[โรงเตี้ยมชางลั่งถิง] โถงกลาง

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-9-8 10:42:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 22 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  13.00

เด็กหนุ่มอยากลองทำภารกิจบ้าง เขาจึคงตัดสินใจรับภารกิจส่งปลาให้วังหลวง

โดยเด็กหนุ่มดึงป้ายประกาศภารกิจแล้วนำไปส่งที่เค้าเตอร์

"พี่สาวข้าขอรับภารกิจนี้ขอรับ" เด็กหนุ่มยื่นใบงาน

"เข้าใจแล้วคะ ทางราชวังประกาศรับปลาสดจอมยุทธ์ทั้งหลายที่สามารถหาปลาได้ นำปลาไปส่งที่ประตูไท่เหอ" รายละเอียดงานดังนี้ เจ้าส่งปลาแล้วก็รับรางวัลที่ประตูไท่เหอได้เลย

เด็กหนุ่มพยักหน้าขอบคุณก่อนที่จะเดินไปเตรียมส่งปลาสด


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 2293 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-8 10:42
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2

9

กระทู้

86

ตอบกลับ

4762

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
4296
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
680
เหรียญอู่จู
13067
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
347
ความชั่ว
0
ความโหด
164
โพสต์ 2024-9-8 13:52:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พักหลัง หลับนอนหนึ่งคืน

เอี๊ยดด…

รถม้าของหมิงชุนสุ่ยจอดลงที่ด้านหน้าของโรงเตี้ยมชางลั่งถิง หมิงชุนสุ่ยเดินก้าวลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีสูงศักดิ์ตามประสาคุณชายสกุลใหญ่ที่ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กมือเรียวโอบอุ้มเจ้าก้อนขนสีขาวที่นอนขนซุกอยู่ภายในอ้อมแขน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองดูป้ายชื่อโรงเตี้ยมนิ่ง โรงเตี้ยมที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองฉางอัน กล่าวกันว่าอายุโรงเตี้ยมแห่งนี้เก่าแก่พอๆกับเมืองหลวงแห่งนี้เลยทั้งการบริการที่เป็นหนึ่ง และอาหารรสเลิศจึงยิ่งทำให้ผู้คนที่เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงยิ่งต้องการพักที่โรงเตี้ยมที่มีชื่อเสียงแห่งนี้จนคิวยาวเหยียดไปหลายเดือน

หวังว่าโรงเตี้ยมแห่งนี้ยังเหลือห้องว่าให้เขาและคนของเขาได้พักผ่อนในค่ำคืนนี้นะ

ขาเรียวยาวเดินก้าวเข้าไปด้านในโรงเตี้ยมเสียงพูดคุยดังเคล้ามากับเสียงชนแก้วของผู้คนที่มาดื่มสังสรรกันในยามค่ำคืนเพียงแต่เสียงเหล่านั้นคล้ายเงียบลงไปครู่หนึ่งพร้อมกับสายตามากมายที่พากันมาจับจ้องผู้ที่มาใหม่ แล้วรีบพากันหันกลับไปสนใจเรื่องคนตนเองกันต่อเพียงเพราะถูกสายตาคมกริบของชายหนุ่มใต้อาภรณ์ของสตรีสีกลีบบัวมองสบกลับมา ในนครฉางอันคงไม่มีผู้ใดอยากต่อปากต่อคำหรือถูกคุณชายน้อยตระกูลหมิงด่าจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกหรอก

“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับขอรับ คุณชายหมิง โรงเตี้ยมชางลั่งถิงของเรายินดีต้อนรับไม่ทราบว่าคุณชายต้องการดื่มหรือทานอาหารดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี้ยมเห็นแขกที่เข้ามาใหม่ก็รีบเข้ามาให้การต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพแทบทันที

“ข้าพึ่งกลับมาจากไท่โจว เห็นว่าดึกแล้วไม่อยากให้คนที่จวนวุ่นวายเลยจะพักที่นี่คืนหนึ่ง มีห้องว่างหรือไม่” หมิงชุนสุ่นกล่าวบอกความต้องการของตนเอง มือบางลูบขนสีขาวของแมวน้อยในอ้อมแขนขณะกวาดสายตามองไปรอบโรงเตี้ยมเพื่อหาที่ว่างสำหรับนั่งทานอาหารไปด้วย

“แล้วก็ข้าจะทานอาหารด้วย”

“มีขอรับ เรามีห้องว่างสำหรับคุณชายอยู่แล้วขอรับ ไม่ทราบคุณชายต้องการห้องแบบใดหรือขอรับ”เสี่ยวเอ้อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพทั้งที่ในใจกลับลอบปาดเหงื่อไปแล้วหลายต่อหลายรอบเพราะเกร็งเหลือเกิน กลัวว่าตนจะกล่าวสิ่งใดขัดหูคุณชายผู้แสนเอาแต่ใจตรงหน้า

“ห้องไหนก็ได้ขอเงียบๆ ต้องไม่มีเพื่อนข้างห้อง ข้าไม่ชอบให้มีเสียงดังหรือเสียงพูดคุยตอนนอน อ้อข้าจะพักกับคนติดตามข้าขอห้องที่ใหญ่หน่อย ข้าจะทานอาหารก่อน โต๊ะตรงหน้าต่างนั่นว่างใช่หรือไม่ ข้าจะนั่งโต๊ะนั้น ส่วนอาหารเอามาสักสามสี่อย่าง น้ำชาหนึ่งกา น้ำเปล่าหนึ่งถ้วย ข้าวเปล่าสองถ้วย ถ้วยหนึ่งขอเป็นข้าวหุงปกติ อีกถ้วยขอของข้าของหุงแบบที่แฉะหน่อยข้าไม่ชอบกินข้าวแข็งและแห้ง อาหารที่นำมาต้องไม่มีผักที่มีผักกลิ่นฉุน ไม่มันจนเกินไป น้ำแกงต้องไม่หนักพริกไทย แล้วก็ข้าต้องการปลาย่างหนึ่งตัวไม่ต้องปรุงรส ก่อนนำมาพัดให้เย็นแกะก้างออกให้หมดข้าจะเอามาป้อนแมวข้า ไม่ ไม่เอา ไม่ต้องแกะเดี๋ยวข้าให้คนของข้าแกะ กลัวคนของเจ้าจะทำไม่สะอาดประเดี๋ยวแมวของข้าจะท้องเสีย เท่านี้แหละ”

กล่าวจบหมิงชุนสุ่ยก็สะบัดหน้าเดินนำไปยังโต๊ะข้างหน้าต่างตัวที่กล่าวทันทีที่ ทิ้งให้เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี้ยมของร้านมองตามหลังไปด้วยรอยยิ้มแห้งและใบหน้าที่พร้อมหลั่งน้ำตาออกมาตลอดเวลา

“ขะ..ขอรับคุณชาย”

หมิงชุนสุ่ยเดินมาทรุดกายนั่งรออาหารของตนที่สั่ง พลางผินหน้าออกไปภายนอกโรงเตี้ยมมองดูแสงไฟและความครึกครื้นของเมืองหลวงที่ไม่ได้เห็นมาร่วมเดือน ก่อนจะเบนสายตาไปมองคนติดตามของตนที่เดินตามเข้ามานั่งที่โต๊ะหลังจากที่นำรถม้าไปจอดที่โรงจอดรถม้าของโรงเตี้ยม

“คุณชายสั่งอาหารแล้วหรือขอรับ”เจียวจ้านกล่าวถามผู้เป็นนายพร้อมยืนมือไปกันเจ้าแมวน้องที่เดินสำรวจอยู่บริเวณริมโต๊ะเพราะกลัวมันจะกลิ้งตกลงไปจนเจ็บตัว

“อืม เจ้าล้างมือแล้วใช่หรือไม่”

“ล้างเรียบร้อยแล้วขอรับ”

หมิงชุนสุ่ยเพียงพยักหน้าแล้วไม่ได้กล่าวต่อ ทั้งยังต่อไม่ว่าอะไรที่บ่าวของตนมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับตนที่เป็นนาย ทั้งที่โดยปกติบ่าวควรที่จะนั่งแยกโต๊ะกับนาย จะกล่าวว่าเขาชินแล้วก็เป็นได้เพราะเขากับเจียวจ้านอยู่และเติบโตมาด้วยกันจนแถบจะกลายเป็นคนในครอบครัวของเขาแล้วทั้งนิสัยต้องมีเพื่อนร่วมโต๊ะจึงจะเจริญอาหารทำให้ทุกครั้ง หากเขาไม่ได้ทานอาหารครอบครัวก็จะเรียกให้เจียวจ้านมานั่งร่วมโต๊ะอยู่ร่ำไปผิดวิสัยของคุณชายตระกูลใหญ่ยิ่งจนเป็นที่เล่าลือกันไปในเมืองว่าคุณชายน้อยตระกูลหมิงเป็นคนวิสัยแปลกประหลาดบ้าง หัวสมองฟั่นเฟือนบ้าง

แล้วถามว่าเจ้าตนสนใจไหม แน่นอนว่าไม่

เพียงไม่นานอาหารตามที่หมิงชุนสุ่ยสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะหลังจากสองนายบ่าวและหนึ่งแมวทานอาหารกันเสร็จก็พากันขึ้นไปยังห้องพักที่ทางเสี่ยวเอ้อร์จัดเอาไว้ให้ที่ชั้นสาม โดยมีคนสนิทอย่างเจียวจ้านช่วยตรวจดูความเรียบร้อยภายใน และภายนอกห้องจนเสร็จสรรจึงสมควรแก่เวลาที่พวกเขาจะพักผ่อนหลังจากที่เดินทางกันมาหลายร้อยลี้






แสดงความคิดเห็น

อย่าลืม +ภาษีโอนทุกครั้งให้ยอดมาถึงปลายทาง = จำนวนยอดจริง  โพสต์ 2024-9-8 19:38
โอนชำระค่าที่พักตามจำนวนที่พักค้างคืนกี่วัน และเสนอสร้างห้องพักได้เลย เพื่อใช้ในการพักผ่อนฟื้นฟูพลังงานประจำวัน  โพสต์ 2024-9-8 19:36
โพสต์ 13482 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-8 13:52
โพสต์ 13,482 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-9-8 13:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x10
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x6
x14
โพสต์ 2024-9-8 18:38:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด




[โซนขายของ]


