เจ้าของ: Admin

[ตำหนักตงเฉิน | 冬晨宫]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-8-28 18:30:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-8-28 18:32




เสียงปริศนา
วันที่ 17 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
ยี่สิบนาฬิกาเป็นต้นไป


“ พระสนมจะออกไปอีกจริง ๆ หรือเพคะ ”

ใบหน้าของนางกำนัลคนสนิทดูย่ำแย่ลงเมื่อพระสนมของตนพึ่งกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่ากำลังวางแผนออกจากพระราชวังในระยะยาว.. ระยะยาว !! หลี่ผู่เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยในระหว่างที่สองตาจดจ้องอยู่กับร่างงามที่เตรียมตัวพร้อมสรรพถึงขนาดสวมใส่เสื้อผ้าสำหรับออกไปนอกวังเรียบร้อยแล้ว

“ วังหลวงหาได้มีข้อห้ามใด อีกอย่างเปิ่นกงมีทรัพย์สินอยู่มาก ต่อให้ออกไปก็มิมีทางตกระกำลำบาก ” ไป๋หรั่นกล่าวอย่างเนิบช้าพร้อมด้วยการยกชาขาวขึ้นจิบคำน้อย ๆ ดูแล้วเพลินตาแต่ก็น่าถอนหายใจในความรั้นที่แฝงไว้ใต้ความสงบเสงี่ยม

“ มิมีข้อห้าม แต่หากฝ่าบาททรงเสด็จมากะทันหันจักให้หม่อมฉันทำเยี่ยงไรเพคะพระสนม? ”

“ ฝ่าบาท.. ” เนตรหงส์หม่นแสงลงทีละน้อย นงคราญหยกเปล่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาเบา ๆ “ จะมีเรื่องใดให้พระองค์เสด็จมาเล่า วันคล้ายวันประสูติของไท่โฮ่วก็ผ่านมาแล้ว ขณะทูตเองก็ได้รับการต้อนรับแล้ว สิ่งที่หยุดชะงักไปก็สมควรกลับมาดำเนินต่อได้แล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าอุทยานเม่าหลินมีสัตว์ดุร้าย จัดการได้หรือยัง? ”

“ ที่มีรายงานจากกองลาดตระเวนว่าพบหมาป่ายักษ์สีเงินบนเนินเขาดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงส่งคนไปตรวจสอบตั้งแต่วันที่มีการจัดขบวนส่งศพของเฮ่อถูซื่ออดีตเจี๋ยยวี่แล้วเพคะ ” เมื่อพูดจบ นางกำนัลน้อยลอบสังเกตท่าทางของนายหญิงเล็กน้อย ผู่เยว่เห็นว่ามือที่คลึงจอกชาของอีกฝ่ายหยุดนิ่งไป ทว่าใบหน้างามกลับยังประดับรอยยิ้มเบาบาง

“ … นางสิ้นใจแล้วหรอกหรือ ” ไป๋หรั่นพึมพัมเสียงเบาดูเลื่อนลอยนัก ราวกับถูกกำแพงปริศนาครอบทับกายทั้งสี่ทิศ สายตาของนางถูกชักนำให้สนใจเพียงบุคคลไม่กี่ชีวิต โดยเฉพาะเจ้าของรัศมีมังกรนั้นที่โดดเด่นนักในสายตานาง “ มีอะไรอีกที่เปิ่นกงพลาดไป ”

“ ช่วงนี้ชาวเมืองกล่าวกันว่า ปีศาจปลาเริ่มหันมาต่อสู้กันเองจนมีประชาชนได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาวที่เริ่มมีประกาศเตือนจากทางการให้ระมัดระวังตัว เนื่องจากจำนวนสตรีที่หายตัวไปเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังมีผู้พบเห็นร่องรอยการล่าและต่อสู้กับปีศาจปลาในระยะที่ห่างลำน้ำไม่น้อย ซึ่งผิดไปจากรูปแบบเดิมของเหล่าปีศาจปลา ”

หลี่ผู่เยว่ยังรู้ดีว่าอะไรที่จะใช้โน้มน้าวใจคนได้ นงคราญหยกชำเลืองตามองนางกำนัลคนสนิทตรงหน้าตนเล็กน้อยก่อนจะหลุบตาพร้อมกล่าวสั้น ๆ ว่า “ พูดต่อสิ ”

“ อีกอย่างช่วงนี้กลุ่มบัณฑิตที่เชื่อในลัทธิขงจื๊อก็เริ่มออกมาป่าวประกาศอีกแล้วเพคะ ” ม้วนตำราไผ่ชิ้นหนึ่งถูกยื่นให้นายหญิงแห่งตำหนักตงเฉินได้คลี่อ่าน ไป๋หรั่นค่อย ๆ คลายสายผูกภายนอก ก่อนจะคลี่ม้วนตำราดูเนื้อหาด้านในโดยที่เตรียมใจไว้แล้วว่า.. ‘ ขงจื๊อสร้างเรื่อง ไม่พ้นกล่าวโทษสตรีอีกตามเคย ’

ลัทธิขงจื๊อเปี่ยมด้วยคุณธรรม สี่คุณธรรม สามคล้อยตาม
วางตัวสตรีเพียบพร้อมและศรีภรรยา แต่ม่อจื่อกลับสร้างความยุ่งเหรินแก่ครัวเรือน
สร้างความชิงดีชิงเด่นในความสามารถจนเกิดความโกลาหลในครอบครัว
อีกทั้งสนมนางหนึ่งก็แอบนัดคบชู้รักยามวิกาลทั้งที่มีโทษกักบริเวณ
อีกนางสนมก็มากด้วยเล่ห์วางแผนสารพัดเพื่อผลักนางสนมผู้โปรดปรานตกธารา


เมื่ออ่านจบไม่พ้นหลุดหัวเราะเสียงดังกึกก้องไปทั่วตำหนัก สาวงามในรอบสี่พันปีเช่นไป๋หรั่นลอบยกนิ้วขึ้นปาดหยดน้ำตรงหางตา ก่อนจะโยนม้วนตำราไผ่นั้นลงกับโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล “ แล้วพวกเขารู้หรือไม่เล่าว่าสนมที่คบชู้สู่ชายในยามวิกาลผู้นั้นเป็นคนเดียวกับที่ถูกกล่าวถึงในท่อนถัดไปว่าเป็นที่โปรดปราน ” แววตางามราวผืนนภายามรัตติกาลทอประกายอ่อนใจ พร้อมด้วยดวงหน้าของโฉมสะคราญที่เจือแววเหนื่อยล้าเหลือคณา

“ หากคนในคืนนั้นเป็นชู้จริง เปิ่นกงคงมิต้องรู้สึกเสียเปรียบถึงเพียงนี้.. ”

“ พระสนม กล่าวเช่นนี้มิได้นะเพคะ ”

เสียงเตือนของผู่เยว่ลอยเข้ามาและไหลผ่านไป พระสนมลู่ผู้งามนักปิดเปลือกตาลงช้า ๆ “ พูดตอนนี้แล้วมีประโยชน์เสียที่ไหนเล่า.. ผู้คนเชื่อแล้วว่าเปิ่นกงเป็นสาวเริงเมือง คบชู้ทั้งที่ยังต้องโทษกักบริเวณ นับว่าเป็นนางจิ้งจอกที่หาญกล้าเทียมฟ้า ” สตรียิ่งงามเท่าใดก็ยิ่งมีเรื่องยุ่งยากมากเท่านั้น ไป๋หรั่นขยับกายเล็กน้อย นางเอนตัวเข้ากับขอบตั่งนั่งดูคล้ายการเอนหลังพักผ่อนยิ่งนัก

ผู่เยว่ที่สังเกตมาตั้งแต่ต้น แน่นอนว่าต้องห่วงสภาพจิตใจของผู้เป็นนาย นางจึงได้เก็บข่าวที่คิดว่าช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของอีกฝ่ายให้กลับมาได้ไว้ในช่วงท้ายสุด “ แต่อย่างน้อยก็ยังมีข่าวลือที่ช่วยส่งเสริมพระสนมนะเพคะ ” หลี่กู่กูที่คอยอยู่เคียงข้างนางกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเปรยขึ้น

“ ในวันที่พวกท่านเสด็จกลับจากอุทยานเม่าหลิน.. ทั้งสองเสด็จกลับโดยแยกจากขบวนหลวงใช่หรือไม่เพคะ มีข่าวลือว่าพบเห็นพวกท่านทั้งสองดูสนิทชิดเชื้อ ทั้งยังไม่ปลอมตัวเลยแม้แต่นิดเดียว.. จนคนพากันกล่าวว่าพระสนมเป็นที่โปรดปรานมาก ”

ยังไงก็คงมีผู้พบเห็น ดังนั้นนางเลยไม่ได้แปลกใจ แต่ที่ชวนให้ฉงนที่สุดคงไม่พ้นการที่พวกเขานำไปตีความกันว่าเป็นที่โปรดปรานมากนั่นแล “ เหตุใดถึงได้เชื่อกันง่ายนักว่าคน ๆ หนึ่งเป็นที่โปรดปราน ”

การเป็นที่โปรดปรานไหนเลยจะง่ายถึงเพียงนั้น ไป๋หรั่นสัมผัสไม่ได้เลยสักนิดว่าตัวเองเป็นที่โปรดปราน ทุกอย่างที่ได้รับมาเป็นเพราะนางเข้ากับเขาได้ในบางส่วน ไม่เป็นคนที่น่ารำคาญหรือเรียกร้อง ไป๋หรั่นรู้ดีกว่าใครว่าทั้งหมดที่รั้งอีกฝ่ายไว้คือความแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเจอ

“ พระสนม.. ที่ผู้คนเชื่อกันเป็นเพราะยามนี้ แม้แต่คำที่บอกว่าพระสนมทรงเป็นที่โปรดปรานยังถึงขนาดหลุดมาจากปากทหารผู้ติดตามอารักขาขบวนเสด็จเลยเพคะ ” สาเหตุที่เจาอี๋แซ่ลู่กลับมาอยู่ในวงสนทนาได้ไม่ใช่แค่เพราะความโปรดปรานที่ได้รับ แต่เป็นเพราะต้นข่าวมาจากชนชั้นทหารที่ถูกฝึกอย่างหนักทั้งยังไม่ค่อยสนใจความเป็นไปของวังหลวงนอกจากเรื่องของความปลอดภัยในบ้านเมือง แต่ยามนี้ทหารน้ำดีผู้หนึ่งกลับบอกครอบครัวตัวเองว่า ฝ่าบาททรงพบคนที่โปรดปรานแล้ว.. มีหรือที่ผู้คนจะไม่หลงเชื่อ?

“ … ” สตรีที่ถูกกล่าวถึงในข่าวลือยกมือขึ้นคลึงสันจมูกเงียบ ๆ

เมื่อนึกถึงโอรสสวรรค์ผู้นั้นไป๋หรั่นไม่เห็นอะไรนอกไปจากมิตรภาพเส้นหนึ่งที่ขนานกันอย่างเรียบง่าย เขาไม่ใช่คนจำพวกที่นางเฝ้าใฝ่ฝันหา นางเองก็มิใช่สตรีในอุดมคติที่จะสามารถเคียงข้างเขาได้ตลอดกาล ทุกอย่างคงง่ายกว่านี้มากหากนางสามารถออกไปใช้ชีวิตภายนอกได้โดยไม่ติดพันฐานะคนของเขามาตั้งแต่ต้น..

“ ช่างเถิด เปิ่นกงไม่อยากออกไปแล้ว เจ้าไปเตรียมน้ำอาบที ” สาวงามแซ่ลู่ปัดมือเป็นสัญญาณให้คนสนิทปลีกตัวออกไป ผู่เยว่ที่ต่อให้กังวลก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ นางเก็บสายตาพร้อมประสานมือย่อกายลงรับคำสั่ง ก่อนจะหันเดินจากไปเพื่อจัดการตามความต้องการของพระสนม

แต่พระสนมของนางกลับตั้งใจใช้โอกาสนี้ลอบออกไปด้านนอกโดยไม่ให้ใครรู้ตัว ถ้าไม่ติดว่าทันทีที่ก้าวขาข้ามธรณีประตู จะมีเสียงดังสะนั่นกึกก้องในศีรษะมาทำให้ทั้งกายบางทรุดฮวบลงเสียก่อนป่านนี้นางคงรีบย่ำเท้าออกไปจนได้พบกับขบวนเกี้ยวมังกรที่สวนเข้ามาแล้ว

“ ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้—- เอ่อ .. ลู่เจาอี๋? ”

เสียงของขันทีที่ขาดช่วงไปทำให้ทั้งจางกงกงที่นำเกี้ยวมาพร้อมด้วยหลิวเช่อที่อยู่ด้านในฉงนใจในทันที “ มีอะไร ” สุรเสียงของโอรสสวรรค์ที่ทั้งหนักแน่นและทรงพลังล้วนลอดออกมาจากช่องว่างของเกี้ยวมังกร

“ ฝ่าบาท ลู่เจาอี๋ทรุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าเป็นเพ—- ”

กระทั่งสายลมยังช้ากว่าการเคลื่อนไหวของเขา หลิวเช่อทะยานลงจากเกี้ยวมังกรมุ่งเข้าประคองร่างอ้อนแอ้นหน้าประตูตำหนัก “ เจาอี๋? ” สีหน้าของโอรสสวรรค์คร่ำเครียดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนองต่อการเรียก ทั้งยังดูตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก

‘ ยินดีกับพวกเจ้าด้วยในการปราบปรามจ้าวปีศาจปลาแห่งวังเพ่ยชิงเป็นผลสำเร็จ ’


ปราบปรามอะไรนะ? ลู่ไป๋หรั่นจมอยู่กับภวังค์ความนึกขึ้นถึงขนาดที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ายามนี้ตลอดทั้งร่างได้ถูกท่อนแขนแกร่งโอบขึ้นแนบอก ฉะนั้นแทนที่จะใช้สองแขนล้อมรอบลำคอแกร่งเพื่อยึดเกี่ยวเป็นที่พึ่ง นางกลับใช้สองมือป้องปิดใบหูด้วยความหวาดผวา

เสียงนี้ไม่ได้น่ากลัว.. ทั้งยังแฝงความคุ้นเคยมาหนึ่งกระบวน

แต่เพราะไม่น่ากลัวและคุ้นเคยนี่แล ถึงได้ทำให้นางตื่นตระหนกถึงเพียงนี้

‘ แผ่นดินนี้วุ่นวายจากเหล่าปีศาจมาหลายพันปี มนุษย์สู้ตบตีกับแดนปีศาจมาเนิ่นนาน ’


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า..? ไป๋หรั่นปวดขมับจนต้องขบริมฝีปากหากไม่ใช่ว่ามีปลายนิ้วสากคลึงลงมาช่วยห้ามปรามพฤติกรรมนี้ก็เกรงว่ากลีบปากที่ผู้คนนึกอยากเฝ้าถนอมคงได้มีรอยแผลประทับไว้ไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง

‘ นี่เป็นเพียงก้าวแรกของพวกเจ้าที่ชนะในการปราบปรามปีศาจเหล่านี้ ’


ต้องขอบคุณการกระทำของอีกฝ่าย รวมไปถึงไอความคุ้นเคยที่ล้วนแต่สัมผัสมาก่อน

ไป๋หรั่นคิดว่าตัวเองคงเสียสติไปแล้ว มือน้อยคว้ากำชายภูษาสีเข้มของชายที่ลุกขึ้นหมายจะสั่งให้คนตามหมอหลวงจนเขาถึงกับหยุดวาจาแล้วหันกลับมามอง “ ไม่.. ไม่ต้องตามหมอ.. เสียงมัน.. ” มืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้ต้องถูกสิ่งใดยกขึ้นป้องใบหู เสียงลี้ลับนั้นยังคงเนิบนาบเชื่องช้าทว่าหนักแน่นทรงพลัง ราวกับแช่แข็งตลอดทั้งร่างให้รับฟังกับสุรเสียงจากสวรรค์ที่ไม่ว่าใครก็มิอาจต้านทานได้

“ ออกไปให้หมด ”

นางพึมพัมด้วยคำว่าเสียง บางทีคงถูกอะไรบางอย่างทำให้เสียขวัญ ฮั่นอู่ตี้ไล่บุคคลภายนอกออกไปจนสิ้น ก่อนจะที่หันมาใช้สองมือช่วยประคองใบหน้าผ่านการทาบมือลงกับช่วงหูทั้งสองฝั่งเผื่อว่าจะช่วยป้องกันเสียงที่ไม่พึงประสงค์ให้นางได้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

‘ ขอให้หมั่นฝึกฝนและพึงระวังอยู่เสมอ อย่าหลงกับดักของเผ่าปีศาจจนเพลี้ยงพล้ำ ’


เมื่อสิ้นประโยคนี้ความอื้ออึงทั้งหมดก็เลือนหาย เหลือเพียงแต่เสียงสรรพชีวิตรอบด้านที่กลับมามีบทบาทอีกครั้ง รวมไปถึงหินหน้าตาพิลึกสองก้อนที่ค่อย ๆ ก่อร่างขึ้นมาจากความว่างเปล่า พร้อมความรู้สึกร้อนวูบในร่างที่ทำให้หางตาของมังกรสุริยาถึงกับกระตุกไปเล็กน้อย

“ … ”

หลิวเช่อจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่มีโอกาสตรวจสอบ เขาสัมผัสได้ถึงตบะเล็กน้อยในร่างนางที่หลบซ่อนอยู่ใต้ปราการหลายชั้น ทว่ากระแสร้อนเมื่อครู่นั้นคือตบะฝึกฝนสายใหม่ที่ถูกนางซึมซับเข้าร่างไปโดยกะทันหันต่อหน้าต่อตาเขา รวมไปถึงเรื่องประหลาดอย่างหินดาวเคราะห์ที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา

หรือว่านางจะเป็น…

“ ฝ่าบาท? ”

แทนที่จะเป็นความห่วงใยหรืออ่อนโยนดังเช่นในตอนที่นางไม่อาจรับรู้ หลิวเช่อกลับมีท่าทางไม่ทุกข์ร้อนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับนึกรำคาญใจต่ออาการเมื่อครู่ “ คนของตำหนักตงเฉินดูแลนายอย่างไรถึงได้ปล่อยให้สภาพร่างกายเป็นเช่นนี้ ” ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น.. โอรสสวรรค์หยิบหินดาวเคราะห์ทั้งสองก้อนขึ้นมาพิจารณาด้วยมือเดียว ก่อนจะส่งหินที่ฉายรัศมีเหล่านั้นไปไว้บนตักนงคราญด้วยท่าทางไม่สนใจ

“ หินสองก้อนนี้ดูมีประโยชน์ เจิ้นนำมาให้เจ้า ” หากบอกนางว่ามันปรากฏขึ้นจากอากาศก็คงสติแตกไปอีกรอบ หนนี้เขาช่วยเกลี่ยระดับความพิศวงให้อ่อนลงคงจะดีสำหรับผู้กลับชาติมาเกิดมือใหม่ “ ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ”

“ ดีขึ้นมาก.. เพคะ ” นางไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อย ไป๋หรั่นไม่เคยรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ผ่านการฝึกฝนใด ๆ มาก่อน เรียกได้ว่าเผิน ๆ อาจจะดีกว่าตอนนางพยายามนั่งทำสมาธิอีกด้วยซ้ำ “ ว่าแต่ฝ่าบาทเสด็จมาเช่นนี้ ”

“ คืนนี้เจิ้นจะพักที่ตำหนักตงเฉิน ”

อีกแล้วเหรอ !?

