เจ้าของ: Admin

[ตำหนักตงเฉิน | 冬晨宫]

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-5-31 03:25:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2025-5-31 20:30

บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ หนึ่งวันในตงเฉิน
กุ้ยเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงเย็น - 9 เดือน 11 (ธันวาคม) รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10


ลมหนาวท้ายปีวนกลับมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ครอบครัวของนางอบอุ่นกว่าเดิมมาก เสียงร้องเล็กแหลมด้วยความสนุกสนานขององค์หญิงใหญ่กระจายไปทั่วตำหนักตรงข้ามกับความหนาวเย็นของฤดูกาลช่วงท้ายปี ไป๋หรั่นนั่งอยู่ภายในศาลา ตลอดทั้งร่างคลุมด้วยเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ช่วยให้ความอบอุ่น ความอบอุ่นแก่นาง?

ไม่ , แก่ลูกน้อยต่างหาก

“ อาเสวียน.. พี่สาวเจ้าอยู่นิ่งไม่เป็น วันหน้าอย่าเอาอย่างนาง เข้าใจหรือไม่? ” ใบหน้าของนงคราญโน้มลงกระซิบเหนือหน้าผากกลมของราชโอรสตัวน้อย ไออุ่นของบุตรชายในอ้อมแขนดีกว่าเตาอุ่นมือใด ๆ ที่เคยใช้มาทั้งชีวิต ไป๋หรั่นในช่วงนี้จึงเสพติดการอยู่ใกล้บุตรชาย ทว่าความเร็วในการเติบโตของเขากลับเป็นที่น่ากังวล

แค่สองเดือนกว่า เด็กคนนี้ก็มีขนาดตัวเท่าเด็กอายุสามหนาว ประหลาดเกินไป แต่ไม่ว่าจะประหลาดอย่างไร เด็กคนนี้ก็เป็นลูกของนาง ไป๋หรั่นปกป้องเขาจากสายตาของภายนอกและฮั่นอู่ตี้ก็เห็นดีเห็นงามไปกับนาง ‘ ฝ่าบาทกล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นความพิเศษของสายเลือดมังกร.. แต่จากบันทึกเก่าก่อนก็ไม่เห็นมีกล่าวถึงเชื้อพระวงศ์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ’

อ้อมกอดสำหรับหนูน้อยที่ยังโตไม่เต็มที่เริ่มแน่นขึ้น เสียงถอนหายใจหลุดลอดออกจากริมฝีปากเป็นสัญญาณของความเหนื่อยล้าที่กดทับบนบ่าของผู้เป็นมารดา ไป๋หรั่นยังไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับความฝันประหลาดที่นางมี ไม่ว่าจะฝันรับแสงจากสตรีแปลกหน้า.. หรือฝันอำลาของผิงหยางกงจู่ ‘ มีเรื่องให้คิดเต็มไปหมด ’ ลมหายใจล่องลอยออกจากปากกลายเป็นกลุ่มควันท่ามกลางหิมะขาว ดวงตาของนงคราญหลุบลงมองเด็กชายตัวน้อยที่กำลังกำเสื้อคลุมขนสัตว์บนไหล่นางแน่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตานางด้วยดวงตากลมโต

‘ มีบุตรชายน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้แล้วยังต้องกังวลอันใดอีก ’

“ เจ้าเอาแต่อุ้มเขาจนคนอื่นตัวเป็นขนกันหมดแล้ว ” น้ำเสียงเรียบเข้มแต่ทรงพลังของฮั่นอู่ตี้ดังขึ้นจากด้านข้างของศาลา โอรสสวรรค์ผู้ฝากตนเป็นแขกประจำปรากฏตัวในพระภูษาสีนิลขลิบลายทอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการสวมภูษาอย่างนี้หมายถึงพระองค์พึ่งกลับจากการออกไปชมเมือง

ราวกับรู้ว่าสิ่งไหนจะสามารถทำให้ใจชายที่แข็งดังหินผาอ่อนลง ไป๋หรั่นค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปหาสวามีพร้อมโอรสในอ้อมแขน “ อาเสวียนโตไวกว่าผู้อื่น คลาดสายตาเพียงครู่เดียวก็เหมือนว่าจะโตขึ้นอีกแล้ว หม่อมฉันไม่อยากพลาดช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา มีอันใดผิดหรือเพคะ ” ริมฝีปากบางหลังจากพูดก็เปลี่ยนมาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน ใบหน้างามขยับขึ้นมองเจ้าแผ่นดินจนเจ้าตัวเป็นฝ่ายหลบสายตา

“ แขนขาเก้งก้างเหล่านี้ยาวขึ้นกี่ชุ่นแล้ว ”

“ ฝ่าบาท! ”

มีอย่างที่ไหนกล่าวถึงบุตรชายตัวเองอย่างนี้ แก้มขาวของโฉมงามพองลมด้วยความไม่พอใจ ปากเล็ก ๆ ขยับมุบมิบราวกับเก็บงำคำต่อว่ามากมายเอาไว้ในใจแต่ไม่ยอมเปล่งเสียง เสียงเย้ยหยันในลำคอของฮั่นอู่ตี้ดังขึ้นพร้อมมือสากที่เคลื่อนเข้าบีบปากของชายาเอกจนหน้ายับยู่ยี่ “ อย่าเสียงดัง เขาตกใจหมดแล้ว ”

ยังจะใช้อาเสวียนของนางมาเป็นข้ออ้างอีก !

ท้ายที่สุดแล้วคนที่พลิกขาวเป็นดำเก่งที่สุดก็คงไม่พ้นเขา ไป๋หรั่นมุ่นคิ้วเข้าหากัน ปากที่ถูกบีบจนยู่ขยับโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะไว้ไมตรีเปิดโอกาสให้นางตอบโต้แต่ดูแล้ววันนี้ฮั่นอู่ตี้คงจะล้าอยู่มาก เขาถึงได้ออกคำสั่งเบ็ดเสร็จในคราวเดียว “ อย่าเถียง ” เขาปรามนางด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะอ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางเหล่านางกำนัลที่คอยยืนล้อมศาลาเอาไว้ “ ตั้งสำรับ —- บอกองค์หญิงใหญ่ของพวกเจ้าให้เลิกวิ่งเล่นแล้วมาทานมื้อเย็น ”

ไป๋หรั่นเห็นครอบครัวมาหลากหลายแบบ ที่สนิทสนมกันก็ดี ที่ตึงเครียดก็ดี

บิดาแบบฮั่นอู่ตี้จะว่าถูกต้องก็ไม่ผิด แต่ในอนาคตคงไม่พ้นถูกเด็ก ๆ ตีตัวออกห่าง ‘ ช่างเถิด อย่างไรเขาก็เป็นเจ้าแผ่นดิน จะให้อยู่ดี ๆ กลายเป็นพ่อดีเด่นเลยก็คงประหลาดเกินไป ’ ไป๋หรั่นส่ายหัวแค่เล็กน้อย ก่อนที่จะปล่อยให้เสียงโวยวายแกมเว้าวอนของอาเยี่ยนที่ถูกขัดจังหวะการเล่นสนุกกลายมาเป็นยาบรรเทาความกังวลที่กำลังก่อร่างสร้างตัว

‘ ขอให้ทุกอย่างอบอุ่นแบบนี้ไปนาน ๆ .. ขอให้บ้านของเราอย่าต้องพบกับเรื่องวุ่นวายเลย ’

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15756 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-5-31 03:25
โพสต์ 15,756 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 เกียรติยศ +5 ความศรัทธา จาก ชุดเซวียนอวี้ (กุ้ยเฟย)  โพสต์ 2025-5-31 03:25
โพสต์ 15,756 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 เกียรติยศ +10 ความศรัทธา จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-5-31 03:25
โพสต์ 15,756 ไบต์และได้รับ +6 เกียรติยศ จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-5-31 03:25
โพสต์ 15,756 ไบต์และได้รับ +4 ความกล้า +5 ความศรัทธา จาก มีดแล่เนื้อ  โพสต์ 2025-5-31 03:25
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-5-31 09:55:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-5-31 10:01








มือซ้ายถืออีแปะ มือขวาถือตำลึง

31 หลิวเย่ว์ รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามซื่อ < 09.00  น. - 10.59 น. >


ตำหนักตงเฉินในยามสาย ดวงตะวันยังเพียงแตะขอบฟ้าทางตะวันออก อากาศยังไม่ร้อนจัด แต่กลิ่นหอมจากบุปผาในสวนเล็กหน้าตำหนักก็ลอยเอื่อยผ่านผ้าม่านบางที่ปลิวไหวแผ่ว ๆ ด้วยแรงลมอ่อน ชุดแพรบางขององค์ชายน้อยกระเพื่อมเบา ๆ ขณะเจ้าตัวยืนเท้าสะเอวอยู่กลางห้อง หัวคิ้วขมวดแน่นอย่างคนที่กำลังขบคิดเรื่องสำคัญระดับปฐพีสะเทือน


“ถุงไหนกันนะ ที่มีขนมงาดำซ่อนอยู่” 


เสียงใสเอื้อนเอ่ยคล้ายพึมพำกับตัวเอง แต่ดวงเนตรคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปยังสองถุงเบ้อเริ่มที่วางอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสีชมพูเม้มเป็นเส้นตรงในที ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือเรียวยาวตามประสาเด็กผู้ดีไปหยิบถุงใบซ้ายขึ้นชั่งน้ำหนักอย่างพินิจพิเคราะห์




“เจ้าว่านะกงกง ถุงหนึ่งมีสามหมื่นห้าพันอีแปะ อีกถุงมีสามสิบตำลึงทอง...ข้าจะเอาอันที่หนักกว่า ดีไหม?”


“อ...อ่า... ขึ้นอยู่กับพระองค์พะยะค่ะ ถุงทองแม้เบากว่า แต่มีค่าเป็นสิบเท่าของอีแปะ...”


เสียงกระซิบกระซาบของขันทีสูงวัยฟังดูประหนึ่งคำเตือน แต่เจ้าโอรสตัวจ้อยกลับยักไหล่ราวกับเรื่องเงินทองเป็นเพียงการเลือกของเล่นในลาน


“แต่ถุงนี้มันกลิ้งได้นะ” ท่านองค์ชายกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างจงใจ ขณะเอียงศีรษะเพ่งมองถุงอีแป๊ะที่กลมกลึงจนเกือบกลิ้งหนีจากโต๊ะ “ของที่กลิ้งได้ มักจะหนีไปง่าย ข้าไม่อยากต้องวิ่งตามเงินของตัวเองไปทั่ววังหลวง”


คำพูดไร้เดียงสาแต่เจือเชิงประชดประปรายทำเอากงกงต้องยกมือปิดปากกลั้นขำ ใบหน้าเหี่ยวย่นปรากฏรอยยิ้มเจื่อน ๆ ขณะสบตากับโอรสน้อยซึ่งกำลังใช้ปลายนิ้วเขี่ยผ้าผูกถุงตำลึงทองอย่างกระตือรือร้น


“ข้าจะเอาถุงนี้” เขาชี้นิ้วอย่างมั่นคง “ไม่ใช่เพราะข้าโลภ...แต่เพราะมันสวยกว่า มัดเชือกแดงด้วย ข้าชอบสีแดง”


ขันทีผู้ติดตามถึงกับนิ่งอึ้งอยู่ครู่ ก่อนจะโค้งคำนับพลางรับคำเบา ๆ ว่า “รับพระบัญชา”


เด็กชายตัวเล็กในชุดไหมสีอ่อนเดินยืดอกตรงเข้าหาถุงเงินอย่างภูมิใจ ริมฝีปากเล็กขยับคล้ายจะฮัมทำนองเพลงที่ไม่มีใครรู้จัก ขณะหยิบถุงทองขึ้นพาดบ่าดั่งแบกสมบัติล้ำค่า ใบหน้าเปื้อนรอยระเรื่อคล้ายคนเพิ่งชนะศึกสงครามในสมรภูมิความโลภ


เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยดังเบา ๆ ราวกับหิมะโปรยบนพื้นหินเย็น ด้านในห้องตกแต่งด้วยผ้าม่านโปร่งลายเมฆา เขาเดินผ่านตั่งไม้หอม โฉบหยิบพัดสีเขียวอ่อนจากโต๊ะ แล้วฟาดเบา ๆ บนฝ่ามือ ราวกับขุนศึกผู้กำลังออกคำสั่งศึก


“วันนี้จะไม่อ่านตำรา!” เสียงเล็กประกาศก้องกับตัวเอง ราวกับจักรวาลต้องสยบ


พัดในมือโบกไปมาเหมือนผู้มีอำนาจกำลังตัดสินใจอะไรยิ่งใหญ่ แล้วเด็กชายตัวน้อยก็หันซ้ายแลขวา ก่อนจะคว้าชิ้นขนมถั่วแดงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมากัดคำโต ริมฝีปากน้อย ๆ เปื้อนเศษแป้ง เขาเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางหลุบตามองถุงทองที่วางอยู่ข้างหมอนอย่างพึงพอใจ


หวงไท่โฮ่วเคยกล่าวกับเขาไว้ว่า “คนที่รู้จักเลือก จะไม่มีวันจน” ซึ่งเขาก็เห็นด้วย...ในบางเงื่อนไข


“ก็ถ้าเลือกได้ทั้งทองทั้งขนม ใครจะยอมเลือกแต่ขนมเล่า จริงไหม” องค์ชายน้อยหัวเราะอีกคำ แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงออกจากปาก รอยขีดเล็กบนหางตาบอกว่าผู้พูดยินดีจะเก็บความขำนี้ไว้คนเดียว


แสงแดดยามสายสาดผ่านหน้าต่าง ลงกระทบถุงทองจนเกิดแสงระยิบระยับ เขาเหลือบตามองแสงสะท้อนนั้นเหมือนเด็กน้อยกำลังเล่นของเล่นใหม่ ดวงตาสีดำวาวใสเหมือนหยกน้ำแข็งในคืนจันทร์เต็มดวง


หลิวหรูเสวียนยังคงนั่งลูบถุงทองเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง หัวสมองเล็ก ๆ ของเขาหมุนติ้วไปมา ทั้งแผนแจกขนม ทั้งแผนแอบไปข้างนอกวังตอนเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ไปเที่ยวกันสองต่อสอง ทั้งวิธีขนของหวานจากห้องเครื่องมายังตำหนักอย่างไม่ให้ใครจับได้


ชีวิตของโอรสแห่งฮั่นอู่ตี้ดูจะวุ่นวายไม่แพ้บรรดาแม่ทัพนายกองในสนามรบ...แต่อย่างน้อยก็มีขนม มีทอง และมีพัดหนึ่งอัน ซึ่งตามหลักแล้ว เพียงพอสำหรับประกอบความสุขหนึ่งวัน







รับ - เบี้ยหวัดฐานะประจำเดือน 30 ตำลึงทอง

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 14377 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-5-31 09:55
โพสต์ 14,377 ไบต์และได้รับ +5 เกียรติยศ +4 ความศรัทธา จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-5-31 09:55

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงทอง +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x5
x5
x2
x2
x10
x10
x53
x50
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-6-18 23:59:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ เหมยกลางเมฆ
กุ้ยเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงเช้า - 19 เดือน 12 (มกราคม) รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 10

ฝันประหลาด มักมาพร้อมการตั้งครรภ์

และไป๋หรั่นก็พลาด.. เพียงแค่พูดลอย ๆ เกี่ยวกับฝันที่เกิดขึ้นให้คนในตำหนักฟัง ใครจะไปนึกว่าเหล่าข้าราชบริวารจะนำไปคิดเป็นตุเป็นตะ ทั้งยังพูดจาไม่ระวังจนข่าวลือแพร่กระจายออกไปทั่ว ถึงขนาดที่ไท่โฮ่วยังเรียกนางไปพบ และแนะนำให้เชิญหมอหลวงมาตรวจสอบ จนนำมาสู่การที่ตำหนักตงเฉินมีหมอหลวงเดินเข้าออกตลอดสองวันและจบลงที่มีคำประกาศอย่างเป็นทางการภายในท้องพระโรงว่าอัครเวทีผู้เป็นที่รักยิ่งอย่างลู่กุ้ยเฟยตั้งครรภ์.. อีกแล้ว

มีหลายคนที่ดีใจกับข่าวนี้ โดยเฉพาะจางกงกงที่ยิ้มแก้มแทบปริ ทว่าคนที่ตั้งครรภ์กลับไม่ดีใจสักนิด ขุนนางอื่นที่ส่งบุตรสาวเข้ามาในวังก็ด้วย แม้บัดนี้กุ้ยเฟยจะยังถือสิทธิ์เป็นใหญ่ในวังหลัง ทว่าตำแหน่งอื่น ๆ ก็ใช่ว่าจะว่างเหมือนแต่ก่อน การเมืองภายในเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกวันเมื่อเส้นสายและอำนาจครอบครัวส่งผลต่อการเลื่อนระดับ ครั้งก่อนเป็นเพราะนางได้ให้กำเนิดพระราชโอรสจึงได้ฐานะกุ้ยเฟยมาครอง แต่ครั้งนี้?

