[บันทึกการเดินทาง] : ความจริงแท้

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-19 16:51

top-img







บันทึกการเดินทาง


[ ความจริงแท้ ]

ดวงจิตถูกพันธนา  จำจอง
รักเก่าแฝงครรลอง  กักไว้
ท่านเคยทำให้ย้ำ  มีค่า
แท้ใช่รักหรือไร้  หวั่นกลัว เดียวดาย

ความจริงหากเปิดเห็น  ทุกส่วน
คำลับจักเผยควร  ย่อมรู้
สารภาพใช่เพราะหวน  เจ็บเจ้า
แต่เพื่อคงอำนาจอยู่  กักช้ำ เงาจน

โชคชะตาจักกั้น  ทางเดิน
หากหลงแสงลวงเกิน  บ่วงคล้อง
กล้าเหลือตนหลุดพ้น  เส้นกรรม ดับสิ้น
รักแท้ย่อมส่องสว่าง  หลุดพ้น พันธนา



ผู้บันทึก

หนาน หลินหยา

ลุยเดี่ยว

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4871 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-30 17:23
โพสต์ 2025-7-30 20:21:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-30 22:29

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 30 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ นครหลวงฉางอัน มณฑลซือลี่ - เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


          ฟ้ารุ่งอรุณที่ฉางอันค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีหม่นคล้ำเป็นสีทองอ่อนเมื่อแสงแรกของยามเหม่าแทรกผ่านม่านหมอกบางเหนือกำแพงเมือง รถม้าคันเล็กของขบวนสินต้าที่หลินหยากับเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าขึ้นนั่งอยู่ด้านในเริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปตามถนนหินเรียงที่ทอดยาวสู่ประตูทิศใต้ เสียงกีบม้ากระทบพื้นหินดังก้องสม่ำเสมอเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นแรงของนางเอง ความเย็นยามเช้าทำให้ปลายนิ้วของนางสั่นเล็กน้อย แต่ภายในกลับลุกโชนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตื่นเต้น หวาดหวั่น และเหนื่อยล้ากับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า

          ในมือของนางกำบันทึกที่ได้มาจากท่านซินแสตงฟาง ตัวอักษรจาง ๆ ที่เขียนด้วยหมึกลายมืองดงามยังคงบอกเล่าเรื่องราวของหญิงชั้นในนางหนึ่งซึ่งชื่อถูกลบหายจากทุกบันทึกทางการ ราวกับคนผู้นั้นไม่เคยมีตัวตน แต่กลับเป็น "คำตอบ" ของคดีที่ถูกกลบฝัง และเป็นจุดเชื่อมโยงบางสิ่งระหว่างหัวใจนางกับจางกงกง ผู้ที่นางไม่อาจลืมได้ไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ความเงียบภายในรถม้าเต็มไปด้วยเสียงหายใจของเซียนเฉ่าที่เอนหัวพาดตักนาง นางลูบขนนุ่มของมันพลางเหม่อมองนอกหน้าต่าง เห็นทุ่งกว้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามด้วยแสงตะวัน

          เส้นทางไปเมืองหนานหยางยาวไกล ใช้เวลานานผ่านหมู่บ้านเล็กหลายแห่ง และคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูง หลินหยาต้องเตรียมใจรับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แม้การเดินทางครั้งนี้อาจทำให้นางสูญเสียสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นหนทางเดียวที่จะค้นหาความจริงแท้ที่อยู่เหนือคำโกหกและความเจ็บปวดในอดีต

          เมื่อเข้าสู่ช่วงสาย รถม้าหยุดพักที่ศาลาริมทางซึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ เสียงใบสนพัดกราวราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวเก่าแก่ นางยกน้ำขึ้นจิบ รู้สึกถึงสายตาของชายชราเจ้าของศาลาที่มองมาด้วยแววแปลกประหลาด เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว "ผู้กล้าที่จะตามหาความจริง จงจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นมิใช่สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้ยินมิใช่สิ่งที่แท้" แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้หลินหยาเงียบงันเพราะนางมักจะพบเจอคนแปลก ๆ จนช่วงนี้รู้สึกว่ามันแปลกเกินไปแล้วล่ะ

          รถม้าออกเดินต่อจนเข้าสู่เขตเมืองหนานหยางยามเย็น วันแรกของการเดินทางจบลงที่โรงเตี๊ยมไม้ซอมซ่อแต่เงียบสงบ ที่นั่นนางได้ข่าวคราวว่าหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ต้องข้ามสะพานไม้เก่าที่ไม่มีผู้กล้าเดินยามค่ำคืนเพราะเล่ากันว่ามีเงากระเรียนขาวลึกลับเฝ้าอยู่ คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่หลินหยาจะได้พักโดยไม่มีอันตราย

          แสงจันทร์ส่องลอดหน้าต่างห้องพักเข้ามา เจ้าหมาน้อยขดตัวอยู่ข้างเตียง หลินหยานั่งกอดเข่ามองแสงเงาในห้อง พลางเอื้อมมือแตะบันทึกลับอีกครั้ง ใจของนางสั่นระรัวเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นการเผชิญหน้ากับคำลวงและน้ำใจแท้ที่สับสนไม่ต่างจากเงาจันทร์ในสายน้ำ และที่ปลายทางของเส้นทางนี้… ความจริงแท้กำลังรออยู่ ท่ามกลางเสียงระฆังยามพลบที่จะดังสะท้อนทั่วบั้นปลายของภารกิจนี้

          เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวอยู่ข้างหลินหยาเงยหน้าขึ้นมาอย่างสง่างาม ดวงตากลมใสส่องประกายใต้แสงจันทร์ ริมฝีปากเล็กของมันคลี่ยิ้มราวกับเข้าใจทุกสิ่งที่นางเก็บเงียบในใจ เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนที่มีสำเนียงผู้ดีเอ่ยขึ้นเบา ๆ “เหตุใดคุณหนูหลินจึงไม่เอนกายพักผ่อนเล่าขอรับ? ร่างกายที่อ่อนล้าย่อมไม่ช่วยให้อุปสรรควันพรุ่งนี้เบาบางลงนะขอรับ”

          หลินหยาเลื่อนสายตาจากบันทึกลับมามองมัน นางหัวเราะแผ่วราวกับประชดชะตาตนเอง “เจ้าก็พูดเก่งเหมือนขุนนางแก่ ๆ เลยนะเซียนเฉ่า ไปจำจากที่ไหนมาอีกล่ะ ข้า…นอนไม่หลับ ดวงใจข้ายังว้าวุ่นเกินกว่าจะปิดเปลือกตาลง” นางลูบหัวมันต่ออย่างเงียบงัน ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “เส้นทางข้างหน้ามันเต็มไปด้วยเงาในอดีต ข้าไม่รู้ว่าความจริงที่รออยู่จะทำให้ข้าหัวเราะหรือร้องไห้…แต่ข้าก็กลัว” เซียนเฉ่าขยับตัวเข้ามาใกล้ วางหัวเล็ก ๆ บนแขนของนางอย่างถนอม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

          “คุณหนูหลินอย่ากลัวเลยขอรับ แม้จะมีหมอกหนาทึบปิดบังทาง หากมีใจกล้าและดวงวิญญาณที่มั่นคง ย่อมพบแสงสว่างในที่สุด ข้าจะอยู่ข้างคุณหนูเสมอ”

          คำพูดอ่อนโยนของเจ้าหมาน้อยเหมือนสายลมอุ่นพัดคลายความหนาวในอก หลินหยาพ่นลมหายใจอีกครั้งอย่างแผ่วเบา ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกระชับกอดมันไว้แน่นขึ้น “เจ้าพูดจาราวกับข้าเลี้ยงสุนัขเซียน ไม่ใช่สุนัขปีศาจเลยนะ เซียนเฉ่า…” นางหัวเราะบาง ๆ ก่อนจะเอนตัวอุ้มเซียนเฉ่าขึ้นเตียงลงนอนข้างมัน ในที่สุดหัวใจที่ว้าวุ่นก็เริ่มผ่อนคลายลงภายใต้เงาจันทร์คืนนั้น พร้อมกับความตั้งใจใหม่ว่าพรุ่งนี้…จะก้าวไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าให้ได้

          เซียนเฉ่าตัวผู้ที่ถูกอุ้มขึ้นเตียงอย่างทะนุถนอมส่งเสียงหงิงเบา ๆ ก่อนจะเลียแก้มหลินหยาเหมือนกำลังบอกว่า ข้าอยู่ตรงนี้ แววตากลมโตของมันเป็นประกายคมใสใต้แสงตะเกียง ราวกับเข้าใจทุกความวิตกที่นางเก็บไว้ในใจ หลินหยาลูบหัวมันต่อช้า ๆ ขณะมองตัวอักษรบนบันทึกเก่า ดวงตาเรียวหวานเต็มไปด้วยความตั้งใจปนกังวล ข้อความในบันทึกเล่าถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น “หุบเขาที่ไอหมอกไม่เคยจาง แม้ยามแดดแรงก็ยังมืดมัว ผู้ใดเข้าสู่ที่แห่งนี้หากหัวใจไม่มั่นคงจะหลงทางไปตลอดกาล” นางเม้มปากแน่น ความกลัวแทรกซึมในใจ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นเพราะเสียงหายใจอุ่น ๆ ของเจ้าหมาน้อยข้างกาย

          เซียนเฉ่าเอียงหัวพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามแบบผู้ดีที่ติดหรู “คุณหนูหลิน เหตุใดจึงปล่อยให้ความกังวลกัดกินจิตใจเช่นนี้เล่าขอรับ? พรุ่งนี้ยามเราข้ามสะพานเก่าไปสู่หุบเขา ข้าจะคอยเดินเคียงข้าง มิให้เงาหมอกใดพัดพาท่านหลงทาง”

          “เจ้าพูดอย่างกับเจ้าจะปกป้องข้าได้ทุกอย่างเลยนะ เซียนเฉ่า” หลินหยาหลุดยิ้มบาง ๆ

          สุนัขน้อยเชิดหน้าขึงอกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายมั่นใจ “หากเป็นข้า แม้ต้องเห่าขับหมอกหรือกัดเงาปีศาจ ข้าก็จะทำ เพื่อคุณหนูหลิน”

          นางหัวเราะเบา ๆ อย่างอ่อนใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น นางกอดมันแน่นก่อนพึมพำกับตัวเอง “ดีแล้ว…ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน” ใต้แสงจันทร์ที่สาดผ่านหน้าต่าง เสียงลมพัดต้นสนด้านนอกดังก้องประสานกับลมหายใจอุ่น ๆ ของสุนัขน้อยตัวผู้ที่เฝ้านางอย่างซื่อสัตย์ คืนนี้แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล หลินหยาก็หลับไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มมีความกล้าผุดขึ้นทีละน้อย

          หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ขณะเกาคางเจ้าเซียนเฉ่า เจ้าหมาน้อยเชิดหน้ารับสัมผัสนั้นด้วยท่าทีภาคภูมิราวกับสุนัขผู้สูงศักดิ์ นางถามเสียงแผ่ว “เจ้าไม่ลำบากหรือที่ต้องตามข้ามายังสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้? ลำบากใจหรือไม่? หรือเจ้าจะอยากอยู่ที่ร้านกับท่านชายไป๋และเจ้าแมวชือฟ่านมากกว่ากันเล่า?” เซียนเฉ่าหันหน้ามาสบตานาง ดวงตากลมใสประกายแข็งขันตอบกลับด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น “คุณหนูหลินอย่าได้กังวลเลยขอรับ ข้า…เป็นสุนัขสามหัวที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ! เพื่อเจ้านาย ข้าจะภักดีสุดหัวใจ ไม่ว่าหมอกหนาเพียงใด ข้าก็จะเห่าให้มันแตกสลาย!” ท่าทางเอาจริงเอาจังในร่างเล็ก ๆ นั้นน่ารักเสียจนหลินหยาหลุดหัวเราะพรืด ก้มหน้าลูบหัวมันพลางพูด “งั้นคืนนี้เราก็นอนกันเถอะนะ”

          แต่เมื่อเอื้อมมือไปดับตะเกียง นางกลับหยุดมือกลางอากาศ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้บางอย่าง นางหันไปหยิบสมุดบันทึกที่ถูกห่อด้วยผ้าสีหม่นออกจากห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อเล่มนั้นไม่ได้หรูหราโอ่อ่าเหมือนตำราราชสำนัก หากแต่เป็นเพียงสมุดทำมือที่เย็บอย่างเรียบง่าย ปกผ้าสีทึบเก่าเก็บดูไม่ต่างจากสมุดโน้ตธรรมดาของคนเดินตลาด ทว่าหลินหยารู้ดีว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นมีค่ามากเพียงใด

          เมื่อพลิกเปิดหน้ากระดาษ กลิ่นกระดาษเก่าที่คงถูกถนอมไว้ดีลอยมาแตะจมูก ตัวอักษรที่บรรจงเขียนด้วยลายมือเรียบร้อยและเป็นระเบียบปรากฏต่อสายตา แต่ละบรรทัดแฝงไปด้วยความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นของเสี่ยวจ้าวจื่อ เด็กชายผู้ซ่อนพรสวรรค์ไว้หลังเงาวังหลวง ภายในตำรานี้บันทึกทั้งสูตรอาหาร เทคนิคปรุงรส และเคล็ดลับลับเฉพาะที่สืบทอดจากขันทีเฒ่าเติ้ง อาจารย์ผู้ล่วงลับที่เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวหลวง ทุกหน้ากระดาษเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ครัวที่แท้จริง

          หลินหยาลูบปลายนิ้วตามอักษรที่เขียนด้วยหมึกจางราวกับจะสัมผัสถึงมือของเสี่ยวจ้าวจื่อในวันวานที่บรรจงจด นางพลิกไปยังหนึ่งเมนูที่เขียนด้วยหมึกเข้มกว่าเพื่อน ‘ข้าวอบหอมหมื่นลี้’ ชื่อเมนูปรากฏเด่นกลางหน้ากระดาษ คำอธิบายบอกถึงการคัดเลือกข้าวพันธุ์พิเศษที่ต้องแช่น้ำสมุนไพรหอมก่อนหุง การควบคุมไฟที่ต้องสม่ำเสมอ และเคล็ดลับสำคัญคือต้องมี ‘ดอกไม้หอม’ แห้งวางในเตาไฟเพื่อให้ควันอบซึมเข้าสู่เมล็ดข้าว ความละเอียดละออในแต่ละขั้นทำให้หลินหยารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอาจารย์ของเสี่ยวจ้าวจื่อคอยสอนอยู่ในเงา

          นางอ่านอย่างตั้งใจทุกถ้อยคำ ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงสว่างวาบอย่างมีความหวัง เมื่อปิดสมุดนั้นลง หลินหยาสูดหายใจลึก ลูบหัวเซียนเฉ่าอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหม เซียนเฉ่า... วันหนึ่งข้าจะทำเมนูนี้ให้ทุกคนได้กินด้วยมือของข้าเอง”

          เซียนเฉ่าเงยหน้าขึ้นพยักหน้าเล็ก ๆ พร้อมหาวเบา ๆ แล้วซุกตัวเข้าหาอกนางเหมือนจะบอกว่า ไม่ว่าหนทางจะยากเย็นเพียงใด ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ใต้แสงจันทร์คืนนั้น หลินหยาเก็บตำราลับไว้ใต้หมอน หลับไปพร้อมกับความอบอุ่นของสุนัขผู้ซื่อสัตย์ และความฝันที่เริ่มหอมราวกับข้าวหมื่นลี้

          กลางดึกเงียบสงัด แสงจันทร์สาดลอดหน้าต่างไม้เก่าเข้ามาเป็นลำจาง ๆ หลินหยาที่กำลังหลับอย่างสงบพลันรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ข้างกาย นางลืมตาขึ้นก็เห็นเจ้าเซียนเฉ่าลุกขึ้นนั่งตัวแข็ง ขยับไปมาเหมือนหาที่นอนไม่สบาย ใบหูขยับเล็กน้อยพลางถอนหายใจหงิง ๆ น้อย ๆ บนเตียงที่สปริงขึ้นสนิม เสียงไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มันพลิกตัว

          หลินหยามองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนหัวเราะเบา ๆ อย่างกลั้นเสียง “เจ้ามันหมาติดหรูของแท้จริง ๆ นะเซียนเฉ่า” นางลุกขึ้นนั่ง เกลี่ยผมที่ปรกแก้มออกแล้วเอื้อมมือเกาคางมันเบา ๆ เจ้าเซียนเฉ่ามองนาง ดวงตากลมใสแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าพยายามแล้วนะขอรับ แต่เตียงนี่มันช่างต่ำต้อยเหลือเกินจะรับได้” หลินหยาหยิบมือแหวนดาราจรัสขึ้นมาส่องในแสงจันทร์ เพชรกะรัตน้ำงามบนแหวนเจิดจรัสราวดวงดาวในค่ำคืน คุณสมบัติพิเศษของมันคือการกักเก็บสิ่งของไว้ในมิติเล็ก ๆ ด้านในที่กว้างใหญ่ราวกับโลกอีกใบ นางเพียงบิดปลายนิ้วเล็กน้อย ม่านแสงบาง ๆ ปรากฏขึ้น ก่อนม้วนผ้าที่เคยพับเก็บไว้ก็ถูกดึงออกมาอย่างนุ่มนวล จากนั้นนางจัดวางม้วนผ้านั้นคลี่บนเตียง เพิ่มความนุ่มให้เจ้าหมาน้อยสบายขึ้น

          “เจ้าหลับไม่สบายเพราะเตียงใช่ไหม? งั้นข้าจะทำให้เจ้าฝันดีเอง” หลินหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะบิดแหวนอีกครั้ง ดึงขลุ่ยออกมาเครื่องดนตรีที่นางรักที่สุด เธอยกมันขึ้นแนบริมฝีปาก บรรเลงท่วงทำนองช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบ ขลุ่ยส่งเสียงแผ่วหวานราวกับสายลมพัดผ่านทุ่งดอกไม้ แทรกซึมไปทั่วห้องแคบ

          เซียนเฉ่าหยุดขยับทันทีเมื่อเสียงดนตรีคลอหู มันเอนหัวลงบนม้วนผ้าที่นางปูไว้ ดวงตาค่อย ๆ ปรือ ปลายหางกระดิกเบา ๆ ตามจังหวะ เสียงขลุ่ยของหลินหยานั้นทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น ปลอบประโลมเหมือนอ้อมกอดของฤดูใบไม้ผลิ ลมกลางคืนพัดกลิ่นดอกหญ้าเข้ามาผสมกับเสียงเพลงราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังฟังนาง

          “เซียนเฉ่า หลับเถอะเจ้าตัวน้อย…คืนนี้ข้าจะกล่อมเจ้าเอง” นางพึมพำขณะบรรเลงต่อ เสียงเพลงคล้ายดวงดาวร่วงหล่นลงในความฝัน เจ้าเซียนเฉ่าขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ ของมันแนบข้างนาง ในที่สุดก็หลับสนิทอย่างสุขสบายใต้แสงจันทร์ที่ส่องประกายบนแหวนดาราจรัสที่ยังสวมอยู่บนนิ้วหลินหยา ราวกับดาวเฝ้ามองพวกเขาสองในค่ำคืนสงบ

          เสียงขลุ่ยของหลินหยาดังขึ้นกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ราวกับสายหมอกแรกของรุ่งอรุณที่แผ่วผ่านภูผา ท่วงทำนองนั้นมิใช่เพียงเพลงกล่อม หากแต่คือบันทึกการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด ทุกลมหายใจที่นางเป่าออกไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่สั่นสะเทือนวิญญาณ เสียงแรกพริ้วหวานราวน้ำค้างแรกยามเช้า ปลอบโยนทุกหัวใจที่เหนื่อยล้า เสียงต่อมาแหลมคมดุจคมดาบ ลึกซึ้งจนทะลวงม่านสติของผู้มีจิตคิดร้าย

          หลินหยาหลับตาลง ปล่อยให้หัวใจนำพานิ้วเรียวบนรูขลุ่ย เสียงนั้นมิได้เป็นเพียงเสียงดนตรี แต่คือมนตราอาคมที่สอดแทรกในทุกอณูอากาศ พลังจากจิตวิญญาณของนางก่อเกิดเป็นกระแสคลื่นที่แผ่กระจายออกไปทั่วห้องไม้เก่า ผนังที่ผุพังและเพดานที่มีรูรั่วกลับสะท้อนเสียงอย่างไพเราะลึกซึ้ง

          แม้แต่เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าก็เริ่มหายใจสม่ำเสมอ ร่างเล็ก ๆ ขยับตัวซุกเข้าหาผ้าห่มนุ่มที่นางปูไว้ ลมหายใจของมันสอดคล้องกับจังหวะเพลง ดวงตาปรือหลับสนิทในอ้อมเสียงที่ห่อหุ้มด้วยความปลอดภัย

          ท่วงทำนองนั้นไม่ได้หยุดอยู่แค่ในห้อง เสียงขลุ่ยล่องลอยออกไปตามช่องหน้าต่าง ลมกลางคืนพัดพาเสียงไปทั่วโรงเตี๊ยมซอมซ่อที่ผู้คนบางตากำลังซุกตัวหลับ บ้างสะดุ้งตื่นขึ้นเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงประหลาด แต่เมื่อฟังเพียงครู่ความสงบและความอบอุ่นก็ซึมเข้าจิตใจ พวกเขากลับเอนกายลงนอนด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าไม่โวยวายสิ่งใดเลย พลังศักดิ์สิทธิ์จากดนตรีของหลินหยาชำระล้างบรรยากาศอึมครึมของโรงเตี๊ยมเก่า ให้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ที่อบอวลด้วยความสงบสุขชั่วข้ามคืน ราวกับเทพารักษ์ได้เสกมนตราโอบล้อม ทุกสิ่งเงียบงันแต่เต็มไปด้วยความสวยงามล้ำลึก

          บทเพลงค่อย ๆ จางลงทีละน้อยจนเหลือเพียงสายลมพัด เสียงสุดท้ายจบลงเหมือนดาวตกที่ลับหายไปในฟากฟ้า หลินหยาลืมตาขึ้นช้า ๆ มองเจ้าเซียนเฉ่าที่หลับสนิทราวกับลูกสัตว์ในรังอุ่น ใจของนางเองก็สงบลงเช่นกัน รอยยิ้มบางผุดบนริมฝีปาก นางเก็บขลุ่ยคืนสู่แหวนดาราจรัสอย่างแผ่วเบา ก่อนเอนตัวลงนอนข้างหมาน้อย ราตรีนี้ทั้งโรงเตี๊ยมถูกกล่อมด้วยท่วงทำนองของนาง และฟ้ายามรุ่งก็จะมาถึงพร้อมการเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางแห่งความจริง


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: ศึกษา ข้าวอบหอมหมื่นลี้ (4/4)

รางวัล: +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

และวันที่ 5 แนบสูตรอาหาร  โพสต์ 2025-7-30 20:36
โพสต์ 44885 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-30 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-7-30 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-7-30 20:21
โพสต์ 44,885 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-7-30 20:21

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-7-31 22:15:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-31 22:17

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 31 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


          ยามเหม่ากลับมาเยือนแสงอรุณแรกค่อย ๆ ทาบผ่านหน้าต่างไม้ที่มีรอยแตกจนเห็นเส้นแสงเล็ดลอดเข้ามา กลิ่นหญ้าชื้นยามเช้าลอยมากับลมอ่อน หลินหยาลืมตาตื่นพร้อมกับความรู้สึกเย็นที่โอบร่าง นางลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้รบกวนเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนผ้าห่มนุ่มที่นางปูให้เมื่อคืน หลังจากล้างหน้าล้างตาที่อ่างน้ำไม้เก่าที่มีกระจกฝ้า ๆ สะท้อนใบหน้าสดใสของตน หลินหยากลับมานั่งบนเตียงเก่าซอมซ่อของโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ พลางถอนหายใจยาว ที่นี่คือเตียงที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านพักคนเดินทางที่โลกภายนอกลืมเลือน

          นางหยิบบันทึกลับขึ้นมา เปิดอ่านอย่างตั้งใจ หัวใจเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ตัวอักษรเก่าซึ่งเลือนรางราวกับตั้งใจให้ผู้อ่านไขปริศนาเอาเอง มีเพียงคำบรรยายถึงหุบเขากระเรียนหลบฟ้าเท่านั้น “สถานที่ที่หมอกไม่เคยจาง แม้แดดยามเที่ยงยังไม่อาจทำให้กระจ่าง เสียงกระเรียนจะนำทางผู้กล้า และเงาหมอกจะกลืนผู้ที่หวั่นไหว” หลินหยาเม้มริมฝีปาก พลิกหน้ากระดาษต่อ ไม่มีสิ่งใดชัดเจนพอจะบอกเส้นทางได้เลย นางคิดในใจ หากโชคดีสองสามวันอาจพบ แต่หากโชคร้าย...คงต้องหลงอยู่เป็นสัปดาห์ ความคิดนั้นทำให้นางพ่นลมหายใจยาว

          ก่อนจะเอื้อมไปเกาคางเจ้าเซียนเฉ่าที่เริ่มขยับตัวพลิกไปมา “ตื่นเถอะเจ้าหมาน้อย...วันนี้เราต้องออกเดินทางกันแล้ว”

          เมื่อเซียนเฉ่าลืมตาขึ้นหาวงับเล็ก ๆ หลินหยาก็ยิ้มบาง ๆ ให้มัน ขณะก้มลงกระซิบ “เจ้าว่าเราควรไปถามคนดูแลโรงเตี๊ยมก่อนดีไหม ว่าจะไปทางไหน? หรือจะออกเดินตามสัญชาตญาณ?” เซียนเฉ่าลุกขึ้นยืดตัวอย่างสง่างาม พลางกระดิกหางเหมือนกำลังคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพของมัน “คุณหนูหลิน ผู้ที่รู้จักดินแดนย่อมอยู่ใกล้กว่าที่คิด ข้าคิดว่าการถามคนเฝ้าโรงเตี๊ยมย่อมไม่เสียหาย อย่างน้อยก็ได้เบาะแสหนึ่งขอรับ”

          “จริงของเจ้า...ฉลาดเหมือนกันนะเนี้ยเจ้าหมาน้อย” หลินหยาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ นางเก็บบันทึกใส่แหวนดาราจรัส หยิบขลุ่ยวางไว้ในม้วนผ้าแล้วสะพายกระเป๋าเรียบร้อย ก่อนย่อตัวลูบหัวสุนัขน้อย “ไปกันเถอะ เซียนเฉ่า...เช้านี้เรามีคำถามที่ต้องได้คำตอบ” เสียงฝีเท้าของนางและหมาน้อยดังแผ่วในทางเดินไม้เก่า ก่อนทั้งคู่จะมุ่งหน้าไปยังห้องโถงด้านล่างเพื่อพบคนดูแลโรงเตี๊ยม ผู้ซึ่งอาจรู้เส้นทางไปสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าที่ลี้ลับ

          เสียงฝีเท้าของหลินหยาและเจ้าเซียนเฉ่าดังเบา ๆ บนพื้นไม้เก่าเมื่อทั้งคู่เดินลงจากบันไดสู่โถงโรงเตี๊ยม กลิ่นชาเก่าผสมกับกลิ่นไม้ชื้นโชยอยู่ในอากาศ ยามเช้าผู้คนบางตา มีเพียงคุณป้าเจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังเช็ดโต๊ะด้วยท่าทีคล่องแคล่ว หลินหยาก้าวไปจ่ายค่าห้องเงียบ ๆ วางเหรียญลงบนเคาน์เตอร์โดยไม่พูดอะไรมาก ก่อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านป้า ข้าขอรบกวนถามหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ที่เมืองนี้...พอจะมีหุบเขาสูงที่มีกระเรียนอยู่หรือไม่?”

          คุณป้าหยุดมือที่กำลังเช็ดโต๊ะ หันมามองด้วยสายตาแฝงความแปลกใจ “หุบเขากระเรียนรึ? มีอยู่แม่นางน้อย แต่ที่นั่นน่ะ...ไกลนักนะ” แกหัวเราะแห้ง ๆ เล็กน้อย พลางเท้าเอวมองหลินหยาจากหัวจรดเท้า “ต้องเดินเท้าเท่านั้นล่ะ รถม้าไม่ไปหรอกทางมันชันและรกเกินไป อยู่ทางเหนือของเมืองนี่แหละ เต็มไปด้วยต้นไม้สูงลำธารลึก ลมพัดเย็นแต่ก็วังเวงไม่ใช่เล่น” หลินหยาฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้ารับเงียบ ๆ คุณป้าเล่าต่อ น้ำเสียงเริ่มจริงจังขึ้น “หากจะไป ต้องเตรียมตัวดี ๆ ล่ะเจ้าหนู ไม่มีคนไปช่วยเหลือหากหลงทางหรอกนะ ที่นั่นขึ้นชื่อว่าหมอกหนาจนคนเดินพลาดก็หายไปเลย”

          เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งนิ่งอยู่ข้างขาเจ้าของมองขึ้นไปอย่างสงบ แต่แววตาวาววับราวกับกำลังจดจำทุกคำ คุณป้าหันมาทำตาโตเมื่อเห็นสุนัขตัวนี้เรียบร้อยราวสัตว์เลี้ยงในจวนขุนนาง หลินหยายกยิ้มบาง ๆ ตอบกลับสุภาพ “ขอบคุณท่านป้ามากสำหรับคำเตือนเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม”

          คุณป้าโบกมือ “เอาเถอะๆ ถ้าเจ้าใจกล้าก็ไป แต่จงฟังเสียงกระเรียนให้ดี บางคนว่ามันคือสัญญาณนำทาง ไม่ใช่แค่เสียงของนกธรรมดา”

          หลินหยาน้อมศีรษะเป็นการขอบคุณ ก่อนเดินออกจากโรงเตี๊ยมกับเจ้าเซียนเฉ่าที่ก้าวตามอย่างภูมิฐาน ลมยามเช้าเย็นจัดพัดผ่านกลิ่นดินชื้น นางมองไปทางทิศเหนือที่หมอกขาวเริ่มลอยคลอป่าไกลโพ้น พลันยกมือจับบันทึกลับในอกเสื้อแน่น หุบเขากระเรียนหลบฟ้า...รอข้าอยู่สินะ เสียงของนางกระซิบกับสุนัข “ไปกันเถอะ เซียนเฉ่า การเดินทางเริ่มขึ้นแล้ว” และทั้งคู่ก็เริ่มก้าวเดินออกจากเมืองหนานหยาง มุ่งสู่ทางเหนือที่ปกคลุมด้วยหมอกแห่งปริศนา

          ถนนสายหลักของเมืองหนานหยางในยามเช้าเต็มไปด้วยเสียงผู้คนจอแจ กลิ่นหอมของขนมปังย่างและชาใบหอมลอยคลุ้งในอากาศ ร้านค้าริมทางเรียงรายสองฝั่ง ทั้งแผงผลไม้สด เนื้อสัตว์ที่แขวนเรียงราย เครื่องเทศที่จัดวางเป็นกองเล็ก ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุน และผ้าแพรสีสันสดใสโบกสะบัดตามแรงลม หลินหยาก้าวเดินช้า ๆ สายตากวาดมองของที่อาจจำเป็นต่อการเดินทางข้ามเขา มือของนางลูบบันทึกลับในอกเสื้ออย่างเผลอ ก่อนหัวเราะบาง ๆ ขณะคิดในใจ หรือเราจะลองทำเมนูใหม่ ข้าวอบหอมหมื่นลี้ ของเสี่ยวจ้าวจื่อกลางป่ากันดีนะ? ความคิดนี้ทำให้ดวงตานางเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที แม้จะเป็นการเดินทางเสี่ยงอันตราย แต่การได้ทดลองเมนูพิเศษจากตำราลับก็เป็นสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้การตามหาความจริง

          หลินหยาหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินข้าง ๆ อย่างสง่างามราวกับเจ้าหมาน้อยผู้สูงศักดิ์ ดวงตาของมันฉายแววอยากรู้อยากเห็นตามแบบสุนัขติดหรู นางย่อตัวลงถามพลางยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไร เซียนเฉ่า? หากเราทำเมนูใหม่ที่เรียนมาจากหนังสือของเสี่ยวจ้าวจื่อระหว่างการเดินทางล่ะ เจ้าจะยอมกินไหม?” เจ้าเซียนเฉ่าเชิดคางเล็กน้อย ขนบนคอพองฟูราวกับกำลังยืดอกพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมของสุภาพบุรุษ “คุณหนูหลิน หากเป็นสูตรชั้นสูงจากตำราของพ่อครัวหลวงแล้วไซร้ ข้าย่อมไม่เพียงยอมกิน แต่จะถือว่าเป็นเกียรติแก่ชีวิตสุนัขเช่นข้าขอรับ การได้ลิ้มรสอาหารชาววังกลางป่าเขา...ก็เรียกว่าสวรรค์สำหรับผู้ติดหรูเช่นข้า”

          คำตอบของมันทำให้หลินหยาหัวเราะพรืด เธอส่ายหน้า “เจ้านี่นะ...” แต่แววตากลับเต็มไปด้วยประกายสนุกสนาน นางตัดสินใจแน่วแน่ ก็ได้! ถ้าเช่นนั้นข้าจะหาวัตถุดิบทั้งหมดมาให้ได้

          หลินหยาจึงเริ่มต้นเดินตลาด เลือกซื้อวัตถุดิบสำคัญทีละอย่าง ข้าวพันธุ์ดีที่พ่อค้าอ้างว่ามาจากทุ่งข้าวบนภูสูง น้ำมันหอมจากดอกไม้ป่า สมุนไพรแห้ง และที่สำคัญที่สุดดอกกุ้ยฮวาหอมแห้งที่หายากซึ่งต้องใช้เป็นเคล็ดลับในสูตรนี้ นางจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างไม่ลังเล แม้จะรู้ว่าเมนูนี้ต้องใช้ฝีมือและความพยายามสูง เมื่อได้ของครบ นางจัดเก็บทุกอย่างใส่มิติในแหวนดาราจรัสด้วยความระมัดระวัง รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้า “เอาล่ะ เซียนเฉ่า...คืนนี้เจ้าจะได้ลิ้มรสข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่ทำกลางป่าจริง ๆ”

          เซียนเฉ่ากระดิกหางเบา ๆ พลางพยักหน้าอย่างภูมิใจ “ข้ารอคอยแล้วขอรับคุณหนูหลิน” ตลาดเริ่มคลาคล่ำมากขึ้นเมื่อแดดโผล่พ้นขอบฟ้า หลินหยามองไปทางเหนือที่หมอกหนาเริ่มปกคลุมปลายขอบฟ้า ก่อนพึมพำกับตัวเองอย่างมั่นคง หลังจากตลาดแห่งนี้…เส้นทางสู่หุบเขากระเรียนหลบฟ้าจะเริ่มจริง ๆ

          ท่ามกลางความคึกคักของตลาดเมืองหนานหยาง หลินหยาหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินเคียงข้างอย่างองอาจ พลางพูดด้วยน้ำเสียงขำ ๆ “ก่อนที่เราจะออกเดินทาง ข้าคิดว่าเราควรหาของเพิ่มหน่อยนะเซียนเฉ่า โดยเฉพาะอุปกรณ์ทำอาหารพวกหม้อหรือกระทะ ไม่งั้นเมนูข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่เจ้ารอคงไม่มีทางเกิดขึ้น” เจ้าเซียนเฉ่าเชิดหน้าขึ้นราวกับยอมรับในเหตุผล “การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งจำเป็นขอรับ คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มเล็กของมันฟังดูภูมิใจในความรอบคอบของนาง

          หลินหยายิ้มบาง ๆ แล้วพามันเลี้ยวเข้าซอยที่ขายอุปกรณ์เดินทาง ร้านหนึ่งเรียงรายไปด้วยหม้อขนาดพกพา กระทะเหล็ก เครื่องใช้สนาม และถุงน้ำหนัง นางเลือกหม้อเหล็กขนาดพอเหมาะกับการทำอาหารกลางป่า มันเงาวับแม้จะเรียบง่าย “อันนี้ล่ะเหมาะ” หลินหยาพึมพำ ก่อนจ่ายเงินโดยไม่ลังเล ระหว่างที่กำลังเดินต่อ สายตานางสะดุดเข้ากับร้านขายเครื่องนอนสำหรับคนเดินทาง มีเบาะหลายแบบแขวนอยู่ แต่สิ่งที่ดึงดูดคือเบาะชั้นดีที่บุด้วยขนสัตว์นุ่มพิเศษ ขนาดก็กำลังเหมาะกับร่างของเซียนเฉ่าอย่างพอดิบพอดี หลินหยาหยุดยืนมอง ยื่นมือไปลูบเนื้อผ้านุ่มนั้นเบา ๆ รู้สึกถึงความสบายที่มันมอบให้ แล้วหันไปถามพ่อค้า “เบาะนี้ราคาเท่าไหร่หรือเจ้าคะ?”

