“ เจ้ายิงธนูเป็นด้วย? ”
ในที่สุดก็ถึงคราวของโอรสสวรรค์ที่หลบมองชายาและบุตรสาวมานาน หลิวเช่อปรายตามองตามทางที่สหายของเขาใช้เดินออกไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสายตาเฉียบคมกลับมาในยามที่เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งฝ่าฝูงชนมายืนอยู่ตรงหน้าเขา “ เสด็จพ่อ ! ” ทันทีที่รู้ว่าอยู่ในวังหลวงไม่สามารถเรียกแค่ท่านพ่อ หรือพ่อเปล่า ๆ ได้ เจ้าหนูนี่ก็คล้ายจะเรียกเขาเก่งขึ้นทันตา ราวกับว่า ‘ เสด็จพ่อ ’ คำนี้เป็นเพียงสมญาหลักลอย
“ หลิงหยวน ”
บัดนี้นางเป็นองค์หญิงแล้วจะทำอะไรก็ควรตระหนักให้มาก ถึงแม้ว่าการวิ่งโผเข้าหาบิดาจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้แต่ในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ก็ยังนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เด็กหญิงตัวน้อยรู้ความหมายในการเรียกของบิดาดี ทว่านางกลับเงยหน้าขึ้นใช้สองตากลมกระจ่างอย่างสดใสสบกับเนตรมังกรคู่นั้นพลางระบายยิ้มกว้าง “ เอ้อเหนียงกล่าวว่าเสด็จพ่อทรงงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลา หากว่าแวะมาที่ตำหนักเมื่อใดต้องให้การต้อนรับอย่างดี ”
หลายคนที่ล้อมรอบด้านต่างก็ไร้วาจา ในบรรยากาศเงียบสะงัดอันน่าอึดอัดนี้แทนที่จะถูกปล่อยผ่านกลับการเป็นว่ามือเล็กขององค์หญิงหลิงหยวนกลับจับเข้าที่ชายแขนเสื้อของบิดา และจูงร่างสูงให้เดินตามนางเข้าไปในศาลา “ เอ้อเหนียงท่านวางกระบี่เร็วเข้า ” ดูเหมือนการกระทำนี้จะเผลอไปจุดชนวนความเอ็นดูให้ฝังรากไว้ในใจใครหลาย ๆ คน ไม่เว้นแม้แต่หทัยหินผาที่แข็งแกร่งที่สุด ปกติแล้วเด็กอายุยังน้อยมักเอาแต่ใจโดยใช่เหตุ แต่เมื่อกล่าวถึงหลิงหยวนกงจู่นางกลับจัดแจงสิ่งที่ต้องการภายใต้ความเป็นห่วงว่าบิดาจะเหนื่อยล้ามาจากงานหลวง
“ เจ้าสอนนาง? ” ในระหว่างที่บุตรสาวกำลังวิ่งไปมาบอกว่าต้องการอะไรบางจากคนรับใช้ สตรีผู้ครองตำหนักก็ส่งกระบี่ไปวางไว้ในมือคนสนิทพร้อมก้าวขึ้นศาลา เปิดโอกาสให้สองสามีภรรยาได้สนทนาหลังจากไม่ได้เห็นหน้ากันมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
“ เป็นเรื่องพื้นฐาน มิสอนมิได้เพคะ ”
เมื่ออยู่ในวังหลวงนี้เกราะป้องกันหนึ่งชั้นคือความภักดี ตลอดหลายอาทิตย์ที่นางเฝ้าอบรมด้วยตนเอง เมื่อผนวกกับความพยายามที่จะก้าวหน้าเพื่อให้มีชีวิตรอดของเสี่ยวหรูเยี่ยนในที่สุดก็พอจะมีเค้าโครงของธิดาตระกูลใหญ่เผยออกมาบ้างสักที
“ รับนางกลับมาอย่างนี้ลำบากเจ้าไม่น้อย ”