เหมือนกับศึกตัดสินว่านางและตระกูลใหญ่จะเป็นภัยต่อกันมากหรือน้อยแค่ไหน

เพราะหากเด็กคนนี้เป็นชาย โอกาสที่ทายาทของนางจะได้กลายเป็นผู้สืบสันติวงศ์ก็จะยิ่งมากขึ้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ดังนั้นตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์ จึงไม่มีผู้ใดได้ก้าวขาเข้ามาเยี่ยมเยือนยกเว้นเพียงคนเดียว

ฮั่ น อู่ ตี้



19 เดือน 12 — ท้ายปีที่รอคอย พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของกุ้ยเฟยคนงามที่ต้องเผชิญหน้ากับการคลอดลูกในเรือนอีกครั้ง ความเจ็บปวดยังเท่าเดิม ความทรมาณก็ยังเท่าเดิม เพิ่มเติมที่ครั้งนี้มีประสบการณ์พอจะรู้ว่าควรหายใจตอนไหน ควรจะเบ่งยังไง

แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี

เจ็บมากจนน้ำหูน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

“พระชายา อดทนไว้เพคะ ใกล้แล้ว หายใจเข้าแล้ว เบ่งงง”

ก้านนิ้วบางปานต้นหอมจิกลงกับขอบเตียงขณะที่ร้องสุดเสียง ตลอดทั้งร่างชุ่มเหงื่อ ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่ปวดร้าวระบม และตามธรรมเนียม ไม่ว่าชายใดก็ไม่ควรเข้ามาอยู่ภายในบริเวณเดียวกันกับสตรีที่กำลังคลอดลูก ดังนั้นแม้แต่กำลังใจจากสามี นางก็ยังไม่ได้รับ

ผ้าขาวนุ่มเนียนซับลงที่กรอบใบหน้าของนาง เสียงของนางกำนัลต่างก็ดังขึ้นในทิศทางเดียวกัน แหลม สูง ใส เสียงของสตรีที่เต็มไปด้วยความกังวล ล้อมหน้าล้อมหลังราวกับแมลงปอในช่วงคิมหันต์ที่น่ารำคาญ ลมหายใจของนางติดขัด รู้สึกพะอืดพะอมจากน้ำคร่ำจนอยากหมดสติ แต่เมื่อเปลือกตาปิดลง สิ่งที่พุ่งเข้ากระแทกการรับรู้ของนางกลับไม่ใช่ความมืดแต่เป็นภาพของอะไรบางอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

แสงวูบไหว คนเคลื่อนตัว เสียงปริศนา และความรู้สึก.. ประหลาด

“แอ้ แอออออ้”

เสียงแรกที่ดึงนางออกจากภวังค์คือเสียงทารกที่ดังซ้อนกันกับภาพลวงตา การมองเห็นค่อย ๆ ถูกคืนกลับมาให้คนงาม ท่ามกลางความปลื้มปิติของผู้คนที่บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็ยิ้มกว้าง “พระชายา หนนี้เป็นพระธิดาเพคะ” ทารกน้อยหน้าตายับยู่ยี่เหยียดแขนแกว่งไปมาอยู่ในห่อผ้าราวกับกำลังคว้าหาสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า

ดวงตาของไป๋หรั่นที่ปรือจนแทบปิดสั่นระริกด้วยความอ่อนล้า หน้าของนางซีดลงจากความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลือ แต่ประสาทการรับรู้อื่น ๆ กลับตื่นตัวเต็มที่ จนได้กลิ่นดอกเหมยที่ลอยมาโดยไร้ต้นทางเหมือนกับ.. ฝันในคืนนั้น “เสี่ยวเหมย… ของแม่” เสียงที่หลุดจากริมฝีปากนางแหบแห้ง หยาบกร้าน แต่กลับไม่มีวี่แววของความแข็งกระด้าง นับว่าเป็นสุ้มเสียงอ่อนโยนที่ทำให้ทารกน้อยหยุดร้องโวยวาย

ทว่าความยินดีนี้อยู่ได้ไม่นาน เมื่อต่อมาหมอหญิงที่นั่งประจำตำแหน่งช่วยทำคลอดกลับร้องออกมาเสียงดัง

“แย่แล้ว! ไปนำผ้ามาเร็วเข้า เยอะ ๆ เลย พระชายกำลังาตกเลือด!”

คลอดเด็กคนนี้.. ทำนางเกือบตายจริง ๆ



ให้กำเนิดองค์ชายหรือองค์หญิง +200 คุณธรรม
กุญแจนำทางไปสู่บทปลดความทรงจำ | ทางเลือกแห่งชีวิต (รอใส่)

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ +200 คุณธรรม โพสต์ 2025-6-19 00:39
((เพิ่มบทสนทนากับฝ่าบาท ในสักโรลฝ่าบาทจะเอ่ยถามลองใจ เธอไม่อยากจะสนับสนุนญาติพี่น้องเข้ามาเป็นขุนนางหรือ))  โพสต์ 2025-6-19 00:39
โพสต์ 14987 ไบต์และได้รับ 6 EXP!  โพสต์ 2025-6-18 23:59
โพสต์ 14,987 ไบต์และได้รับ +2 EXP +2 คุณธรรม +2 ความโหด จาก ชุดเซวียนอวี้ (กุ้ยเฟย)  โพสต์ 2025-6-18 23:59
โพสต์ 14,987 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-6-18 23:59
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-6-19 02:53:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LuBairan เมื่อ 2025-6-19 03:14

บันทึกฝูหรงแห่งหยกขาว
Character Avatar
ลู่ไป๋หรั่น ཐིཋྀ อริเก่ากลับใจ
กุ้ยเฟยแห่งตำหนักตงเฉิน ⋆ สาวงามอันดับหนึ่งแห่งลั่วหยาง
ช่วงสาย - 22 เดือน 04 (พฤษภาคม) รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

หลายเดือนแล้ว เด็กชายและเด็กหญิงที่นางพึ่งคลอดได้ไม่นานมานี้กำลังวิ่งเล่นสนุกสนานในสวนราวกับเด็กที่โตแล้วแทนที่จะนอนพักกินนมเหมือนอย่างคนอื่น — ไม่ใช่ว่านางไม่รู้เกี่ยวกับข่าวลือที่บอกว่านางให้กำเนิดเด็กปีศาจ ทว่าใครกันจะกล้าว่าร้ายกันต่อหน้าในเมื่อปัจจุบันนี้หวงตี้ก็ยังทรงให้การคุ้มครองนาง.. และให้การคุ้มครองเด็ก ๆ ที่เป็นลูกของเขา

ความจริงเป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ ฝ่าบาทเค้นให้นางคายความลับออกมาว่าตัวเองฝันอะไรบ้างในระหว่างช่วงที่ตั้งครรภ์ทั้งสองชีวิต ก่อนจะนำเนื้อหาในฝันนั้นไปถอดเป็นอักษรและให้ตงฟางซั่วตรวจสอบจนได้คำตอบว่าทั้งองค์ชายใหญ่และองค์หญิงเล็กต่างก็เป็นคนที่ถูกประทานมาจากฟ้า

ทว่าคนอื่นไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ไม่เว้นแม้แต่พี่สาวคนโตของพวกเขา

“เด็กพวกนี้โตเอา โตเอา ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องรีบฝึก” เด็กหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเติบโตตามเวลาปกติอย่างหลิวหรูเยี่ยนกำหมัดทุบกับโต๊ะก่อนจะกระโดดออกจากตักมารดา ตั้งท่าขยันขันแข็งพับแขนเสื้อกะจะไปหยิบดาบไม้มาซ้อมท่ามกลางสายตาเอ็นดูของเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายที่มองตามเป็นระยะ

“อาเยี่ยน, หมกตัวจ้องดาบอยู่ทั้งวันก็มิได้ทำให้ลูกสร้างจิตกระบี่ขึ้นได้หรอก นั่นเป็นวิถีของสำนักหัวซาน จนกว่าจะโตพอเข้าสำนักได้ อาเยี่ยนไปศึกษาศาสตร์อื่นก่อนจะดีกว่า” ไป๋หรั่นเอ่ยพลางก้มลงสูดกลิ่นชาชงใหม่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วศาลา นิ้วของนางเคาะลงกับเนื้อกระเบื้องมันวาวที่อุ่นกำลังพอดีในมือช้า ๆ ก่อนจะหยักยิ้มบาง “ชาบุปผาคราวนี้รสชาติไม่เลว ส่งมาจากไหนล่ะ?”

“เป็นตำหนักจื่อเสียของเถียนเจาอี๋ หลานสาวของเซียวจื่อไท่โฮ่วเพคะ” นางกำนัลคนสนิทอย่างผู่เยว่รายงานต่อนายหญิงอย่างระมัดระวังพร้อมเหลือบตาดูท่าทางของคนงามที่นิ่งฟัง “ผ่านการตรวจสอบมาแล้ว ดูเหมือนไท่โฮ่วจะเป็นผู้แนะนำให้ผูกมิตรกับพระชายา”

“เจาอี๋เคยเป็นตำแหน่งข้า.. ผ่านมาไม่นานก็มีเจาอี๋คนใหม่เสียแล้ว”

ดวงหน้าที่พาให้ใจคนล่องลอยเอียงไปด้านข้างช้า ๆ หลานสาวของไท่โฮ่ว ผูกมิตรไว้ก็ไม่ใช่ว่าแย่ ยังไงสามเฟยสกุลโอวหยางก็เหมือนจะระแวดระวังนาง เทียบกันแล้ว สามขุนนางใหญ่ยังไม่มีทายาทจึงไม่ได้ส่งใครเข้าวัง ดังนั้นที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดคงเป็น.. โอวหยาง หรือไม่ก็ซ่างกวน

ซ่างกวนฝูมี่เร้นหายเข้ากลีบเมฆ ข่าวคราวไม่ชัดเจน ตรงข้ามกับสามโอวหยางที่ยิ่งไต่เต้าขึ้นทุกวัน

“จะว่าไป.. เจาอี๋ก็ถือว่าเป็นสนมขั้นฉือผินเหมือนกับเหลียนเอ๋อร์”

“จดเอาไว้ วันใดว่าง เปิ่นกงจะเชิญนางมาพบสักครั้ง”

“เพคะ”

ผู่เยว่โค้งคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยกลับไปยืนในตำแหน่งของตัวเอง สลับกับเสี่ยวเว่ยจื่อ ขันทีประจำตำหนักที่ก้าวขึ้นมาแทนที่และกระซิบแจ้งถึงแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ เสียงถอนหายใจจากปากของคนงามลอยละล่องไปทั่วเรือน เนตรบุปผาจรดมองสามพี่น้องที่วิ่งพล่านซุกซนก่อนจะส่ายหน้า

“เด็ก ๆ อย่ามัวแต่เล่นจนลืมหน้าที่” เสียงหวานของกุ้ยเฟยดังกังวานสง่างามแต่ไม่กดดัน รอยยิ้มของโฉมสะคราญเหยียดกว้างพาให้ฝูงชนจรรโลงใจ “อาเสวียน คัดซันจื้อจิงไปถึงไหนแล้ว อาเหมย ผู่เยว่บอกว่าเจ้าเอาถุงหอมไปซ่อน ส่วนอาเยี่ยน..”

“เล่นต่อไปเถิด”

“เสด็จแม่!”

เสียงโวยวายของหรูเยี่ยนดังขึ้นหลังการหันจากไปของกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดา ไป๋หรั่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เดินออกไปเพื่อพบกับคนที่คงจะนำพาความบันเทิงมาให้นางได้อีกไม่น้อย — จากเรือนกลางตำหนักเคลื่อนมาสู่เรือนหน้าซึ่งเป็นเขตรับรองแขก ความสงบกึ่งสบายที่ไม่เคร่งพิธีรีตองของเจ้าตำหนักตงเฉินเองก็เปลี่ยนมาเป็นความงดงามสูงส่งที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกส่วน ไม่เว้นแม้แต่การหายใจเมื่อที่อยู่ต่อหน้าบัณฑิตผู้หนึ่งที่แต่งกายคล้ายนักบวช

“คารวะกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง” เสียงหนักแน่นแต่กลับปลอดโปร่งเช่นปัญญาชน ชายตรงหน้าโน้มลงคารวะอย่างสุภาพตามหลักการ ไม่มีสิ่งใดผิดระเบียบแม้แต่น้อย ก่อนจะค่อย ๆ ยืดกายกลับยืนตรงอีกครั้งเมื่อได้รับการอนุญาตจากสาวงามในอาภรณ์ขาวราวเทพเซียนที่นั่งอยู่บนตั่งไม้

“มิทราบว่าท่านคือ..?”

แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าคงถูกถาม แต่เมื่อได้ยินเสียงของคนงามเข้าจริง ๆ บัณฑิตน้อยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง คนที่งามถึงเพียงนี้ ตลอดพันปีคงจะหาได้เพียงหนึ่งเท่านั้น บัณฑิตหนุ่มยกมือขึ้นป้องใบหน้าพลางกระแอมเสียงเข้มเพื่อรวบรวมสติของตนเองกลับคืนมาก่อนจะแนะนำตัว “กระหม่อมแซ่จาง นามเสี่ยวหลง เป็นเพียงบัณฑิตผู้น้อยในสำนักหลวง อาศัยหยาดเหงื่อแห่งการศึกษาและบรรพชนที่ฝากคัมภีรไว้ มิกล้าเปรียบตนสูงส่งกว่าผู้ใด แต่ในยามบ้านเมืองกำลังเสาะหาหลักยึด กระหม่อมเห็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงสัตย์จริงแห่งขงจื๊อถวายเบื้องพระพักตร์พระองค์”

บัณฑิตน้อยจากสำนักหลวง ผู้ศรัทธาในขงจื๊อ?

กล้าหาญทีเดียวที่เข้ามาในวังในและยังขอให้กุ้ยเฟยที่เคยถูกเหล่าผู้ศรัทธาในหลักคำสอนของขงจื๊อประนามเมื่อครั้งที่ตำแหน่งของนางยังต่ำกว่านี้มาก ไป๋หรั่นไม่ค้าน นางขยับท่านั่งบนตั่งให้สบายขึ้นแต่ก็ยังเหมาะสมกับการอยู่ต่อหน้าชายที่ไม่รู้จัก “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็.. เชิญ เปิ่นกงจะรับฟังเอง”

เมื่อสตรีที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญของแผ่นดินยินยอม บัณฑิตน้อยก็เผยรอยยิ้มสว่างสดใส ก่อนจะรีบทูลความที่เตรียมมา “ขงจื๊อเคยกล่าวไว้ว่า ‘เจิ้งหมิง จึงสงบ, เมิ่งซุนกตัญญู จึงพาแผ่นดินมั่น’ เหนียงเหนียง หากวันหนึ่งแผ่นดินจะต้องเลือกองค์รัชทายาทเพื่อสืบสานราชวงศ์ กระหม่อมใคร่กราบทูลว่าแก่นแท้ของขงจื๊อหาใช่เพียงพิธีกรรม หากคือระเบียบธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ‘กตัญญู’ อันบริสุทธิ์ระหว่างบุตรกับบิดา ระหว่างผู้น้อยกับผู้อาวุโส”

เขาตั้งใจมากล่อมนาง ทั้งยังเตรียมตัวมาดีเสียด้วย มุมปากของไป๋หรั่นยกขึ้นพลางพยักหน้าน้อย ๆ เป็นสัญญาณให้เขากล่าวต่อ จางเสี่ยวหลงเห็นดังนั้นก็จึงยิ่งมีความกล้าพูดออกมาโดยไม่คิดจะระวังปาก “องค์ชายน้อยของเหนียงเหนียง.. โอรสเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาทในขณะนี้คือผู้ที่สวรรค์ได้ทรงประทานมาให้ด้วยจิตวิญญาณแห่งความกตัญญู หากหล่อหลอมภายใต้หลักขงจื๊อ กระหม่อมกล้ายืนยันว่าองค์ชายจะได้เป็นกษัตริย์ที่รักราษฎร์ดังบุตร และเคารพบรรพชนดังเทพ”

เพราะมัวแต่พูดจึงไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มบนหน้าของกุ้ยเฟยคนงามที่นิ่งค้างไปแล้ว มือขาวของโฉมสะคราญยกขึ้นนวดขมับเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจเพียงลำพังโดยที่ผู้นำเสนอยังไม่นึกเอะใจ “ยิ่งไปกว่านั้น หากกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงเมตตาผลักดันแนวทางขงจื๊อให้มีที่ยืนในราชสำนัก มิใช่เพียงกระหม่อมเท่านั้น หากแต่เหล่าบัณฑิตทั่วแผ่นดินจักหันมาเป็นแนวร่วม ด้วยเหตุนี้ ฝ่าบาทอาจทรงเลิกเสาะหาโอรสอื่น เพราะธรรมเนียมของขงจื๊อย่อมถือบุตรคนโตแห่งหวงโฮ่ว หรือพระสนมชั้นเอกผู้เป็นที่โปรดปรานเป็นองค์รัชทายาท”

หรูเสวียนเกิดมาได้ไม่ถึงปี ถึงร่างกายและสติปัญญาจะพัฒนาไวกว่าคนทั่วไป แต่ผู้ที่เห็นประโยชน์ก็เริ่มกระโจนเข้าหาเสียแล้ว คิ้วเรียวของไป๋หรั่นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “มีเป้าหมายเป็นเรื่องดี แต่เรื่องนี้ มิใช่สิ่งที่บัณฑิตจางจะกำหนดได้” อาจเป็นเพราะความนุ่มนวลในน้ำเสียงของนางที่มีมากจนเกินไป อีกฝ่ายนอกจากจะไม่ตระหนักรู้แล้วยังคิดไปว่าพระชายาคงเป็นกังวลเกี่ยวกับการที่พวกเขาไม่หนักแน่นพอจึงรีบเสริมอีกประโยค

“โดยกฎธรรมชาติแห่งฟ้า ‘เจิ้งหมิง’ ย่อมหมายถึงเรียกสิ่งใดให้ตรงกับคุณธรรมของสิ่งนั้น หากองค์ชายน้อยได้ทรงเติบโตในเงาแห่งขงจื๊อ— เขาย่อมได้เป็นรัชทายาทโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง และหากพระองค์ทรงสนับสนุนแนวทางนี้ กระหม่อมกับพวกจักถือเป็นบุญหาที่สุดมิได้ จะขอถวายจิตวิญญาณเพื่อชูหลักขงจื้อให้มั่นในแผ่นดิน ทั้งยังขอภักดีต่อพระองค์ตลอดชั่วชีวิต หวังว่าทรงเมตตารับไว้พิจารณา” ทันทีที่พูดจนจบ จางเสี่ยวหลงก็ทิ้งเข่าลงกระแทกกับพื้นตำหนัก และโค้งลงแนบหน้าผากไปกับพื้นอย่างนอบน้อมแต่ก็ยังเหลือไว้ซึ่งเศษเสี้ยวของความเป็นผู้ดีที่เหลืออยู่

การถอนหายใจที่ฟังดูเหมือนสายลมในช่วงสารทดังขึ้นจากทางพระชายาผู้ทรงเกียรติ “บัณฑิตจาง เปิ่นกงซาบซึ้งในความตั้งใจของท่านที่หวังจะชูหลักธรรมเพื่อประโยชน์แห่งแผ่นดิน” ไป๋หรั่นโบกมือช้า ๆ เป็นท่าทางที่ผู้น้อยล้วนรู้กันดีว่าให้เลิกตั้งท่าอ้อนวอนแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมา “เพียงแต่.. เปิ่นกงแม้จะเป็นผู้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท แต่ในทางราชการ กลับมิได้มีอำนาจอันใดมากไปกว่าความเมตตาที่ฝ่าบาททรงมีให้”

ปฏิเสธ — แต่เป็นการปฏิเสธที่ฉลาดมาก

รอยยิ้มบนใบหน้าของคนงามไม่เคยที่จะสั่นคลอน ยังดูอ่อนหวานงดงามแต่ก็เริ่มมีความลึกล้ำแฝงเข้ามาโดยที่คนไม่ทันรู้สึกตัว “สตรี.. แม้ได้อยู่ในตำหนักสูง ก็ใช่ว่าจะมีมือเอื้อมไกลถึงราชสำนัก” มือของไป๋หรั่นเคลื่อนไปยกกาน้ำชาบนโต๊ะเล็กขึ้นรินชาลงจอก “เปิ่นกงมิเคยคิดฝ่าฝืนระเบียบหรือก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำในราชวงศ์ หากวันนี้เปิ่นกงเลือกสนับสนุน จะต่างอะไรไปจากการทำให้ฝ่าบาทคลางแคลงใจ?”