          พ่อค้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ของดีจากทางใต้ บุขนสัตว์ชั้นเลิศ ราคาแพงหน่อยนะคุณหนู แต่คุ้มค่าถ้าอยากให้สัตว์เลี้ยงของท่านหลับสบาย”

          ราคาแพงพอสมควร แต่หลินหยากลับไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย นางยิ้มบาง ๆ ก่อนล้วงเหรียญจ่ายเต็มจำนวนอย่างไม่ต่อรอง พ่อค้าประหลาดใจในความใจกว้างของหญิงสาว ขณะที่นางหันไปมองเซียนเฉ่าอย่างเอ็นดู “นี่ของเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เจ้าจะได้ไม่บ่นว่าหลับไม่สบายอีก” เจ้าเซียนเฉ่ามองเบาะแล้วดวงตาเป็นประกาย หางกระดิกเล็กน้อยแต่ยังคงเชิดหน้าไว้ตามแบบสุนัขผู้ดี “คุณหนูหลินช่างรู้ใจข้าเสมอ ข้ายอมรับว่าชีวิตของข้ามีความสุขเพราะเจ้านายผู้สปอยอย่างไร้เงื่อนไขขอรับ”

          หลินหยาหัวเราะเสียงใสตอนนี้เจ้าเซียนเฉ่าเริ่มติดคำสมัยชาติก่อนของหลินหยาแล้วทุกที ๆ “อ๋อ…ที่แท้ก็เพราะข้าเองที่ทำให้เจ้าติดหรูนี่นะ สงสัยสปอยจนลืมตัว” นางเอื้อมมือไปลูบหัวมันอีกครั้งอย่างรักใคร่ ขณะเก็บเบาะนุ่มและของใช้ทั้งหมดไว้ในมิติแหวนดาราจรัสเรียบร้อย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว หลินหยามองตลาดที่เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง แสงแดดยามเช้าทอประกายเหนือเมืองหนานหยาง นางยืนอยู่ท่ามกลางเสียงจอแจแต่หัวใจกลับสงบแน่วแน่ เอาล่ะ...ได้เวลาออกเดินทางจริง ๆ แล้ว

          นางยิ้มให้เซียนเฉ่า “ไปกันเถอะ เจ้าหมาน้อย วันนี้เราจะเริ่มต้นการผจญภัยที่แท้จริง” และทั้งคู่ก็ออกจากตลาด มุ่งหน้าไปยังทางเหนือที่รอพวกเขาด้วยปริศนาแห่งหุบเขากระเรียนหลบฟ้า

          ท้องฟ้าสีฟ้าใสเบื้องบนทอดยาวสุดสายตา ขณะที่หลินหยาก้าวเดินออกนอกเมืองหนานหยาง เสียงจอแจของตลาดค่อย ๆ เลือนหายไปแทนที่ด้วยเสียงใบไม้ไหวและเสียงนกร้องทักยามเช้า ถนนสายเล็กที่ทอดไปทางเหนือคดเคี้ยวผ่านทุ่งหญ้าเขียวชื้นด้วยน้ำค้างและลำธารใสที่ไหลริน นางเดินเงียบ ๆ ปล่อยให้สายลมเย็นลูบใบหน้า ข้างกายมีเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินอย่างสง่างาม หางกระดิกเล็กน้อยทุกครั้งที่สูดกลิ่นธรรมชาติ ดวงตาของมันเปล่งประกายราวกับได้อยู่ในที่ที่มันชอบ และหลินหยาก็รู้สึกแบบเดียวกัน เธอยิ้มเล็ก ๆ พลางพูดกับมันโดยไม่หัน “เจ้าก็ชอบธรรมชาติสินะ เซียนเฉ่า” เสียงของมันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบแต่พึงใจ “หากการเดินทางผ่านสถานที่งดงามเช่นนี้ ข้าย่อมไม่บ่นแม้สักคำเลยขอรับ”

          ทั้งคู่มุ่งหน้าขึ้นทางเนินสูง ด้านหน้าคือป่าทึบที่ต้องผ่านก่อนจะเข้าสู่เขตหุบเขาสูงจริง ๆ แม้จะรู้ดีว่าคงไม่ถึงวันนี้ แต่หลินหยาก็ไม่รีบร้อน ทุกย่างก้าวของนางมั่นคงและเต็มไปด้วยสมาธิ

          จนเมื่อแสงอาทิตย์ส่องตรงกลางฟ้า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางเริ่มกดทับไหล่ หลินหยาจึงมองหาที่พักเล็ก ๆ ริมทาง เธอเลือกต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย มีลำธารเล็กใสไหลอยู่ใกล้ ๆ สำหรับตักน้ำและล้างมือ นางวางสัมภาระลง สูดหายใจลึก ๆ ก่อนหยิบหม้อเล็กที่ซื้อจากตลาดออกมาจากแหวนดาราจรัส เธอต้มน้ำสะอาดและใส่เนื้อไม่ติดมันลงไป กลิ่นหอมจาง ๆ ของเนื้อเคี่ยวเริ่มลอยขึ้นเมื่อไฟค่อย ๆ ลาม นางฉีกเนื้อเป็นชิ้นเล็ก ๆ และปล่อยให้มันสุกในน้ำซุปใส จากนั้นตักเนื้อออกมาวางบนจานไม้เล็ก ยื่นให้เจ้าเซียนเฉ่า “นี่ของเจ้าล่ะ ไม่ปรุงรสใด ๆ เพราะเจ้าหมาน้อยของข้าต้องกินให้ปลอดภัย”

          เซียนเฉ่าโน้มตัวลงดมแล้วเงยหน้าขึ้นพูดอย่างสุภาพ “คุณหนูหลินเอาใจใส่ข้ายิ่งนักขอรับ ข้าซาบซึ้ง” จากนั้นมันก็กินเนื้อที่ฉีกให้ช้า ๆ ราวกับลิ้มรสอาหารในจานเงิน

          หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางนั่งพิงต้นไม้ มองฟ้าที่ทอประกายแดดจัด “เย็นนี้เราจะทำข้าวอบหอมหมื่นลี้กลางป่ากัน…สำหรับข้าและเจ้าทั้งคู่” เธอเอื้อมมือเกาหัวมัน “อาหารของเจ้า ข้าจะทำแยกต่างหากให้เหมาะกับสุนัขติดหรูอย่างเจ้า” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางด้วยท่าทีพึงใจสุดขีด ขณะที่หลินหยาหยุดพัก ชมธรรมชาติรอบกายที่เริ่มมีเสียงกระเรียนป่าลอยมาแว่ว ๆ ไกล ๆ ราวกับเป็นสัญญาณจากหุบเขาลี้ลับที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่เบื้องหน้า

          แดดยามบ่ายเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อเงาของภูเขาทางเหนือทอดยาวเข้าปกคลุมเส้นทาง หลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเดินต่ออย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยเสียงธรรมชาติ กลิ่นดินชื้นและใบไม้สดโชยในอากาศ นางก้าวไปเรื่อย ๆ เห็นดอกไม้ป่าบานสะพรั่งตามข้างทางก็ย่อตัวลงเด็ดเก็บเล็กน้อย หรือพบเห็ดและสมุนไพรที่รู้จักก็เก็บเข้ามิติในแหวนอย่างสบายใจ เดินป่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ หลินหยาคิดในใจ ยิ้มจาง ๆ เหมือนลืมไปว่าจริง ๆ แล้วนี่คือการเดินทางตามหาความจริงแท้ที่อาจพลิกชะตาของตนเอง เจ้าเซียนเฉ่าก็วิ่งเล่นไปมาอย่างเริงร่า มันชอบกระโดดข้ามก้อนหินเล็ก ๆ เห่าเบา ๆ ไล่กลิ่นสัตว์ป่าที่พัดมากับลมเป็นบางครั้ง ก่อนกลับมาเดินข้างเจ้านายอย่างสง่างาม เมื่อเดินจนแสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองส้มและไหล่เขาสูงล้อมรอบใกล้เข้ามา หลินหยาหยุดยืน มองหมอกบางที่เริ่มคลอเหนือป่า

          “ถึงแล้วสินะ…เขตของหุบเขา” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาหวานเต็มไปด้วยความระแวดระวังปนตื่นเต้น

          เมื่อท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีครามเข้ม หลินหยาหันไปบอกกับเจ้าหมาน้อย “เซียนเฉ่า หาแหล่งตั้งแคมป์ให้ดีหน่อยนะ ข้าอยากให้ใกล้แหล่งน้ำ จะได้สะดวกทำอาหาร” แม้ว่าหลินหยาจะพูดคำว่า แคมป์ ที่เป็นคำไม่ใช่จากยุคนี้แต่เหมือนเจ้าหมาน้อยจะเข้าใจเซียนเฉ่าพยักหน้าเล็กน้อยก่อนวิ่งนำไปตรวจตราอย่างคล่องแคล่ว ผ่านพุ่มไม้และก้อนหินใหญ่ที่บดบังสายตา ใช้เวลาไม่นานมันก็กลับมาพร้อมท่าทีมั่นใจ “คุณหนูหลิน ข้าพบลำธารใสที่มีพื้นที่ราบพอให้กางแคมป์ อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ข้อเสียเดียวคืออาจมีสัตว์ป่าหรือปีศาจปลามาดื่มน้ำ แต่หากพวกมันกล้ามา ข้าจะจัดการเอง”

          หลินหยาหัวเราะในลำคอ “ข้าก็หวังกับเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เพราะถ้าได้พวกนั้นมาต้มแกงหรืออบก็เป็นวัตถุดิบเพิ่มชั้นดีเลยนะ”

          “แน่นอนขอรับคุณหนูหลิน” เสียงของมันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ทั้งคู่เดินไปตามทางที่เซียนเฉ่านำ พื้นที่ราบริมลำธารปรากฏต่อสายตา น้ำใสไหลเอื่อยสะท้อนแสงจันทร์ที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า เบื้องหลังเป็นผนังหินและป่าทึบที่ปกป้องจากลมแรงพอดี หลินหยาวางสัมภาระ เปิดม้วนผ้าที่เตรียมมาและจัดที่นอน โดยเฉพาะเบาะนุ่มที่ซื้อมาจากตลาดให้เจ้าเซียนเฉ่าอย่างตั้งใจ

          เมื่อตั้งแคมป์เรียบร้อย นางสูดกลิ่นหอมของป่าและเสียงน้ำไหลพร้อมพูดกับสุนัขผู้ติดหรู “คืนนี้จะเป็นมื้อพิเศษสำหรับเรา ข้าวอบหอมหมื่นลี้…ทั้งสำหรับมนุษย์ และสำหรับเจ้าด้วย” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อยแต่ยังคงท่าทางสง่างาม “ข้าจะเฝ้าดูแลรอบ ๆ แคมป์ให้ปลอดภัย คุณหนูหลินคงได้ทำอาหารอย่างสบายใจ” หลินหยายิ้มบาง มองหมอกที่เริ่มหนาขึ้นรอบลำธาร ใต้ฟ้าที่สลัวลงอย่างช้า ๆ คืนนี้...คือค่ำคืนแรกของการผจญภัยสู่ความจริงแท้ และมื้อค่ำนี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่จะประกาศการเดินทางของพวกเขา

          เสียงกระเพื่อมของน้ำในลำธารพลันดังผิดปกติ ขณะที่หลินหยากำลังล้างกุ้งอย่างตั้งใจ สายหมอกหนาที่คลอรอบ ๆ กลับสั่นไหวราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น ก่อนที่ร่างของปีศาจปลาสี่ตัวจะก้าวออกมาจากเงาหมอก ผิวของมันมีลักษณะคล้ายมนุษย์แต่แวววาวเย็นชื้นเป็นเกล็ด ครีบเล็กปรากฏที่แขนและขา ใบหน้าผิดรูปมีดวงตาแดงฉานแฝงความกระหาย กลิ่นคาวคละคลุ้งราวกับซากสัตว์เน่า มันส่งเสียงขู่ต่ำ ๆ ก่อนแยกเขี้ยวแหลมยาว เสียงหัวเราะแหบต่ำเหมือนกำลังยินดีที่เจอเหยื่อหญิงสาวตามที่มันชอบเล่นกับความกลัวของผู้คน มันก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆ ดวงตาโฟกัสที่หลินหยาซึ่งนั่งอยู่ริมน้ำอย่างอันตราย

          หลินหยาเพียงหันไปมองพวกมันอย่างไม่สะทกสะท้าน ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับเจอแค่สิ่งกวนใจธรรมดา นางยกมือเสยผมขึ้นแล้วพูดเรียบ ๆ โดยไม่ลุก “เซียนเฉ่า เจ้าจัดการพวกมันทีนะ ข้าจะล้างกุ้งแกะเปลือกก่อน เพราะนี่ใช้เวลานานกว่ามาก” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในสุนัขของตน เจ้าเซียนเฉ่าหันมามองเจ้านายด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความภักดี “รับคำสั่งแล้วขอรับคุณหนู” เสียงของมันทุ้มต่ำ ดวงตาเปล่งประกาย

          ทันใดนั้นร่างของมันแปรเปลี่ยนกลับคืนสู่ร่างแท้จริง ร่างสุนัขสามหัวผู้สง่างามและน่าเกรงขาม หนังขนสีดำมันขลับ ปากทั้งสามเผยเขี้ยวแหลมแยกขู่พร้อมเสียงคำรามต่ำที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ปีศาจปลาทั้งสี่ชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เซียนเฉ่าจะพุ่งตัวไปข้างหน้าดั่งสายฟ้าผ่า เสียงคำรามของมันกึกก้องป่าจนหลินหยาต้องยกมือมาปิดหูเพราะนางกลัวเสียงคำรามนั้น เล็บของมันฉีกพื้นดินเป็นร่อง ทุกหัวของมันโจมตีประสานกันอย่างไร้ช่องว่าง หัวหนึ่งกัดเข้าที่แขนครีบของปีศาจปลาอีกตัว อีกหัวงับคออีกตัวจนเลือดสาด ส่วนหัวสุดท้ายเห่าเสียงก้องราวกับคลื่นพลังผลักปีศาจปลาที่เหลือกระเด็น พวกปีศาจกรีดร้อง ดิ้นรน แต่ด้วยความดุร้ายและพละกำลังเหนือธรรมชาติของเซียนเฉ่า พวกมันถูกกดขยี้อย่างไร้ทางหนี ความหิวโหยและนิสัยโสมมที่เคยทำให้พวกมันครองความน่ากลัวในลำน้ำนี้กลับกลายเป็นความสิ้นหวัง

          ในขณะที่การต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นไม่ไกล หลินหยายังคงนั่งสงบเพื่อทำอาหารแต่เอาความจริงเธอกลัวเสียงเห่าและเสียงคำรามของสุนักนะ ฮือ ต่อไปคงต้องบอกเซียนเฉ่าว่าพยายามอย่าใช้มันแล้วกัน ก่อนที่จะแช่มือในน้ำเย็น ล้างกุ้งและแกะเปลือกด้วยความชำนาญ ท่ามกลางเสียงน้ำกระเซ็นและเสียงกรีดร้องของปีศาจ นางเพียงยิ้มบาง ๆ พึมพำกับตัวเอง “รีบหน่อยนะเซียนเฉ่า... ข้าอยากทำอาหารแล้ว”

          เสียงคำรามสุดท้ายดังขึ้น ก่อนทุกสิ่งจะเงียบลง เหลือเพียงเสียงน้ำไหลริน และร่างไร้วิญญาณของปีศาจปลาทั้งสี่ที่นอนกองอยู่ เซียนเฉ่าเดินกลับมาอย่างภาคภูมิ เลือดของศัตรูเปื้อนเขี้ยวเล็กน้อย แต่สายตายังคงเฉียบคม “เสร็จเรียบร้อย คุณหนูหลิน” หลินหยาหันมามอง ยกยิ้มหวาน “ดีมาก เจ้าหมาน้อยของข้า” จากนั้นนางก็วางกุ้งแกะเปลือกลงในชามไม้ หยิบสมุนไพรจากแหวนออกมา พร้อมเริ่มเตรียมมื้อพิเศษท่ามกลางกลิ่นเลือดและควันไฟที่เริ่มลอยขึ้นสู่ฟ้าค่ำ

          หลังจากที่ศัตรูถูกจัดการ หลินหยาลุกขึ้นจากลำธารเช็ดมือเรียบร้อย นางเดินเข้าไปใกล้ซากปีศาจปลาทั้งสี่ที่นอนกองไร้ลมหายใจ ดวงตาหวานหรี่ลงเล็กน้อย ขณะใช้ปลายมีดแหลมเล็กที่ซ่อนไว้เก็บเกี่ยวชิ้นส่วนวัตถุดิบที่มีค่าเกล็ดที่แข็งราวเหล็กบาง, ถุงน้ำดีที่ใช้ทำยา และเนื้อส่วนที่กินได้ซึ่งมีกลิ่นหอมเค็มของทะเล นางเก็บทุกสิ่งลงภาชนะในแหวนดาราจรัสอย่างระมัดระวัง

          จากนั้นหลินหยาหันไปบอกเสียงเรียบ “เซียนเฉ่า จัดการฝังพวกมันเถอะ ข้าไม่ชอบทิ้งร่างไว้ให้สัตว์อื่นมากินเล่น” สุนัขสามหัวพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายแล้วลากซากปีศาจไปทีละตัว ใช้กรงเล็บขุดหลุมลึกอย่างรวดเร็ว ก่อนฝังอย่างเรียบร้อยราวกับผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์

          ในระหว่างนั้น หลินหยาก็เริ่มเตรียมอาหารค่ำพิเศษ ข้าวอบหอมหมื่นลี้เมนูที่ตั้งใจทำให้สมบูรณ์แบบแม้อยู่กลางป่า

          ขั้นตอนที่หนึ่งต้องเตรียมข้าว หลินหยาตักข้าวพันธุ์ดีที่ซื้อจากตลาดใส่ชามไม้ ใส่น้ำใสซาวข้าวจนสะอาดใส นางใช้มือขาวนวลคลึงเมล็ดข้าวช้า ๆ จนเสียงซู่ซ่าของน้ำกระทบกันดังไพเราะ จากนั้นแช่ข้าวไว้ 30 นาทีระหว่างที่เตรียมของอื่น ๆ นางนำใบบัวที่เก็บมาได้จากตลาดไปแช่น้ำให้นิ่มจนหอมกลิ่นเขียวสด แล้วพักไว้ในใบตองที่สะอาด

          ขั้นตอนที่สองเตรียมน้ำอบหอม นางจุดไฟอ่อน ๆ ใต้กระทะดิน ตั้งน้ำมันงากลิ่นหอมลงไปแล้วเจียวกุ้งแห้งจนส่งกลิ่นกระจายฟุ้งไปทั่วป่า ก่อนจะใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อยลงไปตามสูตร ลั่นดังฉู่ฉ่า จากนั้นจึงตามด้วยไก่ดำหั่นชิ้นพอดีคำ เห็ดหอมแช่น้ำจนพอง และเครื่องเทศที่เตรียมไว้ กลิ่นหอมของเหล้าเหลืองและเจี้ยวโหยวผสมกับน้ำซุปกระดูกไก่ที่นางต้มเองจนกลมกล่อม เคี่ยวทุกอย่างด้วยไฟอ่อนอย่างใจเย็น 15-20 นาที จนซุปกลายเป็นสีทองเข้ม เมื่อปิดไฟ หลินหยาก็โรยดอกกุ้ยฮวาแห้งลงไปทันที กลิ่นหอมหวานคล้ายชาหอมลอยคลุ้งไปทั้งลำธาร ก่อนนางจะกรองน้ำให้ใสเนียน

          กับขั้นตอนที่สามเตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ ในหม้อไอน้ำอีกใบ กุ้งแกะเปลือกถูกนึ่งจนเนื้อเด้ง หอมหวานตามธรรมชาติ หมูเค็มถูกหั่นเป็นลูกเต๋าสวยงามพร้อมวางไว้ เห็ดหอมที่แช่น้ำก็หั่นเรียง ส่วนเนื้อไก่ดำรวนกับเครื่องเทศเล็กน้อยจนสุก ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น

          และขั้นตอนสุดท้าย เมื่อครบเวลาแช่ข้าวนางนำข้าวห่อด้วยใบบัวหอมลงหม้อดินที่เตรียมไว้ เติมน้ำอบหอมหมื่นลี้ลงไปในอัตราส่วนพอดี นางโรยกุ้งเด้ง หมูเค็มหั่นเต๋า เห็ดหอม และเนื้อไก่ดำรวนสุกเรียงสวยงาม ก่อนปิดฝาอบด้วยไฟอ่อน 25-30 นาที เสียงข้าวเดือดปุด ๆ คล้ายเพลงกล่อมยามค่ำ เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมหวานลึกซึ้งของดอกกุ้ยฮวาและสมุนไพรลอยฟุ้งปกคลุมทั้งแคมป์ หลินหยาเปิดฝาหม้อ โรยดอกกุ้ยฮวาเล็กน้อยปิดฝาทิ้งไว้ 2-3 นาทีเพื่อให้กลิ่นซึมเข้าสู่ทุกเมล็ดข้าว

          ในที่สุด มื้อค่ำอันสมบูรณ์ก็พร้อม หลินหยาตักข้าวอบหอมหมื่นลี้ที่ร้อนกรุ่นส่งกลิ่นเย้ายวนใส่ถ้วยสำหรับตัวเอง ส่วนของเซียนเฉ่า นางแยกหม้อเล็กอีกใบไม่ปรุงรสแรง ใส่เนื้อสัตว์ที่เหมาะกับสุนัขติดหรูอย่างมัน “เซียนเฉ่า มานั่งกินเถอะ เจ้าได้วัตถุดิบจากพวกปีศาจปลาแล้ว ข้าก็ทำมื้อพิเศษให้เจ้า” สุนัขสามหัวกลับคืนร่างปกติอย่างสง่างาม นั่งลงอย่างสุภาพ มองหม้อดินร้อนกรุ่น ดวงตาเปล่งประกายพึงใจ หลินหยายิ้มอ่อน ขณะตักคำแรกเข้าปาก รสหอมหวานเข้มลึกกระจายทั่วลิ้น นี่แหละ...คือรสชาติแห่งการเดินทางค่ำคืนแรก

          หม้อดินที่เพิ่งเปิดฝายังคงส่งไอร้อนกรุ่น กลิ่นหอมลึกของกุ้ยฮวาผสมกับความมันอ่อนของน้ำอบหอมหมื่นลี้ลอยฟุ้งไปทั่วแคมป์ หลินหยาตักส่วนพิเศษที่ปรุงอ่อนสำหรับเซียนเฉ่า แถมใส่เนื้อไก่ดำและกุ้งเพิ่มเป็นพิเศษลงในชามไม้ใบเล็กแล้วเลื่อนให้มันอย่างตั้งใจ เจ้าหมาน้อย(?)เซียนเฉ่านั่งตัวตรงราวกับสุภาพบุรุษแห่งคฤหาสน์หรู ก่อนจะโน้มตัวลงชิมคำแรกด้วยท่วงท่าที่เรียบร้อย ทว่าเพียงแค่ได้ลิ้มรส เนื้อทุกชิ้นถูกมันจัดการด้วยความพอใจ แววตาสามหัวที่สลับกันมองชามส่องประกายเหมือนกำลังลิ้มรสอาหารชั้นสูงในราชสำนัก เสียงเคี้ยวเบา ๆ แต่ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ามันกำลัง “แซ่บ” อยู่ในใจ

          หลินหยาลองตักของตัวเองเข้าปากบ้าง ดวงตานางเบิกเล็กน้อยเพราะรสชาติที่กลมกล่อมและหอมหวานกำลังดี เมล็ดข้าวซึมซับน้ำอบหอมหมื่นลี้จนถึงแก่น เนื้อกุ้งเด้งหวานกับไก่ดำที่เข้มข้นตัดกันอย่างลงตัวจนไม่อยากจะหยุดกิน นางเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างทึ่งกับฝีมือตัวเอง ก่อนจะยิ้มหวานอย่างพึงใจ นี่แหละ...ความสุขของคนที่ชอบข้าวที่มีรสชาติ หลังกลืนคำแรกลงคอ หลินหยาพ่นลมหายใจออกเบา ๆ คล้ายปลดปล่อยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวัน แล้วหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังกินต่อด้วยท่วงท่าสุภาพชนแต่ชัดเจนว่าเพลิดเพลินสุด ๆ “หืม…เจ้าหมาน้อย กินเรียบร้อยเหมือนขุนนาง แต่ข้าดูออกนะ ว่าเจ้ากินแซ่บไม่น้อยเลยนี่”

          เซียนเฉ่าชะงักเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาทั้งสามคู่เปล่งประกายอย่างภาคภูมิ “คุณหนูหลิน…อาหารที่ท่านทำถึงจะให้ข้ากินในป่าหรือบนหมอกหนาก็ไม่ต่างจากมื้อในราชวัง ข้าจะไม่ยั้งแม้คำเดียวขอรับ” คำพูดสุภาพแต่เต็มไปด้วยความจริงใจทำให้หลินหยาหัวเราะคิก เธอส่ายหน้าอย่างเอ็นดู “เจ้ามันหมาติดหรูจริง ๆ อันนี้หิวหรือโหยนะเนี้ย” จากนั้นทั้งเจ้านายและสุนัขก็กินมื้อค่ำกลางป่าด้วยหัวใจที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความสุขสงบที่ล้อมรอบด้วยหมอกแห่งหุบเขาลี้ลับ

          เสียงน้ำในลำธารยามค่ำคลอด้วยเสียงจิ้งหรีดดังแผ่วในพงหญ้า หลินหยาหลังจากล้างจานชามจนสะอาดเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ก็ยืนมองผืนน้ำใสสะท้อนแสงจันทร์ เงาม่านหมอกบาง ๆ ลอยคลอเหนือผิวน้ำทำให้บรรยากาศดูทั้งสงบและชวนระแวงเล็กน้อย นางกอดอกถอนหายใจ “จะมีปีศาจปลาโผล่มาอีกไหมนะ…คงไม่แล้วล่ะ” ดวงตาหวานเหลือบไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ข้างกองไฟในท่าทางผู้พิทักษ์ หูตั้ง สายตาจับจ้องไปรอบ ๆ ตลอดเวลา หลินหยาจึงเอ่ยเสียงนุ่มแต่จริงจัง “เซียนเฉ่า ข้าจะลงไปอาบน้ำ ฝากเฝ้าให้ด้วยล่ะนะ”

          สุนัขสามหัวหันมาสบตานาง ดวงตาเปล่งประกายแน่วแน่ “คุณหนูหลินวางใจได้ ข้าจะไม่ให้เงาใดเข้าใกล้ท่านแม้แต่น้อย” เสียงของมันดุดันพร้อมคำรามต่ำที่เหมือนเตือนสรรพสิ่งในป่าให้อยู่ห่าง

          หลินหยาพยักหน้าเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ วางเรียงอย่างเป็นระเบียบข้างกองไฟ ท่ามกลางลมกลางคืนที่พัดต้องผิวเย็นนิด ๆ ร่างนวลอ่อนโยนของนางสะท้อนในแสงจันทร์ที่ทาบลงมาจากเบื้องบน เธอค่อย ๆ ก้าวลงสู่ลำธาร เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ทุกครั้งที่ปลายนิ้วเท้าแตะผิวน้ำ น้ำเย็นใสราวกับแก้ว ทำให้นางสูดลมหายใจลึก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดวันค่อย ๆ คลายออกไปทีละน้อย หลินหยาตักน้ำลูบไหล่ ลูบผม ล้างตัวเงียบ ๆ อย่างสบายใจ อย่างน้อยคืนนี้ก็ยังอาบน้ำได้…หากเข้าลึกไปในหุบเขา คงลำบากกว่านี้แน่ นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางหลับตาให้สายน้ำพัดพาความกังวลออกไป

          บนฝั่งเจ้าเซียนเฉ่าในร่างสามหัวนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกส่วนขึงตึงพร้อมป้องกันภัย ดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องไปทุกทิศอย่างเฉียบคม เสียงคำรามต่ำลอดจากคอเป็นระยะเพื่อข่มสิ่งมีชีวิตที่อาจซ่อนตัวอยู่ในความมืด ท่ามกลางแสงจันทร์ หญิงสาวที่ล้างกายอยู่ในลำธาร และสุนัขผู้พิทักษ์ที่คุมเชิงอยู่บนฝั่ง ก่อเกิดภาพของค่ำคืนที่ทั้งงดงามและเงียบสงบ ทว่าภายในยังแฝงความตึงเครียดบางเบา ราวกับหุบเขาที่รออยู่เบื้องหน้า…กำลังเฝ้ามองพวกเขาอยู่เช่นกัน

          น้ำเย็นไหลลูบไล้ร่างกายจนหลินหยารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก นางเงยหน้ามองแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผืนน้ำ ก่อนเหลือบไปทางฝั่งที่เจ้าเซียนเฉ่ากำลังนั่งเฝ้าด้วยท่าทีดุดันในร่างสุนัขสามหัว ร่างนั้นสง่างามแต่แฝงความน่ากลัวเกินจำเป็นสำหรับค่ำคืนนี้ หลินหยาหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอก “พอแล้วล่ะเซียนเฉ่า…กลับร่างหมาน้อยแสนน่ารักของข้าได้แล้ว ร่างนั้นมันน่ากลัวไปหน่อยน่ะ” ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง เสียงคำรามต่ำก็เงียบหาย ร่างของมันหดกลับเป็นหมาน้อยขนดำมันเงา ดวงตากลมโตเปล่งประกายอ้อน ๆ เดินเข้ามาใกล้ฝั่งพลางส่ายหางเบา ๆ อย่างเชื่อฟัง หลินหยามองภาพนั้นแล้วอมยิ้ม “แบบนี้สิ…ข้าชอบเจ้าตอนเป็นหมาน้อยมากกว่า”

          นางขึ้นจากลำธาร หยิบผ้ามาซับตัวพลางนั่งพักข้างมัน แล้วหันไปพูดขึ้นอย่างขำ ๆ “ไว้คราวหน้า ถ้าเราได้พักที่โรงเตี๊ยมเมื่อไร ข้าจะจับเจ้าอาบน้ำให้สะอาดเงาวับเลยนะ” เซียนเฉ่าหันมามอง พลางพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่จริงจังราวกับเรื่องใหญ่ “ได้ขอรับ แต่ข้าจะอาบก็ต่อเมื่อเป็นน้ำลอยดอกไม้กลิ่นหอมเท่านั้นนะ”

          หลินหยาถึงกับยกมือกุมหน้าผาก หัวเราะพรืด “เจ้านี่นะ…จะหาน้ำสะอาดก็ว่ายากแล้ว นี่ยังจะเอากลิ่นหอมลอยดอกไม้อีกเหรอ?” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย พลางตอบเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ก็ข้าไม่ใช่หมาธรรมดานี่ขอรับ ใช้น้ำปกติได้…แต่อาบแบบหอม ๆ มันดีกว่า”

          หลินหยาถอนหายใจเสียงดังปนขำ “อืม ไอ้หมาติดหรูเอ๊ย ติดนิสัยแบบนี้มาจากท่านเถียนเฟิงหรือไงฮะ” นางพูดพลางยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่ กลิ่นดอกไม้จากป่าผสมกับกลิ่นควันไฟยามค่ำทำให้ค่ำคืนนี้ทั้งผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความอบอุ่น พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันข้างลำธารเงียบ ๆ รอเวลาที่เช้าวันใหม่จะนำพาไปสู่หุบเขาลี้ลับที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า

          หลังจากล้างกายจนสะอาด หลินหยาก้าวขึ้นจากน้ำ แสงจันทร์ทาบผิวขาวของนางจนดูราวกับเงานางฟ้า นางใช้ผ้าซับน้ำออกจากเส้นผมและร่างกายอย่างใจเย็น ก่อนสวมชุดใหม่ที่เก็บไว้ในแหวนดาราจรัส ส่วนชุดเก่าก็พับเรียบร้อยเก็บไว้ตามนิสัยที่ไม่ชอบทิ้งของมันซักได้ พลางก้าวเท้าเบา ๆ กลับไปยังแคมป์ที่ไฟยังคงคุโชนอุ่น หลินหยาล้มตัวลงบนที่นอนเรียบง่ายของตัวเองที่ปูไว้ตั้งแต่แรก กลิ่นหอมจาง ๆ ของใบบัวและไม้สดลอยแตะจมูกให้รู้สึกผ่อนคลาย ข้างตัวมีเจ้าเซียนเฉ่าที่ม้วนตัวลงบนเบาะนุ่มที่นางซื้อให้โดยเฉพาะ มันหาวเบา ๆ พลางเอนตัวนอนอย่างผู้ดีที่ได้รับการปรนนิบัติสมใจ

          หลินหยานอนหงายเงียบ ๆ มองฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เงาสีหมอกบางพาดคลุมท้องฟ้า ยิ่งทำให้ดาวดูเหมือนอยู่ใกล้เสียจนเอื้อมถึง นางยกมือเรียวขึ้นสูงราวกับจะคว้าดาวดวงหนึ่งมาครอบครอง ดวงตาหวานสั่นไหวเล็กน้อย ทำไมกันนะ…ถึงได้คิดถึงใบหน้าของเขาอีกแล้ว… ภาพของจางกงกงผุดขึ้นในห้วงความคิด ใบหน้านั้น ทั้งนุ่มนวลและเย็นชา ทั้งอบอุ่นและโหดร้ายในคราเดียวกัน ความรู้สึกที่สับสนในอกกลับพุ่งซ่านราวกับไฟที่ค่อย ๆ ลามขึ้นในอก หลินหยาหลับตาลง พลิกตัวเล็กน้อย พ่นลมหายใจแรงจนได้ยินชัด

          “เฮ้อ…พุ่งซ่านอีกแล้วสิเรา…”

          เจ้าเซียนเฉ่าข้างตัวกระดิกหูเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงขยับตัวเข้ามาใกล้นางราวกับปลอบใจเงียบ ๆ หลินหยายกมือวางบนหัวมัน ลูบเบา ๆ ก่อนหลับตาอีกครั้ง ใต้ฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว คืนนี้หัวใจของนางเต็มไปด้วยทั้งความอบอุ่นจากสุนัขน้อยผู้ภักดี และความสับสนที่ชื่อว่าจางกงกง ที่แม้พยายามผลักออกไปเท่าไร…ก็ยิ่งฝังแน่นอยู่ในใจ

          เสียงลมกลางคืนพัดใบไม้กระทบกันแผ่วเบา ความเงียบของป่าลึกช่างกดทับจนแม้เปลวไฟกองเล็กก็เหมือนจะเต้นช้าลง หลินหยาที่นอนนิ่งมานานกลับพลิกตัวไปมาไม่หลับเสียที ในอกมีบางสิ่งรบกวนจนใจว้าวุ่น นางลุกขึ้นนั่งช้า ๆ ผ้าห่มเลื่อนลงจากบ่า ขณะเอื้อมมือไปหยิบขลุ่ยที่เก็บไว้ในแหวนดาราจรัสขึ้นมาลูบปลายมันเงียบ ๆ ความเย็นของเนื้อไม้ทำให้ใจที่ว้าวุ่นยิ่งชัดเจนขึ้น นางนั่งนิ่งเพียงลูบขลุ่ยไปมา ไม่เป่าแม้สักเสียง ดวงตาหวานเหม่อมองไปไกลในความมืดที่เต็มไปด้วยหมอก กลิ่นหอมจาง ๆ ของกุ้ยฮวาที่ยังหลงเหลือจากมื้อค่ำคล้ายจะย้ำเตือนความรู้สึกในใจจนแน่น

          เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังจากข้างตัว เจ้าเซียนเฉ่าตื่นขึ้น มันเดินมานั่งใกล้นาง ดวงตากลมโตมองขึ้นมาอย่างห่วงใย น้ำเสียงนุ่มทุ้มของมันเอ่ย “คุณหนูหลิน…ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ? คิดถึงบุรุษท่านนั้นหรือ?” หลินหยาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบาง ๆ เหมือนยอมรับความจริง “ใช่…” เสียงนางเบาจนแทบกลืนไปกับลม นางก้มหน้าลูบขลุ่ยในมือ “วันที่ข้าออกจากฉางอัน…เขาไม่มาหาข้าเลย และข้าเองก็ไม่รู้จะติดต่อเขายังไง”

          ดวงตานางสั่นไหว นางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว “ถ้ากลับไป…เขาคงโกรธข้ามากแน่ ๆ ที่หายไปโดยไม่บอกอะไร” นางหัวเราะแผ่ว รอยยิ้มที่แฝงความเจ็บปวดปรากฏบนริมฝีปาก “หรือทั้งหมดนี่…มันเป็นแค่ข้าที่คิดเข้าข้างตัวเองกันแน่? จางกงกงน่ะหรอ…จะใส่ใจข้าถึงเพียงนั้น” ปลายนิ้วที่ลูบขลุ่ยหยุดลง หลินหยาก้มหน้า ยิ้มขมนิดหน่อยกับความจริงที่เพิ่งยอมรับออกมา “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำ…ว่าข้าแคร์เขามากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

          เซียนเฉ่ามองเจ้านายของมันนิ่ง ๆ ก่อนเลื่อนหัวเข้ามาซุกที่ตักนางเบา ๆ ดวงตาสุนัขน้อยฉายแววเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หลินหยาวางมือบนหัวมัน ขณะที่สายลมพัดใบไม้ดังกราวราวกับจะปลอบใจ ความรู้สึกที่นางไม่กล้ายอมรับต่อหน้าผู้ใดกลับเผยออกมาในยามค่ำคืนที่มีเพียงสุนัขผู้ภักดีเป็นพยาน หลินหยาพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ยาวและหนักราวกับต้องการระบายสิ่งที่เก็บแน่นอยู่ในอก

          เสียงของเซียนเฉ่าดังขึ้นเบา ๆ ข้างกาย “คุณหนูหลิน…เช่นนั้นลองเล่นดนตรีไหมขอรับ? บางทีเสียงเพลงอาจช่วยปลดปล่อยสิ่งที่ท่านเก็บงำไว้ได้”

          หลินหยาเหลือบตามองมัน แววตาเศร้าแฝงรอยยิ้มจาง “ได้สิหากเจ้าขอ…แต่ความจริงข้าก็คิดจะทำอยู่แล้ว” นางเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนหันสายตามองขลุ่ยในมือราวกับกำลังเห็นเงาของพี่ฉู่ในความทรงจำ “พี่ฉู่เคยบอกข้าไว้ตอนที่เจอกันตรงยอดเขาหัวซาน…หากมีความรู้สึก อย่าเก็บไว้ในใจ จงปลดปล่อยมันออกมา”

          นางสูดหายใจลึก ค่อย ๆ ยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก ลมเย็นพัดใบไม้ร่วงกราวราวกับกำลังเงียบเพื่อฟัง เสียงขลุ่ยแผ่วแรกดังก้องออกมา ราวกับสายน้ำไหลรินในราตรีเงียบ ดนตรีนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ยเป็นคำความสับสน ความคิดถึง ความเจ็บปวด และความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในความทรงจำของคนผู้หนึ่ง ท่วงทำนองค่อย ๆ ไหลไปกลางป่าเขา ลอดผ่านหมอกและไอเย็น ลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวราวกับอยากให้ใครบางคนที่อยู่ไกลแสนไกลได้รับรู้ เสียงนั้นมิได้เศร้าเสียทีเดียว หากแต่กลมกล่อมด้วยประกายแห่งความหวังที่ซ่อนอยู่ในทุกโน้ต ทุกเสียงคือคำบอกเล่าของจิตวิญญาณที่ยังยึดมั่น แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด

          เซียนเฉ่านอนฟังเงียบ ๆ ข้างนาง ดวงตาอุ่นราวกับเข้าใจทุกอารมณ์ที่นางส่งออกมา เสียงขลุ่ยจึงไม่ได้เพียงกล่อมป่า แต่ยังกล่อมจิตวิญญาณของหลินหยาที่สับสน ให้คงมีความหวัง…ให้คงเชื่อว่าไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ใจของนางยังจะเดินต่อไปได้เสมอ และในยามนั้น กลางป่าลึกที่ไร้ผู้คน ดนตรีของหลินหยาก็กลายเป็นแสงเล็ก ๆ ที่ส่องประกายอยู่ในความมืด…ส่องทั้งให้ตัวนางเอง และเงาที่อาจจะกำลังฟังอยู่ในที่ไกลแสนไกล







วัตถุดิบของข้าวอบหอมหมื่นลี้
ส่วนของ ข้าวอบ
     ข้าวเปลือก, ซี่โคร่งไก่, น้ำเปล่า, ใบบัว
ส่วนของน้ำอบหอมหมื่นลี้
     ดอกกุ้ยฮวา, เห็ดหอม, กุ้ง, เนื้อไก่ดำ, งา, เจี้ยวโหยว, เหล้าเหลือง, น้ำตาล, เกลือ, อบเชย, พริกไทย
(เพิ่มเติม ปกติจะใส่หมูน้ำค้างหรือหมูเค็มไปด้วยเพื่อกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้นซึมไปในข้าว แม่แน่ใจว่าใช้ วัตถุดิบ เนื้อสัตว์ ได้ไหม)

สูตรอาหาร
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมข้าว
     ซาวข้าวจนน้ำใส แล้วแช่น้ำ 30 นาที
     นำใบบัวหรือใบไผ่ไปแช่น้ำให้นิ่มแล้วพักไว้
     ครบ 30 นาที นำข้าวที่แช่ไว้มาห่อด้วยใบบัวหรือใบไผ่

ขั้นตอนที่ 2 เตรียมน้ำอบหอม
     ตั้งกระทะใส่น้ำมันงาเจียวกุ้งแห้งและเนื้อสัตว์จนหอม
     ใส่ไก่ดำหั่นชิ้น,เห็ดหอม,เครื่องเทศอย่างอื่น
     เติมเจี้ยวโหยว, เหล้าเหลือง, น้ำตาล, น้ำแช่เห็ดหอม, น้ำซุปกระดูกไก่ (ได้จากการนำโครงไก่ต้มกับน้ำและเกลือหนึ่งหยิบมือ)
     เคี่ยวไฟอ่อน 15-20 นาที จากนั้นปิดไฟใส่ดอกกุ้ยฮวาแห้งทันทีแล้วกรองน้ำให้ใส

ขั้นตอนที่ 3 เตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ
     นึ่งเนื้อกุ้งแกะ, หั่นหมูเต็มเป็นลูกเต๋า
     นำเห็ดหอมบั่งให้สวยงามและแช่น้ำทิ้งไว้
     รวนเนื้อไก่ดำไม่ติดกระดูกให้สุกหรือพอสุก (เน้นใช้ส่วนสะโพกไก่จะดีที่สุดมีไข้

ขั้นตอนที่ 4 อบข้าว
     นำข้าวลงหม้อดินที่รองด้วยใบบัวหรือใบไผ่ เติมน้ำอบหอมหมื่นลี้ใส่ข้าวในอัตราส่วนที่พอเหมาะ
     โรยกุ้ง, เนื้อหมูเค็มหั่นเต๋า, เห็ดหอม, เนื้อไก่ดำรวนสุก
     ปิดฝาหม้ออบด้วยไฟอ่อน 25-30 นาที
     ก่อนเสิร์ฟเปิดฝาหม้อโรยดอกกุ้ยฮวาเล็กน้อยแล้วปิดฝาไว้ 2-3 นาที


@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: ปีศาจปลาเป็นฝูงเลย กรี๊ดดด

รางวัล: 
ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): เมือกปลา 2 ชิ้น (เลขคู่) หรือ กระเพาะปลา 2 (เลขคี่)
(เลขไบต์รองสุดท้ายประเภทไอเท็มดรอป) = กระเพาะปลา 2 ชิ้น x 4 ตัว = 8 ชิ้น
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 1 (เกลือ)
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: กระเพาะปลา 8 ชิ้น, +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-1 20:24
โพสต์ 105211 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-31 22:15
โพสต์ 105,211 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-7-31 22:15
โพสต์ 105,211 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-7-31 22:15
โพสต์ 105,211 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-7-31 22:15

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +15 ย่อ เหตุผล
Watcher + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-1 20:39:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-1 21:10

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 01 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


          ยามเหม่าหมอกเช้าปกคลุมป่าบาง ๆ จนใบไม้ชื้นน้ำค้าง เสียงนกเล็กเริ่มขับขานรับรุ่งอรุณ หลินหยาลืมตาตื่นทันทีที่แสงแรกสาดลอดกิ่งไม้ลงมาสัมผัสแก้มนวล นางพลิกตัวจากที่นอนใบไม้แห้ง ลุกขึ้นช้า ๆ สูดลมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ กลิ่นไอชื้นของป่าเย็นจัดแต่ชวนให้รู้สึกสดชื่น นางลุกไปจุดไฟกองเล็กที่ดับไปตั้งแต่เมื่อคืน ใช้เศษไม้ที่เตรียมไว้จุดขึ้นใหม่จนควันบางลอยขึ้น จากนั้นจึงหยิบห่ออาหารออกมาจากแหวนดาราจรัสที่สวมอยู่ แหวนนี้ช่างสะดวกเสียจนทำให้ทุกการเดินทางเบาเหมือนไม่แบกอะไรเลย หลินหยาหยิบเสี่ยวหลงเปาและซาลาเปาที่อุ่นด้วยไอน้ำจนร้อนกรุ่น เนื้อเค็มผัดกับผักป่าที่เก็บมาเมื่อวานถูกวางเรียงในจานไม้ กลิ่นหอมค่อย ๆ แผ่ไปทั่วแคมป์

          เซียนเฉ่าก็ลุกขึ้นมาพร้อมเสียงหาวเล็ก ๆ เดินมานั่งใกล้ ๆ ด้วยท่าทางสุภาพ หลินหยายื่นชามอาหารพิเศษที่จัดให้มันโดยเฉพาะ
“นี่…อาหารเช้าของเจ้าล่ะ” น้ำเสียงของนางแฝงความเอ็นดู

          ระหว่างที่รออาหารสุก นางหยิบน้ำจากแหวนออกมา เติมใส่กระบอกไม้ไผ่สำรองไว้หลายอันเพื่อใช้ตลอดวัน ท่ามกลางความเงียบสงบ นางก้มมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว ดวงตาหวานฉายแววครุ่นคิด แหวนที่เก็บของได้แทบไม่จำกัด…ใครกันที่ให้ข้ามา? นางยกแหวนขึ้นส่องแสงเช้า แสงอัญมณีที่เจิดจรัสราวดวงดาวสะท้อนเข้าตาอย่างสวยงามเกินธรรมดา คนที่จะหาของแบบนี้ได้ มีไม่กี่คน… ท่านเถียนเฟิงหรือ? นางส่ายหน้าเบา ๆ เขาคงไม่ใจดีถึงขนาดนั้น ความคิดต่อไปพุ่งไปยังท่านหลิวอัน หรือจะเป็นท่านหลิวอัน…ที่มักทำสิ่งที่ข้าไม่คาดคิดเสมอ? เขายิ่งขี้เป็นห่วงข้าอยู่ แต่เช่นนั้นทำไมต้องแอบให้หากเป็นเขา?

