ฟ้ายังสลัวหมอกบางคลุมยอดไม้ หลินหยาสะพายสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยไว้ในแหวนดาราจรัส ข้างกายมีเจ้าเซียนเฉ่าก้าวเคียงอย่างกระฉับกระเฉง ทิ้งหุบเขากระเรียนหลบฟ้าไว้เบื้องหลัง รอยหมอกที่ค่อย ๆ ละลายไปพร้อมแสงแรกของอรุณทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเย็นและกลิ่นหอมชื้นของป่า หญิงสาวก้าวเดินตามทางดินที่คดเคี้ยวออกจากเขา เสียงลำธารยังแว่วตามหลังเหมือนเรียกให้หวนคืน แต่หลินหยามิได้หยุด เธอเพียงเหลียวมองหุบเขาที่คงความลี้ลับไว้และพึมพำเบา ๆ “ขอบคุณเจ้าค่ะ…สำหรับทุกอย่าง” ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
ไม่นานเส้นทางเริ่มกว้างขึ้นและลาดลง นางกับเซียนเฉ่าใช้เวลาไม่นานนักก็เห็นควันจากปล่องไฟไกล ๆ และเสียงผู้คนเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นสัญญาณว่าพวกนางออกจากเขตป่าเข้าสู่ตัวเมืองหนานหยางแล้ว เมืองหนานหยางยามเช้ายังคงคึกคัก ตลาดเช้ากลิ่นอาหารลอยอบอวล ร้านค้าต่าง ๆ เพิ่งเปิดประตู พ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง แต่หลินหยากลับเดินเงียบ ๆ ผ่านไปท่ามกลางผู้คนด้วยสายตาแน่วแน่ นางกำลังมองหาสิ่งเดียวรถม้าเช่าที่จะพาเธอไปยังจุดหมายต่อไป เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางเล็กน้อย เดินดมกลิ่นไปตามทางจนพาเจ้านายไปถึงลานกว้างที่มีรถม้าหลากหลายจอดรอเรียงกัน บรรดาสารถีพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสาร หลินหยากวาดสายตามองป้ายราคากับสภาพรถอย่างถี่ถ้วน
“คุณหนูหลิน เราจะไปที่ใดต่อไปขอรับ?” เสียงเจ้าเซียนเฉ่าดังขึ้นนุ่มนวลในหัว
หลินหยาก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ ยิ้มบาง “มุ่งตะวันออกเฉียงเหนือ…เราจะเข้าสู่เมืองซุนหยาง เขตยวี่โจว ที่นั่นมีหมู่บ้านน้ำค้างพรายซ่อนอยู่” เซียนเฉ่ากระดิกหางแรงขึ้น “เข้าใจแล้วขอรับ เส้นทางนั้นไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องระวัง…หมู่บ้านนั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึงเลยขอรับไม่เคยได้ยินเลย” หญิงสาวพยักหน้ารับ “ข้ารู้…และนั่นแหละที่ทำให้ข้าต้องไป”
เธอก้าวเข้าไปคุยกับสารถีหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างรถม้าสภาพแข็งแรง ท่าทางไม่ค่อยพูดแต่ดูไว้ใจได้ สนทนาไม่นานก็ได้ราคาที่เหมาะสม หลินหยาเช่ารถม้าพร้อมเตรียมเสบียงสำหรับการเดินทาง
เมื่อทุกอย่างพร้อม เธอก้าวขึ้นรถม้า เจ้าเซียนเฉ่ากระโดดขึ้นมานั่งข้าง ๆ อย่างสง่างาม ล้อไม้เริ่มหมุนช้า ๆ ออกจากเมืองหนานหยาง แสงอรุณแรกส่องลอดม่านหมอกคลายลงทางข้างหน้า เส้นทางมุ่งตะวันออกเฉียงเหนือกำลังเริ่มขึ้นปลายทางคือหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่ถูกลืมเลือน… และความจริงที่รอคอยหลินหยากำลังรออยู่ที่นั่น
รถม้าโยกไหวเบา ๆ ตามแรงล้อที่บดไปบนทางดิน หลินหยานั่งพิงเบาะไม้เรียบง่าย อุ้มเจ้าเซียนเฉ่าบนตัก ลูบขนนุ่มของมันช้า ๆ อย่างเงียบสงบ ดวงตาหวานทอดมองวิวข้างทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากบ้านเมืองสู่ทุ่งหญ้ากว้างและแนวต้นไม้ที่ยืดยาวสุดสายตา เสียงกีบม้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับกล่อมให้ใจของนางผ่อนคลายหลังจากผ่านเรื่องราวหนักหน่วงในหุบเขา ไม่นานนัก เสียงฝีเท้ารีบเร่งก็ดังมาจากด้านข้าง รถม้าค่อย ๆ ชะลอเพราะมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดผ้าป่านสีจาง อุ้มเด็กชายวัยเพียงขวบกว่าด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อยเพราะเหนื่อยล้า ข้างตัวมีเด็กหญิงตัวเล็กเกาะชายผ้าแน่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อทางที่ไม่คุ้นเคย
หญิงคนนั้นก้มหัวนอบน้อม เสียงหอบแต่สุภาพ “คุณหนูเจ้าคะ…ขอโทษที่รบกวน ท่านพอจะให้ข้ากับลูกสองคนติดรถไปได้หรือไม่เจ้าคะ? เรากำลังจะกลับบ้านที่เมืองซุยหยางเพราะเพิ่งพาลูกชายไปหาหมอที่หนานหยางพึ่งกลับมา ข้าอยากรบกวนได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลินหยามองแม่ลูกคู่นั้น แววตาของนางอ่อนลงทันที สายตากวาดมองแล้วไม่มีพิษภัยใด ๆ ให้ระแวง ร่างกายของหญิงแม่ม้ายดูอ่อนแรง แต่ยังคงกอดลูกชายไว้แน่นราวกับเกรงว่าโลกจะพรากเขาไป นางจึงระบายยิ้มเล็ก ๆ ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา “ขึ้นมาสิเจ้าคะ ข้าก็กำลังไปซุยหยางอยู่พอดี” หลินหยาเอ่ยเสียงนุ่ม
หญิงแม่ม่ายเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ…ขอบคุณจริง ๆ” สารถีช่วยพยุงทั้งสองขึ้นมานั่งด้านใน รถม้าจึงออกเดินต่ออีกครั้ง กลิ่นดอกหญ้าตามสายลมปลิวเข้ามาเจือกับกลิ่นฟืนและผ้าเก่าของผู้โดยสารใหม่ บรรยากาศด้านในอบอุ่นอย่างประหลาด เด็กหญิงตัวเล็กนั่งเบียดแม่ด้วยสายตากล้า ๆ กลัว ๆ มองหลินหยากับเจ้าเซียนเฉ่าเป็นพัก ๆ เจ้าเซียนเฉ่าที่อยู่บนตักของนางกระดิกหูหันมามอง ดวงตากลมใสของมันฉายประกายสนใจ จากนั้นเลียมือเล็ก ๆ ของเด็กหญิงที่ยื่นมาแตะขนมันอย่างแผ่วเบา