หลิวเช่อลดระดับเสียงลงเมื่อคนที่ต้องการสนทนาด้วยขยับเข้ามาอยู่ในบริเวณเดียวกันมากขึ้น ทว่าสองตาหงส์ของสาวงามเมื่อได้ฟังคำนั้นกลับแฝงความประหลาดใจเอาไว้เล็กน้อย “ หน้าที่มารดาลำบากมากหรือน้อยย่อมไม่สำคัญ บุตรสาวเติบโตได้อย่างดีต่างหากที่สำคัญที่สุด ” ไป๋หรั่นคาดการอย่างเรียบง่ายว่าการเกริ่นเชิงเป็นห่วงครั้งนี้มาได้เพราะต้องการทดสอบ นางที่เป็นผู้นำเรื่องยุ่งยากนี้เข้ามาก็ได้แต่ตอบรับพลางเอื้อมเข้ารินชาให้อีกฝ่าย
“ เอ้อเหนียง เอ้อเหนียง ผู่เยว่เจียเจี่ยบอกว่าหลี่โต้วเกาหมดแล้ว.. ” ใบหน้าจิ้มลิ้มขององค์หญิงน้อยกลายเป็นเศร้าสลดขึ้นมาทันตา หลังจากเข้ามาใช้ชีวิตในวังหลวงมีหลายอย่างที่นางพึ่งได้พบและได้ลอง หนึ่งในนั้นคือหลี่โต้วเกาที่เหมือนจะถูกจริตมากเป็นพิเศษ
“ หม่อมฉันแจ้งแก่องค์หญิงแล้ว ทว่านาง.. ”
“ ไม่เป็นไร เจี่ยเอ๋อร์อยากทานหลี่โต้วเกาหรือ? ” องค์หญิงหลิงหยวนสับเท้ามุ่งเข้ามาเพื่อเอียงใบหน้าลงซบกับตักบางของมารดาเปล่งเสียงพึมพัมที่ฟังยากนัก หรูเยี่ยนนึกว่าคงไม่มีใครเข้าใจนาง แต่เปล่าเลย มุมปากของโอรสสวรรค์ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้รับฟังถ้อยคำน่าเอ็นดู หลิวเช่อยื่นมือวางลงบนศีรษะของพระราชธิดาพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ นางเพียงอยากให้เจิ้นได้ลองฝีมือเจ้า ”
นงคราญหยกนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ไป๋หรั่นดูไม่ออก.. นางไม่ทราบเลยว่าน้ำเสียงทุ้มเรียบช่วยชี้แนะรวมไปถึงแววตาเฉียบคมที่อ่อนลงยามเมื่อสบกันจะเป็นเพียงกลเม็ดแอบแฝงหรือความจริงใจ ทว่าหนึ่งสิ่งที่ชวนให้เบาความกังวลคงเป็นความเข้ากันได้ดีของสามีและบุตรสาว
“ เอ้อเหนียงทำหลี่โต้วเกาอร่อยมาก.. ” หรูเยี่ยนยังไม่ละทิ้งความพยายาม องค์หญิงน้อยงึมงัมอยู่กับตักบางชวนให้คนนึกเอ็นดู แน่นอนว่าสิ่งนี้กระทบกับความเป็นแม่ลึก ๆ ในตัวพระชายาด้วยเช่นกัน ไป๋หรั่นไม่ได้รีบร้อนรับปาก นางขยับสองมืออุ้มร่างเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวขึ้นพลางแนบปลายจมูกลงกับแก้มนุ่มจนเจ้าตัวหัวเราะคิกคัก
“ หากพระองค์มีเวลา.. ”
“ เชิญ ”
ในเมื่อนางเต็มใจจะเป็นมารดาที่ตามใจบตรสาว ปล่อยไว้อย่างนี้ก็คงไม่ได้เลวร้ายอะไร หลิวเช่อยกชาหลงจิ่งขึ้นจิบช้า ๆ ปล่อยให้สาวงามฝากฝังธิดาไว้กับเขาก่อนจะเดินหายไปอีกทางโดยมิได้คาดเลยว่าปล่อยเด็กไว้กับเขา ก็เท่ากับเปิดช่องให้เด็กน้อยได้เล่นซนในแบบที่ต่างออกไป
โชคดีที่ตำหนักตงเฉินมีพื้นที่ส่วนที่แบ่งออกเป็นห้องครัวส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว ไป๋หรั่นจึงไม่ต้องลำบากไปจนถึงห้องเครื่องหลวงเพื่อทำของว่างไม่กี่ชิ้น หลังจากใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุด สาวงามผู้สวมอาภรณ์หรูหราก็ก้าวเท้ากลับมาตามทางเดินพร้อมสองมือที่ประคองถาดของว่างอย่างมั่นคง ทีแรกนางยังนึกสงสัย.. ว่าเวลาว่างของพ่อลูกหากไร้นางจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเดินผ่านช่วงเลี้ยวที่บังสายตา สิ่งที่พบกลับเป็นสองพ่อลูกยืนประชันหน้ากันโดยมีกระบี่ไม้อยู่ในมือ
