็จมาในเวลานี้ ขอไท่โฮ่วโปรดอภัยในความบังอาจของหม่อมฉันด้วยเพคะ” ซูเหยารีบกราบทูล เสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นตระหนก


เสียงหัวเราะหึ ๆ ดังมาจากเบื้องบน


“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องตัวสั่นขนาดนั้นหรอก…เงยหน้าขึ้นมาสิ...” พระพักตร์ของไท่โฮ่วคลี่คลายลงเล็กน้อย เมื่อเพ่งพินิจใบหน้าของซูเหยาชัดเจนขึ้น


“เจ้า คือ...หมอหญิงที่ข้าพบที่โรงหมอเจิ้งเทียนเมื่อวานนี้ใช่หรือไม่” ไท่โฮ่วตรัสถาม น้ำเสียงไม่ได้ดุดันอย่างที่คิด


“เพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันเองเพคะ” ซูเหยารีบกราบทูลทันที


“ไม่ต้องกังวลไปหรอกหมอหญิง ความตั้งใจของเจ้าที่มาสักการะองค์สัจจเทพนั้นเป็นสิ่งอันประเสริฐยิ่ง” องค์ไท่โฮ่วตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงกว่าเมื่อครู่มาก “แล้ววันนี้เจ้ามาปฏิบัติธรรมแต่เช้า มีสิ่งใดที่อยากอธิษฐานเป็นพิเศษหรือ?”


ซูเหยาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ขององค์ไท่โฮ่ว นางก้มหน้าน้อย ๆ ด้วยความเคารพ 


“เรียนไท่โฮ่วเพคะ หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อสงบจิตใจและขอพรให้มีปัญญาในการช่วยเหลือผู้คนให้พ้นจากทุกข์ภัยเพคะ ท่านตาของหม่อมฉันเคยสอนว่า การรักษาโรคมิใช่แค่การจ่ายยา แต่คือการรักษาทั้งกายและใจ การมาที่นี่ทำให้หม่อมฉันรู้สึกสงบและมีพลังที่จะสานต่อปณิธานของท่านตาเพคะ”


องค์ไท่โฮ่วแย้มสรวล 


“เป็นคำกล่าวที่ลึกซึ้งนัก ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าจะมีความสามารถทางการแพทย์ เจ้ามีจิตใจที่งดงามนัก” พระนางทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อย “แต่ว่า…เจ้ามาแต่เช้าคงจะยังไม่ได้ทานอะไรใช่หรือไม่?”


“หม่อมฉันเตรียมอาหารมาบางส่วน เดิมทีจะนำมาให้ท่านหมอเจิ้งก่อนจะมาที่นี่แต่กลับพบว่าท่านไม่อยู่” ซูเหยากล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ตะกร้าที่วางอยู่ “หากไท่โฮ่วทรงอนุญาต หม่อมฉันขอน้อมถวายพระองค์ได้หรือไม่เพคะ?”


ขันทีข้างกายไท่โฮ่วรีบก้าวเข้ามาทันทีด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ 


“บังอาจ! ของที่ไม่รู้ที่มาเช่นนี้จะกล้าน้อมถวายไท่โฮ่วได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”


องค์ไท่โฮ่วโบกพระหัตถ์เบา ๆ 


“พอเถอะ อย่าได้เสียมารยาทไปหน่อยเลย หมอจะทำร้ายผู้คนได้อย่างไรเล่า” แต่ถึงอย่างนั้น ขันทีผู้นั้นก็ยังคงไม่วางใจ รีบนำเข็มเงินออกมาจากแขนเสื้อ จิ้มลงไปในอาหารทุกอย่างอย่างระมัดระวัง ก่อนจะชักเข็มกลับมาตรวจดู เมื่อเห็นว่าเข็มยังคงเป็นสีเงินบริสุทธิ์ ไร้ร่องรอยพิษภัยใด ๆ จึงถวายรายงานด้วยน้ำเสียงโล่งใจ 


“ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะไท่โฮ่ว”


องค์ไท่โฮ่วทรงทอดพระเนตรการกระทำของขันทีแล้วแย้มสรวลให้กับซูเหยา 


“เห็นไหม แม้จะดูยุ่งยากไปบ้าง แต่ก็ถือเป็นความหวังดีของพวกเขา” พระนางทรงรับของเหล่านั้นมาอย่างยินดี


องค์ไท่โฮ่วทรงทอดพระเนตรซูเหยาด้วยแววตาเมตตา 


“ในวังหลวง แม้จะมีผู้คนมากมาย แต่บางครั้งก็รู้สึกเหงาแปลก ๆ ได้มาพูดคุยกับชาวบ้านเช่นเจ้าบ้างก็สนุกดีเหมือนกัน” พระนางทรงยื่นพระหัตถ์มาแตะไหล่ของซูเหยาเบา ๆ 


“เจ้ามาที่นี่บ่อยหรือไม่?”


