เจ้าของ: Admin

[ตำหนักตงเฉิน | 冬晨宫]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2024-10-24 14:56:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-10-24 14:58




รางวัลและคำขอ
13 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
เช้าตรู่ ( ราว ๆ เจ็ดโมงเช้า )


บนเก้าอี้ไม้ที่มีทั้งที่พักแขนและที่รองหลัง ร่างอรชรของพระชายาหยกพักพิงกายอยู่บนนั้น มือน้อยของนางคลึงอยู่ที่สันจมูกและหัวตาเสมือนว่านวดขับไล่ความปวดจากฤทธิ์น้ำจัณฑ์ “ เมื่อคืนเสด็จพ่อมาหาเอ้อเหนียงหรือ? ” หลิงหยวนที่วิ่งซนอยู่รอบตัวถลามาซบตักพร้อมกับเงยหน้าขึ้นถามเสียงใส

“ อื้ม.. ”

“ พวกท่านนอนด้วยกันในศาลาเฟินเทียนด้วย ! ไหนเอ้อเหนียงบอกว่าจะเก็บไว้นอนกับลูกเป็นคนแรก ! ”

วาจากล้าหาญขององค์หญิงน้อยทำให้ผู้เป็นมารดาสำลักไอจนตัวสั่นไปทั้งร่าง เนตรหงส์หลุบลงมองร่างน้อยที่เบะปากทำหน้าบูดบึ้งบนตักด้วยความประหลาดใจ “ ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้าว่าเอ้อเหนียงและฝ่าบาทนอนด้วยกันในเฟินเทียน ฮึ? ” คงเป็นเพราะท่าทางไม่พอใจนั้นน่ารักเกินไป มือเย็น ๆ ของไป๋หรั่นบีบลงที่ปลายจมูกของเด็กสาวที่แสนดื้อรั้นและนั่นทำให้พระราชธิดาองค์โตอย่างองค์หญิงหลิงหยวนย่นจมูกก่อนจะสะบัดหน้าหนี

“ เชอะ เขาพูดกันทั้งตำหนักแล้ว มีแต่ท่านนั่นแหละที่ไม่สนใจ หลิงหยวนไม่คุยกับเอ้อเหนียงแล้ว ! ” พูดจบองค์หญิงหลิงหยวนก็ผละออกจากร่างมารดา วิ่งหายไปตามเส้นทางตำหนักที่คุ้นชินสร้างเสียงหัวเราะขบขันให้กับผู้ใหญ่หลายคนที่จับตามองจากที่ไกล ๆ

“ ไม่ทันไรองค์หญิงก็ทรงน้อยใจเสียแล้วเพคะ ” ผู่เยว่กล่าวเสียงเบาอย่างระมัดระวังในขณะใช้สองตาสำรวจดูอาการของผู้เป็นนาย พร้อมทั้งขยับมือที่จับพัดถือเป็นการปรนนิบัติดูแลไปในตัว

“ อย่างไรเฟินเทียนก็ทำให้นางวิ่งเล่นนอนเล่น เมื่อได้รู้ว่าพ่อแม่ชิงใช้งานก่อนก็คงเสียใจเป็นธรรมดา ” ไป๋หรั่นเอื้อมไปหยิบจอกชาขึ้นมาหมุนในมือเงียบ ๆ กลิ่นหอมของชาขาว ความร้อนที่แพร่กระจายออกมาจากเนื้อกระเบื้อง ทั้งหมดนี้ช่วยเรียกให้นางคงสติอยู่กับความเป็นจริง ไม่เผลอหลับหรือจมลงสู่อาการปวดศีรษะมึนเมาเช่นเมื่อเช้า

“ ถ้าเช่นนั้นฝูกที่ปูไว้ด้านใน.. ”

ใบหน้าของนางกำนัลคนสนิทขึ้นสีแดงระเรื่อ คำพูดของนางติดขัดเล็กน้อย “ จะให้เปลี่ยนหรือไม่เพคะ ” จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเลิกม่านเข้าไปดูสภาพของฝูกที่ผ่านการรองรับร่างของโอรสสวรรค์และผู้เป็นพระชายามาก่อน พวกเขายังไม่ได้รับคำสั่งหรือคำอนุญาตจึงไม่กล้ากระทำผลีผลาม ไป๋หรั่นนิ่งคิดไปเล็กน้อย นางยังไม่ทันเอะใจถึงสาเหตุที่ว่าทำไมผู่เยว่ถึงได้ถามเช่นนั้น

“ ไม่มีอะไรให้ต้องเปลี่ยน เข้าไปปัดกวาดหน่อยก็ได้แล้— … ” เมื่อพิจารณาคำถามอีกครั้งอย่างตั้งใจ ดวงหน้าของนงคราญก็ขึ้นรอยแต้มสีกุหลาบฉาบทั่วบริเวณแก้ม ถึงจะถูกเข้าใจว่ามีลูกสาวคนหนึ่งแล้ว แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังเป็นสาวบริสุทธิ์คำถามกำกวมแบบนี้จะเคยเจอเสียทีไหน “ ม ไม่ต้อง แค่จัดการให้กลิ่นสุราจางก็พอ ”

“ ทราบแล้วเพคะ ”

ผู่เยว่ถอยหลังห่างออกไปหนึ่งก้าว นางจำเป็นต้องไปสั่งให้คนตรวจสอบด้านในศาลาเฟินเทียน แต่กระนั้นผู้ที่เข้ามาแทนที่ก็ยังมีอยู่ไม่ขาดสาย เสี่ยวเว่ยจื่อที่มักจะทำหน้าที่ของตัวเองอยู่รอบตำหนัก ครั้งนี้เดินเข้ามาหาผู้เป็นนายหญิงอย่างสงบเสงี่ยม “ พระชายา จางกงกงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ”

“ ได้แจ้งเหตุผลหรือไม่? ”

เมื่อวันก่อนพึ่งส่งคนออกไปแล้วเหตุใดถึงได้กลับมาไวนัก

“ จางกงกงถือถาดทองและนำทางหมอหลวงมาพ่ะย่ะค่ะ ” เสี่ยวเว่ยจื่อรายงานด้วยความมั่นใจ

คำตอบของเสี่ยวเว่ยจื่อทำให้ไป๋หรั่นชะงัก มือของนางเคลื่อนไปสัมผัสรอยช้ำบริเวณข้อมือโดยไม่รู้ตัวและปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างครุ่นคิด “ ให้พวกเขาเข้ามา ” พระชายาหยกพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากออกปากอนุญาต นางหลับตาลงและแนบแผ่นหลังลงกับที่นั่งไม้มากขึ้น

“ กระหม่อมจางกงกง ขอคารวะเหนียงเหนียง ”

เป็นเสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินอย่างเป็นการส่วนตัวมานาน หญิงแซ่ลู่ลืมตาขึ้นมองเขาพร้อมกับหยักยิ้ม “ ที่นี่ก็มีแต่คนกันเอง ไม่จำเป็นต้องมากพิธีนักหรอก ” ไป๋หรั่นปัดมือไปมาเพื่อคลายความเป็นทางการเหล่านั้นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังแต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม “ ครั้งนี้จางกงกงมาเยือนด้วยเหตุใด ”

“ ฝ่าบาททรงกังวลในสุขภาพของพระชายา ” จางห่าวหมิงระบายยิ้มสุภาพแต่กลับดูสลับซับซ้อน เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อย เปิดช่องให้นางได้มองเห็นบุคคลที่มาพร้อมกันกับเขา “ จึงมีรับสั่งให้พาหมอหลวงมาตรวจสอบอาการที่บาดเจ็บเมื่อคืนวานและประทานตำลึงทองเป็นการปลอบใจพ่ะย่ะค่ะ ”

ไป๋หรั่นหลุบตาลง นึกถึงวันนั้นที่มือของเขาบีบเข้าที่ลำคอของนาง .. ชั่วขณะหนึ่งมันคือความกลัวที่ยากจะรับมือจริง ๆ “ อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น เกรงว่าจะกังวลกันเกินไปแล้ว ” พระชายาหยกขาวลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ นางเคลื่อนสองมือรับถาดทองก่อนจะส่งให้นางกำนัลข้างกาย

“ แต่ในเมื่อมาแล้วก็ตรวจเถอะ ”

ในเมื่อนางให้ความร่วมมือแววตาของจางกงกงก็วาวโรจน์ด้วยความพอใจ เขาหันกลับไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้หมอหลวง ชายวัยกลางคนที่ทำงานเป็นผู้รักษามาเนิ่นนานวางกระเป๋าอุปกรณ์ของเขาไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยผายมือเชิญพระชายานั่งลงบนเก้าอี้ไม้อีกครั้ง ไป๋หรั่นสูดหายใจเข้า นางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้และวางแขนข้างที่ช้ำลงกับที่รองแขน

“ กระหม่อมขออนุญาต ” ผ้าไหมบาง ๆ ถูกวางทับลงบนบริเวณข้อมือที่หงายขึ้นหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงระหว่างชายหญิงที่ต่างศักดิ์ หมอหลวงกดนิ้วตรวจชีพจรของซูเฟยเงียบ ๆ เขาใช้เวลาพิจารณาจังหวะการไหลเวียนของสัญญาณชีพเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างสบายใจ “ ชีพจรของพระชายาเสถียรดี ดูแล้วคงไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงถึงภายใน ”

“ มิทราบว่ามีอาการน่ากังวลอื่น ๆ หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

“ รอยช้ำไม่จางลงสักที นอกนั้นตัวเปิ่นกงเป็นคนสุขภาพแข็งแรงดี ” นงคราญแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน คำตอบของนางทำให้หมอหลวงกล่าวคำขออนุญาตอีกครั้ง และประคองข้อมือเล็ก ๆ ที่ถูกกั้นสัมผัสโดยตรงด้วยผ้าไหมนุ่ม ๆ ขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะสลับกับเงยหน้าลงดูรอยช้ำที่ลำคอสลับกันไป

“ ผิวของพระชายาบางมากอาจรับมือกับ เอ่อ เรี่ยวแรงของฝ่าบาทได้ไม่ดีนัก ”

จางกงกงเลิกคิ้วขึ้น เสี่ยวเว่ยจื่อกระแอ่ม ผู่เยว่ที่พึ่งเดินกลับเข้ามาถึงกับชะงัก จะมีก็แต่ไป๋หรั่นเท่านั้นที่รอยยิ้มกดลงลึกกว่าเดิม “ อ้อ ” เสียงเบา ๆ ของนางที่ขานรับคำของหมอหลวงทำให้ชายวัยกลางคนรีบเปลี่ยนท่าทาง

“ อะแฮ่ม อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็เป็นแค่อาการช้ำภายนอกเท่านั้น มีทาสูตรหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการได้ ” ตลับยาสีขาวถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าไม้ขนาดพกพา เนื่องจากเพศตรงข้ามไม่สมควรสัมผัสพระชายาโดยตรงชายผู้มียศเป็นหมอหลวงจึงหันไปส่งมอบให้ขันทีประจำตำหนักได้เริ่มต้นตรวจสอบ “ แต่หากพระชายาทรงกังวลใจ กระหม่อมสามารถเขียนเทียบยาบำรุงร่างกายให้ได้พ่ะย่ะค่ะ ”

เนตรหงส์ของสาวงามหรี่ลงแฝงแววพิจารณา เดิมทีนางไม่ได้มีเหตุผลให้ต้องใช้ร่างกายหนัก ดังนั้นของบำรุงจึงไม่ถือว่าจำเป็น ทว่าหลังจากเริ่มฝึกกระบี่ นางก็รู้ดีว่าตนเองเป็นคนเรี่ยวแรงน้อย สมควรบำรุงให้แข็งแรงขึ้นบ้างจริง ๆ “ อืม รบกวนท่านด้วย ” สำหรับไป๋หรั่นนี่เป็นการหาประโยชน์เข้าตัวนางเอง แต่สำหรับคนอื่น หากนี้ไม่ใช่ความกระตือรือร้นของภรรยาที่จะปรนนิบัติสามีแล้วจะยังมีอย่างอื่นให้คิดอีกหรือ?

“ พระชายาทุ่มเทถึงเพียงนี้ กระหม่อมจะแจ้งแก่ฝ่าบาทอย่างแน่นอน ” ห่าวหมิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สายตาของเขาจ้องไปยังหมอหลวงที่เก็บข้าวของและถอยหลังกลับมา ร่างของขันทีหนุ่มที่สูงกว่าชายอ้อนแอ้นโดยทั่วไปโน้มลงรับฟังความเห็นแบบเป็นส่วนตัวที่เขาไว้วานก่อนหน้านี้ “ ขอบคุณหมอหลวงฉู่ ท่านตามนางกำนัลหลี่ไปเขียนเทียบยาเถิด ”

หมอหลวงฉู่พยักหน้าก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้ให้เหลือแค่ไป๋หรั่น ห่าวหมิง เว่ยปินและผู้ติดตามอีกไม่กี่คน

“ จางกงกงดูมีเรื่องที่อยากจะกล่าวกับเปิ่นกงเป็นการส่วนตัว คนกันเอง.. ไม่ต้องเกรงใจ ” แม้จะสุภาพอ่อนโยน ไม่กระโตกกระตากหรือแสดงอารมณ์มากจนเกินงาม แต่เนตรหงส์ที่เฉียบคมของนางก็ยังแฝงไว้ด้วยความจริงจังเด็ดขาด เห็นได้ชัดว่าวังหลวงนี้ได้กล่อมเกลาตัวตนของสาวงามไปหลายส่วนแล้ว

“ กระหม่อมจะกล้ากราบทูลสิ่งใดได้อีก ” ขันทีอสรพิษยิ้มหวานจนตาปิด เขาพูดอย่างนั้น ปฏิเสธว่าไร้เรื่องต้องหารือแต่กลับก้าวเข้ามาและโน้มตัวลงกระซิบแผ่วเบา “ คืนนี้ฝ่าบาทจะเสด็จค้างคืนที่ตำหนักตงเฉิน หวังว่าพระชายาจะไม่หลบเลี่ยงหรือพักผ่อนไวจนพลาดโอกาสสำคัญ ”

มุมปากของไป๋หรั่นยกขึ้นเล็กน้อย ฝ่ายห่าวหมิงเองก็ไม่สามารถทำตัวเสียกิริยาไปได้มากกว่านี้ เขาถอยกลับพร้อมรอยยิ้มสุภาพ “ ครั้งนี้นอกจากพบพระชายาแล้ว กระหม่อมยังมีความประสงค์อยากเข้าเฝ้าองค์หญิงหลิงหยวนเป็นการส่วนตัว ” ความต้องการที่หลุดออกมาจากปากเขาทำให้สาวงามขมวดคิ้ว ไป๋หรั่นเคาะปลายนิ้วลงกับที่พักแขนของเก้าอี้

“ เหตุใดถึงเน้นย้ำว่าต้องการพบอย่างเป็นการส่วนตัว.. มีอะไรที่มารดาของนางอย่างเปิ่นกงรู้ไม่ได้เช่นนั้นรึ? ”

ดูสิ.. คลาดสายตาไปแค่ประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวนี้ก็รู้จักใช้อำนาจข่มผู้อื่นได้แล้ว

ห่าวหมิงลอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่การกระทำที่แสดงออกมากลับเป็นการประสานมือโน้มลงอย่างนอบน้อม “ องค์หญิงไว้วานให้กระหม่อมตามหาของชิ้นหนึ่งมาถวาย คาดว่าคงไม่ต้องการรบกวนพระชายา ” เขาล้วงหยิบกล่องไม้ขนาดกลางออกจากชายแขนเสื้อกว้าง ๆ ค่อย ๆ หมุนกล่องหันไปทางพระชายาและเปิดฝากล่องออกเผยให้เห็นตุ๊กตาม้าไม้แสนวิจิตรที่วางอยู่ด้านใจ

“ ม้าไม้นี้ถูกตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นภัย.. ทว่าองค์หญิงไว้วานมาอย่างลับ ๆ ก็ให้กระหม่อมได้ส่งมอบอย่างลับ ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ ” อสรพิษรายนี้รู้ดีว่าควรใช้ช่องทางไหนในการเอาตัวรอด ต่อให้ไป๋หรั่นจะอยากคัดค้าน แต่เมื่อประเมินจากความสามารถของเขาแล้ว นางรู้ดีว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้เสียเวลาเปล่า ๆ

“ หลิงหยวนอยู่ที่เรือนรื่อฮุย ไปพบนางแล้วก็กลับไปรายงานฝ่าบาทเถิด ” พระชายาผู้ครองตำหนักอนุญาตแล้ว แขกผู้มาเยือนก็โน้มกายลงขออำลาแต่โดยดี ก่อนที่จะเดินตามการนำทางของเสี่ยวเว่ยจื่อไปยังเรือนรื่อฮุยอันเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักตงเฉิน

….

เวลาผ่านไป ไป๋หรั่นได้รับรายงานว่าจางกงกงกลับไปแล้ว หมอหลวงฉู่ก็กลับไปแล้ว บัดนี้ตำหนักตงเฉินกลับสู่สภาวะเดิมอย่างที่ควรจะเป็น นงคราญหยกผ่อนลมหายใจ นางยกชาขาวขึ้นจิบปล่อยให้รสชาติใสสะอาดกระจายทั่วโพรงปากก่อนจะสำลักเมื่ออยู่ ๆ หางตาก็สังเกตเห็นเงาเล็ก ๆ วิ่งพุ่งมากระโดดกอดเข้าที่ไหล่

“ เอ้อเหนียง ๆ ” เจ้าเด็กแสบตัวน้อยของตำหนักตงเฉินถูกอุ้มขึ้นวางลงบนตัก ไป๋หรั่นประคองร่างเล็ก ๆ ของบุตรสาวไว้อย่างระมัดระวังและใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกที่เชิดขึ้นอย่างดื้อรั้นด้วยความมันเขี้ยวจนเด็กน้อยหัวเราะคิกคัก “ วันนี้หยวนหยวนได้ม้าไม้มา ”

ไป๋หรั่นรู้แล้ว.. แววตาของผู้เป็นแม่อ่อนลงพร้อมกับพยักหน้า “ อืม แล้วเจ้าชอบหรือไม่ ”

“ หยวนหยวนชอบมาก แต่ว่า.. ”

น้ำเสียงที่เคยสดใสเปลี่ยนเป็นสลด หนูน้อยแนบแก้มนุ่ม ๆ ของตัวเองลงกับไหล่ของมารดา “ แต่ว่าเหงามาก.. ไม่มีใครรู้จักวิธีการเล่นของพวกนี้กับหยวนหยวนเลย ” องค์หญิงน้อยมุดหน้าลงกับลำคอของพี่สาวคนสวยที่มีศักดิ์เป็นมารดา สูดกลิ่นหวานจาง ๆ ของดอกฝูหรงลึกลับและระบายยิ้มอย่างพึงพอใจ “ เอ้อเหนียง หยวนหยวนอยากได้น้องชาย ”

แค่ประโยคสั้น ๆ หนเดียวทำเอานางชะงักไปทั้งร่าง “ อาเยี่ยน เจ้า.. ว่าอย่างไรนะ? ”

“ หยวนหยวนอยากได้น้องชาย ! ” ครั้งนี้หรูเยี่ยนกล่าวเสียงดังขึ้น นางใช้สองแขนป้อม ๆ กอดรอบคอมารดาพร้อมกับพยายามชักจูงว่าการมีน้องชายจะดีแค่ไหน ก่อนจะตบท้ายอย่างร่าเริง “ พวกท่านก็แต่งงานกันมาพักใหญ่แล้ว เสด็จพ่อก็มาหาท่านบ่อย งานของเสด็จพ่อเองช่วงนี้ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ยุ่งยาก แล้วทำไมเอ้อเหนียงถึงไม่ตั้งครรภ์สักที ”

เด็กน้อยที่ยังไม่เข้าใจวิธีการทำบุตรสอบถามอย่างใคร่รู้จนใบหน้าของคนเป็นแม่แดงก่ำ “ งึม.. หยวนหยวนเคยได้ยินว่า เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับฝ่ายชาย.. เอ่อ อะไรนะ อ้อ ไม่มีน้ำย— ริมฝีปากเล็ก ๆ ของหรูเยี่ยนถูกปิดไว้ด้วยมือบางของนงคราญที่สองแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาขององค์หญิงหลิงหยวนกะพริบปริบ ๆ นางไม่เข้าใจอาการของมารดาเลยไม่รู้เลยสักนิดว่าท่าทางร้อนรนนี้คือความขัดเขินอย่างหนักที่หาได้ยากจากสาวหยก

“ พูดแบบนั้น..ไม่ได้.. ” ใส่ร้ายหวงตี้ว่าไม่มีน้ำยาถือเป็นการดูหมิ่นร้ายแรง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ระหว่างนางและเขาสัมผัสที่ดูพิเศษกว่าชายหญิงแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย มีก็แต่ครั้งนั้นบนหลังม้าขณะกลับจากการประพาสป่า ดวงตาของไป๋หรั่นเหม่อลอยเมื่อคิดถึงวันนั้น ความใกล้ชิดและแรงดึงดูดแปลก ๆ ทำให้พวกเขาเกือบจะ..

ความร้อนแผ่กระจายจากแก้มไปถึงใบหู ชายาหยกขาวสูดหายใจเข้าก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางซ่อนอาการตกใจแกมประหม่า “ อาเยี่ยนจะกล่าวอย่างนั้นไม่ได้ หาน้องชายให้เจ้าเรื่องนี้เกรงว่าจะยากเกินไป.. ”

“ น้องสาวก็ได้ หยวนหยวนไม่คิดมาก แค่อยากมีตัวน้อยที่เรียกหยวนหยวนว่าพี่สาว ! ”

ไม่ใช่ว่านางถูกจางกงกงล้างสมองไปแล้วหรอกใช่ไหม?

“ เอาไว้ เรื่องนี้ค่อย.. ปรึกษาทีหลัง ”



[NPC-11] จางกงกง
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี

[NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-10-25 00:44
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-10-25 00:44
โพสต์ 37136 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2024-10-24 14:56
โพสต์ 37,136 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-10-24 14:56
โพสต์ 37,136 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-10-24 14:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-10-27 13:04:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-10-27 13:07




คำแนะนำ
13 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10
ยามเว่ย


ตั้งแต่ขึ้นเป็นซูเฟย ตำหนักตงเฉินก็ไม่เคยสงบเลยสักวัน

กลิ่นธูปหอมลอยคละคลุ้ง ควันบาง ๆ เคลื่อนพรางตาทว่าตัวตนของคนไร้เพศที่อยู่ตรงหน้ากลับยังชัดเจน “ ไท่โฮ่วมีพระประสงค์ให้องค์หญิงหลิงหยวนเสด็จไปร่วมเสวยพระกายาหารเย็นและค้างคืนที่ตำหนักเซวียนเต๋อในวันนี้ ” รอยยิ้มของจางห่าวหมิง หรือจงฉางซื่อเหยียดกว้างลามไปถึงดวงตาเรียว ๆ ของเขาที่หรี่ลงเป็นทรงพระจันทร์เสี้ยว

“ พระชายาทรงคิดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ”

เนตรหงส์ของนงคราญหรี่ลง ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสนี้เข้ามาแบบปุบปับและประหลาดเกินไป จางกงกงพึ่งบอกนางได้ไม่ถึงวันว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาพักแรมที่ตำหนักตงเฉินในค่ำวันนี้ ไม่เกินสามชั่วยามถัดมาเขากลับมาอีกครั้งพร้อมแจ้งว่าไท่โฮ่วต้องการยืมตัวบุตรสาวของนางหนึ่งคืน หลังจากที่บุตรสาวนางพึ่งจะร้องขอ ‘ น้องชายหรือน้องสาว ’ หลังจากที่ได้รับม้าไม้จากเขา

จางห่าวหมิง.. ละครฉากนี้เจ้าจัดไว้ให้ใครชมกันแน่

“ เอ้อเหนียง ตำหนักของเสด็จย่าสนุกมากเลย พี่สาวที่นั่นใจดีทุกคน ” หลิงหยวนหันมองมารดาด้วยแววตานึกสนุกสองแก้มนางยังมีขนมกุ้ยฮวาส่วนในมือถือชาเบญจมาศ “ ให้ลูกไปเถิดเพคะ แค่คืนเดียวเอง ” คืนเดียวของหรูเยี่ยนหมายถึงคืนที่นางอาจจะต้องรับมือกับมรสุมอันมีนามว่า ‘ หลิวเช่อ ’ นั่นนะหรือ?