เสียงหัวเราะใสของเด็กดังขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “เขาชื่อเซียนเฉ่า เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”
แม่ม้ายยิ้มบาง ๆ ที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ บรรยากาศในรถม้าเต็มไปด้วยความเงียบสงบปนอบอุ่น หลินหยาลูบหัวหมาน้อยพลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเส้นทางยาวไกลมุ่งตะวันออกเฉียงเหนือ รอให้พวกนางไปถึงเมืองซุยหยาง และที่นั่น…ความจริงบทต่อไปกำลังรออยู่
รถม้าโยกคลอนช้า ๆ ตามเส้นทางที่ทอดยาวไปกลางทุ่งเขียว หลินหยาที่นั่งเงียบมาตลอดยกสายตามองหญิงม่ายที่นั่งตรงข้าม ร่างผอมบางของนางโอบกอดลูกชายวัยขวบแน่นราวกับเกรงเขาจะหายไป ดวงตาคล้ำล้าแต่นุ่มนวลของนางสะท้อนถึงความเหน็ดเหนื่อยที่สั่งสมมานาน ส่วนเด็กหญิงตัวเล็กที่เกาะชายผ้าแม่แน่น เงียบสงบแต่แอบเหลือบมองหมาน้อยเซียนเฉ่าที่นั่งข้างหลินหยาอย่างสนใจ หลินหยาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนโยน เธอเอื้อมมือแตะแหวนดาราจรัสบนมือขวา พลังมิติของแหวนนั้นส่องแสงจาง ๆ ก่อนที่อาหารหอมกรุ่นจะปรากฏออกมาในมือของเธอ
“แม่นาง…” หลินหยาพูดเสียงนุ่ม “ข้ามีอาหารติดตัวเยอะนักเจ้าค่ะ อย่าให้ข้าทานคนเดียวเลยเจ้าคะ ท่านกับเด็ก ๆ ก็ทานด้วยเถิด”
หญิงม่ายชะงักเล็กน้อยก่อนดวงตาจะสั่นระริกด้วยความเกรงใจ “มะ…ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทนได้ เชิญท่านทานให้สำราญเถิดคุณหนู”
หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาหวานฉายแววอบอุ่น “ข้าอยากให้ท่านได้รับแรงกายแรงใจหน่อย อีกทั้ง…อาหารนี้ทำด้วยใจของข้าเอง” เธอวางจานโค่วโร่วลงบนถาดไม้ กลิ่นหอมของหมูสามชั้นตุ๋นกับผักกาดดองเหมยกันไช่ลอยคลุ้ง เนื้อหมูเปื่อยนุ่มจนแทบละลายในปาก น้ำซอสเข้มข้นไหลซึมแผ่ไปทั่วจาน และวางเคียงกับไก่ขอทานทั้งตัว ที่ห่อใบบัวฉีกออกเผยกลิ่นสมุนไพรกับเครื่องเทศที่สอดแทรกอยู่ภายใน เนื้อไก่ขาวฉ่ำส่งกลิ่นหอมจนแม้แต่เจ้าเซียนเฉ่ายังยกจมูกขึ้นดม
เด็กหญิงตัวน้อยตาโต มองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาอยากได้แต่เกรงใจ หลินหยายิ้มพลางยื่นชิ้นหมูนุ่มให้ “ชิมสิจ๊ะ” เด็กหญิงลังเล ก่อนจะกัดคำเล็ก ๆ ดวงตาเธอเบิกกว้างราวกับพบสวรรค์ “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ!” เสียงใสทำให้แม่ของเธออมยิ้มบาง ๆ หญิงม่ายสุดท้ายก็ยอมรับอาหารจากหลินหยา น้ำเสียงสั่นเมื่อกล่าว “ขอบคุณท่าน…ขอบคุณจริง ๆ คุณหนู”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ คนกันเอง” หลินหยาตอบพร้อมตักไก่ขอทานชิ้นสวยแบ่งให้กับเธอ “เราเดินทางด้วยกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกัน” บรรยากาศในรถม้ากลับอบอุ่นขึ้นท่ามกลางสายลมยามเช้า กลิ่นอาหารลอยอวล ผสมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน หลินหยาลูบหัวเจ้าเซียนเฉ่าเบา ๆ ที่นั่งกินเนื้อส่วนนุ่มของตัวเองอย่างสุขใจ และในความเงียบที่เหลืออยู่ หัวใจของหลินหยากลับเต็มไปด้วยความสงบที่แผ่วเบาในขณะที่เส้นทางยังคงทอดยาวไปสู่เมืองซุยหยางเบื้องหน้า
เมื่อทุกคนทานโค่วโร่วและไก่ขอทานจนเต็มอิ่ม เสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวเล็กดังแผ่ว ๆ ภายในรถม้า หลินหยาก็ยกมือแตะแหวนดาราจรัสอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏถาดไม้เล็กที่วางขนมไหมฟ้าสีขาวนวลละมุน เส้นบางละเอียดราวเส้นไหมนับพันถักทอเป็นก้อนกลมคลุกด้วยไส้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาขาว และถั่วลิสง กลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งแตะจมูกตั้งแต่เปิดฝาออกมา หญิงสาวยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ย “ของคาวแล้วก็ต้องของหวานเจ้าค่ะ กินพร้อมกับชาเบญจมาศนี้นะเจ้าคะ”
นางรินชาเบญจมาศลงในถ้วยเล็ก กลิ่นหอมละมุนของกลีบดอกเหลืองอ่อนลอยอบอวลชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ยื่นให้กับสตรีแม่ม่ายและเด็ก ๆ พร้อมขนมไหมฟ้า แม่ม่ายมองขนมในมือด้วยแววตาตื่นตะลึง ปากสั่นเล็กน้อย “คุณหนู…ท่านกรุณาเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยได้ลิ้มของดีเช่นนี้มานานนัก” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ “อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าคะ ของหวานต้องได้แบ่งกันจึงจะหวานแท้”
เด็กหญิงหยิบขนมไหมฟ้าขึ้นมาส่งเข้าปาก แววตาเป็นประกายทันที “อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ! มันนุ่ม หวาน แล้วก็หอมถั่วด้วย!” เด็กน้อยหัวเราะแก้มเปื้อนขาวจากเศษขนม ส่วนเด็กชายขวบเศษในอ้อมกอดแม่ก็ยิ้มแป้น พอได้ชิ้นเล็ก ๆ ก็กินอย่างเพลิดเพลิน
เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางมองตาแป๋ว หลินหยาหันไปยิ้มก่อนหยิบขนมไหมฟ้าชิ้นเล็กให้ “เจ้าเอาไปชิ้นหนึ่งก็ได้จ้ะ” หมาน้อยกัดเบา ๆ หางกระดิกแรงแสดงความพึงใจ บรรยากาศในรถม้าเต็มไปด้วยความหวานละมุนและกลิ่นหอมอบอวล ชาเบญจมาศร้อน ๆ ช่วยคลายความเหนื่อยล้า ขณะที่ทุกคนลิ้มรสขนมไหมฟ้าอย่างสุขใจ
