“จงกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น”
ประโยคนี้คือคติประจำสกุล เว่ยเจีย สกุลบัณฑิตแห่งต้าฮั่นอันยิ่งใหญ่ บุรุษมากมายผู้นำหน้าด้วยสกุลนี้ล้วนรับราชการขุนนางทั้งสิ้น สตรีผู้นำหน้าด้วยสกุลนี้เองย่อมเพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาท งานเรือนไม่ขาด งานปรนนิบัติไม่บกพร่อง ทั้งหมดนี้คือสกุลเว่ยเจียอันเป็นที่เคารพของชาวบ้านเมืองหนานหยาง หากแต่ว่ากับ “เว่ยเจียเหลียนฮวา” คงไม่อาจใช้คำนิยามของสกุลนี้ได้เต็มปากนัก
18 ลิ่วเยว่ ต้นคิมหันต์ฤดู จงหยวนศกที่ 3 รัชสมัยฮั่นจิ่งตี้ เมืองไคเฟิง
ในคืนที่ดวงดาราพร่างพราย สายลมช่วงหมางจ้งเย็นสบาย เสียงเล็กแหลมกู่ร้องลอดออกมาจากเรือนเล็กของจวนสกุลเว่ยเจีย เสียงของก้อนแป้งตัวน้อยผู้ได้รับนามแสนงดงามดุจดอกบัว เว่ยเจียเหลียนฮวา นางเกิดมาด้วยความรักหรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้ สิ่งที่เที่ยงแท้ยิ่งกว่าใจคนคือนางเป็นบุตรคนที่ 3 ของนายแห่งสกุลเว่ยเจียอย่าง เว่ยเจียฟูหยาง เจ้ากรมโยธาธิการ ร่วมกับ ฟูเหรินรอง เสวี่ยมู่หรง
เว่ยเจียเหลียนฮวาเติบโตมาอย่างเรียบง่ายไม่เกินจริงนัก ชีวิตของนางที่ยังคงต้องอาศัยอ้อมอกมารดาไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้รับความรักจากมารดาและบิดาที่มอบความรักอย่าง “เท่าเทียม” มีพี่ชายใหญ่ เว่ยเจียมู่หง ผู้อายุมากกว่านาง 5 ปี มาเยี่ยมเยียนนางเป็นครั้งคราว พี่หญิงรอง เว่ยเจียอิงฮวา ผู้อายุมากกว่านาง 4 ปี มาเยี่ยมเยียนพร้อมฟูเหรินใหญ่ครั้งเดียวตามมารยาท ทุกอย่างแลเหมือนจะเรียบง่ายทั่วไปจนกระทั่งนางอายุเข้า 4 ขวบ เริ่มเตาะแตะก้าวเดินไปตามประสาจนได้พบกับ “ความจริงใจของเจี่ยเจีย”
กลางเหมันต์ฤดูอันหนาวเหน็บในหูหยวนศกที่ 1 เว่ยเจียเหลียนฮวาอายุได้ 4 หนาว นางเดินออกจากเรือนเล็กไปกลางสวนของจวนโดยไม่ได่เอ่ยบอกผู้ใดเพื่อเล่นหิมะปุยนุ่ม ณ ที่ตรงนั้นพบเข้ากับ พี่หญิงรองอย่างเว่ยเจียอิงฮวากำลังปั้นกระไรสักอย่างกลม ๆ จากหิมะขาวพิสุทธิ์ เด็กเล็กที่คิดเพียงว่าที่แห่งนี้คือบ้านของนาง สาวน้อยวัย 8 หนาวตรงหน้าของนางก็เป็นพี่สาวของนาง ใยมารดาถึงระแวดระวังมิให้นางออกมาวิ่งเล่นไกลเรือนเล็กถึงเพียงนั้น เว่ยเจียเหลียนฮวาไม่รอช้าก้าวเดินไปเอ่ยขอปั้นหิมะเล่นกับพี่หญิงรองด้วยน้ำเสียงสดใสแม้ว่าจะอ้อแอ้น่าเอ็นดูก็ตาม
“ย่อมได้ เหม่ยเหมย มาเล่นปาหิมะกัน” นางนิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะพยักเพยิดสาวใช้ข้างกายให้ไปที่ไหนสักที่และหันมาแย้มยิ้มเอ่ยตอบนางผู้เป็นน้องสาว
