วันหนึ่งในปลายเดือนสิบ หิมะแรกโปรยปรายลงในฉางอัน — เบากว่าขนนก เย็นกว่าลมหายใจ และเงียบงันกว่าความฝันของเด็กน้อย
ทารกน้อยผู้กำเนิดในฤกษ์อันมงคลยิ่งไม่อาจจดจำอะไรได้ในเวลานั้นมากนัก ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง มีเพียงความรู้สึกหนึ่งที่ยังติดอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตใจ... อบอุ่น อ่อนโยน และเปียกชื้น
สัมผัสแรกของชีวิตของเขา คือเสียงร้องของใครสักคนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่เสียงตนเอง หากแต่เป็นเสียงของนางผู้ให้กำเนิด เสียงนั้นเจือด้วยลมหายใจสั่นไหวและแรงใจที่กัดฟันฝ่าพิภพ
บันทึกในความทรงจำที่ไม่ชัดเจนนั้นบอกเขาว่า
เขาถือกำเนิดท่ามกลางฤดูหนาว...
กลางสายตาของผู้คนมากมาย
ใต้เงาของผู้ปกครองแผ่นดิน
ในอ้อมแขนของชายผู้เคยจับกระบี่ และมองโลกอย่างสงบนิ่ง ขณะที่ผู้ให้กำเนิดนอนหลับใหลอยู่ข้างกายอ่อนล้า แต่ยังหายใจอยู่
เสียงแรกของเขา... ไม่ได้ดังจากปาก แต่ดังขึ้นในใจของผู้เป็นบิดา
“เจิ้นผู้นี้... เป็นบิดาแล้ว”
เขาไม่รู้ว่าเสียงกระซิบที่แนบติดท้องในคืนนั้นคืออะไร แต่บางที นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้ว่า...
ไม่ว่าโลกนี้จะใหญ่เพียงใด เขาย่อมมีที่ให้ยืนอยู่เสมอ ที่ข้าง ๆ ใครสักคน
แม้ความทรงจำจะพร่าเลือน
แต่กลิ่นหอมของไม้หอมในเรือน
เสียงลมหายใจของผู้เป็นแม่
น้ำเสียงอ่อนนุ่มของนางกำนัล
และมืออบอุ่นที่รองรับแผ่นหลังของเขายามแรกคลอด
...ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจไม่เคยจาง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นขององค์ชายหรูเสวียน มังกรน้อยผู้เบิกเนตรในม่านหมอก ผู้เติบโตมาจากฤดูหนาว... และกำลังมองหาฤดูใบไม้ผลิที่เป็นของตนเอง
ในยามเดียวกันกับที่โอรสน้อยถือกำเนิด กระแสลมเย็นจากแดนเหนือพัดเข้าสู่กำแพงเมืองทั้งแปดทิศ
พร้อมกันกับเสียงกู่ร้องของนกกางเขนที่โผบินเหนือพระราชวังราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้การถือกำเนิดของผู้ใดผู้หนึ่งในแผ่นดิน
เมฆหมอกที่คลี่คลุมฉางอันมาตลอดทั้งคืน ค่อย ๆ แยกตัวเปิดทางให้แสงอรุณสาดส่องลงมายังเรือนกลางของตำหนักตงเฉิน
ขณะเดียวกัน ดอกเหมยหิมะที่มักผลิบานเฉพาะบนเขาสูง กลับปรากฏกลีบบางเบาร่วงหล่นลงมายังชายคาอย่างไร้ที่มา น้ำค้างยามรุ่งเช้าแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดใสบริสุทธิ์ ละลายไหลรินเป็นสายบนหินขาวหน้าตำหนักราวกับหยาดหยดแห่งมงคล
จากต้าซื่อเมี่ยวเขตพระราชฐานทางตะวันออก เสียงระฆังมงคลดังขึ้นหนึ่งครั้ง... ทั้งที่ยังไม่มีใครสั่ง เหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ใกล้พากันหยุดนิ่ง หันหน้ามองไปทางเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มวลอากาศนิ่งงันราวกับเวลาหยุดเดินอยู่ชั่วขณะก่อนที่เสียงร้องแผ่วเบาแรกของทารกจะดังกังวานออกจากภายใน
ผู้คนที่ได้สัมผัสกับเหตุการณ์นี้ต่างกล่าวกันว่า เป็นสวรรค์ที่ประกาศ ราชวงศ์ฮั่นบัดนี้ มีมังกรน้อยประสูติแล้ว
........