(1) โรลเพลย์ซื้อขายสินค้าภายในโรงเตี๊ยม

(2) โอนเงินชำระสินค้า รวมภาษีทุกครั้ง


หมายเหตุ: สินค้าหมดแล้วหมดเลย โปรดดูโรลเพลย์ในแต่ละสัปดาห์ก่อนจับจ่ายซื้อของ


*สินค้าขายเดือน 9-10*


เนื้อเป็ดอูยา 200 สต๊อก

มูลค่าสินค้า(ต่อชิ้น): 50 อีแปะ


เนื้อกวาง 200 สต๊อก

มูลค่าสินค้า(ต่อชิ้น): 50 อีแปะ


เกลือ 500 สต๊อก

มูลค่าสินค้า(ต่อชิ้น): 520 อีแปะ


เนื้อไก่ดำ 200 สต๊อก

มูลค่าสินค้า(ต่อชิ้น): 70 อีแปะ




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4072 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-8 18:38
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x20
x894
x2
x1
x50
x1
x1
x1
x1
x100
x2
x3
x10
x5
x2
x1
x4
x50
x50
x2
x20
x38
x20
x2
x2
x119
x140
x120
x50
x2
x9
x5
x2
x875
x4
x4
x30
x68
x196
x20
x100
x130
x13
x1
x4983
x4
x19
x5
x3
x200
x200
x300
x450
x1
x2
x28
x7
x6
x1
x1
x3
x600
x218
x200
x350
x500
x400
x500
x200
x500
x200
x500
x9
x2
x508
x3
x3
x3
x2
x8
x1
x19
โพสต์ 2024-9-10 12:08:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 23 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  15.00




หลังจากจัดการมหกรรม ล่าฆ่าไม่เลี้ยงแจกจ่ายมนุษย์ปลา และหอย อย่างทั่วถึง เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจกลับเมืองกับเจ้าหมา เพื่อมาหางานทำที่โรงเตี๊ยม


'มีงานอะไรให้ข้าทำบ้างนะ' เด็กหนุ่มคิดในใจก่อนที่จะเดินดูที่โรงเตี๊ยม


ฝูงไก่ปีศาจ

ตกกลางคืนข้ามักได้ยินเสียงบางอย่างน่ากลัว ๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงอะไรทำข้าขนลุกไม่กล้าออกไป
เมื่อรุ่งเช้าพบว่าหน้าร้านข้าเละเทะไปหมดเลยราวกับโดนขโมยรื้อค้น แต่มีขนไก่ร่วง ข้ากลัวว่าจะเป็นปีศาจไก่
ได้โปรดจอมยุทธ์ที่กล้าหาญทั้งหลายมาช่วยจับเจ้าวายร้ายตัวนี้ให้ข้าทีเถอะ

เด็กหนุ่มเห็นงานนี้ก็รู้สึกถูกใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นงานี่ล่าปีศาจ เข้าดึงป้ายประกาศและตัดสินใจรับงานนี้

"แม่นางขอรับข้าขอไปทำงานฝูงไก่ปีศาจขอรับ" เด็กหนุ่มกล่าวกับพนักงาน

"ได้เจ้าค่ะ ไก่ค่อนข้างอันตรายนะคะ ว่ากันว่ามันโหดร้ายกว่ามนุษยืปลาอีก ระวังตัวด้วยนะคะ" แม่นางกล่าวเตือน

เด็กหนุ่มพยักหน้าและเตรียมเดินไปร้านฉาบู๋





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4665 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-10 12:08
โพสต์ 4,665 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-10 12:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-10 12:37:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 24 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  5.00




"คารวะท่าน ข้านั้นมาขอรับรางวัลภารกิจฝูงปีศาจไก่ขอรับ นี่คำยืนยันสำเร็จภารกิจจากเถ้าแก่" เด็กหนุ่มกล่าวและยื่นป้ายให้กับเค้าเตอร์


เขารับมาและตรวจสอบอยู่ครู่นึงก็ทำการส่งรางวัลให้


"ขอบคุณสำหรับการทำงานอย่างขยันขันแข็งนะครับ" เขายิ้มและกล่าวขอบคุณ


เด็กหนุ่มกล่าวยิ้มรับ


-------------------------------


ัรับรางวัลภารกิจฝูงปีศาจไก่ - รางวัล +60 พลังใจ, 80 ตำลึงเงิน , +55 EXP และ +50 คุณธรรม และ ของตอบแทนจากเถ้าแก่ฝากให้คุณ หม้อไฟเป่ยผิง 1 หม้อ



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 55 EXP โพสต์ 2024-9-10 13:16
คุณได้รับ +50 คุณธรรม โพสต์ 2024-9-10 13:16
โพสต์ 3611 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-10 12:37
โพสต์ 3,611 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-10 12:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +60 ตำลึงเงิน +80 ย่อ เหตุผล
Watcher + 60 + 80

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-10 15:47:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 24 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10 เวลา  10.00 - 20.00



หลังจากที่ล่าสัตว์ป่าจนเกือบจะหมดป่า เด็กหนุ่มก็กลับมาที่โรงเตี๊ยมชางเพื่อมาพักผ่อนหย่อนใจและหางานพิเศษทำ


"พี่พนักงานขอรับ ข้าขอทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟนะขอรับ" เด็กหนุ่มกล่าวสมัครกับพนักงาน


"ได้เลยน้องชาย" ชายหนุ่มชูนิ้วโป้ง


เด็กหนุ่มขยันขันเเข็งวิ่งรับออเดอร์และงาน รวมถึงเขาก็ได้ฟังข่าวลือที่น่าสน


'เฮ่อถูเจวี่ยอดีตพระสนม ถูกประทานยาพิษ และส่งศพกลับบ้าน'


'ดูเหมือนฝ่าบาทจะเจอคนโปรดแล้ว ยามไปประพาสนั้นช่างหวานแหวว (แม่น่างลู่)'


'ปีศาจปลาออกอาละวาด และจับกลุ่มกัน มีหญิงสาวหายตัวไปหลายต่อหลายคน'


'ลัทธิขงจื๊อ เขียนหนังสือเทศน์ออกสู่วงกว้าง โจมตีศาสนาม่อจื๊ออย่างหนัก'


'ซูโจวเกิดอุททกภัย โชคดีผิงหยางกงจู๋เสด็จไปแก้ไข'


'หมู่บ้านกลางทะเลตงไห่ มีอุกกาบาตตกกระทบลงมา มีมนุษย์มารออกอาละวาดจากอุกกาบาตที่ตก'


'ลู่เจ้าอี้ กับฝ่าบาท แท้จริงแล้วมิใช่พึ่งเคยเจอกัน แต่กลับเป็นกระทั่งคู่รักวัยเยาวน์กัน!'


จนกระทั่งหมดวัน เด็กหนุ่มก็ไปรับเงิน และกลับไปพักผ่อน โดยที่ไม่รู้เลยว่า วันพรุ่งนี้เขานั้นจะไม่เหมือนเดิม




------------------------



ค่าจ้าง: 200 อีแปะ - 15 EXP

+10 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวประกาศ เฮ่อถูเจียยวี๋ถูกบรรจุโลงและเตรียมขบวนเดินทางส่งพระศพขึ้นเหนือ
+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือ ข่าวซุบซิบจากทหารรักษาการณ์ฉางอันที่ได้ไปอารักขาฝ่าบาทและลู่เจาอี๋

+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือ ปีศาจปลาอาละวาด

+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือ หมัดเด็ดขงจื๊อ

+15 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือ ซูโจวเกิดอุททกกระภัย

+10 EXP สำหรับผู้ฟังข่าวลือ อุกกาบาตกลางทะเล

+15 EXP ผู้ฟังข่าวลือ ความจริงของความสัมพันธ์ ระหว่างฝ่าบาทกับพระสนม



-------------------------



EXP จากการทำงาน 15

EXP จากข่าวลือ 10+15+15+15+15+10+15 = 95



Totally 110 EXP



หลังจาก โพสนี้รับผล เลเวล 20 ปลดล็อคพรสวรรค์ขั้นใหม่



มือกระบี่ (น้ำเงิน) (+10) >

เงื่อนไขพัฒนาคลาส:
- Level 20 เป็นต้นไป (ผ่านในโพสนี้)
- สเตตัส STR 20 ขึ้นไป (ผ่าน)
- สเตตัส POW 15 ขึ้นไป (ผ่าน)

ปลดล็อกพบเจอ กระบี่คู่ใจ (คุณภาพไม้)(+7)



@Admin

แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับ แม่นางปิง โปรดเป็นกระบี่คู่ใจข้านะขอรับ // หัวบ้า +10 คุยประจำวัน +5 ไหมแอด 55555  โพสต์ 2024-9-10 19:16
ปิง : ไงสวัสดีเพื่อนใหม่ (หาว)  โพสต์ 2024-9-10 19:00
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [Soul-01] ปิง เพิ่มขึ้น 15 โพสต์ 2024-9-10 19:00
คุณได้รับ 110 EXP โพสต์ 2024-9-10 18:46
โพสต์ 13036 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2024-9-10 15:47

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระบี่
มือกระบี่
ช่อเมล็ดข้าวมงคล
หมวกไผ่ผ้าคลุม
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x4
x4
x2
x2
x2
x6
x2
x2
x1
x4
x5
x1
x1
x16
x32
x24
x9
x1
x2
โพสต์ 2024-9-11 19:00:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2024-9-12 14:39






วันที่ 7 จิ่วเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 10 
เวลา 12.00 น.



ซิ่วอิงได้รับจดหมายแจ้งจากหรงป๋อเหวินพี่รองของนางว่าต้องการพบให้นางไปเจอที่โรงเตี๊ยมชางลั่งถิงในช่วงเที่ยง เมื่อฝึกทหารในช่วงเช้าเสร็จนางจึงรีบออกเดินทางจากค่ายไวขึ้นหน่อย เพื่อไปพบกับพี่ชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นอาทิตย์จะได้ถามเรื่องสารทุกข์สุขดิบและชีวิตความเป็นอยู่ของคนในตระกูลที่กุ้ยหลินด้วย 

ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางจะมาถึงไวกว่าเวลาที่คาดไว้จึงเข้าไปรอด้านใน ขอให้เสี่ยวเอ้อร์จัดแจงหาโต๊ะที่โดดเด่นที่สุดชนิดที่เดินเข้าร้านมาจะเห็นนางได้อย่างจัดเจนเพื่อที่พี่รองจะได้ไม่ลำบากในการมองหา รออยู่สักพักคุณชายรองแห่งตระกูลหรงก็เดินเข้ามาในร้าน

“พี่รองทางนี้!” ซิ่วอิงโบกไม้โบกมือจากบริเวณโต๊ะที่นางนั่งอยู่เพื่อเรียกพี่ชาย

“ไม่เจอกันนาน เจ้าสบายดีไหม?” หรงป๋อเหวินถามขึ้นก่อนที่เข้าจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามน้องสาว แล้วยื่นห่อผ้าที่บรรจุขนมของฝากให้แก่น้องสาว

“ข้าสบายดี! ลมอะไรหอบมาถึงเมืองหลวง ถึงได้นัดข้ามาเจอที่นี่?” ซิ่วอิงรับห่อผ้ามาไว้กับตน

“ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่าข้าย้ายมาที่ฉางอันได้สักพักแล้ว” 

“ย้ายมา? ท่านไม่ได้อยู่กุ้ยหลินหรอกหรือ?” คำพูดของพี่รองทำให้ซิ่วอิงค่อนข้างแปลกใจ