“วิธีการเล่นไม่ยาก เพียงเจ้าปั้นหิมะเช่นนี้ แล้วก็ปาใส่ผู้อื่น”
และหิมะกลมลูกนั้นก็ถูกปาใส่ร่างเล็กของนางจนเสียหลักนั่งจุ่มกับพื้น ใบหน้าจิ้มลิ้มเจ้าของผลงานนี้ยกมุมปากขึ้นพอใจมากเชียว
“กระไรนะ ? เจ้ายังมิเข้าใจหรือ ? ปาเช่นนี้อย่างไรเล่า เหม่ยเหมย”
และเกล็ดเหมันต์เย็นเหยียบลูกแล้วลูกเล่าก็ถูกปาใส่นางจนร่างชาเกินขยับกายลุกจากผืนดินสีขาวโพลน ดวงใจดวงน้อยที่หยิบยื่นให้เป็นคราแรกของชีวิตได้แตกสลายลงทันตา ไม่นานนักบ่าวใช้ก็มาเรียนพี่หญิงรองถึงการมาของฟูเหรินรองหรือเสวี่ยมู่หรง สตรีทั้งสองจึงรีบเดินจ้ำอ้าวออกจากสวนกลับเรือนใหญ่ ทิ้งไว้เพียงเหลียนฮวาบอบเฉาร่างชาและหยดน้ำตาแห่งความโศกา
“เหลียนฮวาอยากเล่นกับพี่หญิงรอง พี่หญิงรองเลยบอกว่ามาเล่นปาหิมะกัน แต่ว่าเหลียนฮวาไม่ทันจะปาพี่หญิงรองก็ปาใส่ข้าเสียแล้ว ข้าไม่อาจตอบโต้นางได้เลยเจ้าค่ะ”
เสวี่ยมู่หรงเร่งปัดหิมะออกจากกายเล็กบอบบาง โอบกอดนางไว้แนบแน่นก่อนจะอุ้มเพื่อกลับเรือนเล็กไป นางจับไข้ร่วมสามทิวาสามราตรีพร้อมกับได้ยินข่าวแว่วมาถึงใบหูเล็กว่ามารดาของนางไปโวยวายเสียจนเรือนใหญ่แทบแตกและเว่ยเจียอิงฮวาถูกลงโทษ แม้จะเบาเกินกว่าความทรมานของบุตรีคนเล็กก็ตาม
หลังจากวันนั้นเว่ยเจียอิงฮวาดูเหมือนว่าจะไม่ลดละการกลั่นแกล้งเว่ยเจียเหลียนฮวา รังแต่จะมากขึ้นเสียด้วยซ้ำเมื่อเว่ยเจียฟูหยางมักจะไม่ค่อยอยู่เรือนด้วยหน้าที่ของเจ้ากรมโยธาธิการ บ้างก็ทำข้าวของแตกแล้วโทษนาง บ้างก็ขัดแข้งขัดขา บ้างก็ทำน้ำชาหกรดกาย สารพัดจะสรรหาวิธีการมารังควาน เหลียนฮวาในวัย 6 หนาวที่อยู่กับการโดนกลั่นแกล้งเคยหมดความอดทนจนตะโกนก้องร้องถามถึงเหตุแห่งความเกลียดชัง
“เจ้ามันนังลูกชู้” นี่คือคำตอบที่ติดตรึงภายในใจ เว่ยเจียอิงฮวาผู้เป็นพี่สาวต่างมารดาก็ตะโกนตอบโต้พร้อมชี้นิ้วจิ้มกระหม่อมกดลงให้ร่างเล็กเสียสมดุลจนล้มลง ต้องขอบคุณฟูเหรินใหญ่ มารดาของเว่ยเจียอิงฮวา และฟูเหรินรอง มารดาของเหลียนฮวาเองที่ออกมาจากการคารวะนายหญิงเฒ่าผู้เป็นย่าของเด็กทั้งสอง บทสรุปสุดท้ายคือเป็นนางที่ต้องคลายโกรธด้วยตนเองโดยไร้คำขอขมาทั้งสิ้นนอกจากมารดาที่เอ่ยอย่างปวดใจและเล่าทุกอย่างให้นางได้ฟัง
“เถือเสียว่ามารดาเล่านิทานให้ฟังเถิด”