ในเช้าวันหนึ่งที่สายลมยังคงพัดเอื่อยเฉื่อยราวกับไม่รู้จักคำว่าเร่งรีบ บรรยากาศในตำหนักกว้างเงียบสงบอย่างไม่ชวนให้สงสัยแม้แต่น้อยว่าภายในตำหนักนั้นกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่
เสียงฝีเท้าของขุนนางระดับสูงกับขันทีในราชสำนักไม่เคยรบกวนเขาได้เลยสักครั้ง เด็กชายร่างเล็กผมยาวที่ถูกรวบขึ้นไว้หลวม ๆ ด้วยด้ายไหมสีน้ำเงินเข้มกำลังแอบซุกตัวอยู่หลังฉากไม้ฉลุลายมังกรคลื่นอยู่เงียบ ๆ คิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาดำขลับคู่นั้นสะท้อนแววเจ้าเล่ห์อยู่เต็มเปี่ยม
หลิวหรูเสวียนอายุเพียง 4 เดือนเศษ ๆ ทว่าร่างกายกับใหญ่โตราวเด็กวัยห้าหนาว เขาเงียบงันเหมือนแมวน้อยที่กำลังซุ่มจับเหยื่อ เฝ้ารอดูการปรากฏตัวของใครบางคนที่ถูกขันทีตำหนักชั้นนอกประกาศก้องไปทั่วว่าได้เดินทางเข้าวังในเช้าวันนี้
แม้ในใจจะเต้นตุบตับอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมกระโตกกระตาก หรือออกมาวิ่งเล่นเหมือนวันที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักนิดเดียว เพราะวันนี้เขาไม่ได้จะเล่นอย่างเดียว
“หวยหนานอ๋องเสด็จถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงขานจากหน้าตำหนักเพียงประโยคเดียว ทำให้มือเล็กที่กำลังเกาะฉากไม้ไว้แน่นถึงกับลั่นหลุดออก ดวงตาขององค์ชายน้อยเป็นประกายขึ้นในทันที
เสด็จอาทวดของเขามาแล้ว
เด็กชายรีบวิ่งออกจากหลบมุมด้วยจังหวะการก้าวที่เร็วชนิดไม่แยแสกับความเรียบร้อยใด ๆ ของเสื้อผ้า ทั้งยังไม่สนด้วยว่าผมด้านหลังจะหลุดลุ่ยกระจายอย่างกับหางพู่กันเปื้อนหมึกเมื่อเขาหยุดตัวไม่ทันแล้วยันประตูตำหนักเข้าไปเต็มแรง
ผลคือ เสียง “ตุ้บ” ดังเบา ๆ จากพื้นไม้ที่เย็นเฉียบพร้อมกับภาพขององค์ชายน้อยที่ล้มคว่ำหน้าคะมำอยู่ตรงนั้น
แต่แทนที่จะร้องไห้ เขากลับแหงนหน้าขึ้นแล้วเป่าลมออกจากปากเสียงดัง
“ฟู่... พื้นที่นี่ลื่นเหมือนพวกขันทีจับมันทาด้วยน้ำมันงา!”
เขาพึมพำกับตัวเองพลางลุกขึ้นมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วปัดฝุ่นบนชายเสื้ออย่างงุ่มง่าม เด็กบางคนอาจร้องไห้ฟูมฟายเพราะล้มในที่สาธารณะ แต่สำหรับเขา การล้มหน้าเปื้อนฝุ่นไม่ใช่เรื่องเสียเกียรติอะไร
ที่เสียหน้า คือถ้าถูกท่านลุงเห็นก่อนจะได้วิ่งเข้าไปต้อนรับต่างหาก
และในวินาทีที่เด็กชายกำลังจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เสียงหนักแน่นแฝงความห้วนสั้นก็เอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง
“เจ้ามาทำอะไรนอกตำหนักแต่เช้า ไม่ไปหัดอ่านตำรา?”
เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะหันกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวางที่ฝืนกลบความตกใจของตนเอาไว้ไม่มิด
“จู่ชูเย๋!” เขาโพล่งออกมาเสียงดังเกินกาลเทศะ
“ข้า… ข้ารู้ว่าท่านจะมาหาเสด็จย่า ก็เลยรีบมาเฝ้า... เฝ้าท่านก่อนยังไงเล่า!”
หลิวอันยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าคมคายกับแววตานิ่งขรึมดูไม่เปลี่ยนไปจากคราวแรกที่ได้พบกัน ร่างสูงในชุดสีเข้มยังคงเหมือนหินผาในวันที่สายฟ้าแลบใส่เท่าใดก็ไม่หวั่นไหว ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาไม่ต้องประกาศให้ใครรู้ก็สะกดความวุ่นวายโดยรอบให้หยุดนิ่งได้ในพริบตา
แต่แปลกเหลือเกิน เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าหลานชายเพียงคนเดียว ความสง่างามแข็งกร้าวนั้นกลับกลายเป็นเพียงความเงียบเฉยที่รับฟังไปเรื่อย ๆ
เด็กน้อยวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับเหวี่ยงแขนเล็ก ๆ กอดเอวท่านลุงไว้แน่น แหงนหน้าขึ้นพร้อมพูดเร็วเป็นพิเศษ
“ข้าจำได้ว่าท่านบอกจะสอนวิธีปั้นเต้าหู้เมื่อคราวก่อน จู่ชูยังจำได้ไหม ว่าข้าบอกว่าเต้าหู้ของท่านแข็งยิ่งกว่าหน้าขันทีที่โดนดุอีกน่ะ!”