หญิงม่ายมองหลินหยาด้วยสายตาขอบคุณที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ “คุณหนู…ท่านใจดีนัก ข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” หลินหยาส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องตอบแทนเจ้าค่ะ แค่พวกท่านยิ้มได้ ข้าก็พอใจแล้ว” รถม้ายังคงเคลื่อนไปตามเส้นทางที่ทอดยาว ภายนอกสายลมเช้าพัดเบา ๆ กลิ่นดอกหญ้าลอยเข้ามาผสมกับกลิ่นขนมและชาหอมรัญจวน ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอบอุ่นที่ยากจะลืมเลือนระหว่างการเดินทาง
สายลมอ่อนพัดผ่านหน้าต่างรถม้า ขณะที่หลินหยายกมือเรียวเล็กออกไปนอกรถ ยื่นก้อนขนมไหมฟ้าให้สารถีหนุ่มที่กำลังควบม้าอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มหันมามองด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มอย่างซื่อ ๆ รับขนมมา “คุณหนู ขอบคุณมากขอรับ กลิ่นหอมชวนลิ้มรสนัก” หลินหยายิ้มบาง “กินดูสิเจ้าคะ ของหวานจะทำให้ทางไกลไม่น่าเหนื่อย” ระหว่างที่บรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่าน หญิงม่ายที่นั่งตรงข้ามเงยหน้ามองนาง ดวงตาสั่นระริกด้วยความสงสัยก่อนจะถามด้วยเสียงสุภาพ “คุณหนูเจ้าคะ…ท่านกรุณานัก ข้าสงสัยว่าท่านเป็นคุณหนูตระกูลใดหรือเจ้าคะ? ข้าไม่เคยพบสตรีใดที่มีน้ำใจเช่นท่านมาก่อน”
หลินหยายิ้มมุมปาก สายตาหวานทอดมองหญิงม่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ข้ามิใช่คุณหนูตระกูลใหญ่หรอกเจ้าค่ะ” เสียงนางนุ่มราวกับสายลม “ข้าเป็นเพียงแม่ค้าธรรมดาเท่านั้น กำลังเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองซุยหยาง”
“แม่ค้า…หรือเจ้าคะ?” หญิงม่ายเบิกตากว้างเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” หลินหยายิ้มจาง “อย่าเกรงใจที่ข้าให้ของให้อาหารเลยเจ้าค่ะ นี่คือสิ่งที่ข้าชอบทำอยู่แล้ว ให้ได้เห็นผู้อื่นยิ้ม ข้าก็สุขใจนัก” หญิงม่ายยิ้มกว้างขึ้น ดวงตาเปล่งประกายขอบคุณ ข้างตัวเด็กหญิงหัวเราะคิกเมื่อเจ้าเซียนเฉ่าเลียมือเธอเบา ๆ หลินหยาพิงเบาะ มองท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จากหมอกยามเช้ากลายเป็นฟ้าสีฟ้าอ่อน ดวงตาหวานพราวระยับเมื่อเอ่ยต่อ “ข้าเองต้องขอบคุณพวกท่านมากกว่า ที่มาร่วมเดินทางด้วย ทำให้การนั่งรถม้าของข้าไม่น่าเบื่อเอาเสียเลย” รถม้ายังคงเคลื่อนไปบนเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ และบรรยากาศอ่อนโยนที่ชโลมหัวใจของทุกคนในยามเดินทาง
เสียงล้อไม้บดกับพื้นดินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่รถม้ายังคงแล่นผ่านทิวทุ่งและต้นไม้ที่เรียงรายตามทาง หญิงม่ายมองหลินหยาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสนใจ ก่อนจะถามอย่างเกรงใจ “เช่นนั้นแล้ว…คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” หลินหยาหันกลับมามองนาง ดวงตาหวานเป็นประกายราวกับจะมีแสงอ่อนส่องออกมา นางยิ้มบางก่อนเอ่ย “ข้าจะไปที่หมู่บ้านน้ำค้างพรายเจ้าค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้หญิงม่ายถึงกับเบิกตากว้าง น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย “หมู่บ้านน้ำค้างพรายหรือเจ้าคะ?… นั่น…นั่นคือบ้านเกิดของข้าเอง!” คราวนี้เป็นหลินหยาที่อึ้ง นางมองหญิงม่ายด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ราวกับเจอเรื่องเหลือเชื่อ “นี่มันเป็นโชคชะตาหรืออย่างไรกันนะเจ้าคะ? ช่างบังเอิญจริงเชียว”
หญิงม่ายที่กอดลูกชายวัยขวบกว่าไว้แน่นก็ยิ้มทั้งที่ยังตกใจ “ข้าเองก็ตกใจนักเจ้าค่ะ เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้…มีคนต่างถิ่นมุ่งไปยังหมู่บ้านนั้นน้อยนัก แต่กลับได้พบกันในรถม้าคันนี้” บรรยากาศในรถม้ากลายเป็นเหมือนห้วงอบอุ่นที่มีเพียงผู้โดยสารไม่กี่ชีวิตซึ่งดวงชะตานำพามาพบกัน เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งข้างแม่หัวเราะคิกอย่างสนุกสนาน ขณะเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าที่เอนตัวลงให้เธอลูบขนและซุกหน้าอย่างน่ารัก หางมันกระดิกไปมาเป็นจังหวะ ส่วนเด็กชายวัยขวบกว่าที่อยู่บนตักแม่กลับหลับสนิท แก้มอวบแนบกับอกของผู้ให้กำเนิด ริมฝีปากเล็ก ๆ ขยับเบา ๆ ในความฝัน อากาศในรถอบอุ่นและนุ่มนวลจนแม้แต่เสียงหัวใจยังเต้นอย่างผ่อนคลาย
หลินหยาพิงหลังกับเบาะไม้ ดวงตาหวานฉายแววลึกล้ำพลางกระซิบกับตัวเอง “โชคชะตาหรือ… ถ้าเช่นนั้นก็คงจะดีเหลือเกิน” รถม้าแล่นไปอย่างมั่นคง นำพาผู้โดยสารทั้งสี่และหมาน้อยหนึ่งตัวมุ่งสู่เส้นทางสู่เมืองซุยหยาง รถม้าโยกไหวเบา ๆ ตามแรงวิ่งของม้า หลินหยานั่งหันหน้ามองสตรีม่ายตรงข้ามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น นางยิ้มบางแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “เช่นนั้นแล้ว…หมู่บ้านน้ำค้างพรายเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