“แต่..”

“ที่สำคัญ เปิ่นกงอยากให้องค์ชายเติบโตโดยมีคุณธรรม ไม่ใช่เพราะมีมารดาที่หวังผลักบุตรในไส้ขึ้นสู่บัลลังก์ หากวันหนึ่ง พระองค์มีบุญวาสนาพอ บัลลังก์ก็จะเป็นของเขา โดยไม่จำเป็นต้องแย่งชิง” ไป๋หรั่นไม่ได้บอกว่า.. ตนเองจะไม่สนับสนุน หากบุตรชายคิดอยากเป็นองค์รัชทายาท แต่ในขณะนี้ทำไมจะต้องยัดเยียดสิ่งที่ใหญ่เกินตัวเอาไว้ในมือเด็ก ในเมื่อเด็กเองก็ไม่เคยร้องขอ

ดวงหน้างามของโฉมสะคราญอ่อนลงอย่างนุ่มนวลเมื่อคิดถึงบุตรชาย ใครจะไปทราบว่าการไม่ทันได้เตรียมสีหน้าให้สง่างามตลอดเวลาจะไปสะกิดให้บัณฑิตจางนึกเลื่อมใสในความปราดเปรื่อง “บัณฑิตจาง หากท่านศรัทธาในขงจื๊อ เปิ่นกงก็ขอเพียงให้ท่านช่วยอบรมองค์ชายให้เป็นบุตรที่กตัญญูต่อบิดามารดา เป็นขุนนางที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับแม่คนหนึ่งที่จะวางใจในอนาคตของบุตร”

“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”

จางเสี่ยวหลงเอ่ยคล้ายต้องการจะออกความเห็น แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้น ไป๋หรั่นกลับยกมือห้ามพร้อมกับลุกขึ้นช้า ๆ “เรื่องหลักยึดมั่นทางศาสนาของแผ่นดินและราชสำนัก.. รอให้ฝ่าบาททรงมีพระราชประสงค์ก่อนเถิด เปิ่นกงไม่กล้าเสนอสิ่งใดที่เกินพระทัย” กุ้ยเฟยเพียงหนึ่งเดียวของแผ่นดินก้าวเดินช้า ๆ ไปที่หลังฉากกั้น ทิ้งไว้เพียงเสียงฝากฝังที่ไม่ดังนัก

“บัณฑิตจางดื่มชาสักป้าน ..หากมีวาสนา สองเราคงได้พบกันอีก”



อีเว้นท์พิเศษ 22/05/2025 - จบ | รางวัล : ?
(ตอบสวยขนาดนี้ มงนางงามต้าฮั่นให้เราได้ไหมคะ)

[NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน
+5 ความสัมพันธ์สนทนาประจำวัน
+20 โบนัสความสัมพันธ์จากหัวดี

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-16] หลิว หรูเยี่ยน เพิ่มขึ้น 25 โพสต์ 2025-6-19 13:14
โพสต์ 32135 ไบต์และได้รับ 18 EXP!  โพสต์ 2025-6-19 02:53
โพสต์ 32,135 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ชุดเซวียนอวี้ (กุ้ยเฟย)  โพสต์ 2025-6-19 02:53
โพสต์ 32,135 ไบต์และได้รับ +10 EXP +15 คุณธรรม +15 ความโหด จาก โดดเด่นมีเอกลักษณ์  โพสต์ 2025-6-19 02:53
โพสต์ 32,135 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-19 02:53
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ธนูไม้จันทน์
กระบอกธนู
โดดเด่นมีเอกลักษณ์
พัดคุณชาย
หมวกไผ่ผ้าคลุม
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x1
x1
x10
x16
x5
x1
x1
x1
x2
x2
x2
x4
x3
x2
x4
x7
x3
x4
x1
x11
x9
x3
x4
x16
x2
x5
x4
x2
x7
x6
x4
x15
x4
x1
โพสต์ 2025-6-21 21:20:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด







พระกระยาหาร ยามราตรี

22 เดือน 5  รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามไห่ < 21.00  น. - 23.00 น. >



ยามไห่แผ่คลุมทั่วฟ้ากรุงฉางอัน ลมอ่อนพลิ้วผ่านม่านแพรบางของตำหนักตงเฉิน เสียงกระดิ่งลมกระทบกันแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบของเทวัญบนสวรรค์ องค์ชายน้อยแห่งวังหลวงเอนพระวรกายอยู่บนตั่งหยกขาว ทรงถอดรองพระบาทแล้วบรรจงเหยียดปลายพระบาทลงบนพรมขนนกกู่ ความเย็นจากพื้นลามขึ้นมาตามฝ่าพระบาทจนเจ้าตัวต้องย่นนิ้วหลบเหมือนลูกแมวที่เผลอเหยียบหิมะเป็นครั้งแรก


เด็กน้อยพึมพำอะไรเบา ๆ พลางเบี่ยงพระพักตร์ไปมองฟ้าผ่านช่องหน้าต่าง เขารู้ดีว่าเวลาเช่นนี้ ควรเป็นช่วงที่เหล่าขันทีพากันเงียบเป็นเป่าสาก รอให้ท่านชายบรรทมตามพระประสงค์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงลมหายใจของข้ารับใช้ตามมารยาทกลับมีเสียงฝีเท้าของใครบางคนเบาและมั่นคงเกินกว่าขันทีธรรมดา


ประตูไม้จันทน์ข้างตำหนักแย้มออก เผยร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่ง เขาครองอาภรณ์ขันทีชั้นสูง สีม่วงอ่อนปักลายไล่ลงมาจนจรดชายเสื้อ มือเรียวยาวที่มีรอยแผลเก่าจาง ๆ ค่อย ๆ ยกขึ้นคำนับตามแบบแผน องค์ชายน้อยปรายพระเนตรไป เห็นเพียงปลายจอนผมและเสี้ยวหน้าของผู้มาเยือนก็ทรงรู้ทันที


“จางกงกง? มายามนี้ แปลว่าข้างนอกฝนคงจะตก กลิ่นกลัวสายฟ้าเลยตามมาหลบที่ตำหนักกระมัง”


เสียงน้อย ๆ ของเด็กชายแว่วหวานแต่พกไว้ด้วยเลศนัย เจือหยอกเย้าอย่างมีชั้นเชิง ทว่าสองตากลับจับจ้องอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด


จางห่าวหมิง หรือที่ใครต่อใครเรียกขานว่า จางกงกง มิได้มีทีท่าตกใจต่อวาจาขององค์ชายน้อยเลยแม้แต่น้อย เขาเคลื่อนกายเข้าใกล้ เพียงสองก้าวแต่กลับให้ความรู้สึกหนักแน่นราวเดินข้ามเส้นโชคชะตา


“ถวายพระพรองค์ชาย” น้ำเสียงของเขานุ่มราบไร้แววอารมณ์ แต่ดวงตากลับไม่เฉื่อยชาอย่างเสียง “กระหม่อมได้น้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนมาชุดหนึ่ง ผ่านการตรวจพิษมาแล้วอย่างรอบคอบ มิเข้าข่ายมารยาใด ขอพระอนุญาตนำมาถวายเป็นของว่างก่อนบรรทม”


องค์ชายกระพริบพระเนตรช้า ๆ ขนพระเนตรเป็นแพยาวไหวสะท้อนแสงตะเกียงดุจปีกผีเสื้อขยับ “โอ้? ของว่างที่ได้มาช่วงยามไห่ มิใช่ว่าปกติควรจะได้มาในยามอู่หรือโหย่ว… ”


เจ้าตัวโปรยวาจาเหมือนหว่านกลีบดอกเหมยลงในถ้วยน้ำชา ขณะลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนตั่ง ท่าทางของเขาไม่เหมือนชั้นเจ้านายหรือผู้มีอำนาจแต่คล้ายลูกชายบ้านผู้ดีที่เพิ่งรู้ว่ามีขนมของชำแจกฟรีมาวางบนโต๊ะ จางกงกงได้แต่ยืนสงบนิ่ง สีหน้าไม่ยินดียินร้าย แต่ถ้าใครจับตาดี ๆ จะเห็นปลายหางคิ้วกระตุกขึ้นแผ่วเบา


“ขนมชุดนี้ หาใช่ของธรรมดา” เขากล่าวเสียงราบ “เป็นยาจีนตุ๋นจากเขากวาง ผสานตัวยาสิบสี่ชนิด บำรุงหัวใจ ปอด ม้าม กระเพาะ แม้แต่จิตใจก็ยังน่าจะได้ผล ไม่อาจหาซื้อได้ตามร้านใดในนครหลวง”


เด็กน้อยยื่นพระหัตถ์ไปรับถ้วยยา สายพระเนตรไม่หลบไปไหนจากดวงตาอีกฝ่าย


“จางกงกงบรรยายจนข้านึกว่ากำลังจะอภิเษกกับยาเสียแล้ว ถึงกับสรรเสริญเพียงนี้” เขาเอียงพระเศียรเล็กน้อย ประหนึ่งเจ้าเหมียวที่เพิ่งได้กลิ่นปลาทู


จางกงกงมิได้ตอบ กลับยกถาดขึ้นสูงระดับอกแล้วโน้มกายถวาย เด็กชายรับไว้ด้วยพระหัตถ์สองข้าง ทรงมองน้ำสีอำพันที่ยังอุ่นควันลอยขึ้นบางเบา แล้วแกล้งยื่นพระนาสิกดมใกล้ ๆ ลอบสูดลมหายใจพลางกล่าวเสียงเบา “มีกลิ่นหอม ๆ อยู่ด้วย… ของจากใครกันแน่นะ? หรือเป็นของขวัญลับ ๆ จากเสด็จพ่อ?”


จางกงกงวางถาดลงที่โต๊ะ ก่อนตอบโดยไม่หันกลับไป “กระหม่อมได้รับผ่านต่อจากผู้น่าเชื่อถือ มิเห็นสมควรให้ทรงวุ่นวายเรื่องผู้ส่งยามนี้”


“เช่นนั้นหรือ?” เด็กน้อยจิ้มพระโอษฐ์กับขอบถ้วยแล้วจิบไปเพียงคำเดียว ทรงนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกลอกพระเนตรไปมาแล้วเปรยเสียงอ่อนปนซน “ข้าชิมแล้ว ไม่เป็นอะไรไปภายในสามอึดใจก็แสดงว่าไม่มีพิษ… จางกงกงเองก็โล่งใจแล้วกระมัง?”


ขันทีหนุ่มปรายตามอง พลางยกมือประสานอย่างสุภาพ “หากเป็นพระองค์… ต่อให้เป็นยาพิษก็ยังอาจหาทางพูดให้คนลงมือยอมเปลี่ยนใจระหว่างยกถ้วย”


องค์ชายหัวเราะในลำคอ เสียงน้อย ๆ ละไมดั่งขลุ่ยไม้ไผ่เป่าคลอสายลม “ข้าหรือมีวาจาเช่นนั้น? ข้าแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ผู้ไร้พิษภัย พูดนิดเดียวก็อาจโดนมารดาดุ”


“นั่นเพราะลู่กุ้ยเฟยทรงเห็นพระองค์เป็นแก้วตาดวงใจ” จางกงกงเอ่ยพลางหยิบผ้าสะอาดซับเหงื่อให้เบา ๆ ด้วยมือที่แม้ไร้พลังบุรุษ แต่ทว่ามั่นคงเฉียบเย็น


“เช่นนั้นหรือ? วันนี้จางกงกงดูจะพูดเหมือนคนมีอารมณ์ขันเป็น” เจ้าตัวพูดแล้วหลุบพระเนตรลงประหนึ่งกำลังครุ่นคิด “แต่อืม… น้ำทิพย์นี่อร่อยกว่าที่คิดนะ รสยาขมปลายลิ้นแต่มีหวานแฝง เหมือนบางคนแถวนี้มิมีผิด”




คำพูดนั้นพอออกจากปากเขา เงาสะท้อนในถ้วยชาขององค์ชายก็สั่นไหวเล็กน้อย เด็กน้อยมิกล่าวสิ่งใดกลับในทันที ทรงแตะพระริมฝีปากกับขอบถ้วยอีกครั้ง แล้วทอดพระเนตรออกไปยังม่านแพรที่พลิ้วตามลม


“ข้าไม่ชอบอะไรหวานเกิน” ทรงพูดคล้ายลอย ๆ “ของหวานมากไป ทำให้ลิ้นไม่จำรสอื่น”


จางกงกงพยักหน้า ไม่กล่าวแก้แม้คำเดียว


แล้วบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบอันน่าพิศวงอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่องค์ชายจะปัดผ้าคลุมพระขา แล้วบ่นเหมือนคนช่างพูดที่ทนเงียบไม่ได้


“แต่ข้าว่า… ถ้าได้กินพร้อมผลบ๊วยเค็มคงเข้ากันดี แก้เลี่ยนได้… ใช่หรือไม่จางกงกง?”