          แต่ในที่สุดใจของนางกลับสะกิดด้วยชื่อหนึ่งที่ชัดเจน หรือว่า…เขา? จางกงกง ริมฝีปากนางคลี่ยิ้มขมเล็กน้อย ความรู้สึกที่ผุดขึ้นทั้งอบอุ่นและปวดหน่วงในคราเดียว หากเป็นเขาล่ะก็…ข้าก็ไม่รู้เลยว่าควรยินดีหรือกลัวกันแน่

          เมื่ออาหารเช้าจัดเสร็จ หลินหยานั่งกินเงียบ ๆ ท่ามกลางป่าที่ค่อย ๆ ตื่นขึ้น พร้อมกับเจ้าเซียนเฉ่าที่กินอย่างสุภาพเหมือนเช่นเคย กลิ่นหอมของอาหารเช้าผสมกับกลิ่นหมอกบาง กลายเป็นเช้าวันใหม่ที่สงบ แต่เต็มไปด้วยความคิดมากมายในใจหญิงสาวผู้กำลังจะก้าวไปสู่เส้นทางที่ยิ่งอันตรายกว่าเดิม หลินหยาหาววอดเล็กน้อย ดวงตาหวานพร่าเพราะยังค้างจากความเหนื่อยเมื่อคืน แต่ก็ยืดแขนบิดตัวคลายเส้นแล้วพึมพำกับตัวเอง “ไปกันเถอะเซียนเฉ่า…วันนี้คงต้องลำบากหน่อยแล้ว” หลังจากกินอาหารเสร็จ เธอก็เก็บทุกอย่างเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ ทั้งหม้อ กระบอกน้ำ และแม้แต่เบาะนุ่มของเซียนเฉ่าก็ถูกพับเก็บเรียบร้อยเข้าแหวนดาราจรัสโดยไม่เหลือเศษอะไรไว้

          เมื่อทุกอย่างพร้อม หลินหยาก้าวออกเดินทางต่อพร้อมเจ้าเซียนเฉ่าที่กระดิกหางสั้น ๆ ก่อนวิ่งนำหน้าเล็กน้อย มันหันกลับมามองเจ้านายเป็นระยะด้วยท่าทางระมัดระวังดุจผู้คุ้มกัน เส้นทางวันนี้เริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน พื้นป่าที่เคยราบเรียบเริ่มลาดชันขึ้นทีละน้อย รากไม้ชอนไชไปตามพื้นหินทำให้การก้าวเดินต้องระวังมากขึ้น พุ่มไม้รอบข้างเริ่มห่างจนเห็นผนังหินสูงทอดยาว สายน้ำจากยอดเขาไหลเป็นทางเล็ก ๆ ไหลลงมาสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสาย ยิ่งเดินสูงขึ้น ความเย็นก็ยิ่งแทรกซึมเข้ามา หมอกบางเริ่มคลอรอบตัวหนาขึ้นทีละนิด แม้ยังไม่มากพอจะบดบังทาง แต่มันก็ทำให้ทุกสิ่งรอบกายดูพร่ามัวราวกับภาพฝัน หลินหยาหยุดชั่วครู่ สูดลมหายใจเย็นจัดเข้าปอดก่อนก้าวต่อ

          นางเดินด้วยความระมัดระวัง ทุกก้าวต้องมองพื้นเพราะมีทั้งก้อนหินหลวม ๆ และหน้าผาที่เริ่มโผล่ข้างทางเป็นช่วง ๆ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินแห้งดังแผ่ว ๆ สอดคล้องกับเสียงลมพัดใบไม้ไหว ด้านหน้าเซียนเฉ่าชะงักเป็นพัก ๆ เหมือนดมกลิ่นตรวจสอบทาง ขนบริเวณหลังตั้งเล็กน้อยบ่งบอกว่ามันระวังภัยสูงสุด ดวงตาคมกริบจับจ้องรอบป่า เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเครียดกับการนำทางครั้งนี้

          หลินหยามองตามเจ้าเซียนเฉ่า ยิ้มจาง ๆ พลางพูดกับมันเบา ๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลนักหรอก เซียนเฉ่า…ข้าเชื่อในเจ้าว่าจะพาข้าไปถึงปลายทางได้ ระวังตัวด้วยเจ้าตัวเล็ก” เสียงหมอกเบื้องหน้าเริ่มกระซิบคล้ายเสียงกระเรียนแว่วลอยมาไกล ๆ เสียงนั้นทั้งลึกลับและเย้ายวน ราวกับเชิญชวนให้ก้าวต่อไป… และทั้งเจ้านายกับหมาน้อยก็ยังคงเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่หันกลับ

          เส้นทางเริ่มตีบแคบลงเรื่อย ๆ จนหลินหยาต้องชะลอฝีเท้า เดินเงียบ ๆ พร้อมใช้สายตากวาดมองทุกก้าวที่วางลงไป ด้านหนึ่งเป็นผนังหินสูง อีกด้านกลับเปิดโล่งสู่หน้าผาลาดชันที่ลมพัดแรงจนได้ยินเสียงหวีดหวิว บางช่วงของเส้นทางมีเพียงก้อนหินเรียงกันพอวางเท้าได้ทีละก้าว ความผิดพลาดเพียงน้อยนิดอาจหมายถึงร่วงลงสู่เบื้องล่าง หญิงสาวยกมือแตะหินด้านข้างเพื่อพยุงตัวเอง พลางเหลือบมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินนำอย่างมั่นคงบนทางแคบ ๆ นางกลืนน้ำลายแล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว “เซียนเฉ่า…เจ้าไม่กลัวความสูงหรือ?”

          หมาน้อยหันหัวกลับมามอง ดวงตากลมโตเปล่งประกายมั่นคง น้ำเสียงของมันตอบเรียบแต่หนักแน่น “ไม่กลัวขอรับ คุณหนูหลิน ข้าเคยก้าวผ่านเส้นทางที่อันตรายกว่านี้หลายคราแล้ว”

          “ข้าน่ะ…กังวนนิดหน่อยล่ะมันสูงนิดหน่อย แต่ถ้าเจ้านำทาง ข้าก็วางใจได้” หลินหยาสูดลมหายใจลึก ยิ้มจาง ๆ เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย มันยืดอกขึ้นราวกับภูมิใจกับคำพูดนั้นแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ “ไว้ใจข้าได้เลยขอรับ ข้าจะพาท่านผ่านไปอย่างปลอดภัยทุกก้าว” ได้ยินเช่นนั้น หลินหยาก็ปล่อยความกังวลไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองตามหลังหมาน้อยผู้ซื่อสัตย์ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดีแล้ว…ที่ข้ามีเจ้าอยู่ด้วย นางคิดในใจ ก่อนจะก้าวตามไปช้า ๆ ด้วยความระมัดระวังสุดขีด ท่ามกลางหมอกที่เริ่มคลอหนา และเสียงกระเรียนป่าที่ดังแว่วขึ้นใกล้กว่าเดิม

          เส้นทางแคบคดเคี้ยวเลียบผาหินกินเวลายาวนานกว่าที่หลินหยาคิดไว้ ทุกก้าวต้องก้าวอย่างมั่นคง ระวังไม่ให้เท้าพลาดหลุดลงไปด้านล่างที่ลมพัดแรงจนได้ยินเสียงหวีดราวกับเตือนผู้ที่ไม่ระวัง เสียงฝีเท้าเบาของนางและเจ้าเซียนเฉ่าเป็นเพียงเสียงเดียวที่แทรกความเงียบของภูเขา หมอกเริ่มจางบ้างในบางช่วง ปล่อยให้แสงแดดส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ริมทางลงมาเป็นลำ ทว่าก็ยังคลออยู่รอบ ๆ ให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในโลกที่แยกออกจากความจริง หลินหยาสูดลมหายใจลึก กลิ่นดินชื้นและใบไม้แห้งทำให้รู้สึกผ่อนคลายแม้จะเหนื่อยล้า

          นางเดินตามหลังเซียนเฉ่าที่นำทางอย่างไม่หยุดพัก จนเมื่อรู้สึกว่เวลานานเกินไปและท้องฟ้าเริ่มสว่างจ้าเต็มที่ นางจึงเงยหน้ามองฟ้า หมอกเบื้องบนถูกแสงส่องจนบางลง คงใกล้เที่ยงแล้วสินะ…

          เมื่อพ้นทางหินแคบมาเล็กน้อย หลินหยาก็เห็นเงาของสิ่งปลูกสร้างลาง ๆ ท่ามกลางต้นไม้ที่ขึ้นรก นางเดินเข้าไปใกล้จนพบว่าเป็นศาลาเก่า ๆ เล็ก ๆ หลังคาไม้ไผ่ผุพังบางส่วน ผนังข้างที่เคยมีรั้วกั้นหลุดหายไปตามกาลเวลา มีเพียงเสาไม้ตั้งเอียง ๆ อยู่หลายต้น ท่ามกลางความรกร้างของป่า ศาลานี้ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่หลงเหลือจากผู้คนที่เคยผ่านมานานนักแล้ว หลินหยาก้าวเข้าไปในศาลาด้วยความระมัดระวัง เธอกวาดตามองโดยรอบแต่ไม่พบอะไรนอกจากเศษไม้เก่าและใบไม้แห้งที่พัดเข้ามา เธอถอนหายใจเล็กน้อย “อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้พักสักหน่อย…”

          นางวางสัมภาระเล็กน้อยลงบนมุมหนึ่งที่ฝุ่นน้อยที่สุด ก่อนดึงกระบอกน้ำออกมาจากแหวนดาราจรัส แล้วเทน้ำใส่ชามเล็กให้เจ้าเซียนเฉ่าดื่ม “นี่ของเจ้า ดื่มซะ” หมาน้อยเดินเข้ามาอย่างสุภาพ โน้มตัวดื่มน้ำเย็นใสช้า ๆ ดวงตากลมเงยขึ้นมามองนางคล้ายจะบอก ขอบคุณครับคุณหนู

          หลินหยายกน้ำขึ้นดื่มบ้าง รสเย็นชื่นใจทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าฟื้นเล็กน้อย จากนั้นเธอใช้กระบอกน้ำล้างหน้า ล้างเหงื่อที่เกาะตามแก้มและลำคอ ความเย็นของน้ำทำให้เธอสดชื่นขึ้นทันตา ก่อนเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่พกติดตัว นางนั่งพักพิงเสาศาลาเก่ามองออกไปยังหมอกที่ลอยคลอเหนือป่าอย่างสงบแล้วพ่นลมหายใจยาว ร่างกายยังเหนื่อยแต่หัวใจกลับรู้สึกสงบชั่วครู่

          สายตานางเลื่อนมามองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งเคียงอยู่ข้าง ๆ ขนของมันสะท้อนแดดจาง ๆ นางยิ้มบาง ๆ พลางพูดกับตัวเอง “เที่ยงนี้…เราจะกินอะไรดีนะ” มือเรียวลูบแหวนดาราจรัสเบา ๆ ขณะครุ่นคิดว่าจะทำอาหารอะไรให้อิ่มและไม่เสียเวลามาก แต่ก็ยังต้องอร่อยพอจะเติมพลังให้เดินทางต่อในช่วงบ่ายที่รออยู่…

          เซียนเฉ่าที่ดื่มน้ำจนพอใจแล้วเลียปากน้อย ๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองนาง ดวงตากลมใสทอแววคาดหวังเล็ก ๆ น้ำเสียงทุ้มสุภาพดังออกมา “คุณหนูหลิน…ข้าขออะไรที่อร่อย ๆ หน่อยได้หรือไม่ขอรับ?” หลินหยาหลุดหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางนั้น “เจ้ามันหมาน้อยช่างเลือกจริง ๆ นะ เซียนเฉ่า…” นางเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้าที่ พลางครุ่นคิดแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “งั้นเรากินผักต้มกับเนื้อต้มดีไหม? หรือจะเปลี่ยนเป็นเนื้อนึ่งก็ได้ ข้าแยกให้เจ้าโดยไม่ใส่เครื่องปรุงแรง ๆ อยู่แล้ว”

          หมาน้อยกระดิกหางน้อย ๆ อย่างเห็นได้ชัดว่าถูกใจ ทว่าเสียงของมันยังคงสุขุม “เช่นนั้นก็ขอบคุณมากขอรับ”

          หลินหยายกคิ้ว หัวเราะอีกครั้ง “แล้วถ้าเราเจอลำธารระหว่างทาง ข้าจะลองตกปลามาให้ เผื่อเจ้าจะเบื่อเนื้อแล้วจะได้เปลี่ยนบ้าง” เซียนเฉ่าหันมามองนาง ดวงตาฉายแววจริงจังขึ้น “คุณหนูหลิน…จากที่ข้าสังเกต หุบเขาแห่งนี้เหมือนจะมีลำธารไหลต่อเนื่องเกือบตลอดสาย การหาน้ำไม่น่าจะมีปัญหา แต่ข้าคิดว่า…ปีศาจปลาที่นี่อาจชุกชุม เพราะเป็นพื้นที่ปิดที่ไม่มีผู้คนมารบกวน”

          หลินหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ นัยน์ตาหวานสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนมองไปทางหมอกเบื้องหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ที่แห่งนี้คงเงียบเกินไปจนปีศาจพากันชอบซ่อนตัว” จากนั้นนางหันกลับมามองเซียนเฉ่าด้วยรอยยิ้มเจือความเอ็นดู “เจ้าเซียนเฉ่านี่…ฉลาดเหมือนกันนะเนี้ย” หมาน้อยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยราวกับภูมิใจในคำชม “ข้าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ คุณหนู”

          หลินหยาหัวเราะกับความจริงจังของมันอีกครั้ง ขณะที่หยิบหม้อใบเล็กเตรียมตั้งไฟ กลิ่นไม้ที่เริ่มติดไฟลอยขึ้นในศาลาเก่าผุพัง ท้องฟ้าส่องแสงจ้าสะท้อนผ่านหมอกหนาเป็นลำ พวกเขากำลังจะได้มื้อเที่ยงง่าย ๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ก่อนจะออกเดินทางสู่เส้นทางที่อันตรายยิ่งขึ้นในบ่ายนี้ หลังจากทำอาหารง่าย ๆ ให้ตัวเองและเจ้าเซียนเฉ่าได้กินกันอย่างอิ่มหนำ หลินหยาก็เก็บทุกอย่างเข้าที่อย่างเป็นระเบียบตามนิสัย เบาะของเซียนเฉ่าก็ถูกม้วนเก็บเข้าแหวนดาราจรัสเหมือนเดิม ก่อนทั้งคู่จะออกจากศาลาเก่าที่ให้พักชั่วคราว เดินต่อไปตามเส้นทางที่ทอดยาวสู่ความลี้ลับของหุบเขากระเรียนหลบฟ้า

          คราวนี้เส้นทางดูราบเรียบขึ้นเล็กน้อยหลังจากพ้นช่วงหน้าผาแคบ ๆ ที่ชวนให้หัวใจเต้นแรง ก้าวเท้าแต่ละก้าวสบายขึ้นเพราะพื้นดินถูกปกคลุมด้วยหญ้าเตี้ยกับดอกไม้ป่าขาวเล็ก ๆ ลมพัดกลิ่นใบไม้และดินชื้นมาปะทะแก้มอย่างสดชื่น หลินหยามองไปรอบ ๆ ขณะก้าวไปอย่างเงียบ ๆ รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แล้วทันใดนั้น เสียงบางอย่างแว่วเข้าหู… เสียงแหลมใส ลึก และเย็นดุจสายลมยามฟ้าเปิด เสียงของนกกระเรียนดังก้องอยู่ไกล ๆ ในความเงียบของป่า หมอกหนาคลอรอบไหล่เขาในระยะไกล คล้ายม่านขาวที่เริ่มปิดทางเบื้องหน้า

          หลินหยาชะงักก้าว ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนหลับตาเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเสียงนกธรรมดา มันแฝงความเรียกขานแปลก ๆ ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้ผู้กล้าก้าวเข้ามา ดวงตาหวานเปิดขึ้นพร้อมรอยครุ่นคิด ในบันทึก…มันบอกไว้ว่า หน้าผาชันและไอหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี เสียงกระเรียนป่าดังแว่วในความเงียบ… นางกำหมัดแน่นเล็กน้อย ความตื่นเต้นผสมกับความระแวดระวังปะปนในใจ แปลว่า…เรามาถูกทางแล้ว

          นางเหลือบมองเซียนเฉ่าที่เดินเคียงอยู่ หมาน้อยพยักหน้าช้า ๆ ราวกับยืนยันความคิดเดียวกัน “เสียงกระเรียนนั้น…ไม่ธรรมดาเลยนะขอรับ”

          หลินหยายิ้มบางตอบเจ้าหมาน้อยของเธอ “ใช่… ถ้าโชคดี พรุ่งนี้เราจะได้พบสถานที่แห่งนั้น” นางมองไปยังหมอกหนาที่คลออยู่เบื้องหน้าอย่างมั่นคง ก่อนจะพูดต่อราวกับกระซิบกับตัวเอง “หรือไม่ก็อีกสักสองสามวัน…แต่ไม่เกินนี้แน่” ลมเย็นพัดแรงขึ้นเล็กน้อย พัดชายเสื้อของนางปลิวไปตามแรง นกกระเรียนยังคงร้องแว่วไกลราวกับกำลังนำทาง ทั้งสองจึงก้าวต่อไปโดยไม่ลังเล มุ่งหน้าสู่ความลี้ลับที่รออยู่ในหุบเขากระเรียนหลบฟ้า

          เส้นทางเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ลมเย็นพัดแรงขึ้น จนปลายผมของหลินหยาปลิวไปตามจังหวะลม นางก้าวเดินช้า ๆ ริมทางที่เต็มไปด้วยหญ้าป่าและต้นไม้ใหญ่คลุมร่มเงา พลางหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินเคียงข้างอย่างภักดี ขณะเดิน หลินหยาก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่แฝงความสงสัย “ว่าแต่…เซียนเฉ่า เจ้าจำได้ไหม ตอนที่ข้าพบเจ้าครั้งแรกที่ร้านขายสัตว์ในขบวนคหบดีลู่ ตอนนั้นเจ้าพูดไม่ได้เลย ทำไมกันล่ะ?”

          เจ้าเซียนเฉ่าเหลือบตาขึ้นมองนาง ขณะที่ยังคงก้าวอย่างมั่นคง ดวงตากลมโตส่องประกายอ่อนโยนแต่มั่นใจ “ปกติแล้ว พวกเรา…สุนัขสามหัวจะยังไม่ใช่ปีศาจขอรับ จะต้องได้รับ ‘ตบะ’ จากแหล่งที่มีพลังสูงพอ จึงจะสามารถพูดและใช้พลังบางอย่างได้ขอรับ”

          “หมายความว่า…?” หลินหยาหยุดก้าวชั่วครู่หันมามองมันด้วยคิ้วที่ยกขึ้นเล็กน้อย

          น้ำเสียงทุ้มสุภาพของเซียนเฉ่ายังคงนิ่ง “ตอนนั้นที่คุณหนูหลินอุ้มข้าขึ้นมา ข้าบังเอิญได้รับตบะที่เข้มข้นมากจากตัวท่าน ตบะนั้น…แทรกซึมเข้าสู่ร่างข้าโดยไม่ตั้งใจ”

          “หา! เจ้าบอกว่าข้า…แอบโดนดูดตบะเรอะ!?” หลินหยาผงะก้าวเท้าพลาดเกือบสะดุดก้อนหิน ก่อนรีบตั้งตัว หันมามองหมาน้อยด้วยตากว้าง

          เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อยแล้วตอบเสียงเรียบแต่ฟังดูเหมือนกำลังซ่อนความพึงพอใจ “ขอรับ…และข้าต้องบอกตามตรงว่า ตบะของคุณหนูหลิน…อร่อยมาก” หลินหยาชะงักไปอึดใจ ก่อนหันขวับไปมองมันด้วยสีหน้าผสมระหว่างอึ้งกับขำ “นี่เจ้ากำลังชมข้า หรือเจ้าแค่บอกว่าเจ้ากินพลังข้าไปแล้วกันแน่!?”

          “ทั้งสองอย่างขอรับ” เซียนเฉ่าตอบอย่างสุภาพราวกับเรื่องนี้ปกติ “การดูดตบะครั้งนั้นทำให้ข้าดุดันและแข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังทำให้ข้าสามารถสื่อสารภาษามนุษย์ได้ชัดเจนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” หลินหยานิ่งไปชั่วครู่ มองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทึ่งและความขำในคราวเดียว “เป็นงี้นี่เอง…ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้ามีพลังอะไรแบบนั้นด้วย”

          เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางอีกครั้ง ดวงตากลมโตเปล่งประกาย “เพราะคุณหนูหลินน่ะ…พิเศษกว่าที่ตัวเองคิดมากนักขอรับสำหรับข้าด้วย” หลินหยาส่ายหัวเบา ๆ พลางระบายยิ้มจาง “เจ้านี่มันขี้ประจบประแจงจริง ๆ เจ้าตัวเล็ก…” นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปพร้อมหมาน้อย เสียงนกกระเรียนไกล ๆ แว่วขึ้นอีกครั้ง ราวกับกำลังยืนยันว่าทั้งสอง…กำลังมุ่งหน้าเข้าใกล้หุบเขากระเรียนหลบฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ

          ลมเย็นพัดแรงขึ้นเล็กน้อย หมอกขาวที่ลอยต่ำเริ่มปกคลุมทางเดิน หลินหยาก้าวไปพลางถอนหายใจยาว ดวงตาหวานทอดมองแผ่นหลังเล็กของเจ้าเซียนเฉ่าที่เดินนำหน้าอย่างมั่นคง นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามออกมา “แล้วถ้าข้า…ให้ตบะแบบตั้งใจล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” เจ้าเซียนเฉ่าหยุดก้าวชั่วครู่ ก่อนหันหัวกลับมามองดวงตากลมใสเปล่งประกายแต่แฝงความซื่อสัตย์ “ข้า…ไม่รู้เหมือนกันขอรับ” น้ำเสียงทุ้มสุภาพนั้นฟังดูจริงใจอย่างที่สุด “ไม่ว่าคุณหนูหลินจะให้หรือไม่ให้ ข้าก็พอใจอยู่แล้ว เพราะคุณหนูขุนข้าให้อาหารเช้า กลางวัน เย็นครบทุกมื้อ…อิ่มทุกครั้งตัวกลมกิ๊กเลย”

          หลินหยาหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่ายหัว “ก็จริง…เจ้านี่กินเหมือนคนสามคน ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว” นางบ่นพลางมองมันด้วยสายตาเอ็นดู “ใช้พลังงานเยอะเกินไปหรือไงถึงต้องกินขนาดนั้น” เซียนเฉ่าหันหัวกลับไปเดินต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับคำบ่น แต่ปลายหางของมันกลับกระดิกเล็กน้อยราวกับพอใจคำพูดนั้น

          หลินหยามองตามหลังมันไป เงียบลงเล็กน้อยในความคิดบะงั้นหรือ…? ถ้าให้แบบตั้งใจ เจ้าหมาน้อยนี่จะเปลี่ยนไปแค่ไหนกันนะ? ความสงสัยเริ่มก่อขึ้นในใจพร้อมกับประกายอยากรู้อยากลอง นางขยับยิ้มบาง ๆ พลางก้าวเดินตามเจ้าหมาน้อยไปอย่างง่ายดาย ร่างของทั้งสองค่อย ๆ หายไปในหมอกที่หนาขึ้นทีละน้อย ขณะเสียงนกกระเรียนแว่วลอยไกลมาเหมือนเตือนว่า การเดินทางครั้งนี้…กำลังพาพวกเขาเข้าใกล้สิ่งลี้ลับและคำตอบที่รออยู่เบื้องหน้า หมอกเริ่มหนาขึ้นรอบข้าง แสงแดดที่ลอดผ่านยอดไม้เป็นเพียงเส้นแคบ ๆ ที่ส่องลงบนเส้นทาง หลินหยาก้าวเดินเงียบ ๆ ตามหลังเซียนเฉ่า จังหวะหนึ่งกลับเกิดความรู้สึกแปลกในอก คล้ายเซ้นส์บางอย่างกระซิบว่ามีสิ่งที่ไม่ควรละเลยอยู่ใกล้ ๆ นางหยุดก้าว หรี่ตาเหลือบมองพื้นดินตรงข้างทางที่ดูแตกเป็นร่องเล็ก ๆ

          “เซียนเฉ่า มาดูนี่สิ” หลินหยาก้มลงแตะปลายรอยแตกที่คล้ายจะเป็นโพรงแคบ ๆ “เจ้าลองขุดดูหน่อยไหม?” หมาน้อยยืดอกทันที ราวกับคำสั่งนี้เป็นสิ่งที่รอคอยอยู่แล้ว “รับคำสั่งขอรับ!” มันเริ่มขุดด้วยความรวดเร็ว กรงเล็บของมันทำงานอย่างเมามัน ดินกระจายเป็นวง เสียงขุดดังฟังชัดจนฝุ่นคลุ้งเล็ก ๆ ทุกหัวของมันตั้งใจราวกับการล่าเหยื่อ

          เพียงไม่นาน เซียนเฉ่าก็ขุดเจอวัตถุแข็งบางอย่าง ฝุ่นดินหลุดออกเผยให้เห็นปากไหกลม ๆ ที่ทำจากดินเผาสีหม่น ฝังลึกอยู่ใต้ดินที่ถูกทิ้งร้างมานาน หลินหยาย่อตัวลงช่วยปัดดินออกจนเห็นตัวไหเต็ม ๆ ซึ่งยังคงสภาพดีแม้จะเก่าเก็บ นางจับมันขึ้นมาพลิกดู ป้ายแกะสลักจางจนแทบมองไม่เห็น แต่มีกลิ่นไผ่อ่อนจาง ๆ ลอยออกมาจากปากไหที่ปิดด้วยฝาไม้สน หลินหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย สุราไผ่เขียว…? นางเปิดฝาแง้มเล็กน้อย กลิ่นหวานหอมปนกลิ่นไม้แผ่วพัดออกมา แม้จะหมักมานาน กลับไม่มีกลิ่นเสียหายเลย กลับยิ่งหอมลึกคล้ายกลิ่นหมอกยามรุ่ง หลินหยายกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ตั้งสิบยี่สิบปีแล้วละมั้งเนี้ย…แต่ยังดีอยู่”

          นางหัวเราะเบา ๆ พลางพึมพำ “แฮปไปสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกนะ” แล้วหันไปมองเซียนเฉ่าที่นั่งมองด้วยสายตาเหมือนจะบอก เก็บไปเลยเถอะขอรับ รู้เห็นเป็นใจให้เจ้านายเป็นโจร

          หลินหยาจึงยกไหสุราขึ้น สะบัดมือเรียกมิติของแหวนดาราจรัส แสงบางส่องวาบไหถูกดูดหายเข้าไปในความว่างเปล่าเรียบร้อย “เรียบร้อย…ของดีแบบนี้ ไม่เก็บก็โง่แล้ว” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็ก ๆ ราวกับเห็นด้วยเต็มที่ ทั้งคู่ยิ้มบาง ๆ ให้กันก่อนเดินทางต่อไป

          แสงแดดยามบ่ายแก่เริ่มโรยแรง หมอกหนาในหุบเขาเริ่มทาบคลุมทุกอย่างให้หม่นลงราวกับกลืนแสงสว่าง หลินหยาที่เดินมาทั้งวันเงยหน้ามองท้องฟ้า ทว่าเหนือหัวมีเพียงม่านหมอกสีหม่น ไม่มีแม้เงาของพระอาทิตย์ให้เห็น นางกะเวลาไม่ถูกนัก แต่เสียงของเซียนเฉ่าที่เดินนำหน้าก็ทำให้แน่ใจในสถานการณ์ “คุณหนูหลิน เวลานี้อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พระอาทิตย์จะตกแล้วขอรับ” เสียงของมันทุ้มเรียบแต่แฝงความเร่งเร้าเล็ก ๆ หลินหยาพยักหน้าช้า ๆ ดวงตากวาดมองรอบตัวที่เริ่มมืดเร็วกว่าปกติ หมอกแบบนี้…ถ้าไม่หาที่พักแรมเร็ว คงลำบากแน่ นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบรับ “งั้น…เราหาที่พักแรมกันเถอะ เซียนเฉ่า ข้าอยากได้ที่ปลอดภัยหน่อย อยู่ใกล้น้ำด้วยจะดีมาก จะได้ทำอาหารง่ายขึ้น”

          “ไว้ใจข้าได้เลยขอรับ” หมาน้อยหยุดก้าวหันมาสบตานางดวงตาสามประกายมั่นคง พูดจบ มันก้มศีรษะต่ำลง ดมกลิ่นไปตามสายลมที่พัดพากลิ่นไม้และหมอกเข้ามา หูตั้งชันราวกับกำลังฟังเสียงบางอย่างที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน จากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วไปทางหนึ่งโดยไม่ลังเล

          หลินหยาก้าวตามหลังช้า ๆ เธอรู้สึกได้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของมันแม่นยำราวกับจดจำเส้นทางได้ ทั้งที่นี่คือป่าหุบเขาที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร นางยกมือลูบขลุ่ยที่พกอยู่ในผ้าเบา ๆ เพื่อเตือนตัวเองให้พร้อมเสมอ

          “เจ้ามันเก่งจริง ๆ นะ เซียนเฉ่า” หลินหยาพึมพำราวกับยิ้ม

          “เพราะข้ามีคุณหนูหลินให้ปกป้อง ข้าย่อมต้องทำให้ดีที่สุดขอรับ” เสียงของมันดังกลับมาอย่างมั่นใจโดยไม่หันหน้า ในที่สุด หลังจากเดินตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยรากไม้ซ่อนอยู่ใต้หมอกอยู่พักใหญ่ เจ้าเซียนเฉ่าก็หยุดที่พื้นที่ราบซึ่งมีลำธารสายเล็กไหลอยู่ใกล้ ๆ ด้านหนึ่งเป็นโขดหินใหญ่กั้นลม ด้านอื่นมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบเป็นกำบัง มันหันกลับมา ดวงตาฉายแววพึงใจ “ที่นี่เหมาะสมแล้วขอรับ ปลอดภัยพอสมควร และมีน้ำตามที่คุณหนูต้องการ”

          หลินหยามองรอบ ๆ แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ดี…ที่นี่แหละ คืนนี้เราจะพักกันที่นี่” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อยอย่างภูมิใจ ก่อนยืนนิ่งรอเจ้านายเริ่มจัดที่พัก ภายใต้หมอกที่คลอรอบตัว ความเงียบของหุบเขาในยามเย็นกำลังค่อย ๆ ปิดล้อมทั้งสองไว้ พร้อมกับราตรีที่กำลังใกล้เข้ามา

          หลินหยาก้าวเข้ามายังพื้นที่ราบที่เจ้าเซียนเฉ่าหาไว้ ลมเย็นของยามเย็นพัดไอหมอกคลอไปทั่ว ทำให้ผิวกายรู้สึกเย็นจัดขึ้นทุกที นางหันไปมองหมาน้อยผู้ภักดีที่ยืนรอคำสั่งข้างกายก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่ชัด “เซียนเฉ่า เจ้าลองไปสำรวจตรงลำธารนั้นทีสิ ดูว่ามีปีศาจหรือสิ่งมีชีวิตอะไรแฝงตัวอยู่หรือไม่ ข้าจะจัดที่พักให้เรียบร้อย” เจ้าเซียนเฉ่าพยักหน้ารับ “รับคำสั่งขอรับ คุณหนูหลิน” แล้วก้าวห่างออกไปเงียบ ๆ ร่างเล็กเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราวกับเงา ดวงตาคมตรวจตราไปตามพุ่มไม้และพื้นน้ำทีละก้าวโดยไม่พลาดแม้จุดเดียว

          ระหว่างนั้นหลินหยาก็ย่อตัวลง เริ่มเปิดมิติในแหวนดาราจรัสเพื่อหยิบของจำเป็นออกมา ผืนผ้าใบสำหรับปู เบาะนุ่มสำหรับเซียนเฉ่า และอุปกรณ์ตั้งเตาไฟเล็ก ๆ ถูกวางออกทีละชิ้น ทว่าระหว่างที่นางบิดข้อมือ แหวนบน นิ้วกลางข้างขวา บีบกระชับเกินกว่าปกติจนรู้สึกแน่น นางหยุดเล็กน้อย มองแหวนพลางถอนหายใจ มันแน่นไปหน่อยไหมนะ… หรือข้าควรสวมที่นิ้วนางแทน? ความคิดนั้นทำให้ดวงตาหวานไหวเล็กน้อย ก่อนนางหัวเราะคิกกับตัวเอง “จะบ้าหรือไง…นิ้วนางงั้นหรือ? ข้ายังไม่ได้แต่งงานนะ” เสียงหัวเราะนั้นคลายความเงียบรอบตัวเล็กน้อย ก่อนนางส่ายหัว หยิบผ้าใบออกมาวางแล้วจัดทุกอย่างต่อด้วยใบหน้ายิ้มบาง

          ขณะนั้นเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังลาดตระเวนไปถึงริมลำธารค่อย ๆ ชะงัก ดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องไปยังผืนน้ำที่นิ่งจนน่าสงสัย กลิ่นอายบางอย่างคลออยู่ใต้ผิวน้ำกลิ่นคาวจาง ๆ และกลิ่นเย็นเฉียบแบบที่ปีศาจน้ำมักมี ความคิดของมันดุดันขึ้น มีอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน…แต่ยังไม่โผล่มาตอนนี้หรอก

          มันย่อตัวต่ำ ก้มดมกลิ่นแล้วกวาดสายตาไปรอบ ๆ ตรวจตราทุกมุม ความคิดในใจของเซียนเฉ่าคือการระวังภัยอย่างเต็มที่ เพราะสัญชาตญาณของมันบอกชัดว่าในน้ำนี้…ซ่อนบางสิ่งที่ยังรอจังหวะปรากฏตัวอยู่แน่นอน

          ผิวน้ำที่ดูนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่งพลันแตกกระจายทันที! คลื่นน้ำสาดกระเซ็นเมื่อร่างปีศาจปลาทั้งสี่โผล่พ้นขึ้นมาจากความมืดในลำธาร ผิวหนังของพวกมันสะท้อนแสงหม่น ๆ แฝงเกล็ดเล็กคมเหมือนใบมีด ใบหน้าเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ดวงตาแดงฉานฉายแววหื่นกระหายเต็มไปด้วยความอยากลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์ เสียงลมหายใจของพวกมันกระชั้นถี่เหมือนสัตว์ป่าที่จ้องเหยื่ออย่างหิวโหย

          หลินหยาที่กำลังจัดของถึงกับชะงัก เงยหน้ามองสิ่งที่โผล่พ้นน้ำมา แววตาสีหวานหรี่ลงเต็มไปด้วยความเย็นชา ปีศาจปลา…พวกมันมาอีกแล้ว ลมพัดชายเสื้อของนางพลิ้ว ขณะร่างของปีศาจทั้งสี่ค่อย ๆ ก้าวขึ้นฝั่ง ดวงตาของมันจ้องมาที่นางราวกับมองเห็นเพียงเหยื่อแสนหวานเพียงหนึ่งเดียว นางไม่ก้าวถอยแม้ครึ่งก้าว เพียงเหลือบหางตาไปยังเจ้าเซียนเฉ่าที่กลับมาจากการลาดตระเวนริมลำธาร เสียงนางดังชัดเจนและเฉียบขาด “เซียนเฉ่า…รอบนี้ห้ามเห่านะ ข้าไม่อยากได้ยินเสียงนั้นเข้าไปในหัว”

          หมาน้อยหยุดชั่วขณะ ดวงตาสามคู่วาวโรจน์รับคำสั่ง “รับบัญชาขอรับ คุณหนูหลิน” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังเพียงพอให้นางได้ยิน ก่อนร่างเล็กสั่นสะท้าน เส้นขนพองตัวแปรเปลี่ยนในพริบตา ในชั่ววินาทีเดียว ร่างของเซียนเฉ่าเปลี่ยนเป็นสุนัขสามหัวอันน่าเกรงขาม ขนสีดำมันวาวราวกับรัตติกาลที่เคลื่อนไหว กรงเล็บแหลมคมตวัดกับพื้นจนเกิดประกาย ขณะที่ดวงตาทั้งสามคู่ลุกโชนด้วยแสงสีทองสว่าง ท่วงท่าของมันสง่างามราวนักล่าแห่งนรก มันไม่ส่งเสียงเห่าอย่างที่นางสั่ง แต่กลับคำรามต่ำในลำคอ เสียงนั้นหนักแน่นจนพื้นดินสะเทือนเบา ๆ ก่อนจะพุ่งพรวดออกไปดุจสายฟ้าผ่ากลางหมอกหนา

          ปีศาจปลาทั้งสี่กระโจนเข้ามาพร้อมกัน แต่ร่างของเซียนเฉ่ารวดเร็วเหนือสายตา หัวหนึ่งกัดฉีกแขนของปีศาจตัวแรกจนเลือดสาด อีกหัวฟันกรามลงที่คอของตัวที่สอง กระชากจนร่างมันล้มคว่ำ ส่วนหัวสุดท้ายใช้แรงกระแทกกระดูกสันหลังของตัวที่สามจนได้ยินเสียงดังกรอบ!

          ในความมืดของหมอก เสียงต่อสู้กลับเงียบกว่าที่คิดไม่มีเสียงเห่าดังก้อง มีเพียงเงาหมาสามหัวที่เคลื่อนไหวอย่างเท่โคตร ราวกับปีศาจนักล่าที่เงียบงันแต่มหันต์อันตราย กรงเล็บและเขี้ยวของมันฉีกกระชากร่างศัตรูทีละตัว รวดเร็ว รุนแรง และเฉียบขาด หลินหยายืนมองด้วยแววตานิ่งสงบ แม้ในอกจะเต้นแรง แต่นางไม่หวาดหวั่น ดวงตาของเธอสะท้อนแสงจากเปลวไฟที่ส่องไปยังสนามรบเล็ก ๆ ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง เจ้าเซียนเฉ่าของข้า…เท่เกินไปแล้วจริง ๆ

          เพียงไม่นาน เสียงสาดน้ำสุดท้ายก็เงียบลง ร่างปีศาจปลาที่เหลือถูกกดกับพื้น เลือดสีดำคลุ้งในน้ำ ลำธารกลับนิ่งอีกครั้ง เซียนเฉ่าก้าวกลับมาหานางช้า ๆ ร่างยังเต็มไปด้วยเลือดศัตรูแต่ดวงตาสามคู่ยังคงส่องประกายสง่างาม

          “เรียบร้อยแล้วขอรับ คุณหนูหลิน” มันเอ่ยเสียงเรียบ ทุ้มต่ำ หลินหยายกยิ้มหวาน เอื้อมมือไปลูบหัวมันทั้งสามอย่างไม่กลัวเปื้อน “เก่งมาก…เจ้าหมาน้อยของข้า”

          หลังจากเสียงต่อสู้เงียบลงบ่งบอกว่าการต่อสู้นั้นจบลงจริง ร่างของเซียนเฉ่าค่อย ๆ หดกลับสู่รูปลักษณ์หมาน้อยแสนน่ารักตามปกติหลังจากที่หลินหยาลูบหัวมันทั้งสามอย่างน่ารัก ไม่มีสามหัวให้ดูน่าเกรงขามอีกต่อไป ทว่าดวงตากลมใสยังคงเปล่งประกายแห่งชัยชนะ มันนั่งลงอย่างสง่างามก่อนจะเริ่มเลียขนตัวเองอย่างตั้งใจในแบบฉบับของเจ้าหมาติดหรูเจ้าสำอางค์ ขนสีดำมันเงาถูกเลียเรียบไปทีละเส้นอย่างละเมียดละไมราวกับกำลังอยู่ในสปาหรู

          หลินหยาที่มองภาพนั้นอมยิ้ม ก่อนถอนหายใจเบา ๆ แล้วก้าวไปเก็บเกี่ยววัตถุดิบจากร่างปีศาจปลาที่นอนกองอยู่ไม่ไกล นักล่าเงียบอย่างนางไม่เคยพลาดสิ่งที่มีค่า เกล็ดที่แข็งคม ถุงน้ำดีสำหรับทำยา กระเพาะปลา และเนื้อส่วนที่ยังใช้ปรุงได้ถูกจัดเก็บเข้ามิติในแหวนดาราจรัสอย่างระมัดระวัง เมื่อเก็บครบแล้ว นางถอยกลับมาจากซากพวกมัน ลูบมือที่เปื้อนดินเล็กน้อยพร้อมเอ่ยกับเซียนเฉ่าที่นั่งเลียขนอย่างสบายใจ “เซียนเฉ่า…ช่วยลากพวกมันไปขุดหลุมแล้วฝังให้หน่อยได้ไหม? ข้าไม่อยากทิ้งร่างพวกมันไว้ให้เน่า”

          เจ้าหมาน้อยหันมามอง ดวงตาสะท้อนประกายความพร้อม “รับคำสั่งขอรับ” มันหยุดเลียขน ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วแล้วลากร่างปีศาจปลาทีละตัวไปยังจุดที่ห่างออกไป กรงเล็บแกร่งขุดหลุมลึกอย่างง่ายดาย พลังของมันทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นรวดเร็ว ภายในเวลาไม่นาน ศพทั้งสี่ก็ถูกกลบดินเรียบร้อย กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของป่าหมอกที่เงียบสงบ

          หลินหยานั่งลงบนก้อนหินใหญ่ใกล้กองไฟที่ยังไม่ได้จุด มองเซียนเฉ่าที่กลับมานั่งอย่างภูมิใจพร้อมกลับไปเลียขนต่อ นางถอนหายใจแรงอีกครั้ง เอาล่ะ…ตอนนี้ควรทำอะไรดีนะ? ในหัวคิดวนอยู่กับความเหนื่อยและความหิว จนแทบอยากกรี๊ดออกมา เฮ้อ…ไม่รู้จะทำอะไรกินดี! จังหวะนั้นสายตาเหลือบไปเห็นน้ำผึ้งที่เก็บไว้ในแหวนกับวัตถุดิบอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ ความคิดแวบขึ้นทันที หรือว่า…ทำ “มี่จือชาเฉา” ดีไหมนะ?

          เพียงคิดก็รู้สึกน้ำลายสอหมูแดงอบน้ำผึ้ง อาหารพื้นบ้านทางใต้ของต้าฮั่น มณฑลกว่างตง อาหารที่ชูเอกลักษณ์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายตามฤดูกาล การถนอมอาหารในน้ำผึ้งหมักอย่างดีให้รสหวานเค็มหอมละมุน ลักษณะภายนอกแดงฉ่ำกลิ่นหอมละลายใจ ใช้พลังงานน้อยแต่ได้รสชั้นสูง หลินหยาหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง “งั้นคืนนี้…ทำมี่จือชาเฉาให้ตัวเองดีกว่า” ดวงตาหวานเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง “ส่วนของเจ้าหมาน้อย…ก็จะทำรสอ่อนลง แค่นั้นเอง”

          เซียนเฉ่าหยุดเลียขน หันมามองนางด้วยหูที่ตั้งชัน ดวงตากลมสุกใสเหมือนเข้าใจทันที “อาหารหวานหอมน้ำผึ้ง…สำหรับข้าด้วยหรือขอรับ?”