“หม่อมฉันจะพยายามมาให้ได้ทุกวันเพคะ หากไม่มีคนไข้ฉุกเฉิน” ซูเหยาทูลตอบอย่างนอบน้อม


“เช่นนั้นก็ดี วันหลังเจ้าก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าที่นี่อีกนะ ปฏิบัติธรรมด้วยกัน” องค์ไท่โฮ่วตรัสพร้อมรอยแย้มสรวล “ข้าก็อยากจะฟังความเป็นไปของราษฎรบ้าง ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร”


“เพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ” ซูเหยากราบทูลด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างแท้จริง การได้พูดคุยกับองค์ไท่โฮ่วโดยตรงเช่นนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่ง และพระเมตตาของพระนางก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด


องค์ไท่โฮ่วทรงพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย ก่อนจะทรงลุกขึ้นยืนช้า ๆ พร้อมด้วยความช่วยเหลือของนางกำนัล


“วันนี้เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมากทีเดียว”


“หม่อมฉันขอถวายพระพรให้ไท่โฮ่วทรงมีพลานามัยแข็งแรง และทรงพระเกษมสำราญเพคะ” ซูเหยารีบกล่าวพร้อมกับหมอบกราบลงอีกครั้ง


องค์ไท่โฮ่วแย้มสรวลบาง ๆ 


“เจ้าก็เช่นกันหมอหญิง ดูแลตัวเองให้ดี และอย่าได้ละทิ้งปณิธานอันดีงามของเจ้า” พระนางทรงหันไปทางขันทีและนางกำนัล “พวกเราไปกันเถอะ”


เมื่อซูเหยาถอยห่างออกมา ขันทีและนางกำนัลก็จัดการเตรียมการให้องค์ไท่โฮ่วทรงสักการะองค์สัจจเทพอี๋เหอ แท่นบูชาถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน มีการถวายเครื่องหอมชั้นดีและผลไม้หายากที่นำมาจากในวัง องค์ไท่โฮ่วทรงคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์สัจจเทพด้วยพระพักตร์สงบ ทรงหลับพระเนตรลงช้า ๆ และเริ่มสวดภาวนาด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา เช่นเดียวกับที่ซูเหยาได้ทำเมื่อครู่ บรรยากาศภายในศาลเจ้ากลับมาสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมพัดกระทบกระดิ่งเล็ก ๆ ที่ห้อยอยู่ตามชายคาศาลเจ้า และเสียงสวดภาวนาขององค์ไท่โฮ่วที่ดังกังวานเบา ๆ


ซูเหยาเดินออกจากศาลเจ้าด้วยจิตใจที่เบิกบานและเปี่ยมด้วยกำลังใจ ดวงตะวันยามสายทอแสงเจิดจ้ายิ่งขึ้น นางตัดสินใจกลับไปยังโรงหมอ ด้วยความหวังที่จะใช้ความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาของนางในการช่วยเหลือผู้คนต่อไปเหมือนที่ท่านตาของนางเคยสอนไว้ ในใจของนางยังคงก้องกังวานด้วยพระสุรเสียงขององค์ไท่โฮ่วที่เชื้อเชิญให้นางกลับมาสนทนาที่ศาลเจ้าแห่งนี้อีกครั้ง... บางทีพรุ่งนี้อาจเป็นอีกวันที่น่าสนใจก็เป็นได้…



+5 ตบะฝึกฝน ทุกครั้งที่นั่งสมาธิและกราบไหว้บูชาภายในศาลเป็นเวลา 1 ชั่วยาม



[NPC-02] มอบ น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีน และ สุราซีเฟิ่งให้ เซียวจื่อไท่โฮ่ว

+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-7-1 19:37
โพสต์ 26340 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 18:44
โพสต์ 26,340 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-1 18:44
โพสต์ 26,340 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-1 18:44
โพสต์ 26,340 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-1 18:44

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +5 ย่อ เหตุผล
Watcher + 5

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-7-4 01:56:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 3 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซื่อ (เวลา 09.00 - 11.00 น.)



หลังจากดูแลคนไข้รายสุดท้ายของยามเช้า ซูเหยาไม่รอช้านางหยิบตะกร้าสานที่บรรจุอาหารง่ายๆ แต่ปรุงอย่างประณีตด้วยมือของนางเอง มื้ออาหารที่ตั้งใจจะนำไปถวายแด่องค์ไทเฮาและเป็นเสบียงสำหรับตนเองตลอดการเดินทางที่ศาลเจ้าเถียนฉิงเวย ซูเหยาออกเดินทางทันทีมุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ ท่ามกลางแสงแดดที่เริ่มทอแสงจ้า


ณ ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ...


ทางเดินสู่ศาลเจ้าทอดยาวผ่านต้นไผ่อันเงียบสงบ เสียงใบไผ่เสียดสีกันตามแรงลมขับกล่อมตลอดทาง เมื่อก้าวผ่านซุ้มประตูไม้เก่าแก่ ซูเหยาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสงบและศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลไปทั่วบริเวณ


สายตาของซูเหยาพลันจับจ้องไปยังลานเบื้องหน้าศาลเจ้า ที่นั่นมีขบวนเสด็จเล็ก ๆ ขององค์ไท่โฮ่ว มาถึงก่อนแล้ว มีเพียงข้าราชบริพารไม่กี่คนยืนถวายการรับใช้อยู่ข้างพระองค์ องค์ไท่โฮ่วในฉลองพระองค์เรียบง่าย แต่ยังคงเปี่ยมด้วยสง่าราศี หันพระพักตร์มาทางซูเหยา พร้อมกับรอยแย้มสรวลบาง ๆ


“มาแล้วหรือหมอซู” พระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความเมตตาเอ่ยขึ้น


ซูเหยารีบทรุดกายลงคุกเข่า คำนับด้วยความนอบน้อม 


"ขอประทานอภัยเพคะ ที่หม่อมฉันมาถึงล่าช้า"


องค์ไท่โฮ่วโบกพระหัตถ์เล็กน้อย 


"ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน"


ทั้งองค์ไท่โฮ่วและซูเหยาเดินเข้าไปภายในโถงศาลเจ้า องค์สัจจเทพเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า กลิ่นธูปหอมฟุ้งอบอวลสร้างบรรยากาศอันขรึมขลัง ทั้งสองทรุดกายนั่งลงบนเบาะรองนั่งที่จัดเตรียมไว้เบื้องหน้าองค์สัจจเทพ