“ อาเยี่ยนอยากไปหรือ ” มือของนงคราญหยกวางลงบนศีรษะเล็ก ๆ ของบุตรสาวที่ออกอาการกระตือรือร้นอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้ไปเยี่ยมพระอัยยิกา โดยไม่ต้องตอบเป็นเสียง องค์หญิงใหญ่แห่งราชสำนักพยักหน้างึก ๆ พร้อมกับทำตาอ้อนมองมารดาอย่างเว้าวอน รู้งานเสียคนเป็นแม่นึกอยากบีบแก้มนุ่ม ๆ นั้นอีกสักที “ ในเมื่ออาเยี่ยนอยากไป จะรั้งไว้ก็คงไม่ควร ไปเถอะ แต่อย่าดื้ออย่าซนนัก เข้าใจหรือไม่? ”

“ เย้ ! ”

องค์หญิงน้อยกระโดดไปทั่วอย่างตื่นเต้น วิ่งรอบที่นั่งของมารดาสักหนึ่งทีก่อนจะเขย่งขึ้นจูบแก้มสาวงามที่โน้มลงมาหา เสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่วบริเวณ แค่ได้เห็นรอยยิ้มสว่างสดใสของลูกสาว ไป๋หรั่นก็คิดไปแล้วว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้คุ้มค่าไม่น้อย

“ ถ้าอย่างนั้น เชิญองค์หญิงเสด็จไปที่เกี้ยวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเป็นผู้นำทางส่งด้วยตัวเอง ” ห่าวหมิงเหยียดยิ้มกว้าง โน้มตัวลงอย่างเคารพ หรูเยี่ยนเดิมทีก็เคยชินกับห่าวหมิงอยู่แล้ว เพราะบนเรือที่รับนางกลับมาเขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่ช่วยดูแล ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถามให้มาก องค์หญิงน้อยพยักหน้าแล้วก็วิ่งพรวดพราดออกไปจนคนเป็นแม่ต้องส่ายหัว

“ นิสัยอย่างนี้ .. อนาคตคงต้องลำบากอีกมาก ”

“ องค์หญิงร่าเริงสดใส ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากสำหรับผู้ใช้ชีวิตในรั้ววัง ” แววตาของห่าวหมิงอ่อนลงเล็กน้อย เขาหันกลับมามองผู้ครองตำหนักตงเฉินด้วยท่าทางสุภาพ “ ภายใต้การอบรมของพระชายา โตไปพระธิดาจะต้องเฉลียวฉลาดเป็นแน่ เพียงแต่ยามนี้.. ให้นางกำนัลหลี่คอยตามประกบไว้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด ”

ห่าวหมิงมีวิธีการโน้มน้าวที่แนบเนียน และไป๋หรั่นก็รู้ดี นายถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้า “ อืม ครั้งนี้ให้นางพาผู่เยว่ไปด้วย พอใจเจ้าแล้วหรือยัง ” เสียก็แต่ที่ไป๋หรั่นไม่ใช่คนโง่ เขาอ้อมค้อมอย่างที่นางมักจะเป็น แต่ในสถานการณ์อย่างนี้คงไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมนัก ดวงตาของคนไร้เพศเบิกกว้างก่อนจะหรี่ลงเป็นรอยยิ้ม

“ สุดท้ายนี้กระหม่อมนำเซียนเมามายมาให้ด้วย ” สิ่งที่เขาประคองออกมาจากกระเป๋าเสื้อทำให้พระชายาหยกขาวถึงกับสำลัก ใบหน้าของโฉมสะคราญแดงก่ำผิดกับท่าทีสงบเสงี่ยมของผู้นำมาถวาย “ กว่าจะได้มาสักหนึ่งไห กระหม่อมเสียหายให้โรงเตี๊ยมชิงหมิงไปมาก ทว่าผลลัพธ์ของมันเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ”

“ คืนนี้ก็ใช้สุราไหนี้ปรนนิบัติเถิดพ่ะย่ะค่ะ ”

นี่เขา นี่เขา !

ไป๋หรั่นจะร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ออก ใบหน้าของนางเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวดูแล้วน่าขบขัน “ อ้อ กระหม่อมต้องรีบพาพระธิดาน้อยไปส่งให้ทันก่อนเวลาพระกายาหารเย็นของไท่โฮ่ว ” ไหเซียนเมามายวางลงบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากเขา หัวหน้าขันทีแห่งวังหลวงฉีกยิ้มกว้างก่อนจะโน้มตัวลงขออำลา “ กระหม่อม ไม่รบกวนแล้ว ”

พูดจบเขาก็ก้าวถอยเดินจากไป ปล่อยให้นงคราญน้อยได้แต่หน้าดำหน้าแดงพร้อมตะโกนเรียกเขาอยู่ในใจ

จางห่าวหมิง เจ้าขันทีสมควรตายนี่ !!



[NPC-11] จางกงกง
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี

[NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 ความสัมพันธ์โบนัสหัวดี
+15 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดม่วง และ +5 ชาอะไรก็ได้
+5 โบนัสความสัมพันธ์ของว่างประเภทอาหารปรุง
+5 โบนัสความสัมพันธ์ชาประเภทชงชา






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 50 โพสต์ 2024-10-28 09:20
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-10-28 09:20
โพสต์ 13465 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-10-27 13:04
โพสต์ 13,465 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-10-27 13:04
โพสต์ 13,465 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-10-27 13:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-10-31 17:59:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-10-31 18:58







  • ลู่ไป๋หรั่น
    • ฝูหรงหมื่นลักษณ์

    '那一念残留 贪恋一次回眸
    你跌落在怀中 别执迷等候
    跨不过海与秋 困在记忆中消融
    谁又懂呢 浮生须臾 朝暮不停留
    皎月皆似梦 不染尘 清晖洒下心动




ห้วงคนึงฝันถึง
เซียนเมามาย

13 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10

ไป๋หรั่นไม่ทราบจริง ๆ ว่าจางห่าวหมิงใช้วิธีไหน แต่นางรู้แค่ว่าตัวเองกำลังรู้สึกโมโหอย่างแรงที่เจ้าขันทีคนนั้นสามารถกวาดต้อนคนรับใช้ในตำหนักให้หายไปจนแทบไม่เหลือ ลู่ซูเฟยขมวดคิ้วแน่นในขณะที่ก้าวเดินเพื่อไปยังห้องเก็บสุราในหัวนางมีความคิดตั้งมั่นอย่างแรงกล้า อย่าหวังเลยว่านางจะใช้เซียนเมามายในโอกาสนี้ ของดีเข่นนั้นควรเก็บไว้ใช้ในคราวสำคัญ

ทว่าจางกงกงเป็นพวกรอบคอบและไม่เคยปล่อยให้แผนของเขาผิดพลาด

“ จาง..ห่าว….หมิง.. ” เสียงหวาน ๆ ของไป๋หรั่นไม่เคยใช้เรียกใครด้วยความเคียดแค้นเท่านี้มาก่อน แต่ในตอนนี้ ท่ามกลางสถานการณ์น่าคับแค้นใจ ที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือห้องเก็บสุราที่ว่างเปล่า มีแค่ไหขาวสะอาดหรูหราของเซียนเมามายวางเย้ยหยันอยู่ตรงกลางห้อง มือของโฉมสะคราญจิกเกร็ง ความคิดเต็มไปด้วยแผนการว่าสมควรจะจัดการคนผู้นั้นอย่างไร

“ หึ.. คลังสุราตำหนักตงเฉินแห้งเหือดอย่างนี้ เป็นที่คนครองตำหนักหรือสิ่งใด? ”

เสียงทุ้มแสนเฉยชาของชายที่สมควรจะนั่งรอการรับรองดังขึ้นจากด้านหลัง ตัวของไป๋หรั่นแข็งทื่อ ทีละน้อยค่อย ๆ หันกลับไปมองเขา “ ฝ่าบาท ” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับขนนกที่ผลัดตกจากฟ้าและจางหายไปกับสายลม มุมปากเขายกขึ้นอย่างไร้สาเหตุเมื่อเห็นท่วงท่ากระอักกระอ่วนของชายา

“ ปกติแล้วตำหนักตงเฉินไม่ได้ขาดทรัพยากร ครั้งนี้เป็นเพราะ.. ” นางกดหน้าลงพูดเสียงเบา เส้นสายอารมณ์ที่ปรากฏออกมาบนดวงหน้างามครึ่งหนึ่งดูอ่อนแรงคล้ายละอายใจที่ไม่อาจรับรองได้เป็นอย่างดี อีกครึ่งเหมือนยังตั้งตัวไม่ทันเมื่อเห็นว่าเขาก้าวตามมา

“ เงยหน้า ”

หนนี้หาใช่แค่คำสั่งโดยปากเปล่า ก้านนิ้วที่หยาบกว่าสตรีโดยทั่วไปยื่นเข้าเชยคางมนของนงคราญ ส่งให้ทั้งสองได้สบตากันอีกครั้ง “ พูดมา ” เป็นไปไม่ได้ที่หลิวเช่อจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ลักษณะนิสัยของชายาเขาก็รู้ดีแก่ใจ รายงานที่แจ้งว่าตลอดทั้งวันนี้นางมีผู้ใดมาขอเข้าพบบ้าง เขาก็ทราบอยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าเป็นฝีมือของคนใจร้อนข้างกายเขาที่อยากจะเป็นพ่อสื่อเชื่อมความสัมพันธ์ แต่แล้วอย่างไร บัดนี้เขาปรารถนาอยู่สิ่งเดียว

คำตอบจากปากนาง นั่นต่างหากที่เขาอยากจะฟัง

“ เป็นเพราะข้อผิดพลาดภายใน ครั้งหน้าหม่อมฉันจะระมัดระวังกว่านี้เพคะ ”

เนตรมังกรของโอรสสวรรค์หรี่ลง ชั่วขณะหนึ่งในดวงตาดำมืดประหนึ่งรัตติกาลไร้จุดจบค่อย ๆ แฝงประกายอ่อนโยนก่อนจะเลือนหายคล้ายว่าไม่มี “ เช่นนั้นหรือ? ” ริมฝีปากของเขาขยับเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยเสมือนว่าขบขันในคำตอบที่นางเลือกใช้

นางเปลี่ยนไปแต่ก็ยังคล้ายเดิม

ก้อนขาวที่ดื้อรั้นจะจัดการเรื่องหลังบ้านให้สงบโดยไม่กระทบกับผู้เป็นร่มเงาให้กับนาง ส่วนนี้ดู ๆ ไปแล้วก็.. น่าเอ็นดูไม่น้อย คิดถูกจริง ๆ ที่เดินตามมา.. สถานการณ์ในตำหนักประหลาด ไม่มีคนรับใช้อยู่ข้างกายนางสักคน ครั้งนี้ห่าวหมิงลงมือเกินขอบเขตไปมาก เขาคงต้องเรียกมาตักเตือนสักครั้ง แต่คงไม่ใช่ภายในคืนนี้

หลิวเช่อเคลื่อนสายตาขึ้นมองขวดสุราที่ตั้งตระหง่านด้วยแววตาซับซ้อน มือของเขาลดจากปลายคางของนาง เปลี่ยนมาวางที่ไหล่บาง “ เซียนเมามายไหเดียวก็เพียงพอแล้ว ” ยังดีที่เมื่อกล่าวจบ โอรสสวรรค์ลงความเห็นกับตัวเองว่าสมควรให้นางได้มีเวลาปรับความคิด ผู้ครองปราณมังกรสะบัดแขนเสื้อหมุนกายเดินจากไปอย่างสงบนิ่ง ทิ้งให้คนงามต้องว้าวุ่นใจเพียงลำพัง

เซียนเมามายไหเดียวก็พอแล้วอะไร .. หลิวเช่อ นี่ท่านไม่รู้กิตติศัพท์ของสุราดอกท้อไหนี้หรือ !

เนตรหงส์หวานฉ่ำเคลื่อนมองขวดกระเบื้องมันวาวสีขาวที่แสนหรูหรา ร่องรอยของความสับสนลังเลปะปนผสมผสานกันอย่างลงตัวในแววตาของนาง ‘ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ’ ในฐานะชายา ฐานะสตรีของเขาจะให้รับบทห่างเหินตลอดกาลก็คงเป็นนางที่ฝันหวานเกินไป

ใต้แสงจันทร์ที่เหลือแค่สองเราเป็นพยาน กลิ่นดอกท้อหอมหวานกระจายไปไกล

“ นำก็นำมาแล้ว เปิดก็เปิดแล้ว หากยังเอาแต่นั่งชมเช่นนั้น สุราดีจะกลายเป็นเสียหมด ” จักรพรรดิมังกรกล่าวเสียงเรียบพลางยกจอกสุราขึ้นใกล้จมูก ซึมซาบกลิ่นหอมหวานเย้ายวนใจที่ได้มาจากการรังสรรของน้องชาย กลิ่นของความฝันที่ห่างเหินไปนาน.. กลิ่นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสัมผัสได้จากตัวนาง

“ เซียนเมามายนี้.. ” ไป๋หรั่นยังคงเข็ดขยาดจากอำนาจความร้ายกาจของมันจากครั้งที่แล้ว ปลายนิ้วของนางเคาะลงกับโต๊ะข้าง ๆ จอกสุราด้วยความลังเล “ ได้ดื่มนับวาเป็นยอดวาสนา ครั้งหนึ่งหม่อมฉันเคยดื่มไปแล้ว ยามนี้ไม่กล้าฝันจะดื่มอีกครั้ง ”

นางอุตส่าห์ตอบเสียดิบดี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นเสียงอืมเบา ๆ ในลำคอ พอเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ทำไมบนใบหน้าของหลิวเช่อเหมือนจะมีความไม่พอใจแฝงอยู่ “ ได้ยินว่าครั้งก่อนเจ้าได้ดื่มเซียนเมามายต่อหน้าผู้คิดค้น ” เสียงของหลิวเช่อไม่ช้าไม่เร็วแต่กลับแฝงความกดดันไว้กระแสหนึ่งที่ทำให้นางพูดไม่ออก

“ ดื่มร่วมกับสามีย่อมแตกต่างออกไป เจ้าจิบดูสักอึก ”

ไม่ใช่คนอื่น อีกคน หรือหวงตี้ แต่เป็นสามี?

ความคิดของไป๋หรั่นทำงานอย่างรวดเร็ว นึก ๆ ดูแล้วเหมือนว่าการแสดงออกอย่างนี้.. มารดามักกำชับว่าเป็นอาการหึงหวง? บ้าไปแล้ว จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง มือบางตบลงที่แก้มขาว นางกะพริบตาปริบ สะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านก่อนจะชำเลืองตาขึ้นมองผู้เป็นสวามี คิ้วที่เคยขมวดของเขาบัดนี้เริ่มคลายออก ไป๋หรั่นเคลื่อนตาลงสำรวจปริมาณสุราในจอกของเขา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจิบไปแล้วหลายอึก สมกับที่เป็นยอดสุราแม้แต่เสือยิ้มยากที่เอาแต่ทำหน้าตาเคร่งขรึมอย่างเขายังดูผ่อนคลายลงได้หลังลิ้มรสมัน

ทางเลือกมีไม่มาก.. นางไม่สามารถนั่งตากลมไปทั้งคืนได้ สุดท้ายแล้วท่ามกลางความเงียบสงบ โฉมงามก็ยอมยกจอกสุราขึ้นจิบ รสชาติหวานฝาดของดอกท้อหมักน้ำเมาแพร่กระจายไปทั่วโพรงปาก ไม่ว่าจะได้ลองกี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่าเลิศล้ำเหมือนเคย นับว่าเป็นชั่วขณะหนึ่งที่เหมือนตลอดทั้งร่างถูกห้อมล้อมด้วยความร้อนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางปล่อยให้สุรานี้ไหลลงในลำคอ

“ หึ ” เสียงเค้นหัวเราะในลำคอของหลิวเช่อทำให้ดวงตาของคนงามช้อนขึ้นมองเขา โอรสสวรรค์หมุนจอกในมือช้า ๆ สายตาของเขาจรดอยู่ที่นางตั้งแต่ต้นจนทำให้คนที่พึ่งรู้สึกตัวเผลอสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าในพริบตาต่อมา เขากลับนิ่งงันและค่อย ๆ เบิกตาขึ้น

เซียนเมามายมีฤทธิ์ร้ายกาจรุนแรง ขอเดาว่าตอนนี้เขาคงได้เผชิญหน้ากับมันในระดับหนึ่งแล้ว ไป๋หรั่นลอบสังเกตอาการคิ้วที่เดี๋ยวขมวดเดี๋ยวคลายของเขาด้วยความขบขัน “ ฝ่าบาท เซียนเมามายไหนี้เป็นอย่างไรเพคะ? ” เสียงของนางเบาหวิวแต่กลับชัดเจนในโสตประสาทของหลิวเช่อ โอรสสวรรค์ใช้เวลาพักหนึ่งในการกลืนคำพูดไร้สาระและตอบนางสั้น ๆ

“ ไม่เลว ”

แม้แต่เซียนเมามายยังได้คำชมแค่ ไม่เลว .. มาตราฐานของฝ่าบาทสูงส่งเหนือคนจริง ๆ นงคราญหยกพยักหน้ารับคำตอบของเขาขณะที่ยกจอกสุราขึ้นจิบอีกหนึ่งคำเล็ก ๆ โดยไม่รู้เลยว่าในสายตาของผู้เป็นสามี บัดนี้นางได้กลายเป็นสิ่งที่เขายากจะห้ามใจไปแล้ว

‘ ข้ามองนางเป็นก้อนขาวก้อนหนึ่ง ครั้งที่ร่างผสานกับจิตแห่งปราณกระต่ายหยกก็ได้เห็นมาแล้ว.. ’ ดวงตาคู่คมของหลิวเช่อวาวโรจน์อย่างประหลาดใจเมื่อเห็นนางขยับตัว ‘ จำได้ว่าที่เห็นไม่ใช่อย่างนี้ ’ บนศีรษะเล็ก ๆ ของชายาเขามีหูกระต่ายสีขาวโผล่มาจากกลุ่มผม ยังไม่พอบนแก้มเนียนเองก็มีเส้นบาง ๆ คล้ายหนวดแมวชวนให้คนมองต้องขมวดคิ้ว

กระต่ายไม่มีหนวด..

กว่าจะรู้ตัว มือหนา ๆ ของเขาก็วางลงประคองแก้มนุ่มของนางไปเสียแล้ว

“ …. ”

“ …. ”

ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ เนตรหงส์ที่มักเรียวยาวทีละน้อยค่อย ๆ เบิกขึ้น ริมฝีปากของนางขยับ เสียงที่ลอดออกมาแผ่วเบายิ่งกว่าสายลม ยิ่งได้มองดูการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านาง ตำแหน่งของมือที่ยกขึ้นสัมผัสแก้มนางก็ยิ่งแนบแน่น หลิวเช่อหรี่ตาลงเล็กน้อย นิ้วหัวแม่มือของเขาลูบเกลี่ยตามแก้มเนียนของนงคราญ ‘ ไม่หาย ’ แม้แต่ตอนที่คิดอยู่นี้ โอรสสวรรค์ก็ยังไม่แน่ใจว่า ไม่หาย หมายถึงสิ่งใด

จะเป็นรอยจาง ๆ ที่ดูขัดตาบนแก้มนั้นหรือเป็นความปรารถนาลึก ๆ ที่อยากลองสัมผัสดูสักครั้ง

นิ้วมือที่ด้านชาปัดไปตามผิวที่อ่อนนุ่มของแก้มนาง ลากตามส่วนโค้งที่บอบบางของช่วงกราม และในขณะนั้นสนามรบที่เคยเผชิญก็ดูเหมือนเป็นเพียงความทรงจำอันเลือนลาง น้ำหนักของความรับผิดชอบเป็นแค่ความกังวลที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสิ่งเดียวที่สำคัญในตอนนีคือนางที่อยู่ตรงหน้าเขา

นางผู้เป็นแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ทันได้คาดคิด

วินาทีขยับไปอย่างเชื่องช้า แต่ละครั้งที่นิ้วของเขาปัดไปมาบนผิวราวกับตัวบังคับจังหวะของหัวใจดวงน้อยให้คล้อยตาม ดวงตาของนางกะพริบหลายครั้งลังเลระหว่างถอยหนี อยู่นิ่ง ๆ หรือจะโน้มรับสัมผัสให้มากขึ้น ไป๋หรั่นเชี่ยวชาญด้านการอดทน ต่อให้มีหนามแทงใจสักร้อยจุดก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่การถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นอย่างนี้.. นางไม่เคยสัมผัสจากคนนอกครอบครัวมาก่อน

นอกครอบครัว

แววตาของนงคราญหม่นลงและนั้นทำให้ดวงตาสีอัคนีดำของผู้เฝ้ามองสั่นไหวอย่างรุนแรง หลิวเช่อประคองหน้านางให้เงยขึ้นสบตากับเขา “ คิดอะไรอยู่ ” โอรสสวรรค์ตามเสียงเข้ม เป็นคำถามหยาบกระด้างที่แฝงความกดดันเหมือนเคย แต่ครั้งนี้กลับมีความร้อนรนแทรกอยู่ในนั้น

“ หม่อมฉัน.. ” มือนุ่ม ๆ ของไป๋หรั่นยกขึ้นทาบกับหลังมือของเขา นางสบตาเขากลืนความรู้สึกแปลกประหลาดที่อัดแน่นในอก เอียงใบหน้ารับกับสัมผัสหยาบกร้านของชายที่ผ่านสงครามมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ ……เหมาะสมหรือเพคะ ”

“ ได้รับความสนใจจากพระองค์เช่นนี้ หม่อมฉัน.. เหมาะสมแล้วจริงหรือเพคะ ”

ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนดังกลับมา รอยยิ้มขมขื่นเผยปรากฏบนใบหน้าหวานไป๋หรั่นหลับตาตั้งใจจะรั้งตัวกลับ กลับไปอยู่ในพื้นที่ของตัวเองโดยไม่สั่นไหวกับสิ่งใดอีก ทว่าผู้ที่สมควรตอบคำถามกลับไม่เห็นด้วย ไม่รู้ว่าเป็นนางตัวเล็กเกินไปหรือเป็นเขาแข็งแกร่งเกินคน นงคราญน้อยคล้ายถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นผลักให้ลุกขึ้นรับกับมือของโอรสสวรรค์ที่เคลื่อนมาคว้าข้อมือและดึงร่างของนางเข้าหาตัว