“ตอนนี้ข้าได้รับตำแหน่งฝูจี๋ลิ่งในราชสำนัก ทำงานมาได้สักพักเพิ่งจะได้แจ้งข่าวกับเจ้า ได้ข่าวว่าที่ค่ายพยัคฆ์กำลังอยู่ในช่วงฝึกทหารใหม่เลยหาจังหวะแจ้งข่าวได้ยากนัก”

“ฝูจี๋ลิ่ง! ข้ายินดีด้วยถึงจะรู้ช้าไป…งั้นวันนี้ข้าจะเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้ท่านเองพี่รอง!” พูดจบซิ่วอิงก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์แล้วจัดแจงสั่งอาหารเป็นมื้ออาหารสุดหรู ถึงจะแพงหน่อยแต่วันนี้ควรค่าแก่การฉลองด้วยมื้อที่ดีที่สุด

“ต้องขอโทษที่แจ้งข่าวช้า ช่วงที่เจ้าบ้าบิ่นไปสมัครทหารนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่ข้ากำลังทำเรื่องโยกย้ายจึงได้มาเมืองหลวง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะทำข้าอกแทบแตกกับการตัดสินใจนั้น คิดแล้วก็หงุดหงิดนัก”

“เอาน่าเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ท่านดูข้าตอนนี้สิยังแข็งแรงดี แถมมีกล้ามแขนเพิ่มขึ้นด้วย”  นางยกแขนทำท่าเบ่งกล้ามให้พี่ชายดู

“เอาแขนลงเลยเป็นสาวเป็นนาง ทำท่าทางดูไม่งามเลยสักนิด แต่ก็ดีเหมือนกันย้ายมาที่นี่จะได้อยู่เป็นหูเป็นตาดูเจ้าได้” นี่นับเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ป๋อเหวินเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงแห่งนี้เลยก็ว่าได้

“พี่รอง ท่านเป็นห่วงข้ามากเกินไปแล้ว”

“จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร เจ้าเป็นน้องสาวข้า มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้มิตรสหายก็ไม่มีสักคน” 

“จริง ๆ ตอนนี้ก็มีอยู่คนนึง ยังไม่ถึงขนาดมิตรสหายแต่ก็บังเอิญได้พบกันหลายครา เรียกว่าเป็นคนรู้จักที่ได้คุยด้วยบ่อย ๆ ก็แล้วกัน” ซิ่วอิงนึกขึ้นมาได้หนึ่งคนเลยบอกให้พี่รองสบายใจ

“ผู้ใดกัน?” ป๋อเหวินเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัยเมื่อน้องสาวบอกว่ามีคนรู้จักที่เมืองหลวงแล้ว

“บอกไปท่านก็ไม่รู้จักหรอก” ซิ่วอิงตอบไปแบบปัด ๆ

“เอาน่าแค่บอกชื่อ ข้าจะได้อุ่นใจว่าอย่างน้อยในเมืองนี้เจ้าก็มีคนรู้จัก แล้วก็จะได้ฝากฝังให้คอยจับตาดูเจ้าแทนข้า” ป๋อเหวินคะยั้นคะยอให้น้องสาวพูด ระหว่างนั้นเขาก็รินน้ำชายยกดื่มไปพลางเพื่อรอคำตอบ

“เขาชื่อตงฟางหมานเฉียน”

พรวดดดดด!!!

“แค่ก ๆ ๆ ๆ ๆ เจ้าว่า…ชื่ออะไรนะ!” 

ป๋อเหวินสำลักน้ำชาในทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าบุคคลที่น้องสาวพูดถึงคือใครในเมื่อเขาเคยเจอในท้องพระโรงมาแล้วหลายครั้ง มิหนำซ้ำบิดาของตนก็ยังทำงานภายใต้สังกัดของบุรุษผู้นี้อีกด้วย น้องสาวที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนักย่อมไม่แปลกที่นางจะไม่รู้ เดิมทีนางก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้วด้วย นอกจากเที่ยวเล่นไปวัน ๆ

“ตงฟางหมานเฉียนไง เป็นนักปราชญ์พเนจรแถวนี้แหละ แต่ข้าว่าเขาดูเป็นคนมีความสามารถนะ ฉลาดปราดเปรื่องแถมรู้เรื่องโหราศาสตร์ เดินหมากก็เก่ง น่าเสียดายจริง ๆ ถ้าได้เข้ารับราชการล่ะก็อนาคตไกลแน่นอน”

“นี่เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเขาเป็นต้า—”

“เป็นอะไรงั้นหรือ?”

เสียงแทรกมาจากด้านหลังเมื่อป๋อเหวินหันไปก็พบว่าเป็นคุณชายตงฟางที่มาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้และตอนนี้ก็กำลังยืนเอามือไขว้หลังรอฟังสิ่งที่คุณชายรองตระกูลหรงกำลังจะปริปากพูดออกมา

“ต้า…” ป๋อเหวินที่กำลังจะพูดอะไรสักอย่างหันไปปะทะสายตาของคุณชายตงฟางพอดี

“ต้าอะไรหรือพี่รอง?” ซิ่วอิงเอียงคอสงสัย

สายตาที่แข็งกร้าวของคุณชายตงฟางจ้องมายังหรงป๋อเหวินอย่างมีนัยว่าอย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง เมื่อเห็นสายตาคู่นั้นแล้วป๋อเหวินก็ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดูก็รู้ว่าท่านต้าซือถูยังไม่ต้องการเปิดเผยฐานะของตนต่อหน้าผู้อื่น จึงรีบเบนความสนใจในทันที

“ต้า...เอ่อ…ตะละบุ่ม บุม บุ๊ม โอ้แม่เนื้อนุ่มบัวบาน~”

“อะไรของพี่น่ะ ทำงานหนักจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรือ? อยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงขึ้นมา…อ้าว คุณชายตงฟางมาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ?” ซิ่วอิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคุณชายตงฟางยืนอยู่ด้านหลัง

“เพิ่งมา เห็นว่าแม่นางนั่งอยู่เลยกะว่าจะเข้ามาทักทายพอเป็นมารยาท แต่นึกไม่ถึงว่ากำลังพูดถึงข้าอยู่พอดี” 

ซิ่วอิงถึงกับยิ้มแห้งไม่รู้ว่าคุณชายผู้นี้ได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ช่วงไหน จึงได้หันไปส่งซิกทางสายตาให้พี่ชายเพื่อให้เขารีบเปลี่ยนเรื่องตัดบทสนทนาเรื่องนี้ไปเสีย

“งั้นทักทายกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ฉลองกันต่อ อย่าได้รบกวนเวลาของคุณชายเลยให้เขาไปทำธุระเถอะ แหะ ๆ ๆ” ป๋อเหวินพูดพร้อมหัวเราะแห้ง

“บังเอิญว่าตอนนี้ข้าว่างพอดี ถ้าไม่รังเกียจข้าขออยู่ร่วมฉลองกับพวกท่านด้วยได้หรือไม่?”

สองพี่น้องหันหน้ามองกันเมื่อเจอคำถามของคุณชายตงฟาง จะปฏิเสธก็น่าเกลียดสุดท้ายก็ต้องเลยตามเลยชวนคุณชายร่วมโต๊ะด้วย

“ชะ…เชิญ…เชิญนั่งเจ้าค่ะ แหะ ๆ” ซิ่วอิงผายมือไปยังเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ ก่อนที่คุณชายตงฟางจะเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ระหว่างทั้งคู่

“คุณชายเจ้าคะ นี่พี่ชายของข้าเอง ชื่อว่าหรง–” ซิ่วอิงพยายามจะแนะนำพี่ชายของตนให้กับคุณชายตงฟาง

“จางหมิ่น” คุณชายตงฟางเอ่ยชื่อรองของหรงป๋อเหวินได้อย่างถูกต้อง

“อ้าว รู้จักกันหรือเจ้าคะ?” นางแปลกใจเหตุใดคุณชายตงฟางถึงได้รู้จักพี่ชายของนาง

“ข้าก็ว่าจะบอกอยู่ว่าข้ารู้จัก” ป๋อเหวินตอบน้องสาว แต่ไม่ได้บอกว่ารู้จักได้อย่างไรเพราะไม่อยากโดนคุณชายตงฟางกินหัว

“รู้จักแต่เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตระกูลหรงของแม่นางกับของคุณชายหรงคือสายเดียวกัน มิหนำซ้ำยังเป็นพี่น้องกัน โลกช่างกลมอะไรเช่นนี้”

ไม่นึกเลยว่านักปราชญ์พเนจรจะคอนเนคชั่นกว้างไกลถึงขนาดรู้จักพี่ชายของซิ่วอิงด้วย บางทีนางก็แอบสงสัยว่านอกจากเป็นนักปราชญ์แล้วยังมีตัวตนอื่นใดของเขาที่นางยังไม่รู้อีกหรือไม่ 

“เดี๋ยวข้ารินน้ำชาให้เจ้าค่ะ” นางจัดการรินชาใส่ถ้วยให้คุณชายตงฟาง

“ขอบใจแม่นางหรง”

“แล้วก็อันนี้เป็นของว่างข้าให้ท่านเอาไว้กินนะเจ้าคะ” นางยกห่อผ้าที่พี่ชายเพิ่งให้มามอบแก่คุณชายตงฟาง

“นี่มันขนมที่ข้าเพิ่งให้เจ้านะ!” ป๋อเหวินรีบท้วงน้องสาว

“ให้ข้าแล้วก็เป็นของข้า ข้าจะให้ใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของข้าสิ เขาเป็นปราชญ์พเนจรจะปล่อยให้เขาหิวตายหรือไร เก็บของกินไว้ดีกว่าจะได้ประหยัด”

“ถ้าเจ้ารู้ว่าทรัพย์สินเขาซื้ออาหารได้หลายพันเกวียนเจ้าจะไม่พูดกับข้าเช่นนี้…อุ้ย!” ป๋อเหวินที่กำลังบ่นอุบอิบเบา ๆ หันไปสบตากับคุณชายตงฟางอีกรอบแล้วก็ถึงกับสะดุ้งแล้วสงบปากลง

“เมื่อครู่พี่รองว่าอะไรนะ ข้าไม่ทันได้ฟัง”

“อ๋อ ไม่มีอะไร รีบกินกันเถอะเดี๋ยวอาหารเย็นหมด” เขารีบคีบอาหารเข้าปาก

“ข้าก็มีของที่จะให้แม่นางเช่นกัน”

คุณชายตงฟางล้วงหยิบเอาของบางอย่างมอบให้แก่ซิ่วอิง มันคือมีดล่าสัตว์ของนางที่หายไปตั้งแต่วันที่ได้พบกับคุณชายครั้งล่าสุด นางรีบรับมันมาไว้ในมือท่าทางดีใจที่หาเจอเสียที

“นี่มีดล่าสัตว์ของข้านี่ หาตั้งนานนึกว่าจะไม่เจอเสียแล้ว”

“แม่นางทำตกไว้คืนก่อนที่หอดาราข้าเลยเก็บเอาไว้ให้”

เคล้ง!!!