“ … ? ”
“ จับให้แน่นกว่านี้ ทุกครั้งที่ฟาดลงมาทั่วร่างกายต้องรู้สึกว่าได้ออกแรง ” โอรสสวรรค์เป็นคนจริงจังขึงขังมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้เขาไม่เป็นที่ชื่นชอบนักในฐานะผู้ฝึกสอนเนื่องจากเข้มงวดเกินไป ทว่าคงจะไม่ใช่กับบุตรสาว ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ดุดันแต่กลับไม่แข็งกร้าว กระทั่งสายตายังเจือความขบขัน ปลายกระบี่ไม้ในมือหนาวางลงที่ไหล่เล็กเบา ๆ เป็นการย้ำเตือนถึงท่วงท่าที่ถูกต้อง “ ไหล่สูงเกินไป ”
“ มันหนัก.. ” ต่อให้ร้อนหรือเหนื่อย ดรุณีน้อยก็ยังไม่ย่อท้อ ขณะบ่นพึมพัมถึงน้ำหนักของกระบี่ไม้ที่ไม่พอดีกับร่างกายก็ยังปรับท่าทางตามที่บิดากล่าว หนูน้อยที่เห็นมารดาพร่ำฝึกเช่นนี้มาหลายวันไม่ทันได้สังเกตเลยว่าการจะยกกระบี่ไม้ขึ้นแล้วฟันลงไปเรื่อย ๆ นับเป็นเรื่องกินแรงที่น่าขนลุกจริง ๆ
“ หากจำมิผิดแต่แรกผู้ที่ฝึกกระบี่เป็นหม่อมฉันนะเพคะฝ่าบาท ”
ราวกับเสียงสวรรค์มาโปรด มารดานางฟ้าที่หายไปเตรียมของอร่อยกลับมาแล้ว
หลิวหรูเยี่ยนไม่รักษากิริยาเลยสักนิด นางปล่อยกระบี่ไม้ลงกับพื้นพร้อมวิ่งร่าหมายจะเข้าไปหาพี่สาวคนสวย ไม่นึกเลยว่าก่อนที่จะขยับตัวได้เต็มก้าว ร่างทั้งร่างก็ลอยขึ้นผ่านการยกของชายตัวสูง การแตะต้องเชื้อพระวงศ์โดยพละการนับว่ามีโทษ ทว่าชายที่ทำอย่างนี้ได้โดยไม่ต้องหวั่นเรื่องใดย่อมมีอยู่เพียงผู้เดียว
“ ฝึกให้นาง ต่อไปนางจะได้ฝึกให้เจ้า ”
ที่จริงนี่เปนเพียงข้ออ้าง หลิวเช่อไม่ใช่ผู้แตกฉานในการจะสนทนาต่อเพศตรงข้ามโดยเฉพาะกับเด็ก และหรูเยี่ยนที่ทราบถึงเรื่องนี้ก็ฉลาดเกินวัยนัก ถึงได้เป็นฝ่ายพูดเยอะกว่าฟังและคอยถามเขาอยู่เสมอว่าหากอยากฝึกสิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องทำอย่างไร ในช่วงแรกนางยังพูดถึงสิ่งที่อยู่นอกขอบเขต เช่นการปักผ้า ชงชา.. ทว่าเมื่อเริ่มมาพูดถึงมารยาทการวางตัว รวมไปถึงวิชาการต่อสู้ หลิวเช่่อย่อมสามารถให้คำแนะนำได้ แนะนำได้ดีถึงขนาดกลายเป็นคาบเรียนปฏิบัติไปโดยไม่รู้ตัว
“ เอ้อเหนียง เสด็จพ่อดุมากเลย ! ” นางมารน้อยหลิวหรูเยี่ยนออกลายอีกครั้ง นางเบะริมฝีปากทำหน้าตางอแงดีดดิ้นอยู่ภายใต้การคีบ(?)ของบิดา ร้อนไปถึงคนเป็นแม่ที่รีบวางถาดขนมลงกับโต๊ะในศาลาและย่ำเท้าเดินเข้าไปช้อนกายบุตรสาวให้กลับมาอยู่ในอ้อมแขน
“ ฝ่าบาท.. นางยังเด็ก ”
นางเข้าข้างลูกมากกว่าเขา?