ต่อให้อยากร้องไห้นางก็ไม่มีทางร้องออก ลู่ไป๋หรั่นลอบถอนหายใจอยู่กับตัวเองก่อนจะฝืนยิ้มที่ดูแล้วยังนับว่าพอเป็นธรรมชาติราวกับผ่านการฝึกฝนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน “ หม่อมฉันพึ่งสั่งให้หลี่กู่กูเตรียมยกน้ำเข้ามานับว่าพอดีกับโอกาสนี้นัก ฝ่าบาททรงสรงน้ำก่อนเถิดเพคะ ”

“ อืม ”

แม้ตอนที่ลุกจากเตียงนางจะยังเซไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการกลับมาตั้งหลักเพื่อปรนนิบัติฝ่าบาท ลู่ไป๋หรั่นช่วยถอดฉลองพระองค์ออกจากพระวรกายมังกรไปตามขั้นตอนพื้นฐาน กระทั่งในยามที่มาถึงชุดตัวในส่วนสุดท้าย หลิวเช่อก็พูดขึ้น “ เจ้าไปจัดการตนเองให้เรียบร้อยเสียเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน ก็แค่ชุดนอน เจิ้นสวมเองได้ ”

คล้ายว่าเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ ให้นางได้พักผ่อน ที่แน่นอนว่าลู่เจาอี๋ก็ไม่มีทางปฏิเสธไมตรี นางปลีกตัวออกจากเรือนหลวงของตำหนัก ไปอาศัยห้องอาบน้ำของเรือนเล็กใช้แก้ขัดโดยมีหลี่ผู่เยว่คอยขัดสีฉวีวรรณในทุกขั้นตอนอย่างประณีต จนได้มาซึ่งสาวงามกรุ่นกลิ่นฝูหรงในเอี๊ยมนอนตัวบางที่สวมชุดตัวในคลุมยาวตลอดทั้งร่าง ดูวาบหวิวแต่ก็โปร่งสบายสมกับที่เป็นของสวมใส่ขณะนอนหลับ

“ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็รีบนอนเสีย วันพรุ่ง เสด็จแม่มีรับสั่งให้เหล่าสนมเข้าถวายพระพรไวขึ้นจากเดิม ” ผู้ที่กล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคือโอรสสวรรค์ผู้เดิมในชุดลำลองสำหรับพักผ่อนที่ในมือถือม้วนตำราไผ่ชิ้นหนึ่งที่ดูแล้วเหมือนจะคุ้นตาสาวงามอยู่บ้าง.. เสียก็แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก

“ เหตุใดหม่อมฉันจึงไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่าไท่โฮ่วทรงมีรับสั่งเช่นนั้น.. ” เสียงงึมงัมด้วยความสงสัยของนางลอยไปเข้าหูหลิวเช่อที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ใกล้เตียงพอดิบพอดี โอรสสวรรค์ที่ได้ยินอย่างนั้นก็ตวัดสายตาเย็นเฉียบจนคนที่ได้รับถึงกับเหงื่อตก “ ขออภัยเพคะ หม่อมฉันหาได้สงสัยในตัวพระองค์ ”

แม้จะลอบเบนสายตาไปทางอื่นแต่ก็ยังดีที่การค่อย ๆ ทดกายลงนอนกับเตียงเป็นสิ่งที่ทำให้จักรพรรดิเพียงหนึ่งแห่งแผ่นดินจับสังเกตท่าทางของนางได้ยาก หลิวเช่อที่เห็นว่าฝ่ายสนมรัก(?)ยินยอมแต่โดยดีก็หันมาวางม้วนตำราลงและลุกขึ้นสะบัดแขนหนึ่งครั้งดับเทียนภายในเรือนจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่เล่มที่ไกลเกินองศาของกลุ่มลมเมื่อครู่

และเมื่อเอนกายลง ปลายจมูกก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหวานตลบของฝูหรงที่แทรกมาพร้อมไอชื้นจากเรือนร่างข้างกาย การมาเปลี่ยนสถานที่พักผ่อน และอยู่ร่วมกับสนมที่ตนค่อนข้างจะพึงใจนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์ แต่การปรับตัวให้เคยชินกับกลิ่นอายเย้ายวนตามธรรมชาติของสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. หญิงงาม

ก็ยังนับว่ากินแรงเขาไปมาก จริง ๆ



ยามรุ่งสางมาเยือน สองชีวิตที่ครองยศแตกต่างกันล้วนตื่นมาใช้ชีวิตกันอย่างพร้อมเพรียง ในเช้านี้หลิวเช่อยังคงมีพระสนมเอกลู่เจาอี๋คอยปรนนิบัติสวมใส่เสื้อผ้าอย่างชำนาญ ต่อด้วยการเกล้าผมสวมกวานที่ยิ่งทำก็ยิ่งคล่องมือ

“ หลังถวายพระพร เจิ้นจะส่งคนมาหาเจ้า หากเขาบอกให้เจ้าตามไป ก็ตามไปแต่โดยดี ” เพราะเกรงว่านางจะขวัญเสียต่อสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำต่อจากนี้ หลิวเช่อที่ปกติไม่คิดจะบอกกล่าวใครก่อนล่วงหน้ายังต้องออกปากด้วยตัวเอง

โอรสสวรรค์กำชับไว้เท่านี้และไม่บอกอะไรเพิ่มไปมากกว่านั้น ปล่อยให้นางสับสนมึนงง..กระทั่งถึงเวลาที่นางได้เผชิญหน้ากับคำเชิญฉบับพิเศษด้วยตัวของนางเอง



ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี
ปรนนิบัติทุกค่ำคืน + 1 ปรนนิบัติ
ปรนนิบัติช่วยสวมฉลองพระองค์ + 1 ปรนนิบัติ

+15 EXP — ข่าวหมาป่าในอุทยานเม่าหลิน
+10 EXP — การเสียชีวิตของเฮ่อถูเจี๋ยยวี่
+15 EXP — ปีศาจปลาออกอาละวาดในรูปแบบที่แปลกออกไป
+15 EXP — กลุ่มขงจื๊อปล่อยหนังสือเทศน์
+15 EXP — ฝ่าบาททรงเสด็จประพาสนอกวังแบบเต็มยศร่วมกับลู่เจี๋ยยวี่
+15 EXP — ฝ่าบาททรงมีลู่เจาอี๋เป็นคนโปรดอย่างแน่นอน

[หินตีบวก x2 , และ มีไอตบะซึมเข้าไปในร่างคุณทำให้รู้สึกแข็งแกร่งขึ้น+10 ตบะ]






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 85 EXP โพสต์ 2024-8-28 20:33
โพสต์ 41382 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-8-28 18:30
โพสต์ 41,382 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดจื่อซีอี๋นั่ว(เจาอี๋)  โพสต์ 2024-8-28 18:30
โพสต์ 41,382 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-8-28 18:30
โพสต์ 41,382 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก พิมพ์นิยม  โพสต์ 2024-8-28 18:30

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +10 ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +2 พลังปราณ +15 ย่อ เหตุผล
Admin + 10 + 2 + 15

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1

1

กระทู้

12

ตอบกลับ

132

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
30
ตำลึงทอง
49
ตำลึงเงิน
46
เหรียญอู่จู
4408
STR
5+3
INT
1+0
LUK
0+0
POW
2+0
CHA
0+0
VIT
2+2
คุณธรรม
0
ความชั่ว
0
ความโหด
0
โพสต์ 2024-9-7 02:28:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeiBin เมื่อ 2024-9-7 02:31
20 เดือน08 รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่10 10:30

ในที่สุดตนก็เดินมาถึงยังตำหนักตงเฉินอีกครั้งที่นี่ยังเงียบสงบเหมือนเคย ต่อไปนี้ที่นี่คือที่ที่เขาอาจจะต้องอยู่ไปทั้งชีวิตชะตาชีวิตขึ้นหรือลงล้วนอยู่ในมือสตรีที่อยู่ภายในตำหนักแห่งนี้ เมื่อทอนลมหายใจเสร็จก็เดินเข้าข้างใน แต่ขณะนั้นก็ถูกสาวใช้หน้าประตูหยุดไว้ก่อน เพื่อให้ตนบอกจุดประสงค์ที่เข้ามาที่นี่
“เจ้าช่วยไปทูลพระสนมหน่อยว่าข้าเสี่ยวเว่ยจื่อจากสำนักขันทีขอเข้าเฝ้าพระสนมทั้งยังได้รับคำสั่งให้เชิญราชโองการมา” สาวใช้เมื่อฟังจบก็ยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะรีบหายเข้าไปยังตัวตำหนัก


@LuBairan


“ข้าน้อยคาราวะพระสนม ข้าน้อยมาในครั้งนี้ด้วยเหตุผลสองอย่างก่อนอื่นขอพระสนมเตรียมตัวรับราชโองการก่อนเถิดเจ้ามะคะ” ตนกล่าวจบก็หยิบม้วนราชโองการออกมา กวาดสายตามองเมื่อเห็นพระสนมกับเหล่านางกำนัลพร้อมแล้วจึงเริ่มประกาศ
“ด้วยโองการฟ้า!! ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาลู่เจาอี๋มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งสี่ศาสตร์ จิตใจเมตตาบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยคุณธรรม บัดนี้สมควรถึงคราวอันดีได้ฤกษ์ยามอันดี ประกาศราชโองการแต่งตั้งลู่เจาอี๋ขึ้นเป็นลู่ซูเฟย และพราชทานไหมแก้วแสงจันทร์สองพับ พร้อมด้วยแพระพรรณจันทร์หนาวสิบพับแก่พระชายา จบราชโองการ” เมื่อตนประกาศจบก็ยื่นฉบับนั้นให้อีกฝ่าย “ยังเหลืออีกหนึ่งราชโองการเจ้ามะคะ” เมื่อจบตนก็หยิบอีกม้วนออกมา “ด้วยโองการฟ้า ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเรียกตัวหลิวหรูเยี่ยนคืนสู่ฐานันดรพระราชธิดา หลังจากพลัดพลากตลอดหลายปีบัดนี้พระราชธิดาหลิวหรูเยี่ยน แสดงออกถึงความหลักแหลมรู้จักเอาตัวรอด ทั้งยังมีคุณธรรมเปี่ยมไปด้วยเมตตาตามพระมารดา จึงมีรับสั่งโปรดเกล้า แต่งตั้งหลิวหรูเยี่ยนเป็นกงจู่ พระราชทานทินนามว่า หลิงหยวน จบราชโองการ” ตนพูดจบก็รู้สึกได้ถึงคอที่แห้งสนิทตนรีบพยามกลืนนํ้าลาย แล้วส่งราชโองการให้อีกฝ่าย





@LuBairan


เมื่อเห็นเด็กน้อยที่พยามรับราชโองการด้วยความไม่ชินตนก็รู้สึกเอ็นดูหลังจากส่งมอบราชโองการเสร็จสิ้นแล้วตนก็ค่อยบอกถึงอีกเหตุผลที่มา
“ยินดีกับพระชายาด้วยผ่านไปไม่นานก็ได้เลื่อนสูงขึ้นอีกความโปรดปรานนี้มองทั่วทั้งวังหลังคงมีแต่พระชายาที่ได้รับ อีกเรื่องคือฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้กระหม่อมมาเป็นขันทีประจำตำหนักคอยอยู่รับใช้พระชายากับองค์หญิง” ตนลงไปคุกเข่าคำนับ “ต่อไปหม่อมฉันเป็นบ่าวรับใช้พระชายาแล้ว ขอแค่พระชามีคำรับสั่งกระหม่อมก็พร้อมจะทำให้สำเร็จลุล่วงแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามขอพระชายาเมตตารับหม่อมฉันไว้ด้วยเถอะเจ้ามะคะ” พูดจบตนก็แนบสีรษะลงไปกับจรดพื้นรออีกฝ่ายตอบรับ


@LuBairan


“ขอบพระทัยพระชายาหม่อมฉันสัญญาจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ชายาเด็ดขาด ต่อไปนี้หากพระชายามีอะไรโปรดรับสั่งมาได้เลย” พูดจบก็ค่อยๆลุกขึ้นตอนนี้ก็สายมากแล้วหม่อมฉันไม่กล้ารบกวนพระชายาพักผ่อน เดี๋ยวหม่อมฉันจะขอเดินสำรวจตำหนักให้คุ้นชินเสียก่อนหากพระชายามีอะให้หม่อมฉันรับใช้ก็สามารถเรียกหากระหม่อมได้เลยเจ้ามะคะ”


@LuBairan

เมื่อมองไปที่นางกำนัลหลี่ที่พระชายาพูดถึง ตนก็เหทือนนึกออกที่แท้ก็คือสาวใช้ที่ตนพามาในครั้งที่แล้ว “ขอบพระพระชายาเจ้ามะคะ ถ้างั้นหม่อฉันขอตัวก่อนถ้าพระชายามีรับสั่งอะไรหม่อมฉันจะรีบมาเฝ้าทันที”พูดจบตนก็คำนับก่อนจะเริ่มเดินออกไปพร้อมนางกำนัลหลี่



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 9607 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-9-7 02:28
โพสต์ 9,607 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2024-9-7 02:28
โพสต์ 9,607 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +2 ความโหด จาก คนแข็งแรง  โพสต์ 2024-9-7 02:28
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
คนแข็งแรง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
x1
โพสต์ 2024-9-7 12:29:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด



พระชายาเอก
วันที่ 20 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาทีเป็นต้นไป


ถัดจากเผชิญหน้าเซียวจื่อไท่โฮ่ว ก็ไม่นึกเลยว่าจะตามมาด้วยราชโองการ ลู่เจาอี๋ที่พำนักอยู่ด้านในตำหนักตงเฉินพร้อมด้วยเด็กน้อยอย่างหรูเยี่ยนเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากนางกำนัลประจำตำหนักต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยความมึนงง หมายถึง.. คนหนึ่งมึนงงส่วนอีกคนลอบลำบากใจ

“ เป็นท่านอีกแล้ว นับว่าเผอิญนัก ” ครั้งสุดท้ายที่พบกันไป๋หรั่นจำได้ว่าอีกฝ่ายก็ยังคงเป็นขันทีน้อยผู้เดิมที่เชิญพระราชโองการมาอย่างนอบน้อม แต่ครั้งนี้นอกจากเชิญพระราชโองการแล้ว ยังฝากคนมาบอกอีกว่าขอเข้าเฝ้า พระสนมเอกผู้เยื้องย่างออกจากสวนในของตำหนักระบายยิ้มบางพลางกล่าว “ มิทราบว่ามาเยือนครั้งนี้ด้วยเหตุผลอันใด ”

อ่านจากโรลของ @WeiBin

ราชโองการนี้.. ถ้ามีคนรู้เข้าว่านางคาดไว้อยู่แล้ว คงไม่พ้นถูกครหาว่าฝันสูงอีกตามเคย ทีแรกไป๋หรั่นยังถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายอยู่กับราชโองการอวยยศที่พานางไปยืนอยู่ในขั้นพระชายา.. ทั้งยังเป็นพระชายาลำดับสองที่นับว่าเป็นรองแค่หวงโฮ่ว รวมไปถึงกุ้ยเฟย ทว่าต่อมาก็พลันชะงักกึกเมื่อได้ยินว่ามีราชโองการอีกหนึ่งที่เหลืออยู่ ทั้งที่สองมือที่พึ่งจะรับราชโองการยังไม่ทันได้ลดลง

“ อะไรนะ? ” นางหลุดปากอย่างเสียกิริยา แต่วินาทีต่อมาก็ยังสามารถดึงตัวเองกลับมาได้อย่างทันท่วงที ทว่าราชโองการอีกฉบับนี้กลับไม่ได้กล่าวถึงนางโดยตรง แต่เป็นการกล่าวถึงผู้เข้ามาเป็นธิดาผูกรักสมัครใจระหว่างซูเฟยคนใหม่และจักรพรรดิฮั่นอู่

“ เสี่ยวเยี่ยน.. ฉบับนี้เจ้ารับเถิด ”

จะมีเด็กสักกี่คนที่ได้รับโอกาสนี้ หรูเยี่ยน.. หรือที่นับจากนี้สมควรเรียกว่าองค์หญิงหลิงหยวนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองคนรอบกาย ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ร่างของผู้เป็นมารดาด้วยความสับสนว่าต้องทำอย่างไร

“ มาข้างหน้านี้แล้วคุกเข่ารับราชโองการกับ.. เหนียงชินเร็ว ”

เพราะตลอดมาไม่มีประสบการณ์ทั้งยังไม่มีใครสอนสั่งมาล่วงหน้า การกระทำแต่ละอย่างขององค์หญิงหลิงหยวนจึงเชื่องช้าไปบ้าง แต่ก็อาศัยระยะเวลาไม่นาน ในที่สุดร่างน้อยก็ขยับมาคุกเข่าเคียงข้างมารดา พร้อมกับลอกท่าทางของคนข้างกายในการยกสองมือขึ้นรับราชโองการ พลางค้อมกายลงกล่าวโดยพร้อมเพียงกัน

“ หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ”

อ่านจากโรลของ @WeiBin

ในระหว่างที่นางกำลังม้วนราชโองการในมือเก็บก็มีเรื่องให้ตะลึงเพิ่มอีกขั้นแล้ว

อีกเหตุผลที่เขาใช้คำว่าขอเข้าเฝ้าเป็นเช่นนี้นี่เอง.. ไป๋หรั่นหลุบสายตาลงมองขันทีน้อยที่ทรุดกายลงคุกเข่าคำนับอยู่บนพื้นเงียบ ๆ พลางส่งราชโองการแต่งตั้งของตนเองไปไว้ในมือผู่เยว่ที่คอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ “ เสี่ยวเว่ยจื่อลุกขึ้นเถิด ในเมื่อนับจากนี้ต้องคอยพึ่งพาอาศัยกัน ก็อย่าได้เกรงอกเกรงใจนักเลย ” ซูเฟยผู้นี้มิใช่คนไร้เจ้ายศเจ้าอย่างที่ไร้เหตุผล

มารยาทและความเกรงใจอาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่การหารือโดยเท่าเทียมเพื่อสิ่งที่ดีกว่าก็นับว่าเป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน “ เป็นคนของเปิ่นกงนั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน.. ข้ารู้ดีว่าภายนอกมีข่าวคราวมากมายทั้งร้ายและดี ทว่าเมื่ออยู่ในตงเฉินนี้ ก็ทำใจให้สบายเสียเถิด ”

“ เปิ่นกงปกป้องคนของตนเองเสมอ ”

“ ฉะนั้นจากนี้มีเรื่องใดก็อย่าได้กังวล เปิ่นกงจะช่วยเจ้าตราบเท่าที่เจ้าเป็นฝ่ายถูกต้อง ”

อ่านจากโรลของ @WeiBin

“ อืม.. ” การให้เวลาอีกฝ่ายปรับตัวกับสถานที่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะการจะทำความรู้จักให้คุ้นชินนั้นล้วนแต่สามารถพัฒนาเอาตอนอื่นได้อยู่แล้ว มือบางข้างหนึ่งวางลงบนกลุ่มผมนุ่มของพระราชธิดาที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการพลางกล่าวแนะนำอีกหนึ่งประโยค “ หากเจ้าจะชมตำหนัก .. เปิ่นกงอนุญาตให้ยืมตัวนางกำนัลหลี่ของเปิ่นกงไปเป็นผู้นำทาง อย่างไรเสียมีคนช่วยแนะนำย่อมดีกว่าเดินคนเดียว อีกอย่างถ้าจำไม่ผิดพวกเจ้าทั้งสองก็เคยเจอกันมาก่อนแล้ว? ”