หวยหนานอ๋องปรายตามองเด็กน้อยที่ยังไม่เลิกพันแขนไว้รอบตัวอย่างเหนียวแน่นก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าจำได้ว่าเจ้าพูดไว้เช่นนั้น และข้าก็จำได้ด้วยว่าเจ้าละเลงแป้งจนเลอะไปทั้งหัว”
“ก็เสด็จลุงเอาเต้าหู้ไปวางไว้ตรงนั้นเองนี่!” เด็กชายตอบกลับทันควัน “ข้าก็แค่คิดว่ามันจะนุ่มแบบหมอน แต่พอกดแล้วมันแข็งจนข้านึกว่าท่านจงใจ!”
ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นแตะหน้าผากตนเบา ๆ ราวกับระลึกถึงอะไรบางอย่างที่น่าปวดหัว ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำโดยไม่ลืมหันไปมองขันทีที่แสร้งทำเป็นมองฟ้าอยู่ห่าง ๆ
“เก็บไว้ก่อนเถอะเจ้าหนู เรื่องเต้าหู้ยังมีเวลาอีกมาก ข้าว่าพระบิดาเจ้าคงรอเจ้ากลับตำหนักนานแล้ว”
หลิวหรูเสวียนเบ้ปากอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“เสด็จพ่อให้ข้ามาหาท่านด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าท่านลุงต้องให้ข้าติดตามทั้งวัน!”
เขาส่งเสียงประกาศิตราวกับตนเป็นหวงตี้เสียเอง
หลิวอันเหลือบตามองเจ้าเด็กที่ดื้อรั้นแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยสายตานิ่ง ๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ และเดินนำออกไป
เด็กน้อยหรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ ขณะที่ก้าวตามหลังไปอย่างอารมณ์ดี ปากก็ยังไม่หยุดซักไซ้
“เสด็จลุง ๆ... ท่านคิดว่าหมอหลวงเคราเยอะกว่าท่านแม่ทัพใช่ไหม?”
หลิวอันไม่ตอบ
“แล้วระหว่างหัวหน้าขันทีกับท่าน ใครทำหน้าตาขึงขังเก่งกว่ากัน?”
ยังคงเงียบ
“ท่านไม่ตอบแปลว่าท่านไม่แน่ใจ ข้ารู้ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน!”
ระหว่างที่เสียงเจื้อยแจ้วขององค์ชายน้อยยังคงตามหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง รอยยิ้มบางเฉียบที่แทบไม่เคยโผล่มานอกจากยามอยู่คนเดียว ก็คลี่ขึ้นช้า ๆ บนใบหน้าของชายผู้ได้ชื่อว่า ‘เขี้ยวคมอสุรา’
เสียงฝีเท้าขนาดเล็กกระทบพื้นดังตึกตักตามจังหวะเร่งเร้า องค์ชายน้อยยังคงเดินตามติดไม่ลดละ มือหนึ่งจับชายเสื้อของลุงทวดแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายตัวไปเสียกลางทาง ขณะเดียวกันปากก็ยังคงพล่ามอย่างไม่หยุดยั้ง
“ท่านเคยตีคนจริง ๆ หรือเปล่า”
เสียงนั้นไม่ได้ถามด้วยความกลัว แต่กลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อย่างไร้เดียงสาจนน่าหัวร่อมากกว่าน่าตกใจ
หลิวอันปรายตาลงมอง เด็กน้อยช้อนตาขึ้นมาพอดี ใบหน้ากลมที่แต้มไปด้วยหยาดเหงื่อบาง ๆ นั้นฉายแววจริงจังเสียยิ่งกว่าตอนเขียนอักษร
“ข้าถามจริงนะ ไม่ได้คิดจะเอาไปฟ้องพระบิดา... ถ้าท่านเคยตีคนจริง ก็แสดงว่าท่านเก่งกว่าหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ใช่ไหม”
ท่ามกลางความเงียบ หลิวอันเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กนั่นเบา ๆ ราวกับจะเช็ดความไร้เดียงสาออกไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อย แต่เจ้าตัวกลับยิ้มแป้นรับด้วยความเคยชิน
“เจ้าควรรู้ไว้ว่า มีหลายเรื่องในโลกที่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดหรือลือชื่อที่สุดถึงจะน่าเกรงกลัว”
เด็กชายกะพริบตาปริบ ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ราวกับไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงยิ้มกว้าง
“งั้นท่านก็เป็นแบบนั้นใช่ไหม เป็นคนที่ไม่น่าลือแต่ใคร ๆ ก็กลัว ข้าเข้าใจแล้ว!”