หลิวเช่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งในระหว่างที่หรี่ตามองดูแม่ลูก(ไม่แท้)ที่เหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกว่าที่เคยคาดเอาไว้ “ เหอะ ” หนึ่งลมหายใจของโอรสสวรรค์บ่งบอกถึงความไม่พอใจทำเอาเหล่าข้าราชบริพารรอบข้างสั่นสะท้านและหายใจไม่ทั่วท้อง ทว่าสิ่งเลวร้ายที่พวกเขากังวลกลับไม่เกิดขึ้น “ ลูกรักมารดา สักวันเจ้าจะทำนางเสียคน ”
“ ตราบเท่าที่มีเสด็จพ่อของนางช่วยชี้แนะ อาเยี่ยนจะเสียคนได้อย่างไร ” ลู่ไป๋หรั่นกล่าวเสมือนว่าตนเองไม่ใช่มารดา วาจานี้สะกดใจคนฟังได้อย่างหมดจด ราวกับว่านางยินดีถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีที่ยืนในฐานะผู้สั่งสอนบุตรสาว .. แต่องค์หญิงหลิงหยวนไม่เคยห่างจากพระมารดา หากต้องการจะอบรมด้วยตนเองมิใช่ว่าต้องมาเยือนตงเฉินแห่งนี้หรอกหรือ?
ชั่วพริบตาบรรยากาศเงียบสะงัดน่าอึดอัดก็รายล้อมไปด้วยมวลผกา ‘ นอกจากงดงามแล้ว ทั่วใต้หล้านี้คงไม่สามารถหาใครที่กล่าวเกี้ยวสามีได้แนบเนียนเท่าพระชายา ’ มีก็แค่หรูเยี่ยนหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าพระเนตรของบิดาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย องค์หญิงแนบแก้มของตนเองลงกับไหล่ของพี่สาวที่มีศักดิ์เป็นมารดา “ ลูกเรียนไม่ไหวแล้ว.. แต่ลูกอยากเป็นวิชากระบี่.. เอ้อเหนียง ท่านฝึกกับเสด็จพ่อต่อให้ลูกชมได้หรือไม่ ? ”
ร้ายกาจยิ่งนัก ! ไม่ว่าผู้ใดเมื่อได้ชมอยู่ก็จำต้องมอบคำชมให้กับการตัดสินใจที่แสนฉลาดในครั้งนี้ สมแล้วที่องค์หญิงน้อยเสด็จกลับมาเพื่อเป็นโซ่ทองคล้องใจฝ่าบาทและพระชายา เพราะคำขอของบุตรสาวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ให้กำเนิดที่สุด ดูได้จากการที่ทั้งสองสบตากันหลังองค์หญิงกล่าวจบก็รู้แล้ว !
“ เกียจคร้านอย่างนี้เมื่อไหร่จะโต ”
“ ลูกแค่เรี่ยวแรงน้อย ! ”
พ่อลูกเข้ากันได้ไม่นานก็กลับมาเถียงกันอีกแล้ว ไป๋หรั่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะย่อกายลงปล่อยให้สองเท้าของหรูเยี่ยนเหยียบพื้น “ เป็นหม่อมฉันเลี้ยงนางให้เคยชินกับความสุขสบาย ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว ” สาวงามในรอบหลายพันปีโค้งกายลงหวังให้ผู้เป็นสามีเมตตา แน่นอนว่าต่อมาสิ่งที่ได้ยินย่อมเป็นเสียงถอนหายใจของเขา
“ ประเดี๋ยวกระหม่อมไปนำกระบี่ไม้มาเพิ่—- ”
“ ไม่ต้อง ”
คำพูดของจางกงกงเลือนหายไปในอากาศ หลิวเช่อปฏิเสธไวกว่าที่เขาจะรู้ตัวเสียอีกว่าพูดอะไรออกมา ท่ามกลางสถานการณ์กระอักกระอ่วนยังคงเป็นองค์หญิงหลิงหยวนที่เป็นแม่สื่อให้กับทั้งสองคนได้ดีที่สุด เด็กน้อยก้มลงกลั้นเสียงหัวเราะ เดินอ้อมไปด้านหลังร่างสะคราญและยกสองมือขึ้นผลักแผ่นหลังของมารดาให้ก้าวไปหาบิดา สายตาของไป๋หรั่นและหลิวเช่อสบกันในทุกก้าว
จากที่ยืนห่างกันราว ๆ สองช่วงแขน บัดนี้นางยืนอยู่ต่อหน้าเขา .. โดยห่างแค่ครึ่งแขนเท่านั้น