เสียงตะเกียบตกกระทบชามข้าว ไม่ใช่ของใครที่ไหนนอกจากคุณชายแห่งตระกูลหรงที่กำลังนั่งอ้าปากค้างหลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่พูดเรื่องหอดาราในยามค่ำคืนอะไรสักอย่าง สมองของเขาเหมือนจะคิดไปไกลกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาก

“พวกท่านไปหอดาราด้วยกันยามค่ำคืนงั้นหรือ?” ป๋อเหวินหันไปมองทั้งสองสลับกันไปมา

“ก็ใช่ ไปดูดาวก็ต้องไปตอนกลางคืนสิพี่รอง ถามแปลก” ซิ่วอิงที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอบไปตามตรง

“แบบว่า…สองต่อสองหรือ?” ป๋อเหวินถามแบบขยายความมากขึ้น

ซิ่วอิงพยักหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะในคืนนั้นนอกจากยืนดูดาวและคุยเรื่องการทำนายดวงชะตาจากดวงดาวก็ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ ป๋อเหวินเหมือนจะยังไม่เข้าใจรีบคว้าคอน้องสาวก้มลงไปคุยกันใต้โต๊ะ

“นี่พวกเจ้าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว?” เขาถามเค้นหาคำตอบ

“จะบ้าหรือ ข้ากับคุณชายตงฟางเป็นเพียงคนรู้จักกัน” 

“แน่นะ?” ป๋อเหวินหรี่ตาอย่างไม่ค่อยไว้ใจ

“หาอะไรกันอยู่หรือ?” เสียงคุณชายตงฟางเอ่ยถาม ทำให้สองพี่น้องต้องรีบกลับไปนั่งตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ตะเกียบ…แหะ ๆ คือว่าข้าทำตะเกียบตก” ป๋อเหวินชูตะเกียบในมือให้คุณชายตงฟางดูพร้อมหัวเราะแห้ง

คุณชายตงฟางไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะหันไปสนทนากับซิ่วอิงเรื่องสัพเพเหระ

“ข้าจะจับตาดูพวกเจ้าสองคน…”

หรงป๋อเหวินพูดเบา ๆ กับตนเอง ขณะมองซิ่วอิงและคุณชายตงฟางนั่งสนทนากันสายตาของเขาหรี่ลงอย่างจับผิด หากน้องสาวไม่ยอมปริปากบอกอะไรพี่ชายคนนี้ก็จะขอมองอยู่ห่าง ๆ จับตาคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากนี้... 






[NPC-07] มอบขนมคอเป็ด และ ชาเบญจมาศให้ตงฟาง ซั่ว
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
+10 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดน้ำเงิน + ชาอะไรก็ได้ หรือ ชาเกรดน้ำเงิน (+10)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5
หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+10


มื้ออาหารสุดหรู (ค่าใช้จ่าย 5 ตำลึงทอง) +150 พลังงาน


@@Admin 





แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 45 โพสต์ 2024-9-11 20:08
โพสต์ 37589 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-9-11 19:00
โพสต์ 37,589 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)  โพสต์ 2024-9-11 19:00
โพสต์ 37,589 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +15 ความโหด จาก คนกำยำ  โพสต์ 2024-9-11 19:00
โพสต์ 37,589 ไบต์และได้รับ +10 ความโหด จาก พลั่ว  โพสต์ 2024-9-11 19:00

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังงาน +150 ย่อ เหตุผล
Watcher + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
แหวนดาราจรัส(2)
หงอนคู่ราชันย์
ง้าวกรีดนภา
แหวนดาราจรัส(D)
ยอดยุทธ์ผู้ล่า
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x30
x10
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x1
x4
x1
x142
x4
x133
x186
x200
x399
x684
x707
x4
x4
x8
x4
x5
x20
x4
x599
x2
x20
x12
x22
x6
x12
x17
x10
x38
x2
x687
x228
x438
x44
x531
x19
x14
x1
x19
x228
x1
x21
x10
x203
x3
x116
x37
x5
x63
x1
x2
x40
x1
x5
x2
x7
x6
x5
x6
x6
x17
x2
x2
x25
x15
x16
x2
x47
x6
x7

9

กระทู้

86

ตอบกลับ

4762

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
4296
ตำลึงทอง
125
ตำลึงเงิน
680
เหรียญอู่จู
13067
STR
4+2
INT
4+0
LUK
10+7
POW
3+0
CHA
9+0
VIT
5+5
คุณธรรม
347
ความชั่ว
0
ความโหด
164
โพสต์ 2024-9-15 00:01:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Mingchunshui เมื่อ 2024-9-15 01:28

         เช้าวันใหม่ในเมืองฉางอัน

         เสียงนกและแสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาภายในห้องช่างน่าลำคาน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มบนเตียงคิดอยากเปิดเปือกตาขึ้นแม้แต่น้อย จนกระทั่งใบหน้าดุจหยกสลักสัมผัสได้ถึงเปียกชื้นและสากที่บริเวณข้างแก้ม หมิงชุนสุ่ยเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะขยับยันตัวลุกขึ้นมานั่งมองก้อนขนสีขาวบนหว่างขานิ่งเพื่อประมวลผลอยู่บนเตียงอยู่พักใหญ่ก่อนเสียงกุกกักจากนอกห้องจะดังขึ้นเรียกความสนใจของหมิงชุนสุ่ยให้หันไปมอง

        “คุณชายตื่นแล้วหรือขอรับ ข้าเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ คุณชายจะเดินทางกลับจวนเลยหรือไม่ขอรับ”เจียวจ้านกล่าวกับผู้เป็นนายพร้อมกับเดินถือถังน้ำพร้อมผ้าสะอาดไปวางที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะลุกไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะอุ้มเจ้าแมวน้อยที่นั่งอยู่ในอยู่บนเตียงไปวางไว้ในตะกร้าโดยไม่คิดสนใจเสียงร้องประท้วงของเจ้าตัวน้อย

        เมี๊ยววววว!!!

        “กลับเลย..ข้าวเช้าค่อยไปกินที่จวน” หมิงชุนสุ่นกล่าวเสียงงึมงำมือเนียนนุ่มเพราะไม่เคยต้องทำงานหนักจุ่มลงไปวัดอุณหภูมิในถังน้ำเมื่อพบว่าน้ำด้านในอุ่นกำลังดีจึงหดมือกลับมาปลดเสื้อที่สวมใส่ปกปิดท่อนบนของตนเองออกเผยให้เห็นผิวกายขาวราวน้ำนมที่เจ้าตัวดูแลเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้สูงใหญ่กำยำเยี่ยงบุรุษคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ดูผอมแห้งแรงน้อยราวคนขาดสารอาหาร จะเรียกว่าสมส่วนดีก็กล่าวได้ไม่เต็มปาก เพราะเดิมหมิงชุนสุ่ยก็เป็นบุรุษที่ตัวเล็กกว่าคนในวัยเดียวกันอยู่แล้ว ยิ่งนิสัยรักสวยรักงามราวสตรีและขี้เกียจขยับตัวด้วยเพราะไม่ชอบเวลาที่อากาศหรืออุณหภูมิในร่างกายร้อนหมิงชุนสุ่นจึงทำเพียงแค่การขยับออกกำลังกายธรรมดาไม่เป็นจริงเป็นจังเพราะขอแค่ไม่มีพุงน้อยๆ ให้เห็นเจ้าตัวก็พึงพอใจมากแล้ว

ชายหนุ่มขยับกายไล่ความปวดเมื่อยก่อนจะหยิบเอาผ้าที่พาดอยู่ลงไปจุ่มแล้วยกขึ้นบิดหมาดๆ มาเช็ดหน้าเช็ดตา ตามด้วยร่างกายของท่อนบนของตนเองพลางมองคนสนิทของตัวเองที่เดินไปเก็บสิ่งของลงกล่องและถุงผ้าอย่างขยันขันแข็ง

        “ยามใดแล้วเจียวจ้าน”

        “ปลายยามเหม่าแล้วขอรับคุณชาย ยามนี้หากเดินผ่านจตุรัสกลางเมืองคงมีพ่อค้าแม่ขายนำของมาขายเยอะแยะ คุณชายอยากแวะก่อนกลับจวนหรือไม่ขอรับ อ้อวันนี้คุณชายอยากใส่ชุดสีอะไรดีขอรับ” เจียวจ้านกล่าวตอบคุณชายของตนพร้อมกับเปิดหีบเพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้คุณชายของตนด้วยความเคยชิน

        “อืมมม…เอาเป็นชุดที่พึ่งซื้อมาจากไท่โจวตัวที่เป็นสีเขียวยอดไผ่”

        “ขอรับ งั้นเครื่องเป็นปิ่นหยกสีเขียวอ่อนที่แกะเป็นลายปล้องไผ่ประดับทองและหยกเนื้อแก้วที่แกะสลักเป็นลวดลายใบไผ่ดีหรือไม่ขอรับ”

        “เจ้านี่นับวันยิ่งรู้ใจข้านักนะ สิงอยู่ในหัวข้ารึ”หมิงชุนสุ่ยแย้มยิ้มออกมาพร้อมยืดตัวลุกเดินไปหยิบเสื้อชุดให้ขึ้นมาสวมโดยมีเจียวจ้านรีบเดินเข้ามาช่วยสวมชุด

        “แหม่…คุณชาย เจียวจ้านอยู่กับท่านมาตั้งแต่ท่านท่านหัดเดินจะไม่รู้ใจคุณชายได้อย่างไร”ชายหนุ่มคนสนิทกล่าวด้วยน้ำเสียงเหย้าแหย่ขณะที่มือยังคงช่วยผูกเชือกที่เสื้อตัวในให้กับนายของตนเอง

        “พูดจาลื่อนเปื่อน ข้ากับเจ้าอายุห่างกันเพียงหนึ่งขวบปี หากข้าหัดเดินเจ้าหรือจะเดินเก่งกว่าข้ารึ”

        “เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น คุณชายของบ่าวเก่งกาจยิ่ง เป็นเจียวจ้านที่กล่าววาจาเลื่อนเปื้อนไปเอง คุณชายอย่าโกรธบ่าวเลย”

        “เหอะ”หมิงชุนสุ่นแค่นหัวเราะแต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล่าวโทษคนสนิทแม่แต่น้อย กลับรีบแต่งตัวเสียให้เสร็จเพื่อที่จะได้เดินทางกลับจวนเสียที เพราะตนมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับท่านพ่อท่านแม่แล้วก็พี่ใหญ่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทั้งสามนั้นจะเห็นด้วยกับคำขอนี้ของตนหรือไม่
        

        หลังจัดการกับตัวเองเสร็จหมิงชุนสุ่ยก็เดินมารอเจียวจ้านอยู่ที่ด้านหน้าโรงเตี้ยมอากาศในเมืองฉางอันยามนี้ค่อนไปทางเย็นสบายๆแถมยังมีเมฆมากแม้ไม่ถึงกับมืดครึ้มแต่ก็นับว่าปลอดโปร่งเหมาะแก่การเดินเล่นยิ่งนัก

        นัยน์ตาสีเปลือกไม้เหลือบมองดูชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา มือก็ขยับโบกพัดเรียบๆ สีขาวบนบ่าคือก้อนขนตัวเล็กเกาะนิ่งอยู่บนไหล่ หางสีขาวฟูปัดป่ายไปมาอย่างอารมรณ์ดี โดยที่หนึ่งคนหนึ่งแมวมิได้สนใจสายตาของผู้คนรอบข้างที่ลอบมองตนอยู่แม้แต่น้อย แม้เหล่าชาวบ้านจะรู้จักหน้าคราตาของคุณชายน้อยของสกุลหมิงดีว่าเต็มไปด้วยฤทธิ์เดชเพียงใดแต่ก็มิอาจห้ามสายตามิให้มองใบหน้าดุจหยกสลักของชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย

        ครึก ครึก

        เสียงล้อรถม้าที่บดกับพื้นถนนเคลื่อนมาหยุดที่เบื้องหน้าของหมิงชุนสุ่ยอย่างพอดิบพอดีพร้อมกับเจียวจ้านที่กระโดดลงจากที่นั่งคนบังคับรถม้าลงมาเป็นประตูรถม้าให้ผู้เป็นนาย

        “ไปกันเถอะขอรับคุณชาย”

        “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

        “ขอรับ?”