เพราะในครั้งที่ฝ่าบาทพระราชทานนางกำนัลคนสนิทมาให้ ผู้ที่ถือราชโองการก็ยังเป็นขันทีน้อยผู้นี้ ไป๋หรั่นหยักยิ้มบางก่อนจะทิ้งท้ายประโยคสุดท้าย “ ตอนท้ายให้นางพาเจ้าไปยังเรือนพักก็แล้วกัน เป็นถึงขันทีประจำตำหนักของเปิ่นกง เจ้าก็ใช้เรือนเนี่ยนเจินประหนึ่งบ้านเสียเถิด ”





[NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน
+5 ความสัมพันธ์ประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี






แสดงความคิดเห็น

หลิวหรูเยี่ยน +10 Level up จากการเลื่อนระดับฐานะสามัญชนสู่กงจู่ ปรากฎแสงสีทองครู่หนึ่งก่อนจางหายไป  โพสต์ 2024-9-7 13:01
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-9-7 13:00
โพสต์ 13617 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-7 12:29
โพสต์ 13,617 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-7 12:29
โพสต์ 13,617 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ชุดจื่อซีอี๋นั่ว(เจาอี๋)  โพสต์ 2024-9-7 12:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-9-7 18:55:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-7 19:53




แสดงความยินดี
วันที่ 22 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาทีเป็นต้นไป


หลังข่าวลือแพร่สะพัด ตลอดทั้งตำหนักตงเฉินก็วุ่นวายกับการต้อนรับแขกเหรือที่แวะมาร่วมแสดงความยินดี ไม่เว้นแม้แต่บิดามารดาที่ร่วมส่งของรับขวัญหลานสาวรวมไปถึงจดหมายแสดงที่ส่อแววภาคภูมิใจ … บัดนี้นอกจากนาง ฝ่าบาท และไท่โฮ่ว ก็คงมีแต่ท่านพ่อ ท่านแม่ รวมไปถึงชางหรงเกอที่ทราบอยู่แก่ใจว่าเรื่องราวไม่ได้เลวร้ายผิดประเวณีเช่นในข่าวลือ

“ พระชายา หน้าตำหนักมีเหม่ยเหรินมาขอเข้าเฝ้าเพคะ ”

พระชายาผู้เลิศล้ำทั้งรูปโฉมกิริยาลดจดหมายแสดงความยินดีจากขุนนางท่านอื่น ๆ ในมือลง ตรงข้ามกับสายตาที่เคลื่อนขึ้นมองนางกำนัลที่เข้ามารายงาน “ เหม่ยเหริน? ” จริงอยู่ที่นางจะปล่อยผ่านก็ยังได้ ทว่าคนรู้จักที่ครองยศเหม่ยเหรินก็เหมือนว่าจะยังมีอยู่ ฉะนั้นหากไม่ระบุตัวตนให้ชัดเจนแล้วนางจะเตรียมการต้อนรับให้เหมาะสมได้อย่างไร

“ เพคะ โอวหยางเหม่ยเหริน ซุนเหม่ยเหริน และเหมยเหม่ยเหรินขอเข้าเฝ้าเพคะ ”

ไม่คุ้นสักนาม.. หลังได้ฟังแซ่ของผู้มาขอเข้าพบ คนงามก็มีแววใคร่รู้พาดผ่านที่หว่างคิ้วโดยทันที สตรีฝ่ายในมีเกือบร้อย คนที่อยากเจอกลับไม่ได้เจอ ส่วนคนที่ไม่จำเป็นต้องเจอก็คล้ายว่าจะมีเรื่องให้เจออยู่ร่ำไป “ เปิ่นกงไม่เห็นจำได้ว่ามีการแจ้งล่วงหน้าว่าพวกนางต้องการเข้าพบ? ” เศษเสี้ยวความเย็นเฉียบในแววตาหลอมละลายกลายมาเป็นรอยยิ้มเบาบาง

“ ทั้งสาม.. ไม่ได้แจ้งมาก่อนจริง ๆ เพคะ ” เหล่านางกำนัลในตำหนักตงเฉินที่รับใช้พระชายาอย่างใกล้ชิดมาตลอดหลายเดือนมีหรือจะไม่ทราบว่าพระนางเป็นคนเช่นไร หลายคนในตอนนี้ลอบมองหน้ากันและกันก่อนจะก้มลงสงบวาจา ลู่ซูเฟยเป็นนายหญิงที่ดี มีหลักการ ไม่เน้นพรรคเน้นพวก ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมแต่ก็ไว้ตัวให้น่านับถือจนเป็นที่รักใคร่ของข้ารับใช้ แต่สำหรับผู้อื่นต่อให้จะดูหัวอ่อนอย่างไร สำหรับคนในความเป็นจริงก็ไม่ใช่เช่นนั้นอยู่ดี

“ เป็นโชคของพวกนาง ใต้เท้าเฉียนพึ่งส่งจดหมายมายกเลิกนัดหมายพอดี ”

นับว่าเป็นโชคจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ ไป๋หรั่นชำเลืองตามองเงาเคลื่อนไหวลาง ๆ จากภายในห้องที่มีผู่เยว่กำลังอบรมมารยาทในวังฉบับเบื้องต้นให้พระราชธิดาองค์ใหม่ “ ให้พวกนางมาพบเปิ่นกงที่เรือนใหญ่ ” สาวงามในอาภรณ์หรูหราขยับกายหนึ่งคราก็กระจายรัศมีแพรวพราวไปทั่วบริเวณ แต่ละก้าวที่ย่ำไปแฝงไว้ด้วยความสงบเสงี่ยมแต่ก็ลึกล้ำเกินหยั่งถึง

ผิดกับแขกผู้มาเยือนทั้งสามที่บางส่วนเผยความในใจออกมาผ่านสีหน้าและวาจาอย่างไม่นึกเกรงใจคนนำทางเลยแม้แต่น้อย “ ดูความอลังการของตำหนักตงเฉินนี่สิ ใครบอกว่ามันอยู่ไกลก็คงไม่ได้รับการดูแลอะไรมากมาย นี่มันแทบจะเกณฑ์คนทั้งวังมาดูแลแล้วกระมัง ” ที่กล่าวเสียงแหลมทั้งยังมีสายตาระยิบระยับอย่างกระหายอยากในความเจริญก้าวหน้าคือซุนฉวีหนี่ว์ และที่มีแววรำคาญใจในตัวสหายแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตามไปกับความเห็นของอีกฝ่ายย่อมเป็นโอวหยางจื่อฮวา

“ เป็นถึงตำหนักของพระชายาที่ฝ่าบาทโปรดปราน.. จะเรียบง่ายธรรมดาอย่างที่คนเขาว่าได้จริงเสียที่ไหน ” ผู้ที่เก็บงำประกายความคิดได้อย่างเรียบเนียนเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มเหม่ยเหรินย่อมเป็นเหมยไป๋ฉีที่ติดตามสหายมาเพียงเพราะต้องการอยากพบหน้าโฉมสะคราญราวนางฟ้าในคำบอกเล่าที่ใครต่อใครต่างก็ยกขึ้นเยินยอดูสักครั้ง แต่ใครจะไปนึกว่าที่ตำหนักไกลปืนเที่ยงที่หลายคนครหาว่าบ้านนอกนี้จะแฝงบรรยากาศหรูหราร้ายกาจไว้ได้อย่างแนบเนียน

“ เฮ้อ วาสนานี้ไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ นางเข้าวังพร้อมพวกเรา แต่ดูสิ บัดนี้เป็นถึงซูเฟยแล้ว ขนาดเว่ยเจียเสียนอี๋ที่ว่าเลื่อนขั้นว่องไวนักยังตามนางอยู่ตั้งหลายก้าว ” หากพระชายาเจ้าตำหนักตงเฉินขึ้นเป็นเสียนเฟยก่อนก็คงไม่แตกตื่นกันเท่านี้ .. ทว่านางเล่นกระโดดจากฉือผินขึ้นซูเฟยในพริบตา ข้ามทั้งเสียนเฟย เต๋อเฟย จนได้ขึ้นเป็นผู้ครองอำนาจอันดับสาม ถ้านับเฉพาะยศของภริยาในองค์จักรพรรดิ

“ อะแฮ่ม เหม่ยเหรินทั้งสามขอเข้าเฝ้าเพคะพระชายา ”

“ ให้ทั้งสามเข้าพบได้ !! ”

ยามเมื่อเสียงอนุญาตประตูไม้ก็เปิดออกเผยให้เห็นโถงรับรองส่วนกลางสำหรับแขก ที่ปลายสุดทางยังมีเงานงคราญนั่งคลึงจอกชากระเบื้องขาวในมืออย่างเงียบงัน เหม่ยเหรินทั้งสามพากันสูดหายใจเฮือกใหญ่ และค่อย ๆ ปั้นหน้าประดับรอยยิ้มเช่นหญิงของฝ่ายในในยามที่ก้าวเข้าไป

“ ถวายบังคมลู่ซูเฟยเพคะ ”

เสียงประสานทั้งสามสายของหมู่สตรีดังขึ้นพร้อมกายที่ยอบลงคารวะตามธรรมเนียมพอให้ไป๋หรั่นมีเวลาได้พิจารณาดูทั้งสามผู้มาเยือนอย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ ไม่ต้องมากพิธี ” มือขาวเนียนของสาวงามปัดไปมาช้า ๆ ดูเหมือนไม่นึกเข้มงวดในธรรมเนียมปฏิบัติ

เมื่อได้รับการอนุญาตให้เงยหน้าขึ้น ทั้งสามชีวิตก็ค่อย ๆ ขยับแช่มช้าเพื่อชำเลืองตาขึ้นพิศโฉมคนงาม ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคือสะคราญโฉม ผู้พิลาสหวานล้ำเช่นนางอัปสรจริงอย่างที่คนเขากล่าวขาน ด้วยเอกลักษณ์จากใบหน้าเล็กเรียวที่ทำให้โดดเด่นตรึงสายตา ยังไม่รวมเรือนกายคล้ายรูปสลักที่ถูกปั้นแต่งมาอย่างดีภายใต้เสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นเลิศชวนให้คนตะลึงงันอยู่กับที่ในแว่บแรกที่มองเห็น

“ รับชา.. สักจอกก่อนดีหรือไม่? ”

คนงามถามไถ่อย่างเป็นกันเองช่วยปลุกให้เหม่ยเหรินทั้งสามนางตื่นจากภวังค์ความคิดที่แตกต่างกันออกไป ที่ดึงตนเองกลับมาได้คนแรก ถึงขนาดสามารถตอบรับอย่างทันท่วงทีก่อนที่นงคราญจะสั่งการนั้นคือเหมยเหม่ยเหริน เหมยไป๋ฉีที่ยิ้มฝืด ๆ ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ “ พวกหม่อมฉันมาแสดงความยินดีเล็กน้อย ไม่ขอรบกวนเวลาของพระชายานานนักดีกว่าเพคะ ” จะมีสตรีใดที่สามารถรับมือกับความงามนี้ในระยะประชิดได้โดยไม่เตรียมใจมาก่อน ใครจะทำได้ก็ปล่อยให้เขาทำไป แต่สำหรับพวกนางทั้งสามที่พึ่งจะเคยได้พบอีกฝ่ายคงได้แต่ยอมรับสภาพว่ารับไม่ได้ทนไม่ไหวจริง ๆ

“ เช่นนี้นี่เอง.. น้ำใจของทั้งสามทำให้เปิ่นกงซาบซึ้งนัก ” ไป๋หรั่นพยักหน้าเล็กน้อย พลางสำรวจดูโฉมหน้าของแต่ละนาง คนหนึ่งงามฉูดฉาด คนหนึ่งงามสงบเงียบ อีกคนงามเรียบง่าย.. ไม่เลวเลยถ้าเทียบกับสารพัดหญิงที่เคยพบภายในวัง

“ อะแฮ่ม อย่างที่เหมยเหม่ยเหรินกล่าว พวกหม่อมฉันมาเพื่อแสดงความยินดีและมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อยให้กับพระชายาเพคะ ” จื่อฮวาที่ตามไป๋ฉีมาติด ๆ กระแอมเบา ๆ เรียกสติสหายคนสุดท้ายให้กลับมาเป็นอย่างเก่า พลางหยิบสุราไผ่เขียวทั้งสามไหออกมาวางบนถาดที่นางกำนัลของตำหนักถือมารอรับอยู่ก่อนแล้ว

“ พ พวกหม่อมฉันมีของติดตัวมาไม่มากคาดว่าสุราไผ่เขียวที่มีกันคนละไหนี้อาจทำประโยชน์ให้พระชายาได้จึงนัดกันนำมาถวายเพคะ ” คนที่บอกเล่าสาเหตุการมาครั้งนี้คือซุนฉวีหนี่ว์ที่ก้มหน้าลงกล่าวทั้งที่ใจเต้นระส่ำยากอธิบาย จะว่าอิจฉาก็ไม่ใช่ ชิงชังก็ไม่ถูก.. ดวงใจที่บีบรัดอยู่นี้คงมิใช่ว่าหวั่นไหวเข้าให้แล้ว?

“ สุราทั้งสามไหนี้จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน พวกเจ้าวางใจ ”

“ ถ้าเช่นนั้นพวกหม่อมฉันขอทูลลา ”

เหม่ยเหรินทั้งสามกล่าวโดยพร้อมเพรียงพลางโค้งหลังลงขอลาตามคำพูด แน่นอนว่าไป๋หรั่นก็ไม่มีเหตุผลให้รั้งคนไว้ พระราชเทวีพยักหน้าเล็กน้อย และปล่อยให้ผู้ครองยศสาวงามทั้งสามหันหลังเดินออกไป โดยที่คนเหล่านั้นไม่ตระหนักเลยแม้แต่น้อยว่าโถงรับรองขนาดมีเพียงแค่นี้ ต่อให้กล่าวอะไรเสียงเบาก็ยังได้ยินอย่างทั่วถึงกันอยู่ดี

“ ที่แท้วาสนาคนเราสู้กันไม่ได้.. ”

“ อย่าพูดเหลวไหลนะ ”

“ ท่านดูสิ ยามนี้ในวังจะยังมีผู้ใดที่มีโอกาสได้มากเท่าลู่เหนียงเหนี่ยงที่ได้พบฝ่าบาทครั้งยังเป็นไท่จื่อ ” เรื่องนี้ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็ยากปฏิเสธ นอกจากพบหน้าก่อนแต่งแล้ว ยังผูกใจรักใคร่จนมีโซ่ทองคล้องใจออกมาถึงหนึ่งคน แล้วจะไม่ให้คนนึกเชื่อในวาสนารักปานลำนำเล่าขานได้อย่างไร

“ ยามนั้นทั้งคู่ยังเยาว์ ฝ่าบาทก็พึ่งก้าวเข้าสู่ช่วงแตกเนื้อหนุ่ม.. ได้พบเจอหญิงงามเช่นลู่เหนียงเหนี่ยงจะทนปฏิเสธไหวได้อย่างไร ” แม้แต่ซุนเหม่ยเหรินที่เงียบมานานยังพลั้งปากพูดความเห็นออกมาอย่างไม่ทันระวัง ส่วนนี้ก็ยิ่งทำให้สหายอีกคนที่เม้มปากแน่นมาพักใหญ่อดไม่ได้ที่จะเปรยเบา ๆ

“ พวกเจ้าสองคนกล่าวเกินไปแล้ว ความรักไหนเลยจะเลือกเวลา.. ที่แท้สาเหตุที่ฝ่าบาททรงช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลู่เหนียงเหนี่ยงในคดีเย่เหม่ยเหรินคราวก่อน ล้วนเป็นเพราะมิอยากให้คนรักต้องโทษถึงแก่ชีวิต ” ความคิดของคนไหลเร็วราวสายน้ำ พริบตาเดียวจากข่าวลือไร้มูลก็กลายมาเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเช่นในคราวนี้ “ รสชาติหวานล้ำของรักแท้ไร้ขอบเขตนี้.. ข้าเองก็อยากให้มันเป็นข้าบ้างเช่นกัน ”

สิ้นประโยคนี้ทั้งสามก็ได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ มาจากนางกำนัลที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ฉับพลันทั้งหมดก็ได้สติขึ้นในทันทีว่าบัดนี้พวกนางยังไม่ทันได้ก้าวข้ามธรณีประตูโถงเลยด้วยซ้ำ เหมยไป๋ฉีที่ตระหนักได้รีบหันหลังกลับไปทางพระราชเทวีที่หยักยิ้มอ่อนเสมือนไม่ทันรู้เกี่ยวกับบทสนทนาของคนห่างไกลจนทำให้คนหันมองถึงกับชะงัก

ไป๋ฉีชั่งใจเล็กน้อย.. มันยากที่จะแยกแยะระหว่างไม่ได้ยินจึงยังยิ้มได้ หรือเพราะได้ยินแล้วแต่ทำเป็นไม่ได้ยินถึงได้ยิ้มอยู่อย่างเดิม แน่นอนว่าในความเสี่ยงนี้จะขยับตัวอย่างไร้ก็ลำบากไปเสียหมด เหมยเหม่ยเหรินที่สูดหายใจเข้าและทำเป็นใจดีสู้เสือตัดสินใจทำเป็นโยนหินถามทาง “ ขออภัยเพคะพระชายา พวกหม่อมฉันไม่สงวนวาจา เผอิญนึกเป็นว่าได้ก้าวออกจากตำหนักแล้ว ”

ถ้าอย่างนั้นนี่คือบทสนทนานอกตำหนักของพวกเจ้า ?

“ หืม? เหตุใดจึงต้องขอโทษเล่า.. เปิ่นกงไม่ทันได้ฟัง พวกเจ้ากล่าวอันใดกัน? ” นงคราญหยกเอียงใบหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยแววตาที่ฉายความใคร่รู้ที่นับว่าเป็นสัญญาณอันดีของเหม่ยเหรินทั้งสามราวกับว่ากระแสความคิดที่ไหลผ่านเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีอยู่จริง

“ ไม่มีอันใดเพคะ ไม่มี.. ” แม้จะพูดได้ยากแต่ก็ยังพูดออกมาแล้ว เหมยไป๋ฉีลอบช้อนสายตาขึ้นมองอากัปกิริยาของคนงามที่ไม่เปลี่ยนเลยสักนิดด้วยความตะหงิดใจที่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหันหลังเดินออกไปอีกครั้ง ทิ้งผู้ครองตำหนักไว้ให้ค่อย ๆ ลดรอยยิ้มบนหน้าลง

“ เอ๋อเหนียง ” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กสาวดังขึ้นหลังฉากกั้นที่บังทางเชื่อมระหว่างเรือนในกับเรือนรับรอง และแน่นอนว่าเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวภายในตงเฉินจะยังมีใครไปได้อีกหากไม่ใช่ ‘ พระราชธิดา • หลิวหรูเยี่ยน ’ ที่กำลังโด่งดังในเวลานี้

“ เรียนเสร็จแล้วหรือเจ้าตัวเล็ก? ”

“ อือ ! ” ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าบัดนี้ความสดใสเพียงหนึ่งเดียวของตำหนักตงเฉินจะเป็นใครไปได้อีกหากไม่ใช่หลิงหยวนกงจู่วัยหกขวบที่ได้รับความนิยมจากเหล่านางกำนัลรวมไปถึงขันทีประจำตำหนัก ถัดจากร่างบางเล็กจ้อยก็เป็นนางกำนัลคนสนิทของผู้ครองตำหนักอย่างหลี่ผู่เยว่ที่รับบทอาจารย์ชั่วคราวในเวลาที่ไป๋หรั่นไม่ว่างสอนสั่งดูแล

“ พระชายา.. ”

เสียงที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของผู่เยว่เบาบางจนแทบเลือนหายไปกับอากาศ ทว่ามันกลับเด่นชัดในโสตประสาทของหญิงงามที่โน้มลงเปิดฝากล่องสำรับกลางวันของเด็กสาวตัวน้อย “ เสี่ยวเยี่ยน วันนี้ลองทานโค่วโร่วดูสักชาม จริงสิ เหนียงชินจำได้ว่าเจ้าชอบรสของหวงซานเหมาเฟิง วันนี้เตรียมมาให้ก็ค่อย ๆ ทาน อย่าปล่อยให้ชาร้อนลวกลิ้นอีก เข้าใจหรือไม่? ”

คล้ายว่าไม่ใส่ใจ แต่ใครเล่าจะรู้เนื้อแท้ด้านใน

รสชาติหวานล้ำของรักแท้ไร้ขอบเขตอะไร.. มีก็แต่รสเปรี้ยวฝาดจากความใกล้ชิดที่อันตรายขึ้นทุกวินาที

.