ใครมันจะไปกล้ารบกวนบรรยากาศหวานฉ่ำของคู่สามีภรรยา? โดยไม่ต้องออกคำสั่งเหล่าข้ารับใช้พากันถอยหลังคนละหนึ่งก้าวและเก็บสายตาอย่างสงบเสงี่ยม ส่งผลให้พระชายาแซ่ลู่ที่มักสังเกตรอบตัวอยู่เสมอเริ่มประหม่าขึ้นมาบ้างแล้วจริง ๆ ริมฝีปากสีกลีบเหมยกุ้ยขยับคล้ายจะพูด แต่ก็เงียบไป เป็นเช่นนั้นหลายครั้งกระทั่งมีน้ำเสียงนุ่มอันสงบนิ่งแต่ก็แฝงมาด้วยระลอกอารมณ์บางอย่างที่ยากจะทำความเข้าใจดังขึ้นมา “ ฝ่าบาท ”
“ สอนเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ของให้วุ่นวาย ”
โอรสสวรรค์กล่าวเสียงเรียบตรงข้ามกับเสียงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของภรรยา เขาพลิกด้ามกระบี่ไม้ในมือเป็นการบอกให้นางรับไปถือต่อ ด้านพระชายาที่เข้าใจความนัยอยู่เสมอค่อย ๆ ก้มลงเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือออกไปรับ จนสัมผัสได้ว่าบนด้ามจับยังมีไอร้อนกรุ่นอันเป็นหลักฐานการใช้งานของหลิวเช่อฝังลึกเอาไว้
แววตาของไป๋หรั่นอ่อนลงจากความไม่คุ้นชินเปลี่ยนมาเป็นการปรับตัว นางสูดหายใจเข้าช้อนตามองผู้เป็นสวามี และก็พบว่าใบหน้าของเขาสงบนิ่ง สายตาไม่เปิดเผยความในใจดูห่างเหินเหมือนทุกครั้ง แต่ความหนาของกำแพงใจที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขากลับลดลงหลายระดับ
“ แค่กระบี่ไม้ในมือเจิ้นก็พอ ”
มือของเขาสัมผัสกับแขนนางและค่อย ๆ ประคองยกให้ปลายกระบี่ชี้ตรง ช่วงเวลานี้แสนสั้นแต่กลับฝากไออุ่นไว้เนิ่นนาน แผ่นหลังของนงคราญแนบไปกับอกของเขา ส่วนตัวเขาก็รับรู้ได้ถึงขนาดร่างกายที่แตกต่างของกันและกัน ราวกับหลิวเช่อต้องการให้นางสนใจและซึมซับกับการลงมือทำไม่ใช่คำพูดที่เฉยเมยของเขา ทำให้การอบรมที่เงียบงันที่สุดนี้ดำเนินต่อไปอย่างไร้วี่แววว่าจะจบลง
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ..
เสียงสายลม เสียงฝีก้าว และเสียงหอบหายใจ
คือสามคำบรรยายถึงเสียงที่ลอดออกมาจากบริเวณพื้นที่เล่นสนุกของพระชายาและองค์จักพรรดิ แม้แต่จางกงกงที่ยืนเคียงข้างพระราชธิดายังถึงกับตะลึง ไม่เคยมีสตรีใดยินยอมให้ฝ่าบาทอบรมด้วยตัวเองนานขนาดนี้มาก่อน ห่าวหมิงทอดสายตาดูการประมือที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ลอบหัวเราะเสียงเบา ดูเหมือนชายที่เข้มงวดที่สุดในแผ่นดินจะได้เจอลูกศิษย์ที่คู่ควรต่อการอบรมของเขาแล้ว..
“ ห่างเกินไป ก้าวเข้ามาอีก ”
จากการซ้อมท่าง่าย ๆ กลายมาเป็นการประลองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
ในมือของไป๋หรั่นยังคงเป็นกระบี่ไม้ ส่วนในมือของโอรสสวรรค์กลับว่างเปล่าไร้อาวุธ เดิมทีเรื่องราวไม่ควรบานปลายถึงเพียงนี้แต่เมื่อเห็นความตั้งใจที่จะเรียนรู้ หลิวเช่อก็หลุดปากเสนอตัวจะช่วยจำลองสถานการณ์ต่อสู้จริงให้นางได้ทดลองหาหนทางประยุกต์ใช้สิ่งที่พึ่งเรียน จนกลายเป็นทั้งสองต้องมาเผชิญหน้ากันแทนที่จะเป็นแค่คนสอนคนเรียน ตามที่หญิงสาวหลายคนใฝ่ฝัน