แขนอีกข้างของหลิวเช่อรวบเอวของนางรั้งกายคนงามให้นั่งลงบนตักเขา แผ่นหลังเรียบๆ แนบไปกับอกแกร่งสัมผัสได้ถึงรูปแบบลมหายใจที่ขยับเข้าออก “ ฝ่าบาท ” ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงล้วนตื่นตระหนก กระต่ายน้อยในมือเขาหมายจะลุกขึ้นแต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อน

“ รินสุรา ”

เสียงของเขาพรมอยู่เหนือใบหูห่างแค่เล็กน้อยแต่ก็ยังสามารถทำให้นางขนลุกไปทั้งร่าง เนตรหงส์สีนิลเคลือบประกายแปลกใจ สองมือที่ยื่นออกไปสั่นเทาเล็กน้อย คล้ายว่าจะยังทำให้นางใจหายได้ไม่มากพอแขนข้างหนึ่งจะใช้เพื่อรวบเอวกักตัวชายาไว้ใกล้ชิดยังคงไม่ขยับ แต่มืออีกข้างที่ไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวกลับยกขึ้นแตะปลายนิ้วลงกับข้อมือบาง ๆ ข้างซ้ายที่ยังมีรอยช้ำเป็นจ้ำและค่อย ๆ พลิกลงประคองข้อมือนางไว้จนนางชะงัก

“ อย่าหยุด ” โอรสสวรรค์ไม่เคยอ่อนลงเพื่อใครแม้แต่กับพระชายา เสียงของเขานิ่งขรึมและค่อนไปทางออกคำสั่งจนกว่าจะได้ในสิ่งที่พอใจ หลิวเช่อหลุบตามองมือของเขาที่ประคองข้อมือของนางขณะรินสุรา มองดูความแตกต่างระหว่างชายหญิงของแขนและมือที่นับว่าเป็นส่วนสำคัญ

หลิวเช่อพบว่าเขาสามารถทำลายมือน้อย ๆ นี้ได้เพียงแค่กำมือ จะหัก ทุบ หรือบด เขาล้วนสามารถทำได้โดยไม่ต้องพยายาม แต่ในขณะเดียวกัน มือน้อยคู่นี้ก็สามารถทำให้เขาอ่อนลงได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทำไม

เพราะอะไร

เพราะเหตุใด

ปริศนานี้ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

นิ้วของเขาเคลื่อนไปตามแนวเส้นเลือดใต้ข้อมือของนาง ลากไล้ขึ้นกลางอุ้งมือที่ถือขวดสุราจนนางเผลอปล่อยมือ— ปุ๊บ เสียงมือของเขาที่ขยับรองก้นไหสุราที่ร่วงจากมือนาง เนตรมังกรวาวโรจน์ด้วยบางสิ่ง ตัวเขาสัมผัสได้ถึงการสั่นเทิมของร่างกายนางที่แล่นผ่านจากปลายนิ้วไปสู่ปลายเท้า

กลัว? สายตาของเขาย้ายจากมือมาเป็นที่เสี้ยวหน้าของโฉมสะคราญ พิจารณาสังเกตและเฝ้าดูสีสันบนใบหน้าอันเรียกกันว่าอารมณ์ที่เดี๋ยวก็ปรากฏเดี๋ยวก็เลือนหาย ดวงตาจักรพรรดิหรี่ลงดูคมกริบ ‘ ไม่ นางไม่ได้กลัว ’ เสียงในหัวของเขาดังกึกก้อง มากพอจะทำให้ความขุ่นเคืองก่อนหน้ามลายหายไปจนหมด หลิวเช่อพลิกมือกำรอบข้อมือนาง ค่อย ๆ ชักนำให้จอกสุรายกขึ้นจรดริมฝีปาก

หมายถึงริมฝีปากนาง ไม่ใช่เขา

“ ดื่ม ”

ทั้งสองสบตากันชั่วขณะ แผ่นหลังของไป๋หรั่นแนบลงกับอกของหลิวเช่อมากขึ้น นางไม่ได้ต่อต้านจอกสุราที่ถูกประเคนมาถึงริมฝีปากแต่เมื่อจิบไปได้แค่ครึ่งคำ โอรสสวรรค์ก็โน้มลงมาใกล้ ลมหายใจเขารดบนขอบหูคล้ายกับลมที่สามารถเป่าทุกความคิดให้กระจัดกระจาย มากพอจะจดจำไว้แค่คำพูดของเขาที่ทำให้นางเบิกตากว้าง

“ เหมาะสม ไม่เหมาะสม ไม่สำคัญ ”

“ เจ้าเป็นของข้า นี่ต่างหากที่สำคัญ ”

ไป๋หรั่นไม่เคยรู้มาก่อนว่าร่างกายของมนุษย์เราสามารถรับรู้ถึงความร้อนได้ดีขนาดนี้ สองแก้มของร้อนผาว เนื้อนุ่ม ๆ ที่เคยขาวซีดบัดนี้แดงก่ำลามไปถึงใบหูและท้ายทอย ทุกอย่างเกือบจะสมบูรณ์แบบหากไม่ใช่ว่า… “ แค่ก— ” เสียงสำลักลอดจากปากบางที่ฉ่ำวาว ไป๋หรั่นดันจอกสุราออกห่างจากตัวเองและก้มลงไอสองสามครั้ง สำลักน้ำยังว่าทรมาณแล้ว สำลักสุราอย่างนี้ทรมาณยิ่งกว่า

“ เป็นสาวเป็นนาง กินดื่มเลอะเทอะไม่รู้จักโต ”

คำนี้ของเขามากพอจะทำให้นางหันขวับไปมองเขาด้วยความรั้นที่ต้องการจะโต้เถียงแต่เมื่อหันไปแล้วคนที่ชะงักกลับเป็นนาง เสียงลมและนกเปลี่ยนเป็นบทบรรเลงชั้นยอดเกินกว่าที่จะมีนักดนตรีท่านใดบนภพมนุษย์รังสรรได้ เช่นเดียวกับรูปลักษณ์สลักเสลาของสายเลือดมังกรที่โดดเด่นเหนือคำว่าสามัญชน กลุ่มเกศาสีเข้มที่ควรจะรวบไว้อย่างเรียบร้อย ทีละน้อยกลับค่อย ๆ ตกลงมา ส่งให้ชายตรงหน้าดูคล้ายกับเทพบุตรลงมาโปรด โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มไหมนุ่มสลวยเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นสีเงินรับกับแสงจันทร์ด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ

เซียนเมามายออกฤทธิ์แล้ว และเมื่อออกฤทธิ์ก็มิได้ต่างอันใดไปจากยาเสน่ห์เลยสักนิด

“ ฝ่าบา— ”

“ ไม่ต้องพูดแล้ว ”

หลิวเช่อประคองร่างของชายาให้แนบชิด ดวงตาของเขาหรี่ลงสังเกตทุกส่วนของดวงหน้างามอย่างใส่ใจราวกลับไม่ต้องการพลาดแม้แต่เสี้ยวเดียว ‘ ที่แท้ดวงตาของนางเรียวยาวและดื้อรั้นได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้แววตานี้สั่นไหวด้วยความประหม่าอยู่ทุกครั้ง ที่แท้.. เจ้าก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ’ ไม่ใช่น้องสาวสหาย ชายาในนาม คนที่ใช้การได้ หรือแค่คนที่ผ่านมาและจะผ่านไป ซูเฟยของเขาไม่มีกลิ่นอายอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

หน้าผากของทั้งสองค่อย ๆ แนบกัน ลมหายใจร้อน ๆ สองสายลูบไล้กับผิวแก้ม สองผู้โดดเด่นเลิศล้ำในรูปโฉมยามเมื่อใกล้ชิดเช่นนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็คงต้องสั่นสะท้าน หลิวเช่อสัมผัสได้ว่านางยังไม่คุ้นชินกับระยะห่างที่แคบลงกะทันหัน ตลอดมาที่ก้อนขาวแซ่ลู่ปั้นหน้ายิ้ม ก็นึกว่ามีความอดทนสูงแท้ ๆ นึกไม่ถึงว่ากับเรื่องอย่างนี้จะตื้นเขินนัก ทว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

“ เจ้าชื่ออะไร ” คำถามของเขาทำให้นางขมวดคิ้ว โดยไม่รู้ตัวมุมปากของโอรสสวรรค์กลับยกขึ้นอย่างพอใจ ถามซ้ำอีกครั้ง “ ชื่ออะไร ”

“ ฝ่าบาท นามของหม่อมฉัน.. ” ทันทีที่พูดออกไปไป๋หรั่นก็นึกอยากจะตบปากตัวเองทันที ตอบก็ไม่ตรงตามที่เขาต้องการแล้วยังพูดตะกุกตะกักอีก ใบหน้าของนงคราญแดงก่ำด้วยความอับอายเนตรหงส์ที่ซับซ้อนมาเสมอบัดนี้กลับดูออกง่ายจนน่าขำ

“ ตอบ ” หลิวเช่อกำชับเสียงเรียบอีกครั้ง ดูกดดันห่างเหิน ทว่าหากไป๋หรั่นรวบรวมความกล้ากว่านี้อีกสักนิด นางคงจะได้พบกับแววตาที่อ่อนลงราว ๆ หนึ่งส่วนขององค์จักรพรรดิ แววตาที่จวบจนถึงบัดนี้.. ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้มันไปครอง

“ ป ไป๋หรั่น.. ลู่ไป๋หรั่นเพคะ ”

“ เจ้าเป็นใคร ”

ราวกับราชสีห์ที่รักการไล่ต้อนเหยื่อ ลู่ไป๋หรั่นตัวสั่นระริกแต่หลิวเช่อกลับยังไม่ใจอ่อน สมแล้วที่เขาเป็นชายไร้หัวใจ ต่อหน้าสาวงามอันดับหนึ่งที่อ่อนหวานถึงเพียงนี้ก็ยังสามารถรักษาระดับของตัวเองไว้ได้อย่างมั่นคง “ หม่อมฉันเป็น.. ซูเฟยของฝ่าบาท ” สาวงามหดคอหนีเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ มือที่ประคองใบหน้าของนางเคลื่อนไหวไวเกินไปรู้อีกทีก็วางลงกดท้ายทอยจนนางไม่สามารถหลบหลีกได้

“ ของใคร ”

จบคำถามนี้ ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง ไป๋หรั่นเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นสวามีด้วยความตื่นตระหนก .. ไม่ใ่ช่ว่าไม่เข้าใจ แต่เพราะเข้าใจถึงไม่เข้าใจ ด้านหลิวเช่อเองก็ไม่ได้หลบสายตา นัยน์ตาสีอัคคีนิลนั้นยังสงบไร้ความเปลี่ยนแปลง แต่กลับแฝงไว้ซึ่งท่าทางของผู้รอคอย สิ่งที่เขาต้องการให้นางพูด นางรู้ดียิ่งกว่าใคร รู้ดีเกินไปจนนึกประหลาดใจกับตัวเอง

ห้วงอารมณ์ทั้งหมดแสดงออกมาบนหน้านางแล้ว หลิวเช่อค้นพบว่าเมื่ออยู่ในระดับใกล้ชิดเท่านี้ สตรีหยกแห่งตำหนักตงเฉินจะมิอาจเก็บซ่อนสีหน้าใด ๆ ได้ ถือว่าทำให้เปิดหูเปิดตา แม้ว่าเขาจะจงใจทดสอบความรู้สึกเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาดนี้ด้วยการหลอกล่อก็ตาม นางฉลาด รู้จักวางตัว รู้ใจเขา ทั้งยังไม่น่ารำคาญ คิด ๆ ดูแล้วมุมมองที่เขามีต่อนางล้วนเป็นดีมากกว่าร้ายซึ่งถือว่าผิดจากวิสัยคนเกลียดสตรี

“ หม่อมฉัน … ”

เสียงของนางปลุกมังกรที่ไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้หลุดออกจากภวังค์ หลิวเช่อหลุบตาลงมองกระต่ายขาวตัวจ้อย สัมผัสถึงแรงดึดดูดและความรู้สึกถนอมต่อคนผู้หนึ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะพบเจอกับตนเอง ทว่าโอรสสวรรค์ไม่สมควรแสดงออกถึงความลุ่มหลง อารมณ์ความรู้สึกเป็นสิ่งไม่จำเป็นเมื่อยืนอยู่บนตำแหน่งใหญ่แห่งแผ่นดิน คิ้วเข้มดั่งกระบี่พาดขมวดเข้าหากันช้า ๆ ตั้งใจจะสลัดความลึกซึ้งนี้ให้พ้นก่อนถลำลึก แต่เพียงแค่หนึ่งคำตอบเบา ๆ ของนางกลับพันธนาการเขาไว้ได้อย่างหมดจด

“ …ของพระองค์เพคะ ”

เนตรมังกรเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกกระแสหนึ่งแล่นผ่านหัวใจจนพองโต ทำให้เขาแลดูคล้ายคนโลภมากเมื่อเผลอกระชับนางในอ้อมแขนแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ อีกครั้ง ” ลู่ไป๋หรั่นอาจสัมผัสไม่ได้ แต่เขากลับสัมผัสถึงน้ำเสียงที่ผิดปกติของตัวเองได้ดี เมื่อไหร่กันที่เสียงของเขาแหบพร่าอย่างนี้ อ่อนทุ้มอย่างนี้ .. และร้อนรนถึงเพียงนี้

“ ของพระองค์ หม่อมฉันเป็นซูเฟยของพระองค์ ”

เด็กดี

เสียงในใจของใครสักคนดังกึกก้องอยู่อย่างนั้นก่อนที่ค่ำคืนจะผ่านไป เผยให้เห็นเงาลาง ๆ ของชายที่โอบอุ้มร่างภรรยาเดินผ่านเรือนไม้อาคารกลับสู่เตียงอ่อนนุ่มของพวกเขาพร้อมความใกล้ชิดที่..ไม่ธรรมดา แขนของโอรสสวรรค์ข้างหนึ่งรองรับเอวนาง อีกข้างประคองแผ่นหลังอุ้มประคองด้วยลักษณะแนบชิดเกินความจำเป็น กระทั่งวางคนงามลงบนเตียงแล้วยังไม่คิดปล่อย

ใบหน้าของกระต่ายน้อยแดงก่ำ นางประหม่าเสียจนหูยาว ๆ ของกระต่ายลู่ลงมา ดูแล้วน่ารักไปอีกแบบ ผิดกับอาภรณ์สวยหรูที่สมควรทำให้คนสวมใส่สง่างามขึ้น ปลายนิ้วกร้านของหลิวเช่อลากไปตามสาบชุดที่แนบกับแผ่นหลังของนงคราญ ดวงตาของเขาหลุบลงพิจารณาชายาในอ้อมแขน สังเกตสีสันที่เปลี่ยนไปมาบนใบหน้า สังเกตแววตาสั่นระริกเชิงประหม่าและเว้าวอน

เร่งรีบไม่ได้ เขากลืนน้ำลายสะกดข่มสัญชาตญาณของบุรุษที่เข้มข้นรุนแรงหมายจะครองกายนางฟ้า เขามีเวลาอีกทั้งชีวิตค่อย ๆ ล่อให้นางตายใจ การเห็นนางยอมมอบกายให้เขาสัมผัสด้วยตนเองยังจะดูน่าสนใจกว่า เมื่อคิดมาถึงส่วนนี้ มุมปากของเขากระตุกขึ้นไม่ต่างอะไรไปจากคนเจ้าแผนการ นี่ยังไม่รวมเสียงเค้นหัวเราะในลำคอสั้น ๆ ที่ทำให้หลิวเช่อดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ท่าทางเขาคง.. มือของเขาที่แนบกับหลังส่วนล่างของนางค่อย ๆ ลากมาถึงเอวลดไปยังสะโพก

‘ คงต้องค่อย ๆ ฝึกให้นางชินมือกว่านี้หน่อย ’



ยามรุ่งสางที่ตะวันไม่ทันได้ขึ้น ภายในตำหนักตงเฉินคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมหวานของดอกท้อกล่อมให้สองชีวิตที่นอนอิงไม่ประสงค์จะพรากจากกัน ทว่าประสาทสัมผัสของผู้ครองปราณมังกรนั้นดีเกินไปเสียงฝีเท้าหน้าประตูเรือนทำให้เปลือกตาของเขาขยับ

น้องชายเขาสร้างสุราแรงขนาดนี้ขึ้นมาได้ สมควรแล้วที่เจ้านั่นใช้เวลาเตร็ดเตร่ทำตัวไร้สาระเสียตั้งนาน มือข้างหนึ่งยกขึ้นนวดขมับ เสียงคำรามเบา ๆ ในลำคอดังขึ้นเมื่อเขารับรู้ถึงความบีบรัดในศีรษะ น้ำหนักของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กบนอกทำให้หลิวเช่อขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขากะพริบตาหลายครั้ง ปรับการมองเห็นให้ชัดขึ้น .. ชัดขึ้นจนเห็นว่าตนกำลังร่วมเตียงอยู่กับสตรีคนหนึ่ง โดยรอบ ๆ ของเตียงนั้นคล้ายจะผสมผสานระหว่างตำหนักตงเฉินและสวนดอกจื่อเถิงหลัว หลิวเช่อหัวเราะเสียงเย็น มือข้างที่โอบไหล่นงคราญคล้ายว่าถูกขยับให้กระชับร่างเพรียวเข้าหาตัว

จมูกของเขาฝังลมกับกลุ่มผมสีเข้มของนางที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นดอกท้อผสมฝูหรง แววตาของโอรสสวรรค์คล้ายจะหม่นลงหลายระดับเมื่อนึกว่าสีหน้าของน้องชายตัวดีผู้นั้นจะยับยุ่งเหยิงขนาดไหนหากรู้ว่าเซียนเมามายที่เขาตั้งใจหมักนักหนาหกรดไปบนตัวชายาเขาเมื่อคืนเกือบครึ่งไห

ก็ไม่เลว

นิ้วของเขาเคาะลงเบา ๆ เป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็วบนไหล่ของนาง ดวงตาของเขาเหลือบมองไปทางประตู เงาไฟและเงาคนขยับเคลื่อนไปมา ‘ เจ้านั่นคงจะมาแล้ว ’ ตามกำหนดการเขาควรลุกไปเตรียมตัว แต่.. ความรู้สึกไม่อยากลุกขึ้นที่หายไปนานดันหวนคืนกลับมาเมื่อบนอกเขามีศีรษะเล็ก ๆ ของชายาซบอยู่

“ ซูเฟย ” เขากล่าวเสียงไม่ดังไม่เบา ราบเรียบราวกับเมื่อคืนไม่ได้แกล้งเย้าสัมผัสนาง

เจ้าของฐานะซูเฟยยังคงหลับพริ้มไม่ได้สติ หลิวเช่อเลิกคิ้วขึ้น “ ตื่นได้แล้ว ” หลังจากค้นพบว่าความขัดเขินของนางมักถูกผลักออกมาในรูปแบบดื้อรั้น เขาก็พบว่าตนเองให้ความสนใจกับมันมากกว่าที่คิดเอาไว้ รบกวนนางในตอนที่ไม่อยากตื่นอย่างนี้หากลืมตามาก็คงได้เห็นท่าทางโวยวายพอให้ขบขันของนาง

แต่มันก็เป็นไปตามที่เขาคาด นางไม่ตื่นและคงไม่ตื่นในเร็ว ๆ นี้แต่ก็ช่วยไม่ได้.. โอรสสวรรค์ส่ายหัวด้วยความขบขัน เมื่อคืนเขาเป็นฝ่ายกรอกเซียนเมามายเข้าปากนางไปไม่น้อย ขนาดตัวเขาที่ดื่มไปราว ๆ สี่ห้าจอกผลกระทบของภาพลวงตายังเหลือมาจนถึงยามนี้ ถึงจะเสียดาย(?)แต่หลิวเช่อก็ตัดสินใจยกศีรษะนางขึ้นจากอกและวางลงที่หมอน

โอรสสวรรค์ลุกจากเตียงและหันไปทุ่มเทกับการจัดการตนเองให้เรียบร้อยโดยไม่ระมัดระวังเกี่ยวกับเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว คล้ายจงใจให้คนที่นอนบนเตียงถูกรบกวนด้วยเสียงการเคลื่อนไหวจนตื่นขึ้นมาในท้ายที่สุด ทว่าหลิวเช่อคาดเดาความขี้เซาของคนเมาน้อยเกินไป ไม่ว่าเขาจะอาบน้ำ สวมเสื้อผ้า หรือแม้แต่จิบชาทานของว่าง

ลู่ไป๋หรั่นก็ยังไม่ตื่น

คิ้วของเขากระตุกอย่างช่วยไม่ได้ โอรสสวรรค์สวมอาภรณ์สีเข้มยืนอยู่ข้างเตียงสองมือไขว่หลังและหลุบสายลงมองร่างบางในชุดสีขาวเหลือบม่วง “ ซูเฟย ” เขาเรียกนางอีกครั้งและอีกครั้ง หลิวเช่อขมวดคิ้ว ช้อนร่างที่ยังมีกลิ่นสุราคละคลุ้งขึ้นมาพิงอก “ เด็กโง่ ตื่นได้แล้ว ”

“ ฝ่าบาท ใกล้จะได้เวลาเสด็จแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ” เสียงของจางกงกงที่รายงานเบา ๆ จากด้านนอกทำให้เขาเริ่มจะอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว เนตรคู่คมของมังกรสุริยันตวัดมองเงาของผู้ติดตามจนเขาคนนั้นสะดุ้งเฮือกทั้งที่ไม่ได้รับรู้ถึงสายตาโดยตรง

“ ได้ยินหรือไม่ เจิ้นต้องไปแล้ว ”

ขนาดนี้ก็ยังไม่ตื่น องค์จักรพรรดิส่ายศีรษะไปมา มือของเขาปัดเส้นผมที่ตกลงมายังไปหน้าของนาง ตัดสินใจวางหญิงสาวลงกับหมอนอีกครั้ง หากรั้งรอกว่านี้คงไม่ดี ให้นางกำนัลที่ห้องทรงพระภูษาช่วยจัดการเสียก็สิ้นเรื่อง ถึงจะไม่นึกถูกใจกับความคิดนี้นักแต่เขาก็มีทางเลือกไม่มาก เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หลิวเช่อก็ขยับลุกขึ้นจากเตียง

หมับ !