.

.

ถัดมาได้ไม่นาน ..

“ ลู่ซูเฟย .. มีคำเชิญจากไท่โฮ่วให้ไปร่วมลิ้มลองน้ำผึ้งจากชนเผ่าหมินเยี่ยที่ส่งมาบรรณาการจากทางใต้ในช่วงบ่าย โดยพระนางมีความต้องการให้เหนียงเหนี่ยงพาองค์หญิงเสด็จไปพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ ” ผู้มาส่งคำเชิญโค้งกายลงอย่างอ่อนน้อม ชวนให้ผู้ครองตำหนักตงเฉินได้แต่ลอบระบายลมหายใจออกอย่างช้า ๆ

“ เปิ่นกงทราบแล้ว กลับไปแจ้งไท่โฮ่วเถิดว่าเปิ่นกงจะรีบตามไปให้เร็วเท่าที่ทำได้ ”

เพราะไม่ว่าใครก็รู้ถึงความวุ่นวายของเหล่าสนมหลังได้รับการแต่งตั้งขึ้นตำแหน่งใหม่ ของขวัญรวมไปถึงจดหมายแสดงความยินดีมากมายหลั่งไหลมาเป็นสาย แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น.. ริมฝีปากบางเหยียดออกเป็นรอยยิ้มจนใจ คำเชิญของแม่สามี ใครกล้าปฏิเสธก็ทำไปเถอะ หนึ่งในนั้นไม่ใช่นางแน่นอน



[NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี
+20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง และ +10 ชาเกรดม่วง
+5 โบนัสความสัมพันธ์จากอาหารประเภทอาหารปรุง
+5 โบนัสความสัมพันธ์จากชาประเภทชงชา
+15 โบนัสความสัมพันธ์จากโดดเด่นมีเอกลักษณ์






แสดงความคิดเห็น

กงซุนเหม่ยเหรินมาขอเข้าเฝ้าต่อ หากสนใจรับอีเว้นท์ทักแชทส่วนตัว หากไม่รับจะถือว่าให้นางกลับไปก่อน  โพสต์ 2024-9-8 00:45
หัวใจของหลิงหยวนกงจู่ถึงลิมิตแล้ว  โพสต์ 2024-9-8 00:43
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 75 โพสต์ 2024-9-8 00:43
โพสต์ 32362 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-9-7 18:55
โพสต์ 32,362 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-9-7 18:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-9-8 15:21:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-8 15:22




อับจนหนทาง
วันที่ 22 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบนาทีเป็นต้นไป


เมื่อเตรียมตัวจนพร้อมสรรพ แทนที่นางจะได้พาองค์หญิงน้อยก้าวออกจากตำหนักอย่างที่คิดกลับต้องมาดูหน้าอีกหนึ่งผู้มาเยือน.. นึกไม่ถึงเลยว่าช่วงนี้ตงเฉินจะเป็นที่นิยมมากถึงขนาดนี้ ไป๋หรั่นนั่งอยู่บนตั่งปลายโถงตัวเดิมพร้อมหลุบตามองร่างอ้อนแอ้นที่ทรุดลงร้องไห้กระซิก ๆ อยู่แทบเท้า

ผีสางนางไม้ตัวใดดลใจให้กงซุนเหม่ยเหรินที่แสนเลื่องลือแบกหน้ามาพบนาง

“ ฮื่ออออออออออ ฮึก ฟื้ดด ฮืออออออออออ ”

คิ้วเรียวของสาวงามผู้ครองตำหนักค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันทีละน้อยตามเสียงสะอึกสะอื้นที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา ปลายนิ้วเนียนดั่งหยกเคาะกับราววางแขนบนตั่งช้า ๆ อย่างพิจารณา “ กงซุนเหม่ยเหริน.. บัดนี้แม้แต่บึงในตำหนักตงเฉินก็ไม่กว้างพอรองรับน้ำตาของท่านแล้ว มีเรื่องใดอยากกล่าวก็ว่ามาเถอะ ” นับว่าไป๋หรั่นมีเมตตาไม่น้อยสำหรับคนที่อยู่ ๆ ก็มาขอเข้าเฝ้าแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลนองทั่วพื้นพาลทำให้ทั้งตำหนักที่ควรเคล้าด้วยกลิ่นอายมงคลกลายมาเป็นโศกเศร้าอยู่พักใหญ่

“ ฮ ฮึก พระชายา หม่อมฉันไร้ที่พึ่งแล้วเพคะ ”

นงคราญหยกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยในระหว่างที่คิดว่าบัดนี้ธิดากงซุนโหวตั้งมั่นมาหานางแค่เพียงบอกว่าไร้ที่พึ่งแล้ว? ไม่มีทาง หลังจากครุ่นคิดได้พักหนึ่ง ริมฝีปากบางที่เคยปิดสนิทก็เปิดออกระบายลมหายใจ “ จะไร้ที่พึ่งได้อย่างไร กงซุนโหวก็ยังร่างกายแข็งแรง กงซุนเหม่ยเหรินกล่าวเช่นนี้เกรงว่าไม่ถูกต้อง ”

“ ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ.. อึก หม่อมฉัน หลังจากเรื่องวันนั้น.. ฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ไม่เหลียวแลหม่อมฉันอีกเลย ” ถ้อยคำตัดพ้อที่ถูกรีดเค้นออกมาจากความเศร้าโศกาสุดขั้วหัวใจพร้อมเงยหน้าขึ้นเผยดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้ทำให้ลมหายใจของผู้เฝ้ามองชะงักไปเล็กน้อย

ทั่วทั้งวังหลวงนี้มีใครบ้างที่จะไม่ทราบถึงวีรกรรมลือกระฉ่อนของกงซุนเหม่ยเหรินที่เผอิญผ่านสายพระเนตรของโอรสสวรรค์ หากจำไม่ผิด.. คู่กรณีของนางคือซ่างกวนเหม่ยเหรินที่หลังจากพบเหตุการณ์นั้นก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนางสนองพระโอษฐ์ประจำตำหนักเว่ยหยาง สร้างความอิจฉาแก่หมู่คนเป็นจำนวนมากโดยที่เด็กสาวผู้นั้นไม่ทันได้ทราบเลยแม้แต่นิด

“ กงซุนเหม่ยเหรินมาพบเปิ่นกงเช่นนี้คงมิใช่มองว่าเปิ่นกงจะสามารถโน้มน้าวฝ่าบาท.. ”

ไม่จำเป็นต้องพูดจนจบประโยคหรือรอฟังคำตอบที่ลอดผ่านริมฝีปากสีแดงสดของธิดาโหวผู้เย่อหยิ่ง ใบหน้าที่ซูบเซียวเพราะช้ำรักก็บอกทุกความต้องการออกมาประหนึ่งหน้ากระดาษที่แผ่ออก การตอบสนองของพระชายาเพียงหนึ่งเดียวดูไม่ปลอดภัยนักในยามนี้ราวกับว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะออกปากปฏิเสธ ฉะนั้นต่อให้จะเสียมารยาท แต่เมื่อริมฝีปากของสาวงามเปิดออกคล้ายจะเอื้อนเอ่ย เป่าหลินที่อับจนหนทางก็รีบคลานเข่าขยับขึ้นหน้าพร้อมกล่าวอย่างฟูมฟาย

“ หม่อมฉันทราบว่ามันเป็นคำขอที่เกินตัว ของที่หม่อมฉันนำมามอบให้ครั้งนี้ไม่มีค่าพอให้พระชายาออกตัวช่วยเสียด้วยซ้ำ ทว่า .. ทว่าหม่อมฉันไม่รู้จะพึ่งใครแล้วเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว หม่อมฉันยินดีอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ขอเพียงฝ่าบาทหันกลับมาสนใจหม่อมฉันบ้างสักนิด หรืออย่างน้อย ไม่ให้คนตีกลับสำรับที่หม่อมฉันส่งขึ้นถวาย ”

เป็นวิธีการ.. ที่โหดเหี้ยมนัก

หนทางดีที่สุดของการแก้ปัญหาเมื่อครั้งนั้นคือขับนางออกจากวังมิใช่ปล่อยให้อยู่กับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าอาจได้รับการอภัย ไป๋หรั่นเคยคาดไว้แล้วว่าคนที่เคยเชื่อมั่นในกำลังของตนเองอย่างอีกฝ่ายจะต้องตกมาอยู่ในสภาพน่าเวทนาในสักวัน คล้ายกับผู้กระหายน้ำกลางทะเลทรายที่สามารถทำทุกสิ่งเพื่อให้ตนได้รับน้ำมาประทังชีวิต

“ เรื่องนี้เปิ่นกงช่วยเจ้าไม่ได้ ”

“ พระชายา ! หม่อมฉันขอร้องเพคะ แค่ช่วยพูดกับฝ่าบาทสักครั้ง ” เป่าหลินอับจนหนทางแล้วจริง ๆ เมื่อได้ยินว่าแม้แต่คนที่มีน้ำหนักในพระทัยของฝ่าบาทมากที่สุดก็ยังออกปากปฏิเสธนางแทบคว้าทุกสิ่งที่ตัวเองมีออกมาประเคนลงแทบเท้า “ จะให้หม่อมฉันเป็นวัวเป็นม้าของพระชายาหม่อมฉันก็ยินยอม หม่อมฉันยินดีช่วยเหลือพระชายาทุกอย่าง ขอเพียงพระชายาเมตตาสักครั้ง ”

กงซุนเหม่ยเหรินรีบโขกศีรษะลงกับพื้นสร้างความตกอกตกใจให้กับนางกำนัลที่กระจายกันยืนภายในโถงถึงความกล้าบ้าบิ่น ไม่เว้นแม้แต่พระชายาหยกขาวที่ผุดกายขึ้นจากตั่งนั่งอย่างรวดเร็ว ประจวบเหมาะกับเป่าหลินที่เมื่อพึ่งนึกได้ว่าตนยังสามารถทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวเสียงดัง “ หากพระชายาต้องการกำจัดผู้ใด หม่อมฉันยินดีกระทำให้โดยไม่บิดพลิ้ว ”

“ เหม่ยเหรินลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าวันแรกที่เปิ่นกงเข้าวังมาต้องพบสิ่งใด ”

ใบหน้าของกงซุนเป่าหลินซีดขาวโดยทันที ครั้งหนึ่งพระชายาแซ่ลู่ก็เคยถูกเอาเปรียบ ทั้งยังเคยถูกใส่ร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยแล้วจะให้สตรีที่มีบรรยากาศผุดผาดไร้ราคีมีใจคิดอยากทำเช่นนั้นกับผู้อื่นได้อย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเองเดินหมากผิดทาง ทุกเสี้ยวความอดทนที่มีก็มลายหายกลายเป็นการอ้อนวอนอย่างขาดสติเสียแทน “ หม่อมฉัน หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะพระชายา หม่อมฉันสำนึกแล้ว หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ”

ไปกันใหญ่แล้ว ทั้งหมดนี้วุ่นวายเกินไปแล้ว

ยิ่งได้ยินเสียงโขกศีรษะลงกับพื้นมากเท่าใด นงคราญหยกก็ยิ่งมีริ้วความลำบากใจอยู่บนใบหน้ามากเท่านั้น “ หรือ.. หรือหากพระชายาต้องการอำนาจในมือ ตระกูลกงซุน ใช่แล้ว บิดาของหม่อมฉัน หม่อมฉันพร้อมช่วยบอกบิดาให้สนับสนุนท่าน ได้โปรดเถิดเพคะพระชายา ” เมื่อใดที่กงซุนเป่าหลินคิดวิธีใหม่ได้ทั้งหมดนั้นก็จะถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแตกตื่นเคล้าเสียงร่ำไห้สลับกับการโขกศีรษะชวนให้คนรอบด้านหดหู่ใจ

แต่ที่หนักหนาที่สุด..

“ กงซุนเป่าหลิน ! ”

น้ำเสียงไม่ดังไม่เบาดังขึ้นในระยะที่ห่างกันนักพร้อมด้วยสองไหล่ที่ถูกมือขาวรั้งไว้ไม่ให้กดศีรษะลงกระแทกพื้นอีก ธิดาโหวร้องไห้จนตัวโยก นางค่อย ๆ เงยหน้าที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาขึ้นมองผู้ห้ามปราม “ ฮึก พระชายา ” แม้ไม่อาจทราบได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงละครบทหนึ่งหรือความปรารถนาจากใจจริงที่ต้องการใครสักคนมาช่วยเหลือ ทว่าไป๋หรั่นก็ยังเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปด้วยสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“ แลกทุกสิ่งที่เจ้ามีกับความโปรดปราน ทั้งหมดนี้คุ้มค่าจริงหรือ ”

“ คุ้มสิเพคะ.. ”

“ หม่อมฉันรักฝ่าบาท .. ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ล้วนคุ้มค่าทั้งนั้น ”

เพราะแค่รักคำเดียวทำให้สตรีล้วนโง่เขลา

เพราะแค่รักคำเดียวทำให้สามารถแลกทุกสิ่งอย่าง

และเพียงเพราะรักคำเดียวเช่นกัน.. ที่ทำลายชีวิตได้ทั้งชีวิต



รับรางวัลอีเว้นท์ - สุรานารีแดง 1 เป็ดเป่ยผิง 1 และ แพรจันทร์หนาว 1 พับ






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19333 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2024-9-8 15:21
โพสต์ 19,333 ไบต์และได้รับ +8 EXP +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-9-8 15:21
โพสต์ 19,333 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-8 15:21
โพสต์ 19,333 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-8 15:21
โพสต์ 19,333 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-8 15:21
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1

1

กระทู้

12

ตอบกลับ

132

เครดิต

คนสร้างตัว

พลังน้ำใจ
30
ตำลึงทอง
49
ตำลึงเงิน
46
เหรียญอู่จู
4408
STR
5+3
INT
1+0
LUK
0+0
POW
2+0
CHA
0+0
VIT
2+2
คุณธรรม
0
ความชั่ว
0
ความโหด
0
โพสต์ 2024-9-9 19:33:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeiBin เมื่อ 2024-9-9 19:41
วันที่ 09 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10  10:30



  เช้าวันนี้ตนเดินดูความเรียบร้อยของตำหนัก ก็มีหญิงสาวเดินตามตนมาจากข้างหลังแล้วเรียกตนไว้

"เว่ยกงกงหยุดก่อน"

ตนจึงหยุดแล้วหันหลังกลับไปก็พบว่าคนที่เรียกตนเมื่อครู่คือหลี่ผู่เยว่นางกำนัลคนสนิทของพระชายา

"พี่สาวหลี่เรียกกันเกินไปเรียกข้าว่าเสี่ยวเว่ยจื่อก็พอแล้ว ไม่ทราบพี่หลี่มีอะไรหรือป่าว"

หลี่ผู่เยว่กวาดสายตามองรอบๆก่อนจะพาตนไปส่วน สวนดอกไม้ที่ไม่มีคน

"ที่นี่ไม่มีใครแล้วไม่ทราบพระชายามีคำสั่งอะไรให้ข้าไปทำ"

นางเห็นว่าตนรู้ทันจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย

"เสี่ยวเว่ยจื่อสมแล้วที่เป็นขันทีที่จางกงกงสนับสนุนเจ้าฉลาดไม่เบา เอาล่ะพระชายาต้องการรู้ความเป็นมาของของเหมยเหม่ยเหริน แล้วไปสืบดูซิว่าช่วงนี้กงซุนเหม่ยเหรินต้องการทำอะไร"

ตนยังเก็บสีหน้าของตัวเองไว้อยู่แต่ในใจกลับคิดทบทวนไปมา พึ่งเข้ามาได้ไม่นานก็ต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องในวังหลังแล้ว แต่ไม่เป็นไรเมื่อมีโอกาสได้ทำงานก้ควรคว้าเอาไว้ แล้วการที่พระชายามอบคำสั่งนี้ให้ตนแปลว่านางต้องเชื่อใจตนในระดับนึง

"ข้าน้อยทราบแล้ว ฝากพี่หลี่ไปแจ้งพระชายาด้วยว่าข้าน้อยจะไม่ทำให้ผิดหวัง"

หลี่ผู่เยว่พลักหน้า ก่อนจะเดินออกไปอีกทางนึงของสวนส่วนตนก็ออกทางหลักทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 4696 ไบต์และได้รับ 1 EXP!  โพสต์ 2024-9-9 19:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
หมวกไผ่ผ้าคลุม
คนแข็งแรง
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x30
x1
x1
โพสต์ 2024-9-9 21:15:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-9-9 21:16




ค่ำคืนสุขสงบ
วันที่ 23 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลายี่สิบสองนาฬิกาเป็นต้นไป


เพื่อช่วยขับกล่อมห้วงนิทราของนงเยาว์น้อยที่ปิดเปลือกตาลงหลับไหล พระชายาหยกขาวผู้เป็นมารดาสละเวลาพักผ่อนของตนเองมาปรุงกำยานกลิ่นหอมรัญจวนจิตของหมู่ดอกไม้บดเป็นผงที่ผสมกับยางไม้บางชนิดจนร่วนติดกลิ่นหอมได้ที่ ไป๋หรั่นขยับมือไปมาเพื่อดับก้านธูปในมือก่อนจะหยิบฝามาครอบปิดปากเตากำยานอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเจ้าของเสียงลมหายใจที่เข้าออกเป็นจังหวะแสนสงบ

เนตรหงส์หลุบลงมองร่างเล็กบนเตียงก่อนจะชำเลืองตาไปเห็นแผ่นกระดาษที่มีตักอักษรยึกยือคล้ายการดีดดิ้นของหนอนเปื้อนหมึกที่เขียนออกมาเป็นนามของสถานที่ต่าง ๆ ที่นางพาหรูเยี่ยนไปเยือนพร้อมเขียนชื่อกำกับผู้คัดเอาไว้อย่างรู้งาน เพราะหรูเยี่ยนมีพื้นเพเป็นชาวอู๋เว่ย แม้จะสามารถพูดฟังภาษาต้าฮั่นได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชำนาญ โชคดีที่เด็กน้อยไม่ติดสำเนียงนอกด่านมาทำให้ข้ออ้างว่าเป็นธิดาลับ ๆ ยังพอฟังขึ้นแต่ก็ยังมีข้อบกพร่องด้านการเขียนอ่าน

เห็นแก่ความพยายามของเด็กน้อยที่ไร้แบบอย่าง..