“ไม่ต้องรีบเข้าใจมากนักก็ได้ เจ้าอายุยังน้อยนัก”
“แต่ข้าเป็นองค์ชายนะ!” เจ้าตัวแสดงท่าทีภูมิใจสุดขีด
หลิวอันแค่มองโดยไม่พูดอะไรต่อ ดวงตาที่มองเด็กน้อยกลับนิ่งลึกอย่างที่ไม่อาจมีใครหยั่งถึง ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าความเป็นองค์ชายไม่ได้หมายถึงการมีอำนาจเหนือใคร แต่หมายถึงการถูกจับตามองจากทุกคน”
คำพูดที่ฟังคล้ายรินผ่านหูเฉย ๆ นั้นกลับทำให้เด็กน้อยหยุดฝีเท้าเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พร้อมมองไปทางชายที่ถือศักดิ์เป็นลุงทวดที่กำลังอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเปิดปากส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“แล้วถ้าข้าไม่อยากให้ใครจับตามองล่ะ จะทำยังไงดี”
“ก็อย่าทำตัวให้โดดเด่นเกินไป”
คำตอบที่ได้กลับทำให้องค์ชายน้อยเบ้ปาก ดูเหมือนองค์ชายน้อยจะไม่พึงใจกับคำตอบของหลิวอัน แต่กระนั้นแม้จะทำหน้าตาจะบ่งบอกอารมณ์กับคำพูดเมื่อครู่ แต่กลับออกมาดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียมากกว่า
“จู่ชูเย๋พูดแบบนี้ทุกที แต่ข้าไม่สามารถทำตัวธรรมดาได้เลยนี่นา... ข้ายิ้มเฉย ๆ ยังมีคนบอกว่าข้าหว่านเสน่ห์!”
คำว่า ‘หว่านเสน่ห์’ ทำให้มุมปากของหลิวอันกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“นั่นเพราะเจ้าพูดมากเกินไปต่างหาก”
“ก็ข้าไม่พูด แล้วจะให้ใครพูด ท่านก็ไม่ใช่คนช่างคุยนี่นา!”
เด็กชายพูดแล้วหัวเราะในคออย่างอารมณ์ดี มือที่จับชายเสื้อก็เปลี่ยนมาโอบแขนของหลิวอันแทน เดินกอดแขนไปพร้อมส่งเสียงเป็นจังหวะ “อื้ม อื้ม อื้ม” ราวกับกำลังคิดอะไรสนุก ๆ
“ข้าตั้งชื่อให้ท่านใหม่ดีกว่า เป็นชื่อเล่นที่ไม่มีใครกล้าตั้ง!”
หลิวอันเหลือบตามองทันทีที่ได้ยินคำนั้น
“ฟังแล้วคงไม่ดีแน่”
“ดีแน่นอน ข้าคิดไว้แล้วว่า ‘เสด็จลุงเต้าหู้แข็ง’ ดีไหม”
มือของชายวัยกลางคนหยุดชะงักขณะเดิน
“เจ้ากล้าเรียกเช่นนั้นจริงหรือ”
“ข้าก็พูดเล่นไง ชูจู่อย่าหน้าเครียดสิ เดี๋ยวมีริ้วรอยนะ” เด็กน้อยว่าแล้วก็พยามเขย่งปลายเท้าคล้ายหมายจะยกนิ้วจิ้มปลายคางของหลิวอันเบา ๆ เหมือนจะลบรอยจริง ๆ
หลิวอันถอนหายใจยาวอย่างเงียบงันอย่างคนที่ต้องรับมือกับความโกลาหลที่ไม่เคยฝันอยากเผชิญ เขาเคยเจรจากับคนทั้งราชสำนัก เคยหักล้างความคิดของขุนนางฝั่งตรงข้ามอย่างไร้ความปรานี แต่พอมาเจอเด็กหกขวบคนนี้ กลับรู้สึกเหมือนตนกำลังหาทางรอดจากพายุหมุนแบบไม่มีที่สิ้นสุด
“ข้าสงสัยอีกอย่างหนึ่ง ท่านมีคนที่ไม่ชอบหรือเปล่า”
คำถามนั้นทำให้หลิวอันหยุดคิดชั่วครู่
“มี”
“ใครล่ะ”
“คนที่เอาแต่ถามโดยไม่หยุดหายใจ”
เจ้าตัวเล็กหัวเราะพรืดออกมาทันที
“อ้าว ข้าเสียใจนะ ข้าคือเหลนที่ดีของท่านนะ!”
“เจ้าคือสิ่งที่ฟ้าส่งมาทดสอบข้ากระมัง”
“อืม... ถ้าจู่ชูผ่านไปได้ เดี๋ยวข้าจะให้รางวัลเป็นขนมงาทอดสองชิ้น!”