หญิงม่ายเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังนึกถึงบ้านเกิดที่แสนไกล ดวงตาของนางหม่นแฝงด้วยความคิดถึง ก่อนจะค่อย ๆ เล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมู่บ้านนั้น…เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ริมธารกลางหุบลึกของภูเขาเจ้าค่ะ รอบหมู่บ้านจะมีป่าราบกว้างที่หมอกน้ำค้างหนาปกคลุมตลอดทั้งปี ยามรุ่งเช้าเหมือนโลกทั้งใบล่องลอยอยู่ท่ามกลางม่านหมอกเย็นชื้น เสียงน้ำจากธารสายเล็กจะดังไม่ขาดสาย…ผู้คนที่นั่นจึงมักพูดว่า หมู่บ้านเราถูกโอบอุ้มโดยหมอกน้ำค้างและเสียงของสายน้ำ”
หลินหยาฟังแล้วแววตาเป็นประกาย ภาพหมู่บ้านกลางหมอกเริ่มก่อรูปร่างในจินตนาการของนาง ก่อนจะถามต่อด้วยความสนใจ “แล้วท่านอาศัยอยู่ที่นั่นหรือเจ้าคะ?” หญิงม่ายส่ายหน้าแผ่ว ๆ พร้อมรอยยิ้มเศร้า “มิใช่เจ้าค่ะ…ข้าเพียงเกิดที่นั่นเท่านั้น หลังแต่งงานกับสามีจึงย้ายมาอยู่ในเมืองว่าน สามีของข้าทำงานในเมือง แต่เขาจากไปปีสองปีแล้ว…ตอนนี้ข้าอยู่กับลูก ๆ เพียงลำพัง”
หลินหยานิ่งฟัง สายตาหวานสะท้อนความเห็นใจ “ข้าขอโทษที่ต้องรื้อฟื้นความหลังนะเจ้าคะ” หญิงม่ายส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ…บ้านเกิดนั้นถึงจะไกลหน่อย แต่ความทรงจำยังอบอุ่นเสมอ”
เด็กหญิงที่นั่งข้างแม่ยิ้มสดใส แม้ไม่เข้าใจบทสนทนาลึกซึ้งนักแต่ก็เอ่ยเสียงใส “ท่านพี่…หมู่บ้านสวยนะ! มีน้ำค้างส่องแสงวิบวับทุกเช้าเลย!” หลินหยาหัวเราะแผ่ว ลูบหัวเด็กหญิงเบา ๆ “ฟังแล้วข้าอยากเห็นยิ่งนัก” รถม้ายังคงวิ่งไปบนเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ เสียงกีบม้าก้องไปกับสายลม ขณะที่ในใจของหลินหยาเริ่มเต้นแรงเพราะหมู่บ้านน้ำค้างพรายนั้นไม่เพียงแค่สถานที่ในแผนที่ แต่มันคือ ประตูต่อไปสู่ความจริง ที่นางต้องค้นหา
รถม้ายังคงเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ลมเช้าเย็นพัดลอดช่องหน้าต่างเข้ามา ทำให้บรรยากาศภายในอบอุ่นปนความสงบ หญิงม่ายมองหลินหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่ว “คุณหนู…เหตุใดท่านจึงจะต้องไปหมู่บ้านน้ำค้างพรายหรือเจ้าคะ? ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่แทบจะถูกลืมจากโลก มีคนอาศัยอยู่น้อยนัก และแทบไม่มีใครเดินทางไปหรอก”
หลินหยายกดสายตาลงเล็กน้อย มือเรียวลูบขนเจ้าเซียนเฉ่าที่นอนซุกบนตัก พลางตอบด้วยเสียงสงบนิ่งแต่แฝงความมุ่งมั่น “ข้ามาตามคำของสตรีคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว…นางฝากให้ข้าตามหาความจริง และเส้นทางนั้นพาข้ามุ่งไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นเจ้าค่ะ” หญิงม่ายชะงักไป ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “สตรีคนนั้น…นางนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”
หลินหยาหันไปสบตานาง ยิ้มบางก่อนตอบ “นางชื่อ…ลั่วซานเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น หญิงม่ายถึงกับเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นระริก ริมฝีปากขยับช้า ๆ เหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่างก่อนกลืนน้ำลาย “ลั่วซาน…หรือ?” เด็กหญิงที่กำลังเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าหยุดชะงัก หันมามองแม่อย่างงงงัน ส่วนเด็กชายวัยขวบกว่าก็ขยับตัวในอ้อมกอดแต่ยังไม่ตื่น หญิงม่ายเงยหน้ามองหลินหยาด้วยความตกใจ “ในหมู่บ้านของข้า…มีหญิงชราคนหนึ่งนามว่า ลั่วซาน จริง ๆ เจ้าค่ะ นางอยู่ลึกสุดท้ายในหมู่บ้าน ร่างผอมเล็ก ผมขาวโพลน ดวงตาแหลมคมราวกับรู้ทุกสิ่ง และที่น่าประหลาดที่สุด…นางมีความทรงจำเรื่องในวังเก่าอย่างกับเคยอยู่ในนั้น รู้เรื่องราวราชสำนักโบราณที่แม้คนในเมืองก็ยังไม่รู้ ราวกับนางมิใช่เพียงชาวบ้านธรรมดา”
คำพูดนั้นทำให้หลินหยาเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาหวานสั่นไหวเล็กน้อย หญิงชราลั่วซาน…นี่หมายความว่า…หรือจะเป็นนางจริง ๆ กันนะ?
หญิงม่ายยกมือขึ้นกอดลูกแน่นขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความระแวงปนเคารพ “ผู้คนในหมู่บ้านเรียกนางว่า ‘ผู้เฒ่าแห่งหมอก’…ไม่มีใครรู้ว่านางมาจากที่ใด แต่ต่างเกรงใจนางทั้งสิ้น นางมักเล่าคำเตือนถึงอดีตที่คนอื่นไม่เคยได้ยิน…” หลินหยาหลับตาลงช้า ๆ สูดหายใจลึก ก่อนจะพึมพำ “เช่นนั้น…ข้าคงมาถูกทางแล้วล่ะเจ้าค่ะ” เจ้าเซียนเฉ่าลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมมองเจ้านายอย่างเข้าใจ เส้นทางที่ทอดไปข้างหน้ายิ่งชัดเจนขึ้นในใจของหลินหยาหมู่บ้านน้ำค้างพรายมิใช่เพียงจุดหมายปลายทางธรรมดา แต่มันคือ กุญแจ ที่จะไขไปสู่ความจริงที่เธอตามหามาโดยตลอด
หญิงม่ายก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วลงจนแทบเป็นกระซิบ “แต่…หญิงชราผู้นั้น นางเสียชีวิตไปหลายปีแล้วนะเจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้น มองหลินหยาด้วยสายตาทั้งสงสัยทั้งเป็นห่วง “คุณหนู…ท่านจะไปเพื่อพบนางงั้นหรือ?”
หลินหยาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ดวงตาหวานทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่หมอกบางกำลังลอยคลอทิวไม้ ก่อนจะส่ายหน้าแผ่วด้วยรอยยิ้มที่ไม่แน่ชัด “ข้า…ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ว่าจะได้พบนางหรือไม่ ข้ารู้แล้วว่านางเสียชีวิตไปแล้ว” เสียงของนางมั่นคงขึ้นเล็กน้อย “แต่ในบันทึกของนาง…นางฝากคำไว้ให้ข้าเดินทางไปที่นั้น ข้าจึงต้องไป ไม่ว่าจะพบอะไรหรือไม่ก็ตาม”
หญิงม่ายมองหลินหยาอยู่นาน ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวราวกับปลดความกังวลที่คั่งค้างในอก “เช่นนั้น…ข้าจะบอกทางไปยังหมู่บ้านน้ำค้างพรายให้ท่านเองเจ้าค่ะ จะได้ไม่หลงทาง” นางกอดลูกชายที่หลับสนิทแน่นขึ้น ขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปไกลเหมือนกำลังย้อนกลับไปยังความทรงจำเก่า “หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ริมธารในหุบลึกของภูเขา เส้นทางเข้าแคบและล้อมด้วยป่าราบที่มีหมอกน้ำค้างปกคลุมตลอดทั้งปี ยามค่ำคืนจะมืดสนิทจนแม้แต่ไฟจากตะเกียงก็เลือนราง จึงมีเพียงคนในหมู่บ้านที่รู้ทางแน่ชัดซ้ำยังรู้ทางลัดไปที่นั้นด้วยความรวดเร็วด้วย” นางเงยหน้ามาสบตาหลินหยา น้ำเสียงจริงจังขึ้น “จากเมืองซุยหยาง เดินทางไปตามเส้นทางป่าที่ตัดขึ้นเหนือ แล้วจะพบสะพานไม้เก่าข้ามลำธาร เมื่อข้ามสะพานนั้นไปแล้ว จะมีทางสองแยก…อย่าเลือกทางซ้ายเด็ดขาด ทางนั้นพาไปสู่เหวและไม่มีวันกลับ ต้องเลือกทางขวาแล้วเดินตามเสียงน้ำไหลเข้าไปเรื่อย ๆ จนพบประตูไม้ไผ่เก่าที่ถูกหมอกปกคลุม นั่นแหละคือประตูเข้าสู่หมู่บ้านน้ำค้างพราย”
คำพูดของหญิงม่ายเหมือนแผนที่ที่วาดด้วยเสียง หลินหยารับฟังอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า ดวงตาหวานทอประกายขอบคุณ “ข้าจะจำไว้ทุกคำเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมาก” หญิงม่ายยิ้มบาง แม้ยังมีแววห่วงใยในดวงตา “ท่านจงระวัง…หมอกที่นั่นมิใช่หมอกธรรมดา และบางครั้ง…เสียงที่ได้ยิน อาจไม่ได้มาจากสิ่งที่ท่านคิด”
หลินหยาหลุบตาลง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ข้าจะไม่ลืมคำเตือนนี้แน่นอนเจ้าค่ะ”
รถม้ายังคงแล่นไปบนถนนที่เริ่มราบเรียบขึ้นเมื่อใกล้ถึงเขตเมืองซุยหยาง แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดม่านหมอกกระทบใบหน้าหวานของหลินหยา นางยิ้มบางและหันไปพูดกับสตรีม่ายที่นั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าว่าข้าจะพักที่เมืองว่านสักคืนก่อนเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ” หญิงม่ายที่ฟังอยู่ยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายความซาบซึ้ง “เช่นนั้น…พักที่บ้านข้าดีหรือไม่เจ้าคะ? ให้ข้าได้ต้อนรับขับสู้ผู้มีพระคุณเสียหน่อย”
หลินหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะระบายยิ้มอุ่น “หากได้ก็จะดีมากเลยเจ้าค่ะ ข้าขอบคุณท่านจริง ๆ”
ทันใดนั้นเสียงเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเซียนเฉ่าก็ดังขึ้นอย่างร่าเริง “พี่สาวคนสวยจะมานอนที่บ้านเราหรือเจ้าคะ?” ใบหน้าของเธอสว่างสดใสเต็มไปด้วยความดีใจ เหมือนเด็กที่รอเพื่อนใหม่มานาน หลินหยาหัวเราะร่า ขำกับท่าทางน่ารักนั้น “แน่นอนสิจ๊ะ เจ้าจะได้ฟัดพุงเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าทั้งคืนเลย”
เจ้าเซียนเฉ่าที่นอนซุกบนตักหลินหยา เงยหน้าขึ้นอย่างสงบแต่หางกระดิกแรงราวกับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกกล่าวถึง เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก รีบกอดมันแน่น ๆ แล้วพูดเสียงใส “ดีจังเลย! ข้าจะกอดพุงเจ้าทั้งคืนจนฟูนุ่มเลยนะ!” หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ลูบหัวหมาน้อยด้วยความเอ็นดู “เห็นไหมเจ้าล่ะ เซียนเฉ่า เจ้าจะถูกฟัดทั้งคืนแล้วนะ” หมาน้อยถอนหายใจเล็กน้อยแต่ดวงตากลมของมันฉายประกายยอมจำนนปนหยิ่ง ๆ ทำเอาทั้งหลินหยาและสตรีม่ายหัวเราะด้วยความเอ็นดู
บรรยากาศในรถม้าอบอุ่น รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยคลอไปกับสายลม ระหว่างทางสู่เมืองซุยหยาง ความเหนื่อยล้าแทบถูกลืมเลือน…เพราะหัวใจของทุกคนเต็มไปด้วยความสุขเล็ก ๆ ที่แบ่งปันกันในยามเดินทาง
แสงแดดยามเที่ยงส่องลอดผ่านใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ข้างทาง รถม้าหยุดพักใต้ร่มเงาเย็น สารถีหนุ่มจูงม้าไปปล่อยกินหญ้า ส่วนหลินหยาก็จัดแจงหยิบเสื่อผืนสะอาดออกมาจากแหวนดาราจรัส ปูบนพื้นหญ้าเรียบข้างทาง รอยยิ้มของนางแต่งแต้มใบหน้าเมื่อเห็นเด็กหญิงดีใจวิ่งมาช่วยกางเสื่อ ส่วนเด็กชายวัยขวบเศษในอ้อมกอดแม่ก็ดีดขาขำ ๆ เหมือนได้สูดอากาศสดใหม่ “วันนี้ข้าจะเลี้ยงมื้อเที่ยงให้เต็มที่เจ้าค่ะ” หลินหยาว่าอย่างขำ ๆ พร้อมดีดนิ้วเรียกเซียนเฉ่าที่นั่งรอหางกระดิก พริบตานั้น นางหยิบอาหารมากมายจากแหวนมิติออกมาเรียงจนเต็มเสื่อ