          “ใช่…สำหรับเจ้าด้วย” หลินหยามองมันแล้วยิ้มเอ็นดู ใต้แสงหมอกยามเย็นนางเริ่มเตรียมวัตถุดิบ จุดไฟเล็ก ๆ กลิ่นควันบางลอยขึ้นผสมกับกลิ่นน้ำผึ้งที่กำลังจะละลาย ความเหนื่อยที่กดทับมาทั้งวันคลายลงด้วยความตื่นเต้นของมื้ออาหารที่กำลังจะเกิดขึ้น

          กลิ่นหอมของ มี่จือชาเฉา ลอยฟุ้งไปทั่วพื้นที่พัก กลิ่นหวานละมุนผสมน้ำผึ้งหมักอย่างดีเคล้ากับกลิ่นควันไฟจาง ๆ ทำให้บรรยากาศยามค่ำในป่าหมอกดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด หลินหยาตักเนื้อแดงฉ่ำเข้าปาก รสหวานเค็มกลมกล่อมซึมลึกจนต้องหลับตาพริ้มด้วยความพึงใจ ส่วนเซียนเฉ่าก็กินอย่างสุภาพเช่นเคย แม้ในใจของมันจะพอใจอย่างยิ่งกับอาหารรสอ่อนที่นางตั้งใจทำให้โดยเฉพาะ หลังมื้อค่ำอันแสนพิเศษจบลง หลินหยาก็ลุกขึ้นเก็บทุกอย่าง ล้างชามไม้ หม้อดิน และเครื่องครัวเล็ก ๆ ให้สะอาด นางทำทุกอย่างอย่างมีระเบียบราวกับไม่เคยเหนื่อยแม้จะผ่านการเดินทางหนักทั้งวัน เสร็จแล้วก็เทน้ำจากกระบอกเล็กมาล้างหน้า ล้างตาให้สดชื่น ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านจนรู้สึกหนาวขึ้นกว่าทุกคืนที่ผ่านมา

          นางเงยหน้ามองฟ้า หมอกขาวเบาบางเผยให้เห็นเสี้ยวจันทร์สีเงินลอยอยู่สูง คืนนี้หนาวมากกว่าปกติจริง ๆ… ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะ? ลมเย็นที่พัดมาพร้อมกลิ่นใบไม้ร่วงเหมือนยืนยันความคิดนั้น หลินหยาก้าวกลับมาที่กองไฟ ใบหน้าหวานมีสีชมพูจางเพราะความเย็น นางหยิบเสื้อผ้าหนา ๆ ออกมาจากแหวนดาราจรัส สวมทับจนร่างกายอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ผ้าห่มหลายชั้นที่เตรียมไว้ นำมากองรวมกันเพื่อคลุมร่างให้อุ่นตลอดคืน

          นางเหลือบมองเซียนเฉ่าที่ม้วนตัวนั่งอยู่ใกล้ ๆ กองไฟ จึงยกเบาะชั้นดีของมันมาตั้งไว้ชิดกับไฟมากขึ้น “มานี่สิ เจ้าน้อย จะได้อุ่น ๆ” เซียนเฉ่าก้าวมานอนบนเบาะอย่างพอใจ หางกระดิกเบา ๆ ดวงตากลมเงยขึ้นมองนางด้วยแววขอบคุณ ก่อนเอนหัวลงกับขอบเบาะอย่างสบาย

          หลินหยายิ้มบางพลางกางมุ้งที่ทำจากผ้าบางโปร่งใสคลุมพื้นที่พักของตนและหมาน้อยในป่ากลางหมอกนี้ ถึงจะเป็นกลางป่าลึก แต่นางก็มั่นใจในความสามารถของตนเองและเจ้าเซียนเฉ่าที่คอยคุ้มกัน “ไม่เป็นอะไรหรอก…แค่นี้เราก็สบายแล้ว” เสียงกองไฟแตกเป๊าะแปะคลอไปกับลมหนาว ทั้งสองอยู่ข้างกันในความอบอุ่นเล็ก ๆ กลางป่ากว้างที่แฝงความลี้ลับ และคืนที่หนาวเย็นนี้…กำลังพาไปสู่เช้าวันใหม่ที่อาจนำความจริงที่รออยู่เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

          กองไฟกลางป่าลุกโชนอย่างเงียบงัน ส่องแสงอบอุ่นในความหนาวเย็นของยามค่ำ หลินหยานั่งห่มผ้าอยู่ข้างไฟ ดวงตาหวานหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กำลังเอนตัวอยู่บนเบาะนุ่มข้าง ๆ พลางเลียตัวเอง ความคิดหนึ่งที่วนอยู่ในใจตั้งแต่กลางวันทำให้นางเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วแต่จริงจัง

          “เซียนเฉ่า…ถ้าข้าลองให้ตบะกับเจ้าล่ะ…จะเกิดอะไรขึ้นนะ? เรามาลองกันไหม?”

          หมาน้อยหยุดเลียขนแล้วเงยหัวขึ้นมามองเจ้านาย ดวงตากลมโตส่องประกายแสงราวกับดาวในความมืด น้ำเสียงของมันสุภาพแต่แฝงความกระตือรือร้น “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันขอรับ…ว่ามันจะเป็นเช่นไร” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความประหม่าเล็กน้อย “แล้ว…ข้าต้องให้ยังไงล่ะ?”

          ยังไม่ทันที่นางจะหาคำตอบได้เต็มปาก เจ้าเซียนเฉ่าก็ลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วและในพริบตากระโดดพุ่งเข้ามาซุกอกนางอย่างแรงจนเกือบเสียหลัก นางอุ้มมันไว้ด้วยความตกใจ ดวงตาหวานเบิกขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ร่างกายก็เริ่มรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนมีบางอย่างไหลเวียนออกจากภายในตัวเธอ ความรู้สึกนั้นไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย แต่กลับอุ่นร้อนในอกแล้วไหลผ่านแขนเข้าสู่ร่างเล็กที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของนาง พลังสีขาวนวลจาง ๆ คล้ายหมอกกระจายอ่อน ๆ ออกจากตัวหลินหยา ละลายเข้าสู่ตัวเจ้าเซียนเฉ่าอย่างนุ่มนวล ดวงตาของมันปิดลงเล็กน้อยด้วยความพึงใจ ร่างหมาน้อยเริ่มส่องแสงจาง ๆ คล้ายละอองดาว หูตั้ง หางส่ายช้า ๆ ราวกับซึมซับพลังนั้นด้วยความสุข ทุกเส้นขนของมันพองนุ่มขึ้นราวกับผ่านการชุบด้วยพลังอันบริสุทธิ์

          หลินหยากัดริมฝีปาก รู้สึกเหมือนพลังชีวิตบางส่วนกำลังถูกถ่ายไป แต่ไม่ถึงกับอ่อนแรง เพียงแค่รู้สึกตัวเบา ๆ นางมองมันด้วยแววตาตกใจปนเอ็นดู “เจ้า…ดูสบายตัวขึ้นเลยนะ” เซียนเฉ่าลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตากลมเป็นประกายกว่าเดิม น้ำเสียงที่เปล่งออกมานุ่มลึก “ขอรับ…มันอบอุ่นมาก และ…ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน”

          หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แม้จะรู้สึกหัวใจเต้นแรง “นี่ข้า…เพิ่งให้ตบะแกไปจริง ๆ สินะ” หมาน้อยกระดิกหาง พลางซุกหัวกับอกนางแน่นขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณครับคุณหนูหลิน…ข้ารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคย” ลมใบไม้ร่วงพัดกราวรอบกองไฟ ขณะหลินหยากอดเจ้าเซียนเฉ่าแน่นขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มหวานฉายบนริมฝีปาก บางที…เจ้าหมาน้อยนี่อาจจะไม่ได้เป็นเพียงสุนัขสามหัวปีศาจแบบปกติอีกต่อไปแล้วก็ได้นะ

          ลมเย็นพัดใบไม้ร่วงกระทบพื้นแผ่วเบา กองไฟกลางป่าลุกโชนส่งเสียงแตกเป๊าะ ๆ คลายความหนาวที่คืบคลานเข้ามา หลินหยาห่มผ้าหนา ๆ มองไปรอบ ๆ ป่าที่เริ่มเงียบสงัด ก่อนหันมามองเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนอยู่บนเบาะใกล้ ๆ ดวงตากลมเงยขึ้นมองนางอย่างออดอ้อน หญิงสาวยิ้มอ่อน พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “งั้นวันนี้…เรานอนด้วยกันดีไหม? อากาศมันเย็นขึ้นแล้วล่ะ เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แม้จะเพิ่งต้นฤดูแต่มันก็หนาวเกินไปสำหรับกลางหุบเขาสูงแบบนี้”

          เซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย ก่อนขยับตัวเข้ามาซุกแน่นกับอ้อมแขนของหลินหยา ความอุ่นจากตัวมันแผ่ผ่านผ้าห่มหนาเข้ามาในอกนาง หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เอื้อมมือลูบหัวหมาน้อยอย่างรักใคร่ “เจ้ามันขี้อ้อนจริง ๆ เลยนะ”

          สายตาหวานของหลินหยาหันไปมองเปลวไฟที่เต้นระบำอยู่ในกองไฟ เสียงแตกเป๊าะดังคล้ายจังหวะกล่อมใจ จากนั้นนางค่อย ๆ หยิบสมุดบันทึกที่ห่อด้วยผ้าสีทึบจากแหวนดาราจรัสตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อขึ้นมาอีกครั้ง ปกที่ดูเก่าแก่เรียบง่ายนี้ไม่ได้เผยถึงคุณค่าภายใน แต่เมื่อปลายนิ้วเรียวค่อย ๆ พลิกเปิดหน้ากระดาษแต่ละแผ่น กลับพบว่ามันได้รับการถนอมไว้อย่างดีทุกแผ่น ไม่มีรอยฉีกหรือร่องรอยละเลย ลายมือที่ปรากฏบนนั้นบรรจง เขียนละเอียด เป็นระเบียบ ชัดเจน สะท้อนถึงความเพียรและความตั้งใจของผู้บันทึก ทุกตัวอักษรราวกับบอกเล่าเรื่องราว ความรักในศาสตร์อาหารที่สืบทอดจากขันทีเฒ่าเติ้งสู่ศิษย์คนสุดท้าย

          สายตาของหลินหยากวาดไปจนเจอเมนูที่นางตั้งใจไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ “ซุปกระดูกใสใบหลิว…” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาหวานเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “ดีล่ะ…เมนูนี้แหละ” นางเอนตัวลงเล็กน้อย วางสมุดบันทึกไว้บนตัก ขณะเจ้าเซียนเฉ่ายังซุกอยู่ข้างกายอย่างอบอุ่น ความเหนื่อยจากทั้งวันค่อย ๆ เลือนหายเมื่อหัวใจเต็มไปด้วยความสงบ และความคาดหวังถึงรสชาติซุปหอมใสที่กำลังจะได้ลิ้มในรุ่งเช้า เสียงกองไฟคลอ ลมใบไม้ร่วงพัดเบา ๆ ทั้งสองค่อย ๆ ปล่อยตัวเข้าสู่ค่ำคืนที่เงียบสงบในหุบเขาลี้ลับแห่งนี้

          หลินหยาที่กำลังนั่งพิงผ้าห่ม อ่านตำราอาหารลับในมืออย่างตั้งใจ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อน ๆ จากการจินตนาการรสชาติของซุปกระดูกใสใบหลิวที่จะทำในวันรุ่งขึ้น เสียงกองไฟแตกเป๊าะ ๆ คลออยู่ข้าง ๆ จนบรรยากาศดูอบอุ่นเกินบรรยาย ทว่าจู่ ๆ หมาน้อยเซียนเฉ่าที่ซุกตัวอยู่ข้าง ๆ พลันปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มันยืดคอขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมใสจับจ้องนางพร้อมเสียงทุ้มที่ดังเบาแต่ชัดเจน “คุณหนูหลิน…วันนี้ท่านจะไม่เป่าขลุ่ยกล่อมนอนอีกหรือขอรับ?”

          หลินหยาชะงักเล็กน้อย ก่อนหลุดหัวเราะเบา ๆ “เจ้ามัน…เริ่มติดการกล่อมของข้าแล้วสินะ เซียนเฉ่า” นางวางตำราไว้ข้างตัว เงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ลอยเหนือหมอกพร้อมสายตาเจือแววขำ “แต่ถ้าข้าเป่าในป่าลึกเช่นนี้ มันจะไม่เป็นการรบกวนเทพป่าเขาหรือ?” เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางช้า ๆ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยอย่างภูมิใจ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเต็มไปด้วยความจริงใจ “เสียงดนตรีของคุณหนูหลิน…ดุจเสียงสวรรค์ที่สัจจะเทพประทานความสามารถ ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกขอรับ ตรงกันข้าม…เทพป่าเขาจะต้องยินดีที่ได้ฟังอย่างแน่นอน”

          คำพูดนั้นทำให้หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดวงตาหวานเปล่งประกายอบอุ่น เจ้าหมาน้อยนี่ปากหวานเกินไปแล้ว

          นางยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู “งั้น…ก็ถือว่าเป็นการกล่อมให้เทพทั้งป่าได้ยินแล้วกันนะ” ว่าจบ นางค่อย ๆ หยิบขลุ่ยไม้ขึ้นแนบริมฝีปาก ลมเย็นพัดผ่านเหมือนจะรอท่วงทำนองแรกจากนาง และเมื่อเสียงขลุ่ยเริ่มเป่าท่วงทำนองอ่อนหวานกรีดผ่านหมอก เงียบสงบแต่ไหลลื่นไปเหมือนสายน้ำ ทุกตัวโน้ตแฝงอารมณ์อ่อนโยน กล่อมทั้งหมาน้อยที่เริ่มหลับตาเคลิ้มและเหล่าเทพป่าเขาที่อาจกำลังฟังอยู่เงียบ ๆ ในเงามืดของภูเขาลี้ลับ

          หลินหยาค่อย ๆ หลับตาลงเมื่อขลุ่ยไม้ซุนแนบอยู่ริมฝีปาก ลมเย็นกลางป่าราวกับเงียบเพื่อรอฟัง เธอสูดหายใจลึก ปล่อยอารมณ์ที่สับสน เหนื่อยล้า และอบอุ่นจากการเดินทางออกมากับลมแรกที่เป่าออกไป เสียงขลุ่ยใสแผ่วเหมือนหยดน้ำใสกระทบหิน เสียงนั้นไม่เร่งรีบ ไม่กระแทก แต่ละตัวโน้ตพริ้วไปในอากาศคล้ายสายหมอกที่ลอยบนไหล่เขา

          นางเป่าช้า ๆ ปรับจังหวะอ่อนหวานให้กลมกล่อมที่สุด ท่วงทำนองที่แผ่วเบาแต่แน่วแน่ สะท้อนความรู้สึกที่นางมีต่อธรรมชาติรอบตัว ต้นไม้สูงที่โอบล้อม ลำธารที่ไหลเรียง ไอหมอกที่คลุมทุกสิ่งให้พร่ามัวราวกับความฝัน บทเพลงนั้นจึงกลายเป็นราวกับคำพูดที่นางอยากบอกแก่ป่าเขาแห่งนี้ ข้าเป็นเพียงคนที่ผ่านทาง ไม่ได้มาลบหลู่…เพียงขอให้คืนนี้ข้าได้พักพิงอย่างสงบ

          สายลมเบา ๆ พัดใบไม้ไหวสอดประสานกับเสียงขลุ่ย ราวกับทั้งป่ากำลังร่วมเล่นดนตรีกับนาง บทเพลงค่อย ๆ ลื่นไหลต่อเนื่อง ความอ่อนโยนในทุกตัวโน้ตคือเครื่องบรรณาการเล็ก ๆ ของหญิงสาวผู้เดินทาง ความอบอุ่นในใจนางซึมออกมากับเสียงนั้น ทำให้บรรยากาศรอบกองไฟอุ่นขึ้นทั้งกายและใจ เจ้าเซียนเฉ่าที่ซุกตัวข้างนางหลับตาพริ้ม หูตั้งราวกับฟังทุกเสียงด้วยความสุข ดวงตาของมันสะท้อนแสงกองไฟชวนให้นึกถึงดวงดาวเล็ก ๆ ที่กำลังลืมตาฟังบทเพลงของเจ้านาย

          เสียงขลุ่ยยังคงขับกล่อมอย่างนุ่มนวล หลินหยาลืมทุกสิ่งรอบตัว ปล่อยให้จิตวิญญาณหลอมรวมกับท่วงทำนอง ทุกโน้ตราวกับพัดพาวิญญาณเธอไปกับสายลมกลางหุบเขา ส่งต่อไปถึงสิ่งมีชีวิตในเงามืด ทั้งสัตว์เล็กที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ทั้งนกกลางคืนที่เกาะนิ่งบนกิ่งไม้ หรือแม้กระทั่งเทพภูเขาที่อาจกำลังเฝ้ามองอยู่ให้พวกเขารับรู้ว่า บทเพลงนี้คือคำขอบคุณและการแสดงความเคารพจากใจ

          เมื่อท่อนสุดท้ายถูกเป่าออก เสียงขลุ่ยค่อย ๆ จางหายไปในความเงียบ ป่าลี้ลับกลับสงบยิ่งกว่าก่อนหน้านั้น มีเพียงเสียงกองไฟแตกเป๊าะเบา ๆ และลมใบไม้ร่วงที่พัดผ่านราวกับคำตอบที่ป่ามอบกลับมา หลินหยาเปิดตาช้า ๆ มองหมอกที่คลอรอบตัว ยิ้มบาง ๆ อย่างพึงใจ ข้าได้ทำดีที่สุดแล้ว…

          นางวางขลุ่ยลงข้างตัว ลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าที่หลับครึ่งตาด้วยความอ่อนโยน ก่อนเอนกายพิงผ้าห่ม มองกองไฟที่ยังคงเต้นระบำต่อเนื่อง คืนนี้ทั้งป่าเขาได้รับรู้ถึงบทเพลงของเธอ และหลินหยาก็ได้รับรู้ถึงการโอบรับอันเงียบงันจากธรรมชาติในที่แห่งนี้เช่นกัน






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

ความชำนาญศาสตร์การดนตรี - ยอดคีตศิลป์
บรรเลงดนตรีให้กับเหล่าสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นได้ (พวกเขาจะได้รับ +2 Point)
ตนเองจะมีตบะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน (+15 ตบะฝึกฝน)

อื่น ๆ: กำจัดปีศาจปลาเป็นงานอดิเรกสุดจัดดดด

ศึกษา ซุปกระดูกใสใบหลิว (1/4)

ปลดล็อคทักษะสัตว์เลี้ยง
ทักษะล่าเหยื่อ
ใช้ตบะ: 300 หน่วย
(สุ่มวัตถุดิบบางรายการที่น้องแอบออกไปล่ามาให้ตอนเรานอนหลับ)

รางวัล: 
ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): เมือกปลา 2 ชิ้น (เลขคู่) หรือ กระเพาะปลา 2 (เลขคี่)
(เลขไบต์รองสุดท้ายประเภทไอเท็มดรอป) = เมือกปลา x 4 ตัว = 8 ชิ้น
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 6 = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: เมือกปลา 8 ชิ้น, +15 ตบะฝึกฝน, สัตว์เลี้ยงได้รับ +2 Point

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เสียงขลุ่ยบางอย่างดังขึ้น ล่อลวงหลินหยาเข้าไปภายในป่าลึก  โพสต์ 2025-8-1 20:49
โพสต์ 117666 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-1 20:39
โพสต์ 117,666 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-1 20:39
โพสต์ 117,666 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-1 20:39
โพสต์ 117,666 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-1 20:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน -285 ย่อ เหตุผล
Watcher -285

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-2 00:19:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 01 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามไห่ - ยามจื่อ ณ หุบเขากระเรียนหลบฟ้า เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น

บทเพลงอ่อนโยนของหลินหยาสิ้นสุดลงได้ไม่นาน ความเงียบที่ควรจะกลับมาโอบกอดทั้งป่ากลับถูกแทนที่ด้วยเสียงขลุ่ยอีกสายหนึ่ง…แผ่วเบา ลึกลับ ราวกับกระซิบจากเงามืด เสียงนั้นแทรกเข้ามาในลมหายใจของราตรี คล้ายหมอกที่คืบคลานเข้ามาอย่างไร้ตัวตน ท่วงทำนองนั้นแตกต่างจากที่หลินหยาบรรเลงเมื่อครู่มันหวานแต่แฝงเสน่ห์เย้ายวน แผ่วแต่เจือความลึกลับที่เหมือนจะเชื้อเชิญให้ใครสักคนก้าวตามไปโดยไม่คิดไตร่ตรอง เสียงขลุ่ยนั้นพาดผ่านอากาศราวกับมาจากที่ไกล ทว่ากลับได้ยินชัดเจนในหัวใจ ราวกับมันไม่ได้ดังจากภายนอก แต่เกิดขึ้นในความคิดของนางเอง


หลินหยาที่นั่งอยู่ชะงักไป ดวงตาหวานไหวเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ราวกับร่างกายไม่อยู่ในคำสั่งของตนเอง เสียงเพลงนั้นดึงเธอราวกับมีเส้นใยบาง ๆ พันรอบหัวใจ ทุกย่างก้าวที่ก้าวไปตามเสียงนั้นยิ่งทำให้สติเลือนรางราวกับเดินอยู่ในความฝัน ร่างบางของนางก้าวผ่านกองไฟที่ยังลุกโชน เดินช้า ๆ ลอดม่านหมอกที่หนาทึบขึ้นโดยไม่เหลียวหลัง เสียงใบไม้ไหวคลอราวกับร่วมร้องกับบทเพลงต้องห้ามนั้น ดวงตาของหลินหยาขุ่นพร่า เงียบงันราวกับถูกสะกดวิญญาณ กองไฟยังคงลุกอยู่ กลิ่นน้ำผึ้งจาง ๆ จากมื้ออาหารยังคงคลุ้งในอากาศ และเจ้าเซียนเฉ่าก็ยังคงขดตัวหลับสนิทอยู่บนเบาะข้างกองไฟโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้านายของมัน…กำลังถูกเสียงลึกลับนั้นล่อลวงให้หายเข้าไปในความมืดของป่าหุบเขาอย่างไร้สติ


เสียงขลุ่ยจากป่าลึกนั้นยิ่งไกลออกไปเท่าไร ก็ยิ่งเชื้อเชิญราวกับกระซิบว่า “เข้ามา…เข้ามาใกล้พวกเรากว่านี้สิ…” และหลินหยาก็ก้าวลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในเส้นทางที่ไร้แสงไฟ โดยไม่รู้ว่าเบื้องหน้าคืออะไร…หรือใครกันที่เป่าเพลงต้องมนต์นั้น


หมอกขาวหนาแน่นกลืนแสงจันทร์จนทุกอย่างรอบตัวหลินหยากลายเป็นเพียงเงาพร่า เธอก้าวไปเรื่อย ๆ ในความมืดราวกับถูกสายนำล่องของเสียงขลุ่ยดึงไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ร่างบางเหมือนลอยในอากาศ หัวใจเต้นช้าลงทุกขณะเมื่อสติถูกพรากไป ทันใดนั้น กลิ่นหอมประหลาด ละมุนละไมปนกลิ่นใบไม้สดและดอกไม้ป่าก็อบอวลรอบกาย เสียงหัวเราะใสราวระฆังแผ่ว ๆ แว่วล้อมรอบ ก่อนที่เงาร่างสามสายจะโผล่จากหมอกอย่างไร้เสียง แสงจันทร์ส่องให้เห็นรูปลักษณ์พวกนางเพียงเลือนราง งดงาม ลี้ลับ เกินกว่าจะเป็นมนุษย์


มือเรียวเย็นเยียบของสตรีนางหนึ่งยกขึ้นจับคางของหลินหยา บังคับให้ใบหน้าของเธอเงยขึ้น ดวงตาหวานพร่าไร้แววต่อต้านเมื่อจ้องสบกับดวงตาสีเขียวหม่นของนางไม้ผู้หนึ่งที่ยิ้มละมุน แต่แฝงเลศนัยอันตราย


อีกนางหนึ่งปรากฏจากด้านข้าง แขนเย็นชื้นโอบรัดรอบเอวหลินหยาแน่น ร่างกายของหญิงสาวถูกดึงให้แนบชิดกับกลิ่นหอมป่าไม้และไอดินชื้น นางไม้คนนั้นยิ้มยั่วเย้า เส้นผมยาวสีหมอกคลอเคลียแก้มของหลินหยาอย่างแผ่วเบา


ส่วนนางที่สามแฝงเงาจากด้านหลัง โอบกอดร่างหลินหยาจากด้านหลังอย่างนุ่มนวล ใบหน้าแช่มชื่นของนางซุกลงกับไหล่ขาวของหญิงสาว กลิ่นดอกไม้ราตรีแตะจมูก หลินหยารู้สึกถึงสัมผัสเย็นวาบแทรกผ่านผิว ก่อให้เกิดความสั่นสะท้านแปลกประหลาด พวกนางทั้งสามงดงามเกินจริง ผิวขาวนวลราวจันทรา ผมยาวสยายคลอหมอก ร่างกายโปร่งแสงราวกับหล่อจากหมอกและแสงจันทร์ ดวงตาทั้งสามคู่ส่องแสงเย้ายวนราวกับน้ำค้างบนใบหญ้า และทุกสัมผัสที่พวกนางมอบให้นั้น…ทั้งอ่อนโยนและน่าหวาดหวั่น


หลินหยาถูกล้อมอยู่ในวงแขนเย็นฉ่ำ เสียงหัวเราะใสของพวกนางไม้แว่วก้องรอบหัว เธอไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ร่างทั้งร่างสั่นเล็กน้อยราวกับจะล้ม แต่กลับถูกประคองไว้แน่นหนา ความคิดสุดท้ายที่พอเหลืออยู่เพียงจาง ๆ พวกนาง…ไม่ใช่มนุษย์…  นางไม้ทั้งสามหัวเราะคิกคักราวกับสนุกสนานกับเหยื่อรายใหม่ที่หลงเข้ามาในป่าต้องห้าม เสียงขลุ่ยลึกลับยังดังประสานกับเสียงหัวเราะนั้น กลายเป็นบทเพลงต้องมนต์ที่กักขังสติของหลินหยาเอาไว้จนหมดสิ้น


หมอกขาวล้อมรอบราวม่านลึกลับ เสียงขลุ่ยต้องมนต์เงียบลง เหลือเพียงเสียงหัวเราะแผ่วใสราวระฆังแก้วที่ก้องสะท้อนในป่าลึก นางไม้ทั้งสามที่โอบรัดหลินหยาไว้แล้วยังไม่ยอมปล่อย ดวงตาเย้ายวนวาววับเหมือนประกายหยดน้ำค้างใต้แสงจันทร์ หนึ่งในนั้น นางผู้จับคางของหลินหยาให้เงยขึ้น ก้มลงกระซิบเสียงหวานเย็น “เด็กมนุษย์ผู้นี้…ช่างมีตบะที่หอมหวานจนยั่วยวนยิ่งนัก ดวงหน้างามอ่อนเยาว์ เพียงชำเลืองก็มองออก…คงเพิ่งปักปิ่นได้ไม่นานนัก”


อีกนางหนึ่งที่โอบเอวหลินหยาแน่นหัวเราะคิกคัก ปลายเล็บสีมรกตลากเบา ๆ ไปตามแขนเรียวของหญิงสาว “ผิวพรรณนางนี่…ขาวเนียนราวกับไม่ใช่ของมนุษย์เลย ข้าแทบอดใจไม่ไหวอยากดูดพลังชีวิตและตบะจากร่างนี้ให้หมดเสียที” นางที่ซุกหน้ากับไหล่หลินหยากลั้นหัวเราะพลางสูดกลิ่นหอมจางของนาง “ฮืม…กลิ่นของนางแปลกกว่ามนุษย์ทั่วไป กลิ่นดุจดอกไม้ป่าผสมกลิ่นน้ำค้าง…ชวนให้หลงใหล”


ดวงตาของพวกนางทั้งสามสบกันราวกับสื่อความคิด ก่อนจะเริ่มกระซิบหัวเราะเย้าแหย่กันเอง “แล้วเราจะเล่นกับนางเช่นไรดี? ตบะของนางมากมายนัก…น่าเสียดายหากจะกลืนไปจนหมดในคราเดียว”


“หรือจะชิมนิด ๆ ก่อน…?” นางผู้จับคางของหลินหยาเอียงคอยิ้มร้าย


อีกนางหัวเราะเบา ๆ เสียงใส “หรือจะชวนให้มาเป็น ‘น้องสี่’ ของเราเสียเลย? ดูสิ นางช่างมีเสน่ห์ดึงดูดแปลก ๆ แม้ไม่ใช่โฉมสะคราญล้มเมืองล้มฟ้า แต่กลับทำให้สายตาของเราทุกคู่ละจากนางไม่ได้” เสียงหัวเราะคิกคักของพวกนางดังสะท้อนอยู่รอบตัว หลินหยาที่ไร้สติสัมปชัญญะ ยืนอยู่ท่ามกลางอ้อมแขนของนางไม้ทั้งสามเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ดวงตาหวานพร่ามัวเหมือนคนหลงฝัน ร่างกายสั่นน้อย ๆ ท่ามกลางสัมผัสเย็นฉ่ำที่โอบล้อมรอบตัว ในความเงียบของป่าลึก เสียงหัวเราะและกระซิบของพวกนางไม้ยังคงเล่นสนุกกับความคิดของตัวเอง จะล่อลวงนางเช่นไร…จะกลืนพลังนางหรือจะเก็บนางไว้เคียงหมอก? ขณะที่หมอกคืบคลานปิดทุกเส้นทางหนีของหญิงสาวผู้หลงเข้ามา


เสียงหัวเราะคิกคักของนางไม้ยังคงลอยวนอยู่รอบตัวหมอก เสียงใสเหมือนระฆังแก้วกลับแฝงความร้ายกาจ นางผู้ยกมือแตะคางหลินหยาเลื่อนปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากหญิงสาวเบา ๆ รอยยิ้มของนางคมหวานแฝงพิษ ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายยามก้มตัวลงช้า ๆ “แค่จุมพิตเดียว…เพื่อลิ้มรสพลังชีวิตของนาง” เสียงกระซิบของนางขาดหายไปเมื่อริมฝีปากแทบจะสัมผัสหลินหยาที่ไร้สติ


ทันใดนั้น…


ไอพลังอันยิ่งใหญ่ก็พุ่งกระจายออกมาจากผืนดินที่พวกนางเหยียบยืน ลมแรงสะบัดหมอกแตกกระจาย ใบไม้ปลิวว่อนอย่างรุนแรง รัศมีสีทองเจิดจ้าราวแสงอรุณพุ่งขึ้นสู่ฟ้า พลังศักดิ์สิทธิ์นี้หนาวเย็นจนเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายทุกอย่าง นางไม้ทั้งสามกรีดร้องเสียงแหลม ร่างโปร่งแสงถูกกระแทกกระเด็นออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว รอยยิ้มร้ายบนใบหน้าหายวับแทนที่ด้วยความหวาดกลัว พวกนางถอยหนีด้วยท่าทางเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผา กลางหมอกที่แตกกระจายออก ร่างสูงสง่างามปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ เงาร่างของ องค์เทพผู้คุ้มครองหุบเขา คลี่แสงทองส่องไล่หมอกที่ปกคลุมป่า อาภรณ์ที่หลอมด้วยหมอกและแสงจันทร์พริ้วไหวในอากาศ ดวงตาทรงพลังจับจ้องนางไม้ทั้งสามด้วยความเย็นชา


เสียงขององค์เทพหนักแน่น แฝงอำนาจที่ไม่อาจต้านทาน “ออกไปให้พ้น…! หุบเขานี้คืออาณาเขตของข้า อย่าได้กล้ามายุ่งต้องสตรีนางนี้อีก”


นางไม้ทั้งสามสะท้านกาย ดวงตาหวาดหวั่นรีบถอยหนี เสียงหัวเราะแผ่วหวานเปลี่ยนเป็นเสียงโหยหวน ล่าถอยไปตามหมอกก่อนสลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ แสงทองยังคงล้อมรอบหลินหยาที่ทรุดกายลงอย่างไร้เรี่ยวแรง องค์เทพก้าวเข้ามาใกล้ รัศมีศักดิ์สิทธิ์โอบกอดนางไว้ ดวงตาอ่อนโยนเพียงชั่วแวบก่อนจะเงยหน้ามองหมอกที่กำลังสงบลง เสียงทุ้มกระซิบราวลมพัด “จงพักเถิด…ผู้ผ่านทาง ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” ท่ามกลางพลังแห่งการปกป้อง หลินหยาถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของเทพผู้คุ้มครอง ความเย็นของหมอกและความอบอุ่นของแสงศักดิ์สิทธิ์ผสมกลมกล่อม ราตรีที่อันตรายจบลงในอ้อมแขนของผู้พิทักษ์หุบเขา


รัศมีทองที่โอบล้อมค่อย ๆ สลายตัวลงจนเหลือเพียงหมอกบาง หลินหยาที่ถูกกอดไว้ในอ้อมแขนขององค์เทพเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาหวานพร่ามัวค่อย ๆ กลับมามีแววสติ นางกระพริบตาถี่ รู้สึกถึงความเย็นผสมอบอุ่นที่รายล้อม ก่อนจะเห็นชัดเจนใบหน้าสงบนิ่งของบุรุษผู้ไม่ใช่มนุษย์ ดวงตาคมลึกดุจสายน้ำ ล้อมรอบด้วยออร่าศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจต่อต้าน หัวใจของหลินหยาสั่นไหว นางผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนนั้นอย่างรวดเร็ว ถอยกรูดไปสองสามก้าวอย่างระแวดระวัง มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องอก ดวงตาสีหวานจ้องบุรุษตรงหน้าด้วยความกลัวปนระแวง “ท่าน…เป็นใครกัน?” เสียงของนางสั่นน้อย ๆ แต่ยังคงความแน่วแน่ตามนิสัย


บุรุษสูงสง่าผู้มีรัศมีหมอกและแสงจันทร์รอบกายก้าวช้า ๆ ใต้สายลมที่สงบลง เสียงของเขาทุ้มชัด กังวานราวกับสอดประสานกับเสียงหุบเขา “อย่ากลัวเด็กน้อย ข้าไม่ใช่ศัตรู” หลินหยาขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แฝงอำนาจที่ทำให้หมอกโดยรอบหยุดไหว “ข้าคือ เทพผู้คุ้มครองหุบเขากระเรียนหลบฟ้า ผู้ปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้มาเนิ่นนาน”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยาชะงัก ดวงตาหวานเบิกกว้าง เธอพึมพำกับตัวเอง “หุบเขากระเรียนหลบฟ้า… ข้ามาถึงแล้วหรือเจ้าคะ?” องค์เทพพยักหน้าแผ่ว ดวงตาคมสงบมองนางโดยไม่ไหวเอน “ใช่แล้ว มนุษย์ผู้แบกคำถามที่ไม่เหมือนใคร เจ้าก้าวมาถึงเขตแดนของข้าแล้ว แต่เส้นทางของเจ้ามิได้จบลงที่นี่” เขาก้าวหนึ่งก้าวเข้าหา นัยน์ตาที่คล้ายหมอกและจันทร์สบเข้ากับสายตาของหลินหยาที่สั่นไหว “เจ้าจะต้องเดินต่อไปอีกหน่อยเท่านั้นสถานที่ที่แท้จริงของหุบเขากระเรียนหลบฟ้า…รอเจ้าอยู่เบื้องหน้า” ลมเย็นพัดหมอกคลอ เสียงกระเรียนแว่วไกลราวกับตอบรับคำของเทพผู้คุ้มครอง ทำให้หลินหยายืนนิ่ง ใจเต้นแรงราวกับเตรียมรับรู้ว่า การเดินทางสู่ความจริง…ใกล้เข้าไปทุกที


องค์เทพยืนนิ่งท่ามกลางหมอกที่พลิ้วไหวรอบกาย รัศมีศักดิ์สิทธิ์ของเขาส่องประกายจาง ๆ คล้ายจันทร์กลางฤดูใบไม้ร่วง ดวงตาคมลึกทอดมองหลินหยาที่ค่อย ๆ คลายความระแวงลงเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มของเขาจะเอื้อนเอ่ยช้า ๆ ราวกับเล่านิทานเก่าแก่ให้ฟัง


“หุบเขาลี้ลับแห่งนี้…เป็นสถานที่ที่คนธรรมดาหาไม่เจอ หากไม่ได้รับอนุญาตหรือมีชะตาเชื่อมโยงก็ไม่มีวันเหยียบย่างเข้ามาได้” ลมเย็นพัดตามถ้อยคำของเขา เสียงใบไม้เสียดสีกันดังคลอไปกับคำบอกเล่า “นับแต่สมัยเก่าก่อน หุบเขากระเรียนหลบฟ้าเป็นที่ลี้ลับที่ราชสำนักต้าฮั่นใช้เป็นทางลับ ซ่อนบันทึกลับที่ไม่ควรถูกเปิดเผย หรือซ่อนผู้คนสำคัญที่โลกภายนอกไม่ควรรู้”


สายหมอกเบื้องหลังเขาคล้ายปรากฏภาพเงาลาง ๆ ของทางเดินหิน หน้าผาสูงชัน และเงากระเรียนบินผ่าน ราวกับเรื่องราวในอดีตถูกสะท้อนออกมา องค์เทพยังคงเล่าเสียงเรียบนิ่ง “ที่นี่…มีหน้าผาที่ชันราวดาบฟ้า ไอหมอกปกคลุมทั้งปี มองไปเบื้องหน้าก็มีเพียงขาวโพลน ราวกับโลกนี้ตัดขาดออกไปจากความจริง เสียงกระเรียนป่าที่เจ้าได้ยิน แท้จริงคือสัญญาณแห่งวิญญาณที่ปกปักสถานที่แห่งนี้” หลินหยาฟังด้วยหัวใจเต้นแรง นัยน์ตาหวานสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนสบกับแสงจันทร์ในหมอกอย่างเงียบงัน องค์เทพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย “ที่นี่…ยังเคยเป็นที่พักพิงของเหล่านักปราชญ์ที่ถูกเนรเทศ ขุนนางที่หมดอำนาจ และผู้คนที่โลกหลงลืม พวกเขามาหลบซ่อน รักษาสัจจะ หรือบางคนก็มาเพื่อค้นหาความจริงในใจตน”


คำพูดนั้นสะท้อนเข้าไปในใจหลินหยาโดยไม่รู้ตัว ทำให้นางพยักหน้าเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่าทำไมถึงมาถึงที่นี่ แต่ลึก ๆ ก็รู้ว่าใจของตนถูกดึงมาด้วยเหตุผลบางอย่างที่นางตัดสินใจขึ้นมาเองว่านางจะมาตามหาความจริงเกี่ยวกับใจของนาง


องค์เทพยิ้มบางที่มุมปาก ดวงตาอ่อนลงเล็กน้อยราวกับเข้าใจทุกสิ่ง “ส่วนเรื่องที่เจ้าโดนล่อลวงเมื่อครู่…พวกนางไม้เหล่านั้น มักเล่นสนุกกับผู้ที่หลงเข้ามา อย่าได้ถือโทษโกรธพวกนางเลย”


ลมเย็นพัดเบา ๆ เหมือนเสียงหัวเราะของเหล่านางไม้ที่ลี้หายไปแล้ว หลินหยาหลุบตาลง ถอนหายใจน้อย ๆ ก่อนเงยหน้ามององค์เทพ “ข้า…เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เป็นกรุณาที่ท่านช่วยข้าไว้”


เสียงของเทพผู้คุ้มครองสงบนิ่ง “เจ้ามีเหตุผลของการมาที่นี่ ถึงแม้เจ้าจะยังไม่เข้าใจมันทั้งหมดก็ตาม เดินต่อไปเถิด มนุษย์ผู้แบกชะตา…ปลายทางของเจ้ายังรออยู่ข้างหน้า” หมอกพลิ้วไหวราวกับกำลังเปิดทางให้ หลินหยามองเส้นทางนั้นด้วยหัวใจที่เริ่มหนักแน่นขึ้น ที่แท้ข้ามาถึงแล้วจริง ๆ…และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น


หมอกคลอรอบร่างทั้งสอง หลินหยามององค์เทพผู้สูงส่งด้วยสายตาที่เริ่มแน่วแน่ขึ้น นางยกชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย ก้มศีรษะคำนับอย่างเคารพตามแบบสตรีผู้รู้มารยาท น้ำเสียงหวานแต่หนักแน่นเอ่ยขึ้น “ท่านเทพผู้คุ้มครอง…ข้ามาที่นี่เพื่อค้นหาความจริงของใครคนหนึ่ง ข้าได้รับคำบอกเล่าจากซินแสตงฟาง ให้ตามหาเบาะแสของพระสนมในอดีตนางนามว่า ลั่วซานดวงตาคมขององค์เทพเป็นประกายวาบเมื่อได้ยินชื่อนั้น หมอกที่ลอยรอบตัวดูเหมือนจะนิ่งลงในชั่วขณะ เขาจ้องนางอย่างเงียบงันราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่แฝงความลี้ลับ “ลั่วซาน… นามนี้ข้ายังจำได้ แม้เวลาผ่านมานับสิบปี ความทรงจำของนางยังคงหลงเหลือในหมอกแห่งหุบเขานี้”


เขาก้าวเข้าใกล้หนึ่งก้าว แสงหมอกทองรอบกายส่องอ่อน ๆ ขณะเอ่ยต่อ “เจ้าจงจำไว้…การเดินทางครั้งนี้ ข้าไม่อาจชี้ชัดทางที่ถูกหรือผิดได้ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง ข้าทำได้เพียงแนะนำ” องค์เทพยกมือขึ้นเล็กน้อย หมอกเบื้องหน้าคลี่ออก เผยให้เห็นทางหินที่ทอดยาวลึกเข้าไปในหุบเขา ด้านในสุดคล้ายมีเงาสถาปัตยกรรมโบราณแฝงอยู่ “เดินทางต่อไปตามเส้นทางที่เจ้ามองเห็น…ที่นั่นคือ โถงบันทึกลับ สถานที่ที่เก็บซ่อนวัตถุโบราณซึ่งสะท้อนความทรงจำของราชวงศ์ หากเจ้าไปถึง…เจ้าจะได้เห็นความจริงที่ถูกลืมเลือน” คำพูดนั้นหนักแน่นดุจคำประกาศิต ลมรอบกายพัดแรงเพียงครู่แล้วกลับสงบลง


องค์เทพมองหลินหยาด้วยแววตาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ก่อนเสียงของเขาจะกลับนิ่งสงบเหมือนคลื่นน้ำ “แต่สำหรับคืนนี้…จงกลับไปที่พักของเจ้าเสียเถิด นอนพักให้เต็มที่ รุ่งเช้าเจ้าจึงเดินต่อไป ข้าจะคอยเฝ้าดูอยู่ ไม่ให้สิ่งใดกล่ำกราย” หมอกค่อย ๆ ปิดเส้นทางนั้นอีกครั้ง ราวกับซ่อนมันจนกว่าเวลาที่เหมาะสมจะมาถึง หลินหยาระบายยิ้มจาง ๆ ในแสงจันทร์ ก้มศีรษะคำนับอีกครั้ง “ข้าจะทำตามคำท่าน…ท่านเทพผู้คุ้มครองเจ้าค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะเจ้าคะ” นางหันหลังกลับ เส้นทางสู่แคมป์ที่ตั้งไว้คลี่ชัดขึ้นใต้หมอกคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นคอยนำทาง หลินหยาก้าวไปอย่างเงียบ ๆ ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นปนคาดหวัง ขณะที่เบื้องหลัง…องค์เทพยังยืนนิ่งในหมอก ดวงตาคมลึกลับจับจ้องร่างของนางจนลับหายไปในความมืด



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาทำเว้นเล็ก ๆ 


รางวัล:  -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 65453 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-2 00:19
โพสต์ 65,453 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-2 00:19
โพสต์ 65,453 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-2 00:19
โพสต์ 65,453 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-2 00:19
โพสต์ 65,453 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-2 00:19
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-2 20:40:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-2 21:14

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 02 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ หุบเขากระเรียนหลบฟ้า เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น

Part 1 . หุบเขากระเรียนหลบฟ้า


หมอกยามเหม่าโปรยคลอเหนือยอดไม้ เสียงน้ำในลำธารใกล้ ๆ ไหลเอื่อยดังแผ่วเบา หลินหยาที่หลับอยู่บนผ้าห่มหนาเริ่มขยับตัว ดวงตาหวานค่อย ๆ เปิดขึ้นเมื่อรับรู้ถึงเสียงที่ไม่ปกติ เสียงน้ำกระเซ็นแรงกว่าปกติ และกลิ่นคาวคละคลุ้งแทรกเข้ามาในอากาศ หัวใจของนางเต้นแรงในทันที นี่มัน…กลิ่นเลือด! มือเรียวเล็กกำผ้าห่มแน่นก่อนจะผลักตัวเองลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่ดวงตาปรับกับแสงยามเช้าจาง ๆ ได้ เธอก็เห็นเงาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในหมอก ในชั่วพริบตา ปีศาจปลาทั้งสี่ตัวพุ่งทะยานออกจากผืนน้ำด้วยแรงมหาศาล ดวงตาสีแดงฉานของพวกมันฉายแววกระหายหิว เนื้อตัวเปียกชุ่มส่งกลิ่นคาวคลุ้ง แผงครีบแหลมตวัดเฉียดหมอก ท่าทางราวกับสัตว์ล่าเหยื่อที่เตรียมขย้ำมนุษย์ที่อยู่เพียงไม่ก้าวตรงหน้า!