กระบี่ไม้ยื่นเข้าแทงไหล่ของโอรสสวรรค์ ทว่าผู้รอรับการโจมตีกลับรับมือด้วยการถอยหลังหนึ่งก้าว พลิกกายหลบร่างที่มุ่งเข้ามา ราวกับนางคาดไว้แล้วว่าคงเป็นอย่างนี้ในวินาทีที่เห็นว่าเขาหลบ ไป๋หรั่นขยับข้อมอเปลี่ยนการแทงให้เป็นกวาด หลิวเช่อเลิกคิ้วในขณะที่พิจารณา นางรับมือได้ดีแต่ยังขาดประสบการณ์ ปลายกระบี่ลอยผ่านใบหน้าของหลิวเช่อไปโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องขยับ เปิดโอกาสให้โอรสสวรรค์คว้าข้อมือของชายาตนเอาไว้ มันไม่คล้ายภาพเพ้อฝันเกี่ยวกับการแนบชิดที่แสนหวาน
ร่างสะคราญของหญิงสาวที่ปักเข็มปักผ้ามาตลอดชีวิตยามนี้ถูกยอดนักรบรวบให้หันแผ่นหลังปะทะเข้ากับแผงอกเขา แรงกระแทกครั้งนี้มีไม่น้อยทำให้ใบหน้างามปรากฏแววโอดครวญ ผิดกับผู้บงการที่นอกจากจะไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วยังบังคับมือขาวให้ยกคมบี่ไม้พาดจ่อลำคอของตัวนางเอง “ อย่าปล่อยให้ผู้ใดนำเจ้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ” เสียงของเขามาพร้อมลมหายใจที่เฉียดผ่านใบหูทำเอาคนฟังรู้สึกสั่นเทิมไปทั้งร่าง
“ วันนี้พอเท่านี้ ”
เมื่อพูดจบโอรสสวรรค์ก็คลายมือจากการกอบกุมชายา ร่างเล็กของไป๋หรั่นพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะพลิกกายหันกลับมามองเขา ลมหายใจของนางไม่สงบยากจะบอกได้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปหรือเขินอายกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัว ผู้ที่สบตากับนางยามนี้ได้ก็มีแต่เขา หลิวเช่อเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาคู่หวานของชายา สิ่งนั้นกระตุ้นให้ชายที่อยู่เหนือคนนับหมื่นกระตุกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ กราบทูลฝ่าบาท และพระชายา ในเมื่อฝึกซ้อมเสร็จแล้วก็รับประทานอาหารกลางวันเถิดเพคะ ” นางกำนัลหลี่ผู่เยว่เป็นคนออกปากเชิญทั้งสองให้วางมือจากการละเล่นชั่วคราวโดยมีจางกงกงคอยสนับสนุนข้าง ๆ
“ อืม ”
คนที่กลับเข้าไปในศาลาก่อนคือผู้เป็นสวามี หาใช่คนเป็นภรรยา ทว่าต่อให้หันกลับไปเร็วอย่างไร ก็ยังไม่ทันได้ลงมือทานเพราะเสียงขานถึงแขกผู้หนึ่งกลับดังกึกก้องขึ้นขัดจังหวะพักผ่อนของเขา “ ฝ่าบาท จิ่งฮวนโหว — ฮั่วชวี่ปิ้ง มีเรื่องด่วนจึงมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ตำหนักตงเฉินคล้ายจะเป็นพื้นที่สาธารณะที่ใครจะมาก็มา ใครจะไปก็ไปมากขึ้นทุกที
ในเมื่อนายพลฮั่วมีเรื่องด่วน การอนุญาตให้เข้าพบก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมควร แต่ไม่นึกเลยว่า ‘ ฮั่วชวี่ปิ้ง ’ ที่โด่งดังคนนั้นจะมาเยือนในชุดเกราะเต็มยศและประสานมือคุกเข่าลงรายงานด้วยสีหน้าจริงจังเบื้องหน้านางที่นั่งอยู่ข้างฝ่าบาทอีกที
“ กระหม่อม จิ่งฮวนโหว ฮั่วชวี่ปิ้ง นายพลประจำกองรบ กราบถวายบังคมฝ่าบาทและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ” ขุนพลท่านนี้อายุยังน้อย หน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดไม่คล้ายนักรบโดยทั่วไป อาจเป็นเพราะมีศักดิ์เป็นหลานของแม่ทัพใหญ่เว่ยชิงเลยทำให้เขาได้รับสายเลือดที่ประคับประคองใบหน้าคมคายหล่อร้ายมาโดยไม่รู้ตัว ไป๋หรั่นลอบพิจารณานายพลท่านนี้ด้วยสายตา ถึงนางจะไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญแต่ก็ยังพอเดาได้ว่าเขาอายุอ่อนกว่านางหลายปีทว่าท่าทางเข้มแข็งมุ่งมั่นกลับไปไกลเหนือกว่ามาก