คำพูดนั้นทำให้หลิวอันหันมามองหน้าหลานชายตรง ๆ ด้วยสายตาแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงต่ำ
“หากข้าผ่านไปได้ ข้าจะขอเป็นความเงียบสิบชั่วยามแทนขนม”
“เงียบสิบชั่วยาม...” เด็กชายทำหน้าครุ่นคิดแล้วพึมพำตาม “ท่านแน่ใจนะว่าจะไม่เหงา”
หลิวอันไม่ตอบคำถามนั้น เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบผมนุ่มของเด็กน้อยอีกครั้ง บางที เขาอาจไม่ต้องการขนมหรือความเงียบจริง ๆ ก็ได้
เด็กน้อยยังคงเดินเคียงคู่ผู้เป็นลุงด้วยกิริยาคล้ายแมวตัวเล็ก ๆ ที่แนบชิดเจ้าของไม่ยอมห่าง ความเคลื่อนไหวกระปรี้กระเปร่าไม่ต่างจากลูกคลื่นในลำธารที่ไม่ยอมไหลนิ่งแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว ขณะที่ฝ่ามือเล็กยังคงจับชายแขนเสื้อของหลิวอันไว้แน่นเป็นการยืนยันสิทธิ์ว่าท่านผู้นี้เป็นของข้า ข้าได้ครอบครองตลอดช่วงเวลานี้ ห้ามใครแย่ง
ระหว่างทางที่เดินเลาะผ่านตำหนักน้อยใหญ่เพื่อมุ่งไปยังสวนด้านใน เด็กชายยังคงใช้ปากแทนขาเดินอย่างมั่นคง พูดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ทีโดยไม่มีหัวไม่มีท้าย ราวกับหัวสมองกำลังแข่งกับเวลาอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะสรรหาหัวข้อสนทนาที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำ
“ท่านเคยถูกสัตว์กัดไหม”
คำถามที่กระโดดไปไกลจากบทสนทนาก่อนหน้าหลายช่วงตัวทำให้หลิวอันที่เคยผ่านสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วนยังต้องชะงักความคิด
เขาก้มมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังทำหน้าจริงจังแหงนหน้ามองเขาด้วยสายตาเปล่งประกายแบบเดียวกับแมวที่พุ่งจ้องปลาทูร้อน ๆ ในครัว
“หมา แมว งู ตุ่นไฟ ข้าว่าอะไรก็กัดคนได้หมด ถ้าหิวพอ”
“ข้าหมายถึง เสด็จลุงเคยถูกสัตว์กัดแล้วมันอักเสบจนต้องให้หมอหลวงมากรีดหนองไหลออกไหม...”
“เจ้าคิดภาพพวกนี้ตอนกินข้าวได้หรือไม่”
“ข้าคิดได้ตลอด ท่านน่าจะลองบ้างนะ จะได้กินข้าวได้มากขึ้นเพราะรู้สึกว่าไม่ได้แย่เท่าแผลหนอง!”
เด็กน้อยหัวเราะพรืดออกมาอย่างภาคภูมิใจในตรรกะของตัวเอง ใบหน้ากลมใสเปื้อนรอยครุ่นคิดที่ไม่รู้สึกรู้สมกับวัยใด ๆ เลยสักนิด ความไร้เดียงสาผสมกับความฉลาดเกินวัยราวกับยาพิษปรุงกลมกล่อม ทำให้หลิวอันมองแล้วยังอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“เจ้าควรหาเพื่อนเล่นที่ไม่ใช่แผลหนอง หรือหมอหลวงเคราหนาเสียบ้าง”
“ข้าไม่มีใครให้คุยนี่นา ในวังมีแต่พวกขันที นางกำนัลก็ชอบเอาแต่ชมว่าข้าน่ารัก ข้าได้ยินจนหูชาแล้ว ถ้าข้าเดินผ่านต้นท้อแล้วมันพูดได้ มันคงพูดว่าข้าน่ารักเหมือนกันนั่นแหละ!”
หลิวอันอดนึกถึงภาพนั้นในหัวไม่ได้ เขาไม่ใช่คนที่จินตนาการฟุ้งซ่านได้ง่าย แต่เมื่อนึกถึงเด็กชายตัวกลม ๆ ผมยุ่ง ๆ ยืนหน้าบานอยู่กลางต้นท้อแล้วต้นไม้พูดว่า “น่ารัก” ด้วยเสียงขันที... แปลกนักที่มันทำให้มุมปากเขากระตุก
แต่ไม่ทันได้ตอบกลับอะไร เจ้าตัวเล็กก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดเล็กน้อย
“หวางชูอย่าหาว่าข้างอแงนะ ข้าแค่อยากมีคนฟังตอนข้าพูดแค่นั้น”
เขาไม่ได้เอ่ยเสียงดังนัก แต่ก็ไม่ได้พึมพำให้เงียบพอจะทำเป็นไม่ได้ยินได้ด้วยเช่นกัน น้ำเสียงนั้นไม่ชวนให้รู้สึกว่าน้อยใจ แต่มากพอจะทำให้ใครที่ฟังแล้วต้องหยุดเดิน
หลิวอันเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมที่เคยจ้องศัตรูในสนามรบจนกระทั่งอีกฝ่ายถอยร่น ยามนี้กลับทอดมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแน่นิ่ง มันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่เขาเคยมองอาวุธ วางแผน และตัดสินใจอะไรสำคัญ ๆ มาก่อนในชีวิต
เขากำลังประเมิน ว่าใจเล็ก ๆ นั้นหนักแน่นแค่ไหน
“เจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วยนาน ๆ หรืออยากให้ข้าฟังเจ้าพูดนาน ๆ”
“ทั้งสองอย่าง!”