หลินหยาตกใจแทบจะหายใจไม่ทัน รีบคว้าขลุ่ยที่วางข้างตัวโดยสัญชาตญาณ แต่เพราะเพิ่งตื่น ความมึนงงยังคงเกาะแน่น แขนที่ยกขึ้นสั่นเล็กน้อย แย่แล้ว…พวกมันเร็วเกินไป!  น้ำในลำธารสาดกระเซ็นสูงขึ้นจากแรงกระโจนของปีศาจปลา สองตัวพุ่งตรงมาที่นาง อีกสองตัวโค้งล้อมหลังราวกับล่าเหยื่อเป็นทีม


“เซียนเฉ่า! ข้าจะ…!” เสียงของหลินหยาขาดหายเมื่อหนึ่งในปีศาจยื่นกรงเล็บเฉียดปลายเสื้อของเธอ หมอกกระจายเต็มรอบตัว นางตั้งขลุ่ยในมือแน่น แต่ยังไม่ทันเป่าท่วงทำนองป้องกัน…


เงาสีดำพุ่งแทรกขึ้นมาราวสายฟ้า! เสียงคำรามต่ำดังสะท้านพื้นหญ้า เจ้าเซียนเฉ่าที่เคยหลับอยู่บนเบาะกระโจนขึ้นร่างสุนัขสามหัวในพริบตา ขนดำพองตั้ง กรงเล็บตวัดดินกระจาย ดวงตาสามคู่ลุกโชนด้วยความเดือดดาล “คุณหนูหลิน!! หลบไปข้างหลัง!” เสียงคำรามทุ้มต่ำของมันดังก้อง ก่อนที่ร่างมหึมาจะพุ่งชนปีศาจปลาตัวแรกจนกระเด็นไปกับต้นไม้ดังสนั่น หัวอีกข้างกัดเข้าที่ลำคอของตัวที่สอง เลือดสีดำพุ่งกระเซ็นไปกับหมอก


ในขณะที่หลินหยาถอยตัวหายใจแรง มือยังกำขลุ่ยแน่น หัวใจเต้นรัว เซียนเฉ่า…จัดการพวกมันที!


เสียงคำรามต่ำของเซียนเฉ่าดังก้องไปทั่วลำธาร กลิ่นคาวเลือดและไอหมอกผสมกันจนชื้นคอ ดวงตาสามคู่ของมันเปล่งแสงทองวาบสะท้อนกับแสงยามเช้าจาง ๆ ที่เพิ่งแตะยอดไม้ เงามหึมาของสุนัขสามหัวพุ่งเข้าใส่ปีศาจปลาตัวแรกโดยไม่ลังเล เขี้ยวแหลมคมฝังคอลึกจนเลือดสีดำพุ่งกระเซ็นกลางหมอก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแทรกในอากาศ ก่อนจะเงียบลงในชั่วพริบตา ปีศาจปลาตัวที่สองพยายามจะฉวยโอกาสกระโจนเข้าหาหลินหยา แต่ก่อนที่จะถึงตัวเจ้านายของมัน หัวหนึ่งของเซียนเฉ่ากระชากมันกลางอากาศ กระแทกกับพื้นดินจนร่างแหลก เสียงกระดูกแตกกรอบแกรบก้องจนสยองขวัญ ตัวมันดิ้นเพียงครู่ก็ถูกกรงเล็บข่วนซ้ำจนไม่เหลือโอกาสหายใจต่อ


ในขณะเดียวกัน ตัวที่สามและสี่ยังคงวนล้อมอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาแดงฉานเต็มไปด้วยความกระหาย พวกมันพุ่งเข้าพร้อมกันจากสองทิศราวกับจะฉีกเหยื่อพร้อมกันทั้งเจ้านายและสุนัขผู้คุ้มกัน แต่เซียนเฉ่าไม่ปล่อยให้แม้เงาใกล้ตัวหลินหยาได้ หัวอีกข้างคำรามลั่น กระโจนบิดร่างกลางอากาศ กรงเล็บซ้ายปัดปีศาจตัวหนึ่งกระเด็นไปชนต้นไม้จนต้นไม้หักครืน ส่วนกรงเล็บขวาฟาดอีกตัวลงกับก้อนหินเสียงดังสนั่น


หลินหยาที่ถอยไปยืนข้างหลังพยายามตั้งสติ แม้หัวใจจะเต้นแรงจนแทบหลุด แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่การต่อสู้อย่างมั่นคง มือกำขลุ่ยไว้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นเครื่องเตือนใจว่าต้องไม่ตื่นตระหนก ทว่ากระชากเสื้อจากเล็บของปีศาจปลาตัวหนึ่งก่อนถูกสังหารทำให้ปลายแขนเสื้อขาดวิ่น ลมเย็นพัดผ่านทำให้เธอสั่นวาบ รอยขาดนั้นเป็นเพียงแผลเล็กน้อย แต่มันเตือนใจว่าความตายเฉียดมาถึงเพียงเสี้ยวลมหายใจ


เซียนเฉ่ากัดกระชากร่างสุดท้ายของปีศาจปลาจนร่างมันแหลกเละก่อนโยนลงกับพื้น เลือดสีดำไหลนองบนหญ้า ขณะที่หมอกคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว ร่างสุนัขสามหัวหอบลมหายใจหนัก กรงเล็บยังกดซากศัตรูไว้ราวกับประกาศชัยชนะ ดวงตาสามคู่หันกลับไปมองเจ้านายทันทีที่ทุกอย่างจบลง “คุณหนูหลิน…ปลอดภัยแล้วขอรับ” เสียงทุ้มต่ำของมันดังแผ่ว แต่แฝงความมั่นคงและห่วงใย หลินหยาหายใจแรงยกมือแตะปลายเสื้อที่ขาดวิ่นเล็กน้อย ก่อนจะระบายยิ้มบาง ๆ แม้จะยังสั่นอยู่เล็กน้อย “เจ้าทำได้ดีมาก…เก่งที่สุดแล้ว เซียนเฉ่า”


หมาน้อยกระดิกหางเล็กน้อย หัวทั้งสามหันมองรอบบริเวณตรวจตราว่าไม่มีภัยอีก ก่อนร่างสูงสง่างามนั้นค่อย ๆ หดกลับเป็นสุนัขตัวเล็กแสนน่ารักเช่นเคย ขนดำมันเงาเต็มไปด้วยคราบเลือดของศัตรู แต่ดวงตากลมยังคงฉายความจงรักภักดี ในยามเหม่าที่หมอกเริ่มบางลง ความเงียบของป่ากลับมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจของสองชีวิต หญิงสาวผู้ตามหาความจริงและสุนัขผู้คุ้มครองที่ภักดีสุดหัวใจ หลินหยาลูบเสื้อปลายแขนที่ขาดวิ่นเล็กน้อย ถอนหายใจเฮือกยาวก่อนหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กลับสู่ร่างหมาน้อยอีกครั้ง แต่ยังคงยืนอย่างตื่นตัว ดวงตากลมยังคงจับจ้องรอบตัวด้วยความระแวดระวัง


นางเอ่ยเสียงเรียบแฝงความเหนื่อย “เซียนเฉ่า…ไปเก็บกวาดซากของพวกปีศาจปลาทั้งสี่ให้เรียบร้อยด้วยนะ ฝังพวกมันให้หมด ถ้าเจอกระเพาะปลาหรือเมือกปลาที่ใช้ได้ก็เอามาเก็บไว้ ข้าจะเก็บไว้ทำอาหาร”


หมาน้อยกระดิกหางรับคำสั่งดวงตาเป็นประกายพร้อมปฏิบัติหน้าที่ “รับคำสั่งขอรับ คุณหนูหลิน” จากนั้นมันก็รีบพุ่งตัวไปยังซากของพวกปีศาจที่กองกระจัดกระจายตามพื้น ใข้กรงเล็บและฟันฉีกเฉพาะส่วนที่มีค่าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนลากร่างที่เหลือไปยังจุดฝังดินลึกใต้ต้นไม้ใหญ่ พลังของเซียนเฉ่าทำให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นโดยไม่ทิ้งร่องรอย ในขณะที่เซียนเฉ่ากำลังทำงานของมัน หลินหยานั่งลงบนก้อนหินข้างกองไฟที่มอดไปตั้งแต่เมื่อคืน เธอยกมือขึ้นกดขมับน้อย ๆ สายตาเหม่อมองหมอกที่คลอรอบ ๆ 


“ไม่คิดเลยว่าตื่นเช้ามาจะต้องมาเจออะไรแบบนี้…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางระบายยิ้มขื่นเล็กน้อย “เหนื่อยเหมือนกันนะ…แต่ก็ไม่คาดคิดจริง ๆ”


หญิงสาวสูดหายใจลึก ก่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นจัดการกับตัวเองอย่างมีระเบียบ เธอเดินไปยังลำธาร ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นใสที่ทำให้ผิวขาวสะอาดยิ่งขึ้น ความเย็นนั้นช่วยปลุกสติและไล่ความอ่อนล้าออกไปได้มากทีเดียว จากนั้นหยิบไม้แปรงฟันกับผงทำความสะอาดที่เตรียมไว้ในแหวนดาราจรัสออกมา ทำความสะอาดปากอย่างตั้งใจจนรู้สึกสดชื่นขึ้น เมื่อจัดการตัวเองเสร็จ หลินหยากลับมานั่งพักที่แคมป์เล็ก ๆ มองไปทางเซียนเฉ่าที่กำลังกลับมาพร้อมส่วนที่เก็บได้ ดวงตาหวานทอดมองด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แม้จะเจอเรื่องไม่คาดคิดแต่…อย่างน้อย ข้ายังไม่โดนอะไรไปมากกว่านี้  หมอกยามเช้าคลอรอบร่างทั้งสอง ขณะที่การเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อเริ่มขึ้นอย่างเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่มากกว่าเดิม


หลินหยานั่งอยู่ข้างกองไฟที่เพิ่งจุดขึ้นใหม่ อากาศยามเช้าของหุบเขากระเรียนหลบฟ้ายังคงเย็นจัด หมอกคลอรอบตัวราวกับม่านขาวที่ซ่อนเส้นทางลึกเข้าไปในความลี้ลับของสถานที่แห่งนี้ หญิงสาวใช้ไม้คนอาหารที่กำลังอุ่นในหม้อเล็ก เสียงน้ำเดือดเบา ๆ คลอไปกับความคิดในใจ ก่อนที่นางจะหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งเฝ้าอย่างไม่ละสายตา “เซียนเฉ่า…” หลินหยาเอ่ยเสียงเรียบแต่นุ่ม “เมื่อคืน…พวกนางไม้มาล่อลวงข้าด้วยล่ะ”


หมาน้อยชะงัก ดวงตากลมโตหันขวับมองเจ้านาย แววตานั้นเต็มไปด้วยความตกใจและห่วงใย มันขยับเข้ามาใกล้ วางหัวกับตักนางราวกับถามโดยไม่ออกเสียง เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู?


หลินหยายกมือขึ้นลูบหัวมันเบา ๆ พลางเล่าด้วยน้ำเสียงสงบ “พวกนางเหมือนจะเล่นสนุก…พยายามดูดพลังของข้า แต่โชคดีที่เทพของหุบเขามาเสียก่อน ท่านช่วยข้าไว้…และขับไล่พวกนางไป” นางเว้นจังหวะเล็กน้อย สายตาหวานเหม่อมองหมอกที่ปกคลุมรอบตัว “ท่านเทพยังบอกข้าด้วย…ว่าสถานที่ที่เราตามหาอยู่ไม่ไกลแล้ว” คำพูดนั้นทำให้เจ้าเซียนเฉ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าแม้เป็นสุนัขก็ยังฉายความเคร่งเครียด มันยกหัวขึ้น เอ่ยเสียงทุ้มสุภาพ “เช่นนั้น…เราต้องระวังให้มากขึ้นขอรับ คุณหนูหลิน ข้าจะไม่ให้สิ่งใดเข้ามาทำร้ายท่านอีก” หลินหยาหัวเราะน้อย ๆ ยกมือตบหัวมันเบา ๆ อย่างเอ็นดู “ข้ารู้ว่าเจ้าจะปกป้องข้าได้เสมอ”


นางสูดหายใจลึก พลางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น “เพราะงั้น…เราจะเก็บของให้เรียบร้อย แล้วก็ทานอาหารเช้า เตรียมตัวให้พร้อมกับสิ่งที่เราต้องพบต่อไป วันนี้อาจเป็นวันที่สำคัญที่สุดในการเดินทางนี้” เซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย แม้ดวงตายังเต็มไปด้วยความกังวล แต่มันก็พยักหน้าเข้าใจ “ขอรับ…ข้าจะอยู่ข้างท่านเสมอ”


หลินหยายิ้มบางก่อนเริ่มเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ค้างแรมเข้ามิติของแหวนดาราจรัสอย่างคล่องแคล่ว เสียงเก็บของคลอไปกับไอหมอกที่เริ่มบางลงทีละน้อย กองไฟที่ปะทุเป็นเปลวสีส้มสะท้อนกับหมอกที่ลอยคลอรอบลำธาร ส่งกลิ่นหอมของอาหารที่ปรุงจนเสร็จลอยอบอวลไปทั้งพื้นที่ หลินหยานั่งอยู่บนผ้าปูหนา ๆ ข้างกองไฟ ดวงตาหวานเป็นประกายยามมองอาหารเช้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็ดปักกิ่งหนังกรอบสีทอง กับ ไก่ขอทานทั้งตัว ที่ห่อใบไม้หมักจนหอมเย้ายวน เมื่อแกะห่อออก ควันร้อนพุ่งออกมาพร้อมกลิ่นหอมจนทำให้บรรยากาศหนาวเย็นของหุบเขากลายเป็นสวรรค์แห่งรสชาติในทันที


นางยกเป็ดขึ้นหั่นด้วยมีดบาง เสียงหนังแตกกรอบ กร๊อบ กลิ่นหวานมันของไขมันที่ละลายซึมออกมาทำให้เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งรออยู่ข้าง ๆ กระดิกหางถี่ ดวงตากลมโตจ้องจานอาหารไม่วาง ขนสีดำมันวาวแทบจะตั้งขึ้นด้วยความตื่นเต้น มันเกือบจะลืมความหรูหราของอาหารเพราะกลิ่นนี่มันเกินห้ามใจ หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ยกจานมาวางตรงหน้าเจ้าเซียนเฉ่า “วันนี้…ต้องกินให้อิ่มให้อร่อยนะเซียนเฉ่า ไม่รู้ว่าด้านหน้าจะมีอะไรบ้าง เพราะงั้น พวกเราจะต้องไม่ประมาท” น้ำเสียงของนางอบอุ่นแต่แฝงความจริงจัง


เจ้าเซียนเฉ่าหันมองนางด้วยแววตาจริงจังสลับกับความอยากอาหารที่แทบจะกลืนไม่ลง มันพยักหน้า “ขอรับคุณหนูหลิน…ข้าจะเก็บพลังไว้เต็มที่สำหรับอาละวาดหากมีภัย” เมื่อได้อนุญาต หมาน้อยก็ลงมือกินอย่างสุภาพตามสไตล์ผู้ดี แต่แฝงไปด้วยความกระหายแบบสัตว์นักล่า มันแทะหนังกรอบของเป็ดด้วยความฟิน(?) ดวงตาหลับพริ้มในทุกคำที่กัด เนื้อในนุ่มละลายผสมซอสที่นางทำขึ้นเองยิ่งทำให้มันอิ่มเอม ส่วนไก่ขอทานที่แหวกออก เผยเนื้อชุ่มฉ่ำมีกลิ่นใบไม้หอมกรุ่น ก็ทำให้มันกินไม่หยุด


หลินหยากินช้า ๆ อย่างใจเย็น ลิ้มรสทุกคำของอาหารที่เธอทำขึ้นด้วยมือ นางมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กินไปกระดิกหางไปอย่างเอ็นดู เจ้าหมานี่…ดูมีความสุขเกินไปแล้ว


เมื่ออาหารหรูหมดไปจนเหลือเพียงกระดูกเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งสองต่างอิ่มเต็มที่พร้อมรอยยิ้ม หลินหยายกมือปัดผมที่ปลิวตามลม พูดช้า ๆ “เอาล่ะ…เราเก็บพลังเต็มที่แล้วสินะ เซียนเฉ่า” หมาน้อยเลียปากตัวเองพลางหันมาพูดด้วยความมั่นใจ “ข้าเต็มที่ขอรับคุณหนูหลิน! ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอะไร…ข้าจะอาละวาดจนแผ่นดินสะเทือน” หลินหยาหัวเราะในลำคอ ยกของเก็บเข้ามิติแหวนแล้วลุกขึ้นยืน ท้องฟ้าเหนือหุบเขาเริ่มเปิด หมอกค่อย ๆ ลอยสูงขึ้นเหมือนรอให้ผู้กล้าเดินต่อไป ทั้งสองพร้อมแล้วสำหรับเส้นทางที่รออยู่เบื้องหน้า


หมอกหนาของหุบเขากระเรียนหลบฟ้าเคลื่อนไหวไปตามแรงลม เสียงกระเรียนป่าดังแว่วประสานกับเสียงน้ำจากลำธารที่ไหลเลาะข้างทาง หลินหยาก้าวเดินอย่างระมัดระวัง มือเรียวยกชายเสื้อกันไม่ให้เปื้อนโคลน สายตาหวานกวาดมองภูมิทัศน์รอบตัวที่ยิ่งเดินก็ยิ่งแปลกประหลาด ต้นไม้สูงใหญ่ที่รากพันเกี่ยวกันคล้ายค้ำยันฟ้าถูกคลุมด้วยเถาวัลย์เก่าแก่ บางต้นมีร่องรอยแกะสลักอักษรโบราณที่จางหายไปตามกาลเวลา เจ้าเซียนเฉ่าเดินนำอยู่ข้างหน้า ร่างเล็กของมันเคลื่อนไหวคล่องแคล่วท่ามกลางทางหินที่ขรุขระ ปลายหางกระดิกเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้เจ้านายตามมาได้ แต่หูทั้งสองกลับตั้งตรง ดวงตากลมคอยสอดส่องรอบตัวไม่คลายความระวัง


เดินผ่านทางชันขึ้นไปจนถึงสันเขา เบื้องหน้าปรากฏสิ่งที่ทำให้หลินหยาหยุดหายใจในชั่วขณะกลางหมอกนั้นคือ สถาปัตยกรรมโบราณ ที่ดูเก่ากว่ายุคฮั่นเสียอีก โครงสร้างของมันสลักจากหินทั้งแท่ง มีลวดลายมังกรและกระเรียนพันเกี่ยวกันราวกับเล่าขานถึงความรุ่งเรืองในอดีต เสาหินสูงใหญ่ตั้งเรียงราย ข้างบนแตกหักบางส่วนแต่ยังคงสง่างาม บันไดหินที่ถูกปกคลุมด้วยมอสพาดขึ้นไปยังโถงใหญ่ที่เปิดโล่งประตู


หลินหยามองภาพนั้นด้วยสายตาที่สั่นไหว นี่หรือ…โถงบันทึกลับที่องค์เทพกล่าวถึง? ลมหายใจของนางชะงักเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นแสงสลัวที่ลอดออกมาจากภายในโถง ราวกับมีอะไรบางอย่างรออยู่ในนั้น นางยังไม่ก้าวเข้าไป เพียงยืนนิ่ง มองเข้าไปในความมืดที่แฝงพลังงานโบราณและกลิ่นอายของความทรงจำที่หลงเหลือ


ทันใดนั้น เจ้าเซียนเฉ่าที่เดินนำอยู่กลับหยุดกึก ร่างเล็กแผ่พลังป้องกันโดยไม่ต้องบอก หูตั้งชัน ดวงตาสามคู่ (ที่ซ่อนอยู่ในร่างจริงของมัน) วาวโรจน์ในชั่วพริบตา เสียงคำรามต่ำดังจากลำคอราวกับเตือนภัย มันหันขวับมองหลินหยาก่อนเอ่ยเสียงทุ้มจริงจัง “คุณหนูหลิน…อย่าเพิ่งเข้าไปขอรับ ข้ารู้สึกได้…มีบางสิ่งในนั้น ไม่ใช่แค่เงามืดธรรมดา” หมอกที่เคลื่อนคลอรอบโถงโบราณเริ่มหนาทึบขึ้น ราวกับสิ่งที่อยู่ในนั้นรู้ตัวแล้วว่ามีผู้บุกรุกยืนอยู่ตรงปากทาง…


ประตูหินหนาทึบส่งเสียงครืดคราดเมื่อหลินหยาผลักออกมันเหมือนจะหนักแต่ไม่เลยทำไมเปิดออกง่ายขนาดนี้กัน กลิ่นฝุ่นโบราณและไอพลังแปลกประหลาดพัดออกมาแทบจะในทันที ภายในโถงบันทึกลับเงียบสงัดแต่กลับกดดันอย่างประหลาด สถาปัตยกรรมหินที่สลักลวดลายมังกรและกระเรียนแตกหักไปตามกาลเวลา แต่ยังแผ่รัศมีขลังราวกับกาลเวลาไม่อาจกลืนกินสิ่งนี้ได้ และทันทีที่เธอก้าวเข้าไปพื้นหินใต้เท้าสั่นสะเทือน เสียงกึกก้องดังไปทั่วโถง หินตามเสาและกำแพงเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ ก่อนรวมกันกลายเป็นร่างมหึมาสูงกว่า 20 เมตร กล้ามเนื้อของมันเป็นชั้นหินที่สอดประสาน ดวงตาสีแดงเรืองแสงลุกขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามต่ำดังก้องกังวาน


ไม่ใช่แค่ตัวเดียว…แต่มีถึง สี่ตัว! ผู้พิทักษ์หินทั้งสี่ก้าวออกมาจากมุมมืดของโถง ร่างใหญ่ของมันทำให้พื้นสั่นสะเทือนทุกครั้งที่ก้าว เสียงหินเสียดสีกันดังแสบแก้วหู


เจ้าเซียนเฉ่าทันทีที่เห็นสิ่งเหล่านี้ ดวงตาทั้งสามคู่ลุกวาว ร่างเล็กพุ่งกระโดดออกมาข้างหน้าหลินหยาพร้อมกลับคืนสู่ร่างสุนัขสามหัวอย่างสมบูรณ์ เสียงคำรามต่ำก้องไปทั่วโถง แผ่แรงกดดันป้องกันเจ้านายไว้ “คุณหนูหลิน…นั่นมัน ผู้พิทักษ์หิน!


หลินหยาตั้งขลุ่ยแน่นในมือ ดวงตาหวานสั่นวาบด้วยความตกใจ “ผู้พิทักษ์หิน? ทำไมถึงมีอยู่ที่นี่ได้?” เสียงทุ้มต่ำของเซียนเฉ่าเอ่ยเร่งร้อนบอก “นั่นคือสิ่งสร้างโบราณ…ศาสตร์แห่งการสร้างข้ารับใช้ที่สูญหายไปนานแล้ว การสร้างผู้พิทักษ์หินต้องใช้ มูลดินปั้นเป็นรูปร่างมนุษย์ ที่สมบูรณ์ทั้งศีรษะ แขน และขา จากนั้นต้อง ฝังอายตบะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ลงไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ” หลินหยาฟังไปถอยหลังเล็กน้อย ขณะที่ผู้พิทักษ์ทั้งสี่เริ่มขยับร่างหินมุ่งหน้าเข้ามา เสียงก้าวกึกก้องหนักหน่วง “อายตบะเหล่านี้จะอยู่ในรูปของ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นแก่นของมันขอรับ” เซียนเฉ่าอธิบายรวดเร็ว “หากต้องการกำจัดมัน…ต้องทำลายอายตบะทั้งหกชิ้นที่ฝังอยู่ในร่าง มิเช่นนั้นจะไม่มีวันหยุดการเคลื่อนไหวของมันได้ขอรับ โกเลมพวกนี้แข็งแกร่งทางพลังกายภาพ แต่ด้อยในด้านพลังเวทและต้านทานพลังเวทได้ต่ำ รวมถึงเคลื่อนไหวช้ากว่าเรา”


หนึ่งในผู้พิทักษ์หินเงยหน้าคำราม เสียงดังก้องสะท้อนผนังจนฝุ่นปลิวว่อน มันก้าวมาหนึ่งก้าว พื้นหินแตกละเอียดใต้เท้าของมัน หลินหยากัดริมฝีปากแน่นหันไปมองเซียนเฉ่า “ถ้าอย่างนั้น…พวกมันถูกสร้างมาปกป้องอะไรบางอย่างในโถงนี้?”


สุนัขสามหัวคำรามตอบด้วยน้ำเสียงดุดัน “ถูกต้องขอรับ…และถ้าจะผ่านไปได้ เราต้องทำลายพวกมันก่อน!” เสียงคำรามของผู้พิทักษ์หินทั้งสี่ประสานกันก้องไปทั่วโถง ขณะที่แสงสีแดงจากดวงตาของมันลุกโชนราวกับจะเผาผลาญผู้บุกรุกทุกคนที่กล้าเหยียบย่างเข้ามา…


หลินหยามองร่างมหึมาของผู้พิทักษ์หินทั้งสี่ที่ขยับตัวอย่างเชื่องช้าแต่แผ่พลังคุกคามจนหมอกในโถงคลายตัว นางกัดริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกจนหัวใจเต้นแรง เสียงหินเสียดสีกันกึกก้องทุกครั้งที่มันก้าว พื้นใต้เท้าไหวเล็กน้อยราวกับจะพังได้ทุกเมื่อ นางหันไปมองเซียนเฉ่าที่อยู่ในร่างสุนัขสามหัว ดวงตาทั้งสามคู่ของมันลุกโชนด้วยไฟนักล่า เสียงคำรามต่ำสะท้านคอหินราวกับเตรียมพุ่งเข้าหาศัตรูได้ทุกเมื่อ หลินหยากลืนน้ำลาย ก่อนตะโกนสั่งเสียงดังชัดเจนท่ามกลางแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา


“เซียนเฉ่า! เจ้ารับหน้าที่ล่อมันกับรับการโจมตี…อย่าให้พวกมันได้ตัวเจ้าเด็ดขาด ถ้าโดนโจมตีเข้าตรง ๆ ล่ะก็ ข้าคงต้องเก็บหมาสามหัวแดดเดียวเป็นซากแน่!” หมาน้อยคำรามหึ ๆ ดวงตาฉายแววไม่ยอมแพ้ “เข้าใจขอรับคุณหนูหลิน! ข้าจะหลอกล่อพวกมันให้สุดกำลัง และจะไม่ให้แม้เงาของมันแตะข้าได้!”


หลินหยายกยิ้มเล็ก ๆ ทั้งที่สถานการณ์ตึงเครียด ดวงตาหวานวาววับด้วยความมุ่งมั่น “ส่วนข้า…จะหาทางเข้าถึงแก่นอายตนะของพวกมันเอง!”


ผู้พิทักษ์หินตัวหนึ่งคำรามก้องราวกับฟ้าร้อง แสงสีแดงฉานในดวงตาสาดไปทั่วโถง มันยกกำปั้นหินขนาดยักษ์ขึ้นสูง ก่อนทุบลงพื้นเสียงดังสนั่น เศษหินกระเด็นกระจายคลื่นแรงกระแทกพุ่งไปทั่ว 


“ไปเลยเซียนเฉ่า!!! ฉันเลือกนาย!!!” หลินหยาตะโกน ทันใดนั้นร่างหมาสามหัวพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วเกินสายตามนุษย์ ขนดำมันวาวสะท้อนแสงแดงกระแทกเข้าตา สองหัวด้านข้างคำรามดังกึกก้องพร้อมกันราวกับเสียงสายฟ้าฉีกฟ้า มันพุ่งตัดหน้าผู้พิทักษ์ตัวที่กำลังจะโจมตีหลินหยา ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าไถลไปข้าง ๆ หลบหมัดยักษ์ที่กระแทกพื้นแตกเป็นหลุม เซียนเฉ่ากระโจนขึ้นเกาะแขนหิน พ่นไฟสีทองอ่อนจากปากหัวหนึ่งใส่ดวงตาของมันเป็นการกวนประสาท ก่อนดีดตัวออกมาหลบการกวาดแขนรุนแรงที่ตามมา มันใช้ความเร็ววนรอบพวกโกเลมทั้งสี่ สร้างจังหวะสับสนไม่ให้พวกมันจับตำแหน่งได้ง่าย


ในเวลาเดียวกัน หลินหยาพุ่งตัวต่ำไปตามเสาหิน ใช้เงาและซากกำแพงเก่าเป็นที่กำบัง นางสอดสายตาหาจุดที่อาจซ่อนอายตนะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกที่ฝังอยู่ในร่างโกเลม ดวงตาหวานจับจ้องแสงสีทองจาง ๆ ที่ลอดออกจากรอยแตกบนลำตัวของมัน


ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ…ต้องหาทั้งหกชิ้น!


ผู้พิทักษ์อีกตัวก้าวเข้ามาดักทาง นางหมุนตัวหลบเศษหินที่กระเด็น ดึงขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก เป่าท่วงทำนองสั้น ๆ ปล่อยแรงคลื่นเสียงแหลมกระแทกกับหินจนเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ บนใบหน้าของมัน เศษหินแตกกระจาย แสงสีทองเล็ก ๆ ส่องออกจากรอยร้าวนั้น นั่นคือหนึ่งในแก่นตา!


“ท่านเจอแล้วหรือขอรับ!?” เสียงเซียนเฉ่าตะโกนขณะวิ่งหลบหมัดของโกเลมอีกตัวที่ตามไม่ทัน “ใช่! ต่อไปเบี่ยงความสนใจมันให้นานที่สุด!” หลินหยาตะโกนตอบ ดวงตาส่องประกายด้วยความฮึกเหิม เซียนเฉ่ากระโดดขึ้นบนไหล่ของโกเลมอีกตัว ใช้เขี้ยวกัดกระชากเศษหินออกพร้อมพ่นไฟใส่ดวงตาของมันจนมันคำรามด้วยความเจ็บ ดึงความสนใจทั้งหมดมาอยู่ที่ตัวเอง ตอนนี้…เป็นโอกาสของหลินหยาที่จะเริ่มภารกิจทำลายแก่นอายตนะทีละชิ้น! หลังจากนั้นหลินหยาก็ทำลายแก่นอายตบะแก่นตา!!


เสียงคำรามของผู้พิทักษ์หินดังสะเทือนโถงเก่าแก่เมื่อแก่นตาในร่างหนึ่งถูกหลินหยาทุบแตกด้วยแรงคลื่นเสียงจากขลุ่ย เศษหินกระเด็นเกลื่อนพื้น ขณะที่แสงสีทองเลือนรางค่อย ๆ สลายไปพร้อมพลังของมัน ตัวนั้นทรุดเข่าลงครู่หนึ่งก่อนที่พลังชีวิตจะเริ่มอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด “หนึ่งแล้ว! เหลืออีกห้า!” หลินหยาหอบหายใจพลางกระโดดหลบหมัดของโกเลมอีกตัวที่ฟาดลงมาเต็มแรง พื้นหินแตกกระจาย ฝุ่นปลิวคลุ้งราวกับสนามรบ นางหมุนตัวพริ้วไหวเหมือนลม ใช้เศษซากกำแพงเก่าเป็นที่กำบัง กระโดดพาดไปตามซากเสาหิน บิดตัวหลบเศษหินที่แตกกระเด็นอย่างเฉียดฉิว ความเร็วและสัญชาตญาณเอาตัวรอดของนางพุ่งขึ้นสูงสุดราวกับฉากบู้ในหนังแอ็กชัน นางพุ่งตัวต่ำไปข้างหน้าแล้วไถลกับพื้นเหมือนนักซิ่งดริฟหลบรถคว่ำ ก่อนจะลุกขึ้นพุ่งต่ออย่างไม่มีหยุด


ระหว่างที่หลบ นางสอดสายตาหาจุดแสงสีทองที่แฝงอยู่ในร่างยักษ์เหล่านั้น หู…จมูก…ลิ้น…กาย…ใจ…พวกมันซ่อนไว้ตรงไหนกัน!


เสียงคำรามของโกเลมอีกตัวดังลั่น มันยกมือปัดใส่นางแรงมหาศาลจนเศษหินปลิวเป็นฝุ่น หลินหยากระโดดหมุนตัวกลางอากาศ ก่อนแทงขลุ่ยเข้าไปในรอยแตกเล็ก ๆ ตรงบริเวณข้างหัวของมัน พลังปราณถูกปล่อยออกจากขลุ่ยจนเกิดเสียงกรีดแหลมสะท้าน โกเลมตัวนั้นกรีดร้อง ดวงหินที่เป็นหูส่องแสงทองก่อนแตกกระจาย!


“สอง!” นางตะโกนพร้อมพุ่งออกจากระยะการโจมตีทันที


เซียนเฉ่าที่อยู่รอบ ๆ ใช้ร่างสามหัวกระโจนกัดแขนยักษ์ของอีกตัวจนมันเสียสมดุล พ่นไฟสลับกัดกระชากเพื่อเบี่ยงความสนใจ มันคำราม “คุณหนูหลิน! ทางข้างหน้า ระหว่างอกกับคอนั่นคือแก่นจมูก!” หลินหยาไม่รอช้า พุ่งพรวดผ่านขาของโกเลมอีกตัวที่กำลังเหวี่ยงหมัดใส่ เซียนเฉ่ากัดขามันไว้ให้นางผ่าน ดวงตาหวานจ้องเป้าอย่างมั่นคง นั่นล่ะ!


เธอปีนขึ้นไปตามลำตัวแข็งกร้าว ใช้แรงส่งจากเศษหินที่ยื่นออกมาเป็นฐาน กระโดดขึ้นไปบนไหล่ จากนั้นแทงขลุ่ยพร้อมปล่อยปราณกระแทกเข้ารอยแก่นตรงคอทันที! เสียงแตกกึกก้องก่อนแสงทองพุ่งออกแล้วดับวูบ ร่างโกเลมสั่นไหวรุนแรงก่อนจะชะงักชั่วครู่ “สามแล้ว!” หลินหายหอบแรงสุด แต่รอยยิ้มมุมปากกลับผุดขึ้น การต่อสู้เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ผู้พิทักษ์หินที่เหลือรวมพลังโจมตีหนักขึ้น ร่างยักษ์ทุบพื้นจนโถงเก่ากึกก้อง ฝุ่นและเศษหินปลิวว่อน หลินหยากระโดดพริ้ว ห้อยตัวกับเศษเสาหิน หมุนตัวหลบเศษซากที่พุ่งผ่านหน้าไปอย่างเฉียดฉิว ดวงตาหวานเต็มไปด้วยประกายฮึกเหิม นี่มันบ้าบิ่นสุด ๆ แต่โคตรมันส์!


“คุณหนูหลิน! อีกตัวหนึ่ง แก่นลิ้นอยู่ตรงปากของมัน! ระวังให้ดีขอรับ!” เซียนเฉ่าตะโกนขณะกัดแขนอีกโกเลมดึงความสนใจมันไป หลินหยายิ้มมุมปาก ปากงั้นหรอ? เอาล่ะ มันต้องเสี่ยง! นางพุ่งตัวตรงไปด้านหน้าของมัน ใช้แรงส่งกระโดดจากหินขึ้นไปเกาะใบหน้าหินมหึมา ก่อนแทงขลุ่ยเข้าไปในรอยแยกที่แสงทองลอดออก พลังเสียงระเบิดออกจากขลุ่ยดังสนั่น แก่นลิ้นแตกกระจาย! โกเลมคำรามอย่างเจ็บปวดถอยหลังเซไปกระแทกกำแพงฝุ่นปลิวทั่วห้อง


“เหลืออีกสอง! กายกับใจ!” หลินหยาตะโกน เสียงหอบแต่แววตายังคงเปล่งประกายสู้เต็มที่


เซียนเฉ่ากระโจนลงมายืนข้างนาง หัวทั้งสามคำรามพร้อมกัน “ข้าจะเบี่ยงความสนใจต่อขอรับ! คุณหนูจบพวกมันให้สิ้น!” ทั้งสองประสานสายตาเพียงชั่วพริบตา ก่อนพุ่งเข้าสู่การโจมตีรอบสุดท้าย…ราวกับฉากบู้สนั่นลั่นเมือง


เสียงหอบของหลินหยาก้องสะท้อนในโถงหินที่สั่นสะเทือนต่อเนื่องจากแรงปะทะ ท่ามกลางฝุ่นคลุ้งและเศษซากที่กระจัดกระจาย หญิงสาวยืนตัวตรงกลางสนามรบ ดวงตาหวานส่องประกายราวกับเปลวไฟที่โหมแรงขึ้นทุกครั้งที่หัวใจเต้น นี่มัน…สุดยอดจริง ๆ! ความเหนื่อยถูกกลบด้วยอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่าน ความกระหายชัยชนะทำให้ทุกประสาทสัมผัสของนางคมชัด เจ้าเซียนเฉ่าพุ่งทะยานผ่านใต้ขาโกเลมตัวหนึ่ง หัวทั้งสามคำรามก้อง ลอบกัดเข้าที่ข้อเท้าหินของมันดึงความสนใจ ดวงตาทั้งสามคู่ของมันลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้ มันหมุนตัวหลบหมัดที่ทุบลงมาเฉียดเพียงเส้นผม พ่นไฟสีทองอ่อนใส่แผ่นอกศัตรูทำให้มันถอยหลังโซเซ “คุณหนูหลิน! โอกาสของท่านมาแล้ว!”