เสียงขูดกันของจานฝนและแท่งหมึกดังขึ้นในระดับที่ไม่ดังไม่เบาเป็นจังหวะเชื่องช้าคล้ายฝนพรำยามค่ำคืน หลังการเติมหมึกในปริมาณที่พอดีใช้ นงคราญหยกก็เปลี่ยนมือจากการถือแท่งหมึกมาเป็นพู่กันจิ้งจอกราคาแพงลิบ โฉมสะคราญจมลงสู่ห้วงสมาธิครั้นเมื่อคัดอักษร รูปขีดเส้นร่างแต่ละสายที่จรดลงบนกระดาษก่อให้เกิดอักษรลี่ซูแสนงามที่ชดช้อยประหนึ่งงูเหินขยับอย่างพริ้วไหว

อุทยาน (春和景明花园).. เว่ยหยาง (威阳).. ตำหนักตงเฉิน (冬晨宫)..

ซวิ่นเยว่ (巽月).. และท้ายที่สุด

หลิวหรูเยี่ยน (刘如艳) นามแสนงามของเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินในเวลานี้


ไป๋หรั่นวางพู่กันลงช้า ๆ ก่อนจะยกกระดาษแผ่นบางขึ้นด้วยความพึงพอใจ ที่ผ่านมาเนตรงามคู่นี้มักทอประกายความสุภาพอ่อนโยน ทว่าหนึ่งสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนนั้นคือความคาดหวัง แต่มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว.. กระดาษคัดอักษรวางลงบนโต๊ะอีกครั้งโดยมีที่ทับกระดาษวางทับมุมทั้งสองฝั่งเอาไว้ไม่ให้มันปลิวหายไปไหน

สักวันหนึ่งนางหวังว่าหรูเยี่ยนจะสามารถสืบทอดความรู้ความสามารถที่นางมีไปได้อย่างครบถ้วนหรือไม่ก็มากกว่า ..สาวงามประดุจหยกผินหน้ามองแม่หนูตัวน้อยที่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเสมือนได้รับการฝึกมาก่อน บัดนี้ตระกูลลู่ไร้ผู้สืบทอดแล้ว ลู่อวี้หรานหายตัวไป.. ลู่ชางหรงเร้นกายเข้ากลีบเมฆรับเฉพาะงานเดินทางทว่าไม่แตะต้องส่วนใน แม้แต่บุตรสาวคนเล็กที่เคยคาดหวังว่าอาจจะรับช่วงต่อกิจการได้ สุดท้ายยังไม่พ้นต้องเข้าวังกลายมาเป็นหญิงสูงศักดิ์

ถ้าต่อจากนี้ทุกสิ่งราบรื่นไปจนถึงวันที่เด็กน้อยเติบใหญ่ ในสักวันหนึ่งไป๋หรั่นคงยื่นจะยื่นข้อเสนอที่แสนเรียบง่ายให้กับนางอีกครั้ง เช่นเดียวกับข้อเสนอที่เคยใช้เพื่อชักชวนให้มาเป็นธิดาบุญธรรม หากหรูเยี่ยนชื่นชอบที่จะเป็นองค์หญิง นงคราญหยกที่นำพาอีกฝ่ายมาอยู่ในฐานันดรนี้ก็ไม่คิดคัดค้าน ทว่าหากหรูเยี่ยนต้องการเป็นอิสระ หวนคืนสู่เส้นทางเดิมของตนเอง นางก็พร้อมช่วยเหลือให้อีกฝ่ายได้โบยบินออกไปภายใต้หนึ่งเงื่อนไข

แอ๊ด..

ประตูเรือนหลิวซิ่วเปิดออกช้า ๆ ด้วยน้ำมือของนางกำนัลคนสนิทที่มีเรื่องจะมารายงาน ผู่เยว่ช้อนสายขึ้นมองพระชายาผู้เป็นนายเล็กน้อย ทั้งสองไม่จำเป็นต้องส่งเสียงเพื่อที่จะบอกความต้องการ หลี่กู่กูเดินเข้ามาอย่างนอบน้อมก่อนจะถวายจดหมายฉบับหนึ่งให้พระชายาได้ทอดพระเนตร


พรุ่งนี้ ช่วงสาย ร้านหม้อไฟและปิ้งย่าง

ผู้ร้อนใจแทน


นงคราญหยกพลิกกระดาษแผ่นเล็กในมือไปมาช้า ๆ ก่อนจะเทียบมันกับแสงเทียน เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไร้ซึ่งคำกำชับล่องหนใด ๆ ปลายกระดาษก็หย่อนลงสัมผัสเปลวไฟที่ลุกโชน กลิ่นเผาไหม้อ่อน ๆ แทรกมากลายควันหอม พระชายาหยกขาวปล่อยให้จดหมายถูกเผาจนสิ้น โดยมีผู่เยว่ยื่นเตารองเถ้ามารับอย่างรู้งาน

“ พรุ่งนี้เฝ้าหลิงหยวนให้ดี ” สาวงามดั่งหยกปรายตามองคนสนิทของตนเองเล็กน้อยในระหว่างลุกขึ้นจากที่นั่ง เงาร่างของสตรีในช่วงวัยที่บานสะพรั่งเดินเคียงกันออกมาจากเรือนหลิวซิ่วขององค์หญิงหลิงหยวน “ เปิ่นกงมีธุระต้องทำนอกวัง วันพรุ่งตงเฉินไม่เปิดรับแขก .. ไปกำชับเสี่ยวเว่ยจื่อด้วยล่ะ ”









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 12930 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-9-9 21:15
โพสต์ 12,930 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-9-9 21:15
โพสต์ 12,930 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-9 21:15
โพสต์ 12,930 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-9 21:15
โพสต์ 12,930 ไบต์และได้รับ +4 ความชั่ว +5 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-9 21:15
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-9-25 11:47:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด



แขกผู้มีเกียรติ
วันที่ 31 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบนาฬิกาเป็นต้นไป


หลายวันถัดจากนั้นพระชายาหยกขาวดูเหมือนจะสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ นงคราญหยกยังคงทำกิจวัตรอย่างเดิมแม้ว่าความทรงจำหลายส่วนจะเลือนลาง โดยเฉพาะค่ำคืนร่ำสุราร่วมกับเถ้าแก่หลิวและใต้เท้าเถียนที่เช้าวันถัดมานางตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงโดยมีเสื้อคลุมมังกรห่อกายเอาไว้ ลายปักมังกรเหินบนเสื้อคลุมนั้นสร้างผลกระทบให้นางมากแค่ไหนหลายคนในตำหนักล้วนต้องทราบ ทว่าแทนที่จะรายงานเหมือนอย่างเคย ทุกคนกลับเก็บเงียบไม่บอกกล่าว ถึงขนาดที่ทำให้ผู้เป็นพระชายายอมแพ้ในการจะหาคำตอบ

นอกจากความสับสนเกี่ยวกับราตรีที่เลือนลางนั้น ปัจจุบันก็มีเรื่องให้นางต้องคิดจนหัวแทบแตก เมื่อแขกแสดงความยินดีคนสุดท้ายจะเป็นถึง ‘ พี่ชายบังเกิดเกล้า ’ ที่พึ่งกลับจากต่างเมือง “ พระชายาก็เป็นแล้ว.. ลูกก็มีแล้ว ทรงประสงค์ฝึกยุทธ์อย่างนี้ หรือท่านหวังตำแหน่งขุนพลหญิง? ” คุณชายหยกกดมุมปากข้างหนึ่งหยักลึกเป็นรอยยิ้มดูไม่แยแส ผิดกับพระชายาแซ่ลู่ที่กำกระบี่ในมือแน่นเสมือนไม่กล้าสบสายตา

ลู่ชางหรงกลับมาได้หลายวันแล้ว และเขาก็ไม่ใช่พวกที่จะปล่อยผ่านเรื่องในอดีตไปโดยง่าย คุณชายแซ่หยกท่านนี้อาศัยเส้นสายควานหาข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับน้องสาวมาจนครบทุกฉบับทั้งยังดูชอบใจกับเรื่องไร้สาระเหล่านี้อยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ล่าสุดที่เรียกได้ว่าพลิกชีวิตของสาวงามไปโดยปริยาย “ คึกคักแปลกตาจริง ๆ ” ชายรูปงามปรายตามองเงาร่างเล็กของเด็กสาวที่วิ่งว่อนไปทั่วสวนของตำหนักตงเฉิน สลับกับร่างของนงคราญผู้เป็นน้องสาวร่วมสายเลือด

“ ชางหรงเกอ.. ”

การได้เห็นร่างที่สูบลงของพี่ชายค่อย ๆ ตอกย้ำข้อเท็จจริงหนึ่งให้สลักลึกลงในใจนาง แต่แรกแล้วชางหรงไม่เคยสนับสนุนการเข้าเมืองหลวง เขาไม่เคยบอกเรื่องราวของเขาภายในเมืองหลวง ไม่เคยแนะนำเพื่อนในเมืองหลวง ทั้งที่เขาเป็นถึงสหายใกล้ชิดขององค์จักรพรรดิตั้งแต่ครั้งยังเป็นรัชทายาท คนที่ควรจะสุขสำราญในเมืองใหญ่กลับไม่เคยบอกเล่าช่วงชีวิตภายใต้แสงสีนี้ให้ใครได้ฟัง

ครั้งหนึ่งไป๋หรั่นเคยสงสัยถึงสาเหตุที่เรื่องราวกลายมาเป็นเช่นนี้แต่เมื่อได้ประสบด้วยตนเอง นางก็เข้าใจขึ้นมาโดยทันที เมืองหลวงงดงามแล้วอย่างไร ไร้ราตรีแล้วอย่างไร.. สุดท้ายที่แห่งนี้ก็คือดงสัตว์ร้ายจ้องแย่งชิงเกาะกินไม่มีเปลี่ยนแปลง

“ ข้าไม่อยู่แค่เดือนเดียว เด็กคนนี้ก็โตขึ้นผิดหูผิดตานัก ” เพื่อเป็นการช่วยยืนยันว่าที่ผ่านมาตัวตนของเด็กคนนี้มีอยู่จริง ต่อให้ยังไม่คุ้นชินชางหรงก็จำเป็นจะต้องรับเอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาเป็นหลานสาว คุณชายหยกปรายตามองน้องสาวร่วมสายเลือดที่ปกปิดแววกระอักกระอ่วนไว้ภายใต้ความสงบนิ่ง เขาไม่ถือสาเอาความกับการกระทำของน้องสาวที่ดูจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถือสา.. กับคนที่เห็นดีเห็นงามไปกับนาง

แม้จะดูอ่อนล้ากว่าที่ผ่านมา ทว่าความรูปงามของคนแซ่ลู่ก็ยังเป็นที่ประจักษ์ จิ้งจอกผู้พี่จรดนิ้วแตะปลายขอบของจอกชาก่อนจะลากนิ้วไปมาคล้ายการกระทำของคนที่ต้องการคลายความเบื่อหน่าย ดวงตาหงส์คู่คมของผู้ครองโฉมร้ายกาจไม่แพ้ญาติใกล้ชิดหลุบลงมองมือตนเอง “ ฟันอากาศอีกห้าร้อยครั้ง ”

ห้าร้อยครั้งสำหรับสตรีในห้องหอที่ไม่ใช่จำพวกฝึกตนมาแต่แรกนับเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อจบคำของเขาเหล่าคนรับใช้ไม่ว่าจะน้อยหรือใหญ่ต่างก็พากันหน้าซีด “ เหอะ ” แว่วเสียงสั้น ๆ ที่สื่อถึงความเย้ยหยันหลุดลอดออกมาจากปากของชายผู้มาเป็นแขก ‘ คนทำไม่นึกทุกข์ร้อน แต่คนฟังกลับกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ต้องมาอยู่กลางความยุ่งยากอย่างนี้ นับเป็นกรรมของเจ้าจริง ๆ เสี่ยวหรั่น ’

“ พี่ชายยังมีธุระต้องไปจัดการ ”

สีหน้าเย่อหยิ่งของเขาแปรมาเป็นความเสียดายที่ฉายออกมาผ่านแววตา “ หากอยากฝึกยุทธ์ก็หมั่นฝึกสมาธิ ฟันอากาศทุกวันให้ชินกับการใช้แรง เมื่อใดที่อยากก้าวไปขั้นต่อไปก็ให้คนมาบอกข้า หากผู้อื่นสอนเจ้า ข้าไม่วางใจ เขาเองก็คงไม่วางใจ ” กระดากปากนักที่ต้องทำว่าเป็นห่วงเป็นใยแทนหมอนั่น ชางหรงเผลอกรอกตาออกมาอย่างเสียกิริยาแต่นั่นกลับทำให้คนงามแห่งยุคเผยยิ้มออกมาให้กับเขา เมื่อเห็นอย่างนั้นแทนที่เขาจะวางใจ ลู่ชางหรงกลับคร่ำครวญอยู่เงียบ ๆ ว่าสุดท้ายน้องสาวที่เฝ้าถนอมก็กลายเป็นของชายอื่นไปเสียแล้ว ทั้งยังคว้าถูกคนนัก ไปคว้าเอาจักรพรรดิเพียงหนึ่งในแผ่นดินมาเสียได้

คนแซ่ลู่ไม่เกี่ยงภาระหน้าที่ สิ่งใดที่ได้รับมอบหมายล้วนแต่ต้องปฏิบัติให้ดียิ่งกว่าผู้อื่น พี่ชายสละเวลามาให้คำแนะนำ สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับไป๋หรั่นนางย่อมรู้ตัวดีว่าสิ่งนี้คือโอกาสล้ำค่าที่ไม่อาจหาได้จากที่ใดอีก ชางหรงได้ชื่อว่านักสู้อัจฉริยะมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาคือชายที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับในฝีมือ มีหรือที่ผู้คนจะไม่เคยพยายามขอเป็นศิษย์เขา

อายุก็ตั้งเท่านี้แล้วยังไม่คิดหาภรรยาหรือรับศิษย์ พี่ชายนางออกจะรักอิสระมากเกินไปแล้วจริง ๆ

“ เสี่ยวเว่ยจื่อ เจ้าไปส่งเขาที่หน้าวังเถอะ ” การไปส่งแขกจำต้องผ่านเขตชั้นนอก ให้ผู้เป็นชายไปส่งคงดีกว่าปล่อยนางกำนัลของฝ่ายในให้ออกไปเดินร่อนเร่ผิดสังเกต ด้านชางหรงที่ยืนประสานมือรับฟังการจัดแจงของเจ้าตำหนักตงเฉินก็กำลังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในช่วงรัชกาลก่อนเขานับว่าเป็นหนึ่งในคนที่เข้าออกฝ่ายในอยู่บ่อยครั้งตามงานที่ได้รับมอบหมาย ทำให้พอจะมีโอกาสพบหน้าสตรีฝ่ายในหลายคนที่มากความสามารถ

ก่อนหน้านี้เสี่ยวหรั่นของเขายังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง ฉลาดหัวไว เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายท่ามกลางกิจการของบ้าน แต่ตอนนี้นางกลับกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ของฝ่ายในไปเสียแล้ว เสียงหัวเราะในลำคอต่ำ ๆ ลอดออกมาจากชายผู้มาเยือน ความเจ็บปวดนี้บางทีคงจะมีแต่คนเป็นพี่ชายเท่านั้นที่รู้สึก “ ช่วงนี้กระหม่อมกลับมาพักในเมืองหลวงแล้ว หากพระชายาประสงค์พบหน้า กระหม่อมก็พร้อมเข้ามาเยี่ยมเยือน ”

ความห่างเหินตามมารยาทนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าหวานนิ่งค้างไปหลายอึดใจ กระทั่งแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไปก็ยังฝังอยู่ในภาพจำของนาง นงคราญหยกเคลื่อนสายตาที่เจือไว้ด้วยความอาวรณ์ลงกับกระบี่ในมือ “ ถอยไป เปิ่นกงจะฝึกต่ออีกสักหน่อย ”

เสียงศาสตราผ่ากลางอากาศดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมีริ้วของความนิ่งเฉยลุกลามไปบนดวงหน้างาม ยังคงเป็นเช่นนี้เหมือนทุกครั้ง นางมักจะสลัดความฟุ้งซ่านทิ้งผ่านการหาสิ่งใหม่ ๆ ให้ตนเองทำอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ค่อนข้างแปลกตาสำหรับคนที่พึ่งมาใหม่พอสมควร “ เอ้อเหนียงฝึกกระบี่หรือ? ” เสียงเล็กจ้อยของเด็กสาวดังขึ้นนอกพื้นที่ศาลาโล่งกว้าง ต่อให้ไม่ผินหน้าไปมองตามเสียงก็ยังรู้ได้ว่าคนที่ถามไถ่เสียงหวานนี้คือผู้ใด

“ ก็แค่ฝึกไว้ให้พอใช้เป็นน่ะ ”

แน่นอนว่าไม่มีทางฝึกไว้เพื่อทำให้ได้แค่นั้น

“ งึม ๆ น่าเสียดาย ถ้าเอ้อเหนียงอยากลองยิงธนู เรื่องนั้นให้หรูเยี่ยนสอนยังได้ ! ”

กงจู่น้อยมีความมั่นใจอยู่มากถึงขนาดแสดงออกผ่านท่าทางอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับผู้ใหญ่รอบตัวที่หลายคนแสดงความฉงนใจออกมาผ่านสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับผู้เป็นมารดา(เลี้ยง)ที่คาดไว้อยู่แล้วว่าความสามารถของเด็กสาวที่เอาชีวิตรอดในเขตทะเลทรายก็คงไม่ได้มีแค่วิ่งไปมาเพียงอย่างเดียว

“ ยิงธนูเหรอ.. ”

ก็ฟังดูน่าสนใจนี่?









แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 20683 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-9-25 11:47
โพสต์ 20,683 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-9-25 11:47
โพสต์ 20,683 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-9-25 11:47
โพสต์ 20,683 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-9-25 11:47
โพสต์ 20,683 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-9-25 11:47
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-10-12 17:37:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด



นายพลน้อย
วันที่ 31 เดือน 08 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาเป็นต้นไป


“ เจ้ายิงธนูเป็นด้วย? ”

ในที่สุดก็ถึงคราวของโอรสสวรรค์ที่หลบมองชายาและบุตรสาวมานาน หลิวเช่อปรายตามองตามทางที่สหายของเขาใช้เดินออกไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตาเฉียบคมกลับมาในยามที่เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งฝ่าฝูงชนมายืนอยู่ตรงหน้าเขา “ เสด็จพ่อ ! ” ทันทีที่รู้ว่าอยู่ในวังหลวงไม่สามารถเรียกแค่ท่านพ่อ หรือพ่อเปล่า ๆ ได้ เจ้าหนูนี่ก็คล้ายจะเรียกเขาเก่งขึ้นทันตา ราวกับว่า ‘ เสด็จพ่อ ’ คำนี้เป็นเพียงสมญาหลักลอย

“ หลิงหยวน ”

บัดนี้นางเป็นองค์หญิงแล้วจะทำอะไรก็ควรตระหนักให้มาก ถึงแม้ว่าการวิ่งโผเข้าหาบิดาจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่ในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ก็ยังนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เด็กหญิงตัวน้อยรู้ความหมายในการเรียกของบิดาดี ทว่านางกลับเงยหน้าขึ้นใช้สองตากลมกระจ่างอย่างสดใสสบกับเนตรมังกรคู่นั้นพลางระบายยิ้มกว้าง “ เอ้อเหนียงกล่าวว่าเสด็จพ่อทรงงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลา หากว่าแวะมาที่ตำหนักเมื่อใดต้องให้การต้อนรับอย่างดี ”

หลายคนที่ล้อมรอบด้านต่างก็ไร้วาจา ในบรรยากาศเงียบสะงัดอันน่าอึดอัดนี้แทนที่จะถูกปล่อยผ่านกลับการเป็นว่ามือเล็กขององค์หญิงหลิงหยวนกลับจับเข้าที่ชายแขนเสื้อของบิดา และจูงร่างสูงให้เดินตามนางเข้าไปในศาลา “ เอ้อเหนียงท่านวางกระบี่เร็วเข้า ” ดูเหมือนการกระทำนี้จะเผลอไปจุดชนวนความเอ็นดูให้ฝังรากไว้ในใจใครหลาย ๆ คน ไม่เว้นแม้แต่หทัยหินผาที่แข็งแกร่งที่สุด ปกติแล้วเด็กอายุยังน้อยมักเอาแต่ใจโดยใช่เหตุ แต่เมื่อกล่าวถึงหลิงหยวนกงจู่นางกลับจัดแจงสิ่งที่ต้องการภายใต้ความเป็นห่วงว่าบิดาจะเหนื่อยล้ามาจากงานหลวง

“ เจ้าสอนนาง? ” ในระหว่างที่บุตรสาวกำลังวิ่งไปมาบอกว่าต้องการอะไรบางจากคนรับใช้ สตรีผู้ครองตำหนักก็ส่งกระบี่ไปวางไว้ในมือคนสนิทพร้อมก้าวขึ้นศาลา เปิดโอกาสให้สองสามีภรรยาได้สนทนาหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมาพักใหญ่ ๆ แล้ว

“ เป็นเรื่องพื้นฐาน มิสอนมิได้เพคะ ”

เมื่ออยู่ในวังหลวงนี้เกราะป้องกันหนึ่งชั้นคือความภักดี ตลอดหลายอาทิตย์ที่นางเฝ้าอบรมด้วยตนเอง เมื่อผนวกกับความพยายามที่จะก้าวหน้าเพื่อให้มีชีวิตรอดของเสี่ยวหรูเยี่ยนในที่สุดก็พอจะมีเค้าโครงของธิดาตระกูลใหญ่เผยออกมาบ้างสักที

“ รับนางกลับมาอย่างนี้ลำบากเจ้าไม่น้อย ”

หลิวเช่อลดระดับเสียงลงเมื่อคนที่ต้องการสนทนาด้วยขยับเข้ามาอยู่ในบริเวณเดียวกันมากขึ้น ทว่าสองตาหงส์ของสาวงามเมื่อได้ฟังคำนั้นกลับแฝงความประหลาดใจเอาไว้เล็กน้อย “ หน้าที่มารดาลำบากมากหรือน้อยย่อมไม่สำคัญ บุตรสาวเติบโตได้อย่างดีต่างหากที่สำคัญที่สุด ” ไป๋หรั่นคาดการอย่างเรียบง่ายว่าการเกริ่นเชิงเป็นห่วงครั้งนี้มาได้เพราะต้องการทดสอบ นางที่เป็นผู้นำเรื่องยุ่งยากนี้เข้ามาก็ได้แต่ตอบรับพลางเอื้อมเข้ารินชาให้อีกฝ่าย

“ เอ้อเหนียง เอ้อเหนียง ผู่เยว่เจียเจี่ยบอกว่าหลี่โต้วเกาหมดแล้ว.. ” ใบหน้าจิ้มลิ้มขององค์หญิงน้อยกลายเป็นเศร้าสลดขึ้นมาทันตา หลังจากเข้ามาใช้ชีวิตในวังหลวงมีหลายอย่างที่นางพึ่งได้พบและได้ลอง หนึ่งในนั้นคือหลี่โต้วเกาที่เหมือนจะถูกจริตมากเป็นพิเศษ

“ หม่อมฉันแจ้งแก่องค์หญิงแล้ว ทว่านาง.. ”

“ ไม่เป็นไร เจี่ยเอ๋อร์อยากทานหลี่โต้วเกาหรือ? ” องค์หญิงหลิงหยวนสับเท้ามุ่งเข้ามาเพื่อเอียงใบหน้าลงซบกับตักบางของมารดาเปล่งเสียงพึมพัมที่ฟังยากนัก หรูเยี่ยนนึกว่าคงไม่มีใครเข้าใจนาง แต่เปล่าเลย มุมปากของโอรสสวรรค์ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้รับฟังถ้อยคำน่าเอ็นดู หลิวเช่อยื่นมือวางลงบนศีรษะของพระราชธิดาพลางกล่าวเสียงเรียบ

“ นางเพียงอยากให้เจิ้นได้ลองฝีมือเจ้า ”

นงคราญหยกนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ไป๋หรั่นดูไม่ออก.. นางไม่ทราบเลยว่าน้ำเสียงทุ้มเรียบช่วยชี้แนะรวมไปถึงแววตาเฉียบคมที่อ่อนลงยามเมื่อสบกันจะเป็นเพียงกลเม็ดแอบแฝงหรือความจริงใจ ทว่าหนึ่งสิ่งที่ชวนให้เบาความกังวลคงเป็นความเข้ากันได้ดีของสามีและบุตรสาว

“ เอ้อเหนียงทำหลี่โต้วเกาอร่อยมาก.. ” หรูเยี่ยนยังไม่ละทิ้งความพยายาม องค์หญิงน้อยงึมงัมอยู่กับตักบางชวนให้คนนึกเอ็นดู แน่นอนว่าสิ่งนี้กระทบกับความเป็นแม่ลึก ๆ ในตัวพระชายาด้วยเช่นกัน ไป๋หรั่นไม่ได้รีบร้อนรับปาก นางขยับสองมืออุ้มร่างเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวขึ้นพลางแนบปลายจมูกลงกับแก้มนุ่มจนเจ้าตัวหัวเราะคิกคัก

“ หากพระองค์มีเวลา.. ”

“ เชิญ ”

ในเมื่อนางเต็มใจจะเป็นมารดาที่ตามใจบตรสาว ปล่อยไว้อย่างนี้ก็คงไม่ได้เลวร้ายอะไร หลิวเช่อยกชาหลงจิ่งขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้สาวงามฝากฝังธิดาไว้กับเขาก่อนจะเดินหายไปอีกทางโดยมิได้คาดเลยว่าปล่อยเด็กไว้กับเขา ก็เท่ากับเปิดช่องให้เด็กน้อยได้เล่นซนในแบบที่ต่างออกไป

โชคดีที่ตำหนักตงเฉินมีพื้นที่ส่วนที่แบ่งออกเป็นห้องครัวส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว ไป๋หรั่นจึงไม่ต้องลำบากไปจนถึงห้องเครื่องหลวงเพื่อทำของว่างไม่กี่ชิ้น หลังจากใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุด สาวงามผู้สวมอาภรณ์หรูหราก็ก้าวเท้ากลับมาตามทางเดินพร้อมสองมือที่ประคองถาดของว่างอย่างมั่นคง ทีแรกนางยังนึกสงสัย.. ว่าเวลาว่างของพ่อลูกหากไร้นางจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเดินผ่านช่วงเลี้ยวที่บังสายตา สิ่งที่พบกลับเป็นสองพ่อลูกยืนประชันหน้ากันโดยมีกระบี่ไม้อยู่ในมือ

“ … ? ”

“ จับให้แน่นกว่านี้ ทุกครั้งที่ฟาดลงมาทั่วร่างกายต้องรู้สึกว่าได้ออกแรง ” โอรสสวรรค์เป็นคนจริงจังขึงขังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบนักในฐานะผู้ฝึกสอนเนื่องจากเข้มงวดเกินไป ทว่าคงจะไม่ใช่กับบุตรสาว ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ดุดันแต่กลับไม่แข็งกร้าว กระทั่งสายตายังเจือความขบขัน ปลายกระบี่ไม้ในมือหนาวางลงที่ไหล่เล็กเบา ๆ เป็นการย้ำเตือนถึงท่วงท่าที่ถูกต้อง “ ไหล่สูงเกินไป ”

“ มันหนัก.. ” ต่อให้ร้อนหรือเหนื่อย ดรุณีน้อยก็ยังไม่ย่อท้อ ขณะบ่นพึมพัมถึงน้ำหนักของกระบี่ไม้ที่ไม่พอดีกับร่างกายก็ยังปรับท่าทางตามที่บิดากล่าว หนูน้อยที่เห็นมารดาพร่ำฝึกเช่นนี้มาหลายวันไม่ทันได้สังเกตเลยว่าการจะยกกระบี่ไม้ขึ้นแล้วฟันลงไปเรื่อย ๆ นับเป็นเรื่องกินแรงที่น่าขนลุกจริง ๆ

“ หากจำมิผิดแต่แรกผู้ที่ฝึกกระบี่เป็นหม่อมฉันนะเพคะฝ่าบาท ”

ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด มารดานางฟ้าที่หายไปเตรียมของอร่อยกลับมาแล้ว

หลิวหรูเยี่ยนไม่รักษากิริยาเลยสักนิด นางปล่อยกระบี่ไม้ลงกับพื้นพร้อมวิ่งร่าหมายจะเข้าไปหาพี่สาวคนสวย ไม่นึกเลยว่าก่อนที่จะขยับตัวได้เต็มก้าว ร่างทั้งร่างก็ลอยขึ้นผ่านการยกของชายตัวสูง การแตะต้องเชื้อพระวงศ์โดยพละการนับว่ามีโทษ ทว่าชายที่ทำอย่างนี้ได้โดยไม่ต้องหวั่นเรื่องใดย่อมมีอยู่เพียงผู้เดียว

“ ฝึกให้นาง ต่อไปนางจะได้ฝึกให้เจ้า ”

ที่จริงนี่เปนเพียงข้ออ้าง หลิวเช่อไม่ใช่ผู้แตกฉานในการจะสนทนาต่อเพศตรงข้ามโดยเฉพาะกับเด็ก และหรูเยี่ยนที่ทราบถึงเรื่องนี้ก็ฉลาดเกินวัยนัก ถึงได้เป็นฝ่ายพูดเยอะกว่าฟังและคอยถามเขาอยู่เสมอว่าหากอยากฝึกสิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องทำอย่างไร ในช่วงแรกนางยังพูดถึงสิ่งที่อยู่นอกขอบเขต เช่นการปักผ้า ชงชา.. ทว่าเมื่อเริ่มมาพูดถึงมารยาทการวางตัว รวมไปถึงวิชาการต่อสู้ หลิวเช่่อย่อมสามารถให้คำแนะนำได้ แนะนำได้ดีถึงขนาดกลายเป็นคาบเรียนปฏิบัติไปโดยไม่รู้ตัว

“ เอ้อเหนียง เสด็จพ่อดุมากเลย ! ” นางมารน้อยหลิวหรูเยี่ยนออกลายอีกครั้ง นางเบะริมฝีปากทำหน้าตางอแงดีดดิ้นอยู่ภายใต้การคีบ(?)ของบิดา ร้อนไปถึงคนเป็นแม่ที่รีบวางถาดขนมลงกับโต๊ะในศาลาและย่ำเท้าเดินเข้าไปช้อนกายบุตรสาวให้กลับมาอยู่ในอ้อมแขน

“ ฝ่าบาท.. นางยังเด็ก ”

นางเข้าข้างลูกมากกว่าเขา?

หลิวเช่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งในระหว่างที่หรี่ตามองดูแม่ลูก(ไม่แท้)ที่เหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกว่าที่เคยคาดเอาไว้ “ เหอะ ” หนึ่งลมหายใจของโอรสสวรรค์บ่งบอกถึงความไม่พอใจทำเอาเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างสั่นสะท้านและหายใจไม่ทั่วท้อง ทว่าสิ่งเลวร้ายที่พวกเขากังวลกลับไม่เกิดขึ้น “ ลูกรักมารดา สักวันเจ้าจะทำนางเสียคน ”

“ ตราบเท่าที่มีเสด็จพ่อของนางช่วยชี้แนะ อาเยี่ยนจะเสียคนได้อย่างไร ” ลู่ไป๋หรั่นกล่าวเสมือนว่าตนเองไม่ใช่มารดา วาจานี้สะกดใจคนฟังได้อย่างหมดจด ราวกับว่านางยินดีถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีที่ยืนในฐานะผู้สั่งสอนบุตรสาว .. แต่องค์หญิงหลิงหยวนไม่เคยห่างจากพระมารดา หากต้องการจะอบรมด้วยตนเองมิใช่ว่าต้องมาเยือนตงเฉินแห่งนี้หรอกหรือ?

ชั่วพริบตาบรรยากาศเงียบสะงัดน่าอึดอัดก็รายล้อมไปด้วยมวลผกา ‘ นอกจากงดงามแล้ว ทั่วใต้หล้านี้คงไม่สามารถหาใครที่กล่าวเกี้ยวสามีได้แนบเนียนเท่าพระชายา ’ มีก็แค่หรูเยี่ยนหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าพระเนตรของบิดาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย องค์หญิงแนบแก้มของตนเองลงกับไหล่ของพี่สาวที่มีศักดิ์เป็นมารดา “ ลูกเรียนไม่ไหวแล้ว.. แต่ลูกอยากเป็นวิชากระบี่.. เอ้อเหนียง ท่านฝึกกับเสด็จพ่อต่อให้ลูกชมได้หรือไม่ ? ”

ร้ายกาจยิ่งนัก ! ไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้ชมอยู่ก็จำต้องมอบคำชมให้กับการตัดสินใจที่แสนฉลาดในครั้งนี้ สมแล้วที่องค์หญิงน้อยเสด็จกลับมาเพื่อเป็นโซ่ทองคล้องใจฝ่าบาทและพระชายา เพราะคำขอของบุตรสาวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ให้กำเนิดที่สุด ดูได้จากการที่ทั้งสองสบตากันหลังองค์หญิงกล่าวจบก็รู้แล้ว !

“ เกียจคร้านอย่างนี้เมื่อไหร่จะโต ”

“ ลูกแค่เรี่ยวแรงน้อย ! ”

พ่อลูกเข้ากันได้ไม่นานก็กลับมาเถียงกันอีกแล้ว ไป๋หรั่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะย่อกายลงปล่อยให้สองเท้าของหรูเยี่ยนเหยียบพื้น “ เป็นหม่อมฉันเลี้ยงนางให้เคยชินกับความสุขสบาย ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว ” สาวงามในรอบหลายพันปีโค้งกายลงหวังให้ผู้เป็นสามีเมตตา แน่นอนว่าต่อมาสิ่งที่ได้ยินย่อมเป็นเสียงถอนหายใจของเขา

“ ประเดี๋ยวกระหม่อมไปนำกระบี่ไม้มาเพิ่—- ”

“ ไม่ต้อง ”

คำพูดของจางกงกงเลือนหายไปในอากาศ หลิวเช่อปฏิเสธไวกว่าที่เขาจะรู้ตัวเสียอีกว่าพูดอะไรออกมา ท่ามกลางสถานการณ์กระอักกระอ่วนยังคงเป็นองค์หญิงหลิงหยวนที่เป็นแม่สื่อให้กับทั้งสองคนได้ดีที่สุด เด็กน้อยก้มลงกลั้นเสียงหัวเราะ เดินอ้อมไปด้านหลังร่างสะคราญและยกสองมือขึ้นผลักแผ่นหลังของมารดาให้ก้าวไปหาบิดา สายตาของไป๋หรั่นและหลิวเช่อสบกันในทุกก้าว

จากที่ยืนห่างกันราว ๆ สองช่วงแขน บัดนี้นางยืนอยู่ต่อหน้าเขา .. โดยห่างแค่ครึ่งแขนเท่านั้น

ใครมันจะไปกล้ารบกวนบรรยากาศหวานฉ่ำของคู่สามีภรรยา? โดยไม่ต้องออกคำสั่งเหล่าข้ารับใช้พากันถอยหลังคนละหนึ่งก้าวและเก็บสายตาอย่างสงบเสงี่ยม ส่งผลให้พระชายาแซ่ลู่ที่มักสังเกตรอบตัวอยู่เสมอเริ่มประหม่าขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ ริมฝีปากสีกลีบเหมยกุ้ยขยับคล้ายจะพูด แต่ก็เงียบไป เป็นเช่นนั้นหลายครั้งกระทั่งมีน้ำเสียงนุ่มอันสงบนิ่งแต่ก็แฝงมาด้วยระลอกอารมณ์บางอย่างที่ยากจะทำความเข้าใจดังขึ้นมา “ ฝ่าบาท ”

“ สอนเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ของให้วุ่นวาย ”

โอรสสวรรค์กล่าวเสียงเรียบตรงข้ามกับเสียงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของภรรยา เขาพลิกด้ามกระบี่ไม้ในมือเป็นการบอกให้นางรับไปถือต่อ ด้านพระชายาที่เข้าใจความนัยอยู่เสมอค่อย ๆ ก้มลงเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือออกไปรับ จนสัมผัสได้ว่าบนด้ามจับยังมีไอร้อนกรุ่นอันเป็นหลักฐานการใช้งานของหลิวเช่อฝังลึกเอาไว้

แววตาของไป๋หรั่นอ่อนลงจากความไม่คุ้นชินเปลี่ยนมาเป็นการปรับตัว นางสูดหายใจเข้าช้อนตามองผู้เป็นสวามี และก็พบว่าใบหน้าของเขาสงบนิ่ง สายตาไม่เปิดเผยความในใจดูห่างเหินเหมือนทุกครั้ง แต่ความหนาของกำแพงใจที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขากลับลดลงหลายระดับ

“ แค่กระบี่ไม้ในมือเจิ้นก็พอ ”

มือของเขาสัมผัสกับแขนนางและค่อย ๆ ประคองยกให้ปลายกระบี่ชี้ตรง ช่วงเวลานี้แสนสั้นแต่กลับฝากไออุ่นไว้เนิ่นนาน แผ่นหลังของนงคราญแนบไปกับอกของเขา ส่วนตัวเขาก็รับรู้ได้ถึงขนาดร่างกายที่แตกต่างของกันและกัน ราวกับหลิวเช่อต้องการให้นางสนใจและซึมซับกับการลงมือทำไม่ใช่คำพูดที่เฉยเมยของเขา ทำให้การอบรมที่เงียบงันที่สุดนี้ดำเนินต่อไปอย่างไร้วี่แววว่าจะจบลง

หนึ่งชั่วยามผ่านไป ..

เสียงสายลม เสียงฝีก้าว และเสียงหอบหายใจ

คือสามคำบรรยายถึงเสียงที่ลอดออกมาจากบริเวณพื้นที่เล่นสนุกของพระชายาและองค์จักพรรดิ แม้แต่จางกงกงที่ยืนเคียงข้างพระราชธิดายังถึงกับตะลึง ไม่เคยมีสตรีใดยินยอมให้ฝ่าบาทอบรมด้วยตัวเองนานขนาดนี้มาก่อน ห่าวหมิงทอดสายตาดูการประมือที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ลอบหัวเราะเสียงเบา ดูเหมือนชายที่เข้มงวดที่สุดในแผ่นดินจะได้เจอลูกศิษย์ที่คู่ควรต่อการอบรมของเขาแล้ว..