เจ้าตัวน้อยตอบเสียงดังไม่ลังเล แล้วก็ยักไหล่เล็ก ๆ ราวกับจะบอกว่าทำไมต้องเลือก
“ข้าไม่ได้อยากพูดกับทุกคน แต่ข้ารู้ว่าท่านลุงฟัง ถึงหน้าจะเหมือนมองผ่านข้าไปอีกสิบลี้ก็เถอะ แต่ข้ารู้ว่าในหัวเสด็จลุงมันจดคำพูดข้าไว้หมดแล้วใช่ไหมล่ะ!”
เขาชี้นิ้วใส่หน้าเสด็จลุงของตนอย่างมั่นใจราวกับผู้พิพากษาผู้ค้นพบความจริงจากหลักฐานลับ
“ข้าไม่จำเป็นต้องยิ้มตอบ ข้าฟังเจ้าก็พอแล้ว”
“จริงหรือ? ถ้างั้นข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง!”
เด็กน้อยถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกมือกอดอกเชิดหน้าอย่างภาคภูมิ
“ตอนนั้น ข้าแอบซ่อนขนมไว้ในหมอนของข้ารับใช้คนหนึ่ง เพราะข้าคิดว่าไม่มีใครไปค้นหมอนคนอื่นแน่ ปรากฏว่าคืนนั้นหมอนั่นนอนทับแล้วมดขึ้นเต็มหัว... พอเช้าก็โทษว่าโดนวางยาด้วยมด ข้าขำจนเกือบปัสสาวะเล็ดเลย!”
หลิวอันขมวดคิ้ว แต่ในดวงตานั้นกลับสั่นไหวคล้ายกำลังกลั้นอะไรบางอย่างอยู่
“เจ้าคือตัวป่วนของราชสำนักจริง ๆ”
“ก็ข้าเป็นเด็ก ยังไม่ต้องรับราชการนี่นา!”
เด็กชายส่งเสียงหัวเราะเบา อย่างร่าเริง มือเล็กที่เคยจับชายแขนเสื้อบัดนี้เริ่มแกว่งไปมาอย่างวางใจ ใบหน้ากลมก็กวาดมองรอบด้านราวกับเด็กที่รู้สึกปลอดภัยในรัศมีของผู้ใหญ่ที่ตนไว้ใจ
เมื่อทั้งคู่เดินจนถึงทางแยกซึ่งทอดสู่เขตสวนด้านใน องค์ชายน้อยก็หยุดยืนนิ่ง
เขาหันกลับมามองหลิวอันที่หยุดตาม พร้อมแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งหาได้ยากในยามที่เจ้าตัวไม่ได้แกล้งใคร
“ชูจู่... ข้าว่าข้าชอบเวลาที่ข้าอยู่กับท่านนะ ถึงแม้ข้าจะพูดเยอะไปนิดก็ตาม แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้รำคาญจริง ๆ ใช่ไหมเล่า”
หลิวอันสบตาเจ้าตัวเล็กชั่วครู่ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในชายเสื้อด้านใน แล้วดึงห่อผ้าขนาดพอเหมาะออกมาอย่างไม่รีบร้อน
เป็นห่อผ้าธรรมดาสีหม่นที่ไม่มีลวดลายใดโดดเด่น แต่เมื่อยื่นส่งให้เด็กชายตรงหน้า ราวกับมันเป็นห่อของขวัญล้ำค่าที่บรรจุความเอาใจใส่ไว้แน่นล้น
“เต้าหู้ของเจ้า”
องค์ชายน้อยเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น เขารีบคว้าไปไว้ในมือราวกับกลัวว่าบุคคลเบื้องหน้าจะเปลี่ยนใจ แล้วค่อย ๆ คลี่ห่อผ้าออกอย่างประณีต ดวงตาดำขลับมองก้อนเต้าหู้เนื้อแน่นที่ถูกห่อมาอย่างดีด้วยสายตาชื่นชมปานกับเจอของเล่นชิ้นใหม่ที่รอมานานแรมเดือน
“ท่านปั้นเองจริง ๆ หรือ”
“หรือเจ้าคิดว่าข้าซื้อมา”
“ก็ไม่แน่... เพราะนี่ดูเหมือนเต้าหู้ระดับสามารถประดับประตูวังได้เลยนะ!”
เจ้าตัวเล็กยกมันขึ้นดมอย่างมีพิธีรีตอง แล้วจึงเก็บกลับเข้าไปในห่อด้วยความทะนุถนอมไม่ต่างจากคนที่กำลังซ่อนสมบัติราคาแพงไว้ในอก
“ข้าจะไม่กินมันจนกว่าท่านจะมาหาข้าอีก!”
เขาประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาขันทีที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ถึงกับขยับตัวไปมาอย่างอึดอัดไม่กล้าขัดจังหวะ
“เจ้าจะเก็บมันไว้จนขึ้นราเลยหรืออย่างไร”
“งั้นจู่ชูเย๋ก็ต้องรีบมาสิ!”