สองกายสงบนิ่งเริ่มต้นการบำเพ็ญสมาธิ สายลมเย็นพัดผ่านช่องหน้าต่างไม้ เสียงนกร้องประสานกับเสียงจักจั่น ทำให้จิตใจสงบเยือกเย็นยิ่งขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วทั้งสองก็เริ่มกราบไหว้บูชา พร้อมกับสวดภาวนา บทสวดมนต์ศักดิ์สิทธิ์ดังก้องกังวานอยู่ในโถงศาลเจ้า ผสมผสานกับเสียงภาวนาอันแผ่วเบาของแต่ละบุคคล


เวลาผ่านไปเนิ่นนานหนึ่งชั่วยาม การบำเพ็ญภาวนาสิ้นสุดลงในความสงบ องค์ไท่โฮ่วลืมพระเนตรขึ้น พระพักตร์ดูผ่องใสและเปี่ยมด้วยพลัง ซูเหยาก็รู้สึกถึงความสงบและเบาสบายในจิตใจเช่นกัน


“รู้สึกดีเหลือเกินที่มีหมอซูมาสวดภาวนาเป็นเพื่อน จิตใจสงบยิ่งนัก” พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน


“หม่อมฉันเองก็รู้สึกเช่นกันเพคะ” ซูเหยาตอบด้วยความเคารพ


“ช่วงนี้โรงหมอเจิ้งเทียนเป็นอย่างไรบ้าง คนไข้มากนักหรือ” องค์ไท่โฮ่วทรงเริ่มบทสนทนาต่อ “ชาวบ้านเป็นอยู่กันอย่างไรบ้าง มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดที่ข้าพอจะช่วยได้หรือไม่?”


ซูเหยาเล่าถึงสถานการณ์ของชาวบ้านอย่างละเอียด ทั้งเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่พบบ่อย ปัญหาความยากลำบากในการดำรงชีวิต และความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางได้พบเจอจากการออกตรวจรักษาผู้คน องค์ไท่โฮ่วทรงสดับฟังด้วยความตั้งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง มีบางคราที่พระองค์ทรงถอนพระทัยอย่างแผ่วเบาด้วยความห่วงใย


หลังจากสนทนากันได้สักครู่ องค์ไท่โฮ่วก็ทรงแย้มพระสรวลอีกครั้ง 


“หมอซู เจ้าช่วยตรวจสุขภาพให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่านอนหลับไม่ค่อยสนิทเลย”


ทันใดนั้นขันทีผู้ยืนอยู่ข้างกายองค์ไท่โฮ่วก็รีบก้าวเข้ามาค้อมตัว 


“องค์ไท่โฮ่วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าควรให้หมอหลวงประจำตำหนักถวายการตรวจพระวรกายจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ นางผู้นี้เป็นเพียงหมอชาวบ้านธรรมดา ประสบการณ์คงมิอาจเทียบเคียงหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญได้พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของขันทีแฝงความไม่วางใจในตัวซูเหยา


องค์ไท่โฮ่วปรายพระเนตรมองขันทีเล็กน้อย ทว่าพระพักตร์ยังคงสงบนิ่ง 


“เจ้าไม่ต้องกังวลไป หมอซูมิใช่หมอชาวบ้านธรรมดา นางมีฝีมือและมีจิตใจที่เมตตา ข้ารู้สึกวางใจในตัวนาง” พระองค์หันกลับมาทางซูเหยาพร้อมกับรับสั่งอย่างหนักแน่น “หมอซูเหยา ข้าเชื่อใจเจ้า ตรวจให้ข้าเถิด”


ซูเหยารู้สึกตื้นตันใจในพระเมตตาขององค์ไท่โฮ่ว 


“น้อมรับพระบัญชาเพคะ” นางตอบรับด้วยความนอบน้อม ตั้งใจจะใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อถวายการตรวจพระวรกายอย่างดีที่สุด


ซูเหยาค้อมกายลงใกล้ องค์ไท่โฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้ นางเริ่มตรวจชีพจรอย่างพิถีพิถัน นิ้วเรียวยาวสัมผัสพระชีพจรบนพระหัตถ์อย่างแผ่วเบา สัมผัสถึงจังหวะและลักษณะการเต้น ซูเหยาหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อรวมสมาธิ


"พระชีพจรของพระองค์ค่อนข้างละเอียดและอ่อนแรงนะเพคะ มีร่องรอยของชี่พร่องเล็กน้อย" ซูเหยาพึมพำกับตัวเอง


จากนั้นนางก็ดูอาการ พินิจดูพระพักตร์ขององค์ไท่โฮ่วอย่างละเอียด ทอดพระเนตรสีผิวที่ดูซีดจางเล็กน้อย สังเกตดวงพระเนตรที่ดูอ่อนล้า จากนั้นจึงขอให้องค์ไท่โฮ่วแลบพระชิวหาออกมา 


"ลิ้นของพระองค์มีฝ้าบาง ๆ สีขาว และมีรอยฟันที่ขอบลิ้นนะเพคะ" ซูเหยาสรุปข้อมูลที่ได้จากการตรวจ


เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนซูเหยาก็เริ่มวินิจฉัยโรค


"อาการบรรทมไม่หลับของพระองค์ เกิดจากภาวะหัวใจและม้ามพร่องนะเพคะ" ซูเหยาอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "หัวใจทำหน้าที่เก็บกักดวงวิญญาณและควบคุมการนอนหลับ ส่วนม้ามทำหน้าที่สร้างเลือดและชี่ เมื่อม้ามพร่อง เลือดและชี่ก็ไม่เพียงพอที่จะไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้จิตใจไม่สงบ จึงบรรทมไม่หลับเพคะ"