ขันทีหนุ่มยิ้มบาง ทว่ามิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วโน้มกายคำนับอย่างสงบเรียบร้อย ทิ้งเพียงประโยคเดียวไว้เบื้องหลังว่า


“หากองค์ชายทรงประสงค์สิ่งใด วันหน้า… กระหม่อมจะเตรียมให้เหมาะกว่าเดิม”


แล้วเงาร่างของจางกงกงก็ค่อย ๆ ละไปตามประตูข้างอย่างเงียบเชียบ ไม่เหลือแม้กลิ่นน้ำอบบนอาภรณ์ให้ติดค้าง องค์ชายน้อยทรงจ้องถ้วยในมือราวกับเห็นทะเลลึก ทรงจิบอีกคำช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์ไปคว้าผ้าห่มคลุมพระวรกาย แล้วทอดพระวรกายลงบนตั่งหยกอย่างเกียจคร้าน


“ยานี่… ไม่หวานอย่างที่คิด”


เสียงน้อย ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ยิ้มบางที่ไม่เรียกว่ายิ้มวาดขึ้นมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วก็ค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับลมหายใจสม่ำเสมอของเด็กชายที่ปิดพระเนตรลงช้า ๆ ทิ้งให้แสงจันทร์เพ็ญอาบไล้ผ้าห่มขาวปักลายเมฆซ้อนซึ่งไหวอยู่แผ่วเบาราวกับภาพฝันในค่ำคืนอันไร้คำตอบ


ไออุ่นจากน้ำทิพย์ยังอ้อยอิ่งอยู่ปลายลิ้น องค์ชายน้อยทอดพระเนตรถ้วยในพระหัตถ์ประหนึ่งพบของวิเศษล้ำค่า ละเมียดละไมทุกคำอย่างละวาง ไม่เร่งร้อน ทว่าก็ไม่ชักช้าเหมือนคนฝืนกลืนยาแต่อย่างใด กลิ่นอ่อน ๆ ของตัวยาแทรกมากับกลิ่นเครื่องตุ๋น จาง ๆ ของหญ้าสมุนไพร กับเศษเปลือกส้มแห้งบดละเอียดคล้ายกลิ่นบ๊วยหมัก รสขมนิด เค็มนิด หวานแฝงลึกเข้าไปในลำคอ


เจ้าตัวจิบอีกคำ ดวงเนตรพราวระยับเลื่อนลอยเหมือนท่องไปกลางหมอกไผ่ ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วบางราวกลัวทำให้รสในปากจางไป


“ช่างเป็นอาหารรสเลิศยิ่งนัก ผู้ปรุงช่างมีฝีมือ… นางกำนัลห้องเครื่องหรือ?” พระสุรเสียงนุ่มนวลคล้ายคำชมหล่นจากปากเซียนหนุ่มบนยอดเขา “หากได้พบก็คงดี… ข้าอยากร่ำเรียนวิชาปรุงอาหารจากนาง”


มือเล็กหมุนถ้วยเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ตามขอบถ้วยแก้วหยกคล้ายกำลังจินตนาการว่าผู้ใดกันที่สามารถต้มยากวางจนกลายเป็นน้ำทิพย์เช่นนี้ จางกงกงยืนนิ่งอยู่ข้างประตู ภายใต้แสงตะเกียงสีส้มอ่อน เขาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ดวงหน้าไม่เผยอารมณ์ใดจนแทบคล้ายเป็นภาพแกะสลักหิน แต่ในที่สุดก็เปล่งเสียงราบเรียบ


“งานครัว เป็นหน้าที่ของบ่าว… มิใช่สิ่งที่องค์ชายพึงเอาพระทัยใส่”


น้ำเสียงของเขามิได้ข่มขู่ ทว่าชัดเจนราวทวนเหล็กพาดขวางทาง แม้คำจะอ่อนโยน ทว่าความหมายข้างในกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง


เด็กชายวางถ้วยลงกับโต๊ะ  ดวงเนตรที่มักเปล่งแสงอยู่เสมอฉายแววครุ่นคิดชั่วขณะ แต่หาได้มีเงาของการขัดขืนหรือเถียงสักนิด หากแต่ยกพระกรขึ้นวางใต้พระหนุอย่างสบายอารมณ์คล้ายผู้ใหญ่ครุ่นคิดเรื่องภาษีเกลือ


“อา… เช่นนั้นก็มิเป็นไร ข้าเข้าใจดี” พระวรกายเอนหลังพิงหมอนผ้าไหม ดวงหน้าฉายรอยเสียดสีอ่อน ๆ “หากนางเป็นนางกำนัลจริง ข้าก็แค่อยากเชิญนางมาลองทำงานที่ตำหนักนี้ดู”


พระสุรเสียงทุ้มนุ่มแฝงความเจ้าเล่ห์บางเบา “บางที… ข้าอาจจะได้ทานของอร่อย ๆ ทุกวันก็เป็นได้”


จางกงกงไม่ตอบ ดวงตาเรียวยาวเคลื่อนมองเจ้าตัวที่บัดนี้ทำหน้าสำรวม ทว่ามุมพระโอษฐ์กลับขยับยกเพียงน้อย ราวกำลังยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง น้ำเสียงนั้นเหมือนคนพูดเล่น แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงความอยากรู้อย่างยิ่ง หากเป็นเด็กทั่วไป คงจะคิดเพียงแค่ว่าอร่อยแล้วอยากกินอีก ทว่าองค์ชายน้อยผู้นี้… กลับคิดไกลถึงผู้ปรุง


ขันทีหนุ่มลดสายตาลงเล็กน้อย นัยน์ตาใต้คิ้วเข้มเป็นประกายคมกริบ ไม่ยอมตอบกลับแม้เพียงคำ เหมือนคนที่รู้ว่าถ้าตอบสิ่งใดออกไป ก็ย่อมมีบทสนทนาอีกสิบประโยคตามมาทันที


องค์ชายเห็นความนิ่งเฉยของอีกฝ่ายก็ทรงเปลี่ยนท่าทีเป็นประหนึ่งไม่ใส่ใจนัก ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบผลสาลี่ลูกหนึ่งมาหมุนเล่นในพระหัตถ์ ดวงเนตรเหลือบมองจางกงกงเพียงชั่วแวบ ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเหมือนพูดกับผลไม้นั้นเอง


“จางกงกงพูดคล้ายกับว่าข้าจะจับตะหลิวแล้วลงมือปรุงเอง”


เสียงนั้นคล้ายรำพึง แต่หากฟังดี ๆ กลับมีหนามเล็ก ๆ แหลมคมซ่อนอยู่ใต้ท่วงทำนองละมุนละไม


“ข้าก็แค่อยากรู้ ว่าคนที่ทำของอร่อยได้เช่นนี้ หน้าตาเป็นเช่นไร… มือนุ่มหรือหยาบ มีรอยแผลจากน้ำมันกระเด็นหรือไม่ มีนิ้วไหม้เพราะหม้อต้มบ้างหรือเปล่า”


สิ้นคำ พระเนตรก็เหลือบชำเลืองมายังจางกงกงอีกหน พลางวางสาลี่ลงบนพานทองเสียงเบา


“บางทีข้าอาจจะไม่อยากได้แค่ยานี้… ข้าอยากรู้ว่าผู้มอบมานั้น มีเหตุใดจึงให้ข้า ไม่ให้ผู้อื่น”


คำพูดนั้นฟังดูราวเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่น้ำเสียงที่กล่าวกลับคล้ายขุดลึกลงไปยังจิตใจใครบางคน


จางกงกงขมวดคิ้วแทบไม่สังเกตได้ สีหน้าเรียบนิ่งไร้ร่องรอยเหมือนเดิม มือประสานไว้หลังหลังยืนประหนึ่งเงาในความมืด มิได้ขยับแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับสะท้อนคำพูดของเด็กน้อยคนนั้นซ้ำไปมา


องค์ชายน้อยแม้ยังไม่พ้นวัยเรียนเดิน ทว่ากลับช่างมอง… ช่างคิด… และช่างจับอารมณ์คนเกินเด็กทั่ว ๆ ไปโดยสิ้นเชิง


“ถ้าเป็นไปได้…” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รีบร้อน “ข้าอยากเชิญนางมาทำอาหารให้ที่ตำหนักทุกสามวัน หรือห้าวัน… แล้วแต่จางกงกงเห็นสมควร แต่ถ้าไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไร”



จางกงกงยังคงเงียบ ไม่เอ่ยแม้แต่เสียงถอนใจ ทว่ายามเขาหลุบตาลงเล็กน้อยนั้น ใบหน้าซึ่งดูเย็นชาราวหน้ากากเหล็กกลับแฝงความร้าวบางเบา 


“กระหม่อม… จะพิจารณา”


เสียงนั้นเบาและแหบเล็กน้อย ต่างจากทีแรกอย่างชัดเจน องค์ชายพยักหน้าช้า ๆ พระโอษฐ์โค้งขึ้นแผ่วเบาราว


เขาเอนพระวรกายพิงหมอนอีกครั้ง พระขาทอดเหยียดออกอย่างสบายเหมือนลูกแมวที่ได้ครอบครองหมอนปุกปุยของตนแล้ว ยามนี้ได้กินอิ่มนอนหลับ องค์ชายผู้นี้คงได้ถึงคราวฝันดีแล้วกระมัง





หากดื่มน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนทันที จะได้รับความสนิทสนมกับจางกงกง +35


+5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-11] จางกงกง


หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20


โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


อื่น ๆ : ใครเป็นคนทำมาให้กันนะ---


@Admin 


เปิดใช้งานพรสวรรค์


ลาภลอย 


- มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-6-21 21:30
ระหว่างทางจางกงกงบอกคุณชายว่าจะพาไปเที่ยวเล่น และไม่ต้องห่วงมิตรสหายคนนี้ใสชื่อ คุณชายลองเปิดใจคุยกับนางดู  โพสต์ 2025-6-21 21:28
จางกงกงพาคุณออกไปนอกวัง  โพสต์ 2025-6-21 21:25
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-11] จางกงกง เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-6-21 21:25
คุณรู้สึกตัวร้อนรุ่ม  โพสต์ 2025-6-21 21:25

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังงาน +80 ย่อ เหตุผล
Admin + 80

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x5
x5
x2
x2
x10
x10
x53
x50
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-6-25 05:16:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามอิ๋น เวลา 03.00 - 05.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักตงเฉิน


           ภายใตั้ม่านรัตติกาลที่ดำสนิท จันทร์ข้างแรมคล้ายใจร้างไร้แสง ฝูงเมฆหนาทึบบดบังดาราแทบหมดสิ้่น เหลือเพียงแสงโคมประปรายที่ทอเรืองรำไรตามแนวทางเดินหินขาวของตำหนักตงเฉิน สะท้อนเป็นเงาจางบนบึงน้ำนิ่งเงียบ ดุจภาพวาดที่ไร้ชีวิตชีวา ทุกอณูอากาศหนาวเย็นแทรกซึมเข้ากระดูกดำ กลิ่นหอมบางของดอกไม้ที่เบ่งบานอบอวลปะปนกลิ่นไอหมอกจาง เสียงฝีเท้าฉับของขันทีผู้พาเธอมาดังขึ้นบนไม้กระดานขันเงาราวกระจก สะท้อนร่างของทั้งสองให้ยืดยาวคล้านเงาของวิญญาณ

           หลินหยาเดินเงียบ มือแนบข้างลำตัว ร่างระหงในชุดเรียบง่ายของสาวใช้ทั่วไปในหอว่านหงเหรินนั้นแทบกลืนไปกับความเงียบของค่ำคืนนี้ ราวกับนางมิได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้ ดวงตากลมโตงามของนางยังคงจับจ้องมองแค่พื้นตรงหน้า ไม่เหลียวแลซ้ายหรือขวาแต่ขยับเงนหน้ามองยอดตำหนักที่สลักลวดลายงามเหนือหัว …เพราะในยามนี้ นางมองไม่เห็นแม้กระทั่งเหตุผลของการมีชีวิตอยู่นอกจากเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง..

           ข้างในอกยังรู้สึกชา

           เพียงก้าวผ่านซุ้มประตูหินสลัดงามที่ทอดยาวเข้าสู่เรือน เสียงฝีเท้าเงียบงันสะท้อนในโถงหินขัดแวววาวของตำหนักตงเฉิน ท่ามกลางแสงของตะเกียงน้ำมันที่สั่นไหวแผ่วเบา คล้ายจะรับรู้ถึงการมาถึงของใครคนหนึ่ง หญิงสาวในชุดสาวใช้หอว่านหงเหรินเดินทางอย่างเรียบง่าย ซึ่งวันนี้ก็ไม่มีกระทั่งผ้าคลุมไหล่ เธอถูกนำพาเข้ามาโดยขันทีไร้นาม ที่หน้าตาเหมือนจะอ่อนเยาว์เล็กน้อยจากการดูแลตัวเอง แต่ดวงตากลับไม่ไร้เดียงสา

           เขาพานางมายืนต่อหน้าทางเข้าห้องฝั่งตะวันออกของตำหนักก่อนที่จะก้มคำนับนางกำนัลคนหนึ่งอย่างนอบน้อมแล้วประกาศเสียงเรียบ “ข้าน้อยขอนำพาแม่นางหลินหยา ว่าที่นางกำนัลประจำตำหนักคนใหม่ ตามคำสั่งใต้เท้าจางขอรับ” ขันทีนั้นว่าพลางขยับตัวไปทางหลินหยา เขาเหลือบมองแล้วดวงตาเรียบนิ่งราวกับคนได้รับการฝึกมาแล้วหลายชั้น  แล้วยื่นห่อผ้าสีขาวปักดิ้นเงินยื่นให้นาง

           “นี่คือชุดนางกำนัลอย่างเป็นทางการของตำหนักตงเฉิน แม่นางจะได้พักในเรือนสำหรับนางกำนัลตอนนี้ว่างอยู่ที่หนึ่ง” หลินหยารับห่อผ้านั้นไว้โดยไม่เอ่ยสิ่งใด ดวงตาคู่คมทอดมองเงาสะท้อนของตนบนพื้นหินอย่างเงียบงัน ผ้าม่านตรงโถงลึกของตำหนักสะบัดเล็ฏน้อยตามลมพัดจากช่อง เสียงกระพรวนห้อยหัวสั่นเบา

           ขันทีน้อยขยับตัวเข้าใกล้ น้อมกายลงเล็กน้อยก่อนที่จะกระซิบเบาแทบจะไม่ให้ใครได้ยิน “เจ้าใต้จางฝากมากระซิบว่า หากแม่นางสามารถทำให้ภารกิจสำเร็จได้ ไม่ว่าจะทำให้ องค์ชายสนพระทัย หรือองค์ชายทรงไว้วางใจ สำเร็จ แม่นางจะได้รับรางวัลส่วนตัวจากใต้เท้าเองถึง 100 ตำลึงทองขอรับ” คำนั้นมิใช่คำขู่ แต่กลับเหมือนกับมันกำลังหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงสุภาพเสียจนน่าขนลุก

           หลินหยาไม่ได้ตอบอะไร ดวงตาของเธอนิ่งขรึมต้องมือของตนเองที่ประคองห่อผ้าแน่น เธอไม่หวั่นไหว ตอบรับ หรือปฎิเสธ แต่นิ่งเช่นเคย แม้ในใจจะมีคำถามที่ไม่ถูกบอกออกมา

           ส่วนขันทีนั้นผ่ายมือเล็กน้อยไปทางระเบียงไม้ “ที่นี่คือตำหนักตงเฉิน วังของพระสนมลู่กุ้ยเฟย พระมารดาขององค์ชายองค์โต และองค์หญิงเว่ยจางกงจู่กับหลิวหยวนกงจู่ ทั้งสามพระองค์พักอยู่ในเรือนชั้นในของตำหนักนี้” เขาหันมองมาทางหลินหยาแววหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยต่ออย่างเร่งรียบเล็กน้อย ราวกับเกรงว่าคำสั่งใครบางคนจะมาถึงช้าไป

           “หัวหน้าขันทีประจำนำหนักนี้คือท่านเว่ยปินกงกง..ท่านใจดี แต่ต้องไม่ละเลยหน้าที่..ท่านเป็นหูเป็นตาให้ใต้เท้าจางเช่นเดียวกัน หากมีสิ่งใด ขอให้แม่นางขอคำแนะนำจากท่านเว่ยปินได้โดยตรง” เขาเล่าบอกก่อนถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วค้อมตัวอีกครั้ง “จากนี้ไปแม่นางจะได้รับเบี้ยหวัดจากวังเดือนละ 20 ตำลึงเงิน และใต้เท้าจางจะมอบให้อีก 5 ตำลึงทองจากทุนส่วนตัว..เป็นค่าเหนื่อยพิเศษ ขอให้แม่นางตั้งใจทำงาน”

           หลินหยาเหมือนกับอยากหัวเราะ..หัวเราะในใจ..อย่างน้อยนางก็ยังเห็นว่าเขายังขึ้นค่าตัวให้นางมากกว่านางกำนัลทั่วไปสินะ?..20 ตำลึงเงิน..ข้าทำงานได้วันละ 30 ตำลึงเงิน..เดือนหนึ่งนางทำเงินได้เกือบ 100 ตำลึงทอง..บัดซบชีวิตเหลือเกิน นางอยากจะเห็นหน้าเขาสักที แล้วบีบหน้านั้นให้เหมือนกับที่เขาใช้มือที่ฆ่าฟันชีวิตคนที่เชยคางนางขึ้นมา..

          “พระสนมลู่กุ้ยเฟยไม่อยู่ในตำหนักเวลานี้..แต่มี หลี่ผู่เยว่ นางกำนัลคนสนิทของพระสนม เป็นผู้ดูแลตำหนักและเหล้าองค์ชายองค์หญิงอยู่ หากแม่นางคิด..ข้าคิดว่าคงไม่ได้นานอย่างที่หวัง จงทำตัวดี ๆ และอย่าให้ใครมองเห็นว่าแม่นางคิดอะไรอยู่ในใจ ข้าน้อยขอลา” ประโยคนั้นจบลงโดยที่ไม่มีเสียงก้าวเท้าเลยแม้แต้น้อย ราวกับร่างของเขาหายวัวไปพร้อมกับสายลมยามนี้ที่เยือกเย็น ละออกน้ำค้างตามไม้ประดับหน้าต่างเริ่มทอประกายกับแสงจันทร์เร้นราง ตำหนักตงเฉินยังคงเงียบสงบแต่หนาวบาดลึกเหลือเกิน

           หลินหยายืนอยู่ตามลำพังภายใต้เพดานไม้แกะสลัก กลิ่นไม้จันทร์ลอยวงรอบกายอย่างแผ่วเบา นางยังไม่ได้ก้าวเท้าไปไหน ดวงตางามกลบโตที่เคยเปล่งประกายความกล้า แต่บัดนี้เหมือนพร่าเลือน ไม่ใช่จากน้ำตาแต่เหมือนจะหมดแรงรับรู้..

           “ให้สำรวม..อย่าให้ใครล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ..” นางทวนคำนั้นออกมาจากริมฝีปาก

           ข้างหน้ามีเพียงทางเดินทอดยาวผ่านสระใส ที่เงาสะท้อนของตำหนักชั้นในสั่นระริกตามสายลม กลีบดอกไม้ตกลงมาตรงปลายพอดี เหมือนเย้ยหยันว่านางคงมีชีวิตทั้งที่อยากจะสูญไปให้สิ้น มือบางกำห่อผ้าแน่นอีกครั้ง นางเดินช้า ๆ ตามทางที่ถูกชี้นำ แม้จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องพักเรือนไหน หากแต่หัวใจตอนนี้..มันไม่คิดว่าจะหลงทาง เพราะสิ่งที่รู้สึกมีเพียงความกลวงเปล่า..

           บางสิ่งถูกพรากไปตั้งแต่คืนที่ห้องพักพิเศษทิศตะวันตกปิดม่านลง บางสิ่งถูกล่ามเอาไว้แล้วด้วยตราประทับที่ไม่มีน้ำหมึกแม้แต่สักหยดเดียว บางสิ่งกำลังเริ่มต้นโดยไม่มีใครถามความยินยอม..แต่หลินหยาก็คงคิด..ว่าช่างมันเถอะ..พรุ่งนี้ยามเหม่า..นางก็แค่ต้องยิ้มให้เหมือนผู้ที่ไม่รู้สึก ต้องคุกเข่าให้เหมือนกับมิได้ถูกบีบให้สลบ ต้องอยู่ให้เหมือนดอกไม้ริมทาง แต่ชูช่อให้เพียงนิ้วงามของคนที่โดนเรียกว่าองค์ชาย..





พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ฝากตัวรับใช้นายย ย ย ย
รางวัล: -



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 17226 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 05:16
โพสต์ 17,226 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-25 05:16
โพสต์ 17,226 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-25 05:16
โพสต์ 17,226 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-25 05:16
โพสต์ 17,226 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-25 05:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-25 10:18:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ ยี่สิบห้า เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักตงเฉิน


          ยามเหม่าเพิ่งย่างเข้าที่ปลายฟ้ายังเรืองรองริ้วขาวจาง ๆ หลินหยากลับลุกขึ้นแต่งกายเรียบร้อยตั้งแต่ฟ้ายังดำสนิท นางไม่ได้หลับแม้แต่สักครึ่งกระพริบตา เงาร่างของนางเคลื่อนไหวช้า ๆ ในห้องพักราวเงาวิญญาณในสุ่มไม้ เงียบงัน จนไม่มีแม้แต้ใครสังเกตว่าหญิงสาวคนนี้ไม่เคยนอนมาก่อน น้ำเย็นของนางใช้ชำระใบหน้า ผ้าแห้งซับอย่างชำนาญราวกับทำมาเป็นร้อยครั้ง แม้มือจะสั่นน้อย ๆ จากความเย็น แต่ทุกจังหวะของการแต่งกายกลับไม่ผิดพลาด สม่ำเสมอ จงใจ และนิ่งราวกับหัวใจของนางเหมือนจะโดนปิดตาย..

          นางสวมชุดนางกำนัลสีเปลือไม้หลืนกับแสงเช้า ผ้าเนื้อดีที่ไม่คุ้นชินทำให้หลินหยาต้องขยับตัวอย่างระมันระวัง ไหล่ตั้งตรง ดวงตาก้มต่ำ มือทั้งสองแนบข้างกายขณะเดินตรงไปยังเรือนหน้าที่อยู่ภายในตำหนัก..เส้นผมของนางโดนม้วนไปด้วยปิ่นสีเงินเพียงชิ้นเดียวเรียบ ๆ บ่งบอกถึงตำแหน่งที่นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไม่ใช่แค่นางกำนัลธรรมดา

          “น้อมคำนับ เว่ยปินกงกง” น้ำเสียงของนางนั้นนุ่มนวลแต่ชัดถ้อยคำ กิริยาน้อบน้อมไร้ข้อครหาไม่รู้ว่าการเรียนมารยาทที่ท่านแม่เคยสอน เหตุใดจึงต้องขุดมาใช้ในเวลานี้และไม่อาจปฎิเสธมันได้เลยสักนิด

          ขันทีวัยกลางคนในชุดสีครามเข้มละสายตาจากบัญชีผ้าในมือ มองเด็กสาวดวงหน้างาม อาจไม่งามหยดเหมือนสนมทั่วหล้า แต่สตรีตรงหน้ากลับใบหน้าเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นแบบตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ..ตุ๊กตาหุ่นกระบอก ริมฝีปากระเรืองาม แม้จากที่ดูนางอาจจะยังไม่ได้พัก แต่ใบหน้าก็ไม่ได้โรยรามากนัก เขาครุ่นคิดมองนาง ละสายตาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสียงหอบแต่หนักตามวัยตน “เจ้าคือนางกำนัลคนใหม่จากคำสั่งใต้เท้าจางใช่หรือไม่?”

          “เจ้าค่ะ..ข้ามีนามว่าหลินหยา”

          เว่ยปินกงกงพยักหน้าแผ่ว แล้วพลิกผ้าบัญชีม้วนหนึ่งข้างกาย “จากนี้ไป เจ้าคือหนึ่งในผู้ดูแลตำหนักตงเฉิน หน้าที่ของเจ้าคือการจัดการงานเรือน ดูแลของใช้ บรรยากาศและอำนวยความสะดวกในทุกด้านแก่พระสนมและพระโอรสธิดาในตำหนักแห่งนี้” เสียงของเขาหยุดเล็ฏน้อย แต่พลันกลับแข็งกร้าวขึ้นเมื่อกล่าวต่อ “..เว้นเสียแต่ใครบางพระองค์จะได้รับพระราชทานตำหนักแยก..เจ้าจึงจะได้ไปประจำการที่นั้น” เว่ยปินกงกงเหลือบมองหลินหยา ดวงตาของเขานิ่งสนิทแต่ประกายแพรวพราว..

          “โดยเฉพาะ..องค์ชาย”

          หลินหยารู้ทันทีว่าเขาหมายถึงใคร องค์ชายพระโอรสของพระสนมลู่กุ้ยเฟย หนึ่งเดียวในราชวังหลวงที่หมายตาของใครต่อใคร ไม่ว่าจะชอบหรือหวาดหวั่น แต่นั้นก็เกินกว่าที่หญิงนางหนึ่งอย่างหลินหยาจะจัดสินใจอะไรได้.. แล้วเว่ยปินกงกงก็โบกมือให้นางเห็น

          “ไปเถิด..ไปยืนรอหน้าห้ององค์ชาย ยามเฉินจะใกล้มาแล้ว อีกไม่นานพระองค์จะทรงตื่นบรรทม..และอย่าทำเสียหน้า เจ้าถูกส่งมาด้วยชื่อใต้เท้าจาง ห้ามอับอาย พูดเกินคำและห้ามให้ใครเห็นว่าเจ้าคิดอะไรในใจ”

          หลินหยาโน้มกายคำนับอีกครั้งก่อนที่จะถอยออกมาอย่างเงียบเชียบ นางไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงปลายดวงตาที่จางรางเลือน จากคืนที่ไร้การหลับใหล..

          “ห้องขององค์ชายหรือ?..” เสียงนั้นแผ่วเบาออกมาเล็กน้อย เหมือนจะลอบถอนหายใจแต่ก็ไร้เสียง นางยืดหลังให้ตรงอีกครั้งขณะก้าวไปตามทางหินที่ปูด้วยสิ่งชั้นดีดวงตาของนางยังงาม แต่แฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง..ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวนั้น เหมือนอยากจะกระชากโซ่ครานด้วยเปลวเพลิงจากข้างในตัวเอง..

          นางมาถึงหน้าห้ององค์ชายตามคำบอก แล้วขยับตัวย่อทรุดตัวลงเพื่อรอให้คนภายในได้ตื่นและเรียกใช้โดยที่นางไม่รู้ว่าองค์ชายจะเป็นเช่นไร เป็นดั่งคำเล่าขานหรือไม่เพราะนางไม่สน..แต่สิ่งที่หลินหยาไม่รู้..ไม่รู้เลย.. ว่าใครบางคนที่นางเคยอยู่ในหัวสมองและความทรงจำของนาง อาจจะปรากฎตัวออกมาจากหลังประตูบานนั้น..

          คำแววดังไกลย้อนกลับไปยังคืนหน้าหอว่านหงเหริน…ที่นางคิดไม่ถึง ‘ข้ามีนามว่า เสวียนอิ๋ง’

          @LiuRuxuan

          นางกำนัลคนใหม่..แม่นางหลินหยานั่งอยู่หน้าประตูห้องพักขององค์ชายเพียวคนเดียวของฮ่องเต้และพระสนมลู่ ในยามเช้าตรู่ของวังหลวงที่แสนกว้างใหญ่และเย็นยะเยือก เงาร่างบอบบางของนางคล้ายจะกลืนหายไปกับม่านหมอกที่ยังไม่ทันจาง ร่างนางยืดตัวตรง กิริยาไม่ผิดเพี้ยนแม้เพียงปลายก้อย ราวกับความจำที่เคยเรียนกิริยามารยาทสตรีกับท่านแม่เมื่อครั้ง 5 ขวบปีกำลังกระตุ้นความทรงจำให้กลับนำมาใช้ต่อได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ประคับประคองเอาไว้ด้วยความอดทนที่เหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยว

          ผิวขาวของเธอที่เคยมีเลือดฝาดแผ่ว ๆ อมชมพูแบบคนชอบทำงานจนสุขภาพดีโดนขัดถูจนนวลผ่อง..แต่ผ่องแบบซีดจางมันกลับดูซีดเซียวราวกับกระดาษข้าวเปลือกที่ถูกแดดจางฟอกซ้ำจนจางแล้วจางอีก ดวงหน้าเรียวงามอ่อนเยาว์ดั่งเช่นดวงตะวันงามชูผลท้อหวานฉ่ำน้ำยังคงรูปอยู่ ทว่าความงามนั้นไม่ใช่ความมีชีวิตชีวาอย่างที่ผ่านมา มันกลับดูเหมือนดอกไม้แสนสวยที่ถูกเด็ดทิ้งจากแหล่งน้ำเดิม แล้วย้ายมาปลูกในแจกันแห้งไร้หยาดหยดงามอย่างเปล่าเปลือง งามอย่างที่เตรียมจะโรย..เพราะดินนั้นคนละชนิดกัน

          ดวงตานั้น...ดวงตาที่เคยแพรวระยับด้วยประกายดื้อรั้นซุกซนตอนนี้กลับมืดมนราวฟ้าหลังพายุ แม้ยังมีแสงวาววับแผ่วเบาแฝงอยู่ในก้นบึ้ง แต่ก็เป็นแสงที่ใกล้ดับเสียเหลือเกินแสงแห่งการดิ้นรน แสงแห่งคนที่ยังไม่ยอมตายทั้งเป็น

          นางกินอะไรไม่ลงเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา มีเพียงน้ำและหมั่นโถวไม่กี่ลูกประทังชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะกินไปนางก็อาเจียนออกมาจนเกือบหมด ร่างเล็กที่เคยบอบบางอยู่แล้ว ยิ่งดูราวกับจะแตกสลายได้เพียงลมพัดแรง ๆ แขนเรียวซ่อนอยู่ในแขนเสื้อที่ดูจะกว้างเกินตัวเล็กน้อย ชายผ้าคลุมลู่ตามลมโดยไร้แรงต้าน แม้ใบหน้าจะไม่มีรอยน้ำตาแม้แต่น้อย แต่หากมีใครสังเกตให้ดีและฉลาดพอที่จะรับรู้ จะรู้ว่านางเคยร้องไห้จนเหือดแห้งไปแล้ว ร้องจนหยดสุดท้ายถูกกลืนลงไปพร้อมความรู้สึกของตนเองที่ต้องใช้เวลานานในการหวนกลับมา

          กลิ่นดอกไม้ในอากาศ...หอมอย่างที่ควรหอม แต่สำหรับหลินหยาแล้ว มันคือกลิ่นของแผ่นดินใหม่ที่ไม่เคยเลือก กลิ่นของความแปลกแยก กลิ่นของชะตากรรมที่ไม่มีใครร้องขอ แต่เธอต้องร้องขอเพื่อชีวิตของคนที่ตัวเองรัก ของคนที่ตัวเองเคารพและเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นครอบครัวที่อยู่ห่างไกลที่ผานอวี้

          นางยังงามและอ่อนเยาว์จนน่าทะนุถนอมเพราะตอนนี้นางคงเหมือนแมวหลงทางที่ไม่ยอมกินข้าวเพราะหาคนไว้ใจมิได้ในวังหลวง..แม้จะงามและอ่อนเยาว์จนขันทีคนหนึ่งที่ผ่านยังเผลอมอง แต่นั้นมันราวกับสิ่งต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เหมือนดอกไม้งามที่เติบโตผิดฤดูในหุบเขาที่ไม่มีใครรู้ชื่อพร้อมจะโรยโดยไร้ผู้เห็น แม้นางจะกำลังเติบโตในกระถางไม้ เหมือนชุดที่นางสวม..ปกติหลินหยาจะไม่ซื้อผ้าเนื้อดี เพราะหากมันขาด คงเสียดายแน่ที่ไม่ได้สวมหรือสวมยังไม่ขึ้ม

          และในใจของนาง...บางอย่างกำลังค่อย ๆ แตกหักเงียบ ๆ อย่างงดงามและเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน จนไม่รู้ว่าจะจุดติดเมื่อใด หรือใครจะจุดมันคิดขึ้นอีกครั้ง สำหรับประกายไฟเล็ก ๆ นั้น

          @LiuRuxuan

          แผ่นไม้นั้นเรียบเย็นใต้ฝ่าเท้าและส่วนที่โดนกับขาของเธอ พร้อมกับนางพบว่าได้ยินเสียงบางอย่างจากด้านใน แล้วประตูนั้นก็เปิดออกเป็นร่างของนางกำนัลคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนสนิทขององค์ชายที่พำนักอยู่ภายใน นางชายตามองหลินหยาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยออก “เชิญแม่นาง” เสียงของนางนั้นเอ่ยขึ้นเบา ๆ หลินหยานั้นน้อมรับคำนับด้วยท่าทางของนางที่แผ่วราวกับไม่ใช่ร่างของนางจริง ๆ

          เสียงฝีเท้าของหลินหยานั้นเป็นจังหวะยามนางก้าวเข้าไปในตำหนักที่เงียบงันยิ่งกว่าภายนอก ด้านในอบอวลด้วยกลิ่นหอมอ่อนของ..อืม?..อาหารหรอ? ไม่แน่ใจ แสงจากบานหน้าต่างเล็ก ๆ เพียงไม่กี่ช่องสาดลงพื้นดั่งลำแสงที่บีบให้ทุกย่างก้าวของนางแคบลง รู้สึกอึดอัดและใจเต้น เหมือนกับกำลังเดินผ่านตรอกที่โดนจับจ้องด้วยสายตานับพันเพ่งมองจับผิดและหากพลาดชิดเดียวนั้นคือชีวิต

          นางนั้นยังไม่เงยหน้าขึ้น ยังคงไม่กล้ามองเพราะแม้ในใจจะพยายามฝืนให้สงบนิ่ง และพยายามจะสง่าเรียบเย็นให้ได้มากที่สุดแต่ในใจก็ใจสั่น..อื้ออคงเหมือนพายุฝุ่นที่ไม่มีวันลง ก้าวอีกก้าว อีกก้าว จนกระทั่งนางหยุดอยู่ตรงหน้าที่นั่งประจำตำแหน่งแล้วหยุดอยู่ตรงเด็กหนุ่มที่น่าจะสูงกว่านางด้วยซ้ำไป..เธอยังเห็นแค่เท้าของเขาเพราะยังไม่กล้าเชยหน้ามอง ซึ่งหากเพียงเงยหน้าสบตากับพระพักตร์ของพระองค์…

          เธอเปลี่ยนไปแล้ว..หรอ?

          แม้ใบหน้าจะยังคงเป็นหลินหยา แม้ผิวขาวรวลนั้นจะยังเหมือนครั้งก่อนที่เธออยู่หอว่านหงเหริน แม้ริมฝีปากจะแดงอ่อนยังคงรูปโค้งและขยับเข้าหากันราวกับเด็กหญิงแรกรุ่นที่เคยพูดกับเขาเบา ๆ ว่าเดี๋ยวก่อน เพื่อหยุดรั้งเขาไว้และส่งมอบขนมหวานแสนอร่อย สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นเห็นได้ชัด แววตาของนางคู่นั้น แววตาใสบริสุทธิ์ของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสดใสไร้เดียงสา ดั่งลูกแก้วใสไร้มลทิน บัดนี้กลับร้างรา ไม่ใช่เพราะเกลียดโลก แต่รู้ทันมันเสียแล้วว่ามันโหดร้ายถึงเพียงใด

          นางไม่จำเป็นต้องถูก ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับองค์ชายว่านางถูกบังคับมาให้ทำสิ่งที่ตนเองไม่ได้อยากคิดฝัน แต่กลับโดนบอกว่าห้ามให้รู้..หากรู้ชีวิตของครอบครัวจะขาดสะบั้นแล้วนางก็ต้องทนอยู่กับความอัปยศไปชั่วชีวิต  

          หญิงสาวทำใจแล้วเธอก็ขยับตัว นางที่เคยร่าเริงและงดงามดั่งดอกท้อแรงรับแสงทองของอาทิตย์ บัดนี้อยู่ตรงหน้าตำหนักที่เงียบงันประหนึ่งเป็นเงาจางในความทรงจำของใครสักคน..หรือใครบางคน ท่าทางของนางนั้นเรียบร้อยเกินวัยจนชวนใจให้บีบรัด ไม่รู้ว่านางไปศึกษาสิ่งนี้มาจากไหน ดวงหน้าขาวนวลที่ครั้งหนึ่งเคยเปื้อนรอยยิ้มอ่อนหวานกลับเรียบหายเฉยเมยและเงียบงัน ราวกับถูกกรอบของพิธีการในวังหลวงและกฎเกณฑ์หล่อหลอมจนแข็งราวกับหยกเย็น เธอขยับตัวเล็กน้อยก่อนก้มลงคุกเข่าลงคำนับอีกคนให้เรียบร้อยเกินคำว่าสามัญชน แม้จะมีความเก้กังอยู่บ้างจากความเกร็งที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

          ปลายนิ้วแตะตามการทำ ดวงหน้าก้มลงต่ำแต่ยังคงกลั้นกล้ำกลืนความสงสัยระคนประหม่าเอาไว้ในใจ เธอไม่ได้เงยหน้าโดยพลันเหมือนเคย ยังคงนิ่งน้อมตามระเบียบที่ท่านแม่เคยยัดใส่หัวเมื่อครั้งวัยเยาว์ ก่อนที่ดวงตากลมโตที่เคยใสราวลูกแก้วจะกล้า ๆ กลัว ๆ ขยับขึ้นมองอย่างเชื่องช้า..แต่เพียงแววตาของเธอเหลือบขึ้นทุกอย่างกลับเงียบงันนัก..มันหยุดนิ่ง สายตาคู่นั้นของนางดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนเบิกกว้างก่อนที่จะสั่นระริก ราวกับมีใครสาดน้ำเย็นใส่กลางใจของนางในขณะที่เธอเพิ่งเริ่มจะมีแรงยืน

          เบื้องหน้านางไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่คือเด็กหนุ่มผู้ที่เคยยื่นมือรับขนมไหมฟ้าที่เธอเคยถือไว้ในมือ เด็กชายที่ยิ้มรับด้วยสายตาอ่อนโยนซื่อใส แม้ภายในใจตอนนั้นของเขาจะร้อนรุ่มเหมือนร่างกายแต่กลับไม่เคยอ่อนข้อให้กับมันไม่เคยให้มันมาคลุมกายและสติ ยืนหยัดจนวินาทีสุดท้ายจนเขาสามารถสยบสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณได้อย่างชะงักนักจนน่าเหลือเชื่อ ตอนนั้นนางคิดว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่บังเอิญอยากมาเที่ยวหอว่านหงเหริน แต่ภายหลังก็รู้ว่าไม่ใช่ เขาไม่ได้ต้องการ..