ชายแขนเสื้อของเขาถูกคว้าเอาไว้จนตัวเซ หลิวเช่อหันขวับกลับไปมองคนบนเตียง เห็นว่าเป็นนางที่ขมวดคิ้วและคว้าอาภรณ์ของเขาเอาไว้ “ ตื่นแล้ว? ” น้ำเสียงที่ใช้มีทั้งแปลกใจ อดกลั้น และขบขัน เมื่อพบว่าคนที่รั้งเขายังไม่ทันได้ลืมตาด้วยซ้ำ เพื่อไม่ให้นางต้องลำบากเกินไป หลิวเช่อนั่งลงกับข้างเตียงวางมือข้างที่นางรั้งลงบนศีษระของนาง

“ ฝ่าบาท.. หม่อมฉัน…ลืมตาไม่ขึ้น.. ” เสียงหัวเราะในลำคอทุ้มกังวานของเขาพรมลงกับใจนาง ไป๋หรั่นพยายามปรือตา ใบหน้างามของนางเหยเกด้วยความเจ็บ ศีรษะเล็ก ๆ ขยับถูไถกับมือหยาบกระด้าง “ ปวดหัว.. ”

“ ข้างนอกเตรียมน้ำแกงสร่างเมาไว้แล้ว อีกเดี๋ยวเจ้าค่อยดื่ม ”

ตลอดทั้งเช้าเขารอให้นางตื่นทว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาจริง ๆ เขากลับไม่แน่ใจว่าควรทำสิ่งใดเป็นอย่างแรก เขาไม่เคยดูแลใคร โดยเฉพาะสตรี หลิวเช่อทราบดีว่าการกระทำอย่างนี้เป็นเรื่องวุ่นวายแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเท่าที่คิด ระหว่างที่เขากำลังพิจารณาว่าควรต้องทำอย่างไรสาวงามเจ้าของตำหนักตงเฉินก็คล้ายจะรู้วิธีรับมือกับสภาพเช่นนี้มากกว่าที่เขารู้ นางยันตัวขึ้นนั่งเชื่องช้าแต่มั่นคง หลับตาปรับลมหายใจให้สงบ ก่อนจะพยายามลุกขึ้นด้วยตนเองจนเซถลา หลิวเช่อไม่ได้เอ่ยอะไรแม้ว่าจะประหลาดใจที่ถึงขั้นนี้แล้วนางก็ยังไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา?

โอรสสวรรค์กอดอกเฝ้าดูพระชายาของตนเองเดินสะเปะสะปะไปยังอ่างรองน้ำล้างมือล้างหน้าโดยไม่ละสายตา เสียงกวักน้ำและงึมงัมด้วยความง่วงงุนถึงจะบางเบาแต่กลับสะท้อนก้องไปทั้งหัวใจ “ ไม่ต้องรีบ ” เขากล่าวกับสาวงามที่กำลังยกผ้าขึ้นซับหยดน้ำที่เกาะบนใบหน้า

“ เจิ้นจะไปแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ ”

“ เดี๋ยวก่อน เกศาพระอ—- ” พูดไม่ทันขาดคำ นงคราญที่ยังโซซัดโซเซเพราะสุราก็สะดุดข้อเท้าตัวเองร่างทรุดฮวบ ไป๋หรั่นหลับตาปี๋เตรียมใจรับแรงกระแทกที่กำลังจะแผ่พล่านไปทั่วร่างกาย ทว่าที่นางสัมผัสได้กลับมีแค่บางสิ่งคว้าเอวนางไว้แล้วพลิกประคองให้ร่างนางล้มลงกับเตียงแทนที่จะเป็นพื้น

“ เซียนเมามายคงจะแรงไปสำหรับเจ้าจริง ๆ ”

ครั้งที่ดื่มนารีแดงนางกินไปคนเดียวตั้งหลายไหยังไม่หนักเท่านี้ คิ้วของโอรสสวรรค์ขมวดเข้าหากันโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบัดนี้สตรีในอ้อมแขนแก้มแดงจนแทบระเบิด ถึงความทรงจำเมื่อคืนจะเลือนลางแต่หนึ่งสิ่งที่ลืมไม่ได้คือความรู้สึกมือกร้านของชายที่ใช้ชีวิตโดยไม่นึกดูแลข้างหนึ่งประคองเอวอีกข้างวางลงบนสะโพกนาง ตลอดชีวิตไป๋หรั่นไม่เคยใกล้ชิดชายใดสมควรจะไม่คุ้นชินกับสัมผัสนี้ แต่เหตุใดถึง..



‘ ใต้แสงจันทร์เจิดจรัสพิสุทธิ์ใส
สองเงาไหวเคียงกันพลันสะท้อน
ดั่งรัตติกาลนำรักฝากบทกลอน
สายใยซ่อนในแววตาพาอ่อนโยน ’

เสี้ยววินาทีที่สบตา ราวกับว่าฤทธิ์ของเซียนเมามายที่ตกค้างพลันกำเริบขึ้นมา แก้มนางร้อนผาว หัวใจเต้นระส่ำจนไม่อาจได้ยินเสียงอื่น ๆ มีแค่เสียงหัวใจเท่านั้นที่กึกก้องซ้ำไปมา เมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาอันซับซ้อนของเขา นางมักรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจ้อยไร้กำลังต่อกร

“ ซูเฟย ”

“ พ เพคะ ”

“ พักผ่อนเสีย ” เขากำชับพลางกดร่างนางให้นอนแนบไปลงกับเตียง เนตรมังกรของโอรสสวรรค์จับจ้องที่กายนางอย่างตั้งมั่นจนผิวเริ่มร้อนผาวไปตามสายตาของเขา หลิวเช่อใช้เวลาสำรวจดูท่าทางขวยเขินแกมตื่นตระหนกนี้อย่างพึงพอใจจนได้ยินเสียงเตือนจากด้านนอกว่าถึงเวลาต้องไปแล้ว “ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องทำแล้ว ”

“ เอาเวลาไปทบทวนคำพูดข้าเมื่อคืนให้ครบเสียยังดีกว่า ”



[NPC-01] ฮั่นอู่ตี้
+5 สนทนาประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง
+20 ความสัมพันธ์จับคู่ สุราเกรดแดง
+5 โบนัสความสัมพันธ์อาหารประเภทอาหารปรุง
+15 โบนัสความสัมพันธ์โดดเด่นมีเอกลักษณ์
+?? ความสัมพันธ์เป็นตุ๊กตาให้ฝ่าบาทเล่น

ทำกิจกรรมสันทนาการกับหวงตี้ +15 บารมี
ปรนนิบัติหวงตี้ยามค่ำคืน +20 บารมี

ปรนนิบัติทุกค่ำคืน = 1 ปรนนิบัติ
ยังไงรอบนี้มันก็ลึกซึ้งกว่านอนเฉย ๆ แล้ว มีโบนัสอะไรอีกไหมคะ






แสดงความคิดเห็น

++มีต่อพาร์ทจางกงกงอีกเล็กน้อย++  โพสต์ 2024-10-31 18:42
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-01] ฮั่นอู่ตี้ เพิ่มขึ้น 130 โพสต์ 2024-10-31 18:40
+โบนัส 60 ค่าบารมี  โพสต์ 2024-10-31 18:40
โพสต์ 78,585 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-10-31 17:59
โพสต์ 78,585 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-10-31 17:59

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ปรนนิบัติ/ฝึกซ้อม +1 พลังปราณ +95 ย่อ เหตุผล
Admin + 1 + 95

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-11-1 01:43:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2024-11-1 13:40




ตบรางวัล
15 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


“ ไม่พบ ”

แค่สองคำไม่ดังไม่เบาก็ทำเอาชายชุดแดงหน้าประตูเรือนยิ้มค้างกลางอากาศ จางกงกงมาเยือนตำหนักตงเฉินอีกครั้งหลังรับเสด็จในยามรุ่งสาง ครั้งนี้เขามาเพื่อประทานรางวัลตามคำสั่งของหวงตี้ แต่ผู้ที่จะได้รับรางวัลกลับปฏิเสธการขอเข้าพบ ? จงฉางซื่อจะยิ้มก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก เขายอมรับว่าเมื่อคืนนี้ลงทุนไปมากในการจัดฉากให้ทั้งสองได้ใช้เวลาสำราญอย่างเป็นส่วนตัว ฝ่าบาทเองก็ดูจะพึงพอใจ แล้วเหตุใดพระชายาตัวน้อยถึงได้มีอาการเช่นนี้กัน

“ กระหม่อมมาเพื่อถวายของพระราชทานจากฝ่าบาทที่ทรงต้องการมอบให้พระชายา ได้โปรดพิจารณาใหม่อีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ ” จางห่าวหมิงไม่เคยยอมแพ้ ครั้งนี้เขาทูลเอ่ยด้วยตนเอง และรอการตอบรับจากคนที่อยู่ในเรือนอย่างใจจดใจจ่อ

เสียงภายในเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของเสี่ยวเว่ยจื่อที่ก้าวออกมาเพื่อเปิดประตูต้อนรับการมาถึงของจางกงกงอย่างสุภาพ “ พระชายาเชิญให้ท่านเข้าไปด้านใน ” ขันทีน้อยโน้มลงรักษาระยะห่างและท่าทีเป็นอย่างดี บ่งบอกถึงการเติบโตในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่น่าพึงพอใจ

“ กระหม่อมใจหายแทบแย่ เมื่อได้ยินว่าพระชายามิต้องการพบกระหม่อมแล้ว ” ต่อให้ผ่านสงครามหรือการหยามเหยียด สิ่งหนึ่งที่จะไม่มีทางเปลี่ยนไปสำหรับจางห่าวหมิงย่อมเป็นฝีปากคมกล้าที่ไม่เคยลดลงเพื่อผู้ใดยกเว้นนายเหนือหัว “ คารวะซูเฟยเหนียงเหนียง กระหม่อมขอเข้าเฝ้าเพื่อถวายของพระราชทานพ่ะย่ะค่ะ ”

“ ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าคนที่ฝ่าบาทส่งมาจะเป็นท่าน ”

เนตรหงส์ของนงคราญวาวโรจน์อย่างอันตราย นางเชื่อว่าสวามีของตนเองจะต้องสามารถจับแนวทางได้แน่นอนว่าความไม่เรียบร้อยเมื่อคืนนี้เป็นฝีมือของใคร แต่ในเวลานี้หลิวเช่อก็ยังส่งจางกงกงมาเป็นผู้ตกรางวัล.. เขากำลังจะบอกอะไร ให้นางจัดการได้ตามสบาย หรือกำลังเตือนว่าสมควรปล่อยผ่าน?

“ หน้าที่ของกระหม่อมมีเพื่อรับใช้ฝ่าบาท หวังว่าพระชายาจะทรงเข้าใจในเหตุผลของกระหม่อม ” สองมือของห่าวหมิงประคองถาดทองมาเหมือนอย่างเคย บนถาดนั้นมีไหสุราวางเคียงกันอยู่สองไห สะดุดตาจนน่าประหลาด “ ฝ่าบาทแจ้งว่า ‘คลังสุราตำหนักตงเฉินมีน้อยนัก เกรงว่าคงไม่สะดวกต่อผู้ชอบสะสมเช่นพระชายา จึงได้ส่งนารีแดงสองไหนี้มาเป็นของปลอบใจ จากนี้ไปหากฝ่าบาททรงพบสุราหายาก จะให้คนทำการนำมาส่งมอบ’ พ่ะย่ะค่ะ ”

ท่าทางของห่าวหมิงดูเรียบง่ายเสียจนนางอยากตะโกนถามว่ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร เมื่อคืนคลังสุราของนางหายเกลี้ยงแต่พอมาถึงเที่ยงวัน คลังสุราของนางกลับแน่นเอี๊ยดชนิดที่ดื่มตลอดทั้งปีก็ยังหายไปไม่ถึงครึ่ง จางห่าวหมิง เจ้าคนโกหกน่าตาย !

ไป๋หรั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เสี่ยวเว่ยจื่อเดินไปรับสุราทั้งสองไหและนำไปเก็บยังคลังสุรา “ ปกติแล้วจางกงกงมาเยี่ยมเยือนเช่นนี้มักมีเรื่องเปิดหูเปิดตาให้เปิ่นกงได้ประหลาดใจทุกครั้ง มิทราบครั้งนี้พกเรื่องใดมาอีกเล่า ” คำพูดของนางทำให้หัวหน้าขันทีไร้เพศผู้นั้นหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“ พระชายายกยอกระหม่อมเกินไปแล้ว ” รอยยิ้มของเขาเหยียดออกจนตาหยีคล้ายอสรพิษที่พร้อมจะพ่นพิษร้าย ห่าวหมิงขยับเดินมาข้างหน้า โน้มตัวลงช้า ๆ คุกเข่าตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา “ หากพระชายารู้สึกมีอาการป่วยอันใดให้รีบแจ้งกระหม่อม กระหม่อมจะได้เร่งตามหมอหลวงมาตรวจดู เผื่อจะมีโอกาสได้แจ้งข่าวดีแก่ฝ่าบาท ”

ไม่ผิดไปจากที่คาดไป๋หรั่นหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาสีผืนฟ้ายามสนธยาเปี่ยมล้นด้วยความขบขัน “ เปิ่นกงมีบุตรสาวมาแล้วหนึ่งคนเรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือจงฉางซื่อหรอก ” หากนางคาดการไม่ผิด.. ถ้าท้องขึ้นมา คนที่จะรู้ตัวก่อนใคร หรือสังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติย่อมเป็นคนของจางกงกงที่แอบแฝงอยู่ในตำหนัก ถึงจะจำไม่ค่อยได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อคืน แต่ความรู้สึกและหลักฐานหลายอย่างบ่งบอกว่ายังไม่มีการล่วงเกินพรหมจรรย์

ถือว่าฝ่าบาทเมตตามากทีเดียว

“ ในเมื่อพระชายาไม่กังวล กระหม่อมก็ไม่มีเรื่องให้ต้องระแวง ” จนถึงตอนนี้เขาก็ยังสวมบทผู้สนับสนุนที่คล้อยตามไปเสียทุกอย่าง จางกงกงค่อย ๆ ยกหลังขึ้นกลับมายืนตรง สองมือประสานไว้แถวหน้าท้องก่อนจะเกริ่นอวยพรยาวเหยียดและขอตัวจากไป ปล่อยให้สาวงามครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลายชีวิตคาดหวังให้ถือกำเนิดในครรภ์ของนาง

“ ลูกเหรอ.. ” ไป๋หรั่นพึมพัมกับตัวเองเสียงเบา “ เรื่องแบบนั้นในวังหลวง ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัวเกินไปแล้ว ”



[NPC-11] จางกงกง
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์หัวดี

รับนารีแดง 2 ไห

ทุกครั้งที่ความสัมพันธ์หัวใจหวงตี้หรือไท่โฮ่วเพิ่มขึ้น 1 ดวง +50 บารมี (โรลที่แล้ว)
การอัปเลเวลของผู้ติดตาม +10 บารมี(หลี่ผู่เยว่)






แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2024-11-1 09:39
โพสต์ 13785 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2024-11-1 01:43
โพสต์ 13,785 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-11-1 01:43
โพสต์ 13,785 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-11-1 01:43
โพสต์ 13,785 ไบต์และได้รับ +4 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-11-1 01:43

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +60 ย่อ เหตุผล
Admin + 60

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2024-11-1 13:44:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด



พักผ่อน
20 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


หลายวันหลังจากนั้นในที่สุดไป๋หรั่นก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ช่วงเวลาพบปะแขกจบลงแล้วตำหนักตงเฉินกลับมาเป็นอันดับหนึ่งด้านการปลีกวิเวก สมแล้วที่ถูกขนานนามว่าตำหนักลับแลของนางเซียน ในค่ำคืนดึกสงัดหลายชีวิตล้วนเข้านอนกันไปหมดแล้วยกเว้นโฉมสะคราญผู้ครองตำหนัก ไป๋หรั่นนั่งอยู่หน้าคันฉ่อง เส้นเกศาสีเข้มดำขลับถูกปัดพาดไหล่มาด้านหน้าเพื่อให้ง่ายต่อการใช้หวีสางเส้นผม

ไม่รู้ทำไมวันนี้อยู่ ๆ หรูเยี่ยนก็นึกคึกขอไปนอนคนเดียวที่เรือนรื่อฮุ่ย เดือดร้อนนางต้องยอมสละผู่เยว่ นางกำนัลคนสนิทให้ตามไปคอยอยู่ดูแลจนต้องมานั่งตัวคนเดียวในเวลาอย่างนี้ นัยน์ตาทรงเสน่ห์ของสาวงามจับจ้องที่เงาสะท้อนในคันฉ่อง ยิ่งวันเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งงามขึ้น ๆ ราวกับไร้ขอบเขตสิ้นสุดในความงามนี้จนเจ้าตัวนึกหวั่นใจ

ความงามเหล่านี้จะอยู่ไปได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว

เมื่อถึงวันหนึ่ง เหล่ามนุษย์ก็ต้องโรยรา ไม่แน่ว่าเมื่อถึงวันนั้น.. ความสนใจทั้งหมดที่ได้รับอาจจะเลือนหายไปตามอากาศ ไป๋หรั่นสมควรคิดหาทางสำรอง อย่างไรเสียแซ่ลู่ก็คงค้ำฟ้าแดนค้าขายไปอีกนาน นางไม่ขาดทรัพยากรการเริ่มต้นใหม่ไม่ว่าจะคนหรือทรัพย์สิน ขอแค่ไม่เลือกข้างผิดหรือล้มกลางทาง

ทว่าหากนางมีลูกชาย..

มือบางข้างที่ใช้ประคองผมค่อย ๆ ลดลงมาสัมผัสหน้าท้องด้วยความกังวล ถ้าวันหนึ่งนางให้กำเนิดลูกชายต่อให้อยากหนีอย่างไรก็ไม่พ้นถูกลากเข้าวังวนช่วงชิง จะทำได้หรือเปล่านะ.. ด้วยตัวตนของคนอย่างนาง สิ่งที่นางมี จะเพียงพอหรือไม่ในการปกป้องวิถีชีวิตที่เรียกได้ว่าอันตรายที่สุดในแผ่นดินนั้นก็คือการเกิดเป็นลูกชายขององค์จักรพรรดิ

“ ช่างเถอะ ”

เรื่องยังไม่เกิดถ้ามัวแต่กังวลคงเสียเวลา หวีหยกถูกวางลงเก็บในช่องเล็ก ๆ ของกล่องไม้ นางปัดเส้นผมที่ปล่อยสยายไปด้านหลัง และลุกขึ้นเดินไล่ดับเทียนภายในเรือนช้า ๆ จนตัวเรือนมืดสนิท อาศัยแค่แสงจันทร์คอยส่องประคองนำสายตาให้พอเห็นแค่เลือนลาง บนเตียงนุ่มที่โอบล้อมไปด้วยกลิ่นหอมหวานของสวนฝูหรงลี้ลับ ร่างงามเอนลงนอนราบอย่างแช่มช้าพลางปิดเปลือกตาส่งตัวเองเข้าสู่นิทราดังเช่นทุกคืน



| ขอรับนิมิตภารกิจการเผชิญหน้า มังกรทอง & จิ้งจอกเจ็ดหาง






แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 7592 ไบต์และได้รับ 3 EXP!  โพสต์ 2024-11-1 13:44
โพสต์ 7,592 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2024-11-1 13:44
โพสต์ 7,592 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2024-11-1 13:44
โพสต์ 7,592 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2024-11-1 13:44
โพสต์ 7,592 ไบต์และได้รับ +2 ความชั่ว +3 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2024-11-1 13:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-4-17 14:40:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2025-5-9 19:38

บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ มารผจญ
ซูเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงสาย - 21 เดือน 09 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


นิทรานี้มอบฝันร้ายอันแสนยาวนานให้แก่นาง แผ่นหลังของดรุณีหยกผลักขึ้นจากเตียงนอนอย่างแรง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ ดวงหน้างามซีดเซียวประหนึ่งหยกแม้แต่ผิวกายยังรู้สึกได้ว่าเย็นเฉียบ มือขาวยกขึ้นคลึงหว่างคิ้วช้า ๆ ทุกครั้งที่กะพริบตาราวกับว่าหวนคืนสู่แสงสีเสมือนจริงในฝันนั้นอยู่ร่ำไป เนตรสีนิลของนงคราญหลุบลงมองสองมือที่สั่นไหว ผ่านมาหลายราตรีแล้วหลังจากฝันร้ายในค่ำคืนนั้น ทว่านางกลับไมอาจสลัดความกังวลใจออกไปได้ ไป๋หรั่นกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ท่ามกลางคืนที่หนาวเหน็บนี้เกรงว่านางคงมิอาจฝืนทนได้เพียงลำพังเสียแล้ว

“ ..ผู่เยว่ ”

เสียงเพรียกหาของผู้เป็นนายนำทางให้นางกำนัลเคลื่อนขยับอย่างนอบน้อมอยู่นอกประตูเรือน “ เพคะพระชายา ”

“ เตรียมน้ำ ” สองขาเรียวหย่อนลงจากเตียงไม้ ปลายเท้าของนางสัมผัสกับพื้นอันเย็นเฉียบด้วยความไม่ทันระวัง ไป๋หรั่นชักเท้ากลับเล็กน้อย สีหน้าท่าทางยังไม่ตื่นดีแต่กลับไม่มีความต้องการที่จะพักผ่อนต่อเลยแม้แต่น้อย “ วันนี้ไปถวายพระพรไท่โฮ่วเช้าขึ้นอีกสักหน่อย ”



จากรุ่งสางที่อาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นดำเนินมาถึงเช้าอันแสนอบอุ่น ธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องคอยถวายพระพรผู้ยศใหญ่กว่าผ่านไปอย่างเรียบง่าย จวบจนถึงยามที่นางกลับมายังตำหนักของตนเอง รอยยิ้มของไป๋หรั่นฝืดเคืองมาตลอดทั้งเช้า แค่เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเซียวจื่อไท่โฮ่วก็มากพอจะทำให้นางใจกระตุกด้วยความกระอักกระอ่วน ภาพฝันลี้ลับนั้นยังคงตามวนเวียนและหลอกหลอนให้นางไม่อาจนึกถึงสิ่งอื่นใด ‘ ลางร้าย.. เป็นลางร้ายไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดจึงแจ้งแก่หม่อมฉันเล่าเพคะองค์หญิง ’

“ พระชายา หรือว่าวันนี้จะทรงเสด็จไปศาลบรรพชนเพื่อร่วมสวดภาวนากับไท่โฮวดีเพคะ? ” ผู่เยว่พอได้ยินจากนายหญิงของตนมาแล้วว่าอีกฝ่ายฝันร้าย ถึงจะไม่มีรายละเอียดใดหลุดออกมาแต่นางก็ทราบดีว่าผู้เป็นนายไม่สะดวกใจจะพูดถึง

“ ก็ดี.. ” ไป๋หรั่นพึมพัม ซูเฟยแห่งตำหนักตงเฉินหลับตาลงเพื่อตั้งสติทว่าก่อนที่นางจะสั่งการให้เตรียมตัว เสี่ยวหวังจื่อก็เดินอย่างรีบร้อนสวนทางกับสีหน้าเรียบเฉยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้จะไม่มีโอกาสให้สนทนากันบ่อยนักแต่การเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในสายตาของนางเสมอ ไป๋หรั่นชำเลืองมองขันทีวัยเยาว์ประจำตำหนักก่อนจะหยักยิ้มเบาบาง

“ มีอันใดหรือ? ”

“ โจวเหม่ยเหรินและเสิ่นเหม่ยเหรินขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ” ขันทีน้อยประจำตำหนักของนางรายงานนามของผู้ประสงค์เข้าพบอย่างกระชับฉับไว สาวงามแซ่ลู่ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจสองนามที่กล่าวมานี้ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับนางมาก่อน ดูแล้วคงเป็นคนที่อยากลองเชิงอีกตามเคย

“ พวกนางได้กล่าวว่ามีเหตุจำเป็นหรือไม่? ”

เพื่อที่จะไม่ถูกครหาว่าเย่อหยิ่งทะนงตน ไป๋หรั่นถามเสียงเรียบเพื่อประเมินความเป็นไปได้ สาวงามสะบัดชายแขนอาภรณ์ช้า ๆ พร้อมฟังคำตอบจากเสี่ยวเว่ยจื่อที่รายงานอย่างมั่นคง “ ทั้งสองกล่าวว่าทรงห่วงในพลานามัยของพระชายา จึงตั้งใจมาถวายชาชั้นดีและเยี่ยมเยือนพ่ะย่ะค่ะ ”

ไป๋หรั่นบัดนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอยู่ในสภาวะพร้อมต้อนรับแขกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางหม่นลงอย่างไร้สาเหตุ ทำให้ผู่เยว่และเว่ยปินหนาวไปจนถึงกระดูกสันหลัง “ ให้พวกนางเข้ามา ” เว่ยปินพยักหน้าก่อนจะก้าวออกไปเชิญแขกให้มาสู่เขตชั้นใน

ย่างเข้าเหมันต์ฤดูแล้ว.. อากาศเย็นลงสวนทางกับความงามของตำหนักตงเฉินที่เริ่มผลิบาน รอจนน้ำในบ่อกลายเป็นลานน้ำแข็งเสียก่อนเถอะ เขตตำหนักที่ขนานนามว่าสรวงสวรรค์แห่งเหมันต์คงไม่ปล่อยให้ดวงใจของชายผู้ครองทั้งแผ่นดินหลุดรอดไปโดยง่าย ทว่าความคิดความทุ่มเทของนางกลับไม่ได้อยู่ที่สวามี

“ กรี๊ดดด— ”

เพล๊ง !