หลินหยายกมือขึ้น ขลุ่ยไม้แนบปาก ลมหายใจเย็นลึกแล้วเป่าออกมาเสียงขลุ่ยก้องกังวานไปทั้งโถง ไม่ใช่บทเพลงกล่อม แต่เป็น ท่วงทำนองแห่งการล่า คลื่นเสียงแผ่วแรกไหลซึมไปตามร่างผู้พิทักษ์ทั้งสองเหมือนแสงคมดาบ เสียงสูงขึ้นทุกวินาที เผยร่องแสงสีทองที่ส่องออกมาจากร่างพวกมัน… แก่นกาย! แสงสีทองสว่างออกตรงแผ่นอกใต้รอยแตกกว้างราวหัวใจที่เต้นอยู่ในหิน


แก่นใจ! แสงเข้มกว่าเจิดจ้าสุดจากส่วนกลางศีรษะ ตรงรอยร้าวคล้ายจุดรวมจิตวิญญาณของพวกมัน


“เจอแล้ว!” หลินหยาตะโกน พลันขยับตัวอย่างรวดเร็ว เธอพุ่งไปที่โกเลมตัวที่เซียนเฉ่ากำลังล่อ ใช้เศษหินเป็นจุดเหยียบ กระโดดขึ้นไหล่มันอย่างพริ้วไหวราวกับนักรบในตำนาน เสียงขลุ่ยยังคงก้องอยู่ในมืออีกข้าง มือที่ว่างพุ่งไปกดขลุ่ยใส่แก่นที่แผ่นอก พลังปราณจากเสียงเพลงระเบิดออก เสียงแตกกึกก้องพร้อมแสงทองระเบิด! โกเลมตัวนั้นคำรามลั่นราวกับฟ้าผ่า ก่อนร่างมหึมาจะทรุดลงแตกหักเป็นเศษหินกองโต กลายเป็นเพียงก้อนหินไร้วิญญาณ


“เหลืออีกหนึ่ง!” หลินหายหอบแรงสุด แต่รอยยิ้มเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม


โกเลมสุดท้ายที่เหลือคำรามอย่างเดือดดาล พลังของมันพุ่งสูงสุด แขนยักษ์กวาดกว้างทุบซากหินกระเด็นรอบตัว เศษซากปลิวเต็มโถง หลินหยาหมุนตัวหลบเศษหินที่พุ่งผ่านหน้า ดริฟตัวกับพื้นแล้วพุ่งออกไปอย่างเฉียดฉิว เซียนเฉ่ากระโจนขึ้นกัดคอของมัน แต่ถูกปัดจนกลิ้งกระแทกเสาหินแตกครืน มันคำรามไม่หยุด ลุกขึ้นพุ่งเข้าใหม่ดึงความสนใจสุดกำลัง หลินหยาเห็นช่องว่างที่หัวแก่นใจส่องสว่างชัดเจน! นี่แหละ โอกาสสุดท้าย!


หญิงสาวก้าววิ่งสุดแรง ใช้เสาหินเป็นทางส่งตัว กระโดดสูงกลางอากาศราวกับเหินเหนือหมอก ความเงียบในชั่วขณะถูกแทนที่ด้วยเสียงขลุ่ยแหลมสูงสุดท้าย พลังปราณจากเสียงรวมเป็นหนึ่ง พุ่งตรงเข้าแก่นใจอย่างแม่นยำ! แสงทองระเบิดออกพร้อมเสียงแตกดังสนั่น โกเลมตัวสุดท้ายคำรามโหยหวน ร่างยักษ์สั่นสะท้านก่อนแตกหักร่วงลงอย่างช้า ๆ จนกลายเป็นเศษหินที่ไร้ชีวิต


หมอกในโถงค่อย ๆ จาง เสียงก้องเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจแรงของหลินหยา และเสียงคำรามต่ำของเซียนเฉ่าที่ค่อย ๆ ผ่อนคลาย ร่างยักษ์ทั้งสี่กลายเป็นเศษหินไร้วิญญาณกระจัดกระจายทั่วพื้น หลินหยายืนตัวตรง ขลุ่ยในมือยังคงอุ่นจากพลังปราณ นางหอบแรงแต่รอยยิ้มมุมปากกลับผุดขึ้น ดวงตาหวานลุกวาวด้วยชัยชนะ “ห้าแก่น…หกแก่น…จบแล้วสินะ…”


เซียนเฉ่ากลับมาหาเจ้านาย หัวทั้งสามกระดิกพร้อมกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “คุณหนูหลิน…พวกมันถูกทำลายหมดแล้วขอรับ” นางหัวเราะเบา ๆ ยกขลุ่ยพาดบ่า มองเศษหินที่เคยเป็นผู้พิทักษ์ด้วยสายตาสงบ เราชนะแล้ว…ในที่สุดก็ชนะแล้ว!








@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เกิน 200K อีกละโอ๊ยยย จะบ้าตาย

รางวัล: 
ปีศาจปลา : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) - ได้รับแล้ว
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 4 = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

โกเลม : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) - ได้รับแล้ว
LUK เกิน 80 จะได้โบนัสจากระบบ x2 ที่ได้
ได้รับ หินดาวเคราะห์ (ตีบวก) 1 ชิ้น = 2 ชิ้น

สรุปรางวัลที่ได้: หินดาวเคราะห์ (ตีบวก) 2 ชิ้น

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-8-2 22:06
โพสต์ 129134 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-2 20:40
โพสต์ 129,134 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-2 20:40
โพสต์ 129,134 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-2 20:40
โพสต์ 129,134 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-2 20:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-2 21:13:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 02 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า - ยามไห่ ณ หุบเขากระเรียนหลบฟ้า เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


Part 2 . หุบเขากระเรียนหลบฟ้า


หลินหยายืนท่ามกลางซากหินที่แตกกระจายไปทั่วโถง หัวใจที่เต้นแรงค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ นางหันไปมองเจ้าเซียนเฉ่าที่กลับมายืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ดวงตาสามคู่ของมันยังคงลุกวาวด้วยความคุ้มกัน และเสียงหอบหนักดังชัด หญิงสาวระบายยิ้มจาง ๆ ก่อนยกมือเรียวขึ้นลูบหัวทั้งสามหัวของมันทีละหัว “เก่งมากเซียนเฉ่า…หากไม่มีเจ้า ข้าคงไม่มีทางปราบพวกมันได้แน่ ๆ” น้ำเสียงของนางอบอุ่นปนเหนื่อยล้า แฝงความขอบคุณอย่างจริงใจ


หมาสามหัวคำรามหึ ๆ หางกระดิกเบา ๆ แต่ยังยืดอกแสดงความภาคภูมิ “ข้าภักดีต่อคุณหนูเสมอ…ต่อให้ศัตรูเป็นภูเขาเหล็ก ข้าก็จะกัดมันจนแตกให้ได้ขอรับ”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางก้มลงลูบหัวมันอีกครั้งทั้งสามหัว “โชคดีจริง ๆ ที่เจ้ามากับข้าในครั้งนี้นะ” หลังจากนั้นเจ้าเซียนเฉ่าค่อย ๆ หดร่างกลับสู่ร่างหมาน้อยแสนน่ารัก ขนดำมันเงาเปื้อนฝุ่นหินแต่ยังคงท่าทีสง่างาม ดวงตากลมมองเจ้านายอย่างห่วงใย


หลินหยานั่งยองลงตรวจสอบเศษหินรอบ ๆ โถง ก่อนสายตาจะสะดุดกับเศษหินขนาดกำลังดีที่แผ่พลังประหลาดออกมา สีของมันต่างจากเศษอื่น ๆ เล็กน้อย มันแฝงประกายคล้ายแร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์ นางหยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วเลิกคิ้ว “หินตีบวกอาวุธหรอ…โชคดีเข้าไปใหญ่แล้วล่ะ” นางเก็บมันเข้ามิติแหวนดาราจรัสโดยไม่ลังเล ขณะนั้นเองความเหนื่อยล้าก็เริ่มกดทับร่างกายของนาง ลมหายใจเริ่มหนักขึ้นเล็กน้อย นางยกมือแตะหน้าอก สายตาแผ่วลง “ฮึ่ม…พิษในร่างข้ามัน…จะกำเริบไหมนะ?”


เซียนเฉ่าที่กลับมาอยู่ใกล้ ๆ หันหัวขึ้นมองทันที น้ำเสียงจริงจัง “คุณหนูหลิน…พักเถิดขอรับ อย่าฝืนตัวเองเกินไป” หลินหยาพ่นลมหายใจช้า ๆ แต่ยังยิ้มบาง “ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าตัวน้อย…แค่เหนื่อยมากหน่อยเท่านั้น” นางยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ สายตาหวานยังคงกวาดมองโถงบันทึกลับที่ตอนนี้สงบเงียบ เศษซากผู้พิทักษ์หินนอนเรียงรายเป็นพยานถึงการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่ แม้ร่างกายจะอ่อนแรง แต่ในหัวใจของหลินหยายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เรายังต้องเดินต่อไป…แม้พิษจะคุกคามก็ตาม ความจริงนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว…


หลินหยาก้าวลึกเข้าไปในโถงบันทึกลับที่ค่อย ๆ แคบลง ผนังหินทั้งสองข้างมีรอยสลักเลือนรางคล้ายภาพเล่าเรื่องเก่าแก่ แสงสลัวจากผลึกที่ฝังอยู่ตามร่องผนังส่องกระทบละอองฝุ่นเป็นประกายคล้ายละอองดาว ทุกก้าวของนางดังสะท้อนในความเงียบสงัดราวกับพาเข้าสู่กาลเวลาในอดีต ในที่สุด หลินหยาก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าห้องเล็ก ๆ ที่ประดับด้วยแท่นหินจำนวนหนึ่ง บนแท่นวางวัตถุโบราณที่ถูกคลุมด้วยฝุ่นและกาลเวลา บางชิ้นเป็นเครื่องประดับสตรี บางชิ้นเป็นหยกแกะสลัก บางชิ้นเป็นเครื่องหอมที่แตกหักไปแล้ว ทว่ากลับแผ่รัศมีเศร้าสร้อยจาง ๆ ราวกับยังคงจดจำเจ้าของ ตรงกลางห้องมี ม้วนบันทึก ที่ถูกปกป้องด้วยพลังโบราณบางเบา


นางหันไปพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “หากบันทึกนี้ไม่ผิด…เรื่องของลั่วซานอาจเชื่อมโยงกับความลับงั้นหรอ?” เจ้าเซียนเฉ่าที่เฝ้าอยู่ด้านหลังขยับหาง ดวงตากลมฉายแววสนใจเช่นกัน “คุณหนูหลิน…ดูเหมือนสิ่งที่เรากำลังตามหากำลังเผยตัวแล้วนะขอรับ” หลินหยากัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาส่องแสงมั่นคง ความจริงของลั่วซาน…และคำตอบในใจของข้าเกี่ยวกับจางกงกง คงรออยู่ข้างหน้าแล้วสินะ


ในมุมหนึ่งของโถงแคบที่มีเพียงเสียงฝีเท้าของเธอก้องสะท้อน หลินหยาก้าวเข้าไปใกล้วัตถุประหลาดซึ่งตั้งอยู่เด่นชัดท่ามกลางความเงียบ อ่างน้ำหินอ่อนสีขาวอมเทา ที่มีลวดลายเส้นคดโค้งไม่ใช่ของพื้นถิ่นฮั่น แต่ดูเป็นงานฝีมือของชาวแดนไกลตะวันตก ผิวหินของมันเรียบลื่นราวกับเพิ่งแกะสลักเสร็จใหม่ ๆ ทั้งที่ถูกซ่อนมานานนับศตวรรษ น้ำในอ่างใสสะอาดผิดปกติ ส่องประกายราวกับกระจกที่กักเก็บความลับไว้ในความเงียบงัน หลินหยาขมวดคิ้ว เดินวนรอบอ่างแล้วก้มลงมองอย่างใกล้ชิด มันคืออะไร…เอาไว้ล้างมือหรอ? เธอยื่นมือแตะเบา ๆ น้ำในอ่างกลับสั่นไหวราวกับตอบสนองต่อการสัมผัสของเธอเอง และในชั่วพริบตานั้นนางเหมือนเห็นเงาเคลื่อนไหวบางอย่างในน้ำ เงานั้นไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นภาพลาง ๆ ราวกับความทรงจำที่ถูกซ่อน


“นี่มัน…?” นางพึมพำด้วยสายตาไม่มั่นใจ


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ กระดิกหางพลางพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “คุณหนูหลิน…ลองจุ่มหน้าลงไปในน้ำสิขอรับ” หลินหยาหันไปมองหมาน้อยตาโต “เจ้ารู้ได้ยังไงกัน? จะไม่เป็นอันตรายหรอ?”


หมาน้อยยืดอกเชิดหัวพูด “ข้ารู้สิขอรับ นี่คือ อ่างแห่งความทรงจำ สิ่งที่บรรจุภาพอดีตไว้ของสิ่งของ ถ้าอยากเห็นความจริง ท่านต้องสัมผัสกับมันโดยตรง…เพราะมันจะเปิดเผยเฉพาะให้ผู้ที่มองดูเท่านั้น” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งลมหายใจขาดห้วงเมื่อใจเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “งั้นหรือ…ก็ได้ ข้าจะลองดู” นางค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างอ่าง มือเรียวแตะขอบหินเย็นเฉียบ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เธอหลับตาลงเล็กน้อย สูดหายใจลึกหนึ่งครั้ง แล้วโน้มตัวไปจนใบหน้าสัมผัสกับผิวน้ำ น้ำในอ่างไม่ได้เย็นเฉียบอย่างที่คิด กลับอุ่นนุ่มราวกับโอบกอด ดั่งกำลังจมเข้าสู่ความฝัน ทันทีที่ใบหน้าจุ่มลงไป น้ำรอบตัวกลับเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนพวยพุ่งราวกับสายน้ำพลังเวท ดึงหลินหยาเข้าสู่ห้วงความทรงจำ ภาพรอบตัวพลันหมุนวนราวกับถูกกลืนลงไปในกระแสน้ำ


ภาพในอ่างน้ำที่หลินหยาเพิ่งจุ่มหน้าลงไปแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงมันรุนแรงจนทำให้จิตใจของนางสั่นสะท้าน ร่างกายราวกับถูกดึงออกจากความจริงและโยนไปในห้วงเวลาและสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก ทันทีที่นางลืมตาในภาพลวงนั้น สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ เมืองใหญ่ที่แปลกตา ตึกรามสูงเสียดฟ้าส่องแสงนีออนระยิบระยับเต็มท้องฟ้า รถยนต์เหล็กที่วิ่งฉิวไปตามถนน สะพานลอยและไฟส่องสว่างที่แตกต่างจากทุกสิ่งในโลกต้าฮั่น ทุกอย่างดูทันสมัยเกินจินตนาการราวกับโลกอีกใบ นี่มันที่ไหน…ทำไมข้า…รู้สึกคุ้นตาแต่ไม่ใช่เมืองในแผ่นดินฮั่นเลย?


ทันใดนั้นความทรงจำแวบขึ้นในหัว หลินหยาเบิกตากว้าง นี่…อเมริกา? ปี 2024…2025? หรือไง ความรู้สึกบางอย่างในใจบอกว่านี่คือเศษเสี้ยวของตัวตนในอดีตของเธอตัวเธอที่เป็นคนไทย ใช้ชีวิตในยุคสมัยที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ก่อนจะมาเกิดเป็นหลินหยาในต้าฮั่น!


เสียงคำรามกึกก้องดังสนั่นจนพื้นสั่นสะเทือน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง ลมร้อนพัดแรงจนนางแทบหายใจไม่ออก และสิ่งที่หลินหยามองเห็นทำให้เธอถึงกับชะงัก หงส์เพลิงยักษ์ ปีกกว้างแผ่ปกคลุมท้องฟ้า ลำตัวส่องแสงราวกับเปลวไฟมีชีวิต มันกรีดร้องแผดเผาตึกรามไปพร้อมกับลมเพลิงร้อนจนกระจกแตกกระจาย เมืองทั้งเมืองลุกโชนราวกับนรก ท่ามกลางหายนะนั้นปรากฏ หญิงสาวสองคน คนแรกใบหน้างดงามเย็นชามีประกายแปลกประหลาด แผ่นหลังยาวงามสง่าแต่…หางของนางกลับเป็น หางงู สีเงินดำที่เลื้อยไปมาพร้อมกลิ่นอายพลังลี้ลับ มือขวาถือ คทาห้าสี ที่ส่องแสงพลังมหาศาล แสงนั้นเปล่งรัศมีคลื่นพลังที่สามารถสยบเปลวเพลิงบางส่วนได้ อีกคนหนึ่งหญิงสาวในชุดสีแดงชาด ใบหน้างามดุดันดั่งเปลวไฟที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่ง ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขณะที่ยืนเคียงข้างหญิงงู พลังทั้งสองผสานกันพุ่งเข้าต่อต้านหงส์เพลิงยักษ์ที่กำลังแผดเผาท้องฟ้าและเมือง


เปลวเพลิงของหงส์พุ่งลงมาเกือบถึงหลินหยาที่กำลังมองภาพอยู่ นางเผลอยกแขนขึ้นเหมือนจะป้องกันตัว แต่เปลวเพลิงทะลุผ่านร่างนางเพราะนี่คือภาพความทรงจำ


นี่มันอะไรกัน…โคตรแฟนตาซี! หลินหยาตะลึงกับภาพตรงหน้า เสียงหัวใจเต้นแรงสะท้อนในหู ภาพสองสตรีผู้ร่วมมือกันสู้กับสิ่งที่เกินจะเข้าใจค่อย ๆ สลายไปพร้อมเสียงร้องของหงส์เพลิงที่ค่อย ๆ เลือนหาย ในวินาทีสุดท้าย ก่อนภาพจะดับมืด หญิงงูที่หันหน้ามามองราวกับมองทะลุความทรงจำสบสายตาหลินหยาโดยตรง นัยน์ตานางเปล่งประกายประหลาด ภาพทุกอย่างสลาย หลินหยาสะดุ้งถอนหน้าออกจากอ่างน้ำ หอบหายใจแรง ร่างกายสั่นเล็กน้อยจากแรงของภาพที่ได้รับ


เซียนเฉ่ารีบเข้ามาข้าง ๆ “คุณหนูหลิน! ท่านเห็นอะไรขอรับ?” หลินหยายกมือกดหน้าอก พยายามตั้งสติ ดวงตาหวานยังคงสั่นระริก “ข้าเห็น…เมืองที่ข้าไม่ควรรู้จัก…และ…สองสตรีที่ร่วมมือกันหยุดหงส์เพลิงที่เผาท้องฟ้า…นี่มัน…?” เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะเนี้ย!!! 


หลินหยาที่หอบหายใจแรงยังไม่ทันได้ตั้งสติเต็มที่ แสงเรืองรองสีอ่อนก็ส่องขึ้นจากข้างอ่างน้ำ ละอองแสงรวมตัวกันเป็นร่างของสตรีผู้หนึ่งราวกับปรากฏจากความทรงจำที่ถูกปลุกขึ้น นางงดงามในอาภรณ์หรูหราสีฟ้าลุ่มลึก ลวดลายทองวิจิตรที่ดูเงียบสงบ แต่เต็มไปด้วยร่องรอยเศร้าแฝงเร้น ใบหน้านวลมีรอยยิ้มจาง ๆ ที่คล้ายจะอบอุ่น แต่ดวงตากลับลึกเกินเอื้อมราวกับแบกรับบางสิ่งที่ไม่อาจลบเลือน กลิ่นอายของนางมิใช่เพียงสตรีในวังหลัง แต่เป็นผู้ที่ผ่านเรื่องราวมากมายเกินกว่าสามัญสตรี “เจ้าเห็นแล้วหรือไม่…” เสียงของนางแผ่วแต่ดังก้องในโถงราวกับกระซิบของสายลมโบราณ “…สิ่งที่เจ้าพบเมื่อครู่ ล้วนเป็นเศษเสี้ยวแห่งความทรงจำที่กาลเวลาเก็บงำไว้เนิ่นนาน”


หลินหยาหันขวับไปสบตานาง หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด เธอรู้ทันทีว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้ามิใช่ใครอื่น สตรีนั้นยกมือขึ้นแตะอกตัวเอง ยิ้มเศร้าแผ่ว “ข้าคือ…ลั่วซาน สนมที่ถูกลืมเลือนของพระเจ้าฮั่นจิ่งตี้…ผู้ซึ่งโลกมิได้กล่าวถึงอีกในประวัติศาสตร์” นางก้าวเข้าใกล้อ่าง น้ำที่นิ่งอยู่พลันสั่นสะท้อนตามทุกก้าวที่โปร่งแสงนั้นเคลื่อนไหว “ข้าเคยเป็นเพียงสตรีธรรมดาในวังหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามี คือ ความกระหายในการค้นหาความจริง ข้าชื่นชอบการศึกษาประวัติศาสตร์ ศึกษาความเร้นลับเก่าแก่ของโลก…กระทั่งวันหนึ่ง ข้าค้นพบสถานที่แห่งนี้” ภาพในอากาศรอบตัวบิดเบี้ยวเล็กน้อย ราวกับแสดงความทรงจำของนางที่เดินเข้ามาในโถงนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ลั่วซานในภาพยิ้มบางราวกับเด็กที่พบของเล่นล้ำค่า


“ที่นี่…มีพลังพิเศษ พลังที่ทำให้สิ่งที่สูญหายกลายเป็นความทรงจำที่บันทึกได้… ข้าหลงใหลมันนัก จนละทิ้งวัง ละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อศึกษาโถงนี้อย่างลึกซึ้ง” น้ำเสียงนางเศร้าลงเมื่อเอ่ยถึงปลายทางของตน “แต่ข้าก็ไม่คิดเลย…ว่าจุดจบของข้าจะมาถึงเร็วเพียงนั้น บางสิ่งนำข้าพาข้าเข้าสู่ความพินาศ” แสงโปร่งใสของร่างนางสั่นไหวเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงแผ่วแต่สั่นสะท้าน “วันนี้…สิ่งที่ยืนอยู่ต่อหน้าข้า มิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่คือเจ้า…แม่นางน้อย” หลินหยายืนนิ่ง สายตาสั่นไหวกับคำเรียกนั้น


ลั่วซานยิ้มบาง ยื่นมือโปร่งแสงไปชี้ยังมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมีกองม้วนบันทึกโบราณกองอยู่หลายชั้น ฝุ่นหนาทับจนเหมือนจะกลายเป็นหิน “ในกองนั้น…มีบันทึกหนึ่งที่เก็บความลับที่ข้าซ่อนจากโลก…และความผิดที่ข้าไม่อาจลบล้าง” เสียงของนางแผ่วลงจนแทบเป็นกระซิบ ดวงตาสั่นระริก “ข้า…เคยทำบาปใหญ่ต่อเด็กชายผู้หนึ่ง…เด็กที่ข้าควรปกป้อง แต่กลับ…ปล่อยให้เขาเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้ายเพราะความโง่เขลาของข้า” แววตานางเต็มไปด้วยความเสียใจปนสำนึกผิดที่ฝังลึก นางก้าวถอยไปครึ่งก้าว แสงรอบกายสั่นพลิ้วราวกับน้ำ “เจ้าจง…นำบันทึกนั้นมา แล้วเอามันจุ่มลงในน้ำอ่างวิเศษนี้ จากนั้นจุ่มศีรษะเจ้าลงไปอีกครั้ง…เพื่อเห็นความจริงทั้งหมด” 


แสงสีน้ำเงินอ่อนในอ่างเริ่มส่องสว่างขึ้นราวกับตอบสนองต่อคำพูดของลั่วซาน ละอองพลังจาง ๆ ลอยขึ้นจากผิวน้ำ ทำให้ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ “อ่างใบนี้…” ลั่วซานเอ่ยเสียงสุดท้าย ดวงตาลึกล้ำราวกับมองทะลุวิญญาณ “คือสิ่งวิเศษที่ทำให้เจ้ามองเห็นอดีตที่ถูกปิดบัง และความจริงที่โลกไม่อยากให้เจ้ารู้…ทำตามที่ข้าบอก แล้วเจ้าจะได้พบคำตอบที่ตามหา”


หลินหยาสูดหายใจลึก มือเรียวค่อย ๆ ยกม้วนบันทึกที่ลั่วซานชี้ให้ ห่อหุ้มด้วยฝุ่นโบราณที่เกาะแน่น นางก้าวอย่างระมัดระวังไปยังอ่างน้ำวิเศษ เสียงหยดน้ำกระทบผิวนิ่งดังก้องในความเงียบ หญิงสาววางม้วนบันทึกลงไปในอ่าง แสงสีเงินฟุ้งกระจายขึ้นทันที น้ำภายในสั่นสะท้อนราวกับมีชีวิต หลินหยาหลับตาแน่นแล้วโน้มตัวลง จุ่มใบหน้าลงไปในอ่างนั้นอีกครั้ง


ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็กลับตาลปัตรอีกครั้ง!


หลินหยาถูกดึงเข้าสู่ภาพความทรงจำที่ชัดเจนเกินกว่าจะทนได้ บรรยากาศรอบกายกลายเป็นวังหลวงที่โอ่อ่าแต่แฝงความเย็นเยียบ ตำหนักหรูประดับด้วยม่านแพลู่ไหวตามลม เสียงหัวเราะเย้ยหยันของสตรีดังขึ้น…นางเห็น เด็กชายร่างเล็ก ตัวผอมบางในชุดขันทีธรรมดา ดวงตาของเขาหม่นหมองเหมือนสัตว์ที่ถูกบีบคั้นไร้ทางหนี เด็กคนนั้นคือ จางกงกง ในวัยเยาว์! หลินหยาตะลึงเมื่อเห็นเขาใบหน้าขาวซีดเปื้อนคราบน้ำตา ร่างสั่นเทาอยู่มุมห้อง เสียงแหลมเย็นดังขึ้น "เจ้ามันแค่ขันทีต่ำต้อย กล้าลืมตาสบข้าได้อย่างไร!"


ภาพเผยให้เห็น สนมลั่วซานในวัยสาว ดวงตาคมกริบแฝงอำนาจ มือเรียวประดับเล็บยาวตวัดขึ้นตบหน้าเด็กน้อยเสียงดัง เพี๊ยะ! จางกงกงตัวน้อยล้มลงกับพื้น น้ำตาหยดซึมไปตามแก้มที่แดงช้ำ


หลินหยารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบ นางอยากก้าวเข้าไป แต่ขาของเธอขยับไม่ได้ ภาพนี้เป็นเพียงความทรงจำที่เธอต้องทนดู


ลั่วซานในความทรงจำยกเท้าเหยียบหลังเด็กน้อยอย่างไม่ปรานี ดวงตาเย็นเฉียบ “เจ้ามีค่าแค่เครื่องระบายอารมณ์ของข้าเท่านั้น” นางหัวเราะเย็นยะเยือก ก่อนจะผลักเขาล้มกลิ้งไปกับพื้นอย่างแรง ภาพต่อมาทำให้หลินหยาต้องกลั้นหายใจ ลั่วซานยัดอาหารอย่างหยาบคายใส่ปากเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอื้น สำลักหายใจไม่ออกแต่ไม่มีใครช่วย นางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสะใจ ดวงตาเด็กคนนั้นเปล่งแสงเกลียดชังที่ปิดไม่มิด แต่เขายังจำต้องกลืนความเจ็บปวดและน้ำตาไว้ในใจ


เสียงหัวใจหลินหยาดังรัว ตึก ตึก ตึก นางแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน นี่…นี่คืออดีตของเขา…นี่คือสิ่งที่เขาผ่านมาในวังนรกแห่งนี้? อดีตแต่ละอันโหดร้ายนัก ทั้งรอบก่อนและรอบนี้ แย่ที่สุด  ภาพโหดร้ายดำเนินไปเรื่อย ๆ วันแล้ววันเล่า เด็กชายถูกเหยียด ถูกทุบตี ถูกใช้เป็นของเล่นระบายความอัดอั้นในใจของสนมที่ไม่มีใครเหลียวแล จางกงกงในวัยเยาว์ไม่เคยยิ้มแม้แต่ครั้งเดียว…จนแววตาของเขากลายเป็นดวงไฟเย็นชาที่รอวันปะทุ 


ภาพเลือนหาย หลินหยาถอนหน้าออกจากน้ำในอ่างทันที หอบแรง ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธปนสงสาร น้ำตาคลอในดวงตาหวาน ทำไม…ต้องทำกับเด็กคนหนึ่งถึงเพียงนี้…


ร่างโปร่งแสงของ ลั่วซาน ปรากฏข้างอ่างอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้างามของนางไม่เหลือรอยยิ้มแม้แต่น้อย มีเพียงความเศร้าและความสำนึกที่ฝังลึกในดวงตา นางเอ่ยเสียงสั่นสะท้าน “เจ้าก็เห็นแล้วใช่หรือไม่…สิ่งที่ข้าทำต่อเด็กคนนั้น” หลินหยาเงียบ ใจเต้นแรงจนนางพูดไม่ออก ลั่วซานก้มหน้า เสียงแผ่วเหมือนกระซิบ “ข้า…ทำบาปใหญ่หลวง ข้าเคยรังแกเขาเพราะเขาเป็นเพียงขันทีไร้ค่าในสายตาข้า ข้าอิจฉาเด็กน้อยคนนั้นที่แม้ไร้สิ้นทุกสิ่งแต่ยังมีดวงตาที่ไม่ยอมดับ ข้า…ระบายโทสะใส่เขา ใช้เขาเป็นที่ลงอารมณ์ ทุกการกระทำของข้าคือบาปที่ฝังแน่นในวิญญาณ” น้ำตาโปร่งใสหยดลงจากแก้มของวิญญาณลั่วซาน ร่างนางสั่นพลิ้วราวกับใกล้สลาย “บางที…ที่ข้าตายอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะเวรกรรมที่ทำกับเขา ข้าสร้างปีศาจที่โลกหวาดกลัวในวันนี้ด้วยมือข้าเอง…เขาเคยลำบากมาจากครอบครัวแล้ว ในวัง…เขายังไร้ผู้อุ้มชู”


เสียงนางสั่นระริกเหมือนจะขาดหาย “หากเขาไม่พบองค์ไท่จื่อที่เมตตาและฉลาดพอจะดึงเขาออกจากเหว…เกรงว่าเขาอาจจะร้ายกาจกว่านี้อีกเท่าตัว…” ใบหน้าลั่วซานเต็มไปด้วยความเสียใจจนหลินหยารู้สึกหน่วงในอก ความโกรธ ความสงสาร และความเศร้าในใจเธอปะปนกันยุ่งเหยิง นี่เอง…นี่คือแผลในอดีตของเขา…นี่คือเหตุผลที่เขากลายเป็นคนเช่นนั้น รู้อยู่แล้วแต่ก็…ไม่อยากเจออีกเลย

 

“ข้าทำผิดเกินให้อภัย…เจ้าจงจำไว้ แม่นางน้อย เขาไม่เคยเป็นปีศาจโดยกำเนิด…เขาเป็นเพียงเด็กที่ถูกโลกผลักให้กลายเป็นปีศาจ” ละอองแสงจากร่างโปร่งใสของพระสนมลั่วซานยังคงลอยอยู่ในอากาศ คล้ายเกล็ดหิมะที่ส่องประกายกลางเงามืด เสียงของนางแผ่วเบาลอยมากับสายลมในโถงร้าง ราวกับกำลังจารึกคำสุดท้ายลงในหัวใจของหลินหยา “เจ้าจงไปต่อเถิด เด็กน้อย… เมื่อเจ้าไปถึงปลายทาง บางทีเจ้าจะตัดสินใจได้ ว่าสิ่งที่เจ้าตามหามันคืออะไร” เสียงนั้นเริ่มเลือนหาย แต่ยังแฝงพลังแปลกประหลาดที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน ก่อนจะตามมาด้วยคำสั่งสุดท้ายที่ชัดเจนดั่งประกาศิต “จงไปยังเมือง ซุยหยาง และตามหาหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่ถูกลืม… ที่นั่น ความจริงอีกชั้นจะรอเจ้าอยู่”


แสงของลั่วซานค่อย ๆ จางลงจนหายไปหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความหนาวที่แผ่วผ่านผิวกาย หลินหยามองตามด้วยสายตาหวานที่สั่นระริก นางยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนหัวใจหนักอึ้งไปด้วยความเศร้าและคำถามที่ไร้คำตอบ


นางก้าวช้า ๆ มานั่งยองลงข้างเจ้าเซียนเฉ่า หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์มองขึ้นมาด้วยดวงตากลมที่แฝงแววกังวล หัวทั้งสามกระดิกอย่างพร้อมเพรียง เสียงมันนุ่มทุ้ม “คุณหนูหลิน…ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” หญิงสาวยกมือกอดร่างหมาน้อยแน่น กอดจนแน่นราวกับกลัวมันจะหายไปจากอ้อมแขน น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว เสียงของนางแผ่วสั่นเมื่อกระซิบออกมา “ข้า…คิดถึงเขา” เธอซุกหน้าลงกับขนของเซียนเฉ่าที่อุ่นราวกับปลอบโยน ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ ความเศร้าจากความจริงที่ได้เห็น และความคิดถึงที่เกินจะเก็บไว้ในใจ ทุกอย่างปะทุออกมาในคราวเดียว


จางกงกง… ชื่อของเขาเหมือนดังก้องอยู่ในใจหลินหยาอย่างเจ็บปวด


แม้นางจะรู้ดีว่าเขาคือบุรุษที่โหดเหี้ยมและร้ายลึกที่สุดในราชสำนัก แต่ในส่วนลึกของหัวใจ หลินหยากลับโหยหาเขาโดยไม่อาจห้าม ความจริงของอดีตที่เธอเพิ่งได้เห็น ทำให้เธอเข้าใจเขามากขึ้นและยิ่งทำให้ความคิดถึงกัดกินหัวใจของเธอรุนแรงกว่าเดิม หลินหยากอดเซียนเฉ่าแน่นขึ้นอีก พลางพึมพำกับตัวเองในความเงียบงันของโถงที่กลับสู่วังเวง “ข้า…จะไปตามทางนี้ให้ถึงที่สุด เพื่อพบความจริง…และเพื่อเขา”


นางหลับตาลงเพียงชั่วครู่ ปล่อยให้ความอบอุ่นของเจ้าเซียนเฉ่าดึงเธอกลับมาจากความเจ็บปวดในหัวใจ ก่อนจะสูดหายใจลึกและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ดวงตาหวานส่องประกายมุ่งมั่น เส้นทางต่อไปเมืองซุยหยาง และหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่ถูกลืมรอคอยนางอยู่เบื้องหน้าแล้ว


หลินหยายืนนิ่งอยู่กลางโถงหินที่เงียบงัน ราวกับเวลาหยุดหมุน ความเย็นของพื้นแผ่ผ่านฝ่าเท้า ขณะที่ความร้อนจากอารมณ์ภายในเดือดพล่านในอกจนแทบระเบิด นางหลับตาลง สูดหายใจลึก แต่ทุกครั้งที่ปิดเปลือกตา ภาพในอดีตก็แล่นเข้ามาเหมือนเงาตามตัวภาพของเด็กชายตัวเล็กผู้มีดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนลึกในวิญญาณ ตั้งแต่วันนั้นที่ศาลาจื่อเถิงฮวา การทดสอบพันธะในเงาศาลานางได้เห็นความทรงจำของเขาตอนอายุเพียงหกขวบวันที่จางกงกงถูกโยนเข้าวังเหมือนสิ่งไร้ค่า ถูกทุบตี ถูกเหยียบย่ำทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกเหยียดหยามเพราะสถานะขันทีตัวน้อยไร้ผู้อุ้มชูทั้งที่ตัวเองก็ไม่อยากเป็นขันทีร ภาพเหล่านั้นฝังในหัวใจหลินหยาจนไม่อาจลบเลือน ทุกบาดแผลที่เขาแบก นางรับรู้ได้ราวกับมันคือบาดแผลของนางเอง


ในความทรงจำที่นางเคยเห็น เด็กชายคนนั้นถูกบังคับให้คุกเข่ากลางหิมะเย็นจัดจนริมฝีปากเขียวช้ำ มือเล็กสั่นระริกแต่ไม่ยอมร้องไห้ เขาเพียงกัดฟันแน่น ดวงตาจ้องมองท้องฟ้ามืดมิดเหมือนประกาศให้โลกทั้งใบรู้ว่าเขาจะไม่ตายง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะเขาได้รับความเมตตา แต่เพราะความเกลียดชังที่รอวันเผาไหม้ทุกสิ่งที่เหยียบย่ำเขา นั่นคือแววตาของปีศาจที่กำลังถือกำเนิดโดยไม่เต็มใจ


หลินหยา…ที่เติบโตขึ้นมาในอ้อมกอดอบอุ่นของครอบครัวที่รักเธออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่เคยรู้จักความหนาวเหน็บแบบนั้น ไม่เคยรู้จักการถูกทอดทิ้งแบบที่เขาต้องทน นางเคยหัวเราะในวัยเด็ก เล่นสนุกกับพี่น้อง กินอาหารอุ่นในบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก ส่วนเขา…กลับมีเพียงห้องเย็นชืดและความโดดเดี่ยวที่กัดกินหัวใจ นางยกมือขึ้นกุมอก น้ำตาเอ่อคลอเมื่อคิดถึงความแตกต่างที่ชัดเจนราวฟ้าและเหว เขา…ไม่เคยได้รับสิ่งที่ข้าได้รับ ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว…


แล้วจะให้ข้า ตัดใจจากเขา ได้อย่างไร?