         …คุณชาย?...เสวียนอิ๋ง?..

          หัวใจของหลินหยาหล่นวูบในวินาทีนั้น ตัวของเธอชาไปหมดจนแทบไม่รู้ว่ากำลังหายใจอยู่หรือไม่ ใบหน้าของนางไร้สีราวกับกระดาษเก่า ดวงตาที่เคยอ่อนโยนและบริสุทธิ์ดั่งลูกท้อฉ่ำน้ำในวันนั้นกลับดับสนิทในพริบตา เหมือนไฟที่ถูกลมกรรโชกหนักกลบมิดไม่เหลือแม้แต่ไออุ่นให้เก็บไปฝัน เธออยากจะถอยหนี แต่รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ อยากจะกรีดร้องแต่กลับไม่มีเสียงแม้แต่แผ่วเบา อยากจะถามว่าทำไมแต่รู้ว่าไม่มีคำตอบใดจะเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป

          หลินหยารู้ว่านางไม่ได้โกรธถือโทษคนตรงหน้าแม้แต่น้อย นางรู้ว่าเขาจำเป็นต้องปดปิดสถานะของตนเองเพราะโลกใบนี้ไม่มีที่ว่างให้กับความไว้วางใจได้ง่าย ๆ สำหรับคนที่ตำแหน่งสูงเช่นเขา..คนที่มีสายเลือดมังกรไหลเวียนในตัว แต่สิ่งที่โหมไหม้หัวใจของนางให้กลายเป็นเถ้าธุลีดินกลับเป็นความรู้สึกว่านาง โง่เง่าเกินไป..

          โง่เง่าที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในมือใต้เท้าจางมาตั้งแต่แรก โง่เง่าที่คิดว่าไม่สามารถเลือกเส้นทางตัวเองได้เลย โง่เง่าที่กล้าเร่าเริงยื่นขนมให้ใครบางคนโดยที่ไม่รู้ว่าอีกกี่วันตนต้องคุกเข่าให้เขาแล้วพบความจริง..เพราะแบบนี้กระมัง? ดวงตาแก้วใสคู่นี้จำไม่เหลือแสงอีกต่อไป ไม่มีความสง่า ไม่มีประกายแห่งความฝัน มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่เงียบเหงาและเจ็บลึกจนน้ำตาไม่อาจไหลออกมา เพราะเจ็บเกินจนจะร้องไห้แล้วจริง ๆ

          หลินหยาพยายามคุมเสียงของนางแทบไม่รู้ว่าควรใช้คำว่าอะไรเพื่อคำนับอีกคน ต้องพูดคำว่าเพคะไหม? ต้องบอกว่าสวัสดิ์ดีหรือเปล่า?

          “คะ..คา..” พยายามออกเสียงออกมาจากลำคอ แต่ยากเหมือนกลืนเข็มแสนเล่ม “คำนับเพคะ..ฝ่าบาท” สั่นเครือจนอยากจะลงโทษตัวเองนางทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองเขาทำแค่นั้น ไม่คาดหวังสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว…พอแล้ว

          @LiuRuxuan

          ปลายนิ้วเรียวงามที่เคยเล่นดนตรีในหอหว่านหงเหรินอย่างสนุกสนาน และเล่นดนตรีในสวนของจวนเจ้าเมืองผานอวี้เมื่อครั้งวัยเยาว์ตอนที่ยังอยู่นอกสถานที่แห่งนี้ บัดนี้จิกแน่นเข้ากับข้อมือตัวเองจนเลือดซึมผ่านเนื้อผ้าไปแล้ว หลินหยานั่งอย่างสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้ตัวว่าตนเองทำอะไร ม่านผมดำที่โดนปิ่นเงินเพียงชิ้นเพียงปักอยู่ปลิวตามลมหายใจที่ขาดห้วงของเธอ สตรีน้อยผู้เคยมีประกายตาเปล่งแสงราวกับลูกแก้วสว่างกลับดูคล้ายตุ๊กตาดินเบาที่ถูกวางไว้ไม่เข้ากับที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย..ไม่สิ น่าจะเป็นตุ๊กตากระบอกที่โดนชักใยตามข้อต่อของกระดูกที่เส้นด้ายแห่งโชคชะตาชุ่มโชกไปด้วยเลือดนางที่ซึมลงไปในเส้น จนแดงฉานราวพันธนาการของรังไหมสีโลหิตเสียมากกว่า

          เสียงของพระองค์..ใช่..เสียงของเขาจริง ๆ องค์ชายหรูเสวียน..เจ้าของ..รอยยิ้มจาง ๆ ตอนนั้น

          ที่เคยยืนตรงหน้าเธอที่หอว่านหงเหริน ไม่แม้แต่จะจับจ้องตัว มีแต่ความเคารพและประหม่าแบบเด็กชายที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่ม ผู้ที่เคยรับขนมไหมฟ้าจากมือเธอด้วยสายตาอ่อนโยนเกินกว่าที่จะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีแต่หอกข้างแคร่ไม่รู้จบ แต่ตอนนี้..ดูสิ เขาอยู่ตรงนั้น..ไม่ใช่เขา ต้องเป็นพระองค์ ในตำแหน่งที่สูงส่ง ที่แม้แต่เงาของเธอก็ไม่สมควรจะได้ชายตาแลมองเข้าไปด้วยซ้ำ

          ทุกคำที่เขาเอ่ยออกมา แม้จะราบเรียบและสุภาพแต่ก็เฉียบคมดุจดาบที่เสียบผ่านอกของหญิงสาว นางไม่เคยรู้สึกตัวเล็กขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ไม่เคยรู้สึกว่าห้องที่อยู่มันจะมืดแปดด้านเรียงตัวประชิดจนแทบหายใจไม่ออก ไม่ใช่เพียงเพราะฐานะที่ต่ำต้อยของนางในตอนนี้ หากแต่เพราะสิ่งที่เธอเคยคิดว่า จริง ในสิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจเอ่ยได้อีกเลยต่อไป..นางให้เจ็บใจนัก นางต้องใช้เขาเป็นเครื่องมือหรือ?..

          ชายบริสุทธิ์ที่ไม่คิดจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อนางอยู่ตรงนี้น่ะหรือ? โหดร้ายเหลือเกิน ใต้เท้าจางท่านมัน..อสรพิษ

          ดวงตากลมโตของหลินหยาเงยขึ้นเล็กน้อยเพียงชั่ววินาทีที่ผ่าน เมื่อพระองค์เอ่ยถึงหอโคมแต่นางกลับขยับดวงตาก้มลงหน้าอีกครั้งราวกับถูกคำสาป มือบางของนางกำชายกระโปรงไว้แน่นจนข้อขึ้นสีแต่เล็บก็ยังจิก..และเลือดสีแดงก็ซิบขึ้นมาจากเล็บที่เรียงตัวสวย

          “เป็น..พระมหากรุณาธิคุณ..เจ้าค่ะ” น้ำเสียงเธอเบา สั่น แต่นุ่มนวล ราวกับไม่ใช่เสียงของหลินหยาคนเดิมอีกต่อไป..อย่างน้อยเขาก็รู้ตัวว่าเธอคือสตรีคนเดียวกันที่หอโคม ตอนนี้ในหัวของเขานางคิดไม่ออกหรอกว่าจะรู้หรือไม่ เขาอาจจะ..คิดว่านางรวมหัวกับใต้เท้าจางเพื่อทำอะไรบางอย่างที่เลวร้าย..พระเจ้าช่วย นางจะบ้าตายอยู่แล้ว เสียงที่ออกมาจากริมฝีปากของนางไม่ได้แข็งแกร่งหรือกล้าหาญอย่างเคย หากแต่คือเสียงของผู้ที่ยอมจำนน สับสน แตกร้าวเหลือแสน มิใช่เพราะยอมรับในโชคชะตา แต่เพราะไม่รู้จะหนีมันไปทางใดกันแน่

          หลินหยาไม่กล้าแม้แต้จะสังเกตว่าพระองค์ทรงจดจำตนได้มากน้อยเพียงใด แม้แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่อาจรักษาความเรียบเฉยเอาไว้ได้ ดวงตาของเธอราวกับกำลังจะปล่อยน้ำตาที่กลืนลงคออยู่ทุกขณะไม่ให้ไหลออกมา แต่เอาความจริงมันก็แทบจะเหือดแห้งจนไม่เหลือแล้ว..นางทำเพียงแต่กลั้นไว้อย่างสุดกำลัง นางกลัวเหลือเกินว่าแม้แต่น้ำตาก็อาจะเป็นเหตุให้นางถูกตำหนิในที่ที่ไม่ควรแม้แต่จะหายใจผิดจังหวะ

          ภายในใจของเธอราวกับเสียงพันเสียงกู่ร้อง รอยแผลที่ใต้เท้าจางทิ้งไว้ยังไม่ทันสมาน..วันนี้นางยังต้องมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้งเช่นนั้นหรือ อย่างน้อยก็ยังดีที่เขาอาจจะเป็นนายเหนือหัวที่ดีละมั้ง? แรงบีบจากภายในทรวงอกฉุดดึงความดันโลหิตให้ต่ำลง ความเครียด ความอับอาย ความเสียใจและความสับสนประเดประดังเข้ามาราวกับพายุที่โหมกระหน่ำทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง เธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตนยังนั่งหลังตรงอยู่หรือไม่ ร่างกายของเธอเริ่มไร้ความรู้สึก แขนขาชาไปหมด..

          หากเวลานั้นมีเสียงเล็กน้อยจากผ้าคลุมหรือพัดที่สะบัดกระทบพื้น เสียงนั้นคงดังกว่าความคิดใด ๆ ของนางเสียอีกในตอนนี้ เพราะสมองของหลินหยากลับขาวโพลน ร่างเล็กเริ่มสั่นเบา ๆ อย่างที่นางไม่อาจห้ามได้อีกต่อไปแล้ว..และนางกำลังคิดแน่แล้วว่าความเครียดคงพุ่งสูง สูงพอที่นางสามารถสลบได้..และคงไม่นานหรอก ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงตรงหน้า..

          ไม่ตื่นขึ้นมาเลยคงจะดี




@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: ลูกฉันสลบไปแล้วววววววว อ๊าาาาาา
รางวัล: -





แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 47239 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 10:18
โพสต์ 47,239 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-25 10:18
โพสต์ 47,239 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-25 10:18
โพสต์ 47,239 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-25 10:18
โพสต์ 47,239 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-25 10:18
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-25 11:05:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LiuRuxuan เมื่อ 2025-6-25 11:22








พานพบ มิคาดฝัน


(เพลงอาจไม่เกี่ยวกับโรลแต่อยากใส่ 😆)


25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า < 05.00 - 07.00 น. >



@LinYa



ยามเหมาใกล้พ้นเต็มที่ แสงสว่างแรกของวันค่อย ๆ ลูบไล้ลงมาทาบทับผืนฟ้าเหนือฉางอัน กลืนกลบความหม่นของราตรีให้จางหาย ชายผ้าม่านที่ผูกไว้ด้วยเชือกไหมสีอ่อนเคลื่อนไหวเบา ๆ เมื่อสายลมเช้าโชยพัดผ่านเข้ามาในห้องนอนของตำหนักตงเฉิน เสียงนกตัวเล็กบ้างส่งเสียงเจื้อยแจ้วอย่างระมัดระวังราวเกรงใจใครบางคนในตำหนักนี้



บนตั่งหยกประจำห้อง ร่างเล็กขององค์ชายยังทอดพระวรกายอยู่ใต้ผ้าห่มปักเมฆซ้อน เส้นพระเกศาดำขลับหล่นลงละมุนบนหมอนหยก ทว่าเปลือกพระเนตรก็ขยับเล็กน้อยพร้อมกับลมหายใจที่เริ่มมีจังหวะหนักแน่นขึ้นเป็นสัญญาณว่าเวลาตื่นบรรทมใกล้เข้ามา



เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของนางกำนัลคนสนิทเอื้อนย่ำบนพื้นไม้ข้างตำหนัก ก่อนจะหยุดลงหน้าเตียงพอดี เสียงผ้าไหมเสียดสีกันเบา ๆ ขณะนางคุกเข่าลงอย่างนุ่มนวล แล้วประสานมือเบื้องอกพร้อมเรียกเบา ๆ



“องค์ชาย… ได้เวลาแล้วเพคะ”



ราวกับถูกปลุกด้วยเสียงของสายลม องค์ชายหรูเสวียนขยับพระเนตรเปิดออกอย่างช้า ๆ ลมหายใจอุ่นแรกหลุดออกจากพระโอษฐ์เมื่อสิ่งแรกที่ทรงเห็นคือเพดานไม้แกะลายพรรณไม้ซับซ้อน



ทุกอย่างรอบตัวดูคุ้นเคย



ดวงเนตรสีดำยังพร่าเล็กน้อยจากการบรรทม ทรงขยับพระวรกายเล็กน้อย พลางขมวดพระขนงเหมือนกำลังดึงสติกลับมาจากความฝัน พระวรกายของเด็กชายแม้จะยังเล็ก แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับเปี่ยมด้วยจังหวะที่มั่นคงและเปี่ยมแบบแผน



นางกำนัลช่วยพระองค์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายยามเช้าด้วยความชำนาญ ทรงปล่อยให้นิ้วเล็กของนางทำหน้าที่ไปโดยไม่ตรัสแทรก กระทั่งเมื่อเสื้อผ้าถูกจัดให้เรียบร้อยและเข็มกลัดประดับอกถูกปักอย่างเหมาะเจาะ องค์ชายจึงทรงหันมาพลางกล่าวเสียงเบาแต่เฉียบ



“วันนี้ดูเหมือนเจ้าจะตื่นก่อนข้าด้วยซ้ำ”



นางกำนัลที่อยู่เคียงพระองค์ทุกวันแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วค้อมศีรษะแทนคำตอบ



ขณะพระวรกายทรงยืดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ องค์ชายพลันได้ยินเสียงกระซิบของนางกำนัลอีกผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างนัก



“ทูลองค์ชาย… เมื่อครู่เว่ยปินกงกงแจ้งว่ามีนางกำนัลคนใหม่ส่งมาจากใต้เท้าจางเพคะ มาประจำหน้าห้องขององค์ชายตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้ว”



เด็กชายขยับพระเนตรขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเหนือดวงตาคมกริบขมวดช้า ๆ



“นางกำนัลคนใหม่?”



พระสุรเสียงของเขาแผ่วนัก คล้ายจะพูดกับตนเองมากกว่าจะเป็นคำถามจริงจัง



องค์ชายหรี่พระเนตรเล็กน้อย รอยยับที่เกิดขึ้นระหว่างหัวคิ้วยังไม่จางหาย ความสงสัยไม่ได้เกิดขึ้นจากความไม่พอพระทัยนัก แต่เป็นเพราะ… สิ่งนี้มาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และผู้ส่งมาก็คือใต้เท้าจาง



ใต้เท้าจาง…



ชื่อที่ปรากฏขึ้นในพระทัยทำให้เงาแห่งความทรงจำวาบผ่านเข้ามาแผ่วเบา



ค่ำคืนนั้น กลิ่นกำยาน เสียงนางโลม กล่องไม้ใบเล็ก และคำพูดของใครบางคนว่า "ข้ามีนามว่า เสวียนอิ๋ง"



ชื่อปลอมที่เขาเอ่ยออกด้วยความตั้งใจจะปิดบังฐานะในยามจำเป็น… กลับจู่ ๆ ผุดขึ้นในพระทัยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย



องค์ชายทรงนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ดวงเนตรค่อย ๆ ลาดลงต่ำ พระหัตถ์แตะชายอาภรณ์เบา ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยสุ้มเสียงเป็นปกติ



“นางมาอยู่ประจำหน้าห้องของข้าเลยหรือ?”