"แนวทางการรักษาจึงต้องเน้นที่การบำรุงเลือดและชี่ เสริมสร้างการทำงานของหัวใจและม้าม เพื่อให้จิตใจสงบและบรรทมหลับได้สนิทนะเพคะ" ซูเหยาอธิบายถึงหลักการรักษาอย่างละเอียด


ซูเหยาหยิบพู่กันขึ้นมาจากในกระเป๋า และบรรจงเขียนรายการสมุนไพรลงไปอย่างตั้งใจ แต่ละตัวอักษรคมชัดและเป็นระเบียบ


"หม่อมฉันจะจัดตำรับยาบำรุงเลือดและชี่ เพื่อช่วยให้พระองค์บรรทมหลับได้สนิทขึ้นนะเพคะ" ซูเหยาเอ่ยพลางยื่นใบสั่งยาให้ขันที 


"สมุนไพรในตำรับนี้จะประกอบด้วย ตังกุย เพื่อบำรุงเลือด หวงฉี เพื่อบำรุงชี่และเสริมภูมิต้านทาน ไป๋จู๋ และฝูหลิง เพื่อบำรุงม้ามและขับความชื้น และซวนเจ่าเหริน ซึ่งมีสรรพคุณโดยตรงในการช่วยให้นอนหลับเพคะ"


"ตำรับยานี้ให้ห้องเครื่องนำไปต้มกับน้ำสามชามให้เหลือเพียงหนึ่งชาม ดื่มก่อนบรรทมทุกคืนเพคะ" ซูเหยาให้คำแนะนำแก่ขันทีอย่างละเอียด


ขันทีรับใบสั่งยามาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากตอนแรกที่ดูแคลน องค์ไท่โฮ่วทอดพระเนตรซูเหยาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอพระทัย 


“ขอบใจเจ้ามากหมอซู ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นมากเมื่อได้เจ้ามาตรวจดู”


ซูเหยาค้อมกายลงอีกครั้ง 


"เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเพคะ ขอพระองค์ทรงดูแลพระวรกายให้ดีนะเพคะ"


ซูเหยาค่อย ๆ หยิบตะกร้าอาหารที่นำติดตัวมาแต่แรก เปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นภาชนะดินเผาขนาดเล็กที่บรรจุอาหารปรุงสุกอย่างประณีต 


“หม่อมฉันเตรียมอาหารเหล่านี้มาถวายพระองค์เพคะ ขอพระองค์โปรดนำกลับไปเสวยที่ตำหนักด้วยนะเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


ทันทีที่ซูเหยามอบตะกร้าอาหารให้ ขันทีก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขารับตะกร้าอาหารไปถือไว้ แล้วหยิบ เข็มเงินขนาดเล็ก ออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ จรดปลายเข็มลงไปในอาหารแต่ละชนิดอย่างระมัดระวัง แม้จะทำอย่างแนบเนียน แต่ซูเหยาก็สังเกตเห็นได้ถึงความกังวลและระแวงที่ฉายชัดในแววตาของขันทีผู้นี้


องค์ไท่โฮ่วแย้มพระสรวลอย่างอบอุ่น 


“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าช่างมีน้ำใจนัก” พระองค์ทรงรับรู้ถึงการกระทำของขันที แต่ก็มิได้ทรงตำหนิอันใด


เมื่อเห็นว่าอาหารไม่มีสิ่งผิดปกติ ขันทีก็ค้อมกายลง 


“ได้เวลาที่พระองค์จะต้องเสด็จกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


องค์ไท่โฮ่วพยักพระพักตร์ 


“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หมอซู”


ซูเหยารีบทรุดกายลงคุกเข่า 


“ขอพระองค์ทรงพระเจริญเพคะ” นางน้อมส่งเสด็จองค์ไท่โฮ่วที่หน้าซุ้มประตูศาลเจ้า ขบวนเสด็จเล็ก ๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างสง่างาม ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่สาดส่องลงมา


เมื่อขบวนเสด็จลับหายไปจากสายตา ซูเหยาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ราวกับปลดเปลื้องความกดดันที่แบกรับมาตลอดช่วงสาย ก่อนจะออกเดินทางเพื่อไปยังศาลเจ้าร้างเถียนฉิงเวยเพื่อทำในสิ่งที่ท่านไต้ซือได้ชี้แนะ



พรสวรรค์: หมอฝึกหัด (ไม้)

ทุกการโรลเพลย์รักษาชาวบ้านในอาการเล็ก ๆ อย่าง ไข้หวัด , โรคกระเพาะ , หมดสติจมน้ำ และโรคเล็กอื่น ๆ ได้รับ EXP +10


+5 ตบะฝึกฝน ทุกครั้งที่นั่งสมาธิและกราบไหว้บูชาภายในศาลเป็นเวลา 1 ชั่วยาม


[NPC-02] มอบ เป็ดเป่ยจิง และ สุราเซียนเมามาย เซียวจื่อไท่โฮ่ว

+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 10 EXP โพสต์ 2025-7-4 10:12
ไท่โฮ่วหัวใจถึงลิมิตแล้ว  โพสต์ 2025-7-4 10:11
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2025-7-4 10:11
โพสต์ 27145 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 01:56
โพสต์ 27,145 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-4 01:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
โพสต์ 2025-7-12 14:11:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด

荷香万里夏
กลิ่นบัวหอม คิมหันต์หมื่นลี้

วันที่สี่ ลิ่วเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด
ต้นยามซื่อ ( 09.00 น. )


   นานทีปีหนที่นางจะกราบไหว้ขอพร นางที่เป็นสตรีผู้ยึดมั่นในสองมือหาใช่เทพบรรดาลไม่ในกาลก่อนย่อมไม่ฝักใฝ่เข้ามาขอพรกระไรมากมายนัก ยิ่งเรื่องความรักที่แห้งเหือดในดวงใจแล้วยิ่งไม่หมายจะเข้าศาลเจ้าอันขึ้นชื่อด้านนี้ ทว่าในยามนี้ที่นางเพิ่งจะฝ่าด่านเคราะห์ราวกับเซียนบรรลุขั้น ต้องเสี่ยงเป้นตายเพื่อช่วยเหลือทายาทแห่งหนี่วา เช่นนั้นแล้วบัดนี้ความคิดของสตรีมนุษยนิยมเช่นนางก็พอเปลี่ยนไปบ้าง

   ยิ่งในช่วงเวลาที่ไร้ที่พึ่งพิงเช่นนี้การวางใจลงฝ่ามือแห่งสัจเทพชั่วขณะอาจทำให้นางสงบลงแม้เพียงครู่ก็เป็นได้

   “ช่วงนี่ลู่กุ้ยเฟยไม่อยู่ เห็นทีจะมีเพียงเจ้ากระมังที่นึกเห็นถึงอ้ายเจีย” เซียวจื่อไท่โฮ่วเอ่ยออกมาโดยที่มีแขนบางสีซีดของเว่ยเจียเหลียนฮวาคอยประคองไม่ห่าง “เจ้าเองก็เถิด กลับมาจากเดินทางไกลจนจับไข้ร่วมเจ็ดแปดวันถึงปานนั้นอ้ายเจียบอกให้พักผ่อนก็ไม่ยอมพัก ดื้อรั้นเสียจริง”

   “แล้วหม่อมฉันก็กลายเป็นสะใภ้อกตัญญูไม่ดูแลพระมารดาของฝ่าบาทน่ะหรือ หม่อมฉันย่อมไม่มีสิทธิเรียกตนเองว่าพระสนมหรอกเพคะ”

   “โฮะ โฮะ โฮะ ช่างพูดช่างจานักเจ้าเด็กคนนี้”

   วจีหวานที่เอ่ยปะเหลาะปะแหละเอาอกเอาใจสตรีผู้ที่ยังคงกุมอำนาจในวังหลังแต่เพียงผู้เดียวในยามนี้ เพื่อที่จะทำให้อำนาจของเจี่ยเจียยังไม่ห่างหายไปไหนนางจำต้องตีตนขึ้นเพื่อแผ่ขยายอิทธิพลให้กว้าง แม้จะดูข้ามหน้าข้ามตาเฟยทั้งสามสกุลโอวหยางไปบ้างแต่นั่นไม่ได้ทำให้นางต้องยอมถอยเลยแม้เพียงมิด

   สกุลโอหยางเป็นเฟยแล้วอย่างไร ในเมื่อนางก็แค่เป็นไม้กันหมาคาบขวางบัลลังก์หงส์เอาไว้ให้พี่สาว เมื่อถึงคราวที่นางต้องออกไปสู่โลกกว้างในฐานะอื่นหาใช่พระสนมไม่ พวกนางก็ไม่มีสิทธิมากยุ่งอะไรกับนางแล้ว จะลดยศฐา กลั่นแกล้งแล้วอย่างไร นางมิได้ใส่ใจอำนาจมากไปกว่านี้แล้วหากลู่ไป๋หรั่นกลับมา

   สตรีงามจากวังหลังเดินขบวนเข้ามายังศาลเจ้าแห่งนี้เสียใหญ่โต องค์ไท่โฮ่พาเว่ยเจียเหลียนฮวานั่งสวดภวนาขอพรอยู่นานเป็นชั่วยามเชียวกว่าที่จะได้ยินคำว่าเดินเล่นพักผ่อนจากพระโอษฐ์ของพระนาง

   “หม่อมฉันมีธุระต้องจัดการเล็กน้อย ฝ่าบาทเองก็ทรงพระราชานุญาตให้หม่อมฉันเดินเล่นอยู่นอกวังก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์ไท่โฮ่วผู้เลื่อมในในสัจเทพมาขอพรเพื่อบ้านเมืองจนใกล้ยามอู่จึงตระเตรียมน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนเป็นอาหารคลายหิว เช่นนั้นแล้วขอให้ไท่โฮ่วเหนียงเหนียงรักษาตัว ทูลลาเพคะ”

   “ไปเถิด ลำบากเจ้าต้องมานั่งสวดภาวนากับยายแก่เช่นอ้ายเจียเสียแล้ว”

   เว่ยเจียเหลียนฮวายกยิ้มสื่อว่านางไม่ได้รำคาญใจใด ๆ กับพระนางก่อนจะยอบกายเพื่อถอยหนีห่าง ในช่วงเวลานี้เองนางแสร้งเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ จนเดินพ้นไปยังจุดที่ร้างผู้คนก่อนจะเปลี่ยนชุดที่ให้จ้าวหนิงเฟยตระเตรียมไว้ก่อนหน้า

   โดยระหว่างทางนั้นมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายถึงเรื่องเมื่อคืนนี้

   “นั่นพระสนมเว่ยเจียเสียนอี๋หรือเปล่า”