ทุกครั้งที่คิดถึงจางกงกง นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น เจ็บปวดแต่ก็หวานล้ำปนกัน ความรักของนางต่อเขาไม่ใช่แค่เพราะเขาช่วยเหลือเธอ หรือเพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา แต่เพราะนางเห็นเขาในแบบที่โลกไม่เคยเห็น เห็นเด็กชายที่ถูกโลกผลักให้กลายเป็นปีศาจ และนางอยากกอดเด็กคนนั้น อยากปลอบเขา บอกว่าเขามีค่ามากกว่านั้น หลินหยาพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น “จะให้ข้าตัดใจจากเขาน่ะหรือ… มันเป็นไปไม่ได้หรอก”


เพราะแม้เขาจะเป็นคนที่ร้ายลึก โหดเหี้ยม และเต็มไปด้วยเงามืดที่น่ากลัว แต่นางรู้ดีว่าในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเขา ยังมีเศษเสี้ยวของเด็กชายในความทรงจำคนนั้น เด็กที่เพียงแค่ต้องการให้ใครสักคนยื่นมือไปหา หลินหยาเช็ดน้ำตาหยดเดียวออกจากแก้ม สูดหายใจลึกแล้วมองไปยังทางออกของโถง ความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาหวาน “ข้าจะไม่หนีจากเขา…ไม่ว่าโลกจะบอกว่าข้าควรทำอย่างไร ไม่ว่าคนอื่นจะหวาดกลัวเขาเพียงใด สำหรับข้า…เขาไม่ใช่ปีศาจ แต่คือคนที่หัวใจข้าเลือกแล้ว”


นางก้มลงกอดเจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งนิ่งอยู่ข้าง ๆ ความอบอุ่นจากร่างเล็กของหมาน้อยเหมือนเป็นเกราะกำลังใจที่ห่อหุ้มจิตใจนางไว้


…ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน


แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย หลินหยารู้ดีว่าตัวเองไม่มีวันหันหลังกลับอีกแล้ว นางจะตามหาความจริงทั้งหมดและไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นางจะไม่ทิ้งเขาไปไหน



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เกินอีกแล้วจ้าาา เอือกๆ

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 109295 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-2 21:13
โพสต์ 109,295 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-2 21:13
โพสต์ 109,295 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-2 21:13
โพสต์ 109,295 ไบต์และได้รับ +1 Point +20 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 2025-8-2 21:13
โพสต์ 109,295 ไบต์และได้รับ +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-8-2 21:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-3 12:58:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-3 18:46

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 03 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามเหม่า ณ เมืองหนานหวาง มณฑลจิงโจว - ยามไห่ ณ เมืองซุยหยาง มณฑลยวี่โจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ฟ้ายังสลัวหมอกบางคลุมยอดไม้ หลินหยาสะพายสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยไว้ในแหวนดาราจรัส ข้างกายมีเจ้าเซียนเฉ่าก้าวเคียงอย่างกระฉับกระเฉง ทิ้งหุบเขากระเรียนหลบฟ้าไว้เบื้องหลัง รอยหมอกที่ค่อย ๆ ละลายไปพร้อมแสงแรกของอรุณทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นและกลิ่นหอมชื้นของป่า หญิงสาวก้าวเดินตามทางดินที่คดเคี้ยวออกจากเขา เสียงลำธารยังแว่วตามหลังเหมือนเรียกให้หวนคืน แต่หลินหยามิได้หยุด เธอเพียงเหลียวมองหุบเขาที่คงความลี้ลับไว้และพึมพำเบา ๆ “ขอบคุณเจ้าค่ะ…สำหรับทุกอย่าง” ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป


ไม่นานเส้นทางเริ่มกว้างขึ้นและลาดลง นางกับเซียนเฉ่าใช้เวลาไม่นานนักก็เห็นควันจากปล่องไฟไกล ๆ และเสียงผู้คนเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นสัญญาณว่าพวกนางออกจากเขตป่าเข้าสู่ตัวเมืองหนานหยางแล้ว เมืองหนานหยางยามเช้ายังคงคึกคัก ตลาดเช้ากลิ่นอาหารลอยอบอวล ร้านค้าต่าง ๆ เพิ่งเปิดประตู พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง แต่หลินหยากลับเดินเงียบ ๆ ผ่านไปท่ามกลางผู้คนด้วยสายตาแน่วแน่ นางกำลังมองหาสิ่งเดียวรถม้าเช่าที่จะพาเธอไปยังจุดหมายต่อไป เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย เดินดมกลิ่นไปตามทางจนพาเจ้านายไปถึงลานกว้างที่มีรถม้าหลากหลายจอดรอเรียงกัน บรรดาสารถีพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสาร หลินหยากวาดสายตามองป้ายราคากับสภาพรถอย่างถี่ถ้วน


“คุณหนูหลิน เราจะไปที่ใดต่อไปขอรับ?” เสียงเจ้าเซียนเฉ่าดังขึ้นนุ่มนวลในหัว


หลินหยาก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ ยิ้มบาง “มุ่งตะวันออกเฉียงเหนือ…เราจะเข้าสู่เมืองซุนหยาง เขตยวี่โจว ที่นั่นมีหมู่บ้านน้ำค้างพรายซ่อนอยู่” เซียนเฉ่ากระดิกหางแรงขึ้น “เข้าใจแล้วขอรับ เส้นทางนั้นไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องระวัง…หมู่บ้านนั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึงเลยขอรับไม่เคยได้ยินเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ข้ารู้…และนั่นแหละที่ทำให้ข้าต้องไป”


เธอก้าวเข้าไปคุยกับสารถีหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรถม้าสภาพแข็งแรง ท่าทางไม่ค่อยพูดแต่ดูไว้ใจได้ สนทนาไม่นานก็ได้ราคาที่เหมาะสม หลินหยาเช่ารถม้าพร้อมเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทาง


เมื่อทุกอย่างพร้อม เธอก้าวขึ้นรถม้า เจ้าเซียนเฉ่ากระโดดขึ้นมานั่งข้าง ๆ อย่างสง่างาม ล้อไม้เริ่มหมุนช้า ๆ ออกจากเมืองหนานหยาง แสงอรุณแรกส่องลอดม่านหมอกคลายลงทางข้างหน้า เส้นทางมุ่งตะวันออกเฉียงเหนือกำลังเริ่มขึ้นปลายทางคือหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่ถูกลืมเลือน… และความจริงที่รอคอยหลินหยากำลังรออยู่ที่นั่น


รถม้าโยกไหวเบา ๆ ตามแรงล้อที่บดไปบนทางดิน หลินหยานั่งพิงเบาะไม้เรียบง่าย อุ้มเจ้าเซียนเฉ่าบนตัก ลูบขนนุ่มของมันช้า ๆ อย่างเงียบสงบ ดวงตาหวานทอดมองวิวข้างทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากบ้านเมืองสู่ทุ่งหญ้ากว้างและแนวต้นไม้ที่ยืดยาวสุดสายตา เสียงกีบม้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับกล่อมให้ใจของนางผ่อนคลายหลังจากผ่านเรื่องราวหนักหน่วงในหุบเขา ไม่นานนัก เสียงฝีเท้ารีบเร่งก็ดังมาจากด้านข้าง รถม้าค่อย ๆ ชะลอเพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าป่านสีจาง อุ้มเด็กชายวัยเพียงขวบกว่าด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อยเพราะเหนื่อยล้า ข้างตัวมีเด็กหญิงตัวเล็กเกาะชายผ้าแน่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อทางที่ไม่คุ้นเคย


หญิงคนนั้นก้มหัวนอบน้อม เสียงหอบแต่สุภาพ “คุณหนูเจ้าคะ…ขอโทษที่รบกวน ท่านพอจะให้ข้ากับลูกสองคนติดรถไปได้หรือไม่เจ้าคะ? เรากำลังจะกลับบ้านที่เมืองซุยหยางเพราะเพิ่งพาลูกชายไปหาหมอที่หนานหยางพึ่งกลับมา ข้าอยากรบกวนได้หรือไม่เจ้าคะ”


หลินหยามองแม่ลูกคู่นั้น แววตาของนางอ่อนลงทันที สายตากวาดมองแล้วไม่มีพิษภัยใด ๆ ให้ระแวง ร่างกายของหญิงแม่ม้ายดูอ่อนแรง แต่ยังคงกอดลูกชายไว้แน่นราวกับเกรงว่าโลกจะพรากเขาไป นางจึงระบายยิ้มเล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา “ขึ้นมาสิเจ้าคะ ข้าก็กำลังไปซุยหยางอยู่พอดี” หลินหยาเอ่ยเสียงนุ่ม


หญิงแม่ม่ายเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ…ขอบคุณจริง ๆ” สารถีช่วยพยุงทั้งสองขึ้นมานั่งด้านใน รถม้าจึงออกเดินต่ออีกครั้ง กลิ่นดอกหญ้าตามสายลมปลิวเข้ามาเจือกับกลิ่นฟืนและผ้าเก่าของผู้โดยสารใหม่ บรรยากาศด้านในอบอุ่นอย่างประหลาด เด็กหญิงตัวเล็กนั่งเบียดแม่ด้วยสายตากล้า ๆ กลัว ๆ มองหลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเป็นพัก ๆ เจ้าเซียนเฉ่าที่อยู่บนตักของนางกระดิกหูหันมามอง ดวงตากลมใสของมันฉายประกายสนใจ จากนั้นเลียมือเล็ก ๆ ของเด็กหญิงที่ยื่นมาแตะขนมันอย่างแผ่วเบา


เสียงหัวเราะใสของเด็กดังขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “เขาชื่อเซียนเฉ่า เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”


แม่ม้ายยิ้มบาง ๆ ที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ บรรยากาศในรถม้าเต็มไปด้วยความเงียบสงบปนอบอุ่น หลินหยาลูบหัวหมาน้อยพลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเส้นทางยาวไกลมุ่งตะวันออกเฉียงเหนือ รอให้พวกนางไปถึงเมืองซุยหยาง และที่นั่น…ความจริงบทต่อไปกำลังรออยู่


รถม้าโยกคลอนช้า ๆ ตามเส้นทางที่ทอดยาวไปกลางทุ่งเขียว หลินหยาที่นั่งเงียบมาตลอดยกสายตามองหญิงม่ายที่นั่งตรงข้าม ร่างผอมบางของนางโอบกอดลูกชายวัยขวบแน่นราวกับเกรงเขาจะหายไป ดวงตาคล้ำล้าแต่นุ่มนวลของนางสะท้อนถึงความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมานาน ส่วนเด็กหญิงตัวเล็กที่เกาะชายผ้าแม่แน่น เงียบสงบแต่แอบเหลือบมองหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นั่งข้างหลินหยาอย่างสนใจ หลินหยาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยน เธอเอื้อมมือแตะแหวนดาราจรัสบนมือขวา พลังมิติของแหวนนั้นส่องแสงจาง ๆ ก่อนที่อาหารหอมกรุ่นจะปรากฏออกมาในมือของเธอ


“แม่นาง…” หลินหยาพูดเสียงนุ่ม “ข้ามีอาหารติดตัวเยอะนักเจ้าค่ะ อย่าให้ข้าทานคนเดียวเลยเจ้าคะ ท่านกับเด็ก ๆ ก็ทานด้วยเถิด”

 

หญิงม่ายชะงักเล็กน้อยก่อนดวงตาจะสั่นระริกด้วยความเกรงใจ “มะ…ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทนได้ เชิญท่านทานให้สำราญเถิดคุณหนู”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาหวานฉายแววอบอุ่น “ข้าอยากให้ท่านได้รับแรงกายแรงใจหน่อย อีกทั้ง…อาหารนี้ทำด้วยใจของข้าเอง” เธอวางจานโค่วโร่วลงบนถาดไม้ กลิ่นหอมของหมูสามชั้นตุ๋นกับผักกาดดองเหมยกันไช่ลอยคลุ้ง เนื้อหมูเปื่อยนุ่มจนแทบละลายในปาก น้ำซอสเข้มข้นไหลซึมแผ่ไปทั่วจาน และวางเคียงกับไก่ขอทานทั้งตัว ที่ห่อใบบัวฉีกออกเผยกลิ่นสมุนไพรกับเครื่องเทศที่สอดแทรกอยู่ภายใน เนื้อไก่ขาวฉ่ำส่งกลิ่นหอมจนแม้แต่เจ้าเซียนเฉ่ายังยกจมูกขึ้นดม


เด็กหญิงตัวน้อยตาโต มองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาอยากได้แต่เกรงใจ หลินหยายิ้มพลางยื่นชิ้นหมูนุ่มให้ “ชิมสิจ๊ะ” เด็กหญิงลังเล ก่อนจะกัดคำเล็ก ๆ ดวงตาเธอเบิกกว้างราวกับพบสวรรค์ “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ!” เสียงใสทำให้แม่ของเธออมยิ้มบาง ๆ หญิงม่ายสุดท้ายก็ยอมรับอาหารจากหลินหยา น้ำเสียงสั่นเมื่อกล่าว “ขอบคุณท่าน…ขอบคุณจริง ๆ คุณหนู”


“ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ คนกันเอง” หลินหยาตอบพร้อมตักไก่ขอทานชิ้นสวยแบ่งให้กับเธอ “เราเดินทางด้วยกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกัน” บรรยากาศในรถม้ากลับอบอุ่นขึ้นท่ามกลางสายลมยามเช้า กลิ่นอาหารลอยอวล ผสมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน หลินหยาลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าเบา ๆ ที่นั่งกินเนื้อส่วนนุ่มของตัวเองอย่างสุขใจ และในความเงียบที่เหลืออยู่ หัวใจของหลินหยากลับเต็มไปด้วยความสงบที่แผ่วเบาในขณะที่เส้นทางยังคงทอดยาวไปสู่เมืองซุยหยางเบื้องหน้า


เมื่อทุกคนทานโค่วโร่วและไก่ขอทานจนเต็มอิ่ม เสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวเล็กดังแผ่ว ๆ ภายในรถม้า หลินหยาก็ยกมือแตะแหวนดาราจรัสอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏถาดไม้เล็กที่วางขนมไหมฟ้าสีขาวนวลละมุน เส้นบางละเอียดราวเส้นไหมนับพันถักทอเป็นก้อนกลมคลุกด้วยไส้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาขาว และถั่วลิสง กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งแตะจมูกตั้งแต่เปิดฝาออกมา หญิงสาวยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ย “ของคาวแล้วก็ต้องของหวานเจ้าค่ะ กินพร้อมกับชาเบญจมาศนี้นะเจ้าคะ”


นางรินชาเบญจมาศลงในถ้วยเล็ก กลิ่นหอมละมุนของกลีบดอกเหลืองอ่อนลอยอบอวลชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยื่นให้กับสตรีแม่ม่ายและเด็ก ๆ พร้อมขนมไหมฟ้า แม่ม่ายมองขนมในมือด้วยแววตาตื่นตะลึง ปากสั่นเล็กน้อย “คุณหนู…ท่านกรุณาเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยได้ลิ้มของดีเช่นนี้มานานนัก” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าคะ ของหวานต้องได้แบ่งกันจึงจะหวานแท้”


เด็กหญิงหยิบขนมไหมฟ้าขึ้นมาส่งเข้าปาก แววตาเป็นประกายทันที “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ! มันนุ่ม หวาน แล้วก็หอมถั่วด้วย!” เด็กน้อยหัวเราะแก้มเปื้อนขาวจากเศษขนม ส่วนเด็กชายขวบเศษในอ้อมกอดแม่ก็ยิ้มแป้น พอได้ชิ้นเล็ก ๆ ก็กินอย่างเพลิดเพลิน


เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางมองตาแป๋ว หลินหยาหันไปยิ้มก่อนหยิบขนมไหมฟ้าชิ้นเล็กให้ “เจ้าเอาไปชิ้นหนึ่งก็ได้จ้ะ” หมาน้อยกัดเบา ๆ หางกระดิกแรงแสดงความพึงใจ บรรยากาศในรถม้าเต็มไปด้วยความหวานละมุนและกลิ่นหอมอบอวล ชาเบญจมาศร้อน ๆ ช่วยคลายความเหนื่อยล้า ขณะที่ทุกคนลิ้มรสขนมไหมฟ้าอย่างสุขใจ


หญิงม่ายมองหลินหยาด้วยสายตาขอบคุณที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “คุณหนู…ท่านใจดีนัก ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” หลินหยาส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องตอบแทนเจ้าค่ะ แค่พวกท่านยิ้มได้ ข้าก็พอใจแล้ว” รถม้ายังคงเคลื่อนไปตามเส้นทางที่ทอดยาว ภายนอกสายลมเช้าพัดเบา ๆ กลิ่นดอกหญ้าลอยเข้ามาผสมกับกลิ่นขนมและชาหอมรัญจวน ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอบอุ่นที่ยากจะลืมเลือนระหว่างการเดินทาง


สายลมอ่อนพัดผ่านหน้าต่างรถม้า ขณะที่หลินหยายกมือเรียวเล็กออกไปนอกรถ ยื่นก้อนขนมไหมฟ้าให้สารถีหนุ่มที่กำลังควบม้าอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มหันมามองด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มอย่างซื่อ ๆ รับขนมมา “คุณหนู ขอบคุณมากขอรับ กลิ่นหอมชวนลิ้มรสนัก” หลินหยายิ้มบาง “กินดูสิเจ้าคะ ของหวานจะทำให้ทางไกลไม่น่าเหนื่อย” ระหว่างที่บรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่าน หญิงม่ายที่นั่งตรงข้ามเงยหน้ามองนาง ดวงตาสั่นระริกด้วยความสงสัยก่อนจะถามด้วยเสียงสุภาพ “คุณหนูเจ้าคะ…ท่านกรุณานัก ข้าสงสัยว่าท่านเป็นคุณหนูตระกูลใดหรือเจ้าคะ? ข้าไม่เคยพบสตรีใดที่มีน้ำใจเช่นท่านมาก่อน”


หลินหยายิ้มมุมปาก สายตาหวานทอดมองหญิงม่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิใช่คุณหนูตระกูลใหญ่หรอกเจ้าค่ะ” เสียงนางนุ่มราวกับสายลม “ข้าเป็นเพียงแม่ค้าธรรมดาเท่านั้น กำลังเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองซุยหยาง”


“แม่ค้า…หรือเจ้าคะ?” หญิงม่ายเบิกตากว้างเล็กน้อย 


“เจ้าค่ะ” หลินหยายิ้มจาง “อย่าเกรงใจที่ข้าให้ของให้อาหารเลยเจ้าค่ะ นี่คือสิ่งที่ข้าชอบทำอยู่แล้ว ให้ได้เห็นผู้อื่นยิ้ม ข้าก็สุขใจนัก” หญิงม่ายยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาเปล่งประกายขอบคุณ ข้างตัวเด็กหญิงหัวเราะคิกเมื่อเจ้าเซียนเฉ่าเลียมือเธอเบา ๆ หลินหยาพิงเบาะ มองท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จากหมอกยามเช้ากลายเป็นฟ้าสีฟ้าอ่อน ดวงตาหวานพราวระยับเมื่อเอ่ยต่อ “ข้าเองต้องขอบคุณพวกท่านมากกว่า ที่มาร่วมเดินทางด้วย ทำให้การนั่งรถม้าของข้าไม่น่าเบื่อเอาเสียเลย” รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ และบรรยากาศอ่อนโยนที่ชโลมหัวใจของทุกคนในยามเดินทาง


เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่รถม้ายังคงแล่นผ่านทิวทุ่งและต้นไม้ที่เรียงรายตามทาง หญิงม่ายมองหลินหยาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสนใจ ก่อนจะถามอย่างเกรงใจ “เช่นนั้นแล้ว…คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” หลินหยาหันกลับมามองนาง ดวงตาหวานเป็นประกายราวกับจะมีแสงอ่อนส่องออกมา นางยิ้มบางก่อนเอ่ย “ข้าจะไปที่หมู่บ้านน้ำค้างพรายเจ้าค่ะ


คำตอบนั้นทำให้หญิงม่ายถึงกับเบิกตากว้าง น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยหมู่บ้านน้ำค้างพรายหรือเจ้าคะ?… นั่น…นั่นคือบ้านเกิดของข้าเอง!” คราวนี้เป็นหลินหยาที่อึ้ง นางมองหญิงม่ายด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ราวกับเจอเรื่องเหลือเชื่อ “นี่มันเป็นโชคชะตาหรืออย่างไรกันนะเจ้าคะ? ช่างบังเอิญจริงเชียว”


หญิงม่ายที่กอดลูกชายวัยขวบกว่าไว้แน่นก็ยิ้มทั้งที่ยังตกใจ “ข้าเองก็ตกใจนักเจ้าค่ะ เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้…มีคนต่างถิ่นมุ่งไปยังหมู่บ้านนั้นน้อยนัก แต่กลับได้พบกันในรถม้าคันนี้” บรรยากาศในรถม้ากลายเป็นเหมือนห้วงอบอุ่นที่มีเพียงผู้โดยสารไม่กี่ชีวิตซึ่งดวงชะตานำพามาพบกัน เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งข้างแม่หัวเราะคิกอย่างสนุกสนาน ขณะเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าที่เอนตัวลงให้เธอลูบขนและซุกหน้าอย่างน่ารัก หางมันกระดิกไปมาเป็นจังหวะ ส่วนเด็กชายวัยขวบกว่าที่อยู่บนตักแม่กลับหลับสนิท แก้มอวบแนบกับอกของผู้ให้กำเนิด ริมฝีปากเล็ก ๆ ขยับเบา ๆ ในความฝัน อากาศในรถอบอุ่นและนุ่มนวลจนแม้แต่เสียงหัวใจยังเต้นอย่างผ่อนคลาย


หลินหยาพิงหลังกับเบาะไม้ ดวงตาหวานฉายแววลึกล้ำพลางกระซิบกับตัวเอง “โชคชะตาหรือ… ถ้าเช่นนั้นก็คงจะดีเหลือเกิน” รถม้าแล่นไปอย่างมั่นคง นำพาผู้โดยสารทั้งสี่และหมาน้อยหนึ่งตัวมุ่งสู่เส้นทางสู่เมืองซุยหยาง รถม้าโยกไหวเบา ๆ ตามแรงวิ่งของม้า หลินหยานั่งหันหน้ามองสตรีม่ายตรงข้ามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น นางยิ้มบางแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “เช่นนั้นแล้ว…หมู่บ้านน้ำค้างพรายเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ?”


หญิงม่ายเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังนึกถึงบ้านเกิดที่แสนไกล ดวงตาของนางหม่นแฝงด้วยความคิดถึง ก่อนจะค่อย ๆ เล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมู่บ้านนั้น…เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ริมธารกลางหุบลึกของภูเขาเจ้าค่ะ รอบหมู่บ้านจะมีป่าราบกว้างที่หมอกน้ำค้างหนาปกคลุมตลอดทั้งปี ยามรุ่งเช้าเหมือนโลกทั้งใบล่องลอยอยู่ท่ามกลางม่านหมอกเย็นชื้น เสียงน้ำจากธารสายเล็กจะดังไม่ขาดสาย…ผู้คนที่นั่นจึงมักพูดว่า หมู่บ้านเราถูกโอบอุ้มโดยหมอกน้ำค้างและเสียงของสายน้ำ”

 

หลินหยาฟังแล้วแววตาเป็นประกาย ภาพหมู่บ้านกลางหมอกเริ่มก่อรูปร่างในจินตนาการของนาง ก่อนจะถามต่อด้วยความสนใจ “แล้วท่านอาศัยอยู่ที่นั่นหรือเจ้าคะ?” หญิงม่ายส่ายหน้าแผ่ว ๆ พร้อมรอยยิ้มเศร้า “มิใช่เจ้าค่ะ…ข้าเพียงเกิดที่นั่นเท่านั้น หลังแต่งงานกับสามีจึงย้ายมาอยู่ในเมืองว่าน สามีของข้าทำงานในเมือง แต่เขาจากไปปีสองปีแล้ว…ตอนนี้ข้าอยู่กับลูก ๆ เพียงลำพัง”


หลินหยานิ่งฟัง สายตาหวานสะท้อนความเห็นใจ “ข้าขอโทษที่ต้องรื้อฟื้นความหลังนะเจ้าคะ” หญิงม่ายส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ…บ้านเกิดนั้นถึงจะไกลหน่อย แต่ความทรงจำยังอบอุ่นเสมอ”


เด็กหญิงที่นั่งข้างแม่ยิ้มสดใส แม้ไม่เข้าใจบทสนทนาลึกซึ้งนักแต่ก็เอ่ยเสียงใส “ท่านพี่…หมู่บ้านสวยนะ! มีน้ำค้างส่องแสงวิบวับทุกเช้าเลย!” หลินหยาหัวเราะแผ่ว ลูบหัวเด็กหญิงเบา ๆ “ฟังแล้วข้าอยากเห็นยิ่งนัก” รถม้ายังคงวิ่งไปบนเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ เสียงกีบม้าก้องไปกับสายลม ขณะที่ในใจของหลินหยาเริ่มเต้นแรงเพราะหมู่บ้านน้ำค้างพรายนั้นไม่เพียงแค่สถานที่ในแผนที่ แต่มันคือ ประตูต่อไปสู่ความจริง ที่นางต้องค้นหา


รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ลมเช้าเย็นพัดลอดช่องหน้าต่างเข้ามา ทำให้บรรยากาศภายในอบอุ่นปนความสงบ หญิงม่ายมองหลินหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว “คุณหนู…เหตุใดท่านจึงจะต้องไปหมู่บ้านน้ำค้างพรายหรือเจ้าคะ? ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่แทบจะถูกลืมจากโลก มีคนอาศัยอยู่น้อยนัก และแทบไม่มีใครเดินทางไปหรอก”


หลินหยายกดสายตาลงเล็กน้อย มือเรียวลูบขนเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนซุกบนตัก พลางตอบด้วยเสียงสงบนิ่งแต่แฝงความมุ่งมั่น “ข้ามาตามคำของสตรีคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว…นางฝากให้ข้าตามหาความจริง และเส้นทางนั้นพาข้ามุ่งไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นเจ้าค่ะ” หญิงม่ายชะงักไป ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “สตรีคนนั้น…นางนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”


หลินหยาหันไปสบตานาง ยิ้มบางก่อนตอบ “นางชื่อ…ลั่วซานเจ้าค่ะ


ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น หญิงม่ายถึงกับเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นระริก ริมฝีปากขยับช้า ๆ เหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างก่อนกลืนน้ำลาย “ลั่วซาน…หรือ?” เด็กหญิงที่กำลังเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าหยุดชะงัก หันมามองแม่อย่างงงงัน ส่วนเด็กชายวัยขวบกว่าก็ขยับตัวในอ้อมกอดแต่ยังไม่ตื่น หญิงม่ายเงยหน้ามองหลินหยาด้วยความตกใจ “ในหมู่บ้านของข้า…มีหญิงชราคนหนึ่งนามว่า ลั่วซาน จริง ๆ เจ้าค่ะ นางอยู่ลึกสุดท้ายในหมู่บ้าน ร่างผอมเล็ก ผมขาวโพลน ดวงตาแหลมคมราวกับรู้ทุกสิ่ง และที่น่าประหลาดที่สุด…นางมีความทรงจำเรื่องในวังเก่าอย่างกับเคยอยู่ในนั้น รู้เรื่องราวราชสำนักโบราณที่แม้คนในเมืองก็ยังไม่รู้ ราวกับนางมิใช่เพียงชาวบ้านธรรมดา”


คำพูดนั้นทำให้หลินหยาเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาหวานสั่นไหวเล็กน้อย หญิงชราลั่วซาน…นี่หมายความว่า…หรือจะเป็นนางจริง ๆ กันนะ?


หญิงม่ายยกมือขึ้นกอดลูกแน่นขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความระแวงปนเคารพ “ผู้คนในหมู่บ้านเรียกนางว่า ‘ผู้เฒ่าแห่งหมอก’…ไม่มีใครรู้ว่านางมาจากที่ใด แต่ต่างเกรงใจนางทั้งสิ้น นางมักเล่าคำเตือนถึงอดีตที่คนอื่นไม่เคยได้ยิน…” หลินหยาหลับตาลงช้า ๆ สูดหายใจลึก ก่อนจะพึมพำ “เช่นนั้น…ข้าคงมาถูกทางแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เจ้าเซียนเฉ่าลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมมองเจ้านายอย่างเข้าใจ เส้นทางที่ทอดไปข้างหน้ายิ่งชัดเจนขึ้นในใจของหลินหยาหมู่บ้านน้ำค้างพรายมิใช่เพียงจุดหมายปลายทางธรรมดา แต่มันคือ กุญแจ ที่จะไขไปสู่ความจริงที่เธอตามหามาโดยตลอด


หญิงม่ายก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วลงจนแทบเป็นกระซิบ “แต่…หญิงชราผู้นั้น นางเสียชีวิตไปหลายปีแล้วนะเจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้น มองหลินหยาด้วยสายตาทั้งสงสัยทั้งเป็นห่วง “คุณหนู…ท่านจะไปเพื่อพบนางงั้นหรือ?”


หลินหยาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาหวานทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่หมอกบางกำลังลอยคลอทิวไม้ ก่อนจะส่ายหน้าแผ่วด้วยรอยยิ้มที่ไม่แน่ชัด “ข้า…ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ว่าจะได้พบนางหรือไม่ ข้ารู้แล้วว่านางเสียชีวิตไปแล้ว” เสียงของนางมั่นคงขึ้นเล็กน้อย “แต่ในบันทึกของนาง…นางฝากคำไว้ให้ข้าเดินทางไปที่นั้น ข้าจึงต้องไป ไม่ว่าจะพบอะไรหรือไม่ก็ตาม”


หญิงม่ายมองหลินหยาอยู่นาน ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวราวกับปลดความกังวลที่คั่งค้างในอก “เช่นนั้น…ข้าจะบอกทางไปยังหมู่บ้านน้ำค้างพรายให้ท่านเองเจ้าค่ะ จะได้ไม่หลงทาง” นางกอดลูกชายที่หลับสนิทแน่นขึ้น ขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปไกลเหมือนกำลังย้อนกลับไปยังความทรงจำเก่า “หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ริมธารในหุบลึกของภูเขา เส้นทางเข้าแคบและล้อมด้วยป่าราบที่มีหมอกน้ำค้างปกคลุมตลอดทั้งปี ยามค่ำคืนจะมืดสนิทจนแม้แต่ไฟจากตะเกียงก็เลือนราง จึงมีเพียงคนในหมู่บ้านที่รู้ทางแน่ชัดซ้ำยังรู้ทางลัดไปที่นั้นด้วยความรวดเร็วด้วย” นางเงยหน้ามาสบตาหลินหยา น้ำเสียงจริงจังขึ้น “จากเมืองซุยหยาง เดินทางไปตามเส้นทางป่าที่ตัดขึ้นเหนือ แล้วจะพบสะพานไม้เก่าข้ามลำธาร เมื่อข้ามสะพานนั้นไปแล้ว จะมีทางสองแยก…อย่าเลือกทางซ้ายเด็ดขาด ทางนั้นพาไปสู่เหวและไม่มีวันกลับ ต้องเลือกทางขวาแล้วเดินตามเสียงน้ำไหลเข้าไปเรื่อย ๆ จนพบประตูไม้ไผ่เก่าที่ถูกหมอกปกคลุม นั่นแหละคือประตูเข้าสู่หมู่บ้านน้ำค้างพราย”


คำพูดของหญิงม่ายเหมือนแผนที่ที่วาดด้วยเสียง หลินหยารับฟังอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า ดวงตาหวานทอประกายขอบคุณ “ข้าจะจำไว้ทุกคำเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก” หญิงม่ายยิ้มบาง แม้ยังมีแววห่วงใยในดวงตา “ท่านจงระวัง…หมอกที่นั่นมิใช่หมอกธรรมดา และบางครั้ง…เสียงที่ได้ยิน อาจไม่ได้มาจากสิ่งที่ท่านคิด”


หลินหยาหลุบตาลง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าจะไม่ลืมคำเตือนนี้แน่นอนเจ้าค่ะ”


รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนที่เริ่มราบเรียบขึ้นเมื่อใกล้ถึงเขตเมืองซุยหยาง แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดม่านหมอกกระทบใบหน้าหวานของหลินหยา นางยิ้มบางและหันไปพูดกับสตรีม่ายที่นั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าว่าข้าจะพักที่เมืองว่านสักคืนก่อนเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ” หญิงม่ายที่ฟังอยู่ยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายความซาบซึ้ง “เช่นนั้น…พักที่บ้านข้าดีหรือไม่เจ้าคะ? ให้ข้าได้ต้อนรับขับสู้ผู้มีพระคุณเสียหน่อย”


หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะระบายยิ้มอุ่น “หากได้ก็จะดีมากเลยเจ้าค่ะ ข้าขอบคุณท่านจริง ๆ”


ทันใดนั้นเสียงเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าก็ดังขึ้นอย่างร่าเริง “พี่สาวคนสวยจะมานอนที่บ้านเราหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าของเธอสว่างสดใสเต็มไปด้วยความดีใจ เหมือนเด็กที่รอเพื่อนใหม่มานาน หลินหยาหัวเราะร่า ขำกับท่าทางน่ารักนั้น “แน่นอนสิจ๊ะ เจ้าจะได้ฟัดพุงเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าทั้งคืนเลย”


เจ้าเซียนเฉ่าที่นอนซุกบนตักหลินหยา เงยหน้าขึ้นอย่างสงบแต่หางกระดิกแรงราวกับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกกล่าวถึง เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก รีบกอดมันแน่น ๆ แล้วพูดเสียงใส “ดีจังเลย! ข้าจะกอดพุงเจ้าทั้งคืนจนฟูนุ่มเลยนะ!” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ลูบหัวหมาน้อยด้วยความเอ็นดู “เห็นไหมเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เจ้าจะถูกฟัดทั้งคืนแล้วนะ” หมาน้อยถอนหายใจเล็กน้อยแต่ดวงตากลมของมันฉายประกายยอมจำนนปนหยิ่ง ๆ ทำเอาทั้งหลินหยาและสตรีม่ายหัวเราะด้วยความเอ็นดู


บรรยากาศในรถม้าอบอุ่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยคลอไปกับสายลม ระหว่างทางสู่เมืองซุยหยาง ความเหนื่อยล้าแทบถูกลืมเลือน…เพราะหัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยความสุขเล็ก ๆ ที่แบ่งปันกันในยามเดินทาง


แสงแดดยามเที่ยงส่องลอดผ่านใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ข้างทาง รถม้าหยุดพักใต้ร่มเงาเย็น สารถีหนุ่มจูงม้าไปปล่อยกินหญ้า ส่วนหลินหยาก็จัดแจงหยิบเสื่อผืนสะอาดออกมาจากแหวนดาราจรัส ปูบนพื้นหญ้าเรียบข้างทาง รอยยิ้มของนางแต่งแต้มใบหน้าเมื่อเห็นเด็กหญิงดีใจวิ่งมาช่วยกางเสื่อ ส่วนเด็กชายวัยขวบเศษในอ้อมกอดแม่ก็ดีดขาขำ ๆ เหมือนได้สูดอากาศสดใหม่ “วันนี้ข้าจะเลี้ยงมื้อเที่ยงให้เต็มที่เจ้าค่ะ” หลินหยาว่าอย่างขำ ๆ พร้อมดีดนิ้วเรียกเซียนเฉ่าที่นั่งรอหางกระดิก พริบตานั้น นางหยิบอาหารมากมายจากแหวนมิติออกมาเรียงจนเต็มเสื่อ


หมั่นโถวขาวนุ่มร้อน ๆ ถูกจัดไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้ง กุ้งผัดชาหลงจิ่งกลิ่นชาเขียวสดชื่นผสมกลิ่นกุ้งสดหวานชวนให้น้ำลายสอ ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว เนื้อขาวฉ่ำราดซีอิ๊วหอม ๆ ประดับด้วยขิงและต้นหอม เป็ดปักกิ่งหนังกรอบวาวมันหั่นเรียงพร้อมแผ่นแป้งและซอสหวานเข้มข้น ยังไม่หมดเท่านั้น หลินหยายังจัด บะหมี่ฉีซานเส้นเหนียวนุ่มคลุกซอสกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติจัดจ้านกำลังดี ขนมเฉียวกั่วและขนมเซาปิ่งแป้งบางไส้หวานร้อน ๆ วางเรียงเคียงชาเบญจมาศหอมกรุ่น หญิงม่ายอึ้งจนพูดไม่ออก น้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน “คุณหนู…นี่มันอาหารชั้นดีทั้งนั้น ข้าจะเกรงใจเกินไปแล้ว”


หลินหยาหัวเราะพลางตักเนื้อปลาเก๋าใส่จานของนาง “อย่าเกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้าเตรียมมามากพอสำหรับทุกคน เรื่องกินเรื่องใหญ่ ข้าชอบให้ทุกคนอิ่มแล้วมีความสุข” เด็กหญิงปรบมือดีใจ “พี่สาวคนสวยเก่งจังเลย!” แล้วก็ก้มลงกินหมั่นโถวคำใหญ่ ส่วนเด็กชายวัยขวบก็หัวเราะชอบใจเมื่อแม่ยื่นชิ้นเป็ดให้เขาลองกัด


สารถีหนุ่มที่นั่งห่าง ๆ ด้วยเกรงใจถูกหลินหยาหยิบจานแล้วยื่นอาหารให้ตรงหน้า “ท่านสารถี อย่าอายเลยเจ้าค่ะ ทานด้วยกันเถิด” เซียนเฉ่าก็ไม่รอดสายตา หลินหยาหยิบชิ้นเนื้อกุ้งกับเนื้อเป็ดให้มันอย่างเอ็นดู หมาน้อยหางกระดิกแรงพร้อมกินอย่างสุภาพแต่แอบแซ่บไม่แพ้ใคร บรรยากาศบนเสื่อกลายเป็นงานเลี้ยงย่อม ๆ ทุกคนล้อมวงกินอาหารรสเลิศที่จัดเรียงรวมกันแบบไม่เกรงกริยาชาววังแต่เต็มไปด้วยความสุขแบบคนไทย(?) ทุกคำที่ทานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น


หลินหยาหัวเราะคิกคัก ขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ “บอกแล้วหรือไม่…เรื่องกิน ข้าไม่เคยทำเล่น ๆ” สายลมพัดพาเสียงหัวเราะและกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยไปตามทาง เหมือนจะประกาศให้โลกทั้งใบรู้ว่าวันนี้คือวันแห่งความอร่อยและความสุขที่แท้จริงระหว่างการเดินทาง


ริมบึงข้างทางที่ดูเงียบสงบในตอนแรก กลับเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมผิดธรรมชาติ ฟองอากาศผุดขึ้นเป็นสายตามจังหวะ และเสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ ดังก้องในความเงียบ หลินหยาที่นั่งจิบชาอยู่หันสายตาคมหวานไปมอง ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงทันที ร่างบางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ผ้าคลุมไหล่สะบัดเบา ๆ ตามแรงลม เงาดำคล้ายกึ่งคนกึ่งปลาโผล่ขึ้นจากผืนน้ำทีละตัว ลำตัวลื่นชุ่มน้ำ กล้ามเนื้อแข็งแรง ขาหนังลอกเป็นเกล็ดเป็นหย่อม ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายและราคะ ทั้งหมดจ้องมายังกลุ่มผู้โดยสาร โดยเฉพาะที่หลินหยา… สตรีเพียงที่ยืนหันหน้าตรงไปยังบึง


หญิงม่ายอุ้มลูกแน่น ตัวสั่นจนมือเกร็ง เด็กหญิงรีบซุกหน้าเข้ากับอกแม่ น้ำตาคลอ สารถีหนุ่มเริ่มจะคว้าไม้ แต่เสียงของหลินหยาเย็นเฉียบเอ่ยขึ้นก่อน “ปิดตาไว้นะเจ้าคะ…อย่ามอง ไม่ต้องกลัว” เสียงนั้นนุ่มทว่าแฝงแรงอำนาจจนทุกคนทำตามโดยไม่ลังเล หญิงม่ายกับลูกทั้งสองรีบปิดตา สารถีก็ก้มหน้าหลับตาแน่น เจ้าเซียนเฉ่ากัดฟันคุมตัวเองไว้ไม่ให้แปลงร่างตามสัญชาตญาณการปกป้อง


หลินหยาถอนหายใจแผ่ว ๆ คล้ายหงุดหงิดที่ถูกก่อกวนในเวลาพักผ่อน มือเรียวหยิบ ขลุ่ย ออกมาจากแขนเสื้อ ดวงตาหวานคมกริบวาววับมองเจ้าพวกปีศาจปลา “พวกเจ้าหน้าโง่…หื่นกระหายเนื้อมนุษย์งั้นหรือ? หึ…” รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้น “สักป๊าปไหม…เย็xแม่” ทันใดนั้นนางยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก แสงสะท้อนวาวจากแหวนดาราจรัสฉายประกาย ขณะที่เสียงเพลงแรกดังขึ้นเสียงแหลมใสสะกดความเงียบ ทุกโน้ตคือคมดาบที่ฟาดฟัน เสียงแทรกพลังปราณเฉียบขาดสะท้านไปทั่วบึง


ปีศาจปลาสี่ตัวส่งเสียงกรีดร้อง ลำตัวมันสั่นสะท้านเมื่อแรงสั่นสะเทือนจากเสียงขลุ่ยกระแทกลงในกระดูกและจิตวิญญาณ มันพุ่งเข้ามาหานางด้วยความบ้าคลั่ง แต่ทุกครั้งที่ขยับ เสียงโน้ตก็แทงทะลุร่างพวกมันเป็นแผลลึกจนเลือดสีคล้ำสาดกระเซ็น หลินหยาก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวสง่างามราวกับร่ายรำ ขลุ่ยในมือเป็นทั้งเครื่องดนตรีและอาวุธร้าย โน้ตสุดท้ายลากยาวกรีดอากาศ ปัง! คลื่นปราณระเบิดซัดร่างปีศาจปลากระเด็นกระแทกโขดหิน เลือดปนควันสีดำลอยคลุ้ง ก่อนร่างมันจะสลายเหลือเพียงซากเกล็ดกับเมือกเหนียวที่ค่อย ๆ ละลายไปกับน้ำ


ความเงียบกลับคืนมา หญิงสาวลดขลุ่ยลง ดวงตาหวานเย็นชืดราวกับน้ำแข็ง ก่อนที่รอยยิ้มขบขันจะคลี่ออก “ปัญญาอ่อน…คิดจะมาหาเรื่องข้า”


หลินหยาหันกลับไป สายตาอ่อนโยนทันทีเมื่อมองทุกคน “เปิดตาได้แล้วเจ้าค่ะ เรียบร้อยแล้ว” เจ้าเซียนเฉ่าหัวเราะหึหึในลำคอ หางกระดิกพอใจที่เห็นเจ้านายแสดงพลังอย่างโหดเหี้ยมสวยงาม ส่วนหญิงม่ายกับเด็กหญิงยังอึ้ง น้ำตาคลอเพราะทั้งตกใจและโล่งใจ เด็กหญิงพูดเสียงสั่น ๆ แต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “พี่สาวคนสวย…เก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”


หลินหยาหัวเราะคิก ยื่นขลุ่ยหมุนเล่นในมือ “ก็แน่นอนสิจ๊ะ…ใครจะมาทำร้ายพวกเจ้าในขณะที่ข้าอยู่กันเล่า?”