“ ห่างเกินไป ก้าวเข้ามาอีก ”

จากการซ้อมท่าง่าย ๆ กลายมาเป็นการประลองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ

ในมือของไป๋หรั่นยังคงเป็นกระบี่ไม้ ส่วนในมือของโอรสสวรรค์กลับว่างเปล่าไร้อาวุธ เดิมทีเรื่องราวไม่ควรบานปลายถึงเพียงนี้แต่เมื่อเห็นความตั้งใจที่จะเรียนรู้ หลิวเช่อก็หลุดปากเสนอตัวจะช่วยจำลองสถานการณ์ต่อสู้จริงให้นางได้ทดลองหาหนทางประยุกต์ใช้สิ่งที่พึ่งเรียน จนกลายเป็นทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากันแทนที่จะเป็นแค่คนสอนคนเรียน ตามที่หญิงสาวหลายคนใฝ่ฝัน

กระบี่ไม้ยื่นเข้าแทงไหล่ของโอรสสวรรค์ ทว่าผู้รอรับการโจมตีกลับรับมือด้วยการถอยหลังหนึ่งก้าว พลิกกายหลบร่างที่มุ่งเข้ามา ราวกับนางคาดไว้แล้วว่าคงเป็นอย่างนี้ในวินาทีที่เห็นว่าเขาหลบ ไป๋หรั่นขยับข้อมอเปลี่ยนการแทงให้เป็นกวาด หลิวเช่อเลิกคิ้วในขณะที่พิจารณา นางรับมือได้ดีแต่ยังขาดประสบการณ์ ปลายกระบี่ลอยผ่านใบหน้าของหลิวเช่อไปโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องขยับ เปิดโอกาสให้โอรสสวรรค์คว้าข้อมือของชายาตนเอาไว้ มันไม่คล้ายภาพเพ้อฝันเกี่ยวกับการแนบชิดที่แสนหวาน

ร่างสะคราญของหญิงสาวที่ปักเข็มปักผ้ามาตลอดชีวิตยามนี้ถูกยอดนักรบรวบให้หันแผ่นหลังปะทะเข้ากับแผงอกเขา แรงกระแทกครั้งนี้มีไม่น้อยทำให้ใบหน้างามปรากฏแววโอดครวญ ผิดกับผู้บงการที่นอกจากจะไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วยังบังคับมือขาวให้ยกคมบี่ไม้พาดจ่อลำคอของตัวนางเอง “ อย่าปล่อยให้ผู้ใดนำเจ้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ” เสียงของเขามาพร้อมลมหายใจที่เฉียดผ่านใบหูทำเอาคนฟังรู้สึกสั่นเทิมไปทั้งร่าง

“ วันนี้พอเท่านี้ ”

เมื่อพูดจบโอรสสวรรค์ก็คลายมือจากการกอบกุมชายา ร่างเล็กของไป๋หรั่นพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพลิกกายหันกลับมามองเขา ลมหายใจของนางไม่สงบยากจะบอกได้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปหรือเขินอายกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัว ผู้ที่สบตากับนางยามนี้ได้ก็มีแต่เขา หลิวเช่อเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาคู่หวานของชายา สิ่งนั้นกระตุ้นให้ชายที่อยู่เหนือคนนับหมื่นกระตุกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ กราบทูลฝ่าบาท และพระชายา ในเมื่อฝึกซ้อมเสร็จแล้วก็รับประทานอาหารกลางวันเถิดเพคะ ” นางกำนัลหลี่ผู่เยว่เป็นคนออกปากเชิญทั้งสองให้วางมือจากการละเล่นชั่วคราวโดยมีจางกงกงคอยสนับสนุนข้าง ๆ

“ อืม ”

คนที่กลับเข้าไปในศาลาก่อนคือผู้เป็นสวามี หาใช่คนเป็นภรรยา ทว่าต่อให้หันกลับไปเร็วอย่างไร ก็ยังไม่ทันได้ลงมือทานเพราะเสียงขานถึงแขกผู้หนึ่งกลับดังกึกก้องขึ้นขัดจังหวะพักผ่อนของเขา “ ฝ่าบาท จิ่งฮวนโหว — ฮั่วชวี่ปิ้ง มีเรื่องด่วนจึงมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ตำหนักตงเฉินคล้ายจะเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใครจะมาก็มา ใครจะไปก็ไปมากขึ้นทุกที

ในเมื่อนายพลฮั่วมีเรื่องด่วน การอนุญาตให้เข้าพบก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควร แต่ไม่นึกเลยว่า ‘ ฮั่วชวี่ปิ้ง ’ ที่โด่งดังคนนั้นจะมาเยือนในชุดเกราะเต็มยศและประสานมือคุกเข่าลงรายงานด้วยสีหน้าจริงจังเบื้องหน้านางที่นั่งอยู่ข้างฝ่าบาทอีกที

“ กระหม่อม จิ่งฮวนโหว ฮั่วชวี่ปิ้ง นายพลประจำกองรบ กราบถวายบังคมฝ่าบาทและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ” ขุนพลท่านนี้อายุยังน้อย หน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดไม่คล้ายนักรบโดยทั่วไป อาจเป็นเพราะมีศักดิ์เป็นหลานของแม่ทัพใหญ่เว่ยชิงเลยทำให้เขาได้รับสายเลือดที่ประคับประคองใบหน้าคมคายหล่อร้ายมาโดยไม่รู้ตัว ไป๋หรั่นลอบพิจารณานายพลท่านนี้ด้วยสายตา ถึงนางจะไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญแต่ก็ยังพอเดาได้ว่าเขาอายุอ่อนกว่านางหลายปีทว่าท่าทางเข้มแข็งมุ่งมั่นกลับไปไกลเหนือกว่ามาก

“ มีเรื่องอะไร ”

“ คือ.. ” อาจจะเพราะยังเยาว์เมื่อได้เห็นครอบครัวอยู่พร้อมหน้าในบรรยากาศสงบสุข สิ่งสำคัญที่ต้องรายงานจึงพูดออกมาได้ลำบากนัก โดยเฉพาะตอนที่เขาเผอิญสบตากับเด็กน้อยที่ครองเนตรงดงามปานแก้วผลึกจากฟากฟ้า สีหน้าของชวี่ปิ้งเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน สัญญาณความเป็นเด็กดีของเขาแค่เผยออกมาก็พาลทำให้ผู้ที่โตกว่านึกเอ็นดู

“ นายพลฮั่ว ไม่ต้องเกรงใจ ท่านกล่าวมาเถอะ ” หญิงสาวที่ประคองพระราชธิดาน้อยให้นั่งอยู่บนตักยกยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ ไป๋หรั่นสัมผัสได้ถึงความเกรงใจในแววตาของจิ่งฮวนโหวทำให้นางประเมินเขาไว้ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่ในเมื่อมีเรื่องเร่งด่วน ความเกรงใจนี้คงไม่จำเป็นเสียทีเดียว

“ ด่านอี้เหมินส่งม้าเร็วแจ้งข่าวมาว่าเผ่าปีศาจเคลื่อนไหวผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ ”

ข่าวนี้นับเป็นสายฟ้าฟาดลงมากลางบรรยากาศสงบของเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี แววตาคมกริบของหลิวเช่อทอประกายเย็นเฉียบ “ ข้าคงต้องกลับแล้ว ” เรื่องที่เกี่ยวพันกับเผ่าปีศาจไม่อาจวางใจได้ โดยเฉพาะหลังจากที่พวกตนพึ่งมีโอกาสปะทะกับแม่ทัพปีศาจที่เขตทะเลทราย ไหนจะเรื่องที่พระชายาหยกลอบไปสืบมาให้เขาได้สำเร็จ

เมื่อสามีลุก คนเป็นภรรยาจะไม่ลุกก็คงแปลก ๆ ไป๋หรั่นวางหรูเยี่ยนให้ยืนกับพื้น ส่วนตัวนางก็ลุกขึ้นตามสามีที่เตรียมจะจากไปพร้อมกับถามเสียงเบา “ ต้องเดินทางไกลหรือไม่ ” ฝีเท้าของหลิวเช่อหยุดนิ่ง ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หันกลับมาทีละน้อย

“ ยังไม่แน่นอน ต้องดูสถานการณ์ ”

“ ถ้างั้นพวกท่านเอาเจ้านี้ไปด้วย ” องค์หญิงหลิงหยวนยิ้มน้อย ๆ คล้ายลอกพิมพ์มาจากพระมารดา สองแขนของนางเอื้อมไปบนโต๊ะ หยิบกล่องหลี่โต้วเกามากอดและเดินเตาะแตะไปหาจิ่งฮวนโหวท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้คน องค์หญิงใหญ่ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เบื้องหน้าชายผู้เป็นนักรบ “ พี่ชาย ท่านเอาอันนี้ไปนะ ”

“ ..กระหม่อม? ” ชวี่ปิ้งผงะไปในชั่วพริบตา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เปลือกตากำลังปิดลงและยกขึ้นติดต่อกันหลายครั้งอย่างรวดเร็ว น่าเสียดาย.. นายพลน้อยยังไม่ทันได้ตอบรับก็มีผู้ใหญ่ใจร้ายคิดปล้นมันไปเสียแล้ว โอรสสวรรค์กระแอมออกมาพร้อมกดสายตาลงที่บุตรสาวจนหรูเยี่ยนถึงกับทำหน้ามุ่ย

“ โอ๊ย รู้แล้ว ๆ อันนี้ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็แค่หลี่โต้วเกาที่ท่านแม่ทำ ท่านจะหวงอะไรนัก ”

ขวับ !

ทุกสายตาแทนที่จะจับจ้องไปทางชายที่แสดงอาการไม่อนุญาต ไม่รู้ทำไมคนเหล่านั้นถึงได้ตัดสินใจหันกลับมามองนางราวกับว่านางเป็นคนบังคับให้เขาแสดงอาการ! ไป๋หรั่นที่ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งแซวกึ่งชื่นชมได้แต่ลอบกำหมัดใต้ชายแขนเสื้อในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงก่ำจนได้ยินเสียงสามีหัวเราะหึในลำคอ

ฟ้าดินไม่ยุติธรรม ใต้หล้าร่วมใจกันแกล้งนาง!

“ อาเยี่ยน หลี่โต้วเกานั้นให้บิดาเจ้า ส่วนนายพลฮั่ว หากไม่รังเกียจปลาเปรี้ยวหวานจานนี้กับชาหวงซานเหมาเฟิงถือเสียว่าข้าให้ไว้เป็นของพบหน้า ” นงคราญหยกวางชาและอาหารลงบนกล่องที่แน่นหนาก่อนจะถือไปมอบให้นายพลอายุน้อยอย่างใจดี

“ กระหม่อมมิรังเกียจ ขอบพระคุณพระชายาที่เมตตา ”

ถึงจะรู้สึกแปลกไม่น้อยที่ได้รับความเมตตาจากสตรีฝ่ายในที่อายุต่างกันไม่มาก ทว่าฮั่วชวี่ปิ้งก็เก็บอาการของตัวเองได้เป็นอย่างดี สองมือยกขึ้นรับด้วยใบหน้ามุ่งมั่น ส่วนทางฝั่งคู่พ่อลูก? ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีท่าทางเง้างอดสักแค่ไหน

“ เพราะท่านเลย ลูกถึงไม่ได้เป็นคนให้พี่ชาย ! ”

“ แก่แดดเกินวัย ไม่งาม ”

“ เสด็จพ่อ !! ”



เสี่ยวหรูเยี่ยนแห่งตำหนักตงเฉินถึงจะมีสีหน้าไม่พอใจอย่างไร แต่สุดท้ายก็กอดส่งบิดาทำเป็นว่ารักนักหนาจนคนรู้ตื่นลึกหนาบางถึงกลับต้องกลั้นหัวเราะตัวแทบโยก “ เผ่าปีศาจ.. ” เด็กน้อยพึมพัมในขณะที่หวนนึกถึงอดีตในเมืองอู๋เว่ย เพราะเมืองนั้นอยู่ในเขตรอยเชื่อมต่อระหว่างทะเลทรายและต้าฮั่นทำให้มีหลายชาติพันธุ์รวมไปถึงหลายเผ่าพันธุ์ ฉะนั้นที่พวกเขาเรียกกันว่าเผ่าปีศาจนางก็เคยจะพอเห็นมาบ้าง

“ เผ่าปีศาจเป็นภัยร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือเพคะเอ้อเหนียง? ” แม่หนูน้อยเงยหน้าขึ้นถามมารดาที่อนุญาตให้นางปีนขึ้นมานั่งบนตัก

“ อื้ม อันตรายมาก ” ไป๋หรั่นพยักหน้ายืนยันคำตอบของนาง แม้นางจะไม่เคยมีความคิดเหมารวม ทว่าสิ่งที่ครองอำนาจเหนือมนุษย์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ยังนับว่าอันตราย และหากพูดถึงด่านอี้เหมิน ความกังวลใจของนางก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งก่อนแผนการของพวกนั้นมีการกล่าวถึงตวนมู่เหม่ยเหริน.. หรือว่านางควรส่งคนไว้คอยจับตามองจริง ๆ ?

“ … ” หรูเยี่ยนสังเกตได้ถึงความกังวลของพี่สาวที่รับเลี้ยงเธอ เด็กน้อยที่มักสดใสในทุกช่วงเวลาซึมซับความกังวลเหล่านั้นจนใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นสงบนิ่ง ดวงตาสีผลึกลึกลับหม่นเหลือบมองไปทางบริเวณที่เคยมีแขกคุกเข่ารายงานเรื่องสำคัญ ฉับพลันความคิดหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศเศร้าหมองนี้ได้ก็ปรากฏออกมา

“ เอ้อเหนียง พี่ชายคนเมื่อครู่นี้ใส่เกราะแล้วดูน่าเกรงขามมาก ” แก้มตุ้ยนุ้ยของเด็กหญิงวัยหกหนาวเบียดลงกับไหล่เนียน ๆ ของมารดาเพื่อเรียกความสนใจทั้งหมดของสาวงามให้กลับมาอยู่ที่ตัวนาง “ โตขึ้นข้าจะสามารถใส่ชุดเกราะเช่นพี่ชายผู้นั้นได้หรือไม่? ”

“ เจ้าอยากเป็นนายพลหญิง? ” เนตรหงส์ของไป๋หรั่นหลุบลงมองดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความปะเลาะเอาใจอย่างพิจารณาอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมยกสองมือขึ้นบีบแก้มเจ้าตัวน้อยพร้อมกล่าวขึ้นด้วยแววตาที่คลายความกังวลลงหลายระดับ

“ ก็คงต้องดูที่ความสามารถของเจ้าแล้ว องค์หญิงน้อยของแม่ ”



[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้
+5 สนทนาประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี
+15 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดม่วง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ขนมประเภทอาหารปรุง
+15 โบนัสความสัมพันธ์โดดเด่นมีเอกลักษณ์

[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
+5 ความสัมพันธ์ประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี
+20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง +10 ชาเกรดม่วง
+5 โบนัสความสัมพันธ์อาหารปรุง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ชาประเภทชงชา
+15 โบนัสความสัมพันธ์โดดเด่นมีเอกลักษณ์

[NPC-11] จางกงกง
+5 ความสัมพันธ์ประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี

การอัปเลเวลของผู้ติดตาม +10 บารมี ( 1 เวล หลี่ผู่เยว่ )
ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี
+ตบะฝึกฝน ฝึกซ้อมกระบี่ร่วมกับผู้มีปราณมังกร






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-10-12 17:49
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2024-10-12 17:49
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2024-10-12 17:48
โพสต์ 61193 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-10-12 17:37
โพสต์ 61,193 ไบต์และได้รับ +15 EXP +50 คุณธรรม +35 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-10-12 17:37

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +30 พลังปราณ +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 30 + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-10-21 17:29:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด



ผีผา
11 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
ช่วงค่ำ


สายลมพัดเอากลิ่นดอกตู้เจวียนมาพร้อมกับความหวานหอมของดอกโม่ลี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแค่กะพริบตากาลเวลาก็ผันผ่านมาจนถึงสารทฤดู ภายในเมืองหลวงไร้ราตรี ใต้รั้ววังหลวงทองอร่าม ณ ตำหนักชายขอบที่ห่างไกลยังมีหนึ่งชีวิตคอยเฝ้ามองดูใบไม้เปลี่ยนสีหรือไม่ก็ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงสู่พื้น

นานแล้วที่ตำหนักตงเฉินไม่ได้สงบอย่างนี้ .. ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งดลใจให้เช้าวันนี้ตำหนักเซวียนเต๋อส่งคนมาเชิญองค์หญิงน้อยไปค้างแรมกับพระพันปีบางทีอาจเป็นสัญญาณว่าการเติบโตของหลิวหรูเยี่ยนยังคงต้องอยู่ในสายตาของเชื้อพระวงศ์ที่แท้จริงหรือไม่ก็เป็นความเมตตาที่อยากให้สตรีที่ไม่เคยเลี้ยงบุตรมาก่อนได้พักผ่อน

“ พระชายา พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วเสด็จเข้าชานเรือนเถิดเพคะ ” แม้แต่น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของนางกำนัลคนสนิทก็ยังไม่อาจทำให้ชายาหยกขาวละสายตาจากฟากฟ้า ผู่เยว่หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ตอบกลับ ดังนั้นแทนที่จะดึงดันรบกวนต่อไปนางก็เลือกที่จะประคองเตากำยานไล่แมลงวางลงบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะถอยหลังกลับปล่อยให้ผู้ครองตำหนักได้มีเวลาส่วนตัว

สายตาของไป๋หรั่นสงบเงียบและรอคอย

ขอแค่ท้องนภาถึงเวลาแขวนจันทร์แทนตะวัน

หนึ่งวันที่แสนเงียบเหงานี้ก็จะกลับมาสมบูรณ์แบบ

เวลาผ่านไปได้ไม่นาน แต่แทนที่จะได้เห็นการสิ้นสุดของแสงตะวัน สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนงคราญกลับเป็นเสียงฝีเท้าหลายคู่ที่เคลื่อนมาเรื่อย ๆ แต่กลับมีแค่ผู้เดียวเท่านั้นที่เดินอย่างหนักแน่นมาหยุดที่ด้านหลังนาง เขาผู้นั้นมีกลิ่นอายลึกลับเฉพาะตัวที่เกิดจากชาและน้ำหมึก หลอมรวมมาเป็นเอกลักษณ์ของยอดบัณฑิต

“ กำลังรอคอยสิ่งใด ”

เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่าทว่าน่ารับฟัง ในชีวิตของนางคนที่เข้าออกฝ่ายในทั้งยังกล่าวอย่างไม่มีพิธีรีตองอย่างนี้ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

“ รอคอยว่าเมื่อใดหม่อมฉัน.. ”

ถ้อยคำของนางเลือนหายไปในหมู่ลมที่พัดใบไม้ให้ปลิวพริ้วแต่ผู้ไถ่ถามที่เผอิญได้ยินเสียงกระซิบกลับเบิกตากว้าง

“ … ”