“เพคะ กงกงแจ้งว่าให้มารอรับบัญชา…ตั้งแต่ยามเหม่า ท่าทีเรียบร้อยดีนัก ไม่มีผู้ใดตำหนิได้”



องค์ชายพยักพระพักตร์เล็กน้อย แต่ไม่ตรัสสิ่งใดเพิ่ม



ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ใต้เท้าจางจะส่งคนมา ยังนับว่าเป็นผู้ที่หวงตี้ไว้วางใจ ทว่าส่งมาประจำตำหนักเขาโดยไม่ผ่านการแจ้งล่วงหน้าเช่นนี้… ก็ชวนให้คิด



แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่เห็นเหตุให้ตื่นตระหนก



คนคือคน นางกำนัลคือผู้ทำหน้าที่ หากทำได้ดี ก็อยู่ไป หากไม่เหมาะสม วันหนึ่งก็จักถูกปลดเปลี่ยนไปเช่นกัน



“เตรียมตารางของวันนี้ให้ข้า ข้าจะออกไปที่สวนหินหลังตำหนักหลังทานอาหาร”



องค์ชายเอ่ยโดยไม่ได้มองไปยังใครเป็นพิเศษ ราวกับตัดความคิดทั้งหมดลงภายในหนึ่งลมหายใจ ก่อนจะเหยียดพระวรกายยืดคลายกล้ามเนื้อให้ตื่นเต็มที่



ส่วนผู้ใดกัน… ที่กำลังค้อมกายเงียบอยู่หน้าประตูในตอนนี้ หากโชคชะตาคิดจะเล่นกลอีกครั้ง เขาก็พร้อมจะรับมันด้วยท่าทีเช่นเดิม



 


@Linya



แสงเช้าสะท้อนปลายกรอบหน้าต่างกระทบลงบนผนังห้องพักอันสงบของตำหนักตงเฉิน แสงอ่อนของยามเหม่านั้นมิได้เร่งร้อนแต่ก็ไม่ล่าช้า พอเหมาะพอดีกับการเริ่มต้นวันใหม่ที่ไม่เร่งรีบจนเกินไปสำหรับผู้เป็นโอรสของมังกร


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของนางกำนัลดังขึ้นอีกคราหนึ่งในห้องขนาดย่อม ด้านหนึ่งมีตั่งไม้เนื้อดี ประดับด้วยลายฝังทองบางเบา ด้านหนึ่งวางตู้ชาหยกเขียวที่มีกลิ่นชาจาง ๆ ลอยออกมา ชวนให้รู้สึกสงบจนแทบไม่อยากเอ่ยถ้อยคำใดให้ฟุ้งเปล่า


หรูเสวียน ขยับพระวรกายเล็กน้อย พลางหมุนข้อมือเบา ๆ ด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เมื่อจัดทรงผมและอาภรณ์เสร็จสิ้นด้วยฝีมือนางกำนัลมือประจำ ตำหนักเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เด็กชายจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่แฝงไปด้วยความขี้เล่นตามธรรมดา


“นางกำนัลคนใหม่…คือนางที่ว่าไว้เมื่อเช้าใช่หรือไม่”


นางกำนัลที่คุกเข่าทำความเคารพอยู่ใกล้ ๆ รับคำทันทีด้วยท่าทีนอบน้อม


“เพคะ องค์ชาย นางรออยู่หน้าห้องตั้งแต่ต้นยามเหม่าแล้วเพคะ”


องค์ชายยกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย คล้ายประหลาดใจที่ใครบางคนจะตั้งใจตื่นก่อนเขาได้ในเช้าอันหนาวเหน็บเช่นนี้ เขาไม่ใช่ผู้มีวินัยเป๊ะจนจับผิดใครหากมาช้ากว่า แต่หากใครมาถึงก่อน มันก็เป็นเรื่องที่สะกิดใจได้บ้าง


โดยเฉพาะหากผู้นั้นเป็นผู้ที่ใต้เท้าจางส่งมา


เด็กชายขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดน้อย ๆ ความจำของเขาไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นลืมเหตุการณ์สำคัญเมื่อหลายวันก่อน น้ำทิพย์ตุ๋นกวาง กลิ่นหอมหวานที่แปลกประหลาด และบทเรียนใหม่เกี่ยวกับ…ฤทธิ์ยา


ดวงตาของหรูเสวียนพลันเปล่งประกายขึ้นแววระวังเล็กน้อย ไม่ถึงกับหวาดหวั่น แต่ไม่ไว้ใจเต็มร้อย


คนที่ใต้เท้าจางส่งมาน่ะหรือ จะให้เชื่อใจง่าย ๆ ก็ออกจะประมาทเกินไปหน่อย


“จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตูเป็นชั่วยาม รอให้ข้าเรียกอยู่ข้างเดียวหรืออย่างไร” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงอารมณ์ขันบางเบาไว้ในคำพูด


นางกำนัลหัวเราะแผ่วแล้วตอบอย่างรู้หน้าที่


“หม่อมฉันจะไปแจ้งให้เข้าพบเพคะ”


หรูเสวียนโบกมือเบา ๆ พลางหมุนตัวนั่งลงบนตั่งหยกประจำตำแหน่ง ดวงตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่แสงเช้าเริ่มกล้า


แม้ในแววตาจะมีร่องรอยของความเป็นเด็กอยู่เต็มเปี่ยม แต่ผู้ที่ได้มองลึกลงไป จะเห็นความคมคายบางอย่างแฝงอยู่


เด็กคนนี้…รู้ว่าโลกไม่ได้มีเพียงภาพสีทองที่ใคร ๆ วาดไว้ให้เขาเห็น หากคนที่อยู่หน้าประตูคือคนของจางกงกงจริง และเกี่ยวโยงกับเรื่องเมื่อคราวก่อน 


เขาก็อยากจะเห็นหน้าชัด ๆ ว่าใต้หน้ากากนางกำนัลธรรมดานั้น มีเงาอะไรซ่อนอยู่หรือไม่



@LinYa



ในความเงียบงันอันคลี่คลุมภายในตำหนัก เสียงลมหายใจแผ่วเบาจากคนทั้งสองมิได้กระทบกระเทือนความนิ่งของยามเช้าแม้แต่น้อย หรูเสวียนทอดพระเนตรไปยังร่างของหญิงสาวที่ยังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า สีหน้าขององค์ชายมิได้แปรเปลี่ยนออกชัดนัก ทว่าความรู้สึกในอกกลับปั่นป่วนคล้ายคลื่นกระทบฝั่งไม่สิ้นสุด



ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ



นางเคยเป็นเด็กสาวที่เขาเข้าใจว่าไร้ที่ยืนในโลกกว้าง ต้องอาศัยซอกมุมของหอโคมเพื่อดำรงชีพ แม้จะพูดจาตรงไปตรงมา แต่ก็เปี่ยมด้วยความจริงใจในแบบของผู้ที่มิเคยมีอะไรให้ต้องปิดบัง สีหน้ารอยยิ้มครั้งนั้นล้วนมาจากใจจริง ไม่มีเค้าโครงของพิธีการหรือการปรุงแต่งใด ๆ



ทว่าวันนี้...หลินหยาไม่เหมือนเดิม



ทุกกิริยาของนางล้วนแลดูผ่านการขัดเกลามาอย่างตั้งใจ ประหนึ่งตุ๊กตาเคลือบเงาที่ถูกจัดวางไว้ในตู้กระจก ไม่มีแม้แต่อณูของความเป็นตัวตนเก่าหลงเหลือ



หรูเสวียนหลุบสายพระเนตรลงเล็กน้อย ขณะที่ขบคิดเงียบงัน



เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเลือกเข้าวังด้วยตนเอง



สถานที่แห่งนี้หาใช่ที่อันพึงปรารถนาสำหรับหญิงสาวใดไม่ ยิ่งผู้ที่เคยอยู่ในเรือนหอโคม ยิ่งไม่มีหนทางอันเปิดกว้างเข้ามาโดยไร้แรงผลักจากเบื้องหลัง



เช่นนั้นจึงเหลือคำตอบเดียว



หลินหยาถูกส่งเข้ามา โดยใครบางคน และชื่อของผู้ต้องสงสัยก็เด่นชัดยิ่งนักในใจของเขา จางกงกง



ขันทีผู้นั้น แม้ภายนอกจะก้มตัวต่ำ พูดจาอ่อนน้อม แต่น้ำเสียงและสายตากลับราวคมมีด เขาไม่เคยเชื่อในความภักดีอันเกินพอดีของอีกฝ่าย การนำยาตุ๋นบำรุงพละกำลังมามอบให้เขาโดยมิได้ขอ คือสิ่งยืนยันว่าหัวหน้าขันทีย่อมมีแผนการณ์แฝงซ่อนไว้ในเงาเสมอ



หลินหยาอาจไม่รู้ตนเองเป็นเครื่องมือ



หรือบางที...รู้ และจำต้องยอมรับด้วยเหตุผลที่เขาไม่อาจล่วงรู้



องค์ชายสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ สายพระเนตรทอดไปยังนางกำนัลที่ยังก้มต่ำ มิได้เอ่ยคำใด มิได้ร้องขอหรืออธิบายใดให้ตนฟัง ราวกับยอมจำนนต่อชะตากรรม



หรือเพราะนางมิได้มีสิทธิ์แม้แต่จะอธิบายอะไรเลย



พระหัตถ์ของหรูเสวียนขยับเล็กน้อย ก่อนหยุดนิ่งกลางอากาศ เขาลังเลเพียงชั่วครู่ ก่อนวางมันกลับที่เดิมบนพระเพลา ตอนนี้เขายังไม่ควรถาม แต่เขาจะรู้ให้ได้



เพราะในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเงามืดและอำนาจ หากเขาหลับตาแม้เพียงหนึ่งคืน สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมิใช่เพียงการเสียสละของเด็กสาวคนหนึ่ง แต่จะเป็นเงื่อนไขใหม่ ที่ลากตัวเขาไปยังสนามหมากอีกกระดานหนึ่ง โดยไม่ทันตั้งใจ



หรูเสวียนยังคงนิ่ง แต่นัยน์ตากลับขบคิดอย่างจริงจังทุกขณะ หลินหยาถูกวางไว้ในตำหนักของเขา นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน



เงาสะท้อนจากม่านแสงที่สาดต้องบานหน้าต่างโบราณส่องลงบนพื้นไม้ขัดมันสะท้อนแผ่วราวกับผิวน้ำ ดรุณหนุ่มก้าวลงช้า ๆ ก่อนหยุดยืนอย่างมั่นคง ชายผ้าอาภรณ์สีกลีบบัวลู่ลงกับพื้นราวม่านหมอก ดวงเนตรสีหยกนิลนั้นแม้จะทอดมองร่างบอบบางที่คุกเข่าเบื้องหน้าโดยตรง ทว่าสายตากลับไม่แสดงแววใดนอกเหนือจากความสงบเฉยราบเรียบประหนึ่งเจ้าของดวงเนตรนั้นมิได้รู้จักมักจี่กับนางมาก่อนเลย



เมื่อเห็นดวงหน้าเงยขึ้นตามมารยาทของผู้รับใช้ หรูเสวียนเพียงพยักหน้าลงเล็กน้อย สีพระพักตร์เรียบนิ่งราวคลื่นที่ไม่กระเพื่อม



"เจ้าคือนางกำนัลใหม่ที่จางกงกงส่งมาใช่หรือไม่" สุรเสียงขององค์ชายแผ่วเบา ทว่าชัดเจน หนักแน่นแต่ไร้แววเคร่งขรึม เป็นเสียงของเด็กชายที่รู้จักการควบคุมอารมณ์แม้ในยามประหลาดใจยิ่ง



ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยนั้นไม่เพียงแต่เป็นคำถามห้วนเรียบ หากแต่เป็นเกราะกำบังอันบางเบาที่เขาสร้างขึ้นเพื่อป้องกันสายตาผู้ใดก็ตามที่อาจซุ่มซ่อนอยู่ตามมุมมืดของตำหนักนี้



เขาไม่ลืมว่าที่นี่คือวังหลวง


ที่ซึ่งแม้แต่เสียงถอนหายใจก็อาจกลายเป็นกระแสข่าว



"ข้าชื่อหรูเสวียน เป็นองค์ชายประจำตำหนักตงเฉิน ตั้งแต่ยามนี้เป็นต้นไป เจ้าจะทำหน้าที่ประจำตำหนักนี้ หากมีสิ่งใดข้องใจในหน้าที่สามารถถามเว่ยปินกงกงได้โดยตรง หรือหากเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับตำหนักโดยเฉพาะ ก็มาถามข้าได้เช่นกัน" กล่าวเสร็จ หรูเสวียนหันกายไปเล็กน้อย สุ้มเสียงที่เอ่ยถัดจากนั้นคล้ายเบาลง ราวกับแฝงเจตนาไม่ให้เลยไปถึงหูของใครอื่นที่มิใช่ผู้ตรงหน้า



"ที่นี่ไม่เหมือนหอโคม...เจ้าอยู่ให้สงบเป็นพอ"



พระโอษฐ์ของเขาขยับเล็กน้อย ทว่ามิได้เอื้อนยิ้ม



มีเพียงประกายวาวในดวงตาคู่นั้น ที่หลบเร้นความรู้สึกไว้เบื้องหลังม่านความสงบ ดรุณน้อยที่แม้จะเยาว์วัย แต่กลับเข้าใจโลกใบนี้ดีเกินไปแล้ว



เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อของนาง และเขาก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าจำได้



…เพราะหากมีใครจับจ้องอยู่จริง สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ควรแม้แต่จะสะท้อนในดวงตาเขาเลยแม้สักเศษเสี้ยวเดียว



หรูเสวียนค่อย ๆ เดินกลับขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งเดิม สายพระเนตรทอดมองนอกหน้าต่าง ดั่งมองไปยังลานสวนไผ่เบื้องนอก แต่แท้จริงแล้วนั้น เขาเพียงกำลังพยายามกดกลบความรู้สึกหลากหลายที่กำลังสั่นคลอนอยู่ภายในอก



@LinYa


หรูเสวียนลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีที่เห็นร่างของหลินหยาเริ่มเอนเอียงเล็กน้อย ก่อนจะทรุดฮวบลงต่อหน้าต่อตา ประดุจดอกไม้บางเบาที่โอนเอนภายใต้แรงลมกรรโชกโดยไม่อาจต้านทาน



เขาทิ้งทุกความระวังทุกระเบียบในหัวสมอง วิ่งก้าวยาวเพียงสองสามก้าวก็ถึงตัวนาง เสียงพัดกระทบพื้นไม้ดังกรับใต้ฝีเท้าของเขา แต่ไม่ดังเท่าเสียงหัวใจที่กำลังเต้นระส่ำ



“นางกำนัล! พานางไปหาหมอหลวงเดี๋ยวนี้!”



เสียงรับสั่งขององค์ชายองค์โตของแผ่นดิน มิใช่เสียงดังลั่น แต่หนักแน่นเร่งร้อนจนไม่มีใครกล้าขัดขืน ขันทีและนางกำนัลที่อยู่ใกล้เร่งฝีเท้าออกจากตำหนักโดยไม่ต้องรอคำซ้ำ



หรูเสวียนทรุดกายลงข้างหญิงสาวที่แน่นิ่งบนพื้นไม้เย็นเฉียบ ผิวของนางซีดจนแทบไร้สีเลือด เส้นผมเงาดำปลิวหล่นลงเคียงใบหน้าเหมือนเส้นไหมที่ขาดสะบั้น ลมหายใจรวยรินจนแทบจับจังหวะไม่ติด เขากวาดสายตาเพียงนิดก็เห็นรอยเลือดสีแดงจาง ๆ ที่ชายแขนเสื้อ



มือเรียวเล็กนั่นยังจิกเข้ากับเนื้อของตัวเอง แม้ร่างจะไร้สติแล้วก็ตาม



…นางทำแบบนี้ทำไมกัน?



ดวงตาขององค์ชายหรี่มองรอยเลือดอย่างไม่เข้าใจ แวบหนึ่งเขาคิดว่าอาจเป็นพิษ แต่ไม่น่าใช่ เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีอาหารหรือยาสมุนไพรใดในตำหนักของเขาจะกล้าผิดพลาดถึงขั้นทำให้คนล้มหมดสติ



…แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งภายนอก แล้วเป็นอะไรเล่า?



หรูเสวียนคิดพลางกำหมัดแน่น ในใจของเขารู้สึกปั่นป่วน สายตาทอดลงบนใบหน้าของหลินหยา



นางไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย นางคือคนที่เคยหยิบขนมไหมฟ้ายื่นให้เขาด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ช่างเจรจาและไร้เดียงสาอย่างน่าเอ็นดู



แต่ตอนนี้ สตรีผู้นี้ไม่เหลือเค้าเงาของเด็กหญิงคนนั้นแม้แต่น้อย มีเพียงเปลือกเปราะบางที่แฝงรอยแตกร้าว นัยน์ตาคู่นั้นมีเพียงเงา…เงาที่ดูจะจมหายลงไปทุกขณะ



เพราะอะไรนางถึงเป็นเช่นนี้?