คำตอบนั้นทำให้หลิวอันนิ่งไปเพียงครู่เดียว ก่อนเขาจะเอื้อมมือแตะศีรษะเด็กชายอย่างแผ่วเบา
ไม่ใช่ด้วยท่าทีของชายผู้ถืออำนาจ แต่เป็นเพียงการสัมผัสเรียบง่ายที่แฝงด้วยบางสิ่งที่ไม่มีชื่อเรียก ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีแม้กระทั่งคำอธิบาย
บางอย่างที่เด็กน้อยสัมผัสได้จากก้อนเต้าหู้ก้อนนั้น และจากมือที่วางลงบนหัวเขาอย่างมั่นคง
---------
แสงอาทิตย์ยามสายส่องลงมาระยับบนลานหน้าตำหนักตงเฉิน เงาของต้นหลิวโยกไหวตามแรงลมอ่อน ดอกเหมยปลิดกลีบร่วงลงดินเป็นระยะ เมื่อมองจากมุมสูง ฉากหน้าอาจดูสงบราวสวรรค์ในบทกวี แต่แท้จริงแล้วมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเงาเงียบ
เสียงฝีเท้าของขันทีดังก้องมาตามทางเดินหิน เมื่อเสียงทุ้มต่ำแว่วว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว” บรรยากาศรอบตำหนักก็คล้ายหยุดชั่วขณะ ทั้งเหล่าขันที นางกำนัล และแม้แต่สายลมที่พัดอยู่เมื่อครู่ก็คล้ายชะงัก
องค์ชายน้อยซึ่งกำลังนั่งยอง ๆ ใช้ก้อนหินเรียงต่อกันเป็นรูปหน้ามังกรอย่างพิถีพิถันถึงกับเงยหน้าขึ้น ดวงตาดำขลับวาววับในทันที หัวใจเต้นตุบหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
เขาผงะตัวลุกยืน ปัดฝุ่นที่เปื้อนบนอาภรณ์บางเบาสีหยกอย่างเร่งร้อน มือเล็ก ๆ ฟาดไปมาบนแขนเสื้อและสะโพก พยายามปัดเศษดินที่เปื้อนมาตั้งแต่เมื่อครู่ เด็กชายไม่ได้ลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัว หากแต่เป็นความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเกี้ยวของพระบิดา
แม้จะเป็นบุตร แต่ก็ใช่จะได้พบพระบิดาเมื่อใดก็ตามใจปรารถนา เช่นเดียวกับมังกรที่ไม่อาจพบเจอได้บ่อยในสวรรค์
เสียงรองเท้าเหยียบพื้นหินดังแผ่วก่อนเกี้ยวทองจะจอดนิ่งหน้าตำหนัก ประตูผ้าม่านเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มผู้มีท่วงท่าเปี่ยมอำนาจก้าวลงมาอย่างเงียบเชียบ ราวกับมังกรที่ทะยานลงมาจากยอดเมฆาท่ามกลางแดดยามสาย
ชุดฉลองพระองค์ที่ประดับลวดลายมังกรห้ากรงเล็บสะท้อนแสงระยับผสานกับพระวรกายสูงสง่าทำให้ใครมองแล้วอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าโดยไม่รู้ตัว ผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย แววพระเนตรนิ่งสงบอย่างผู้มองโลกมากเกินกว่าจะประหลาดใจในสิ่งใดอีก
หลิวเช่อก้าวลงจากเกี้ยวอย่างเชื่องช้า แต่สายพระเนตรที่มองไปยังเด็กน้อยตรงหน้านั้นกลับมิได้เย็นชา
องค์ชายน้อยรีบยืดตัวตรง ถวายคำนับตามธรรมเนียมแม้จะตะกุกตะกักเล็กน้อย มือขวาวางแนบหน้าอกซ้าย เอียงศีรษะน้อย ๆ ตามที่เคยฝึกมาโดยมีนางกำนัลเป็นผู้คอยจ้ำจี้จ้ำไชทุกเช้า
“ขอถวายพระพรหวงตี้ ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
น้ำเสียงเล็กใสแต่เปี่ยมด้วยความตั้งใจนั้นสะกดให้พระโอรสสวรรค์แห่งต้าฮั่นทอดพระเนตรอยู่เนิ่นนาน ไม่ต่างจากการหยุดพิจารณาภาพวาดที่ท่านเองทราบดีว่าผู้วาดยังไม่ได้ลงลายละเอียดทั้งหมด หากแต่เพียงโครงร่างนั้นก็เต็มไปด้วยชีวิต
“เจิ้นมาหาลู่กุ้ยเฟย”
น้ำเสียงเรียบต่ำเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายพระเนตรที่เลื่อนลงมององค์ชายน้อยอย่างไม่เร่งร้อน
เด็กชายเงยหน้าขึ้น ดวงตาวาววับคล้ายดวงดาวที่เพิ่งโผล่พ้นม่านฟ้าในยามสาย เขาสบตาพระบิดาแล้วพยักหน้าแรง ๆ
“เสด็จแม่อยู่ข้างในพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าวันนี้เหนื่อยก็เลยพักสายตาไป...เอ่อ...บางทีอาจจะฝันเห็นฝ่าบาทก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ประโยคหลังนั้นมาพร้อมรอยยิ้มซุกซนที่ไม่อาจปิดบังได้
หลิวเช่อเพียงเลิกพระขนงข้างหนึ่งเล็กน้อย ท่าทีนั้นแทบไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาให้เดาได้ง่ายนัก แต่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะทราบดีว่าเขาไม่ได้ถือโทษ
“เจ้าดูเหมือนเพิ่งกลิ้งกับพื้นมา”
“ข้าไม่ได้กลิ้ง... ข้าแค่ใช้ก้อนหินเรียงกันเป็นหัวมังกร ข้าอยากให้มันดูน่าเกรงขามที่สุด เผื่อวันหน้าข้าจะใช้มันเป็นตราประทับประจำตัว!”