   “มีสหายสนิทของข้าทำงานในวัง นางเล่าว่าเมื่อคืนสนมเว่ยเจียปรนนิบัติค้างคืนกับฝ่าบาทอีกแล้ว ดูท่าฐานะเฟยคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ตระกูลเว่ยเจียวาสนาดีจริง ๆ”

   “เป็นเช่นนั้นหรือ ทว่าตำแหน่งเฟยเต็มไปด้วยสตรีแซ่โอวหยาง นางจะได้ตำแหน่งใดกัน”

   “ข้าว่าต้องกลายเป็นพระสนมเสียนเฟยแล้วดันพระสนมโอวหยางเสียนเฟยตกคูน้ำจากยศเฟยเป็นแน่ ก็นางออกจะเหมือนกันทั้งชื่อยศทั้งนาม ราวกับคัดพระสนมเสียนอี๋มาวางแล้วแย่งความโปรดปรานไประหว่างที่พระสนมออกไปทำภารกิจต่างแดนยากลำบากเป็นแน่”

   “สกุลโอวหยางนี่ร้ายกาจกว่าที่คิดจริง ๆ”




[NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง
(หากเป็นอาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม)

@Admin




แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-7-12 14:59
โพสต์ 12267 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-12 14:11
โพสต์ 12,267 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-12 14:11
โพสต์ 12,267 ไบต์และได้รับ +10 EXP +2 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-12 14:11
โพสต์ 12,267 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม จาก อัจฉริยะ  โพสต์ 2025-7-12 14:11
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
พัดบุปผาบานจันทร์เพ็ญ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x10
x7
x70
x50
x10
x1
x40
x12
x33
x5
x42
x9
x40
x43
x1
x269
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x1
x11
x6
x1
x21
x33
x12
x2
x1
x19
x10
x5
x6
x3
x20
x4
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x247
x10
x4
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x105
x67
x33
x152
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-7-17 18:56:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 12 ลิ่วเยว่ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 

ยามซื่อ (เวลา 09.00 - 11.00 น.)



สายลมอ่อนยามรุ่งอรุณพัดผ่านป่าไผ่ ส่งเสียงเสียดใบเบา ๆ ดั่งท่วงทำนองแห่งธรรมชาติ ซูเหยาสะพายตะกร้าหวายบรรจุอาหารเรียบง่ายที่นางตั้งใจจัดเตรียมเองด้วยมือ เดินอย่างเงียบสงบไปตามเส้นทางดินที่ทอดยาว รอบด้านเงียบสงัด ยิ่งย่างใกล้ศาลเจ้าสัจจเทพอี๋เหอ กลิ่นกำยานและเสียงกระดิ่งลมก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นในโสตประสาท


ศาลเจ้าแห่งนี้ป็นสถานที่ซึ่งไท่โฮ่วเสด็จมาสวดมนต์เป็นประจำ ซูเหยาเดินทางมาที่นี่ด้วยจิตแน่วแน่ นางมิได้หวังเพียงแค่ขอพร แต่ลึกในใจนางเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้พานพบพระองค์อีกครั้ง เพื่อแสดงความขอบคุณต่อห่อผ้าไหมล้ำค่าที่นางได้รับมาอย่างไม่คาดฝัน นางรู้ดีว่านั่นมิใช่เพียงสิ่งของ แต่เป็นพระเมตตาจากเบื้องบนที่โอบอ้อมอารีแก่ราษฎรธรรมดาผู้หนึ่งเช่นนาง


เมื่อถึงศาลเจ้า นางหยุดยืนหน้าบันไดศิลาก่อนประนมมือลงอย่างสงบ ดวงตาหลับพริ้มพลางกล่าวคำอธิษฐานเบา ๆ ให้เสียงนั้นปลิวตามสายลมขึ้นไปถึงท้องฟ้า จากนั้นจึงเข้าไปด้านในหย่อนกายลงนั่งบนพื้น ท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนยามเช้าและเงาไม้ไหวเอน นางนั่งสมาธิหลับตา ตั้งจิตแน่วแน่ใ แม้เวลาจะล่วงผ่านไปหนึ่งชั่วยาม แต่ซูเหยามิได้กระวนกระวาย เพียงเฝ้ารอด้วยใจมั่นคง ดั่งสายน้ำที่เชื่อมั่นว่าวันหนึ่งจะได้หลั่งไหลสู่มหาสมุทร


ณ เวลาที่สายลมเริ่มแผ่วเบา แสงตะวันยามเช้าสาดส่องลอดผ่านพุ่มไม้ เงาไม้ไหวเอนเป็นจังหวะเดียวกับที่ซูเหยาเริ่มคลายสมาธิ นางลืมตาช้า ๆ พลางหายใจเข้าอย่างสงบ 


ทันใดนั้นเสียงประกาศก็ดังมาจากหน้าศาลเจ้า ประกาศการเสด็จมาขององค์ไท่โฮ่วดังแว่วมาแต่ไกล เสียงฝีเท้าทหารองครักษ์ และการเคลื่อนไหวของขบวนรถม้าสะท้อนออกมาอย่างมีระเบียบ ซูเหยารีบก้มกายลงอย่างนอบน้อม หน้าผากเกือบแนบพื้น ดวงตาไม่กล้าสบ เหมือนนางเป็นเพียงหยาดฝนเล็ก ๆ ที่กำลังรองรับหยาดพระกรุณาจากฟากฟ้า ท่ามกลางเสียงประกาศที่ว่า


"ไท่โฮ่วเสด็จ!"