เสียงกรีดร้องและของแตกทำให้นายบ่าวที่อยู่ด้านในชะงัก ไป๋หรั่นยันกายขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล เสียงโหวกเหวกที่ดังขึ้นฉับพลันทำให้สองฝั่งขมับบีบรัดจนแทบทนไม่ไหว ผู่เยว่เห็นท่าไม่ดีก็รีบพยักเพยิดให้นางกำนัลชั้นผู้น้อยออกไปดูส่วนตัวเองก็ขยับเข้ามาประคองพระชายา “ พระชายา พักก่อนเถิดเพคะ.. ”

“ ไม่.. ไม่ดีกว่า ให้ข้าออกไปดูหน่อย ” นงคราญหยกกล่าวเสียงเบา ยามนี้มีแขกมาเยือนหากเจ้าของตำหนักรับมือได้ไม่ดีคงไม่พ้นมีข่าวลือน่าปวดหัวแพร่สะพัดอีกตามเคย ฉะนั้นตราบเท่าที่ยังมีแรงคิดแรงขยับ นางจะคอยหลบอยู่หลังฉากไม่ได้ ไป๋หรั่นให้คนสนิทช่วยประคองเดินออกไปยังเขตรับรองแขกแล้วก็พบกับสถานการณ์วุ่นวายที่ชวนให้ขมวดคิ้ว

บนพื้นมีเศษหยกกระจัดกระจายไปทั่ว ข้าง ๆ โต๊ะไม้ที่เคยมีแจกันหยกวางเอาไว้ยังมีร่างสั่นระริกของนางกำนัลน้อยหมอบกราบอยู่แทบเท้า “ พ พระชายา บ่าว .. บ่าว… ” เสียงของนางกำนัลผู้นั้นสั่นเครือ ไม่ทันให้ไป๋หรั่นได้อ้าปากเสียงฝีเท้าหลายครู่ก็ขยับใกล้เข้ามาพร้อมการปรากฏตัวของเสิ่นและโจวเหม่ยเหรินที่สีหน้าตื่นตกใจ

“ เกิดอะไรขึ้นเพคะพระชายา ”

“ ต ตายจริง นี่มันอะไร.. ”

สองสาวงามยกมือป้องปากทำตาเบิกกว้างตรงข้ามกับเจ้าของตำหนักที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ โจวเหม่ยเหริน เสิ่นเหม่ยเหริน ” เสียงนุ่มของชายาแซ่ลู่ทำให้สองนางต้องยอบกายลงคารวะตามพิธีการ ดวงตาของพระชายาหยกเคลื่อนไปมองผู้มาเยือนด้วยแววประหลาดใจ ‘ คนหนึ่งเขียวอย่างกับหยก อีกคนเหลืองราวกับตู้เจวียน.. ยืนคู่กันเช่นนี้ ดูแล้วคล้ายอิงอู่(นกแก้ว)นัก ’

ทว่าเวลาให้คิดฟุ้งซ่านมีได้ไม่นาน ความสงบเสงี่ยมของผู้มาเยือนเริ่มเลือนหาย เมื่อหนึ่งในสองของคนที่มาดันรู้มากเกินควร “ แจกันชิ้นนี้.. แจกันชิ้นนี้… ” สาวงามแซ่เสิ่นเลื่อนมือมาวางบนอก สีหน้าท่าทางเจ็บปวดจนน้ำตารื้น นางเม้มริมฝีปากยื่นมือชี้ไปที่นางกำนัลน้อยผู้นั้น ปั้นสีหน้าผิดหวังแกมขุ่นเคือง “ ของมีค่าควรเมืองชิ้นนี้เป็นฝ่าบาทประทานให้พระชายา เจ้าทำมันแตกได้อย่างไร ! ไม่มีตาเหรอ !

เหตุใดจึงต้องเป็นคนหัวหมออย่างเสิ่นเหม่ยเหรินที่สังเกตเห็นจุดเล็กจุดน้อยแบบนี้ทุกที คิ้วบางของพระชายาหยกเลิกขึ้นช้า ๆ เมื่อเสิ่นเหม่ยเหรินทิ้งสหายอย่างโจวเหม่ยเหรินไว้ข้างหลังแล้วย่ำเท้าก้าวมายืนข้างกาย ใบหน้าที่สมควรเรียกว่าเย่อหยิ่งจองหองบัดนี้เปลี่ยนมาเป็นความเวทนาที่มีต่อนาง ก่อนจะตามด้วยความโกรธเคืองเมื่อมองไปยังข้ารับใช้

“ เจ้าสะเพร่าอย่างนี้ คิดอยากทำให้พระชายาเดือดร้อนใช่หรือไม่! ” ไม่ว่าจะด้วยจินตนาการล้ำลึกหรือแค่อยากสร้างสถานการณ์ การกระทำนี้ของเสิ่นเหม่ยเหรินนับว่าเป็นการร้ายมากกว่าดี ใช่ว่าจะส่งผลร้ายกับลู่ไป๋หรั่น แต่เป็นร้ายกับตัวเสิ่นเหม่ยเหรินเองเสียมากกว่า อาศัยแค่สีหน้า ท่าทางถมึงทึงของสาวงามแซ่เสิ่นเพียงคนเดียวก็ทำให้ข้ารับใช้ที่พลาดพลั้งถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกราบกรานอยู่กับพื้น

“ มิใช่นะเพคะ หม่อมฉันมิบังอาจ ”

“ โกหก ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีก ”

เสิ่นเหม่ยเหรินชี้นิ้วไปยังข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยประหนึ่งว่าสามารคกำหนดโทษทัณฑ์ในที่แห่งนี้ได้ ก่อนจะหันกลับมาสบตาพระชายาหยกขาวที่แต่ต้นจนจบก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ‘ ประหลาดนัก.. ของล้ำค่าอย่างนี้เสียหายแต่กลับไม่โวยวาย ปล่อยข้าตีโพยตีพายอยู่ลำพัง ’ เนตรดอกท้อของผู้ที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม บัดนี้เหมือนจะสั่นคลอน “ พระชายา ทำอย่างไรดีเพคะ หม่อมฉันได้ยินเรื่องเล่ากันมาว่าฝ่าบาททรงถนอมแจกันใบนี้มาก หากว่าฝ่าบาทรู้เข้า.. ”

พูดไม่ทันได้จบ ใบหน้าผุดผาดที่พัดแป้งมาเป็นอย่างดีก็บิดเบี้ยวเสมือนปวดใจ กายเพรียวดั่งหลิวที่ลู่ลมส่ายไปมาก่อนจะทรุดลงในการประคองของโจวเหม่ยเหรินผู้เป็นสหายใกล้ชิด “ หม่อมฉัน.. ” บุคคลจำพวกที่อาศัยในวังได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ อาการอย่างนี้ที่คนเรียกกันว่า ‘ วิงเวียนศีรษะ ’ ล้วนถูกใช้เป็นไพ่ตายกดดันหรือไม่ก็หนีเอาตัวรอด

น่าสนใจ ตำหนักตงเฉินร่มเย็นมานาน เจออย่างนี้นับว่าเปิดหูเปิดตา

“ ทั้งสองมาเยือนทั้งที พบเรื่องเช่นนี้ นับว่าเป็นข้าดูแลไม่เรียบร้อยเอง ” ประโยคเดียวสะเทือนไปทั้งตำหนัก น้ำเสียงของพระชายาเพียงหนึ่งเดียวในรั้ววังนุ่มนวล ไร้แรงเสียดทาน ต่างจากท่าทางวางอำนาจเมื่อครู่ของเหม่ยเหรินแซ่เสิ่นอย่างชัดเจน “ นับว่าเสิ่นเหม่ยเหรินใส่ใจนัก ข้ายังไม่ทันนึกว่าแจกันนี้เป็นชิ้นใด เจ้าก็รู้เสียแล้วว่าเป็นชิ้นที่ฝ่าบาทชมชอบ เรื่องความใส่ใจนี้.. ข้ายังบกพร่องไปจริง ๆ ”

จากที่ซีดปลอมเปลือก ตอนนี้เหมือนจะซีดจริงเข้าให้แล้ว ใบหน้าของเสิ่นเหม่ยเหรินผ่านไปได้แค่ไม่กี่อึดใจก็ซูบลงทันตา “ พระชายา หม่อมฉันแค่.. แค่ ” จะหาคำมาแก่ตัวก็คงไม่ทัน ตัวของเหม่ยเหรินน้อยสั่นระริกในอ้อมแขนของสหายต่อหน้าสายตาซึ่งไร้น้ำหนักกดดัน — ลู่ไป๋หรั่นมีวิธีทำให้คนวิตกโดยไม่ต้องพยายาม นางไม่เคยคิดยกตนข่มใคร แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้คนกลัวไม่ได้

ในวังหลวง ไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้ถึงระดับความเป็นมาที่ลึกซึ้งไม่ธรรมดาของนางกับฝ่าบาท แต่บัดนี้ไป๋หรั่นตัดสินใจยัดเยียดบท ‘ แม่นางผู้ใส่ใจฝ่าบาทยิ่ง ’ กันอย่างซึ่ง ๆ หน้าให้กับเสิ่นเหม่ยเหริน หลายคนคงต้องนึกขันเป็นธรรมดา ว่ากระทั่งคนที่ฝ่าบาทรักยิ่งยังไม่ถือสา แล้วคนนอกเช่นนางจะมีสิทธิ์อะไร

เนตรสิงคาลคู่งามของผู้เป็นพระชายาจำต้องหรี่ลงพิจารณา แต่แล้วหนึ่งวาจาที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของคนแซ่เสิ่นผู้นี้เกือบจะทำให้ไป๋หรั่นสำลัก “ พระชายา ทรงอย่ากริ้วเลยเพคะ ” มือข้างหนึ่งของนงคราญหยกยกขึ้นป้องปากช้า ๆ ชวนให้คนมองนึกหวาดผวาไปไกล

“ กริ้ว? มีอันใดให้ต้องกริ้ว ” ไป๋หรั่นปัดมือเบา ๆ เป็นสัญญาณที่บอกว่าไม่ได้คิดจะถือสา ใบหน้างามผินมองไปทางนางกำนัลคนสนิทที่ยืนคอยอยู่ด้านหลัง “ ผู่เยว่ พาเสิ่นเหม่ยเหรินกับโจวเหม่ยเหรินไปที่เรือนรับรองเถิด เปิ่นกงจะจัดการที่นี่เอง ”

“ พระชายา ! ” ต้นตอของการขานเรียกเสียงดังนี้ย่อมเป็นเพราะเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิด อย่างการที่หญิงงามผู้เป็นถึงซูเฟยตัดสินใจยอบกายลงหยิบเศษแจกันที่ละชิ้นซึ่งกระจัดกระจายไปตามพื้นท่ามกลางใบหน้าตื่นตระหนกของนางกำนัลและเหล่าขันที “ อย่าทำเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ให้พวกกระหม่อม— ”

“ ทำไม แจกันล้ำค่าอย่างนี้ได้รับประทานมาแต่กลับดูแลได้ไม่ดี เป็นข้าเองที่ต้องรับผิดชอบ ”

ใช่ว่าไป๋หรั่นใจดีมีเมตตา แต่เป็นเพราะนางรู้ว่าสิ่งไหนควร สิ่งใดไม่ควร — แจกันนี้จะว่าเป็นของชั้นดี มีหนึ่งไม่มีสองก็จริงอยู่ แต่คนอย่างฮั่นอู่ตี้หากถนอมสิ่งใดย่อมเก็บไว้ในมือของตนเอง ฉะนั้นของพรรค์นี้มีหรือจะสำคัญแต่กระนั้นจะปล่อยผ่านราวกับว่าไร้ค่าก็คงไม่ได้ “ เจ้าไปหาเสี่ยวเว่ยจื่อ รับโทษตามกฏเสีย ” ท้ายที่สุดแล้วโทษนั้นจะร้ายหรือดีก็ไม่มีใครรู้ได้ ไป๋หรั่นไม่ยึดติดกับการระบายความโกรธในเรื่องเล็กน้อย ของชิ้นนี้แต่เดิมหากไม่ใช่เพราะว่าตกแตก นางก็คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่

“ พระชายา.. เช่นนี้เกรงว่าจะไม่สมควร โปรดเสด็จไปเรือนรับรองร่วมกับเสิ่นเหม่ยเหรินและโจวเหม่ยเหรินเถิดเพคะ ” ผู่เยว่ที่นับว่ามีศักดิ์ใหญ่สุดในบรรดาเหล่านางกำนัลตัดสินใจออกปากขัดการตัดสินใจของผู้เป็นนาย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าใจกล้าหาญเทียมฟ้า แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าผู้เป็นนายย่อมไม่เอาเปรียบผู้หวังดี ฉะนั้นแม้จะดูเหมือนก้าวก่ายในการตัดสินใจแต่ผู่เยว่ก็ยังตัดสินใจเอ่ยออกไปด้วยความระมัดระวัง

“ ก็ได้ เข้าใจแล้ว จัดการให้เรียบร้อย เศษหยกที่แตกอย่าพึ่งทิ้ง เก็บใส่ถาดเอาไว้ก่อน ประเดี๋ยวหากฝ่าบาทเสด็จมา เปิ่นกงจะแจ้งแก่พระองค์เอง ” สิ้นคำสั่งนี้ เหล่าบริวารรอบกายล้วนขานรับเสียงดัง พลางค่อมกายลงทำความเคารพเมื่อเหล่าสตรีของเจ้าแผ่นดินเดินผ่านเพื่อกลับไปยังเรือนรับรอง



“ พวกกระหม่อมได้ยินว่าวันก่อนฝ่าบาททรงให้หมอหลวงมาถวายการรักษาพระชายา จึงได้นำชาจินจวิ้นเหมยมาเป็นของขวัญเพื่อสุขภาพพระชายา หวังว่าพระชายาจะมีสุขภาพแข็งแรงเพคะ ” วาจาฟังแล้วดูหวาน น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ โจวเหม่ยเหรินในชุดสีเหลืองราวกับตู้เจวียนยอบกายอยู่หน้าขั้นบันไดซึ่งยกขึ้นเป็นฐานรองรับที่นั่งของผู้ครองตำหนัก ในมือมีถาดชาชุดหนึ่งเช่นเดียวกับในมือของเสิ่นเหม่ยเหรินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“ ลำบากพวกเจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว เปิ่นกงสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ความห่วงใยนี้ โจวเหม่ยเหรินมอบให้แก่เสิ่นเหม่ยเหรินเถิด ” ตัวคนที่ทั้งวังกล่าวว่าป่วยเพราะลมหนาว ดู ๆ แล้วก็ยังแข็งแรงอยู่ดีกินดี ใบหน้าเปล่งปลั่ง สองแก้มแดงระเรื่อตามธรรมชาติไร้การปรุงแต่ง เมื่อเทียบกับเสิ่นเหม่ยเหรินที่ทั้งแสร้งวิงเวียน แถมยังอารมณ์รุนแรง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ลู่ซูเฟยก็คล้ายว่าจะสุขภาพแข็งแรงดีจริง ๆ

“ อะแฮ่ม.. โจวเจียเจี่ยกังวลเกินไปแล้ว พระชายาทรงเป็นสตรีที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ข้าคิดว่าคงไม่มีสิ่งใดแคล้วคลาดพระชายาได้หรอก ” ในเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูท่าไม่ดี เสิ่นเหม่ยเหรินที่มือหนึ่งประคองถาดชา อีกมือโบกพัดกลมต้อย ๆ ก็รีบเอ่ยสนับสนุนพลางเอียงหน้าหลบสายตา สอดประสานกับจังหวะหัวเราะน้อย ๆ ของโจวเหม่ยเหรินที่ฟื้นตัวกลับมาได้ทัน

“ นั่นสิน้องเสิ่น พระชายาทรงมีความสามารถรอบด้าน สามารถยึดเหนี่ยวใจฝ่าบาทไว้ได้อย่างมั่นคงและพลิกจากร้ายเป็นดีได้ทุกครั้ง อีกทั้งยังสามารถหลุดพ้นจากข้อครหาฆาตกรรมได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ พวกเราย่อมมิอาจเทียบบุญญาบารมีของพระชายาได้เลย ”

“ หึ ” ถ้วยชาที่ทำจากหยกหยุดนิ่งในมือของคนงามแซ่ลู่ ดวงตาที่เคยหลุบลงมองผิวชาบัดนี้เลื่อนขึ้นมองสองสตรีผู้บ้าบิ่นด้วยความเวทนา ไป๋หรั่นไม่เคยคาดหวังในมิตรภาพของฝ่ายใน แต่ขนาดไม่คาดหวังก็ยังนึกผิดหวัง ผู้เป็นพระชายาส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจก่อนจะวางแก้วชาลงบนโต๊ะข้างกายในขณะที่เสิ่นเหม่ยเหรินกำลังแสร้งบีบน้ำตา

“ หวังว่าพระชายาจะเอ็นดูเราสองพี่น้องด้วยนะเพคะ ” หญิงงามในชุดสีมรกตยกชายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา อ่อนหวานเปราะบางยิ่งกว่าหลิวที่ลู่ไปกับลม หากไม่ใช่ว่าเห็นฤทธิ์การด่าทอนางกำนัลก่อนหน้านี้ ไป๋หรั่นคงหลงเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นสตรีวัยกำดัดที่ไร้กำลังไปแล้ว และก็ราวกับว่าจะต้องการตอกย้ำความจริงถึงพิษร้ายที่ซ่อนเอาไว้ หลังจากเงียบอยู่ได้ไม่นาน เสิ่นเหม่ยเหรินก็โพล่งขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “ จริงด้วยพี่โจว ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานนี้ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ตำหนักตงเฉินสุราเกลี้ยงตำหนัก แต่เมื่อเช้าข้ากลับได้ยินว่ามีสุราจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาภายในตำหนักไม่ขาดสาย ”

ทำเป็นกล่าวราวกับว่าไม่รู้ แต่ใจจริงคิดสร้างเรื่องกระทบกระทั่ง คนอย่างนี้ ไป๋หรั่นเจอมาเยอะจนชินแล้ว เนตรสิงคาลของพระนางหยกขาวทอประกายขบขัน ร่างงามของโฉมสะคราญเอนเข้าพิงกับส่วนวางแขนของเก้าอี้ดูแล้วเกียจคร้านผ่อนคลายเกินกว่าจะสะทกสะท้านกับการจิกกัดเล็กน้อย แต่เมื่ออ้าปาก กลับทำเอาคนลืมหายใจ “ จะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เสิ่นเหม่ยเหรินก็รอบรู้แตกฉานนัก มิทราบว่าทำได้อย่างไร แนะนำเปิ่นกงสักประโยคจะได้หรือไม่ ”

“ ได้—- ”

“ อุ๊ย น้องเสิ่นอย่าพูดไป พระชายาเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม กิริยางดงามย่อมไม่เป็นคนเจ้าแผนการหรอก ทูลพระชายา กระหม่อมขออภัยแทนเสิ่นเหม่ยเหรินที่พล้ำปากพูดโดยไม่คิดตรึกตรองด้วยนะเพคะ ”

คนนึงก็โง่งมแต่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม อีกคนพูดไม่ค่อยมากแต่เต็มไปด้วยพิษร้ายในวาจา ต้องมาอยู่ร่วมกับสตรีอย่างนี้ นับว่าเป็นกรรมมากกว่าวาสนา ไป๋หรั่นถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะปัดมือไปตรงหน้า “ พูดไม่ตรึกตรอง.. โจวเหม่ยเหรินใช้คำได้แยบยลนัก เสิ่นเหม่ยเหรินนับว่าโชคดีที่มีคนพอใช้การได้อยู่ข้างกาย ” ไป๋หรั่นเอนศีรษะพิงกับกำปั้นของตัวเองที่ยกขึ้นรองขมับ

“ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดี ช่วงนี้ได้ยินว่าไท่โฮ่วทรงต้องการคนไปร่วมปฏิบัติธรรม เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นกงสามารถแนะนำเสิ่นเหม่ยเหรินกับโจวเหม่ยเหรินให้ไท่โฮ่วได้ เชื่อว่าพระธรรมกับการปฏิบัติคงขัดเกลาทั้งสองได้ไม่น้อย ”

ฟังเผิน ๆ ดูเหมือนดี แต่ลึกลงไปมีใครบ้างที่ไม่ทราบว่าลู่ไป๋หรั่นกำลังผลักคนไปเสี่ยงอันตราย นิสัยจอมปะเหลาะอย่างเสิ่นเหม่ยเหรินย่อมไม่เข้าตาไท่โฮ่ว นิสัยซ่อนมีดไว้ในวาจาของโจวเหม่ยเหรินก็เช่นกัน ส่งไปตรากตรำอยู่กับไท่โฮ่วทั้งวันทั้งคืนย่อมไม่พ้นโดนเพ่งเล็งจนขยับตัวไม่ถูก “ เปิ่นกงจะไปเองก็นับว่าลำบาก ยังมีหลิงหยวนให้ต้องดูแล ฝากเจ้าทั้งสองไปค่อยวางใจหน่อย ”

“ อะแฮ่ม พวกเราไม่ขอรบกวนพระชายามากไปกว่านี้จะดีกว่า พวกหม่อมฉัน.. ขอตัว ” สองผู้มาเยือนรีบร่นถอยทันทีที่เห็นท่าว่าจะถูกลากเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย ชวนให้ผู้บงการหลุดหัวเราะเบา ๆ ขณะที่มองสองเงารีบก้าวออกไป

“ แบบนี้ค่อยเงียบหน่อย.. จริงสิ ”

“วันนี้ต่อให้ฝ่าบาทจะไม่อยากพบ แต่ก็คงต้องไปเยือนเสียหน่อยแล้ว”

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 54168 ไบต์และได้รับ 30 EXP!  โพสต์ 2025-4-17 14:40
โพสต์ 54,168 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2025-4-17 14:40
โพสต์ 54,168 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-4-17 14:40
โพสต์ 54,168 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-4-17 14:40
โพสต์ 54,168 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-4-17 14:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-5-15 18:59:12 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โพสต์นี้มีการป้องกันรหัสผ่านไว้ กรุณากรอกรหัสผ่าน 
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-5-15 23:24:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ องค์ชายน้อย
ซูเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงสาย - 21 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