หมั่นโถวขาวนุ่มร้อน ๆ ถูกจัดไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้ง กุ้งผัดชาหลงจิ่งกลิ่นชาเขียวสดชื่นผสมกลิ่นกุ้งสดหวานชวนให้น้ำลายสอ ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว เนื้อขาวฉ่ำราดซีอิ๊วหอม ๆ ประดับด้วยขิงและต้นหอม เป็ดปักกิ่งหนังกรอบวาวมันหั่นเรียงพร้อมแผ่นแป้งและซอสหวานเข้มข้น ยังไม่หมดเท่านั้น หลินหยายังจัด บะหมี่ฉีซานเส้นเหนียวนุ่มคลุกซอสกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติจัดจ้านกำลังดี ขนมเฉียวกั่วและขนมเซาปิ่งแป้งบางไส้หวานร้อน ๆ วางเรียงเคียงชาเบญจมาศหอมกรุ่น หญิงม่ายอึ้งจนพูดไม่ออก น้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน “คุณหนู…นี่มันอาหารชั้นดีทั้งนั้น ข้าจะเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลินหยาหัวเราะพลางตักเนื้อปลาเก๋าใส่จานของนาง “อย่าเกรงใจเลยเจ้าค่ะ ข้าเตรียมมามากพอสำหรับทุกคน เรื่องกินเรื่องใหญ่ ข้าชอบให้ทุกคนอิ่มแล้วมีความสุข” เด็กหญิงปรบมือดีใจ “พี่สาวคนสวยเก่งจังเลย!” แล้วก็ก้มลงกินหมั่นโถวคำใหญ่ ส่วนเด็กชายวัยขวบก็หัวเราะชอบใจเมื่อแม่ยื่นชิ้นเป็ดให้เขาลองกัด
สารถีหนุ่มที่นั่งห่าง ๆ ด้วยเกรงใจถูกหลินหยาหยิบจานแล้วยื่นอาหารให้ตรงหน้า “ท่านสารถี อย่าอายเลยเจ้าค่ะ ทานด้วยกันเถิด” เซียนเฉ่าก็ไม่รอดสายตา หลินหยาหยิบชิ้นเนื้อกุ้งกับเนื้อเป็ดให้มันอย่างเอ็นดู หมาน้อยหางกระดิกแรงพร้อมกินอย่างสุภาพแต่แอบแซ่บไม่แพ้ใคร บรรยากาศบนเสื่อกลายเป็นงานเลี้ยงย่อม ๆ ทุกคนล้อมวงกินอาหารรสเลิศที่จัดเรียงรวมกันแบบไม่เกรงกริยาชาววังแต่เต็มไปด้วยความสุขแบบคนไทย(?) ทุกคำที่ทานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น
หลินหยาหัวเราะคิกคัก ขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ “บอกแล้วหรือไม่…เรื่องกิน ข้าไม่เคยทำเล่น ๆ” สายลมพัดพาเสียงหัวเราะและกลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยไปตามทาง เหมือนจะประกาศให้โลกทั้งใบรู้ว่าวันนี้คือวันแห่งความอร่อยและความสุขที่แท้จริงระหว่างการเดินทาง
ริมบึงข้างทางที่ดูเงียบสงบในตอนแรก กลับเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมผิดธรรมชาติ ฟองอากาศผุดขึ้นเป็นสายตามจังหวะ และเสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ ดังก้องในความเงียบ หลินหยาที่นั่งจิบชาอยู่หันสายตาคมหวานไปมอง ดวงตาเรียวยาวหรี่ลงทันที ร่างบางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ผ้าคลุมไหล่สะบัดเบา ๆ ตามแรงลม เงาดำคล้ายกึ่งคนกึ่งปลาโผล่ขึ้นจากผืนน้ำทีละตัว ลำตัวลื่นชุ่มน้ำ กล้ามเนื้อแข็งแรง ขาหนังลอกเป็นเกล็ดเป็นหย่อม ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายและราคะ ทั้งหมดจ้องมายังกลุ่มผู้โดยสาร โดยเฉพาะที่หลินหยา… สตรีเพียงที่ยืนหันหน้าตรงไปยังบึง
หญิงม่ายอุ้มลูกแน่น ตัวสั่นจนมือเกร็ง เด็กหญิงรีบซุกหน้าเข้ากับอกแม่ น้ำตาคลอ สารถีหนุ่มเริ่มจะคว้าไม้ แต่เสียงของหลินหยาเย็นเฉียบเอ่ยขึ้นก่อน “ปิดตาไว้นะเจ้าคะ…อย่ามอง ไม่ต้องกลัว” เสียงนั้นนุ่มทว่าแฝงแรงอำนาจจนทุกคนทำตามโดยไม่ลังเล หญิงม่ายกับลูกทั้งสองรีบปิดตา สารถีก็ก้มหน้าหลับตาแน่น เจ้าเซียนเฉ่ากัดฟันคุมตัวเองไว้ไม่ให้แปลงร่างตามสัญชาตญาณการปกป้อง
หลินหยาถอนหายใจแผ่ว ๆ คล้ายหงุดหงิดที่ถูกก่อกวนในเวลาพักผ่อน มือเรียวหยิบ ขลุ่ย ออกมาจากแขนเสื้อ ดวงตาหวานคมกริบวาววับมองเจ้าพวกปีศาจปลา “พวกเจ้าหน้าโง่…หื่นกระหายเนื้อมนุษย์งั้นหรือ? หึ…” รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้น “สักป๊าปไหม…เย็xแม่” ทันใดนั้นนางยกขลุ่ยขึ้นแนบริมฝีปาก แสงสะท้อนวาวจากแหวนดาราจรัสฉายประกาย ขณะที่เสียงเพลงแรกดังขึ้นเสียงแหลมใสสะกดความเงียบ ทุกโน้ตคือคมดาบที่ฟาดฟัน เสียงแทรกพลังปราณเฉียบขาดสะท้านไปทั่วบึง
ปีศาจปลาสี่ตัวส่งเสียงกรีดร้อง ลำตัวมันสั่นสะท้านเมื่อแรงสั่นสะเทือนจากเสียงขลุ่ยกระแทกลงในกระดูกและจิตวิญญาณ มันพุ่งเข้ามาหานางด้วยความบ้าคลั่ง แต่ทุกครั้งที่ขยับ เสียงโน้ตก็แทงทะลุร่างพวกมันเป็นแผลลึกจนเลือดสีคล้ำสาดกระเซ็น หลินหยาก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวสง่างามราวกับร่ายรำ ขลุ่ยในมือเป็นทั้งเครื่องดนตรีและอาวุธร้าย โน้ตสุดท้ายลากยาวกรีดอากาศ ปัง! คลื่นปราณระเบิดซัดร่างปีศาจปลากระเด็นกระแทกโขดหิน เลือดปนควันสีดำลอยคลุ้ง ก่อนร่างมันจะสลายเหลือเพียงซากเกล็ดกับเมือกเหนียวที่ค่อย ๆ ละลายไปกับน้ำ
ความเงียบกลับคืนมา หญิงสาวลดขลุ่ยลง ดวงตาหวานเย็นชืดราวกับน้ำแข็ง ก่อนที่รอยยิ้มขบขันจะคลี่ออก “ปัญญาอ่อน…คิดจะมาหาเรื่องข้า”
หลินหยาหันกลับไป สายตาอ่อนโยนทันทีเมื่อมองทุกคน “เปิดตาได้แล้วเจ้าค่ะ เรียบร้อยแล้ว” เจ้าเซียนเฉ่าหัวเราะหึหึในลำคอ หางกระดิกพอใจที่เห็นเจ้านายแสดงพลังอย่างโหดเหี้ยมสวยงาม ส่วนหญิงม่ายกับเด็กหญิงยังอึ้ง น้ำตาคลอเพราะทั้งตกใจและโล่งใจ เด็กหญิงพูดเสียงสั่น ๆ แต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “พี่สาวคนสวย…เก่งที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
หลินหยาหัวเราะคิก ยื่นขลุ่ยหมุนเล่นในมือ “ก็แน่นอนสิจ๊ะ…ใครจะมาทำร้ายพวกเจ้าในขณะที่ข้าอยู่กันเล่า?”