        “ข้าจะไปเดินเที่ยวที่จตุรัสกลางเมืองก่อนแล้วค่อยกลับจวน อาหารเจ้าก็ไปหาซื้อเอาที่จตุรัสแล้วกันกว่าจะถึงจวนหิ้วท้องรอไม่ไหว”

        “เข้าใจแล้วขอรับ งั้นเชิญคุณชาย”

        

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 13823 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-15 00:01
โพสต์ 13,823 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2024-9-15 00:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกถังเจียน
ผีผา
พัดคุณชาย
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x10
x10
x1
x2
x2
x2
x2
x2
x1
x1
x10
x10
x30
x4
x6
x14
โพสต์ 2025-6-1 16:46:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-1 17:02








เล่าขานจากเบื้องหลัง


1 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามเฉิน < 07.00 น. - 08.59 น. >



ท้องฟ้ายามเช้าสาดแสงสีทองอ่อนผ่านยอดเจดีย์สูงประจำวังหลวง เงาของเมฆบางลอยเรี่ยริมหลังคาหงส์ที่ประดับยอดตำหนักอย่างเงียบงัน ราวฟ้ากำลังเฝ้าดูบางสิ่งบางอย่างอย่างอ่อนโยน



แต่ภายใต้เงานิ่งสงบของวังหลวง กลับมีใครบางคนที่หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น... และคันไม้คันมือยิ่งกว่าแมวที่เห็นลูกไหมพรม


ภายในตำหนักเล็กริมฝั่งสระ องค์ชายน้อยกำลังก้มหน้าก้มตายัดห่อผ้าใบเล็กลงในกระเป๋าคู่ใจด้วยความเร็วชนิดที่คนรับใช้หากเห็นเข้าคงเป็นลมล้มพับกลางลานกระเบื้องหยก


“ถุงเงิน... มีแล้ว เสื้อผ้าเปลี่ยน... เอาแค่ชุดเดียวก็พอ ถ้าเอาเยอะจะเดินไม่สะดวก...”


เขาพึมพำกับตัวเองพลางผูกสายกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว ดวงตากลมดำเปล่งประกายราวดาวบนฟ้ายามราตรี


วันนี้... โลกข้างนอกต้องตกเป็นของข้า!


เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่เมื่อรู้ว่า “พระมารดา” และ “พระบิดา” อยู่ในตำหนักกันสองต่อสอง เพราะมารดาของเขาป่วยและเสด็จพ่อก็ห้ามใครเข้าเยี่ยม  เช่นนี้แล้ว จะมีโอกาสใดที่เหมาะแก่การสำรวจโลกภายนอกเท่าตอนนี้อีก?



เมื่อยัดของเสร็จเรียบร้อย เขาเปิดกล่องไม้เล็กใต้โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบชุดสามัญชนที่ขโมยจากโรงเก็บของใช้คนสวนเมื่อไม่นานมานี้ขึ้นมาสวมอย่างใจเย็น เสื้อผ้าธรรมดาสีหม่นอาจดูเก่าไปหน่อย แต่ยิ่งทำให้ไม่เตะตา อาจจะเพราะเป็นชุดของเด็กจึงสามารถสวมเข้ากับสรีระองค์ชายน้อยนี้ได้อย่างพอดิบพอดี


“เรียบร้อยแล้ว...” เด็กน้อยหมุนตัวดูเงาสะท้อนจากกระจกทองเหลือง แล้วอดขำกับภาพของตัวเองไม่ได้ “ช่างเหมือนชาวบ้านยิ่งนัก ฮ่า...!”


เขาเปิดหน้าต่างด้านหลังตำหนักอย่างเชี่ยวชาญ พุ่งตัวออกทางหลังคาเตี้ยที่เคยปีนเล่นเมื่อคราวเด็กกว่านี้อีกสองหนาว แทบจะเป็นเส้นทางลับที่เขาเชี่ยวชาญกว่าใคร ขยับผ่านระเบียง ต้นไม้ใหญ่ และแอบอ้อมหลังเรือนโรงเก็บเสบียง ก่อนจะโผล่พ้นกำแพงวังออกมาทางประตูเล็กด้านทิศเหนือ 



แล้วเด็กน้อยก็หันหลังพรวดพลาดไปในเงาไม้ร่มรื่น ตรงดิ่งออกสู่ถนนใหญ่ที่ทอดยาวไปยังใจกลางเมืองหลวง


ทุกก้าวย่างของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น บางช่วงเผลอเดินเร็ว บางคราวก็หยุดมองร้านขนมด้วยสายตาเป็นประกายราวจะกลืนขนมผ่านม่านตา เสียงล้อเกวียน เสียงตีกลองเรียกลูกค้า เสียงหม้อไฟเดือด เสียงเด็กเร่ขายขนมเปี๊ยะ ทุกอย่างคือโลกที่เขาไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน แม้แต่กลิ่นโคลนแห้งผสมกลิ่นหญ้าก็ยังชวนให้ใจพองโต


“ข้าจะไปที่โรงเตี๊ยมก่อน...” เขาพึมพำกับตัวเองพลางเดินตัดตลาดอย่างมั่นใจ


ที่นั่นแหละ ศูนย์รวมข่าวสารของชาวบ้านและจอมยุทธ์


แม้จะยังไม่รู้ว่าจะพบอะไร หรือจะซวยกลับมาก่อนมื้อค่ำไหม แต่เด็กชายกลับรู้สึกว่า... วันนี้เป็นวันหนึ่งที่เขาจะไม่มีวันลืม


.......


กลิ่นน้ำมันจากเตาหม้อไฟลอยอ้อยอิ่งผสมกลิ่นหอมของเหล้าหมักข้าวสาลีเก่าแก่ในโรงเตี๊ยมกลางเมืองหลวง ฉางอันเป็นดังหม้อแปลงกลิ่น เสียงหัวเราะคิกคักปะปนกับเสียงถกเถียงของจอมยุทธ์ไร้สำนัก ชาวบ้านร้านตลาด และขุนนางที่ปลดหัวโขนมานั่งคลายเมื่อยอยู่ปะปนกัน บางคนตบไหล่เรียกขานกันด้วยนามเล่น บางคนก็ประคองถ้วยเหล้าแนบอกคล้ายหวงแหนความอบอุ่นของฤทธิ์สุราเสียยิ่งกว่าฟูเหรินในเรือน


ตรงมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม โต๊ะไม้เก่าแอบในเงาสะท้อนของแสงตะเกียง องค์ชายน้อยในชุดผ้ากระสอบที่ดูเก่าเกินฐานะกำลังยกชามซุปขึ้นจิบแบบประสาเด็กหนุ่มสามัญชน ดวงตากลมดำขลับที่ควรสดใสดังหยดน้ำค้างยามเช้ากลับวาวโรจน์ด้วยความเงี่ยหู เด็กน้อยมิได้มาตามกลิ่นหอมของอาหาร หากแต่มาตามกลิ่นคาวของถ้อยคำที่ลอยลมอยู่ในห้วงอากาศ เหมือนคนเดินป่าที่ฝึกฟังเสียงงูในพงไพร 


โต๊ะข้างเคียงห่างไปเพียงสองช่วงไหล่ มีชายแก่ผิวซีดคนหนึ่งนั่งคุยกับกลุ่มพ่อค้าผิวกร้านจากทางต่างเมือง หัวข้อสนทนาของพวกเขาน่าขนลุกยิ่งกว่าข่าวเรื่องโจรป่าหรือขุนศึกปล้นเมือง เพราะมันกล่าวถึงผู้ที่องค์ชายไม่ต้องการให้เอ่ยถึงในที่เช่นนี้... พระมารดาของเขา!


"ข้าได้ยินมา..." ชายแก่ผู้หนึ่งพูดพลางมองซ้ายขวา ดึงเสียงให้แหบพร่าเหมือนจะตั้งใจให้ขนลุกเล่น "ว่าในคืนที่ลู่กุ้ยเฟยให้กำเนิดทารก... ฟ้ามืดเหมือนมีผีตนนึงลากม่านราตรีลงมาปกคลุมวังหลวง เงียบสงัดเสียจนได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าของวิญญาณที่ล่องลอย..."


อีกคนที่นั่งอยู่เยื้องหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ เขาเติมเหล้าให้ตัวเองแล้วว่า "ไม่ใช่แค่เงียบหรอกนะ ข้าได้ยินว่าแม้แต่แมวหน้าวังยังหนีหายไปหมด ไม่มีแม้เสียงร้อง มันน่าขนหัวลุกนัก"


เด็กหนุ่มผู้แสร้งเป็นชาวบ้านตัวเล็กข้างโต๊ะเหล่านั้นลูบปลายจมูกเบา ๆ คล้ายจะเกาหายคัน แต่แท้จริงแล้วกำลังกลบยิ้มขื่นในลำคอ มืออีกข้างกำแน่นอยู่ใต้ชายเสื้อ ความสงบที่เขาเคยฝึกฝนมาในวังหลวงยังคงคอยย้ำเตือนเขาว่า อย่าเพิ่งผลีผลาม อย่าเพิ่งเหวี่ยงอารมณ์ แม้หัวใจจะร้อนราวไฟโชน แต่ปากต้องเย็นเยือกยิ่งกว่าเหมันต์บนภูเขาเซียงลั่ว


"ว่าไปแล้ว เด็กนั่น—" เสียงหนึ่งเอ่ยต่ออย่างตื่นเต้น "มีคนเห็นตอนเพิ่งประสูติยังกับอสูรร้ายจากคัมภีร์ปีศาจ มีฟันขึ้นตั้งแต่วันแรก! ผิวขาวซีดเหมือนศพ จ้องใครก็เหมือนจะกลืนวิญญาณของผู้นั้นเข้าไป!"