“ มีเรื่องอะไร ”
“ คือ.. ” อาจจะเพราะยังเยาว์เมื่อได้เห็นครอบครัวอยู่พร้อมหน้าในบรรยากาศสงบสุข สิ่งสำคัญที่ต้องรายงานจึงพูดออกมาได้ลำบากนัก โดยเฉพาะตอนที่เขาเผอิญสบตากับเด็กน้อยที่ครองเนตรงดงามปานแก้วผลึกจากฟากฟ้า สีหน้าของชวี่ปิ้งเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน สัญญาณความเป็นเด็กดีของเขาแค่เผยออกมาก็พาลทำให้ผู้ที่โตกว่านึกเอ็นดู
“ นายพลฮั่ว ไม่ต้องเกรงใจ ท่านกล่าวมาเถอะ ” หญิงสาวที่ประคองพระราชธิดาน้อยให้นั่งอยู่บนตักยกยิ้มให้เขาอย่างสุภาพ ไป๋หรั่นสัมผัสได้ถึงความเกรงใจในแววตาของจิ่งฮวนโหวทำให้นางประเมินเขาไว้ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่ในเมื่อมีเรื่องเร่งด่วน ความเกรงใจนี้คงไม่จำเป็นเสียทีเดียว
“ ด่านอี้เหมินส่งม้าเร็วแจ้งข่าวมาว่าเผ่าปีศาจเคลื่อนไหวผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ ”
ข่าวนี้นับเป็นสายฟ้าฟาดลงมากลางบรรยากาศสงบของเมืองหลวงได้เป็นอย่างดี แววตาคมกริบของหลิวเช่อทอประกายเย็นเฉียบ “ ข้าคงต้องกลับแล้ว ” เรื่องที่เกี่ยวพันกับเผ่าปีศาจไม่อาจวางใจได้ โดยเฉพาะหลังจากที่พวกตนพึ่งมีโอกาสปะทะกับแม่ทัพปีศาจที่เขตทะเลทราย ไหนจะเรื่องที่พระชายาหยกลอบไปสืบมาให้เขาได้สำเร็จ
เมื่อสามีลุก คนเป็นภรรยาจะไม่ลุกก็คงแปลก ๆ ไป๋หรั่นวางหรูเยี่ยนให้ยืนกับพื้น ส่วนตัวนางก็ลุกขึ้นตามสามีที่เตรียมจะจากไปพร้อมกับถามเสียงเบา “ ต้องเดินทางไกลหรือไม่ ” ฝีเท้าของหลิวเช่อหยุดนิ่ง ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หันกลับมาทีละน้อย
“ ยังไม่แน่นอน ต้องดูสถานการณ์ ”
“ ถ้างั้นพวกท่านเอาเจ้านี้ไปด้วย ” องค์หญิงหลิงหยวนยิ้มน้อย ๆ คล้ายลอกพิมพ์มาจากพระมารดา สองแขนของนางเอื้อมไปบนโต๊ะ หยิบกล่องหลี่โต้วเกามากอดและเดินเตาะแตะไปหาจิ่งฮวนโหวท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้คน องค์หญิงใหญ่ย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เบื้องหน้าชายผู้เป็นนักรบ “ พี่ชาย ท่านเอาอันนี้ไปนะ ”
“ ..กระหม่อม? ” ชวี่ปิ้งผงะไปในชั่วพริบตา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เปลือกตากำลังปิดลงและยกขึ้นติดต่อกันหลายครั้งอย่างรวดเร็ว น่าเสียดาย.. นายพลน้อยยังไม่ทันได้ตอบรับก็มีผู้ใหญ่ใจร้ายคิดปล้นมันไปเสียแล้ว โอรสสวรรค์กระแอมออกมาพร้อมกดสายตาลงที่บุตรสาวจนหรูเยี่ยนถึงกับทำหน้ามุ่ย
“ โอ๊ย รู้แล้ว ๆ อันนี้ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็แค่หลี่โต้วเกาที่ท่านแม่ทำ ท่านจะหวงอะไรนัก ”
ขวับ !
ทุกสายตาแทนที่จะจับจ้องไปทางชายที่แสดงอาการไม่อนุญาต ไม่รู้ทำไมคนเหล่านั้นถึงได้ตัดสินใจหันกลับมามองนางราวกับว่านางเป็นคนบังคับให้เขาแสดงอาการ! ไป๋หรั่นที่ไม่เคยมีประสบการณ์ถูกจ้องมองด้วยสายตากึ่งแซวกึ่งชื่นชมได้แต่ลอบกำหมัดใต้ชายแขนเสื้อในขณะที่ใบหน้าเริ่มแดงก่ำจนได้ยินเสียงสามีหัวเราะหึในลำคอ
ฟ้าดินไม่ยุติธรรม ใต้หล้าร่วมใจกันแกล้งนาง!