คำพูดนั้นทำให้หลิวเช่อเงียบไปครู่หนึ่ง
“ตราประทับประจำตัว?”
“ข้าไม่อยากใช้ตราที่เหมือนคนอื่น ข้าอยากมีของข้าเอง ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปจะทันคนอื่นได้ยังไงเล่า”
องค์จักรพรรดิแห่งต้าฮั่นไม่ได้ตอบในทันที เพียงแค่ทอดพระเนตรไปยังรอยดินเปื้อนบนฝ่ามือเล็กนั้น
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็คงต้องใช้ของเหล่านี้ให้เป็น”
เสียงพระดำรัสเรียบเย็นดังขึ้นในขณะที่พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นเล็กน้อย ข้าราชบริพารที่ยืนรออยู่เบื้องหลังจึงเร่งเข้ามาข้างหน้า ก้มตัวถวายห่อสัมภาระที่บรรจุอย่างเรียบร้อย พร้อมห่อเงินตราหนักพอสมควรวางไว้ข้างกัน
เด็กน้อยเบิกตากว้างทันที ราวกับได้เห็นภูเขาหิมะในฤดูร้อน
“นี่คือทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า”
หลิวเช่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปล่งนิ่งแต่มีน้ำหนัก
“เจ้าจะนำไปใช้เช่นไรก็สุดแล้วแต่เจตจำนงของเจ้า แต่จำไว้ ของเหล่านี้ล้วนมาจากภาษีของราษฎร”
เด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังคล้ายจะตื่นเต้นถึงกับนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขาไม่ได้เข้าใจคำว่าภาษีอย่างลึกซึ้งนัก แต่เขาจำคำที่เคยได้ยินว่า ‘เงินทุกเหรียญมีกลิ่นเหงื่อของคนทั้งแผ่นดินติดอยู่’
“...เสด็จพ่อวางใจเถิด ข้าจะใช้สิ่งนี้อย่างรู้คุณ และไม่ยอมให้ห่อเงินนี้ต้องละลายหายไปกับกลิ่นขนมงาทอดแน่นอน ข้าสัญญา”
เขาพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย สีหน้าซุกซนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นเด็กน้อยที่กำลังครุ่นคิดจริงจัง
หลิวเช่อไม่ได้เอื้อนเอ่ยชม หากแต่พระเนตรที่ทอดมองกลับสว่างเล็กน้อย ดั่งเชื้อไฟใต้เถ้าถ่านที่มิได้แสดงตัว หากแต่ยังมีอยู่เสมอ
“ดี เจิ้นไม่คาดหวังว่าเจ้าจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย...แต่เจิ้นหวังว่าเจ้าจะฉลาดพอจะรู้ว่าเมื่อใดควรฟัง”
“แล้วถ้าข้าไม่รู้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็เรียนรู้เสีย...ก่อนที่คนอื่นจะสอนเจ้าด้วยวิธีที่เจ้าไม่ชอบ”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึก ๆ เขาไม่ได้หวั่นกลัว แต่รับฟังอย่างเงียบเชียบ
ในเวลาที่สายลมยังพัดผ่านอย่างแผ่วเบา ม่านตำหนักยังสะบัดไหวตามแรงลมอ่อน องค์ชายน้อยเงยหน้ามองพระบิดาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก
“เสด็จพ่อ... จะยังอยู่กับข้าสักพักได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หลิวเช่อไม่ได้ตอบทันที พระองค์ทอดพระเนตรตำหนักด้านในชั่วขณะ จากนั้นจึงมองเด็กชายตรงหน้าอีกครั้ง ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่งในพระทัย
“เจิ้นอยู่ได้...จนกว่ามารดาของเจ้าจะตื่น”
แค่ประโยคเดียว องค์ชายน้อยก็เผลอเผยรอยยิ้มกว้างออกมา ใบหน้าที่เมื่อครู่เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นกลับสดใสขึ้นในพริบตา แววตานั้นคล้ายเด็กที่ได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิต แม้จะมิได้เป็นห่อสัมภาระก็ตาม

รางวัล: เงินติดตัวจากพ่อแม่ 50 ตำลึงทอง , 3000 อีแปะ , ห่อสัมภาระ 1 ห่อ , กระเป๋าเดินทาง 1 ใบ , +30 EXP (แนบท้ายโรล)
รับ(?) เต้าหู้หนึ่งห่อจากเสด็จลุงหลิวอัน (ได้ไหม.. ได้แหละ )
[ว่าแต่แฟลชแบล็คแบบนี้มันได้รึเปล่าฮะ..]