"นั่นสิ!" คนที่ดูเหมือนหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าก็ผงกศีรษะเออออ "เด็กนั่นโตเร็วผิดธรรมชาติ! แค่ไม่กี่เดือนกลับตัวสูงเท่าเด็กสิบสองหนาว แววตาคมเสียยิ่งกว่าดาบประจำกองทัพหลวง"


แล้วเสียงหนึ่งที่ฟังเหมือนกลัวจนหัวหดก็เอ่ยขึ้นอย่างเงียบเชียบ "บางคนว่า ลู่กุ้ยเฟยนั้นมิใช่หญิงมนุษย์... นางอาจเป็นสาวกของลัทธิปีศาจที่แฝงตัวมาเพื่อบั่นทอนราชวงศ์..."


"แหมๆๆๆ" เสียงใส ๆ ที่แทรกขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ในการสนทนาเดิม แต่ดันดังพอที่จะทำให้โต๊ะข้างเคียงหันขวับมา


เจ้าหนุ่มร่างเล็กคนเดิม ผู้ที่แม้สวมชุดเก่าแต่ดวงตากลับแพรวพราวเกินเด็กธรรมดา เท้าคางพูดขึ้นโดยไม่หันหน้าไปหาผู้ใดโดยตรง


"พวกท่านนี่นะ ช่างจินตนาการเก่งเสียยิ่งกว่าแม่หมอในตรอกท้ายซอย ข้าฟังแล้วแทบจะเอาไปแต่งเป็นนิทานขายได้เลย"


เสียงตะเกียงดังเปาะในจังหวะที่พวกนั้นหันมองเด็กน้อยเป็นตาเดียว ท่าทีคล้ายโดนจับได้ว่าโกหกในงานศพ


"เจ้าหนู..." ชายคนหนึ่งส่งเสียง "เจ้าพูดอะไร?"


เด็กน้อยลุกขึ้นพลางปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนเศษอาหาร เสียงเขาแม้เบาแต่กลับแทรกทะลุเสียงจอแจรอบตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ


"ฟ้าร้อง ฟ้ามืด นางปีศาจ ลูกปีศาจ โตเร็วผิดปกติ..." เขาทำท่าไล่นิ้วนับข้อ ๆ แล้วส่ายหัวเบา ๆ "ข้าแปลกใจอยู่เรื่องเดียว ทำไมถึงไม่มีใครเล่าว่าเด็กคนนั้นบินได้ หรือแปลงร่างเป็นมังกรกลางดึกล่ะ?"


กลุ่มผู้ชายที่มั่วสุมกันเงียบกริบไปชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ดังขึ้นเหมือนจะกลบเกลื่อน


"ก็แค่ข่าวลือ... เอ้อ... เราแค่เล่าสนุก ๆ"


"สนุกงั้นหรือ?" เขาแสร้งเบิกตาโต "แล้วถ้าเด็กคนนั้นเป็นแค่เด็กธรรมดา ที่บังเอิญเกิดมาในวันฟ้ามืดล่ะ? ถ้าแม่ของเขาเป็นแค่หญิงที่โชคร้าย เพราะดันมีคนไม่ชอบหน้าอยู่ในวังล่ะ?"


ไม่มีใครตอบ เด็กชายกวาดตามองคนทั้งโต๊ะแล้วคลี่ยิ้มที่ไม่คล้ายยิ้ม "ข้ารู้มานะ ว่าเรื่องที่แต่งแบบนี้ มันไม่ได้เกิดจากจินตนาการหรอก... มันเกิดจาก ‘เจตนา’"


ผู้ชายบางคนเริ่มหงุดหงิด บางคนขมวดคิ้วขัดใจ เสียงขลุกขลักดังอยู่ใต้ลำคอของชายแก่ที่เปิดหัวสนทนา


"แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเถียงข่าวลือของชาวบ้าน?" เขาแค่นเสียง


"ข้าเป็นแค่ชาวบ้านคนหนึ่ง" องค์ชายตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ "แต่ข้าไม่ชอบเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นเพื่อทำลายคนที่ตนไม่รู้จัก... โดยเฉพาะคนที่ไม่อาจออกมาตอบโต้ได้"


เด็กน้อยหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม หยิบชามซุปขึ้นจิบอีกครั้ง ปล่อยให้คำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในหัวของพวกผู้ใหญ่ที่กำลังหวาดระแวงตนเอง ไม่ใช่เพราะกลัวปีศาจ... แต่เพราะกลัวว่า ‘เด็กนั่น’ จะฟังอยู่ตรงไหนสักที่


ใบหน้าซุกในไอร้อนของชามไม้ใบเดิม ริมฝีปากบางขยับเบา ๆ อย่างไม่ให้ใครได้ยิน


“เอ้อเหนียง... หรูเสวียนไม่ปล่อยให้ผู้ใดดูหมิ่นท่านหรอกนะ”


หลังตอกกลับกลุ่มชายแก่หัวหงอกพวกนั้นจนสะอึกสะอื้นในอารมณ์ เสมือนโดนเด็กเปลือยเท้ากลางตลาดเอาไม้ไผ่เคาะหัวกบาลอย่างแม่นยำ หรูเสวียนก็หันกลับมาให้ความสำคัญกับข้าวในชามเสียที ใบหน้ากลมมนที่ยังมีคราบน้ำซุปค้างบนริมฝีปากล่างคลี่ยิ้มราวคนเพิ่งถอนหายใจได้เต็มปอด หลังจากระบายอารมณ์ออกไปในคราเดียว


พอพวกนั้นลุกฮึดฮัดกลับออกไป ราวกับหอบเอาไอหม่นในอากาศไปด้วย บรรยากาศรอบข้างก็ดูสว่างไสวขึ้นอย่างประหลาด ไฟตะเกียงในโรงเตี๊ยมคล้ายส่องแสงชัดขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเพราะเด็กน้อยใจเบาขึ้นจึงคิดไปเองก็สุดรู้


เขาวางถ้วยชาข้างชามข้าว เคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะไม้กรุบกรับอย่างมีจังหวะ แววตาคมดุจหยกดำนั้นมิได้หยุดนิ่ง ขยับไปตามความเคลื่อนไหวของผู้คนรอบข้างที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาในโรงเตี๊ยม บ้างเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เดินโซซัดโซเซพร้อมกลิ่นสุราฉุนจมูก บ้างเป็นหญิงสาวหอบลูกติดผ้าห่มมาอิงไฟขอข้าวเพียงถ้วยเดียว บ้างก็เป็นจอมยุทธ์คิ้วเฉียงที่มากับกระบี่ห้อยข้างเอว


นี่แหละหนา ที่ที่ชีวิตจริงสะท้อนความหลากหลายของโลก หากจะหาข่าวสารอะไรในฉางอัน โรงเตี๊ยมย่อมไม่เป็นรองหน่วยข่าวแน่นอน


แต่ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้ดื่มซุปจนหมดถ้วย โสตประสาทอันเฉียบไวก็สะดุดเข้ากับเสียงเล่าเรื่องของกลุ่มสตรีวัยกลางคนที่กำลังล้อมวงจิบชาร้อนกับขนมถั่วเหลือง กลิ่นหอมของของหวานแม้แต่องค์ชายน้อยยังต้องเงยหน้ามอง แต่ที่ทำให้มือเล็กหยุดกลางอากาศไม่ใช่กลิ่นขนม หากเป็นบทสนทนาแผ่วเบาที่ลอยมาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ


"นางน่ะ...เป็นเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเชียวนะ!" สตรีนางหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเบาราวขนนก แต่แววตากลับเปล่งประกายแรงกล้าเสียยิ่งกว่าหัวหน้ากองกงสุล


"จริงหรือแม่ซื่อ? ข้าได้ยินแต่ว่า นางเป็นสาวชาวบ้านจากสกุลคหบดี ที่งามจับใจขนาดเทพเจ้ายังหลง" อีกคนเอ่ยแทรกพลางหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวกรุบ ๆ


"นั่นแหละน่ะสิ! ถ้าธรรมดา คงไม่สามารถทำให้หวงตี้ตกหลุมรักทันทีที่ได้สบตาเช่นนั้น!" คนแรกยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น เสริมด้วยการขยับกายเข้ามาใกล้เพื่อนร่วมโต๊ะอย่างตื่นเต้น "ได้ยินว่าคืนแรกที่ได้เข้าเฝ้า ยังไม่ทันจะกราบทูลประโยคแรก หวงตี้ก็ตรัสว่า 'ให้แต่งตั้งนางเป็นเหม่ยเหริน' ทันที! แถมยังข้ามขั้นไปจนถึงกุ้ยเฟยเพียงไม่กี่เดือน!"


หรูเสวียนยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ น้ำซุปที่กำลังจะจิบถูกวางลงอีกรอบ ครานี้เด็กชายไม่แสดงความไม่พอใจแบบก่อนหน้า แต่แววตากลับจับจ้องอย่างสนอกสนใจยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่า


"และพอคลอดลูกสาว ข้าเน้นนะว่า ลูกสาว กลางท้องฟ้าก็บังเกิดประกายแสงเจิดจ้าเหนือวัง! เหมือนเทพเซียนบนฟ้าจะลงมารับรู้ถึงการกำเนิดของเทพธิดาตัวน้อย! มีคนนอกวังเห็นด้วยนะ เขาเล่าว่าจู่ ๆ เมฆที่คลุมฟ้าก็แหวกออก เผยให้เห็นดวงจันทร์กลมโตสุกใสดั่งมุกมังกร!"