เสวี่ยมู่หรงเล่าว่านางนั้นเป็นบุตรีในครอบครัวพ่อค้าคาราวานใหญ่ตามเส้นทางสายไหม แม้นร่ำรวยทว่ามิได้ลงหลักปักฐานที่ใด ครั้นเมื่อคาราวานหยุดพำนักและค้าขายที่ลั่วหยางนางก็ได้พบกับ เว่ยเจียฟูหยาง ราวกับด้ายแดงที่ดึงรั้น นางมิอาจละสายตาไปจากเขาผู้นั้นได้เลย นับว่ามีวาสนาชะตาพานพบเมื่อหญิงงามถูกคุกคามจากชายโฉดไร้สติ ยอดบุรุษเช่นเขาจึงออกหน้าช่วยเหลืออันเป็นบ่อเกิดความสัมพันธ์ในโรงเตี๊ยมใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่คาราวานปักหลักค้าขายในลั่วหยางทั้งคู่ต่างเวียนมาพบสบดวงตาสนทนาอยู่บ่อยครั้งจนเป็นความรักใคร่อย่างช่วยไม่ได้
“หากจักผิดที่ผู้ใด ให้ผิดที่มารดาไม่รักดี”
สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ลักลอบมีความสัมพันธ์กันโดยมิได้ตบแต่งจนมารดาตั้งท้องอ่อนจึงส่งข่าวไปบอกเว่ยเจียฟูหยาง และจบที่ให้เสวี่ยมู่หรงตบแต่งเป็นฟูเหรินคนที่สองของจวนสกุลเว่ยเจีย
“จงจดจำไว้เสี่ยวเหลียนฮวาของข้า แม้นมารดามิได้มีอำนาจมากมายภายในจวน ทว่าเจ้าอย่าได้ยอมผู้ใด”
กลางเหมันต์ฤดูในสือเอ้อร์เยว่ ณ หูหยวนศกที่ 3 เว่ยเจียเหลียนฮวาละทิ้งแล้วซึ้งความหวังในครอบครัวแสนอบอุ่น
หลังจากความหนาวเหน็บในวันนั้นก็ไร้ซึ่งเหลียนฮวาผู้อ่อนหวาน ไร้ซึ่งดวงตาร้องขอความรักจากครอบครัวทั้งผอง มีเพียงยายกระต่ายแสนซนต่อล้อต่อเถียง ยียวนการละครจนทำเอานายหญิงเฒ่าส่ายหัวพัลวัน ยิ่งเมื่อได้เผชิญหน้ากับฟูเหรินใหญ่และเว่ยเจียอิงฮวา การล้อเลียนของนางจักดูน่าขันเป็นพิเศษ มีเพียงช่วงที่บิดาอยู่เรือนเท่านั้นกระมังที่จะได้เห็นเหลียนฮวาสงบลงบ้าง ส่วนพี่ชายใหญ่นั้นเข้าสำนักศึกษาแล้วนานครั้งจึงจะกลับเรือน สำหรับนางแล้วพี่ชายใหญ่ผู้นี้ก่อนหน้าแลเหมือนเอ็นดูนางอยู่บ้าง ทว่าเมื่อท่าทีของเว่ยเจียอิงฮวา น้องสาวร่วมมารดาของเขาเกลียดชังอย่างชัดเจนก็ไว้ซึ่งท่าทีเป็นกลางและทำเพียงเฝ้ามองอย่างไร้ท่าทีเท่านั้น…ซึ่งนั่นก็มิได้ทำให้นางรู้สึกขอบคุณแต่อย่างใด
ณ เจี้ยนหยวนศก ปีที่ 6 เมื่อลมวสันต์หอบกลิ่นเหมยฮวาหนที่ 12 ของนางมาเยือน นางที่ไม่ต้องการจะเห็นหน้าฟูเหรินใหญ่ก็เอ่ยขอบิดาไปเรียนที่สำนักศึกษาสตรีที่เมืองลั่วหยาง ทว่านั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่นางต้องการไปสู่สำนักนั้น นางเชื่อมั่นว่าหากต้องการปีกกล้าขาแข็งจะต้องมีซึ่งอำนาจ และอำนาจสำหรับนางในตอนนี้หาใช่ครอบครัวที่รักไม่ ยิ่งก่อนหน้าที่นางจะเข้าศึกษา เว่ยเจียอิงฮวา เองก็เข้าศึกษาก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นการที่นางเข้าเรียนด้วยแม้จะต้องทนเห็นหน้าเจี่ยเจียที่รักก็ตาม
แต่มีหรือนางจักต้องทานทนผู้เดียว สิ่งใดที่ท่านปรารถนา ข้าจักคว้ามาให้ดู