หลังจากจัดการพวกปีศาจปลาเสร็จ หลินหยาก็เก็บเกี่ยวสิ่งที่ใช้ได้จากซากที่เหลือ เธอเลือกเนื้อปลาส่วนดี โดยเฉพาะ ปลาเก๋า ตัวโตและ ปลาหางกระรอก ที่ยังสมบูรณ์ ก่อนสั่งให้เจ้าเซียนเฉ่าลากซากที่เหลือไปฝังไกล ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลิ่นดึงดูดสิ่งอันตรายอื่นมาใกล้ที่พัก เจ้าเซียนเฉ่ากระดิกหางรับคำแล้วลากซากไปฝังอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางเหมือนหมาน้อยตัวธรรมดา แต่เต็มไปด้วยพลังที่เกินกว่าใครจะจินตนาการ
หญิงม่ายกับสารถีหนุ่มที่ยืนมองอยู่กลับสบตากันด้วยความตื่นตะลึง ทั้งคู่เห็นกับตาว่าหลินหยาเพิ่งจัดการกับปีศาจได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของพวกเขามีทั้งความเกรงใจและประหลาดใจจนบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ หลินหยาที่รู้สึกถึงสายตานั้น หันกลับมาพร้อมหัวเราะร่า ดวงตาหวานพราวระยับ “มองข้าเช่นนั้นทำไมเล่าเจ้าคะ? ข้าเป็นแม่ค้าธรรมดา ๆ เองนะเจ้าคะ”
สารถีหนุ่มกลืนน้ำลาย กระซิบกับตัวเอง “แม่ค้าธรรมดาที่จัดการปีศาจได้แบบนั้น…”
หญิงม่ายยิ้มเก้อ ๆ เอ่ยแผ่ว “แม่ค้าธรรมดาหรือเจ้าคะ? ข้าไม่เคยเห็นแม่ค้าผู้ใดทำได้เช่นท่านเลย”
หลินหยาหัวเราะจนไหล่สั่น ยกมือโบกไปมา “ข้าบอกแล้วนี่ว่าเป็นแม่ค้าจริง ๆ เนี้ย ๆ ข้าเปิดร้านขายสมุนไพร ดอกไม้กับเครื่องหอมอยู่ที่ฉางอัน ชื่อร้านเซียงเฉินเสี่ยวพู้เจ้าค่ะ” นางยักคิ้วขำ “แต่พวกท่านคงไม่รู้จักหรอก เจ้าคะ เพราะเพิ่งเปิดได้แค่สองสัปดาห์เอง” หญิงม่ายกับสารถีหัวเราะออกมาพร้อมกัน คราวนี้บรรยากาศคลายลง กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง เด็กหญิงที่กอดเจ้าเซียนเฉ่าก็พูดเสียงใส “พี่สาวแม่ค้าคนนี้เท่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พร้อมตักข้าวเพิ่มให้ทุกคน “ก็เพราะเป็นแม่ค้าธรรมดานี่แหละ ถึงต้องเก่งเอาไว้ป้องกันตัวเองไงเจ้าคะ” กลิ่นอาหารหอมอบอวลอีกครั้ง ทุกคนกลับมาล้อมวงกินข้าวกลางวันต่อ เสียงพูดคุยและหัวเราะแว่วคลอไปกับสายลม ราวกับไม่มีเหตุอันตรายใดเกิดขึ้นเมื่อครู่เลย
แดดบ่ายคล้อยทาบเงาต้นไม้ทอดยาวบนเส้นทาง รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่เริ่มลาดเรียบ ล้อไม้บดไปบนพื้นดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงลมพัดแผ่วและกลิ่นหอมของทุ่งหญ้าปะปนกับกลิ่นไม้ทำให้บรรยากาศอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากอาหารกลางวันที่จัดเต็มและอร่อยเกินพอ หลินหยาเอนหลังพิงเบาะไม้ ดวงตาหวานค่อย ๆ ปรือ หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ร่างบางค่อย ๆ เอนศีรษะพิงข้างหน้าต่างรถม้า เส้นผมปลิวเบา ๆ ตามจังหวะล้อหมุน ภายในไม่กี่อึดใจ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็เผยว่านางหลับไปแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งกอดเจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าอยู่ข้าง ๆ ก็หลับตามไปในอ้อมแขนเล็ก ๆ ของตัวเอง ขนของเซียนเฉ่าฟูนุ่มเป็นหมอนอุ่นชั้นดี ส่วนเจ้าหมาน้อยก็หลับตาพริ้ม หายใจเบา ๆ ปล่อยให้ตัวเองถูกกอดจนแน่นโดยไม่บ่นอะไร ส่วนเด็กชายวัยขวบเศษก็หลับสบายบนตักแม่ แก้มกลมขยับเบา ๆ ในฝัน
ภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงล้อไม้และลมพัดคลอ หญิงม่ายที่ยังไม่หลับหันไปมองภาพนั้นภาพของหญิงสาวแปลกหน้าที่ตนเพิ่งรู้จักไม่กี่ชั่วยาม กลับทำให้หัวใจอบอุ่นราวกับอยู่ท่ามกลางมิตรแท้ นางยิ้มอ่อน พลางคิดในใจ แม่นางผู้นี้…ช่างเป็นคนดีเกินไปแล้ว น่ารักจริง ๆ รถม้าแล่นต่อไปภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี เส้นทางตรงหน้ามุ่งสู่เมืองซุยหยางยังอีกยาวไกล แต่ในรถม้าเล็ก ๆ คันนี้กลับเต็มไปด้วยความสงบสุขและไออุ่นที่หาได้ยากบนเส้นทางแห่งโชคชะตา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างราบรื่นท่ามกลางเสียงกีบม้ากระทบพื้นดินที่เปลี่ยนจากถนนลูกรังเป็นทางหินเรียบ เมื่อหลินหยาเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของลมยามเย็นลอดเข้ามาในรถ ดวงตาหวานยังปิดสนิท ร่างบางขดเล็กน้อยบนเบาะ เส้นผมยุ่งเล็ก ๆ แนบแก้ม ขณะริมฝีปากเผยอน้อย ๆ น้ำลายใสไหลยืดตรงมุมปากภาพนี้ทำให้เด็กหญิงที่ตื่นก่อนแอบหัวเราะคิกคัก