น้ำหนักของเสื้อคลุมสีเข้มทาบลงกับร่างที่แสนจะบอบบาง ไป๋หรั่นแค่หันหน้าเล็กน้อยก็เห็นสามีนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างกาย หลิวเช่อยังคงสวมฉลองพระองค์สีเข้มปักลายมังกรทองโผบินกลางหมู่เมฆ แสงตะวันยามสนธยาสาดลงมากระทบกับเนินจมูกเสริมให้รูปลักษณ์ปานเทพบุตรหล่อร้ายกลายมาเป็นนุ่มนวลอย่างที่ยากจะพบเห็น เนตรหงส์ของพระชายาหยกเคลื่อนจากเสี้ยวองคาพยพบางส่วนเปลี่ยนมาเป็นเส้นผมดำขลับของเขาที่รวบขึ้นแค่ครึ่งศีรษะบ่งบอกให้ทราบว่าคงพึ่งกลับจากทำธุระที่ไม่เป็นทางการ

“ นึกไม่ถึงว่าการรับนางเอาไว้จะเป็นผลดีต่อเจ้ามากกว่า ”

ตั้งแต่มีหรูเยี่ยนบทสนทนาของพวกเขาก็มักวนเวียนอยู่กับเด็กหญิงตัวน้อยเสมอ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ทั้งที่ในตำหนักตงเฉินไร้ซึ่งเสียงก้องกังวานขององค์หญิงใหญ่แท้ ๆ รอยยิ้มเบาบางที่กลั่นออกมาจากความอบอุ่นทั้งหัวใจถูกแต้มเอาไว้บนใบหน้าของสาวงาม “ ก็แค่ความเห็นเพ้อฝันของสตรี ฝ่าบาทอย่าได้ใส่ใจนักเลยเพคะ ”

หลิวเช่อเคยชื่นชมในความไม่แยแสที่นางมี ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นส่วนที่เขาชิงชัง

หญิงแซ่ลู่ผู้นี้ในสายตาของเขาคือก้อนขาวกลม ๆ ชนิดหนึ่งที่ดูดซับเรื่องราวมากเกินไปและปกปิดรอยด่างพร้อยในจิตใจได้ดีเกินไป นางสามารถระบายความคับข้องใจของตัวเองได้ แต่แล้วในวินาทีถัดมากลับบอกว่าเป็นแค่ความเพ้อฝัน? ริมฝีปากของหลิวเช่อขยับยกเป็นรอยยิ้มแม้ว่ารอยยิ้มนี้จะมาจากความขมขื่นลึก ๆ ในใจก็ตาม

“ ในเมื่อเจ้ายังกล่าวเช่นนั้นได้ ”

น้ำเสียงของโอรสสวรรค์เรียบเย็นแต่จังหวะถ้อยคำกลับเร็วและรุนแรงกว่าปกติ

“ ดูแล้วก็คงไม่เป็นไรจริง ๆ ”

เขากำลังไม่พอใจ ไป๋หรั่นสัมผัสได้จากน้ำเสียงของเขา นงคราญหยกผ่อนลมหายใจของตัวนางออกผ่านริมฝีปากช้า ๆ นางครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่าว่าควรปฏิบัติต่อชายที่เป็นทั้งสามีและคนที่ตนเคารพอย่างไรในแบบที่ไม่ก้าวข้ามขอบเขตมากจนเกินไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่รัก.. ไป๋หรั่นคิดอย่างนั้น มันอาจเป็นความสนใจชั่วคราว ความสบายใจเพียงข้ามคืนหรือไม่ก็แค่สถานะทางการที่ทำให้พวกเขาไม่อาจมองข้ามกันและกัน

เขาคือจักรพรรดิ ผู้ครองต้าฮั่น รอบกายเต็มไปด้วยคนมากมายที่ผ่านมาและผ่านไป นางเองก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น

“ ฝ่าบาท คืนนี้ร่ำสุรากับหม่อมฉันสักไหดีหรือไม่เพคะ? ”

เสียงของนางเป็นเสมือนลมที่พัดเอาความอ่อนหวานมาห้อมล้อมอยู่รอบกายเขา เนตรมังกรของโอรสสวรรค์หรี่ลงในระหว่างที่พิจารณาความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยดื่มสุราด้วยกัน และก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของชายาเมื่อนางเมามาย แต่สาเหตุที่ทำให้เขาลังเลกลับเป็นเพราะไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของนาง หลังเผชิญหน้ากับความเงียบที่ดำเนินผ่านในที่สุดฝ่ายคนเป็นสามีก็ส่งเสียงรับเบา ๆ ในลำคอว่า ‘ อืม ’

เพราะเขาตกลงดังนั้นไป๋หรั่นจึงนำโอรสสวรรค์มายังอีกบริเวณที่อยู่ไม่ไกล

พวกเขายังอยู่ใกล้อาณาเขตขอบสระบัวภายในตำหนักตงเฉิน ไม่ได้ห่างจากมันไปไหนไกลเพราะล่าสุดนางพึ่งจะออกคำสั่งให้ปรับเปลี่ยนหนึ่งในสองศาลาริมสระบัวให้กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนในแบบพิเศษ ที่ลานหินรอบสระบัวมีโต๊ะและเก้าอี้ที่จับคู่มากับโต๊ะอีกหลายตัวเสมือนว่าเตรียมพร้อมรอรับแขกแทบทุกเวลาและเมื่อมองถัดไปด้านหลังก็จะพบศาลาที่แขวนม่านสีม่วงแสนประณีตเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อพรางสายตาไม่ให้เห็นว่าที่อยู่ด้านในนั้นคืออะไร

บนโต๊ะนอกศาลานั้นมีสำรับมากมายวางเรียงรายอย่างหรูหราพร้อมทั้งสุราอีกหลายไหให้ได้เลือกสรร แต่ทั้งหมดนั้นกลับไม่ดึงดูดสายตาของหลิวเช่อเลย สายพระเนตรของโอรสสวรรค์จับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังของร่างสะคราญที่กำลังก้มลงโอบผีผาขึ้นแนบอกและหันกลับมาสบตาเขา

“ อาหารมีแล้ว สุราก็มีแล้ว จะขาดดนตรีไปได้อย่างไร ” นางพูดขณะที่ใช้แขนข้างหนึ่งประคองผีผา ส่วนอีกข้างเอื้อมมารินนารีแดงลงในจอกของเขา ผู้เป็นสามีเฝ้ามองดูการกระทำที่เชื่องช้าแต่มั่นคงด้วยสายตายากจะอธิบาย ชายาของเขายังคงความพยายามในการดูแลเขาเป็นอย่างดีแม้ว่านางจะไม่ได้ถนัดในการทำอะไรอย่างนี้ก็ตาม

“ เป็นคนชวนข้า แล้วเหตุใดถึงไม่ดื่ม ”

คำถามนี้ของหลิวเช่อทำให้ไป๋หรั่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “ ให้ท่านดื่มก่อนมิได้แปลว่าข้าไม่ดื่ม พระองค์ทรงคิดมากเกินไปแล้ว ” นงคราญหยกทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หินตรงข้ามเขาสองมือนางขยับจัดองศาของผีผาก่อนจะเปลี่ยนเป็นการปรับเสียงของสาย โอรสสวรรค์ไม่เคยต้องนั่งมองดูพฤติกรรมพื้นฐานอย่างการบรรจงดีดสายผีผาทีละเส้นเพื่อปรับความตึงหรือหย่อนของสายให้ได้เสียงที่ถูกต้องมาก่อน ที่ผ่านมาเขาเคยชินกับการพบเห็นคนมากมายพร้อมแล้วที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดตรงหน้า

ฉะนั้นเมื่อได้เห็นการกระทำที่เรียบง่ายนี้.. ก็คล้ายว่าน้ำหนักภาระบนไหล่เขาจะเบาลงขึ้นทันตา ราวกับสลัดยศถาบรรดาศักดิ์ที่เคยมีทิ้งไว้ข้างหลังเป็นแค่สามีคนหนึ่งที่นั่งเฝ้ามองภรรยาเตรียมตัวเพื่อที่จะได้บรรเลงดนตรีให้เขาฟังความรู้สึกเป็นธรรมชาตินี้ค่อยกำลังแทรกซึมลงไปในความคิดและความทรงจำของเขาช้า ๆ ทว่าทรงพลังยิ่งนัก

“ พระองค์มีบทเพลงที่ทรงโปรดหรือไม่เพคะ ”

“ … ไม่มี ” ขายผู้ใช้ชีวิตส่วนมากไปกับความหยาบกระด้างอย่างเขามีหรือจะแบ่งพื้นที่ในใจให้กับการจดจำเพลงสักเพลง ถึงไม่ต้องคิดหลิวเช่อก็รู้คำตอบของตัวเองดี เขาขยับมือยกจอกสุราขึ้นจิบช้า ๆ ในระหว่างที่ดวงตายังคงทอดมองไปทางซูเฟยในแบบที่ถึงจะไม่ได้จับจ้องอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทางว่าจะละสายตา

เอาใจชายที่ไม่มีเพลงในใจ ด้วยเพลงที่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะชอบหรือไม่.. นับเป็นบททดสอบที่ยากไม่น้อย นัยน์ตาสีนิลของสาวหยกสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจแม้ว่าสุดท้ายที่ทำได้จะเป็นแค่การสูดหายใจเข้าและจรดนิ้วไปบนสายผีผา ดีดและสะบัดสร้างท่วงทำนองลื่้นหูราวกับว่าเป็นดนตรีจากฟากฟ้า

สาวงามในอาภรณ์สีอ่อนหรูหราโอบประคองผีผาแนบลำตัว จรดปลายนิ้วกรีดลงบนสายครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยใบหน้าสงบ นางไม่เหมือนนักดนตรีของกรมสัตคีตที่เอะอะเล่นหูเล่นตาหรือขยับหน้าสร้างท่าทาง แต่กลับสามารถตรึงสายตาของผู้คนเอาไว้ได้ทั้งที่ไม่ต้องพยายาม

หลายคนมักกล่าวว่าขอบเขตของดนตรี ไร้เพศ ไร้พรมแดน

ทว่าผีผากลับถูกจัดให้เป็นเครื่องดนตรีของสตรีมาช้านาน

แม้แต่คนอย่างหลิวเช่อที่ไม่เคยสนใจเรื่องละเอียดอ่อนว่าของชนิดไหนเหมาะกับใครเมื่ออยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ยังเริ่มคิดขึ้นมาแล้วว่าชายาของตนเหมาะกับผีผามากเสียยิ่งกว่าใครที่เขาเคยพบ.. ชั่วขณะที่บทเพลงดำเนินไป เสียงสูงสลับต่ำตามการกดสายช่วยเสริมบรรยากาศให้กับสนธยาที่กำลังเคลื่อนผ่าน โอรสสวรรค์พบว่าลำคอเขาร้อนผ่าวและแห้งผากถึงขนาดรู้สึกว่าการกลืนสุราลงคอเป็นเรื่องยากแม้ว่าจะกำลังกระหายก็ตาม เนตรมังกรเคลื่อนมองผืนฟ้าปล่อยให้รสชาติหวานปมขมแพร่กระจายทั่วโพรงปากจนแทบเจือจางถึงได้กลืนลง

ท้องนภาสีอ่อนค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยความมืด ผสานสีสันหนแล้วหนเล่าจนเปลี่ยนเป็นราตรีที่ประดับประดาด้วยแสงดาวและแสงโคม เสียงผีผายังคงลอยฟุ้งไปตามลมแต่ความเร็วของเพลงกลับตกลงมากจนผู้ฟังชำเลืองตาไปมองคนบรรเลง ปลายนิ้วที่เคยขาวกระจ่างราวต้นหอมตอนนี้แดงช้ำ หากยังฝืนดีดต่อไปอีกไม่นานคงได้แผลบาดลึกลงกับผิว

" พอแล้ว "

เปร๊ง !

เสียงเพี้ยนแปร่งหูของสายผีผาดังขึ้นจนคนฟังสำลัก ก็ไม่แปลกที่คนเล่นจะเผลอตัดเพลงจบเอาเสียดื้อ ๆ ในเมื่อคนห้ามก็ไม่ได้ใช่วิธีการพูดที่ประณีประนอมเท่าไหร่นัก ใบหน้าของสาวหยกเปี่ยมไปด้วยความสงสัย แววตาของไป๋หรั่นฉาบความประหลาดใจเอาไว้ในขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเขา

" มือเจ้า "

ดวงตาของไป๋หรั่นหลุบลงมองปลายนิ้ว ข้างที่ใช้เพื่อดีดยังไม่ได้มีอาการรุนแรงแต่ข้างที่ใช้กดสายเพื่อเปลี่ยนเสียงกลับแดงก่ำจนน่ากลัว " .. อ้อ นี่เป็นเรื่องปกติของคนที่เล่นเครื่องสาย ฝ่าบาทอย่ากังวลไปเลยเพคะ " ไป๋หรั่นทราบขอบเขตของตัวเอง ช้ำเท่านี้ยังไม่นับว่าอันตราย

" วางมันลง "

ทว่าครั้งนี้สามีของนางจะไม่เปิดรับคำแก้ตัวใด ๆ พระชายาหยกถอนหายใจช้า ๆ และปฏิบัติตามแต่โดยดี นางวางผีผาพิงกับโต๊ะหิน พักมือทั้งสองข้างที่ใช้ติดต่อกันมานานลงกับตัก ไป๋หรั่นไม่ดื้อรั้นหรือต่อต้านกับความเห็นของเขา นางก้มหน้าลงมองฝ่ามือของตัวเองเล็กน้อย

" ส่วนมาก คนมักมองข้ามความลำบากของผู้ให้ความรื่นเริงแก่พวกเขา .. ฝ่าบาทเป็นคนแรกเลยที่ห้ามปรามหม่อมฉันเกี่ยวกับการเล่นดนตรี "

นางกำลังจะบอกว่าเขาจุ้นจ้าน? แม้ว่าความระแวงจะทำให้เขาคิดไปในทางที่ร้ายเป็นอันดับแรก แต่เมื่อสบตากับผู้กล่าวความคิดเหล่านั้นก็เลือนหายไปโดยทันที ในเนตรหงส์คู่นั้นไม่ได้แฝงคำตำหนิหรือไม่พอใจทั้งหมดที่แสดงออกมาล้วนเป็นแค่ความละอาย " หม่อมฉันทำให้พระองค์ไม่สบายใจหรือเพคะ "

เสียงของนางเบามากจนหลิวเช่อคิดว่าตัวเองหูฝาด เขาขมวดคิ้วในระหว่างที่พูดแต่กลับไม่ได้ดูน่ากลัวในสายตาของนาง “ คิดเล็กคิดน้อยเกินไป ” คำพูดของเขาทำให้ไป๋หรั่นหัวเราะเสียงเบา ลู่หนี่ว์แห่งตำหนักตงเฉินก้มหน้าลง สองมือยื่นไปประคองไหสุรารินเติมให้เขาและตัวเอง

“ คืนนี้มีสุรา เมาเถิดหนา ห่วงไฉน ทุกข์โศก ในโลกไกล ไว้วันพรุ่ง ค่อยทุกข์กัน ”



ในคืนที่ร้อนจนอบอ้าว ภายในศาลามีเงาของสองชีวิตนอนอิงกันอย่างสงบ คนหนึ่งสวมชุดมังกรสีดำนอนราบบนฟูกหนา อีกคนเป็นสาวงามหมดจดในชุดสีอ่อนนอนตะแคงเข้าหาเขา ไม่แนบชิดแต่ก็ไม่ได้ห่างเหิน ราวกับระยะของพวกเขากำลังลดลง.. ลดลง และลดลง

เมื่อรุงสางมาเยือน ต่อให้จะปวดศีรษะเพราะความเมามาย สุดท้ายร่างกายก็ยังผลักให้ตื่นจากฝัน

“ เสวยน้ำแกงสร่างเมาก่อนเถิดเพคะ ” เสียงนุ่ม ๆ พร่ำบอกสิ่งที่เขาต้องทำอยู่ข้างกาย ด้วยความไม่เชื่อใจใคร คิ้วเข้มตรงราวกระบี่ขมวดเข้าหากัน มือหยาบกระด้างของชายที่ผ่านศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วนคว้าเข้าที่ข้อมือบาง ๆ ของสตรีผู้หนึ่งจนเผลอปล่อยชามน้ำแกงให้ตกลงแตกกระจายบนพื้น เสียงนี้ปลุกสัญชาตญาณการเฝ้าระวังของหลิวเช่อ เขาดึงร่างของคนปริศนาเข้ามาใกล้ และใช้มืออีกข้างคว้าบีบเข้าที่คอ กว่าจะสังเกตให้ชัดได้เต็มตาก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว

ไป๋หรั่นคร่อมอยู่บนตักแกร่งตามแรงดึงของเขา ทั้งสองใกล้พอจะรับรู้ถึงความใกล้ชิดในระดับที่ไม่ธรรมดา นางไอสองสามครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าการกำบริเวณรอบคอของนางรุนแรงพอจะทำให้การหายใจติดขัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรอยช้ำที่กำลังปรากฏขึ้นที่ข้อมือและลำคอ ดวงตาของหลิวเช่อเบิกกว้างเขาคลายมือทั้งสองเปลี่ยนมาประคองไหล่ของร่างบางที่ทรุดลงหอบหายใจบนตัวเขาอย่างรวดเร็ว

“ เจ้า .. ”

ไป๋หรั่นยกมือขึ้นแตะลำคอของตัวเองที่ยังร้อนผ่าว “ หม่อมฉัน.. ขออภัย ”

ไม่ มันไม่ใช่เรื่องที่นางจำเป็นต้องขออภัย โอรสสวรรค์ต่อให้หัวเสียแต่ก็ยังไม่สามารถคลายความถือตัวของตนเองออกไปได้ เขาเบือนหน้าไปอีกทาง “ ลุกออกไป ” สิ้นคำสั่งนี้ ไป๋หรั่นแทบจะเหาะออกจากตัวเขา นางเหมือนกระต่ายที่ดีดตัวออกไปอย่างรวดเร็วจนเกือบจะย้อมสถานการณ์ตึงเครียดให้กลายเป็นเรื่องตลก

“ ช่วยเจิ้นแต่งตัว ”

ความเย่อหยิ่งของเขามีมากเกินไป .. ท้ายที่สุดแล้วความผิดพลาดที่มาพร้อมความรู้สึกอันแสนประหลาดและค่ำคืนชวนให้ตระหนกก็เปลี่ยนมาเป็นแค่สถานการณ์ลำลองอย่างเคยที่มีนางคอยช่วยเหลือดูแลในยามเช้าตามที่เขาต้องการก่อนจะจากไป



[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้

+5 สนทนาประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง
+20 ความสัมพันธ์จับคู่ สุราเกรดแดง
+5 โบนัสความสัมพันธ์อาหารประเภทอาหารปรุง
+15 โบนัสความสัมพันธ์โดดเด่นมีเอกลักษณ์
+?? ความสัมพันธ์เล่นดนตรีให้ฝ่าบาทฟัง

ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี
ปรนนิบัติหวงตี้ยามค่ำคืน +20 บารมี
เล่นดนตรีให้หวงตี้ฟัง +?? บารมี

ปรนนิบัติทุกค่ำคืน = 1 ปรนนิบัติ
ปรนนิบัติ (เวลา 03.30 - 04.30 น.) เปลี่ยนชุด = 1 ปรนนิบัติ

เล่นจนนิ้วแดงนับเป็นการฝึกไปในตัวเพราะงั้น .แบมือขอค่าฝึกฝน






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 110 โพสต์ 2024-10-21 19:38
โพสต์ 38538 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-10-21 17:29
โพสต์ 38,538 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-10-21 17:29
โพสต์ 38,538 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-10-21 17:29
โพสต์ 38,538 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-10-21 17:29

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +20 ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +2 พลังปราณ +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 20 + 2 + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้