เวลาผ่านไปราวกับลมหนาวที่ใกล้เข้ามา

ตำหนักตงเฉินที่ภายนอกดูเงียบสงบบัดนี้กำลังวุ่นวายเพราะวันสำคัญที่มาถึงโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ทุกอย่างเริ่มต้นจากสามวันหลังการปรนนิบัติในค่ำคืนนั้น ขณะเข้าร่วมการถวายพระพรไท่โฮวในยามเช้า ไป๋หรั่นวิงเวียนหมดสติในระหว่างที่รับหน้าที่เป็นผู้นำถวายพระพรจนกลายเป็นที่จับตามอง และในช่วงค่ำของวันนั้นหัวหน้าหมอหลวงก็ออกมายืนยันข้อสงสัยของผู้คน

‘ ลู่ซูเฟยตั้งครรภ์ ’

ข่าวนี้กระจายวงกว้างไปไกลแทบจะทั้งแผ่นดินโดยอาศัยระยะเวลาชั่วข้ามคืน ของขวัญแสดงความยินดีมากมายถูกส่งมาที่ตำหนัก คำอวยพร ของล้ำค่า รวมไปถึงการแวะมาที่บ่อยขึ้นแบบผิดหูผิดตาของฮั่นอู่ตี้ที่แม้จะไม่ได้มาเพื่อให้นางปรนนิบัติแต่ก็มักจะมาอยู่ข้าง ๆ ร่วมทานมื้ออาหารที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นความอึดอัดอันใหญ่หลวงเมื่อผู้ที่ตั้งครรภ์แพ้ทองหนักจนแทบทานอะไรไม่ลง

“ ถ้านางยังกินน้อยอย่างนี้ เด็กในครรภ์จะแข็งแรงได้อย่างไร! ”

ในทุกวันไป๋หรั่นจำเป็นต้องได้ยินประโยคนี้อย่างละหนึ่งครั้งในขณะที่นางหลบหลังฉากเพื่ออาเจียน บางทีนี่อาจเป็นวิธีการแสดงความห่วงใยของฮั่นอู่ตี้ แต่คงจะดีกว่าหากเขาไม่ต้องมารับรู้ช่วงเวลาที่ยากลำบากของสตรี ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แค่หนึ่งเดือนแต่ความเปลี่ยนแปลงมากมายก็เกิดขึ้นกับร่างกายของนางราวกับสี่ฤดูกาลที่ผันแปร หน้าท้องที่ครั้งหนึ่งเคยแบนราบ บัดนี้นูนกลมเต่งตึงเพื่อโอบอุ้มหนึ่งชีวิต ทรวงอกที่แต่ก่อนกล่าวได้แค่ว่าพอมี ตอนนี้ก็เริ่มแสดงอาการคัดเต้านม

“ ฝ่าบาท ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา—- ”

“ เช่นนั้นก็กินเสียสิ ”

พ่อเผด็จการ , หวังว่าถ้าลูกน้อยเกิดมา เขาจะมีความเมตตากว่านี้บ้าง



เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สี่ ช่วงสุดท้ายของการโอบอุ้มทารกไว้ในตัว

พักนี้ฮั่นอู่ตี้ หลิวเช่อ.. หรือจะกล่าวว่าผู้เป็นบิดาของเด็กในท้องนางเริ่มทำตัวพิลึกขึ้นทุกที

เนตรมังกรมักหลุบลงมองท้องกลม ๆ ของนางบ่อยขึ้น บางครั้งก็ทำสีหน้าหนักใจหรือไม่ก็ประหลาดใจ แม้จะยังไม่มีวี่แววของความเป็นห่วงปรากฏออกมา แต่สัญชาตญาณของนางก็พอจะรับรู้ถึงความตึงเครียดในใจของเขาได้ ราชสำนักยังไม่ทันได้สงบ หวงโหวประจำรัชสมัยยังไม่ทันได้แต่งตั้ง ซูเฟยก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว.. หากเด็กคนนี้เกิดมาเป็นชาย ความวุ่นวายคงซัดกลับมาเหมือนกับคลื่นที่ยากจะต้านทาน

“ เจ้าตัวแค่นี้ .. ทำไมท้องถึงโตนัก ”

พรวด

ที่หลุดสำลักไม่ใช่นงคราญหยกแต่เป็นนางกำนัลหลี่ที่คอยยืนอยู่ด้านหลังเพื่อปรนนิบัติส่งน้ำส่งของว่างให้นายเหนือหัว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสายตาคมกริบของโอรสสวรรค์ แต่นางกำนัลสาวกลับส่ายหน้าระรัวด้วยความวิตกที่มากกว่าความกลัวว่าหัวจะหลุดจากบ่า สองมือของหญิงต่ำศักดิ์ปัดไปมาอย่างเร่งรีบชวนให้เจ้าแผ่นดินและผู้ติดตามคนสนิทอย่างจางกงกงต้องขมวดคิ้ว

พวกผู้ชายคงไม่มีทางเข้าใจ จนกระทั่ง..

แหมะ

“ พ พระชายา ”

ผู้แรกที่รับรู้ถึงความผิดปกติย่อมเป็นจางกงกงคนดีคนเดิมที่ไม่เคยจะปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงใดหลุดรอดจากสายตา ต่อมาถึงเป็นโอรสสวรรค์ที่ละสายตาจากนางรับใช้คนสนิทของชายาเพื่อมาพบว่าคนงามของเขากำลังร้องไห้

“ พระองค์กล่าวกับพระชายาเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ , ความมั่นใจของสตรีมีอยู่ไม่กี่สิ่งแท้ ๆ ”

ผู่เยว่ถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่ก้าวเข้ามาปลอบใจ ความวุ่นวายจำพวกนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบจนคนท้องแก่นึกอยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก ‘ ลูกน้อย มารดาไม่ขออะไรมาก หากว่าเกิดมาอย่าเอาอย่างบิดาของเจ้าก็พอแล้ว ’



คืนหนึ่งในช่วงคาบเกี่ยวเข้าสู่เดือนสิบ มือของไป๋หรั่นลูบลงกับท้องกลมของตัวเองในระหว่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สั่งทำพิเศษที่ได้มาเป็นของรับขวัหลานจากไท่โฮว ด้านข้างเป็นเตียงนอนที่มีร่างของโอรสสวรรค์ประทับอยู่ด้านในพร้อมกับฎีกาในมือ รอบข้างไร้เสียงรบกวน มีเพียงลมหายใจ สายลม และเสียงกระดาษที่พับทับกันเป็นจังหวะ

“ หรั่นเอ๋อร์ ”

เสียงของฮั่นอู่ตี้แม้จะเรียกด้วยนามที่ใกล้ชิดแต่ก็ไม่พ้นเจือไว้ซึ่งความรู้สึกห่างเหิน ดวงหน้างามผินมองชายผู้เป็นสวามี “ เพคะ? ” เมื่อได้ยินคำตอบ โอรสสวรรค์ลุกออกจากเตียงและก้าวลงไปยืนเคียงข้างเก้าอี้นั่งของชายา ด้านข้างของเขาเป็นเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ หลิวเช่อค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นั้นพร้อมวางมือลงกับหน้าท้องของนาง

“ เหตุใดจึงยังให้นางใช้นามว่าหรูเยี่ยน ”

บุตรสาวบุญธรรมที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากการตั้งครรภ์มากที่สุด เสี่ยวเยี่ยนน้อยของนางที่ดีอกดีใจกับการจะมีน้องชายโดยไม่รู้เลยว่าความมั่นคงและความรักที่ได้รับของนางอาจสั่นคลอน ไป๋หรั่นหลุบตาลงช้า ๆ “ เป็นชื่อที่ดี, หรูจากเหมือน เยี่ยนจากหรูหรา งามนักดั่งความหรูหรา.. เหมาะกับนางแล้ว ” เปลือกตาบางปิดลง ริมฝีปากสีกุหลาบเหยียดออกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

“ อยากให้เด็กเติบโตมาอย่างไรก็ตั้งชื่ออย่างนั้น นามของหม่อมฉันเองก็ได้มาเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน ”

อยากให้เติบโตมาอย่างไรก็ตั้งชื่ออย่างนั้น.. คำนั้นดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในอก หลิวเช่อหลุบตาลงมองท้องที่หล่อเลี้ยงเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไว้ก่อนจะยกมุมปาก โอรสสวรรค์โน้มลงใกล้ตำแหน่งที่ลูกน้อยคงอยู่ กระซิบบางสิ่งที่คนท้องจับใจความไม่ได้ ก่อนที่ความเคลื่อนไหวจากในท้องจะเกิดขึ้น เนตรงามของนงคราญเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงเท้าน้อย ๆ ที่เหยียดเตะจนผิวช่วงท้องนูนขึ้นแตะกับมือของสวามีที่ลอยเหนือผิวนุ่มไม่มาก

“ ฝ่าบาท ”

“ ไม่มีอะไร เจ้าพักเถอะ ”



หนึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดวันสำคัญของแผ่นดินอย่างการให้กำเนิดสายเลือดมังกรคนแรกในรัชสมัยของฮั่นอู่ตี้ก็มาถึง ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ให้คอยหน้าเรือนมีอยู่ไม่มากตามคำสั่งของฮั่นอู่ตี้ ทำให้สถานการณ์ยังคงสงบแม้ว่าเสียงที่ลอดออกจากประตูเรือนจะเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก็ตาม หัตถ์ของโอรสสวรรค์กำแน่นจนข้อนิ้วขาว ร่างกำยำของชายที่รอจะพบหน้าทายาทนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี ด้านข้าง ๆ กันมีจางกงกงที่รอยยิ้มไม่เคยเลือนไปจากใบหน้าแม้ว่าในใจจะพร่ำภาวนาต่อฟ้าดินว่าขอให้เป็นองค์ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แกร๊ก

เสียงไม้หักไม่ได้ดังมาจากภายในแต่เป็นจากข้างนอก หลิวเช่อชำเลืองตามองเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องเดาก็ทราบได้ว่าเป็นฝีมือของลู่ชางหรง พี่ชายเจ้าปัญหาของหรั่นเอ๋อร์ คนสนิทของเขาที่แทบคลั่งเมื่อรู้ข่าวว่าน้องสาวอันเป็นที่รักตั้งครรภ์กับสหาย ทว่าความรู้สึกผิดไม่ถือว่าอยู่ในหมวดความรู้สึกที่เขาจะสามารถรู้สึกได้ ก่อนหน้านี้ลู่ไป๋หรั่นอาจเป็นไข่มุกงามในมือคนแซ่ลู่ แต่บัดนี้นางเป็นหยกล้ำค่าในมือหวงตี้ ต่อให้คิดโกรธเคืองก็สายไปแล้ว

“ พระชายา เบ่งเพคะ ! เบ่ง ! ”

เสียงตะโกนจากภายในคงจะน่ากลัวสำหรับเด็กหญิงวัยหกหนาว หรูเยี่ยนที่ยืนเกาะแขนเว่ยกงกงหน้าซีดลงด้วยความกังวล “ เหนียงชิน.. เหนียงชินจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ” เสียงพึมพัมเบาหวิวของหลิงหยวนกงจู่มีแต่จะทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ล้อมรอบใจอ่อน

ภายนอกเต็มไปด้วยความคาดหวัง ส่วนภายใน.. ใช้คำว่ากลัวอาจยังน้อยไป

ทั้งที่เป็นช่วงเข้าสู่เหมันต์ แต่ในเรือนกลับร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้า หมอหญิงทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อขั้นตอนคลอดสายเลือดมังกรไม่ง่ายอย่างที่ใจหวัง “ พระชายา สูดหายใจเข้าเพคะ อดทนอีกนิด อย่าพึ่งสิ้นสติ พระชายา! ”

หายใจไม่ออก.. กลิ่นสมุนไพรตลบอบอวลในปอด ความชื้นจากน้ำอุ่นที่ต้มไว้รอล้างกายทารกและเหงื่อที่ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้างามที่ซีดขาวเปื้อนด้วยน้ำตา ลมหายใจของนางสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดที่แทบจะทุบทำลายสติสัมปะชัญญะของนางจนหมดสิ้น “ เห็นช่วงศีรษะแล้ว เร็วเข้า พระชายา เบ่งเพคะ เบ่ง! ” เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้คนไม่ได้เข้าถึงห้วงการรับรู้ของผู้ที่กำลังให้กำเนิดหนึ่งชีวิตเลยสักนิด

ดวงตาของนางเลือนลอย และในเสี้ยววินาที ห้วงจิตก็ถูกดึงไปยังที่ห่างไกล



“ ออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว!! ”

เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีจากด้านในทำให้เหล่าคนที่คอยอยู่ข้างนอกพากันโล่งใจ เสียงแรกแห่งชีวิตใหม่ดังกังวานรับกับเสียงของนกกางเขนที่ออกมาโผบินทั่วน่านฟ้า สัญญาณมงคลของการถือกำเนิด และเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งอัศจรรย์ที่โลกจะสามารถมอบให้แก่ทายาทมังกร ไม่จำเป็นต้องรอให้นางกำนัลพาเชื้อพระวงศ์คนใหม่ออกมา หลิวเช่อผลักตัวออกจากเก้าอี้ พุ่งเข้าไปในเรือนโดยที่ไม่สนธรรมเนียมหรือความเหมาะสมเพื่อที่จะได้พบกับทารกน้อยในห่อผ้าที่อยู่ในอ้อมแขนของหมอหญิง

“ หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท ” รอยยิ้มชื่นชมของเหล่าหมอเปรียบเสมือนการยืนยันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ พระโอรสพระองค์น้อยทรงประสูติอย่างปลอดภัย สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ประดุจมังกรน้อยเบิกเนตรในม่านหมอก นับเป็นวาสนาของแผ่นดิน ”

พระโอรส

คำนี้กระทบลงกับโสตประสาทของเขาแม่นยำและรวดเร็วราวกับหมัด และไม่ใช่แค่ฮั่นอู่ตี้เท่านั้น จางกงกงผู้ไม่เคยพลาดข่าวสารใด ๆ ก็เอาแต่ยิ้มกว้างจนไม่นึกแปลกใจหากว่าหลังจากนี้จะเห็นเขากระโดดโลดเต้นยามที่คิดว่าไม่มีใครมอง

ด้วยสองมือที่เคยจับทั้งดาบและกระบี่ ยามนี้เมื่อต้องอุ้มประคองหนึ่งชีวิตที่นับว่าร่วมสายเลือด หลิวเช่อพบว่าตนรู้สึก.. เก้กังอยู่บ้าง พระโอรสน้อยในแขนของเขาหลับตาพริ้ม อกขยับขึ้นลงตามการหายใจดูบอบบางไม่ต่างจากมารดาที่ให้กำเนิด โดยที่ไม่รู้ตัว– ความรู้สึกอบอุ่นในใจก็เบ่งบานเมื่อเขาตระหนักว่าบัดนี้ตนได้มีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว “ ซูเฟยล่ะ ” โอรสสวรรค์ถามกับหมอหญิงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากบุตรชายในมือ

“ ซูเฟยอ่อนล้ามาก ตอนนี้หมดสติไปแล้วแต่ไม่อยู่ในเกณฑ์อันตราย พวกหม่อมฉันจะทุ่มเทความสามารถเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของพระชายาอย่างเต็มที่เพคะ ” หมอหญิงชุดขาวตอบอย่างสงบพลางหลีกทางให้กับชายหนุ่ม เมื่อเจ้าแผ่นดินเริ่มเคลื่อนไหว หลิวเช่อก้าวเข้าไปด้านในมากขึ้น พาลูกน้อยที่ยังไม่ลืมตาไปหยุดข้างเตียงที่คู่ครองของตนนอนพัก

“ ประกาศออกไป ” สุรเสียงของผู้ครองปราณมังกรแม้จะกล่าวเบา ๆ แต่ก็ยังดังกึกก้อง

“ ซูเฟยประสูติพระโอรสโดยสวัสดิภาพ บัดนี้ราชสกุลมีองค์ชายใหญ่นาม ‘หรูเสวียน’ ”



ให้กำเนิดองค์ชายคนแรกของหวงตี้ | +5000 บารมี

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 34553 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-5-15 23:24
โพสต์ 34,553 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2025-5-15 23:24
โพสต์ 34,553 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-5-15 23:24
โพสต์ 34,553 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-5-15 23:24
โพสต์ 34,553 ไบต์และได้รับ +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-5-15 23:24

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังปราณ +5000 ย่อ เหตุผล
Admin + 5000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-5-25 10:55:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-5-25 11:28








ยามแรกพบ สบโลกา

วันหนึ่งในปลายเดือนสิบ หิมะแรกโปรยปรายลงในฉางอัน — เบากว่าขนนก เย็นกว่าลมหายใจ และเงียบงันกว่าความฝันของเด็กน้อย



ทารกน้อยผู้กำเนิดในฤกษ์อันมงคลยิ่งไม่อาจจดจำอะไรได้ในเวลานั้นมากนัก ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง มีเพียงความรู้สึกหนึ่งที่ยังติดอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจ... อบอุ่น อ่อนโยน และเปียกชื้น


สัมผัสแรกของชีวิตของเขา คือเสียงร้องของใครสักคนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่เสียงตนเอง หากแต่เป็นเสียงของนางผู้ให้กำเนิด สียงนั้นเจือด้วยลมหายใจสั่นไหวและแรงใจที่กัดฟันฝ่าพิภพ


บันทึกในความทรงจำที่ไม่ชัดเจนนั้นบอกเขาว่า

เขาถือกำเนิดท่ามกลางฤดูหนาว...

กลางสายตาของผู้คนมากมาย

ใต้เงาของผู้ปกครองแผ่นดิน

ในอ้อมแขนของชายผู้เคยจับกระบี่ และมองโลกอย่างสงบนิ่ง ขณะที่ผู้ให้กำเนิดนอนหลับใหลอยู่ข้างกายอ่อนล้า แต่ยังหายใจอยู่


เสียงแรกของเขา... ไม่ได้ดังจากปาก แต่ดังขึ้นในใจของผู้เป็นบิดา


“เจิ้นผู้นี้... เป็นบิดาแล้ว”


เขาไม่รู้ว่าเสียงกระซิบที่แนบติดท้องในคืนนั้นคืออะไร แต่บางที นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้ว่า...


ไม่ว่าโลกนี้จะใหญ่เพียงใด เขาย่อมมีที่ให้ยืนอยู่เสมอ ที่ข้าง ๆ ใครสักคน


แม้ความทรงจำจะพร่าเลือน

แต่กลิ่นหอมของไม้หอมในเรือน

เสียงลมหายใจของผู้เป็นแม่

น้ำเสียงอ่อนนุ่มของนางกำนัล

และมืออบอุ่นที่รองรับแผ่นหลังของเขายามแรกคลอด


...ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจไม่เคยจาง


และนั่นคือจุดเริ่มต้นขององค์ชายหรูเสวียน มังกรน้อยผู้เบิกเนตรในม่านหมอก ผู้เติบโตมาจากฤดูหนาว... และกำลังมองหาฤดูใบไม้ผลิที่เป็นของตนเอง





ในยามเดียวกันกับที่โอรสน้อยถือกำเนิด กระแสลมเย็นจากแดนเหนือพัดเข้าสู่กำแพงเมืองทั้งแปดทิศ


พร้อมกันกับเสียงกู่ร้องของนกกางเขนที่โผบินเหนือพระราชวังราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้การถือกำเนิดของผู้ใดผู้หนึ่งในแผ่นดิน


เมฆหมอกที่คลี่คลุมฉางอันมาตลอดทั้งคืน ค่อย ๆ แยกตัวเปิดทางให้แสงอรุณสาดส่องลงมายังเรือนกลางของตำหนักตงเฉิน


ขณะเดียวกัน ดอกเหมยหิมะที่มักผลิบานเฉพาะบนเขาสูง กลับปรากฏกลีบบางเบาร่วงหล่นลงมายังชายคาอย่างไร้ที่มา น้ำค้างยามรุ่งเช้าแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดใสบริสุทธิ์ ละลายไหลรินเป็นสายบนหินขาวหน้าตำหนักราวกับหยาดหยดแห่งมงคล


จากต้าซื่อเมี่ยวเขตพระราชฐานทางตะวันออก  เสียงระฆังมงคลดังขึ้นหนึ่งครั้ง... ทั้งที่ยังไม่มีใครสั่ง หล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ใกล้พากันหยุดนิ่ง หันหน้ามองไปทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย


มวลอากาศนิ่งงันราวกับเวลาหยุดเดินอยู่ชั่วขณะก่อนที่เสียงร้องแผ่วเบาแรกของทารกจะดังกังวานออกจากภายใน 


ผู้คนที่ได้สัมผัสกับเหตุการณ์นี้ต่างกล่าวกันว่า เป็นสวรรค์ที่ประกาศ ราชวงศ์ฮั่นบัดนี้ มีมังกรน้อยประสูติแล้ว




........



ในเช้าวันหนึ่งที่สายลมยังคงพัดเอื่อยเฉื่อยราวกับไม่รู้จักคำว่าเร่งรีบ บรรยากาศในตำหนักกว้างเงียบสงบอย่างไม่ชวนให้สงสัยแม้แต่น้อยว่าภายในตำหนักนั้นกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่


เสียงฝีเท้าของขุนนางระดับสูงกับขันทีในราชสำนักไม่เคยรบกวนเขาได้เลยสักครั้ง เด็กชายร่างเล็กผมยาวที่ถูกรวบขึ้นไว้หลวม ๆ ด้วยด้ายไหมสีน้ำเงินเข้มกำลังแอบซุกตัวอยู่หลังฉากไม้ฉลุลายมังกรคลื่นอยู่เงียบ ๆ คิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาดำขลับคู่นั้นสะท้อนแววเจ้าเล่ห์อยู่เต็มเปี่ยม


หลิวหรูเสวียนอายุเพียง 4 เดือนเศษ ๆ ทว่าร่างกายกับใหญ่โตราวเด็กวัยห้าหนาว  เขาเงียบงันเหมือนแมวน้อยที่กำลังซุ่มจับเหยื่อ เฝ้ารอดูการปรากฏตัวของใครบางคนที่ถูกขันทีตำหนักชั้นนอกประกาศก้องไปทั่วว่าได้เดินทางเข้าวังในเช้าวันนี้


แม้ในใจจะเต้นตุบตับอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมกระโตกกระตาก หรือออกมาวิ่งเล่นเหมือนวันที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักนิดเดียว เพราะวันนี้เขาไม่ได้จะเล่นอย่างเดียว


“หวยหนานอ๋องเสด็จถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”


เสียงขานจากหน้าตำหนักเพียงประโยคเดียว ทำให้มือเล็กที่กำลังเกาะฉากไม้ไว้แน่นถึงกับลั่นหลุดออก ดวงตาขององค์ชายน้อยเป็นประกายขึ้นในทันที


เสด็จอาทวดของเขามาแล้ว


เด็กชายรีบวิ่งออกจากหลบมุมด้วยจังหวะการก้าวที่เร็วชนิดไม่แยแสกับความเรียบร้อยใด ๆ ของเสื้อผ้า ทั้งยังไม่สนด้วยว่าผมด้านหลังจะหลุดลุ่ยกระจายอย่างกับหางพู่กันเปื้อนหมึกเมื่อเขาหยุดตัวไม่ทันแล้วยันประตูตำหนักเข้าไปเต็มแรง


ผลคือ เสียง “ตุ้บ” ดังเบา ๆ จากพื้นไม้ที่เย็นเฉียบพร้อมกับภาพขององค์ชายน้อยที่ล้มคว่ำหน้าคะมำอยู่ตรงนั้น


แต่แทนที่จะร้องไห้ เขากลับแหงนหน้าขึ้นแล้วเป่าลมออกจากปากเสียงดัง


“ฟู่... พื้นที่นี่ลื่นเหมือนพวกขันทีจับมันทาด้วยน้ำมันงา!”