หญิงอีกนางที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอียงคอมองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่ก็อดพึมพำไม่ได้ "เทพธิดาตัวน้อย... ช่างน่าเอ็นดูนัก หากข่าวนั้นเป็นจริง ก็แสดงว่าองค์หญิงน้อยต้องงดงามไม่ต่างจากมารดาแน่ ๆ"


เด็กน้อยหรี่ตาลงช้า ๆ เหมือนแมวที่กำลังวางมือลงบนหมอนร้อน ก่อนจะหัวเราะหึในลำคออย่างยากจะบอกว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์แกล้งประชด คำว่า ‘เทพธิดาตัวน้อย’ สะกิดใจเขาอยู่เล็กน้อย เขามั่นใจว่าไม่ใช่พูดถึงตนเป็นแน่ ถึงจะมีใครลือว่าตนเป็นปีศาจบ้างล่ะ กึ่งเทพบ้างล่ะ แต่คำว่าสาวน้อยน่ะ ไม่มีวันที่จะหมายถึงองค์ชายที่หายใจอยู่ตรงนี้


หรือว่าข่าวลือดี ๆ จะมีอยู่จริงในโลกด้วย? องค์ชายน้อยถอนหายใจแผ่ว แล้วคิดในใจอย่างขบขันว่า แม้จะฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่มันก็ยังน่าฟังกว่าข่าวที่กล่าวหาว่าเอ้อเหนียงของเขาเป็นพวกปีศาจ


“อืม...” เขาพึมพำเบา ๆ “เทพธิดาตัวน้อย งั้นหรือ... น้องสาวเจ้าช่างได้หน้าเหลือเกิน”


ว่าจบก็ยิ้มบาง ๆ พลางยกชามซุปขึ้นซดต่อจนหมด มือเล็ก ๆ วางถ้วยลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนจะเช็ดริมฝีปากด้วยชายแขนเสื้อที่แม้ดูเก่าแต่สะอาดเป็นอย่างยิ่ง


ในใจเขานั้นไม่มีความขุ่นเคือง เหมือนเมฆคลุ้มที่ถูกลมพัดผ่านแล้วปลอดโปร่ง เด็กชายมองไปรอบตัวอย่างสงบเยือก เยี่ยงคนที่ไม่ต้องปะทะฝีปากใครอีก แม้จะยังเหลือเวลาอีกมากสำหรับการท่องเที่ยวในฉางอัน แต่นี่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าสนุกไม่น้อย


“ถ้าได้ข่าวลือน่าขันกว่านี้อีกสักสองเรื่อง ข้าคงต้องเอาไปเขียนขายเองเสียแล้วล่ะมั้ง” เขาพึมพำขำ ๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมมาคิดเงิน


เจ้าตัวลุกขึ้นในคราเดียวกับที่ตะวันเอียงแสงทอดยาวเข้ามาในช่องไม้ของประตูโรงเตี๊ยม เงาของเขายืดยาวไปบนพื้นไม้ ขณะสายตาสำรวจข้างทางอย่างละเอียด


ดวงตานั้นสดใสปานดาวในคืนเดือนมืด หากแต่ซ่อนเปลวไฟที่อาจลุกไหม้ได้ทุกเมื่อไว้ภายใน


เพียงแต่วันนี้... ไฟนั้นสงบดี เพราะข่าวลือในครานี้ มันช่างน่าฟังนัก เทพธิดาตัวน้อยหรือ? ถ้าเจอน้องหญิงเมื่อไร จะต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟังเสียหน่อย ดูสิ นางจะทำหน้าเช่นไร!



ก่อนเท้าเล็กจะก้าวข้ามธรณีประตูโรงเตี๊ยมชางลั่งถิง ดวงตาสีดำวาวดุจหยกนิลของเด็กชายก็กระทบกับภาพบางอย่างที่สะดุดใจเข้าอย่างจัง มุมเงียบด้านข้างเสาใหญ่โตต้นหนึ่ง มีชายวัยกลางคนสวมชุดจอมยุทธ์สีกลางเก่ากลางใหม่ กำลังก้มหน้าขีดเขียนอะไรบางอย่างบนแผ่นกระดาษ เห็นได้ชัดว่ามือเรียวใหญ่ของเขาขยับเป็นจังหวะมั่นคง ท่าทีจริงจังสมเป็นผู้ฝึกยุทธ์มาอย่างช่ำชอง ข้างตัวมีสตรีวัยสาวใบหน้านวลเรียบสงบ รอยยิ้มที่มุมปากนางมีแววเมตตา บางคราวก็โน้มตัวลงไปชี้ชัดคำบางคำบนกระดาษให้บุรุษนั่นอย่างอ่อนโยน


กลิ่นความใคร่รู้ขององค์ชายน้อยโผล่พรวดออกมาในเสี้ยวลมหายใจ เหมือนแมวที่ได้กลิ่นปลาทูย่าง เด็กชายค่อย ๆ เขยิบปลายเท้าเข้าไปใกล้โดยไม่ให้เกิดเสียง กระทั่งยืนชะเง้อมองแผ่นกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายด้วยดวงตาเปล่งประกาย


“พี่ชายจอมยุทธ์... ท่านกำลังเขียนสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?” เด็กน้อยถามอย่างอารมณ์ดี ปลายเสียงนั้นใสเสียจนแทบแยกไม่ออกว่าเอาจริงหรือแกล้ง


ชายผู้ถูกถามขมวดคิ้วพลางหันมามองเจ้าหนูน้อยตรงหน้า สีหน้ามิได้รังเกียจหากก็ไม่ใคร่ยินดีนัก “เจ้าหนู เรื่องนี้ของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเจ้าควรไปวิ่งเล่นข้างนอกดีกว่า อย่าให้เสียเวลาเลย”


คำตอบที่ออกมาแม้สุภาพแต่ก็ตัดบทชัดเจน หรูเสวียนเม้มปากน้อย  คล้ายคนโดนเฉือนศักดิ์ศรีนิด ๆ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงมิได้ดูแคลน แต่ด้วยความเป็นเด็กที่คุ้นชินกับการได้ยินเสียงโค้งคำนับมากกว่าสั่งให้ไปเล่นทราย จึงอดมิได้ที่จะประชดในใจ


ด้วยความอยากรู้อย่างสุดหัวใจเขากระโจนไปยังมุมกระดาษเปล่าอีกแผ่นหนึ่งที่ยังวางอยู่ข้างชายผู้นั้น คว้ามาไว้ในมือในชั่วพริบตาอย่างคล่องแคล่ว


“อะไรน่ะ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง เป็นเสียงของสตรีผู้ให้คำแนะนำที่ยังคงมองเด็กน้อยด้วยแววตานุ่มนวล “หนูน้อย เจ้ารู้หรือเปล่าว่านั่นคือแบบลงทะเบียนรับจ้างงาน?”


“รับจ้างงานหรือขอรับ?” เขาถามเสียงใสพลางมองกระดาษในมือ “เช่นว่าจ้างทำอะไรได้บ้าง?”


“แล้วแต่จะตกลงกับผู้ว่าจ้าง” นางตอบยิ้ม ๆ “มีทั้งขนของ ขุดสระ คุ้มครองคาราวาน เป็นผู้ส่งข่าวสาร หรือแม้แต่เป็นผู้ช่วยตามร้านค้า... แต่เจ้ารู้อักษรใช่ไหม?”


องค์ชายยืดอกทันที หน้าตาเปื้อนความภูมิใจ “ขอรับ ข้ารู้อักษร อ่านได้ เขียนได้ด้วย!”


หญิงสาวอมยิ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนผายมือให้เขานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอีกตัวข้างโต๊ะ “ถ้าเช่นนั้นก็ลองกรอกดูสิ แต่ต้องใส่ชื่อ สกุล และนามรองลงไปด้วยนะ”


เด็กชายเลิกคิ้วนิด ๆ คำถามผุดในหัวทันทีเหมือนฟองอากาศกลางบ่อน้ำ ชื่อจริงหรือ? แค่คิดก็ปัดทิ้งในทันที ความเป็นองค์ชายจะเขียนโพล่งลงไปตรง ๆ ให้โลกได้ประจักษ์คงไม่ต่างจากโยนป้ายทองลงกลางตลาด


แถมนามรองก็ยังมิได้กำหนดให้จากผู้ใหญ่ เขายังไม่ทันพ้นขวบปีแรกแรกของชีวิต การประดับหมวกยังอีกไกล จะให้อ้างชื่อไหนล่ะ?


เจ้าตัวนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจ ราวกับสวรรค์กระซิบชื่อให้ผ่านสายลม เด็กน้อยหยิบพู่กันจุ่มหมึกแล้วค่อย ๆ เขียนอักษรอย่างประณีต


ในช่องชื่อและสกุล เขาใส่ลงไปว่า ไม่ประสงค์แจ้ง


ในช่องนามรอง เขาเขียนว่า...


เสวียนอิ๋ง (玄影) — เงาดำแห่งความลึกลับ


เขาลงมือเขียนด้วยลายมืออ่อนช้อยอย่างคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พอลงเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นส่งกระดาษให้หญิงสาว พร้อมรอยยิ้มระคนภาคภูมิและเจ้าเล่ห์แบบเด็กขี้เล่น


หญิงสาวอ่านข้อมูลในมือ แล้วพยักหน้าพอใจ จากนั้นหยิบแผ่นกระดองเต๋าใบเล็กที่มีหมึกประทับอยู่ ยื่นส่งให้เด็กน้อย


“เก็บไว้นะ หนูน้อย ในอนาคตอาจกลายเป็นสิ่งสำคัญของเจ้า ไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดจะพาเจ้ากลับมาที่นี่อีกก็ได้”


องค์ชายน้อยรับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ประคองอย่างทนุถนอมยิ่งกว่าถ้วยหยกจากห้องเครื่องหลวง แววตาวาวระยับราวได้สมบัติชิ้นใหม่ที่ไม่มีใครรู้ค่า


หลังใช้เวลาในโรงเตี๊ยมนานเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ตอนแรก เจ้าหนูในคราบสามัญชนก็หันหลังออกจากชางลั่งถิง ลมเย็นโชยปะทะปลายผมดำสนิทที่ปล่อยระใบหูอย่างไม่เป็นระเบียบ


มือข้างหนึ่งของเขายังลูบไล้แผ่นกระดองในอกเสื้อ ราวกับไม่อยากปล่อยมันไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาเดินออกสู่ถนนเมืองหลวงที่คึกคัก ดวงตากลมดำมองไปยังโลกกว้างเบื้องหน้าอย่างผู้กล้าที่ยังมีเรื่องราวรอให้ค้นหาอีกมากมายนัก…




+15 EXP ผู้ฟังข่าวลือเทพธิดาลู่ไป๋หรั่นและการกำเนิดขององค์หญิงน้อย


+15 EPX ผู้ฟังข่าวลือกลุ่มลัทธิชั่วร้าย (ลู่กุ้ยเฟยให้กำเนิดทารกปีศาจ?)