หลังจากจัดการพวกปีศาจปลาเสร็จ หลินหยาก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ใช้ได้จากซากที่เหลือ เธอเลือกเนื้อปลาส่วนดี โดยเฉพาะ ปลาเก๋า ตัวโตและ ปลาหางกระรอก ที่ยังสมบูรณ์ ก่อนสั่งให้เจ้าเซียนเฉ่าลากซากที่เหลือไปฝังไกล ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นดึงดูดสิ่งอันตรายอื่นมาใกล้ที่พัก เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางรับคำแล้วลากซากไปฝังอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางเหมือนหมาน้อยตัวธรรมดา แต่เต็มไปด้วยพลังที่เกินกว่าใครจะจินตนาการ


หญิงม่ายกับสารถีหนุ่มที่ยืนมองอยู่กลับสบตากันด้วยความตื่นตะลึง ทั้งคู่เห็นกับตาว่าหลินหยาเพิ่งจัดการกับปีศาจได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของพวกเขามีทั้งความเกรงใจและประหลาดใจจนบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ หลินหยาที่รู้สึกถึงสายตานั้น หันกลับมาพร้อมหัวเราะร่า ดวงตาหวานพราวระยับ “มองข้าเช่นนั้นทำไมเล่าเจ้าคะ? ข้าเป็นแม่ค้าธรรมดา ๆ เองนะเจ้าคะ”


สารถีหนุ่มกลืนน้ำลาย กระซิบกับตัวเอง “แม่ค้าธรรมดาที่จัดการปีศาจได้แบบนั้น…”


หญิงม่ายยิ้มเก้อ ๆ เอ่ยแผ่ว “แม่ค้าธรรมดาหรือเจ้าคะ? ข้าไม่เคยเห็นแม่ค้าผู้ใดทำได้เช่นท่านเลย”


หลินหยาหัวเราะจนไหล่สั่น ยกมือโบกไปมา “ข้าบอกแล้วนี่ว่าเป็นแม่ค้าจริง ๆ เนี้ย ๆ ข้าเปิดร้านขายสมุนไพร ดอกไม้กับเครื่องหอมอยู่ที่ฉางอัน ชื่อร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้เจ้าค่ะ” นางยักคิ้วขำ “แต่พวกท่านคงไม่รู้จักหรอก เจ้าคะ เพราะเพิ่งเปิดได้แค่สองสัปดาห์เอง” หญิงม่ายกับสารถีหัวเราะออกมาพร้อมกัน คราวนี้บรรยากาศคลายลง กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เด็กหญิงที่กอดเจ้าเซียนเฉ่าก็พูดเสียงใส “พี่สาวแม่ค้าคนนี้เท่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พร้อมตักข้าวเพิ่มให้ทุกคน “ก็เพราะเป็นแม่ค้าธรรมดานี่แหละ ถึงต้องเก่งเอาไว้ป้องกันตัวเองไงเจ้าคะ” กลิ่นอาหารหอมอบอวลอีกครั้ง ทุกคนกลับมาล้อมวงกินข้าวกลางวันต่อ เสียงพูดคุยและหัวเราะแว่วคลอไปกับสายลม ราวกับไม่มีเหตุอันตรายใดเกิดขึ้นเมื่อครู่เลย


แดดบ่ายคล้อยทาบเงาต้นไม้ทอดยาวบนเส้นทาง รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่เริ่มลาดเรียบ ล้อไม้บดไปบนพื้นดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงลมพัดแผ่วและกลิ่นหอมของทุ่งหญ้าปะปนกับกลิ่นไม้ทำให้บรรยากาศอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากอาหารกลางวันที่จัดเต็มและอร่อยเกินพอ หลินหยาเอนหลังพิงเบาะไม้ ดวงตาหวานค่อย ๆ ปรือ หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ร่างบางค่อย ๆ เอนศีรษะพิงข้างหน้าต่างรถม้า เส้นผมปลิวเบา ๆ ตามจังหวะล้อหมุน ภายในไม่กี่อึดใจ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็เผยว่านางหลับไปแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งกอดเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าอยู่ข้าง ๆ ก็หลับตามไปในอ้อมแขนเล็ก ๆ ของตัวเอง ขนของเซียนเฉ่าฟูนุ่มเป็นหมอนอุ่นชั้นดี ส่วนเจ้าหมาน้อยก็หลับตาพริ้ม หายใจเบา ๆ ปล่อยให้ตัวเองถูกกอดจนแน่นโดยไม่บ่นอะไร ส่วนเด็กชายวัยขวบเศษก็หลับสบายบนตักแม่ แก้มกลมขยับเบา ๆ ในฝัน


ภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงล้อไม้และลมพัดคลอ หญิงม่ายที่ยังไม่หลับหันไปมองภาพนั้นภาพของหญิงสาวแปลกหน้าที่ตนเพิ่งรู้จักไม่กี่ชั่วยาม กลับทำให้หัวใจอบอุ่นราวกับอยู่ท่ามกลางมิตรแท้ นางยิ้มอ่อน พลางคิดในใจ แม่นางผู้นี้…ช่างเป็นคนดีเกินไปแล้ว น่ารักจริง ๆ รถม้าแล่นต่อไปภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี เส้นทางตรงหน้ามุ่งสู่เมืองซุยหยางยังอีกยาวไกล แต่ในรถม้าเล็ก ๆ คันนี้กลับเต็มไปด้วยความสงบสุขและไออุ่นที่หาได้ยากบนเส้นทางแห่งโชคชะตา


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างราบรื่นท่ามกลางเสียงกีบม้ากระทบพื้นดินที่เปลี่ยนจากถนนลูกรังเป็นทางหินเรียบ เมื่อหลินหยาเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของลมยามเย็นลอดเข้ามาในรถ ดวงตาหวานยังปิดสนิท ร่างบางขดเล็กน้อยบนเบาะ เส้นผมยุ่งเล็ก ๆ แนบแก้ม ขณะริมฝีปากเผยอน้อย ๆ น้ำลายใสไหลยืดตรงมุมปากภาพนี้ทำให้เด็กหญิงที่ตื่นก่อนแอบหัวเราะคิกคัก


เมืองว่านที่อยู่ตรงหน้าเป็นดั่งภาพในพงศาวดาร ภูมิภาคนี้สงบเงียบ ล้อมรอบด้วยลุ่มน้ำกว้างและที่ราบสีเขียวที่ทอดไกลไปจนสุดสายตา หมู่บ้านและบ้านเรือนเรียงรายเป็นระเบียบ ท่ามกลางฉากหลังของภูเขาตะวันออกเฉียงเหนือที่สูงชันบางลูกปกคลุมด้วยหมอก สตรีม่ายที่นั่งเฝ้ามองหลินหยาหลับน้ำลายยืดมานาน ยิ้มเอ็นดูอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนของนางเบา ๆ “คุณหนู…ถึงแล้วเจ้าค่ะ เมืองว่าน”


หลินหยาขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่ลืมตา เสียงครางอืมอือดังแผ่ว แทนที่จะตื่นกลับซุกหน้าลงกับเบาะหลับต่อ น้ำลายเริ่มไหลยืดยาวกว่าเดิมจนเจ้าเซียนเฉ่าต้องเลียแก้มปลุกด้วยความรำคาญ เด็กหญิงหัวเราะคิกเสียงดัง “พี่สาวคนสวยนอนน้ำลายยืดเลย!” หญิงม่ายส่ายหัวพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเขย่าตัวหลินหยาน้อย ๆ “แม่นางน้อย…ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ถึงที่แล้ว”


หลินหยาในที่สุดกะพริบตาปรือ ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ ผมเผ้ายุ่งนิดหน่อย มือเช็ดมุมปากพลางบ่นงัวเงีย “อืม…ถึงแล้วหรือเจ้าคะ…ข้านึกว่าฝัน” สารถีหนุ่มที่ยืนข้างรถก็กลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ มองภาพคนง่วงที่เพิ่งตื่นลุกขึ้นจัดผมอย่างเก้อ ๆ แต่ในสายตาทุกคน นางยังคงดูน่ารักไม่ว่าจะในสภาพใด 


ท้องฟ้ายามเย็นของเมืองซุยหยางแผ่คลุมด้วยแสงส้มทอง ทุกสิ่งเหมือนถูกชโลมด้วยความสงบ และนี่…คือจุดเริ่มต้นใหม่ของการผจญภัยในหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่อยู่ไม่ไกลนัก


แสงอาทิตย์ยามเย็นค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ขณะที่รถม้าหยุดลงตรงหน้าบ้านไม้เล็ก ๆ ของสตรีม่ายในเมืองซุยหยาง หลินหยาลงจากรถม้า ยิ้มบางแล้วควักเหรียญเงินจำนวนหนึ่งส่งให้สารถีหนุ่ม “นี่สำหรับความลำบากในการเดินทางวันนี้เจ้าค่ะ” สารถีหนุ่มชะงักไป ดวงตาสั่นระริกด้วยความซาบซึ้ง ก่อนก้มหัวลึก “คุณหนู ข้าขอบคุณท่านจากใจจริงขอรับ”


เมื่อรถม้าจากไป หลินหยาก้าวเข้าสู่บ้านไม้เก่า ๆ ที่แม้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยไออุ่น กลิ่นไม้เก่าและหญ้าแห้งอบอวลอยู่ในอากาศ ผนังบางส่วนเริ่มผุพัง และหลังคามีรอยซ่อมแซมอย่างลวก ๆ แต่ภายในสะอาดสะอ้านและอบอุ่น สตรีม่ายยิ้มต้อนรับพลางพูด “บ้านข้าเรียบง่ายนัก แต่ข้าหวังว่าท่านจะอยู่สบาย”


“สบายมากเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบด้วยรอยยิ้มจริงใจจะเอาอะไรกับคนที่เคยนอนศาลเจ้าเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพักในฉางอันล่ะ


ค่ำนั้นอาหารที่หญิงม่ายจัดไว้เรียบง่าย มีเพียงข้าวร้อน ผักต้ม และเนื้อสัตว์เล็กน้อย แต่รสชาติกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจ หลินหยารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย พลางชื่นชมฝีมือของนางจนหญิงม่ายยิ้มทั้งน้ำตา หลังจากอาหารค่ำ ทุกคนจึงแยกย้ายไปพักผ่อน ภายในห้องน้อยของแขก หลินหยานั่งอยู่บนเสื่อผ้าที่ปูเรียบง่าย ข้าง ๆ นางคือเด็กหญิงที่ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของหมอนเก่า ๆ เจ้าเซียนเฉ่าก็กลิ้งตัวซุกพุงข้างขาเจ้านาย หางกระดิกน้อย ๆ เป็นจังหวะในยามหลับ


แสงตะเกียงน้ำมันส่องสลัว หลินหยาหยิบตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อออกมาจากแหวนดาราจรัส เปิดหน้ากระดาษที่ถนอมไว้อย่างดี ลายมือเรียงเป็นระเบียบแสดงถึงความตั้งใจของผู้เขียน เธอพลิกอ่านไปทีละบรรทัด ความเงียบสงบในยามค่ำทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของเด็กหญิงและเจ้าหมาน้อย


นิ้วเรียวบรรจงลูบตามรอยหมึกเก่า พลางกระซิบกับตัวเองแผ่ว ๆ “เมนูที่อ่านค้าง อืม…จะลองทำซุปกระดูกใสใบหลิวดีไหมนะ” สายลมเย็นลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่าเข้ามา ปะปนกับกลิ่นของสมุนไพรและไม้แห้ง เสียงแมลงกลางคืนดังประสานเป็นท่วงทำนองขับกล่อม หลินหยายิ้มบาง ก่อนโน้มตัวลงเอนพิงหมอน ใช้ตำรานั้นเป็นเพื่อนในยามค่ำคืน ใต้แสงตะเกียงเล็ก ๆ หญิงสาวกับหมาน้อยและเด็กหญิงนอนหลับเคียงกัน ภาพแสนอบอุ่นก่อนรุ่งเช้าจะนำพานางไปสู่เส้นทางใหม่…สู่ หมู่บ้านน้ำค้างพราย ที่รออยู่เบื้องหน้า






@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ลุ้นมากว่าจะเกิน 200 อีกไหม เกือบละ ๆ ถ้าเล่นดนตรีเกินแน่
ศึกษา ซุปใสใบหลิว (2/4)

มอบ โคว่โร่ว (อาหารเกรดม่วง), ไก่ขอทาน (อาหารเกรดทอง), ขนมไหมฟ้า (ขนมเกรดทอง), ชาเบญจมาศ (ชาเกรดน้ำเงิน)
ให้ชาวบ้านแม่ลูกที่เดินทางไปด้วย และสารถี (ส่งแล้วจ้า)
(คนดีก็งี้แหละ มีอีเว้นท์ให้คนดีบ้างปะ อิอิ)

รางวัล: 
ปีศาจปลา : ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ) - ได้รับแล้ว
และอัตราออก ง้าวปีศาจปลา คุณภาพน้ำเงิน Level 20 = 2 = เกลือ
(เลขไบต์หลักสุดท้ายออก 9 หากมีบัพผู้มีบุญเพิ่มอัตราเป็น เลข 9 / 0 / 5)

สรุปรางวัลที่ได้: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เสียงกระซิบบางอย่างดังขึ้นมา มาซินเอี๋ย  โพสต์ 2025-8-3 13:09
คุณได้รับ +50 คุณธรรม --200 ความชั่ว --200 ความโหด โพสต์ 2025-8-3 13:09
โพสต์ 160162 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-3 12:58
โพสต์ 160,162 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-3 12:58
โพสต์ 160,162 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-3 12:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-3 15:00:25 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-8-3 18:47

อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 03 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามโหยว่ ณ เมืองว่าน มณฑลจิงโจว จักรวรรดิต้าฮั่น


ภายในห้องไม้เล็กที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอของเด็กหญิงและเสียงครางเบา ๆ ของเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวข้างขาเจ้านาย ไฟตะเกียงน้ำมันกระพริบวูบตามแรงลมเล็ก ๆ จากหน้าต่างเก่า หลินหยายังคงก้มหน้าลงอ่านตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ พลิกหน้ากระดาษไปอย่างตั้งใจเพื่ออ่านสูตรอาหารที่น่าสนใจและเทคนิคการทำอาหารที่ดูแล้วสำหรับเธอมันก็มีแต่ของที่น่ากินไม่น้อย รอบหน้าลองสอบถามเสี่ยวจ้าวจื่อเกี่ยวกับของหวานดีกว่า อยากรู้จริง ๆ ว่าจะมีของหวานดี ๆ แนะนำบ้างไหม?


ทว่า…ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งกระซิบแผ่วเหมือนมาจากทุกทิศทุกทางรอบตัว


“ไป…เมืองซินเอี๋ย…จงไปเมืองซินเอี๋ย…”


เสียงนั้นต่ำ ลึกลับ และสั่นสะท้อนในหู หลินหยาชะงัก ดวงตาหวานเบิกเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นทันที พลันสายตากวาดไปรอบห้อง ไม่มีใคร ไม่มีอะไร นอกจากแสงไฟสลัวกับเงามืดที่โยกตามแสงตะเกียง เสียงนั้นยังคงกระซิบซ้ำ ๆ ราวกับบทสวดที่ดังขึ้นจากอากาศรอบตัว “เมืองซินเอี๋ย…เจ้าจงไป…เมืองซินเอี๋ย…”


หัวใจหลินหยากระตุกแรง นางรีบเหลือบมองเด็กหญิงที่นอนข้าง ๆ แก้มอวบกดกับหมอนหลับสนิทไม่มีทีท่าจะได้ยินอะไร เจ้าเซียนเฉ่าก็ยังคงขดตัวหลับ ปลายหางขยับเล็กน้อยอย่างไร้สติรับรู้


นี่มัน…อะไรกัน?


หลินหยาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาหวานเต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางค่อย ๆ วางตำราลง ลอบสูดหายใจลึก ตั้งสมาธิฟังเสียงนั้น…เสียงกระซิบเริ่มชัดขึ้น ราวกับผู้พูดอยู่ข้างหู “มา…ซินเอี๋ยมาสิ…มาสิ” ราวกับสายลมเย็นแผ่วพัดผ่านต้นคอของนาง ขนลุกซู่ในทันที แต่หลินหยายังคงนั่งตัวตรง สายตาคมหวานกวาดมองไปรอบห้องอย่างไม่กลัว


นางกระซิบตอบเบา ๆ ราวกับถามใครสักคนในความมืด “ท่าานคือใคร…? เหตุใดต้องให้ข้าไปที่นั่น…” ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงสะท้อนซ้ำ ๆ ของคำว่า “ซินเอี๋ย…” จนค่อย ๆ จางหายไปในความเงียบ หลินหยานิ่งไปนาน ดวงตาหวานฉายประกายสับสนกับสงสัย นางหันกลับไปมองเด็กหญิงและเซียนเฉ่าอีกครั้ง ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ยินสิ่งใด


นางกำมือแน่น ลมหายใจแผ่วผ่านริมฝีปาก เมืองซินเอี๋ย…อีกสถานที่หนึ่งที่ข้าต้องไปงั้นหรือ? ไม่…ไม่ใช่ ข้าต้องไปทำไมกัน? เพราะข้าพึ่งออกมาจากหนานหยางเอง ในแสงตะเกียงที่ใกล้ดับ ความลี้ลับใหม่ได้ถูกทิ้งไว้ในใจหลินหยาแล้ว ราวกับเงาที่กำลังรอวันปรากฏตัว ลมยามค่ำพัดแรงขึ้นเล็กน้อย ม่านหมอกบาง ๆ ลอยคลอเหนือพื้นดินเมื่อหลินหยาค่อย ๆ เปิดประตูไม้เก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ แล้วก้าวออกสู่ลานบ้านด้านหลัง แสงจันทร์เสี้ยวสาดลงบนผิวดิน ทำให้เงาของหญิงสาวทอดยาว บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงใบไม้ไหวและจิ้งหรีดร้อง


หลินหยาขมวดคิ้วแน่น ดวงตาหวานเป็นประกายคมกริบ นางยืนนิ่งกลางลานที่มีเพียงแสงจันทร์ส่อง ริมฝีปากขยับช้า ๆ แต่ชัดเจน น้ำเสียงแฝงแรงอำนาจที่ไม่ยอมใคร “ท่านเป็นใคร…? ออกมาดี ๆ เดี๋ยวนี้” ลมแรงขึ้นเหมือนตอบรับ ควันหมอกเริ่มวนรอบตัวนาง ราวกับสิ่งลึกลับกำลังจับจ้องอยู่ในความมืด


หลินหยาก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เส้นผมปลิวสะบัด นางยกเสียงดังขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยว “หากไม่ออกมาและอธิบายให้ข้ารู้…ข้าจะไม่มีวันไปเหยียบเมืองซินเอี๋ยตามที่ท่านบอกเด็ดขาด!” ทันใดนั้น บรรยากาศรอบกายเงียบกริบ ลมที่พัดก็หยุดราวกับโลกหยุดหายใจ เงามืดจากต้นไม้ใหญ่ข้างลานเริ่มขยับบิดเบี้ยว รอการตอบรับที่แสนน่าแปลกใจนั้น…


กล้าออกมาไหมล่ะ? บอกเหตุผลให้ข้า





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: จะเกิดอะไรขึ้นกันนะเจ้าคะ แต่ก ๆ 

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

จะมีเสียงกระซิบเรียกหาคุณไปทาง สะพานฉางป่านเฉียว  โพสต์ 2025-8-3 16:16
เมื่อคุณไปถึงซินเย่ (โปรดคำนวณระยะทางให้ดี อิง Google map จากหนานยางไปซินเย่ใช้เวลาพอสมควรแม้จะใต้)   โพสต์ 2025-8-3 16:15
ก่อนมีเสียงบางอย่างแหบร่า : "ช่วยข้า...."   โพสต์ 2025-8-3 15:41
โพสต์ 24493 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-3 15:00
โพสต์ 24,493 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-3 15:00
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
โพสต์ 2025-8-3 19:37:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากลองเอาไว้โรลเพลย์

บันทึกการเดินทาง ความจริงแท้
วันที่ 03 เดือน 7 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
เริ่มต้น ยามโหยว่ - ยามซวี ณ เมืองว่าน - เมืองซินเอี๋ย มณฑลจิงโจว มณฑลจักรวรรดิต้าฮั่น


เสียงกระซิบที่เพิ่งเงียบไปเมื่อครู่กลับดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่คำสั่งหรือคำท้าทาย หากแต่เป็นเสียงแหบพร่า แหลมสั่น ราวกับกำลังจะขาดใจ “ช่วยข้า…ช่วยข้า…ช่วยข้า…” มันซ้ำไปซ้ำมาราวกับวิญญาณที่กำลังร้องขอชีวิตและความเมตตา หลินหยาที่ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนถึงกับเบิกตากว้าง ใบหน้าหวานซีดเผือด ดวงตาหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลมหายใจของนางสะท้อนแรงในอก พลันนางพ่นลมหายใจออกช้า ๆ พยายามตั้งสติ แต่หัวใจเต้นถี่รัว เสียงนี้…มันกำลังขอความช่วยเหลือจริง ๆ…


นางหมุนตัวกลับแทบจะทันที รีบผลักประตูไม้เก่าของลานหลังบ้านกลับเข้าไปในตัวบ้านอย่างเร่งร้อน เสียงประตูเอี๊ยดอ๊าดดังสะท้อนในความเงียบสนิท นางก้าวฉับ ๆ ผ่านห้องที่เด็กหญิงกับเจ้าเซียนเฉ่ายังหลับสนิทโดยไม่ตื่นขึ้นเลยแม้แต่น้อยเหมือนพวกเขาไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น หลินหยาตรงไปยังห้องด้านใน คว้าแผนที่จากกระเป๋าที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อใบเล็ก แผนที่เก่าถูกคลี่บนโต๊ะไม้เสียงดัง พรึ่บ! แสงตะเกียงส่องให้เห็นเส้นทางคดเคี้ยวจากเมืองว่านไปทางทิศใต้ นางกวาดตามองอย่างละเอียด นิ้วเรียวลากตามเส้นทางก่อนจะหยุดที่จุดหมาย เมืองซินเอี๋ย ตัวอักษรนั้นเหมือนส่องประกายเย็นขึ้นมาในความมืด


“137 ลี้…” นางกระซิบกับตัวเองเสียงสั่น “68 กับครึ่งกิโลเมตร…แค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง” หลินหยายืนตัวตรง สูดหายใจลึก ใบหน้ายังซีดแต่แววตากลับแฝงความเด็ดเดี่ยว เสียงนั้นกำลังจะตายหรือเปล่า…กำลังขอให้ข้าช่วย…  แม้หัวใจจะยังสั่น แต่ในแววตาหวานคู่นั้นกลับฉายความมุ่งมั่นชัดเจน หลินหยาจะไม่เมินเฉยต่อเสียงร้องที่กู่เรียกจากความมืด เธอพับแผนที่เก็บเข้าที่ ยกมือกุมขลุ่ยที่แขวนข้างเอวแน่นเหมือนเตือนตัวเองให้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่รออยู่ ใต้แสงตะเกียงที่สั่นไหว ดวงตาของหลินหยาสะท้อนเพลิงแห่งการตัดสินใจนางจะไปเมืองซินเอี๋ย


หลินหยาหยุดหายใจอยู่ชั่วครู่เมื่อได้ยินเสียงแผ่วนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว ก่อนที่นางจะก้าวไปเขย่าเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนขดตัวฟูฟ่องอยู่ข้างเด็กหญิง “เซียนเฉ่า…เราต้องไปแล้ว” หมาน้อยที่ยังเมาขี้ตา ลืมตาแป๋วครึ่งหนึ่ง หาววอดเสียงเบา แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของเจ้านาย ดวงตากลมก็พลันตื่นวาบขึ้นทันที มันสะบัดตัวจนขนฟู หูตั้งชัน รับรู้ว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น จึงรีบลุกขึ้นข้างเจ้านายพร้อมส่ายหางอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่


หลินหยาหันไปมองเด็กหญิงที่ยังหลับสนิท ใบหน้าไร้เดียงสาซบหมอนเก่าอย่างสงบ นางโน้มตัวลง ลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ พร้อมกระซิบเสียงแผ่วเหมือนกล่อมในฝัน “ขอบคุณเจ้ามากนะที่ทำให้ข้ามีค่ำคืนอบอุ่น…ฝันดีนะ เด็กน้อย” หญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีเข้ม กระชับสายคาดเอวให้แน่น ก่อนก้าวเท้าออกจากห้องโดยมีเจ้าเซียนเฉ่าตามติดไม่ห่าง เสียงประตูเปิดเอี๊ยดคล้ายบอกลาเบา ๆ


เมื่อออกมาถึงหน้าบ้าน แสงจันทร์ส่องลงบนเรือนที่เรียบง่าย นางเห็นสตรีม่ายนั่งเงียบ ๆ บนเก้าอี้ไม้ มือกอดอกมองท้องฟ้า ราวกับรู้ว่าหลินหยาจะออกไปก่อนรุ่งสาง หญิงม่ายหันมามอง หลินหยาก้าวเข้าไปตรงหน้า ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อเคารพ “ข้าต้องรีบไปที่เมืองซินเอี๋ยที่อยู่ใกล้ ๆ นี้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงของหลินหยาอ่อนนุ่ม แต่แฝงความเด็ดเดี่ยว “ขอบคุณท่านมากที่กรุณาให้ข้าพักในบ้านคืนนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม”


หญิงม่ายมองนางด้วยสายตาประหลาดใจปนกังวล “ยามโหยว่เช่นนี้…ท่านจะไปจริงหรือ?”


หลินหยายิ้มบาง ดวงตาสุกสว่างท่ามกลางความมืด “ข้าจำเป็นต้องไปเจ้าค่ะ…และต้องไปเดี๋ยวนี้ด้วยเจ้าค่ะ” หญิงม่ายถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่ได้ห้าม เพียงพยักหน้าแผ่ว “ขอให้โชคดีนะ แม่นางน้อย…” หลินหยาหยุดเท้าก่อนจะก้าวออกไปจากรั้วบ้าน ดวงตาหวานทอดมองสตรีม่ายที่ยังนั่งอยู่ในความมืดสลัวแสงจันทร์ นางถอนหายใจแผ่วหนึ่งครั้ง ก่อนเอื้อมมือไปเปิดแหวนดาราจรัสเบา ๆ ดึงออกมาเป็นถุงเงินผ้าสีเข้มที่หนักพอควร เสียงเหรียญกระทบกันเบา ๆ ยามที่นางยื่นถุงเงินไปข้างหน้า “นี่เจ้าค่ะ…เก็บไว้ใช้งาน เอาไปตั้งตัวเถิด”


หญิงม่ายเบิกตากว้าง มองถุงเงินที่ส่องประกายแวววาวในแสงจันทร์ มือสั่นเล็กน้อยแต่กลับส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ข้า…ข้าไม่อาจรับได้หรอก แม่นาง ข้าเพียงทำตามน้ำใจ มิได้หวังสิ่งตอบแทน” หลินหยายิ้มอ่อน สายตาสงบนิ่งแต่แฝงความอ่อนโยนที่ยากจะปฏิเสธ “รับเถอะเจ้าค่ะ…ข้าขอบคุณที่ท่านคอยดูแลข้า ให้ข้าได้พักในบ้านเล็ก ๆ ของท่านอย่างอบอุ่น ทั้งยังเลี้ยงข้าและเซียนเฉ่าด้วยน้ำใจเต็มเปี่ยม” หญิงม่ายเม้มริมฝีปาก น้ำตาคลอทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


หลินหยาก้าวเข้ามาใกล้ จับมือของนางแล้ววางถุงเงินลงไปในฝ่ามือแน่น “ถือว่าเป็นค่าที่พักและอาหารนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง…อย่าปฏิเสธเลย” น้ำเสียงของหลินหยานุ่มแต่จริงใจ สตรีม่ายตัวสั่นเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้า ๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลอาบแก้ม นางกำถุงเงินไว้แน่นราวกับเก็บสมบัติล้ำค่า


“ขอบคุณท่านมาก…แม่นาง ข้าจะจำบุญคุณนี้ไม่ลืม”


หลินหยายิ้มอุ่น ทอดสายตาไปยังเด็กหญิงที่ยังหลับสนิทในห้อง ริมฝีปากขยับกระซิบเหมือนสัญญา อให้ชีวิตพวกท่านมีแต่ความสุข  จากนั้นนางหมุนตัวกลับ ก้าวออกไปพร้อมเจ้าเซียนเฉ่าที่รออยู่ข้างหน้า เงาของทั้งคู่ค่อย ๆ ละลายไปในสายหมอกยามค่ำ ปล่อยให้บ้านหลังเล็กนั้นเต็มไปด้วยแสงอบอุ่นแห่งความหวังที่เพิ่งได้รับ


สตรีม่ายนั่งนิ่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้เก่าที่สั่นเล็กน้อยในยามลมพัด ร่างของหลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าค่อย ๆ ลับหายไปในม่านหมอก เธอหันมามองถุงเงินในมือที่หนักอึ้ง ความอุ่นที่ฝ่ามือผสานกับความตื้นตันในอกทำให้น้ำตาเอ่อขึ้นจนต้องยกมือปาด นางค่อย ๆ คลายปากถุงออก เหรียญโลหะไม่ได้กระทบกันดังกรุ๊งกริ๊งเหมือนเหรียญทองแดง แต่กลับเป็นแสงเงินสว่างวาวสะท้อนจันทร์เย็นยะเยือก ตำลึงเงิน ที่เรียงซ้อนเป็นระเบียบภายใน หญิงม่ายเผลออุทานเสียงแผ่ว “นี่มัน…ห้าสิบตำลึงเงิน…” ดวงตานางเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง


สำหรับคนธรรมดาในเมืองเล็กอย่างเมืองว่าน เพียงหนึ่งตำลึงเงินก็เพียงพอเลี้ยงครอบครัวเล็ก ๆ ได้หลายเดือน แต่หลินหยากลับมอบให้ถึงห้าสิบตำลึงเงิน จำนวนที่มากกว่าค่าพักโรงเตี๊ยมชั้นดีในฉางอันเสียอีก มือของนางสั่นระริก ใบหน้าเต็มไปด้วยความซึ้งใจ น้ำตาร่วงหยดลงบนเหรียญเงินวาววับทีละหยด หญิงม่ายยกมือกุมอกแน่น สตรีตัวเล็กผู้นี้…มีน้ำใจงามถึงเพียงนี้


นางยกสายตาขึ้นมองฟ้า เห็นเพียงเงาจันทร์หม่นลอยเหนือหมู่บ้าน เสียงในใจพร่ำเบา ๆ “ขอให้ฟ้าคุ้มครองแม่นางหลิน…ขอให้ทางที่นางเดินมีแต่แสงนำพา” ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง หลินหยากับเซียนเฉ่าก็กำลังเร่งฝีเท้าท่ามกลางความมืดเย็นมุ่งหน้าสู่ เมืองซินเอี๋ย…จุดหมายใหม่ที่อาจเปลี่ยนชะตาทุกอย่างไปตลอดกาล


หลินหยาก้าวออกจากซอยเล็กที่ทอดยาวออกมาจากบ้านของหญิงม่าย สายหมอกยามค่ำยังคลอเคลียพื้นถนนหินเงียบสงัด มีเพียงแสงโคมไฟจากทางแยกที่ส่องสลัวให้พอเห็นเส้นทาง นางก้าวรวดเร็ว ดวงตาหวานฉายความเร่งรีบไม่เหมือนก่อนหน้า ที่ลานจอดรถม้า มีเพียงรถม้าสองคันจอดรอผู้โดยสาร คนขับม้าหนุ่มคนหนึ่งนั่งเอนตัวพิงเสา หลับตาครึ่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวก็ลืมตาขึ้นทันที เมื่อเห็นนางในชุดคลุมสีเข้มกับหมาน้อยเซียนเฉ่าข้างกาย เขายิ่งทำหน้าตื่น


หลินหยาหยุดยืนตรงหน้า น้ำเสียงเด็ดขาดแต่ยังอ่อนโยน “ข้าต้องการไปเมืองซินเอี๋ยเจ้าค่ะ ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ราคาเท่าไรบอกมาเลย”


สารถีหนุ่มขยับตัวรวดเร็ว ลุกขึ้นก้าวไปเปิดประตูรถม้า ดวงตากวาดมองหญิงสาวแล้วพูดเสียงสั่นนิด ๆ “เอ่อ…ปกติไปซินเอี๋ยเวลานี้ค่ารถประมาณสิบตำลึงเงิน แต่หากท่านต้องการความเร็ว…สิบห้าตำลึงก็พอขอรับ” หลินหยาหยิบตำลึงเงินออกมาจากถุงโดยไม่ลังเล ยื่นใส่มือเขาเต็มกำ “นี่สำหรับความเร็ว และถ้าไปถึงในเวลาเร็วกว่า ชั่วโมงหนึ่ง…จะมีรางวัลเพิ่มเจ้าค่ะ” สารถีหนุ่มถึงกับตาโต รีบรับเงินแล้วโค้งหัวต่ำ “รับทราบขอรับ! ข้าจะพาท่านไปเร็วที่สุดเท่าที่ม้านี้จะบินได้!”


หลินหยาหันไปสั่งเจ้าเซียนเฉ่า “ขึ้นไป เจ้า” หมาน้อยกระโดดขึ้นไปบนเบาะอย่างว่องไว ก่อนนางจะก้าวขึ้นตาม ปิดประตูรถเสียง ปัง!  หญิงสาวยิ้มมุมปาก ดวงตาวาวประกายภายใต้แสงโคม พลางพูดเสียงเด็ดขาด “ซิ่งเลยพี่!!”


ทันใดนั้น เสียงแส้หวดดัง เพี๊ยะ! ม้าลากพุ่งตัวออกไปทันที แรงสั่นสะเทือนทำให้รถม้าโยกแรงในจังหวะแรก ก่อนจะแล่นฉิวไปบนถนนกลางคืนด้วยความเร็วสุดกำลัง ล้อไม้กระแทกพื้นเป็นจังหวะถี่ เสียงลมหวีดหวิวลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง หลินหยานั่งนิ่ง มือกอดขลุ่ยแน่น ดวงตาจ้องไปข้างหน้า ในใจของนางมีเพียงเสียงกระซิบที่ยังดังก้อง “ช่วยข้า…” และคืนนี้ รถม้าของนางกำลังฉีกผ่านความมืดด้วยความเร็วเกินใครตรงสู่ เมืองซินเอี๋ย ที่ความจริงรอคอยอยู่


ล้อไม้ของรถม้ายังคงหมุนกระแทกถนนหินกรวดเป็นจังหวะ เสียงกีบม้าดังถี่รัวราวกับหัวใจของหลินหยาที่เต้นแรงไม่หยุด นางเอนตัวพิงข้างรถ ดวงตาหวานเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ม่านหมอกยามค่ำพัดผ่านอย่างรวดเร็ว แสงไฟจากโคมถนนเป็นเส้นพร่าไหล หลินหยาพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ในความเงียบ พยายามทำให้จิตใจนิ่ง แต่ทันใดนั้น เสียงกระซิบแผ่วพร่ากลับดังขึ้นในหัวชัดเจนกว่าครั้งก่อน “…มาที่สะพานฉางป่านเฉียว…สะพานฉางป่านเฉียว…” เสียงนั้นสั่นพร่าเหมือนกำลังขาดใจ บางคำฟังขาดหายไปเหมือนถูกฉีกโดยความเจ็บปวด แต่มันก็ยังคงเรียกชื่อของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า


หลินหยาขมวดคิ้วแน่นทันที ใบหน้าซีดเล็กน้อย “สะพาน…ฉางป่านเฉียว?” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัยและความตึงเครียด “มันคืออะไรกันแน่? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อสะพานนี้มาก่อน…”


เจ้าเซียนเฉ่าที่นั่งเฝ้าข้างนางเงยหน้ามองทันที ดวงตาหมาน้อยคู่นั้นสะท้อนแสงไฟในความมืด “คุณหนูหลิน…มีอะไรหรือขอรับ?” หลินหยาสูดหายใจลึกพยายามควบคุมน้ำเสียงที่สั่นแผ่ว “มีเสียง…เสียงเรียกในหัวข้าอีกแล้ว…มันบอกให้ไปที่สะพานฉางป่านเฉียว” เซียนเฉ่าหรี่ตา ขนลุกตั้ง หูของมันกระดิกตามสัญชาตญาณรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ “สะพานนั้น…ข้าเองก็ไม่รู้จักขอรับ แต่ถ้าเสียงนั้นบอกท่าน…มันคงสำคัญ”


หลินหยาหันไปเคาะผนังรถม้าแรง ๆ จนสารถีหนุ่มที่กำลังเร่งม้าเหลียวกลับมามองผ่านช่องเล็ก ๆ “ท่านสารถี!” หลินหยาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ท่านเคยได้ยินชื่อสะพานฉางป่านเฉียวหรือไม่?”


สารถีหนุ่มที่กำลังบังคับบังเหียนพยายามควบคุมรถม้าที่วิ่งเร็วอยู่แล้ว เงยหน้ามองผ่านไหล่กลับมาตอบหลินหยาเสียงดังแข่งกับเสียงลม “ข้า…รู้จักสะพานนั้นขอรับ! ชาวบ้านเรียกกันว่า สะพานหินเล็ก เป็นสะพานโค้งวงกลมที่ตั้งอยู่นอกประตูเมือง ติดริมแม่น้ำเย่ ว่ากันว่ามันสร้างมาตั้งแต่สมัยก่อน และตอนกลางคืนแทบไม่มีใครกล้าเฉียดไปใกล้!” หลินหยาที่นั่งนิ่ง ดวงตาหวานฉายแววคมกริบ แทบไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางพยักหน้าช้า ๆ “เช่นนั้น…ไปที่สะพานนั้นเถิด”


นางเอื้อมมือไปเปิดแหวนดาราจรัสอีกครั้ง หยิบเหรียญตำลึงเงิน 5 เหรียญที่ส่องประกายวาวในแสงตะเกียงภายในรถ ก่อนจะโยนไปข้างหน้าด้วยท่าทีเฉียบขาด ราวกับฟาดด้วยพลังเงินที่หนักแน่น


ฉึบ! ถุงตำลึงเงินตกลงบนเบาะข้างสารถี เสียงเงินกระทบกันดัง กริ๊ง!


น้ำเสียงของหลินหยาเฉียบคมราวกับคำสั่ง “หากด่วนได้สุด ๆ ข้าจะให้เพิ่มอีกห้าตำลึงเงิน…เอาไปเลย!” สารถีหนุ่มอ้าปากค้างตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อสติกลับคืนมา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายไฟแห่งความมุ่งมั่น ห้าตำลึงเงินสำหรับความเร็วที่สุดขีด? ข้าจะทำให้ม้าบินเลย!


เขาคว้าบังเหียนแน่น ตะโกนสั่งม้าเสียงก้อง “ฮ่าาาา! เร็วเข้า! วิ่งเหมือนพายุพัด เช็กเทาสสส์(???)!”


แส้ถูกหวด เพี๊ยะ! แรงจนลมแตก รถม้าโคลงแรงแต่เสถียร ม้าคู่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากกว่าก่อนหน้านี้สองเท่า จนเสียงกีบม้าก้องสนั่นถนน ล้อไม้หมุนฉวัดเฉวียนสาดฝุ่นคลุ้ง เจ้าเซียนเฉ่าเกาะแน่นกับเบาะ หูตั้งด้วยความตื่นเต้น ขณะที่หลินหยานั่งหลังตรง ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้าอย่างนิ่งสงบราวกับกำลังท้าทายเงามืดที่รออยู่


สายหมอกยามค่ำแตกกระจายตามแรงลม รถม้าวิ่งแหวกกลางถนนราวกับลูกธนูพุ่งสู่เป้า มุ่งหน้าสู่สะพานฉางป่านเฉียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความลี้ลับริมแม่น้ำเย่


สายลมกลางคืนพัดแรงจนม่านรถม้าแทบปลิว เสียงกีบม้าดังก้องถี่รัวราวกับฟ้าผ่า ล้อไม้หมุนเร็วขนาดที่สะเก็ดหินกระเด็นวูบวาบ ทุกโค้งที่ผ่านไป รถม้าเลี้ยวเอียงอย่างหวาดเสียว แต่กลับไม่เสียการทรงตัวแม้แต่น้อย สารถีหนุ่มที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางธรรมดา บัดนี้ดวงตาเปล่งประกายความบ้าคลั่ง ปากยิ้มมุมเหมือนคนที่ค้นพบชะตากรรมใหม่ มือบังคับบังเหียนแน่น ร่างโน้มไปข้างหน้าเหมือนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับม้าและรถ เขาไม่ใช่แค่สารถีธรรมดาอีกต่อไป เขาคือ ดอม โทเร็ตโต้ แห่งต้าฮั่น!


“จับให้แน่นนะ! เพราะคืนนี้…ไม่มีหยุด(ความจริงอยากใช้คำว่าเบรก)!!!” เขาตะโกนสุดเสียง ขณะม้าทั้งคู่พุ่งทะยานราวกับสายฟ้าฉีกฟ้า รถม้า ดริฟต์ เลี้ยวโค้งแคบเฉียดขอบถนนจนใบไม้ปลิวกระจาย ม้ากระแทกส้นเท้าลงพื้นพร้อมกันแล้วเร่งออกตัวเหมือนจรวด ความเร็วแรงจนลมตัดแก้มหลินหยาที่นั่งนิ่ง ดวงตาหวานวาวประกายราวกับกำลังสนุกกับการซิ่งยามค่ำ


เจ้าเซียนเฉ่าต้องเกาะเบาะแน่น หูตั้ง หางสะบัดไปมา พลางเห่า วู้ฟฟฟ! เหมือนกำลังเฮลั่นกับความมันส์ ทุกโค้ง ทุกสะพานเล็ก ทุกถนนลาดชันถูกเผาไหม้ด้วยแรงพุ่งของรถม้าสายฟ้าแห่งค่ำคืนนี้มันไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่มันคือการแข่งกับโชคชะตา! หมอกยามค่ำถูกฉีกกระจุยเป็นเส้นสายขาว เสียงกีบม้าเหมือนคำรามประกาศชัยชนะ “ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!”


และในที่สุด…ในแสงจันทร์ที่ฉายลงบนแม่น้ำเย่เบื้องหน้า เงาสะพานโค้งวงกลมก็ตั้งตระหง่านขึ้นท่ามกลางความมืด สะพานฉางป่านเฉียว ที่รอคอยพวกเขาอยู่! คืนนี้…รถม้าไม่ได้แค่เหาะ แต่มันกำลังลอยข้ามกาลเวลา พุ่งตรงสู่ชะตาที่ไม่มีใครหยุดได้!


รถม้าหยุดกึกตรงทางเข้าริมแม่น้ำเย่ ล้อไม้ส่งเสียงดังแหลมชะงักจนฝุ่นฟุ้งกระจาย เสียงม้าหอบแรงเป็นจังหวะถี่ พ่นไอร้อนออกจากปากและจมูก กล้ามเนื้อสั่นไหวเพราะถูกรีดแรงสุดชีวิต แต่ก็ยังยืนได้อย่างสง่างาม หลินหยาเกาะขอบหน้าต่างแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ใจที่ตกไปถึงตาตุ่มค่อย ๆ กลับขึ้นมา โอย…นี่ข้ารอดมาได้ยังไงกันเนี่ย… ความรู้สึกเหมือนพึ่งซิ่งฝ่าไฟแดงหนีการไล่ล่าของตำรวจไปสิบคันติด


เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่านั่งหอบอยู่ข้างนาง ตาเหลือก ขนฟูเต็มตัว หางหดแนบก้นเหมือนสติจะหลุดลอยไปกับสายลม มันหันมามองเจ้านายพลางร้อง อู้วววฟฟฟ ในลำคอ เหมือนจะพูดว่า ข้าไม่เคยเจอรถม้าอะไรโหดขนาดนี้มาก่อน!


หลินหยาหันไปมองสารถีหนุ่มที่ยังคงนั่งบนเบาะหน้าอย่างเท่ ท่าทางเต็มไปด้วยความภูมิใจเหมือนเพิ่งทำภารกิจลับที่ไม่มีใครทำได้ เขาหันมายักคิ้วใส่นางด้วยสายตาประกายไฟ เป็นไงล่ะ เจ้าเห็นพลังของดอมโทเร็ตโต้แห่งต้าฮั่นหรือยัง  หญิงสาวหลุดหัวเราะเบา ๆ ถึงแม้ใจจะยังสั่นก็ตาม ก่อนยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างเต็มใจ “ท่าน…ทำได้ถึงใจจริง ๆ เจ้าค่ะ”


สารถีหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาฉายประกายความภาคภูมิใจสุดขีด “ขอบคุณขอรับ! ถ้าเป็นเส้นทางที่อันตรายกว่านี้ ข้าก็พร้อมขอรับ!”


ส่วนเจ้าเซียนเฉ่าที่หอบยังไม่หยุด นั่งพิงตัวหลินหยาเหมือนหมาที่เพิ่งผ่านความตายมา มันส่ายหัวช้า ๆ ในใจคร่ำครวญ ข้าอยากกลับไปนอนบนเบาะนุ่ม…ไม่น่าออกมาเลย…


หลินหยาลูบหัวเจ้าหมาน้อยพลางหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไรนะ เซียนเฉ่า เรามาถึงแล้ว…” ตรงเบื้องหน้า สะพานฉางป่านเฉียว ยืนตระหง่านกลางหมอกหนาทึบ แสงจันทร์สะท้อนเงาลงบนผิวน้ำเย่ที่สงบนิ่งผิดปกติสถานที่ที่เสียงกระซิบเรียกมานั้น กำลังรอคอยพวกเขาอยู่





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: โรลโคตรกาว 555 โคตรมันส์

ให้เงินหญิงม่าย 50 ตำลึงเงิน
จ่ายค่าซิ่งรถม้าของพี่สารถี 20 ตำลึงเงิน

รางวัล: -

99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

เมื่อคุณเดินไปจนถึงเนินเขา คุณปืนขึ้นเนินจะพบเห็นบุรุษในอาภรณ์สีแดงผมยาวสลวยยืนหันหลังอยู่  โพสต์ 2025-8-3 21:01
เสียงดังขึ้นให้คุณลงเดินไปตามลำพังบนเนินเขาข้าง ๆ ฝั่งขวา  โพสต์ 2025-8-3 21:00
โพสต์ 89078 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-8-3 19:37
โพสต์ 89,078 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก แหวนดาราจรัส(D2)  โพสต์ 2025-8-3 19:37
โพสต์ 89,078 ไบต์และได้รับ +14 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +18 คุณธรรม จาก ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ  โพสต์ 2025-8-3 19:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้