เมืองว่านที่อยู่ตรงหน้าเป็นดั่งภาพในพงศาวดาร ภูมิภาคนี้สงบเงียบ ล้อมรอบด้วยลุ่มน้ำกว้างและที่ราบสีเขียวที่ทอดไกลไปจนสุดสายตา หมู่บ้านและบ้านเรือนเรียงรายเป็นระเบียบ ท่ามกลางฉากหลังของภูเขาตะวันออกเฉียงเหนือที่สูงชันบางลูกปกคลุมด้วยหมอก สตรีม่ายที่นั่งเฝ้ามองหลินหยาหลับน้ำลายยืดมานาน ยิ้มเอ็นดูอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนของนางเบา ๆ “คุณหนู…ถึงแล้วเจ้าค่ะ เมืองว่าน”
หลินหยาขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่ลืมตา เสียงครางอืมอือดังแผ่ว แทนที่จะตื่นกลับซุกหน้าลงกับเบาะหลับต่อ น้ำลายเริ่มไหลยืดยาวกว่าเดิมจนเจ้าเซียนเฉ่าต้องเลียแก้มปลุกด้วยความรำคาญ เด็กหญิงหัวเราะคิกเสียงดัง “พี่สาวคนสวยนอนน้ำลายยืดเลย!” หญิงม่ายส่ายหัวพลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเขย่าตัวหลินหยาน้อย ๆ “แม่นางน้อย…ตื่นเถิดเจ้าค่ะ ถึงที่แล้ว”
หลินหยาในที่สุดกะพริบตาปรือ ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ ผมเผ้ายุ่งนิดหน่อย มือเช็ดมุมปากพลางบ่นงัวเงีย “อืม…ถึงแล้วหรือเจ้าคะ…ข้านึกว่าฝัน” สารถีหนุ่มที่ยืนข้างรถก็กลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ มองภาพคนง่วงที่เพิ่งตื่นลุกขึ้นจัดผมอย่างเก้อ ๆ แต่ในสายตาทุกคน นางยังคงดูน่ารักไม่ว่าจะในสภาพใด
ท้องฟ้ายามเย็นของเมืองซุยหยางแผ่คลุมด้วยแสงส้มทอง ทุกสิ่งเหมือนถูกชโลมด้วยความสงบ และนี่…คือจุดเริ่มต้นใหม่ของการผจญภัยในหมู่บ้านน้ำค้างพรายที่อยู่ไม่ไกลนัก
แสงอาทิตย์ยามเย็นค่อย ๆ ลับขอบฟ้า ขณะที่รถม้าหยุดลงตรงหน้าบ้านไม้เล็ก ๆ ของสตรีม่ายในเมืองซุยหยาง หลินหยาลงจากรถม้า ยิ้มบางแล้วควักเหรียญเงินจำนวนหนึ่งส่งให้สารถีหนุ่ม “นี่สำหรับความลำบากในการเดินทางวันนี้เจ้าค่ะ” สารถีหนุ่มชะงักไป ดวงตาสั่นระริกด้วยความซาบซึ้ง ก่อนก้มหัวลึก “คุณหนู ข้าขอบคุณท่านจากใจจริงขอรับ”
เมื่อรถม้าจากไป หลินหยาก้าวเข้าสู่บ้านไม้เก่า ๆ ที่แม้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยไออุ่น กลิ่นไม้เก่าและหญ้าแห้งอบอวลอยู่ในอากาศ ผนังบางส่วนเริ่มผุพัง และหลังคามีรอยซ่อมแซมอย่างลวก ๆ แต่ภายในสะอาดสะอ้านและอบอุ่น สตรีม่ายยิ้มต้อนรับพลางพูด “บ้านข้าเรียบง่ายนัก แต่ข้าหวังว่าท่านจะอยู่สบาย”
“สบายมากเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบด้วยรอยยิ้มจริงใจจะเอาอะไรกับคนที่เคยนอนศาลเจ้าเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพักในฉางอันล่ะ
ค่ำนั้นอาหารที่หญิงม่ายจัดไว้เรียบง่าย มีเพียงข้าวร้อน ผักต้ม และเนื้อสัตว์เล็กน้อย แต่รสชาติกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจ หลินหยารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย พลางชื่นชมฝีมือของนางจนหญิงม่ายยิ้มทั้งน้ำตา หลังจากอาหารค่ำ ทุกคนจึงแยกย้ายไปพักผ่อน ภายในห้องน้อยของแขก หลินหยานั่งอยู่บนเสื่อผ้าที่ปูเรียบง่าย ข้าง ๆ นางคือเด็กหญิงที่ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของหมอนเก่า ๆ เจ้าเซียนเฉ่าก็กลิ้งตัวซุกพุงข้างขาเจ้านาย หางกระดิกน้อย ๆ เป็นจังหวะในยามหลับ
แสงตะเกียงน้ำมันส่องสลัว หลินหยาหยิบตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อออกมาจากแหวนดาราจรัส เปิดหน้ากระดาษที่ถนอมไว้อย่างดี ลายมือเรียงเป็นระเบียบแสดงถึงความตั้งใจของผู้เขียน เธอพลิกอ่านไปทีละบรรทัด ความเงียบสงบในยามค่ำทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของเด็กหญิงและเจ้าหมาน้อย
นิ้วเรียวบรรจงลูบตามรอยหมึกเก่า พลางกระซิบกับตัวเองแผ่ว ๆ “เมนูที่อ่านค้าง อืม…จะลองทำซุปกระดูกใสใบหลิวดีไหมนะ” สายลมเย็นลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่าเข้ามา ปะปนกับกลิ่นของสมุนไพรและไม้แห้ง เสียงแมลงกลางคืนดังประสานเป็นท่วงทำนองขับกล่อม หลินหยายิ้มบาง ก่อนโน้มตัวลงเอนพิงหมอน ใช้ตำรานั้นเป็นเพื่อนในยามค่ำคืน ใต้แสงตะเกียงเล็ก ๆ หญิงสาวกับหมาน้อยและเด็กหญิงนอนหลับเคียงกัน ภาพแสนอบอุ่นก่อนรุ่งเช้าจะนำพานางไปสู่เส้นทางใหม่…สู่ หมู่บ้านน้ำค้างพราย ที่รออยู่เบื้องหน้า