แบบฟอร์มลงทะเบียนจอมยุทธ์


ชื่อสกุล : ไม่ประสงค์แจ้ง


ชื่อทางการ : ไม่ประสงค์แจ้ง


ชื่อรอง : เสวียนอิ๋ง


ระดับจอมยุทธ์เริ่มต้นที่ลงทะเบียน(Level) : ระดับ 3


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-1 16:47
โพสต์ 55765 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 16:46
โพสต์ 55,765 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-1 16:46
โพสต์ 55,765 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 เกียรติยศ +8 ความศรัทธา จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-1 16:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ลำนำ(ซวีหยวน)
หมวกถังเจียน
ผู้มีบุญ
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x2
x10
x2
x4
x4
x4
x4
x20
x30
x30
x90
x4
x100
x4
x1
x47
x30
x20
x10
x10
x20
x5
x5
x2
x3
x12
x70
x74
x70
x20
x1
x1
x1
x1
x4
x3
x2
x4
x2
x4
x10
โพสต์ 2025-6-5 22:13:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด




         เสียงนกร้องยามเช้าเริ่มขานรับแสงอรุณในช่วงเช้าตรู่แบบที่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่ครบดวงที่ขอบหลังคาของโลก อีกมุมหนึ่งของศาลเจ้าแห่งหนึ่งในตรอกเล็ก ๆ ด้านหลังเมืองฉางอัน มีเงาเล็ก ๆ ขดตัวนอนใต้แท่นบูชาที่เป็นไม้ผุพัง มือหนึ่งกอดถุงผ้าสีน้ำตาลอยู่แน่น ๆ แล้วมืออีกข้างหนึ่งก็ยันหัวขึ้นมานอนจากเสี่ยเก่าอย่างงัวเงีย… งึม ๆ กลิ่นแสงอาทิตย์

         หลินหยาลืมตาปรือช้า ๆ ราวกับเพิ่งฟื้นจากสงครามกลางเมืองแบบคนเร่ร่อนเมื่อคืน ใต้ตาบวมหน่อย ๆ จากการโดนยุงกัดแหละ ตรงคอก็ปวดตึงจากการที่ต้องนอนหมอนธรรมชาติที่เป็นไม้ไผ่หน้าศาลเจ้า เหมือนพยายามบังคับตัวเองให้ตื่นอย่างเงียบ ๆ ฮืออ ไม่ต้องปลุกด้วยอะไร ร่างกายที่แสนอ่อนล้าก็ตื่นเองแหละ “อือออ ตื่นก็ได้จ้าา..งึม ๆ” เธอไม่คิดว่าชีวิตตอนนี้มันช่างลำบากจริง ๆ เลยนะเนี้ย เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วเหมือนคนที่ร่างกายไม่อยากเคลื่อนไหวจากความยากจนของตนเองที่มี เรียกว่าแรงก็ไม่มี เงินก็ไม่มี ที่พักยังไม่มีเลย สิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแค่หน้าตาและสันดานที่ติดตัวแหละ

         ด้วยจิตวิญญาณจของลูกคุณหนูเจ้าเมืองกว่างโจว เธอปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าชุดเดิมที่ยับยู่ยี่ยิ่งกว่ารองเท้าคนจนเสียอีกแล้วก้าวออกมาจากศาลเจ้าราวกับเป็นคนที่พึ่งออกจาำถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์หรือพึ่งไปบำเพ็ญตบะมานั้นเอง ถึงแม้ว่าจะมีเศษใบไม้ติดอยู่บนหัวนิดหน่อยก็ตามที

        “เอือก ไปไหนดีนะ?”

         เธอคิดก่อนที่จะเดินไปเรื่อย ๆ กะว่าจะไปหาที่พักแล้วล่ะ สุดท้ายเท้าของเธอก็นำเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าสิ่งปลูกสร้างอันโอ่อ่าราวกับตำหนักย่อม ๆ แห่งหนึ่ง เธอมองป้ายไม้แกะสลักที่เด่นเป็นสง่าเหนือประตูว่า โรงเตี๊ยมชางลั่งถิง นี้คือป้ายทางเข้ากว้างพอที่รถม้าจะผ่านได้สบาย ๆ เลยแหละ โคตรใหญ่

         "อะ...อันนี้... โรงเตี้ยมหรอ?" เสียงในใจหลุดออกมาทางปากอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาเบิกกว้างแล้วกลอกซ้ายกลอกขวาอย่างหวาดระแวง "ไม่มีอันที่มัน...เล็กกว่านี้แล้วหรออออ?" แต่เมื่อมาถึงแล้วจะลองเข้าไปถามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนะ แล้วก็พยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็แอบ ๆ เดินฝ่าเข้าไปในประตูด้านในด้วยยอารมณ์คนจนของตัวเอง พร้อมกับสายตาที่คนรับแขกจ้องมาอย่างสุภาพ(?) ใช่ไหมนะ เหมือนประเมินค่าเธอเต็มขั้นตั้งแต่หัวจรดหาง..

         “เอ่อ..ขอโทษนะเจ้าคะ..” เธอเอ่ยขึ้นแล้วมองคนที่เหมือนเป็นพนักงานต้อนรับแบบกล้า ๆ กลัว ๆ “อยากทราบราคาห้องเดี่ยวเจ้าค่ะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นบอกแบบนั้น พนักงานชายในชุดผ้าซาตินสีเงินยิ้มอย่างนุ่มนวลเหมือนมีลมดอกเหมยพัดผ่าน กล่าวเสียงสุภาพปานเสนาบดีตอบปัญหาชาวบ้านว่า

         “ห้องเดี่ยวธรรมดา คืนละ 20 ตำลึงเงินขอรับ”

         เมื่อได้ยิน สมองของหลินหยาก็เหมือนว่าจะหยุดประมวลผลชั่วครู่ แล้วเธอก็หันหลังกลับช้า ๆ แบบคนโดนฟาดด้วยกระทะทองคำ สมองก้องคำว่า ยี่สิบตำลึงเงิน’ อย่างไม่จบสิ้น! ยี่สิบตำลึงงง!? ข้าพเจ้าในมือมีอยู่แค่หกกก!! หกกกก!!! หก!! ยากจังเลยชีวิตนี้เธออยากบ่นออกมาแต่ทำไม่ได้อ่ะสิ

         เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่พนักงานต้อนรับ สภาพของหลินหยาที่กำลังเดินออกจากหน้าเคาน์เตอร์ไปยังป้ายกระดานงานด้านข้างโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้ากึ่งสงสารกึ่งขำ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ไม่ถึงสองเค่อถัดมา หลินหยาก็เดินกลับมาอีกรอบอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งนักสู้ที่พ่ายแพ้ในเวทีประลองยังไงยังงั้น ใบหน้าเธอยังคงเก็บอาการไว้ไม่อยู่ หน้าขาว ๆ กับแก้มยุ้ย ๆ นั่นขึ้นสีชมพูเรื่อด้วยอารมณ์ปนเป “จะสมัครงานต้องเป็นจอมยุทธ์ก่อนหรอเจ้าคะ?!” เอ่ยถามแบบนั้นแล้วอึ้งสุด ๆ พนักงานเลยพยักหน้ารัว ๆ หลินหยาเลยแทบทรุด จะไปเป็นได้ไงวะเนี้ย เป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีอะไรแบบนั้นสักหน่อย เธอหันกลับมาทางเสี่ยวเอ้อร์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงกึ่งกดดัน "ไม่มีงานอย่างอื่นเหรอเจ้าคะ? แบบที่ไม่ต้องมีตำแหน่งจอมยุทธ์เลยอ่ะเจ้าค่ะ”

         เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเจื่อนนิด ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจในชีวิตคนไร้ตราและไร้ตังค์ "ก็มีนะแม่นาง...งานชั่วคราวไง ตามร้านค้าในเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็มีกันหมดนั้นแหละ พวกทำความสะอาด ล้างจาน ยกของ เติมถ่าน ยกเกี้ยว เช็ดหน้าต่าง เดินตะเกียง...หลาย ๆ ร้านจะเป็นทำทุกวันได้เงินทุกวัน แต่ส่วนใหญ่โรงเตี๊ยมของเราก็เป็นแค่ 3 วันครั้งเท่านั้น เพราะคนแย่งกันมาทำเยอะเลย"

         "ตกลงเจ้าค่ะ ข้าจะทำ!" เธอพูดอย่างมั่นใจแบบไม่คิดชีวิต “ข้าขอทำงานวันนี้เลย!”

         “เช่นนั้นแล้วขอบอกไว้ว่าราคาค่าจ้างต่อวันคือ 200 อีแปะนะ” พนักงานเอ่ยบอกกับทางหลินหยาแบบนั้น เด็กสาวรัวหัวจิก ๆ เหมือนกับคนที่ตื่นเต้นสุด ๆ พยักหน้าแรงจนผมที่ตกลงมากระเด้งขึ้นแล้วหล่นลงมาใหม่อย่างพร้อมเพรียง “…ดีใจมากเลยเจ้าค่ะ! อย่างน้อยก็ซื้อหมั่นโถวได้หลายเข่ง ซาลาเปาอีกสักตะกร้าฟังดูหรูหรากว่าหมอนไม้ไผ่เมื่อคืนเยอะ!”

         งานแรกของหลินหยาไม่ได้อะไรมาก แต่ก็นับว่าไม่เบาเลยสำหรับคนตัวบาง ๆ แบบนี้ เสี่ยวเอ้อร์ที่เพิ่งจะรู้ว่าเธอไม่ได้มางานจอมยุทธ์หรือแม่ค้าขายผลไม้แต่อย่างใด จึงมอบหน้าที่อัน 'พอเหมาะกับแรง' คือ แบกของเข้าห้องครัว เป็นกล่องลังจากเกวียนที่มาส่งอุปกรณ์การทำอาหาร แต่พอเห็นหญิงสาวยืนมองรถเข็นไม้ที่เต็มไปด้วยตะกร้าไม้ไผ่ซ้อนสูงเกือบถึงอกเธอ…โอ้ยตาย..แขนเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีแรงอะไรเลยกลับขยับเข็นรถพร้อมดันประตูเข้าไปแล้วแบกลังและตะกร้าเหล่านั้นเข้าไปในห้องครัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสร็จเรียบร้อย

         พอทุกอย่างเรียบร้อย หลินหยาก็ยกชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผากนิด ๆ พลางถอนหายใจอย่างสะใจ เหมือนนักรบเพิ่งลงจากม้าหลังเสร็จศึก หลังจากนั้นเธอก็เดินไปที่เดิม “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เอ่ยบอกแล้วยิ้มรับอย่างภูมิใจสุด ๆ เลย เสี่ยวเอ้อร์เลยพยักหน้าก่อนที่เขาจะยื่นถุงผ้าสีหม่นให้ด้านในมีเหรียญอีแปะกระทบกันเบา ๆ






พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

รางวัล: ค่าจ้าง 200 อีแปะ 15 EXP


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 15 EXP โพสต์ 2025-6-5 22:45
โพสต์ 16098 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-6-5 22:13
โพสต์ 16,098 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-5 22:13

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1เหรียญอู่จู +200 ย่อ เหตุผล
Watcher + 200

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ชุดทิวาเมฆาล่อง
รองเท้าหยุนเวย
โล่ไม้
วาสนาเซียน
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
เกราะทองเทวะ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x3
x16
x16
x16
x1
x49
x5
x27
x3
x10
x10
x2
x2
x3
x114
x5
x6
x6
x5
x7
x4
x6
x4
x21
x3
x159
x40
x41
x1
x5
x34
x11
x246
x1
x1
x1
x145
x5
x7
x66
x20
x6
x93
x149
x5
x209
x5
x50
x5
x85
x6
x208
x68
x75
x81
x4
x105
x5
x8
x4
x4
x14
x16
x9
x15
x69
x1
x1
x53
x55
x47
x16
x140
x10
x11
x11
x36
x9
x10
x4
x16
x60
x55
x2
x1
x104
x64
x9
x11
x215
x55
x28
x70
x78
x49
x5
x3
x128
x12
x10
x11
x5
x3
x3
x9
x5
x11
x3
x1
x6
x14
x10
x137
x109
x21
x11
x14
x48
x3
x1
x7
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้