เขาพึมพำกับตัวเองพลางลุกขึ้นมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วปัดฝุ่นบนชายเสื้ออย่างงุ่มง่าม เด็กบางคนอาจร้องไห้ฟูมฟายเพราะล้มในที่สาธารณะ แต่สำหรับเขา การล้มหน้าเปื้อนฝุ่นไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติอะไร


ที่เสียหน้า คือถ้าถูกท่านลุงเห็นก่อนจะได้วิ่งเข้าไปต้อนรับต่างหาก


และในวินาทีที่เด็กชายกำลังจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เสียงหนักแน่นแฝงความห้วนสั้นก็เอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง


“เจ้ามาทำอะไรนอกตำหนักแต่เช้า ไม่ไปหัดอ่านตำรา?”


เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวางที่ฝืนกลบความตกใจของตนเอาไว้ไม่มิด


“จู่ชูเย๋!” เขาโพล่งออกมาเสียงดังเกินกาลเทศะ 


“ข้า… ข้ารู้ว่าท่านจะมาหาเสด็จย่า ก็เลยรีบมาเฝ้า... เฝ้าท่านก่อนยังไงเล่า!”


หลิวอันยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าคมคายกับแววตานิ่งขรึมดูไม่เปลี่ยนไปจากคราวแรกที่ได้พบกัน ร่างสูงในชุดสีเข้มยังคงเหมือนหินผาในวันที่สายฟ้าแลบใส่เท่าใดก็ไม่หวั่นไหว ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ก็สะกดความวุ่นวายโดยรอบให้หยุดนิ่งได้ในพริบตา


แต่แปลกเหลือเกิน เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหลานชายเพียงคนเดียว ความสง่างามแข็งกร้าวนั้นกลับกลายเป็นเพียงความเงียบเฉยที่รับฟังไปเรื่อย ๆ


เด็กน้อยวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับเหวี่ยงแขนเล็ก ๆ กอดเอวท่านลุงไว้แน่น แหงนหน้าขึ้นพร้อมพูดเร็วเป็นพิเศษ


“ข้าจำได้ว่าท่านบอกจะสอนวิธีปั้นเต้าหู้เมื่อคราวก่อน จู่ชูยังจำได้ไหม ว่าข้าบอกว่าเต้าหู้ของท่านแข็งยิ่งกว่าหน้าขันทีที่โดนดุอีกน่ะ!”



หวยหนานอ๋องปรายตามองเด็กน้อยที่ยังไม่เลิกพันแขนไว้รอบตัวอย่างเหนียวแน่นก่อนเอ่ยเสียงเรียบ


“ข้าจำได้ว่าเจ้าพูดไว้เช่นนั้น และข้าก็จำได้ด้วยว่าเจ้าละเลงแป้งจนเลอะไปทั้งหัว”


“ก็เสด็จลุงเอาเต้าหู้ไปวางไว้ตรงนั้นเองนี่!” เด็กชายตอบกลับทันควัน “ข้าก็แค่คิดว่ามันจะนุ่มแบบหมอน แต่พอกดแล้วมันแข็งจนข้านึกว่าท่านจงใจ!”


ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นแตะหน้าผากตนเบา ๆ ราวกับระลึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าปวดหัว ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำโดยไม่ลืมหันไปมองขันทีที่แสร้งทำเป็นมองฟ้าอยู่ห่าง ๆ


“เก็บไว้ก่อนเถอะเจ้าหนู เรื่องเต้าหู้ยังมีเวลาอีกมาก ข้าว่าพระบิดาเจ้าคงรอเจ้ากลับตำหนักนานแล้ว”


หลิวหรูเสวียนเบ้ปากอย่างไม่ค่อยพอใจนัก


“เสด็จพ่อให้ข้ามาหาท่านด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าท่านลุงต้องให้ข้าติดตามทั้งวัน!”


เขาส่งเสียงประกาศิตราวกับตนเป็นหวงตี้เสียเอง


หลิวอันเหลือบตามองเจ้าเด็กที่ดื้อรั้นแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ และเดินนำออกไป


เด็กน้อยหรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ ขณะที่ก้าวตามหลังไปอย่างอารมณ์ดี ปากก็ยังไม่หยุดซักไซ้


“เสด็จลุง ๆ... ท่านคิดว่าหมอหลวงเคราเยอะกว่าท่านแม่ทัพใช่ไหม?”


หลิวอันไม่ตอบ


“แล้วระหว่างหัวหน้าขันทีกับท่าน ใครทำหน้าตาขึงขังเก่งกว่ากัน?”


ยังคงเงียบ


“ท่านไม่ตอบแปลว่าท่านไม่แน่ใจ ข้ารู้ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน!”


ระหว่างที่เสียงเจื้อยแจ้วขององค์ชายน้อยยังคงตามหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง รอยยิ้มบางเฉียบที่แทบไม่เคยโผล่มานอกจากยามอยู่คนเดียว ก็คลี่ขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของชายผู้ได้ชื่อว่า ‘เขี้ยวคมอสุรา’


เสียงฝีเท้าขนาดเล็กกระทบพื้นดังตึกตักตามจังหวะเร่งเร้า องค์ชายน้อยยังคงเดินตามติดไม่ลดละ มือหนึ่งจับชายเสื้อของลุงทวดแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายตัวไปเสียกลางทาง ขณะเดียวกันปากก็ยังคงพล่ามอย่างไม่หยุดยั้ง


“ท่านเคยตีคนจริง ๆ หรือเปล่า”


เสียงนั้นไม่ได้ถามด้วยความกลัว แต่กลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อย่างไร้เดียงสาจนน่าหัวร่อมากกว่าน่าตกใจ


หลิวอันปรายตาลงมอง เด็กน้อยช้อนตาขึ้นมาพอดี ใบหน้ากลมที่แต้มไปด้วยหยาดเหงื่อบาง ๆ นั้นฉายแววจริงจังเสียยิ่งกว่าตอนเขียนอักษร


“ข้าถามจริงนะ ไม่ได้คิดจะเอาไปฟ้องพระบิดา... ถ้าท่านเคยตีคนจริง ก็แสดงว่าท่านเก่งกว่าหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ใช่ไหม”


ท่ามกลางความเงียบ หลิวอันเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กนั่นเบา ๆ ราวกับจะเช็ดความไร้เดียงสาออกไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อย แต่เจ้าตัวกลับยิ้มแป้นรับด้วยความเคยชิน


“เจ้าควรรู้ไว้ว่า มีหลายเรื่องในโลกที่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดหรือลือชื่อที่สุดถึงจะน่าเกรงกลัว”


เด็กชายกะพริบตาปริบ ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ราวกับไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงยิ้มกว้าง


“งั้นท่านก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม เป็นคนที่ไม่น่าลือแต่ใคร ๆ ก็กลัว ข้าเข้าใจแล้ว!”


“ไม่ต้องรีบเข้าใจมากนักก็ได้ เจ้าอายุยังน้อยนัก”


“แต่ข้าเป็นองค์ชายนะ!” เจ้าตัวแสดงท่าทีภูมิใจสุดขีด


หลิวอันแค่มองโดยไม่พูดอะไรต่อ ดวงตาที่มองเด็กน้อยกลับนิ่งลึกอย่างที่ไม่อาจมีใครหยั่งถึง ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าความเป็นองค์ชายไม่ได้หมายถึงการมีอำนาจเหนือใคร แต่หมายถึงการถูกจับตามองจากทุกคน”


คำพูดที่ฟังคล้ายรินผ่านหูเฉย ๆ นั้นกลับทำให้เด็กน้อยหยุดฝีเท้าเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พร้อมมองไปทางชายที่ถือศักดิ์เป็นลุงทวดที่กำลังอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเปิดปากส่งเสียงเจื้อยแจ้ว


“แล้วถ้าข้าไม่อยากให้ใครจับตามองล่ะ จะทำยังไงดี”


“ก็อย่าทำตัวให้โดดเด่นเกินไป”


คำตอบที่ได้กลับทำให้องค์ชายน้อยเบ้ปาก ดูเหมือนองค์ชายน้อยจะไม่พึงใจกับคำตอบของหลิวอัน แต่กระนั้นแม้จะทำหน้าตาจะบ่งบอกอารมณ์กับคำพูดเมื่อครู่  แต่กลับออกมาดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียมากกว่า 


“จู่ชูเย๋พูดแบบนี้ทุกที แต่ข้าไม่สามารถทำตัวธรรมดาได้เลยนี่นา... ข้ายิ้มเฉย ๆ ยังมีคนบอกว่าข้าหว่านเสน่ห์!”


คำว่า ‘หว่านเสน่ห์’ ทำให้มุมปากของหลิวอันกระตุกขึ้นเล็กน้อย


“นั่นเพราะเจ้าพูดมากเกินไปต่างหาก”


“ก็ข้าไม่พูด แล้วจะให้ใครพูด ท่านก็ไม่ใช่คนช่างคุยนี่นา!”


เด็กชายพูดแล้วหัวเราะในคออย่างอารมณ์ดี มือที่จับชายเสื้อก็เปลี่ยนมาโอบแขนของหลิวอันแทน เดินกอดแขนไปพร้อมส่งเสียงเป็นจังหวะ “อื้ม อื้ม อื้ม” ราวกับกำลังคิดอะไรสนุก ๆ


“ข้าตั้งชื่อให้ท่านใหม่ดีกว่า เป็นชื่อเล่นที่ไม่มีใครกล้าตั้ง!”


หลิวอันเหลือบตามองทันทีที่ได้ยินคำนั้น


“ฟังแล้วคงไม่ดีแน่”


“ดีแน่นอน ข้าคิดไว้แล้วว่า ‘เสด็จลุงเต้าหู้แข็ง’ ดีไหม”


มือของชายวัยกลางคนหยุดชะงักขณะเดิน


“เจ้ากล้าเรียกเช่นนั้นจริงหรือ”


“ข้าก็พูดเล่นไง ชูจู่อย่าหน้าเครียดสิ เดี๋ยวมีริ้วรอยนะ” เด็กน้อยว่าแล้วก็พยามเขย่งปลายเท้าคล้ายหมายจะยกนิ้วจิ้มปลายคางของหลิวอันเบา ๆ เหมือนจะลบรอยจริง ๆ


หลิวอันถอนหายใจยาวอย่างเงียบงันอย่างคนที่ต้องรับมือกับความโกลาหลที่ไม่เคยฝันอยากเผชิญ เขาเคยเจรจากับคนทั้งราชสำนัก เคยหักล้างความคิดของขุนนางฝั่งตรงข้ามอย่างไร้ความปรานี แต่พอมาเจอเด็กหกขวบคนนี้ กลับรู้สึกเหมือนตนกำลังหาทางรอดจากพายุหมุนแบบไม่มีที่สิ้นสุด


“ข้าสงสัยอีกอย่างหนึ่ง ท่านมีคนที่ไม่ชอบหรือเปล่า”


คำถามนั้นทำให้หลิวอันหยุดคิดชั่วครู่


“มี”


“ใครล่ะ”


“คนที่เอาแต่ถามโดยไม่หยุดหายใจ”


เจ้าตัวเล็กหัวเราะพรืดออกมาทันที


“อ้าว ข้าเสียใจนะ ข้าคือเหลนที่ดีของท่านนะ!”


“เจ้าคือสิ่งที่ฟ้าส่งมาทดสอบข้ากระมัง”


“อืม... ถ้าจู่ชูผ่านไปได้ เดี๋ยวข้าจะให้รางวัลเป็นขนมงาทอดสองชิ้น!”


คำพูดนั้นทำให้หลิวอันหันมามองหน้าหลานชายตรง ๆ ด้วยสายตาแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงต่ำ


“หากข้าผ่านไปได้ ข้าจะขอเป็นความเงียบสิบชั่วยามแทนขนม”


“เงียบสิบชั่วยาม...” เด็กชายทำหน้าครุ่นคิดแล้วพึมพำตาม “ท่านแน่ใจนะว่าจะไม่เหงา”


หลิวอันไม่ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของเด็กน้อยอีกครั้ง บางที เขาอาจไม่ต้องการขนมหรือความเงียบจริง ๆ ก็ได้



เด็กน้อยยังคงเดินเคียงคู่ผู้เป็นลุงด้วยกิริยาคล้ายแมวตัวเล็ก ๆ ที่แนบชิดเจ้าของไม่ยอมห่าง ความเคลื่อนไหวกระปรี้กระเปร่าไม่ต่างจากลูกคลื่นในลำธารที่ไม่ยอมไหลนิ่งแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว ขณะที่ฝ่ามือเล็กยังคงจับชายแขนเสื้อของหลิวอันไว้แน่นเป็นการยืนยันสิทธิ์ว่าท่านผู้นี้เป็นของข้า ข้าได้ครอบครองตลอดช่วงเวลานี้ ห้ามใครแย่ง


ระหว่างทางที่เดินเลาะผ่านตำหนักน้อยใหญ่เพื่อมุ่งไปยังสวนด้านใน เด็กชายยังคงใช้ปากแทนขาเดินอย่างมั่นคง พูดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ทีโดยไม่มีหัวไม่มีท้าย ราวกับหัวสมองกำลังแข่งกับเวลาอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะสรรหาหัวข้อสนทนาที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำ


“ท่านเคยถูกสัตว์กัดไหม”


คำถามที่กระโดดไปไกลจากบทสนทนาก่อนหน้าหลายช่วงตัวทำให้หลิวอันที่เคยผ่านสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วนยังต้องชะงักความคิด


เขาก้มมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังทำหน้าจริงจังแหงนหน้ามองเขาด้วยสายตาเปล่งประกายแบบเดียวกับแมวที่พุ่งจ้องปลาทูร้อน ๆ ในครัว


“หมา แมว งู ตุ่นไฟ ข้าว่าอะไรก็กัดคนได้หมด ถ้าหิวพอ”


“ข้าหมายถึง เสด็จลุงเคยถูกสัตว์กัดแล้วมันอักเสบจนต้องให้หมอหลวงมากรีดหนองไหลออกไหม...”


“เจ้าคิดภาพพวกนี้ตอนกินข้าวได้หรือไม่”


“ข้าคิดได้ตลอด ท่านน่าจะลองบ้างนะ จะได้กินข้าวได้มากขึ้นเพราะรู้สึกว่าไม่ได้แย่เท่าแผลหนอง!”


เด็กน้อยหัวเราะพรืดออกมาอย่างภาคภูมิใจในตรรกะของตัวเอง ใบหน้ากลมใสเปื้อนรอยครุ่นคิดที่ไม่รู้สึกรู้สมกับวัยใด ๆ เลยสักนิด ความไร้เดียงสาผสมกับความฉลาดเกินวัยราวกับยาพิษปรุงกลมกล่อม ทำให้หลิวอันมองแล้วยังอดถอนหายใจออกมาไม่ได้


“เจ้าควรหาเพื่อนเล่นที่ไม่ใช่แผลหนอง หรือหมอหลวงเคราหนาเสียบ้าง”


“ข้าไม่มีใครให้คุยนี่นา ในวังมีแต่พวกขันที นางกำนัลก็ชอบเอาแต่ชมว่าข้าน่ารัก ข้าได้ยินจนหูชาแล้ว ถ้าข้าเดินผ่านต้นท้อแล้วมันพูดได้ มันคงพูดว่าข้าน่ารักเหมือนกันนั่นแหละ!”


หลิวอันอดนึกถึงภาพนั้นในหัวไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่จินตนาการฟุ้งซ่านได้ง่าย แต่เมื่อนึกถึงเด็กชายตัวกลม ๆ ผมยุ่ง ๆ ยืนหน้าบานอยู่กลางต้นท้อแล้วต้นไม้พูดว่า “น่ารัก” ด้วยเสียงขันที... แปลกนักที่มันทำให้มุมปากเขากระตุก


แต่ไม่ทันได้ตอบกลับอะไร เจ้าตัวเล็กก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดเล็กน้อย


“หวางชูอย่าหาว่าข้างอแงนะ ข้าแค่อยากมีคนฟังตอนข้าพูดแค่นั้น”


เขาไม่ได้เอ่ยเสียงดังนัก แต่ก็ไม่ได้พึมพำให้เงียบพอจะทำเป็นไม่ได้ยินได้ด้วยเช่นกัน น้ำเสียงนั้นไม่ชวนให้รู้สึกว่าน้อยใจ แต่มากพอจะทำให้ใครที่ฟังแล้วต้องหยุดเดิน


หลิวอันเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมที่เคยจ้องศัตรูในสนามรบจนกระทั่งอีกฝ่ายถอยร่น ยามนี้กลับทอดมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแน่นิ่ง มันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่เขาเคยมองอาวุธ วางแผน และตัดสินใจอะไรสำคัญ ๆ มาก่อนในชีวิต


เขากำลังประเมิน ว่าใจเล็ก ๆ นั้นหนักแน่นแค่ไหน


“เจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วยนาน ๆ หรืออยากให้ข้าฟังเจ้าพูดนาน ๆ”


“ทั้งสองอย่าง!”


เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังไม่ลังเล แล้วก็ยักไหล่เล็ก ๆ ราวกับจะบอกว่าทำไมต้องเลือก


“ข้าไม่ได้อยากพูดกับทุกคน แต่ข้ารู้ว่าท่านลุงฟัง ถึงหน้าจะเหมือนมองผ่านข้าไปอีกสิบลี้ก็เถอะ แต่ข้ารู้ว่าในหัวเสด็จลุงมันจดคำพูดข้าไว้หมดแล้วใช่ไหมล่ะ!”


เขาชี้นิ้วใส่หน้าเสด็จลุงของตนอย่างมั่นใจราวกับผู้พิพากษาผู้ค้นพบความจริงจากหลักฐานลับ


“ข้าไม่จำเป็นต้องยิ้มตอบ ข้าฟังเจ้าก็พอแล้ว”


“จริงหรือ? ถ้างั้นข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง!”


เด็กน้อยถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกมือกอดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ


“ตอนนั้น ข้าแอบซ่อนขนมไว้ในหมอนของข้ารับใช้คนหนึ่ง เพราะข้าคิดว่าไม่มีใครไปค้นหมอนคนอื่นแน่ ปรากฏว่าคืนนั้นหมอนั่นนอนทับแล้วมดขึ้นเต็มหัว... พอเช้าก็โทษว่าโดนวางยาด้วยมด ข้าขำจนเกือบปัสสาวะเล็ดเลย!”


หลิวอันขมวดคิ้ว แต่ในดวงตานั้นกลับสั่นไหวคล้ายกำลังกลั้นอะไรบางอย่างอยู่


“เจ้าคือตัวป่วนของราชสำนักจริง ๆ”


“ก็ข้าเป็นเด็ก ยังไม่ต้องรับราชการนี่นา!”


เด็กชายส่งเสียงหัวเราะเบา อย่างร่าเริง มือเล็กที่เคยจับชายแขนเสื้อบัดนี้เริ่มแกว่งไปมาอย่างวางใจ ใบหน้ากลมก็กวาดมองรอบด้านราวกับเด็กที่รู้สึกปลอดภัยในรัศมีของผู้ใหญ่ที่ตนไว้ใจ


เมื่อทั้งคู่เดินจนถึงทางแยกซึ่งทอดสู่เขตสวนด้านใน องค์ชายน้อยก็หยุดยืนนิ่ง


เขาหันกลับมามองหลิวอันที่หยุดตาม พร้อมแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งหาได้ยากในยามที่เจ้าตัวไม่ได้แกล้งใคร


“ชูจู่... ข้าว่าข้าชอบเวลาที่ข้าอยู่กับท่านนะ ถึงแม้ข้าจะพูดเยอะไปนิดก็ตาม แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้รำคาญจริง ๆ ใช่ไหมเล่า”


หลิวอันสบตาเจ้าตัวเล็กชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในชายเสื้อด้านใน แล้วดึงห่อผ้าขนาดพอเหมาะออกมาอย่างไม่รีบร้อน


เป็นห่อผ้าธรรมดาสีหม่นที่ไม่มีลวดลายใดโดดเด่น แต่เมื่อยื่นส่งให้เด็กชายตรงหน้า ราวกับมันเป็นห่อของขวัญล้ำค่าที่บรรจุความเอาใจใส่ไว้แน่นล้น


“เต้าหู้ของเจ้า”


องค์ชายน้อยเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น เขารีบคว้าไปไว้ในมือราวกับกลัวว่าบุคคลเบื้องหน้าจะเปลี่ยนใจ แล้วค่อย ๆ คลี่ห่อผ้าออกอย่างประณีต ดวงตาดำขลับมองก้อนเต้าหู้เนื้อแน่นที่ถูกห่อมาอย่างดีด้วยสายตาชื่นชมปานกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่รอมานานแรมเดือน


“ท่านปั้นเองจริง ๆ หรือ”


“หรือเจ้าคิดว่าข้าซื้อมา”


“ก็ไม่แน่... เพราะนี่ดูเหมือนเต้าหู้ระดับสามารถประดับประตูวังได้เลยนะ!”


เจ้าตัวเล็กยกมันขึ้นดมอย่างมีพิธีรีตอง แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปในห่อด้วยความทะนุถนอมไม่ต่างจากคนที่กำลังซ่อนสมบัติราคาแพงไว้ในอก


“ข้าจะไม่กินมันจนกว่าท่านจะมาหาข้าอีก!”


เขาประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาขันทีที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ถึงกับขยับตัวไปมาอย่างอึดอัดไม่กล้าขัดจังหวะ


“เจ้าจะเก็บมันไว้จนขึ้นราเลยหรืออย่างไร”


“งั้นจู่ชูเย๋ก็ต้องรีบมาสิ!”