พระองค์เสด็จเข้ามาอย่างสงบงามสง่าในอาภรณ์แพรพรรณลวดลายเมฆามงคล สีฟ้าอ่อนแต่งขลิบทองสว่างสะท้อนแสงแดดยามเช้า ผมยาวดำถูกรวบอย่างเรียบร้อยด้วยปิ่นหยก เสียงฝีเท้าของเหล่าขันทีและสาวใช้เบื้องติดตามมาไม่ห่าง


เมื่อองค์ไท่โฮ่วเสด็จเข้ามาในศาลเจ้า กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ยามเช้าคลอเคลียกับกลิ่นกำยานที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ พระพักตร์ของพระองค์สงบและเปี่ยมด้วยเมตตา ดวงพระเนตรกวาดมองไปรอบ ๆ และจับจ้องยังร่างอันนอบน้อมของซูเหยาที่ก้มกายอยู่เบื้องล่าง


"อ้าว...หมอหญิงซู วันนี้มาแต่เช้าเชียวคงเสร็จธุระแล้วกระมัง ลุกขึ้นเถิดไม่ต้องพิธีรีตองนัก" พระสุรเสียงนุ่มนวลและคุ้นเคยเอ่ยทัก ราวกับสายลมที่พัดพาลำนำแห่งความคุ้นเคยมาสู่ซูเหยา


ซูเหยาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนริมฝีปาก นางพยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างสงบเสงี่ยม แล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ


"เพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันเพิ่งนั่งสมาธิเสร็จพอดีเพคะ" ซูเหยาตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ดวงตาคู่สวยทอประกายความยินดีระคนกับความตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสพบพระองค์อีกครั้ง "หากไท่โฮ่วมีพระประสงค์ให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อน หม่อมฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ"


ไท่โฮ่วทรงแย้มสรวลเล็กน้อย พระพักตร์เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน


"ดีจริง เช่นนั้นก็อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนเถิด ข้ายังอยากสนทนากับเจ้าอีกหลายเรื่อง"


ซูเหยาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในพระเมตตาขององค์ไท่โฮ่วอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกขอบคุณท่วมท้นอยู่ในใจ นางโค้งคำนับอีกครั้งพร้อมกล่าวตอบด้วยความปีติ 


"เป็นพระกรุณาเพคะไท่โฮ่ว"


ไท่โฮ่วทรงพยักหน้าให้ซูเหยา จากนั้นจึงเสด็จไปประทับยังเบาะรองนั่งเบื้องหน้าแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ สายพระเนตรจับจ้องไปยังพระพุทธรูปเบื้องหน้า พระหัตถ์ประนมพร้อมร่ายบทสวดมนต์แผ่วเบา ศาลเจ้ากลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงสวดมนต์ขององค์ไท่โฮ่วที่ดังกังวานแผ่วเบาผสมผสานกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องหน้าต่าง ซูเหยาเลือกนั่งลงบนพื้นอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย นางมองดูแผ่นหลังอันสง่างามขององค์ไท่โฮ่วด้วยความเคารพ ศรัทธา และความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาในใจ


เวลาผ่านไปอีกชั่วยาม เมื่อบทสวดมนต์จบลง องค์ไท่โฮ่วทรงลืมพระเนตรขึ้นช้า ๆ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา พระพักตร์ดูผ่อนคลายและสงบยิ่งขึ้น พระองค์ทรงหันมาทางซูเหยาพร้อมแย้มสรวล

 

"วันนี้จิตใจของข้าสงบยิ่งนัก" พระสุรเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตา "เจ้าก็เช่นกันสินะหมอหญิงซู"


ซูเหยารีบโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม


"เพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งที่ได้มา ณ ที่แห่งนี้เพคะ" ซูเหยาคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ "และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรับใช้ไท่โฮ่วเพคะ"


ไท่โฮ่วทรงทอดพระเนตรมองซูเหยาด้วยความเอ็นดู


"ข้ารู้สึกสบายใจเมื่อได้สนทนากับเจ้า หมอหญิงซู" ไท่โฮ่วกล่าว "เจ้ามีความคิดที่ลึกซึ้งและจิตใจที่บริสุทธิ์"


ซูเหยารู้สึกตื้นตันใจกับพระราชดำรัสที่เปี่ยมด้วยความเมตตา นางหยิบตะกร้าหวายที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมา และค่อยๆ เปิดผ้าที่คลุมอยู่ด้านบนออก เผยให้เห็นอาหารเรียบง่ายที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ข้างในมีล่าจื่อลู่และสุรานารีแดงบรรจุอยู่ในขวดกระเบื้อง


"หม่อมฉันนำของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาถวายเพคะไท่โฮ่ว" ซูเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "เพื่อเป็นการขอบพระทัยสำหรับห่อผ้าไหมอันล้ำค่าที่พระองค์ประทานให้เมื่อวันก่อนเพคะ"


ไท่โฮ่วทอดพระเนตรไปยังตะกร้าในมือซูเหยา ก่อนจะเลื่อนสายพระเนตรมาสบกับดวงตาของหมอหญิงสาว


"ห่อผ้าไหมนั่น เจ้าเปิดดูแล้วหรือยัง?" พระสุรเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม


ซูเหยาตอบตามความจริงด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม


"กราบทูลไท่โฮ่ว หม่อมฉันยังมิได้เปิดดูเลยเพคะ"


ไท่โฮ่วทรงแย้มสรวลเล็กน้อย พยักพระพักตร์เบาๆ


"ดีแล้ว...จงเปิดเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจริงๆ นั่นแหละจึงจะดีที่สุด”


"เพคะไท่โฮ่ว" ซูเหยาตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม


ไท่โฮ่วทรงผายพระหัตถ์ไปยังเบาะรองนั่งข้างพระองค์ 


"มานั่งใกล้ๆ ข้าเถิดหมอหญิงซู ไม่ต้องเกรงใจ"


ซูเหยารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางก้าวเข้าไปใกล้และนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้า


"ช่วงนี้บ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง" ไท่โฮ่วตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน "ชาวบ้านชาวช่องเป็นสุขสบายดีหรือไม่?"


ซูเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 


"กราบทูลไท่โฮ่ว โดยรวมแล้วราษฎรต่างอยู่เย็นเป็นสุขเพคะ แม้จะมีบ้างที่เจ็บป่วยไม่สบายตามฤดูกาล แต่ก็ได้รับการดูแลจากหมอในพื้นที่อย่างทั่วถึงเพคะ"


"เช่นนั้นก็ดีแล้ว" ไท่โฮ่วพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัย "ข้าเป็นห่วงความเป็นอยู่ของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเสมอ ยิ่งช่วงนี้อากาศแปรปรวนเช่นนี้ ยิ่งต้องระวังดูแลรักษาสุขภาพให้ดี"


"เพคะไท่โฮ่ว" ซูเหยาตอบรับ "หม่อมฉันเองก็กำชับให้ชาวบ้านดูแลตนเอง ดื่มน้ำอุ่น และพักผ่อนให้เพียงพอเพคะ"


"เจ้าทำได้ดีมากหมอหญิงซู" ไท่โฮ่วตรัสชมเชยด้วยพระพักตร์เปี่ยมเมตตา "เจ้าเป็นผู้ที่ใส่ใจราษฎรอย่างแท้จริง"


"เป็นพระกรุณาเพคะไท่โฮ่ว" ซูเหยาโค้งคำนับเล็กน้อย


ทั้งสองสนทนากันถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เรื่องการดูแลสุขภาพตามฤดูกาล การเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหาร ไปจนถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ซูเหยาเล่าเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอในการออกตรวจรักษาผู้คนให้ไท่โฮ่วฟัง ด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจและใส่ใจในทุกรายละเอียด ไท่โฮ่วทรงฟังอย่างตั้งพระทัย บางครั้งก็ทรงแย้มสรวล บางครั้งก็ทรงพยักพระพักตร์แสดงความเข้าใจ


"ข้ารู้สึกเบิกบานใจยิ่งนักที่ได้สนทนากับเจ้าหมอหญิงซู" ไท่โฮ่วตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน "เจ้าเป็นเหมือนสายลมเย็นที่พัดพาความสดชื่นมาสู่ข้า"


ซูเหยารู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก นางทำได้เพียงโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ 


"เป็นพระกรุณาเพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันต่างหากที่รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พระองค์เพคะ"


การสนทนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไร้ซึ่งความเบื่อหน่าย จนกระทั่งแสงอาทิตย์เริ่มทอดยาวลง เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านนอกศาลเจ้า ขันทีเฉินปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูศาลเจ้าพร้อมถวายความเคารพ


"กราบทูลไท่โฮ่วพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลาที่ต้องเสด็จกลับวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม


ไท่โฮ่วทรงทอดพระเนตรไปยังซูเหยาด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา 


"เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก"


"เพคะไท่โฮ่ว" ซูเหยาตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกเสียดายที่ต้องจากลา


"เอาเถิด" ไท่โฮ่วตรัส "วันนี้ข้ามีความสุขมากที่ได้พบเจ้าหมอหญิงซู หวังว่าเราคงมีโอกาสได้พบกันอีก"


"เพคะไท่โฮ่ว หม่อมฉันจะรอคอยพระองค์เสมอเพคะ" ซูเหยาตอบด้วยความจริงใจ


ไท่โฮ่วทรงแย้มสรวลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทรงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ซูเหยารีบทรุดกายลงคุกเข่าก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมอีกครั้ง เมื่อขบวนเสด็จของไท่โฮ่วเคลื่อนผ่านไป เสียงกระดิ่งลมที่เคยดังกังวานแผ่วเบาลง พร้อมกับกลิ่นกำยานที่จางหายไปในอากาศ ซูเหยายังคงอยู่ในท่าเดิม นางรู้ดีว่าวันนี้มิใช่เพียงแค่การได้แสดงความขอบคุณ แต่เป็นการเริ่มต้นของสายสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างไท่โฮ่วผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและหมอหญิงธรรมดาอย่างนาง



+5 ตบะฝึกฝน ทุกครั้งที่นั่งสมาธิและกราบไหว้บูชาภายในศาลเป็นเวลา 1 ชั่วยาม


[NPC-02] มอบ ล่าจื่อลู่ และ สุรานารีแดง เซียวจื่อไท่โฮ่ว

+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)

อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 

โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-02] เซียวจื่อไท่โฮ่ว เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-7-17 19:44
โพสต์ 29877 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-17 18:56
โพสต์ 29,877 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-7-17 18:56
โพสต์ 29,877 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2025-7-17 18:56
โพสต์ 29,877 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +10 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-7-17 18:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
หมอพเนจร
หมวกถังเจียน
ศาสตร์การบำเพ็ญ
ตำราสมุนไพรหายาก
แหวนดาราจรัส(D)
จี้หยกรูปปลา
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x73
x200
x1
x1
x1
x6
x46
x4
x21
x16
x1
x27
x53
x50
x210
x180
x1
x2
x2
x10
x36
x66
x54
x30
x1
x20
x3
x100
x2
x2
x452
x1
x34
x2
x2
x1
x30
x50
x50
x20
x10
x10
x6
x23
x44
x20
x4
x2
x30
x15
x6
x9
x10
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้