“ อาเยี่ยน หลี่โต้วเกานั้นให้บิดาเจ้า ส่วนนายพลฮั่ว หากไม่รังเกียจปลาเปรี้ยวหวานจานนี้กับชาหวงซานเหมาเฟิงถือเสียว่าข้าให้ไว้เป็นของพบหน้า ” นงคราญหยกวางชาและอาหารลงบนกล่องที่แน่นหนาก่อนจะถือไปมอบให้นายพลอายุน้อยอย่างใจดี
“ กระหม่อมมิรังเกียจ ขอบพระคุณพระชายาที่เมตตา ”
ถึงจะรู้สึกแปลกไม่น้อยที่ได้รับความเมตตาจากสตรีฝ่ายในที่อายุต่างกันไม่มาก ทว่าฮั่วชวี่ปิ้งก็เก็บอาการของตัวเองได้เป็นอย่างดี สองมือยกขึ้นรับด้วยใบหน้ามุ่งมั่น ส่วนทางฝั่งคู่พ่อลูก? ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีท่าทางเง้างอดสักแค่ไหน
“ เพราะท่านเลย ลูกถึงไม่ได้เป็นคนให้พี่ชาย ! ”
“ แก่แดดเกินวัย ไม่งาม ”
“ เสด็จพ่อ !! ”
…
เสี่ยวหรูเยี่ยนแห่งตำหนักตงเฉินถึงจะมีสีหน้าไม่พอใจอย่างไร แต่สุดท้ายก็กอดส่งบิดาทำเป็นว่ารักนักหนาจนคนรู้ตื่นลึกหนาบางถึงกลับต้องกลั้นหัวเราะตัวแทบโยก “ เผ่าปีศาจ.. ” เด็กน้อยพึมพัมในขณะที่หวนนึกถึงอดีตในเมืองอู๋เว่ย เพราะเมืองนั้นอยู่ในเขตรอยเชื่อมต่อระหว่างทะเลทรายและต้าฮั่นทำให้มีหลายชาติพันธุ์รวมไปถึงหลายเผ่าพันธุ์ ฉะนั้นที่พวกเขาเรียกกันว่าเผ่าปีศาจนางก็เคยจะพอเห็นมาบ้าง
“ เผ่าปีศาจเป็นภัยร้ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือเพคะเอ้อเหนียง? ” แม่หนูน้อยเงยหน้าขึ้นถามมารดาที่อนุญาตให้นางปีนขึ้นมานั่งบนตัก
“ อื้ม อันตรายมาก ” ไป๋หรั่นพยักหน้ายืนยันคำตอบของนาง แม้นางจะไม่เคยมีความคิดเหมารวม ทว่าสิ่งที่ครองอำนาจเหนือมนุษย์ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ยังนับว่าอันตราย และหากพูดถึงด่านอี้เหมิน ความกังวลใจของนางก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งก่อนแผนการของพวกนั้นมีการกล่าวถึงตวนมู่เหม่ยเหริน.. หรือว่านางควรส่งคนไว้คอยจับตามองจริง ๆ ?
“ … ” หรูเยี่ยนสังเกตได้ถึงความกังวลของพี่สาวที่รับเลี้ยงเธอ เด็กน้อยที่มักสดใสในทุกช่วงเวลาซึมซับความกังวลเหล่านั้นจนใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นสงบนิ่ง ดวงตาสีผลึกลึกลับหม่นเหลือบมองไปทางบริเวณที่เคยมีแขกคุกเข่ารายงานเรื่องสำคัญ ฉับพลันความคิดหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศเศร้าหมองนี้ได้ก็ปรากฏออกมา
“ เอ้อเหนียง พี่ชายคนเมื่อครู่นี้ใส่เกราะแล้วดูน่าเกรงขามมาก ” แก้มตุ้ยนุ้ยของเด็กหญิงวัยหกหนาวเบียดลงกับไหล่เนียน ๆ ของมารดาเพื่อเรียกความสนใจทั้งหมดของสาวงามให้กลับมาอยู่ที่ตัวนาง “ โตขึ้นข้าจะสามารถใส่ชุดเกราะเช่นพี่ชายผู้นั้นได้หรือไม่? ”
“ เจ้าอยากเป็นนายพลหญิง? ” เนตรหงส์ของไป๋หรั่นหลุบลงมองดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความปะเลาะเอาใจอย่างพิจารณาอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมยกสองมือขึ้นบีบแก้มเจ้าตัวน้อยพร้อมกล่าวขึ้นด้วยแววตาที่คลายความกังวลลงหลายระดับ
“ ก็คงต้องดูที่ความสามารถของเจ้าแล้ว องค์หญิงน้อยของแม่ ”