คำตอบนั้นทำให้หลิวอันนิ่งไปเพียงครู่เดียว ก่อนเขาจะเอื้อมมือแตะศีรษะเด็กชายอย่างแผ่วเบา


ไม่ใช่ด้วยท่าทีของชายผู้ถืออำนาจ แต่เป็นเพียงการสัมผัสเรียบง่ายที่แฝงด้วยบางสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียก ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีแม้กระทั่งคำอธิบาย


บางอย่างที่เด็กน้อยสัมผัสได้จากก้อนเต้าหู้ก้อนนั้น และจากมือที่วางลงบนหัวเขาอย่างมั่นคง



---------



แสงอาทิตย์ยามสายส่องลงมาระยับบนลานหน้าตำหนักตงเฉิน เงาของต้นหลิวโยกไหวตามแรงลมอ่อน ดอกเหมยปลิดกลีบร่วงลงดินเป็นระยะ เมื่อมองจากมุมสูง ฉากหน้าอาจดูสงบราวสวรรค์ในบทกวี แต่แท้จริงแล้วมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงาเงียบ


เสียงฝีเท้าของขันทีดังก้องมาตามทางเดินหิน เมื่อเสียงทุ้มต่ำแว่วว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว” บรรยากาศรอบตำหนักก็คล้ายหยุดชั่วขณะ ทั้งเหล่าขันที นางกำนัล และแม้แต่สายลมที่พัดอยู่เมื่อครู่ก็คล้ายชะงัก


องค์ชายน้อยซึ่งกำลังนั่งยอง ๆ ใช้ก้อนหินเรียงต่อกันเป็นรูปหน้ามังกรอย่างพิถีพิถันถึงกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำขลับวาววับในทันที หัวใจเต้นตุบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่


เขาผงะตัวลุกยืน ปัดฝุ่นที่เปื้อนบนอาภรณ์บางเบาสีหยกอย่างเร่งร้อน มือเล็ก ๆ ฟาดไปมาบนแขนเสื้อและสะโพก พยายามปัดเศษดินที่เปื้อนมาตั้งแต่เมื่อครู่ เด็กชายไม่ได้ลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัว หากแต่เป็นความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเกี้ยวของพระบิดา 


แม้จะเป็นบุตร แต่ก็ใช่จะได้พบพระบิดาเมื่อใดก็ตามใจปรารถนา เช่นเดียวกับมังกรที่ไม่อาจพบเจอได้บ่อยในสวรรค์


เสียงรองเท้าเหยียบพื้นหินดังแผ่วก่อนเกี้ยวทองจะจอดนิ่งหน้าตำหนัก ประตูผ้าม่านเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มผู้มีท่วงท่าเปี่ยมอำนาจก้าวลงมาอย่างเงียบเชียบ ราวกับมังกรที่ทะยานลงมาจากยอดเมฆาท่ามกลางแดดยามสาย


ชุดฉลองพระองค์ที่ประดับลวดลายมังกรห้ากรงเล็บสะท้อนแสงระยับผสานกับพระวรกายสูงสง่าทำให้ใครมองแล้วอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าโดยไม่รู้ตัว ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย แววพระเนตรนิ่งสงบอย่างผู้มองโลกมากเกินกว่าจะประหลาดใจในสิ่งใดอีก


หลิวเช่อก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้า แต่สายพระเนตรที่มองไปยังเด็กน้อยตรงหน้านั้นกลับมิได้เย็นชา


องค์ชายน้อยรีบยืดตัวตรง ถวายคำนับตามธรรมเนียมแม้จะตะกุกตะกักเล็กน้อย มือขวาวางแนบหน้าอกซ้าย เอียงศีรษะน้อย ๆ ตามที่เคยฝึกมาโดยมีนางกำนัลเป็นผู้คอยจ้ำจี้จ้ำไชทุกเช้า


“ขอถวายพระพรหวงตี้ ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”


น้ำเสียงเล็กใสแต่เปี่ยมด้วยความตั้งใจนั้นสะกดให้พระโอรสสวรรค์แห่งต้าฮั่นทอดพระเนตรอยู่เนิ่นนาน ไม่ต่างจากการหยุดพิจารณาภาพวาดที่ท่านเองทราบดีว่าผู้วาดยังไม่ได้ลงลายละเอียดทั้งหมด หากแต่เพียงโครงร่างนั้นก็เต็มไปด้วยชีวิต


“เจิ้นมาหาลู่กุ้ยเฟย”


น้ำเสียงเรียบต่ำเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายพระเนตรที่เลื่อนลงมององค์ชายน้อยอย่างไม่เร่งร้อน


เด็กชายเงยหน้าขึ้น ดวงตาวาววับคล้ายดวงดาวที่เพิ่งโผล่พ้นม่านฟ้าในยามสาย เขาสบตาพระบิดาแล้วพยักหน้าแรง ๆ


“เสด็จแม่อยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าวันนี้เหนื่อยก็เลยพักสายตาไป...เอ่อ...บางทีอาจจะฝันเห็นฝ่าบาทก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”


ประโยคหลังนั้นมาพร้อมรอยยิ้มซุกซนที่ไม่อาจปิดบังได้


หลิวเช่อเพียงเลิกพระขนงข้างหนึ่งเล็กน้อย ท่าทีนั้นแทบไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาให้เดาได้ง่ายนัก แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะทราบดีว่าเขาไม่ได้ถือโทษ


“เจ้าดูเหมือนเพิ่งกลิ้งกับพื้นมา”


“ข้าไม่ได้กลิ้ง... ข้าแค่ใช้ก้อนหินเรียงกันเป็นหัวมังกร ข้าอยากให้มันดูน่าเกรงขามที่สุด เผื่อวันหน้าข้าจะใช้มันเป็นตราประทับประจำตัว!”


คำพูดนั้นทำให้หลิวเช่อเงียบไปครู่หนึ่ง


“ตราประทับประจำตัว?”


“ข้าไม่อยากใช้ตราที่เหมือนคนอื่น ข้าอยากมีของข้าเอง ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะทันคนอื่นได้ยังไงเล่า”


องค์จักรพรรดิแห่งต้าฮั่นไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่ทอดพระเนตรไปยังรอยดินเปื้อนบนฝ่ามือเล็กนั้น



“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็คงต้องใช้ของเหล่านี้ให้เป็น”


เสียงพระดำรัสเรียบเย็นดังขึ้นในขณะที่พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเล็กน้อย ข้าราชบริพารที่ยืนรออยู่เบื้องหลังจึงเร่งเข้ามาข้างหน้า ก้มตัวถวายห่อสัมภาระที่บรรจุอย่างเรียบร้อย พร้อมห่อเงินตราหนักพอสมควรวางไว้ข้างกัน


เด็กน้อยเบิกตากว้างทันที ราวกับได้เห็นภูเขาหิมะในฤดูร้อน


“นี่คือทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า”


หลิวเช่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปล่งนิ่งแต่มีน้ำหนัก


“เจ้าจะนำไปใช้เช่นไรก็สุดแล้วแต่เจตจำนงของเจ้า แต่จำไว้ ของเหล่านี้ล้วนมาจากภาษีของราษฎร”


เด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังคล้ายจะตื่นเต้นถึงกับนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขาไม่ได้เข้าใจคำว่าภาษีอย่างลึกซึ้งนัก แต่เขาจำคำที่เคยได้ยินว่า ‘เงินทุกเหรียญมีกลิ่นเหงื่อของคนทั้งแผ่นดินติดอยู่’


“...เสด็จพ่อวางใจเถิด ข้าจะใช้สิ่งนี้อย่างรู้คุณ และไม่ยอมให้ห่อเงินนี้ต้องละลายหายไปกับกลิ่นขนมงาทอดแน่นอน ข้าสัญญา”


เขาพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย สีหน้าซุกซนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นเด็กน้อยที่กำลังครุ่นคิดจริงจัง


หลิวเช่อไม่ได้เอื้อนเอ่ยชม หากแต่พระเนตรที่ทอดมองกลับสว่างเล็กน้อย ดั่งเชื้อไฟใต้เถ้าถ่านที่มิได้แสดงตัว หากแต่ยังมีอยู่เสมอ


“ดี เจิ้นไม่คาดหวังว่าเจ้าจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย...แต่เจิ้นหวังว่าเจ้าจะฉลาดพอจะรู้ว่าเมื่อใดควรฟัง”


“แล้วถ้าข้าไม่รู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”


“ก็เรียนรู้เสีย...ก่อนที่คนอื่นจะสอนเจ้าด้วยวิธีที่เจ้าไม่ชอบ”


เด็กน้อยพยักหน้าหงึก ๆ เขาไม่ได้หวั่นกลัว แต่รับฟังอย่างเงียบเชียบ


ในเวลาที่สายลมยังพัดผ่านอย่างแผ่วเบา ม่านตำหนักยังสะบัดไหวตามแรงลมอ่อน องค์ชายน้อยเงยหน้ามองพระบิดาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก


“เสด็จพ่อ... จะยังอยู่กับข้าสักพักได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


หลิวเช่อไม่ได้ตอบทันที พระองค์ทอดพระเนตรตำหนักด้านในชั่วขณะ จากนั้นจึงมองเด็กชายตรงหน้าอีกครั้ง ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่งในพระทัย


“เจิ้นอยู่ได้...จนกว่ามารดาของเจ้าจะตื่น”


แค่ประโยคเดียว องค์ชายน้อยก็เผลอเผยรอยยิ้มกว้างออกมา ใบหน้าที่เมื่อครู่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นกลับสดใสขึ้นในพริบตา แววตานั้นคล้ายเด็กที่ได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต แม้จะมิได้เป็นห่อสัมภาระก็ตาม





รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 50 ตำลึงทอง , 3000 อีแปะ , ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ , +30 EXP (แนบท้ายโรล)


รับ(?) เต้าหู้หนึ่งห่อจากเสด็จลุงหลิวอัน (ได้ไหม.. ได้แหละ )


[ว่าแต่แฟลชแบล็คแบบนี้มันได้รึเปล่าฮะ..]


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-5-25 14:35
โพสต์ 94505 ไบต์และได้รับ 54 EXP!  โพสต์ 2025-5-25 10:55

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +50 เหรียญอู่จู +3000 ย่อ เหตุผล
Admin + 50 + 3000

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x5
x5
x2
x2
x10
x10
x53
x50
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-5-30 19:32:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ กุ้ยเฟย
ซูเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงสาย - 21 เดือน 10 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


เสียงลมหายใจและฝีเท้าของผู้คนคือสิ่งที่ช่วยปลุกให้ไป๋หรั่นตื่นขึ้นจากภวังค์ เนตรคู่งามค่อย ๆ ลืมขึ้น ริมฝีปากที่ซีดเซียวเผยอเปิดช้า ๆ ทำให้คนรอบตัวร้องด้วยความยินดี มีหลายเสียงตะโกนว่า ‘ พระชายาฟื้นแล้ว ’ แต่ไป๋หรั่นกลับไม่พร้อมที่จะตอบกลับ ไม่แม้แต่จะยกยิ้มให้ทั้งที่ควรทำ

ความเจ็บปวดยังคงอยู่ คนละแบบกับการตื่นขึ้นในยามเช้าหลังค่ำคืนแรก .. หนนี้มันสลักลึกลงไปราวกับขดตัวอยู่ใต้ผิวหนัง แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ไป๋หรั่นยอมผลักความรู้สึกอ่อนล้าอันน่าชิงชังนี้ออกไปกลับเป็นเสียงเล็ก ๆ ของหนึ่งชีวิตที่ร้องออกมาในจังหวะเดียวกับที่นางลื่มตา

สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่เป็นสายเลือดของนาง

ดวงหน้าของคนงามพิลาสล้ำเอี้ยวมองทารกน้อยในห่อผ้า ริมฝีปากบางที่สั่นระริกค่อย ๆ เหยียดเป็นรอยยิ้ม “ลูกแม่” มือบางยกขึ้นวางบนแพรนุ่มที่โอบล้อมกายของเด็กชายที่ยังลืมตาได้ไม่เต็มที่ ขอบตาของนางเริ่มร้อนผาว ความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยถูกค้นพบอัดแน่นอยู่ในอกจนทำได้แต่หลับตาดื่มด่ำกับความปลื้มปิตินี้ หน้าผากที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อสัมผัสลงกับแก้มเล็ก ๆ ของทายาทตัวน้อย

“ชื่อล่ะ”

“พระโอรสทรงมีพระนามว่า หรูเสวียน เพคะ”

“หรูเสวียน..” นามของโอรสน้อยกลิ้งอยู่บนลิ้นของนางราวกับก้อนน้ำผึ้งที่ไร้วันละลาย รอยยิ้มบนหน้านงคราญเหยียดกว้างขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อตระหนักได้ถึงสองสิ่ง ‘ ฝ่าบาทยอมแบ่งอักษรในนามของเขาให้กับลูก.. และคงคำว่าหรูไว้เพื่ออาเยี่ยน ’ เนตรบุปผาโค้งตามรอยยิ้มจนกลายเป็นทรงจันทร์เสี้ยวอันงดงาม “ เสวียนเอ๋อร์ ไม่ทันได้ลืมตาก็เป็นที่รักถึงเพียงนี้แล้ว ”

ปลายนิ้วของนางจิ้มลงกับจมูกเล็ก ๆ ที่ยับย่นพลางพึมพัมกับตัวเอง “ฟ้าส่งเจ้ามาเป็นลูกชายข้า นับว่าดีแล้ว แต่ฟ้าส่งเจ้ามาเป็นองค์ชาย..” แม้จะไม่ได้ฉลาดล้ำเลิศดั่งนักปราชญ์แต่ไป๋หรั่นก็ไม่ได้โง่เขลา บัดนี้ทั่วทั้งแผ่นดินร่วมยินดีกับการเกิดมาของทายาทมังกรแต่ถัดจากนี้อาจไม่ใช่แค่ความยินดี การแข่งขันภายในวังหลวงเป็นดั่งคลื่นใต้น้ำ ตัวนางที่ไม่มีคนใหญ่คนโตสนับสนุนก็ยิ่งอันตราย

“เสวียนเอ๋อร์ ไม่ต้องห่วง” นงคราญหยกกล่าวเสียงเบา ริมฝีปากนุ่มกดลงบนหน้าผากน้อย ลมหายใจอุ่นพรมลงกับร่างของทารกแรกเกิดดั่งจุมพิตแห่งคำสัตย์ “ใช้ชีวิตตามที่อยาก มีความสุขให้มาก ที่เหลือ.. เหนียงชินจัดการให้เจ้าเอง

“เอ้อเหนียง”

มีเพียงคนเดียวบนโลกนี้ที่เรียกนางว่า ‘ เอ้อเหนียง ’ ไป๋หรั่นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากโอรสที่หลับพริ้มเปี่ยมสุขและมองไปยังผู้มาเยือนตัวน้อย หลิงหยวนกงจู่ - หลิวหรูเยี่ยน ที่กำลังทำสีหน้ากังวล แทนที่จะขานรับหรือเอ่ยบอกให้วางใจ ชายาหยกขาวเลือกที่จะขยับมือมืออันบอบบางของตนแตะลงกับที่ว่างบนเตียงเบา ๆ เพียงเรียกให้องค์หญิงน้อยขยับเข้ามาใกล้

การเคลื่อนไหวของหรูเยี่ยนเชื่องช้าราวกับกำลังแบกบางสิ่งไว้บนบ่า ผิดกับท่าทางห้าวหาญกระตือรือร้นโดยทั่วไป เนตรกลมดั่งลูกกวางช้อนขึ้นสบกับเนตรบุปผาของผู้เป็นมารดาก่อนจะหลุบลงต่ำจนไป๋หรั่นถอนใจเสียงเบา “อาเยี่ยน มานี่มา” เสียงอ่อนโยนมักใช้ได้ผลดีกับเด็กที่กำลังกังวล โดยเฉพาะเสียงอ่อนโยนที่มาจากคนงาม หรูเยี่ยนบิดตัวไปมาด้วยความไม่แน่ใจอยู่หลายอึดใจ แต่ท้ายที่สุดก็ยอมก้าวเข้าหาคนที่เอนกายอยู่บนเตียง

“เป็นอะไรไป หืม?”

“ท่านมี.. น้องชายให้อาเยี่ยนจริง ๆ”

ก้านนิ้วอวบขาวราวต้นหอมขนาดเล็กจ้อยพันเกี่ยวกับตัวเองด้วยความประหม่า ดวงหน้ารั้นขององค์หญิงใหญ่เหมือนจะยินดีแต่ก็หม่นหมองจนคนมองนึกสงสัย แต่ก่อนที่จะได้คิดจนจริงจัง “เอ้อเหนียง...” เสียงเล็กเอ่ยอย่างแผ่วเบาราวกับต้องใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีจึงจะสามารถพูดต่อได้ “...ตอนเอ้อเหนียงให้อาเสวียนเกิด เอ้อเหนียงเจ็บหรือไม่เพคะ?”

คำถามที่มาโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้ไป๋หรั่นนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง “เจ็บมากเลยล่ะ”

“แล้วเอ้อเหนียง... รักเขามากหรือไม่?”

ไป๋หรั่นเลิกคิ้ว ไม่ทันได้ตอบ องค์หญิงใหญ่ก็ก้มหน้าต่ำจนปลายคางแทบแตะอก “อาเยี่ยน... ก็รักน้อง แต่บางที...” เสียงที่พูดเริ่มกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาจนแทบไม่เป็นคำ อ“บางที... ถ้าน้องมา เอ้อเหนียงจะไม่รักอาเยี่ยนเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

ราวกับมีห่าฝนตกลงกลางใจ เนตรบุปผาของโฉมงามอ่อนลงราวกับกลุ่มไหมที่พร้อมจะโอบพันรอบกายเล็กของบุตรสาว นางยื่นแขนออกแม้จะยังอ่อนแรง โอบไหล่ของธิดาน้อยเข้ามาแนบอก ไม่แน่นราวกับยึดเกาะ แต่ก็ไม่ได้หลวมเสียจนไร้น้ำหนัก ทั้งหมดเป็นสัมผัสที่ถูกพิจารณามาเป็นอย่างดีว่าจะสามารถลบล้างความกังวลในอกน้อย ๆ นั้น

“เด็กดี เรื่องเหล่านี้อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”

ไป๋หรั่นจะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้ จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เด็กคนนี้ฉลาดตาใสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยามที่เข้าวังมาก็ถูกต้อนรับด้วยคำครหา ไม่แปลกที่จะกังวลเมื่อเริ่มสังเกตเห็นความยินดีของผู้คนยามต้อนรับราชโอรสน้อยซึ่งต่างไปจากคราวของนาง

แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ

อ้อมกอดของผู้เป็นมารดากระชับแน่นพร้อมเสียงนุ่มที่กล่าวอย่างมั่นใจเพื่อให้องค์หญิงน้อยได้คล้ายกังวล “เอ้อเหนียงรักอาเยี่ยนเสมอและจะรักตลอดไป ไม่ว่าวันนี้จะมีอาเสวียนหรือวันหน้าจะมีอีกกี่ หัวใจของเอ้อเหนียงก็ยังมีห้องที่อุ่นที่สุดไว้ให้อาเยี่ยนเสมอ”

หรูเยี่ยนยกมือปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว หวังไม่ให้มารดาเห็นความอ่อนแอ แต่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำ “เช่นนั้นเอ้อเหนียงต้องกอดอาเยี่ยนก่อนน้องทุกวัน... สัญญาแล้วนะเพคะ”

ไป๋หรั่นหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะทั้งอ่อนแรงและเปี่ยมด้วยความรัก ความปรารถนาของเด็กตัวน้อยมีหรือที่นางจะให้ไม่ได้ มือของไป๋หรั่นขยับไปเกลี่ยปอยผมที่ไม่เรียบร้อยของบุตรสาวก่อนจะประทับริมฝีปากลงกับหน้าผากมน “สัญญา... เอ้อเหนียงสัญญากับเจ้า”



“ราชโองการมาถึงแล้ว !!”

เสียงประกาศจากนอกเรือนทำให้ทุกการเคลื่อนไหวภายในของตำหนักตงเฉินหยุดชะงัก การมีราชโองการมาถึงตำหนักตงเฉินในยามนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด ไม่ว่าใครต่างก็ทราบว่าการคลอดราชโอรสแก่เชื้อพระวงศ์สมควรได้รับรางวัล ทว่าที่ออกคำสั่งไวปานนี้เหมือนจะ.. ไม่เคยพบเคยเจอ แม้สภาพร่างกายจะไม่พร้อมแต่จะให้เชิญราชโองการกลับก็คงไม่ได้

สุดท้ายก็จำเป็นต้องกลั้นใจออกไปรับราชโองการ

ร่างปวกเปียกของซูเฟยแซ่ลู่ขยับออกจากเตียงผ่านการช่วยเหลือของเหล่านางกำนัลและโชคยังดีที่คณะขันทีเข้าใจ ความยุ่งยากวุ่นวายจึงหดหายไปหลายขั้นตอน ด้วยโองการฟ้า หวงตี้ทรงมีพระราชบัญชา เสียงประกาศเนื้อหาภายในราชโองการดังกึกก้องทั่วตำหนัก เพียงพอจะสะเทือนไปถึงด้านนอกที่หลายตำหนักแอบส่งหูตามาคอยติดตามความเคลื่อนไหว “ ลู่ซูเฟย ดำรงตนสง่างาม เปี่ยมด้วยเมตตาและจริยวัตรอันงดงาม จงรักภักดีต่อราชสำนัก มิเพียงถวายการรับใช้ด้วยกาย หากยังถวายด้วยใจ ”

คิ้วของเจ้าของยศซูเฟยภายในราชโองการขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

‘ ถวายการรับใช้ด้วยกายยังจำเป็นต้องกล่าวถึงด้วยหรือ! ฮั่นอู่ตี้ ราชโองการนี้หน้าไม่อายจริง ๆ ’

“ บัดนี้ ซูเฟยได้ให้กำเนิดพระโอรสผู้สืบสายราชวงศ์ ถือเป็นมหาสิริมงคลแก่ราชสำนักและแผ่นดินฮั่น เป็นบุญยิ่งแก่ข้า จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งลู่ไป๋หรั่น ซูเฟย ขึ้นเป็น ‘กุ้ยเฟย’ ดำรงตำแหน่งสูงศักดิ์ในรัชสมัยนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ขุนนาง ข้าราชการ และผู้อยู่ในรั้ววัง ถวายความเคารพตามยศฐานะโดยพร้อมเพรียง ขอจงดำรงเกียรติแห่งกุ้ยเฟยไว้ให้มั่น เป็นร่มโพธิ์แก่ตำหนักใน เป็นมารดาผู้ประคองโอรสให้เติบใหญ่ด้วยปัญญาและคุณธรรม สมฐานะแห่งสตรีผู้งามพร้อม เป็นอันจบราชโองการ !

“ หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ ขอฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ”

ร่างบางโน้มลงเล็กน้อยขณะยื่นสองมือออกไปรับราชโองการ ดวงตาของนางหลุบลงมองโองการฟ้าในมือด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย มือของนางลูบลงกับแพรที่ห่อหุ้มกระดาษบางพลางฟังของพระราชทานอีกหลายชิ้นที่มาพร้อมกับบรรดาศักดิ์ใหม่

“ แพรจันทร์หนาว 5 พับ ข้าว 50 กระสอบ เงิน 50 ตำลึงทอง และสิ่งนี้.. อาภรณ์เซวียนอวี้ ที่ฝ่าบาททรงคัดเลือกให้ท่านกับมือ ” ขันทีที่ได้เกียรติให้มาประกาศราชโองการในครั้งนี้ยิ้มให้กับหญิงสาวด้วยความยินดี “ หลังจากนี้หวังเพียงแต่พระชายาจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี ”

เพราะกุ้ยเฟยของวังหลวง.. มิใช่ตำแหน่งที่คนอ่อนแอจะอยู่ได้





รางวัลเลื่อนขั้น : แพรพรรณ (แพรจันทร์หนาว) 5 พับ / ข้าว 50 กระสอบ / เงิน 50 ตำลึงทอง / ชุดเซวียนอวี้ (กุ้ยเฟย)

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27355 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2025-5-30 19:32
โพสต์ 27,355 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก ชุดหนิงเซียนหนี่ว์(ซูเฟย)  โพสต์ 2025-5-30 19:32
โพสต์ 27,355 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-5-30 19:32
โพสต์ 27,355 ไบต์และได้รับ +6 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-5-30 19:32
โพสต์ 27,355 ไบต์และได้รับ +8 เกียรติยศ +6 ความกล้า +10 ความศรัทธา จาก หมวกไผ่ผ้าคลุม  โพสต์ 2025-5-30 19:32

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้