เขาเม้มริมฝีปากแน่น ชื่อของขันทีหนุ่มผู้นั้นผุดขึ้นในความคิดทันที



จางกงกงเคยจงใจพาเขาไปยังหอโคมในยามที่ฤทธิ์ยากำลังพลุ่งพล่าน และครานี้…หลินหยา



นางปรากฏในตำหนักของเขา โดยที่ไม่มีคำอธิบายใดรองรับอย่างชัดเจน มีเพียงคำว่า “ใต้เท้าจางส่งมา” เท่านั้น



ราวกับเขากำลังถูกจัดฉาก ถูกชี้นำ ถูกผลักไปยังเส้นทางที่ใครบางคนขีดไว้



เด็กชายหรูเสวียน แม้จะอ่อนวัย แต่กลับรู้ดีถึงกลิ่นไอของอำนาจที่ไร้ความเมตตา



และยิ่งมองรอยแผลที่ฝ่ามือของหญิงสาวเบื้องหน้า ยิ่งตอกย้ำว่า หลินหยามิได้มาโดยสมัครใจ นางถูกผลัก ถูกข่ม และถูกปิดปากด้วยพันธนาการบางอย่างที่เขายังมองไม่เห็น



เขาหันไปยังขันทีที่เพิ่งวิ่งกลับเข้ามาพร้อมนางกำนัลอีกคนที่พยุงถาดเครื่องใช้ยา



“ให้หมอหลวงตรวจให้ละเอียดที่สุด อย่าให้มีผิดพลาด”



น้ำเสียงของเขาเรียบเย็นประหนึ่งลำน้ำที่ไหลใต้ธารหิน ทว่าในแววตากลับมีแววกร้าววาวลึก



เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนอีกครั้ง สายพระเนตรทอดยาวออกนอกหน้าต่างไผ่ที่สั่นไหวในสายลมเช้า



ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า แต่ภายในใจของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยเงามืด



เด็กชายเม้มริมฝีปากอย่างเงียบงัน หัวใจของเขาอึดอัดราวกับมีมือหนึ่งกำแน่นอยู่ภายใน ดวงเนตรใสราวหยกขององค์ชายหลุบลงต่ำ กรอบความคิดเรียงตัวอย่างว่องไว


จางกงกง…


นั่นคือจุดร่วมเดียวที่โยงเรื่องนี้ทั้งหมดเข้าหากัน



…เงามืดที่กำลังหาคำตอบจากใยพิษของจางกงกง และเงามืดที่อาจซ่อนอยู่หลังแววตาของเด็กสาวนางหนึ่งที่เคยยิ้มให้เขาในแสงตะเกียงยามค่ำคืน 



หากใครมีหูทิพย์พอฟังเสียงบางที…อาจได้ยินเสียงแผ่วเบาของโชคชะตากำลังหัวเราะอยู่ในความเงียบแน่แท้




แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 58957 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 11:05
โพสต์ 58,957 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2025-6-25 11:05
โพสต์ 58,957 ไบต์และได้รับ +6 คุณธรรม จาก พัดคุณชาย  โพสต์ 2025-6-25 11:05
โพสต์ 58,957 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +6 ความชั่ว +15 ความโหด จาก เกราะทองแดง  โพสต์ 2025-6-25 11:05
โพสต์ 58,957 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +2 ความชั่ว +5 ความโหด จาก อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)  โพสต์ 2025-6-25 11:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
พู่กันคัดอักษร
พัดคุณชาย
เกราะทองแดง
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ช)
ลาภลอย
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x20
x5
x5
x2
x2
x10
x10
x53
x50
x20
x1
x1
x1
x1
x2
x1
x1
x4
x2
x2
x10
โพสต์ 2025-6-25 17:29:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามอู่ เวลา 13.00 - 15.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักตงเฉิน


           ยามอู่ อากาศภายนอกวังนั้นยังอบอวลไปด้วยกลิ่นร้อนของแดดยามบ่ายที่แผดเผาจนเงาของต้นไม้นั้นทอดยาวอยู่ตรงปลายเท้าของบ่าวในตำหนัก แต่ในห้องพักของนางกำนัลตำหนักตงเฉินนั้นกลับเงียบงันจนแม้แต้เสียงลมหายใจอ่อน ๆ ก็ฟังดูดังเกินไปสำหรับหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งฟื้นจากความมืดบอดแห่งสติและห้วงนรกในดวงใจของนาง

           หลินหยาลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เงาตะวันยังวูบไหวอยู่บนขื่อไม้เหนือศีรษะนาง ใจยังคงเต้นให้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหนแม้มันจะเต้นไม่เป็นจังหวะดีด้วยแรงสั่นสะเทือนของเหตุการร์ที่เหมือนฝังร่างกายนางทั้งเป็นเหมือนที่ผ่านมา..ทั้งตำแหน่งนางกำนัล ทั้งใบหน้าขององค์ชายที่เจือนิ่งจนราวกับนางอยากตัดขาด นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำมือแน่นจนพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นขาว ทั้งความรู้สึกผิดและความเจ็บลึกที่ปลายนิ้ยังรู้สึกได้ถึงข้อมือซึ่งตนเผลอจิกเล็บลงไปจนเลือดซึม ใจของหลินหยายังบอบช้ำราวกับกระจกที่เพิ่งตกกระแทกพื้นอย่างแรง แม้ภาพรวมยังเหมือนเดิม แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

           เสียงฝีเท้าเร่งรียและเสียงผ้าม่านเลื่อนเบา ๆ ทำให้เหลินหยาเกลือบดวงตาของนางมองน้อย ๆ ก่อนที่จะเห็นนางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาเมื่อเห็นว่านางฟื้นแล้วก็ระบายยิ้มให้เล็ก ๆ แล้วผละหายออกไปทันที จากนั้นไม่นานชายผู้หนึ่งในชุดขันทีที่มีอุปกรณ์ของหมอ เป็นคนสูงวัยก็เดินทางเข้ามาแทน เขามีใบหน้าสงบ ขนตาตกเล็กน้อยดั่งผู้ที่ใช้ชีวิตมามากนัก มือของเขาอบอุ่นและนิ่งยามจับชีพจร ท่วงท่าของเขาเปี่ยมไปด้วยความชำนาญ ทว่าหลินหยาเพียงสมตาแววเดียวก็เย็นวาบถึงสันหลัง เขาคือสายตา ปาก และหูของจางกงกงโดยที่ไม่ต้องมีใครกล่าวให้แน่ชัด

           “รู้สึกตัวหรือยังแม่นาง..”น้ำเสียงของขันทีแพทย์ฟังดูสุภาพอย่างยิ่งแม้คล้ายจะลอยห่างไปหน่อย “ข้าจะถามเพียงไม่กี่คำ แม่นางรู้ตนอยู่หรือไม่ว่าเป็นใคร?”

          “ข้า..ชื่อหลิน..หลินหยาเจ้าค่ะ” เสียงของหลินหยาแผ่วเบา เหมือนเพียงกระซิบผ่านลมในท้องฟ้าที่อับฝนเมฆครึ้ม

           “ดีแล้ว สติแม่นางยังครบถ้วน” เขาผงกศีรษะพลางหยิบตลับยาขึ้นมาเรียงแผ่นยาแล้วต้มมันด้วยน้ำร้อนจากหม้อเล็กที่พกมาด้วยอย่างชำนาญ ท่ามกลางไอร้อนที่ลอยขึ้นจากชามทองเหลือง ขันทีแพยท์กลับเอ่ยเสียงเรียบ “แม่นางต้องพักผ่อน ร่างกายของเจ้าอ่อนแอมากนัก เลือดลมตีขึ้นศีรษะ หัวใจสูบฉีดไม่สม่ำเสมอ หากฝืน..อาจถึงคราวร้ายกว่านี้..ข้าจัดยาไว้ให้แล้ว ยาต้มฟื้นแรง ยาคลายเครียด และยาบำรุงระบบลมปราน จงดื่มให้หมด”

           แต่ก่อนที่หลินหยานั้นจะได้รับยา เขากลับเอียงหน้ามาใกล้มากขึ้นอีกเล็กน้อยราวกับพึมพำข้างหูของนางแต่ไม่ใกล้เกินไป “และจงจำไว้ จางกงกงฝากบอกเจ้าไว้ด้วยความหวังดี..” รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่แม้จะยกขึ้นครบครึ่งวง ริมฝีปากเพียงขยับอย่างนุ่มนวล “บุรุษ..นั้นมักสงสารสตรีอ่อนแอ..ต่อหน้าองค์ชายจงแสดงให้เหมือนเจ้าถูกรังแกมา เจ้ากล้ำกลืน เจ็บปวด จงทำให้เขาอย่างประคองแม่นาง อยากช่วยแม่นาง อยากปกป้อง..”

           ชั่วขณะนั้นเอง ดวงตาของหลินหยากลับเย็นวาบลง ทั้งร่างชาเงียบไร้ถ้อยคำ สะอื้นในอกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข่มไม่อยู่กลับไม่อาจมีน้ำตาลสักหยกให้ไหลหลั่งออกมา นางรู้ดีว่านี่คือโซ่ตรวนอีกเส้นที่คล้องคอลงมาอย่างแนบเนียน ตอนนี้นางมีโซ่กี่เส้นแล้วล่ะ ที่ล่ามแขนล่ามขา ล่ามคอนางไว้อยู่ หากแต่ก็ไม่ลดลงความหนักของมันลงแม้แต่น้อย มือของหลินหยาที่กำชับผ้านวมแน่นจนเส้นเอ็นปูดบวม เริ่มสั่นเบา ๆ แววตาของนางนั้นค่อย ๆ ว่างเปล่า นางอยากตะโกน อยากร้องไห้ อยากวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ แต่แทนที่จำทำอะไรได้ หลินหยาทำได้เพียงยิ้มบาง ๆ ให้แก่ขันทีแพทย์คนนั้นแล้วค้อมหัวตัวเองลงเพื่อตอบรีบเ้บา ๆ อย่างอ่อนน้อม

           “เจ้าค่ะ..ข้าจะไม่ทำให้ตัวท่านผิดหวัง”

           เธอหมายถึงจางกงกง..หรือว่าจะเป็น ใต้เท้าจางกันนะ? ภายใต้คำพูดเรียบง่าย ในอกของหลินหยาเต็มไปด้วยเปลวเพลงที่ลุกโชนขึ้่นอย่างเงียบงัน ไม่ได้มาจากแรงโทสะต่อชะตากรรม แต่มาจากสิ่งที่จางกงกงไม่อาจเข้าใจได้แม้แต่น้อย คือการที่เขา ไม่เคยเห็น ว่านางคือมนุษย์ผู้มีหัวใจ มีความรู้สึก มีความนึกคิด มีครอบครัว มีความรัก และมีจิตใจที่บอบช้ำได้เหมือนกับคนอื่น ๆ เขามองนางเป็นเพียงสิ่งของของตนเช่นนั้นหรือ..

           หากได้ยินเพียงคำขู่ที่หนักหนานอีกครั้งสองครั้ง สติของหลินหยาก็คงขาดผึ่ง นางคิดถึงแม่นางหรงเล่อที่ชอบเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ให้ฟัง นึกถึงท่านชายเว่ยที่เคยมองมาอย่างอบอุ่น นึกถึงใต้เท้าเถียนเฟิงที่อย่างน้อยก็เคยถามว่านางต้องการสิ่งใด และแน่นอนว่านางนึกถึงคุณชายอันเล่อ ชายคนเดียวที่ตอนนี้นางอยากใช้ชีวิตที่เคยไปซื้อเต้าหู้เพียงเพื่อได้พบหน้าเขาอีกสักครั้งหากเป็นไปได้..

           “หากแม่นางมีกำลังแล้ว ให้ไปพบจางกงกงเพื่อรับเบี้ยหวัดที่ตำหนักจงฉางซื่อ ท่านจะอยู่ที่นั้นตั้งแต่ช่วงกลางหรือปลายยามโหย่ว” ขันทีแพทย์พูดต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แม่นางควรขอบคุณท่านด้วยนะ ที่กรุณาส่งข้ามาดูแลแม่นาง เพราะนอกจากองค์ชายที่ให้ตรวจละเอียดแล้วจางกงกงก็เช่นกัน”

           หลินหยานั้นเงียบ..เงียบดั่งเสียงลมหายใจสุดท้ายของผีตนเอง หลินหยาไม่ตอบอะไรเลย ดวงตาของนางเบือนกลับไปมองเพดานสูงเหนือหัว ปล่อยให้น้ำตาไหลย้อนกลับลงกระบอกตาและลำคอราวกับจะกลืนมันทั้งหมด ทั้งชีวิต ทั้งศักดิ์ศรี ทั้งความเจ็บลึกเข้าไปให้หมด เหมือนกับกลืนใบมีดพัน ๆ เล่ม





@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -
รางวัล: -



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15324 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 17:29
โพสต์ 15,324 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-25 17:29
โพสต์ 15,324 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-25 17:29
โพสต์ 15,324 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-25 17:29
โพสต์ 15,324 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-25 17:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-25 20:50:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 25 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามซวี เวลา 19.00 - 21.00 น. ณ พระราชวัง ตำหนักตงเฉิ


           ยามซวีแผ่คลุมด้วยเงาของความเงียบสงบแห่งวังหลวง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ราตรีใกล้โรยกลีบลงมาจากปลายฟ้า แสงตะวันที่เคยเรืองรองยามสนธนาแต้มปลายเมฆเหมือนถักทองไว้ปลายพู่กันนั้นหายไป หลินหยาเดินกลับมาถึงตำหนักตงเฉินอีกครั้งหลังผ่านเหตุการณ์มากมายในวันเดียวกัน ใบหน้าของนางซีดเซียวลงไปบ้างจากฤทธิ์ของยากล่อมประสาทอ่อน ๆ ที่หมอให้ตอนยามอู่ แต่ดวงตาของนางกลับไม่ขุ่นมัวอีกแล้ว เพียงแต่ยังมีบางอย่างในนั้นที่ดูอ่อนล้าเกินกว่าจะกล่าวคำใดได้โดยไม่ต้องเลือกสรร

           นางยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเป็นทางการ ยังอยู่ในชุดของนางกำนัลสีจันทร์หม่นเรียบง่าย มือเรียวบางของนางนั้นถือชามน้ำอุ่นซดเบา ๆ ที่ได้รับมาจากพี่สาวนางกำนัลร่วมตำหนักเพื่อให้ร่างกายตนเองดีขึ้น..ทว่าขณะที่ริมฝีปากของนางจะผละออกจากขอบชามนั้น เว่นปินกงกงก็กลับเดินเข้ามาหานางแล้วหยุดไม่ไกลจากที่นางนั่งพักที่มุมหนึ่งของเรือนพักสำหรับนางกำนัล

           “แม่นางหลินหยา”

           เสียงของเขาเรียกขานเบา ๆ แต่ชัดเจน มีความนุ่มนวลและเป็นกลางแบบขันทีผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตลอด หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อย ๆ วางชามลงแล้วขยับกายลุกขึ้นยืนก้มคำนับอีกฝ่ายด้วยความเคารพและสำรวม มือหนึ่งอยู่ตรงหน้าตัก ท่าทางสำรวมเช่นผู้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แม้นางจะรู้สึกปวดเล็กน้อยจากอาการอ่อนเพลียที่ยังตกค้างอยู่ในร่างก็ตามที

           “เจ้าคะ?..เว่ยปินกงกง”

          “ข้าทราบจากท่านหมอแล้วว่าตอนนี้เจ้าควรพักผ่อนให้มากนัก แต่เรื่องนี้ไม่หนักหนา แค่เพียงฝากของเท่านั้น หากข้าไม่ใช้เจ้าเสียบ้างจะมีคนกล่าวครหาลำเอียงได้” เขาพูดพลางหยิบห่อผ้าเล็ก ๆ สีน้ำเงินปักลายเมฆลอยออกมาจากแขนเสื้อ ห่อแน่นหนาแต่ไม่ใหญ่โตนักน้ำหนักเบา..เสื้อผ้าหรือ?..อาจจะเครื่องประดับไม่มั่นใจ “ของสิ่งนี้เป็นของจางกงกง ข้าเองตั้งใจจะนำไปให้ท่าน แต่ติดงานบัญชีและการฝึกฝนพวกนางกำนัลที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ใหม่ จึงยังไม่มีโอกาส หากเจ้าไม่ขัดข้อง ก็ช่วยข้าเอาไปส่งให้ที่ตำหนักจงฉางซื่อหน่อยแล้วกันนะแม่นาง” คำพูดของเว่ยปินกงกงนั้นสุภาพนัก ไม่มีการบังคับแม้แต่น้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านหมอบอกให้หลินหยานั้นหลีกเลี่ยงความเครียดที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่คนอื่นไม่รู้นี้ ว่าจางกงกงคือแหล่งกำเนิดความเครียดของนางแบบชั้นดีเลยล่ะ..

           หลินหยาหลุบตาลงมองของในมือของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนที่จะยื่นมือไปรับไว้ นางไม่ได้ถามว่าสิ่งใดอยู่ภายใน ไม่แม้แต่จะเปิดดู เพราะนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอย่างแม่นางหลินหยาจะทำ เธอไม่ทำ..นางอาจจะลอบเค้นเสียงหัวเราะในใจต่อโชคชะตาที่เล่นตลกเสียเหลือเกินทั้งที่ตนเองพึ่งเดินกลับจากตำหนักนั้นเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาแท้ ๆ แต่กลับต้องย้อนกลับไปอีกครั้ง..โซ่ตรวนหนาแน่นนัก..

           แต่เธอก็รับมันไว้อย่างเงียบ ๆ เอ่ยเพียงถ้อยคำที่ดูฟังแล้วนิ่งสงบเงียบ แต่ในน้ำเสียงหวานล้ำนั้นมีแฝงความเหนื่อยล้าแบบผู้ที่กำลังพยายามรักษารูปแบบของตนเองไว้ไม่ให้แตกละเอียด “เจ้าค่ะ กงกง..ข้าจะนำไปส่งให้ด้วยตนเอง..โดยเร็วที่สุด” นางก้มเล็กน้อยรับคำ ก่อนที่จะม้วนปลายห่อผ้าอย่างบรรจง เก็บไว้ใต้สาบเสื้อให้แน่นหนาเหมือนเคย หลินหยาก็ยังคงเป็นหลินหยา นางรู้หน้าที่ แม้จะไม่เต็มใจนักที่จะทำ แต่ก็รู้ว่าบางสิ่งนั้นยิ่งหลีกเลี่ยงบางสิ่งยิ่งสร้างความน่าสงสัย นางจึงต้องเดินออกไป เขาใกล้กงจักรที่แสนเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง กรงจักรที่นางเคยเห็นว่าเป็นเพียงดอกบัวงาม นางต้องไปอีกครั้งด้วยฝีเท้าอันอ่อนโยนแต่มัน..เจ็บปวด ราวกับแฝงมีดพันเล่มไว้ใต้เท้าที่นางเหยียบย่างลงไป บางทีหากคืนนี้ดาวล้อมเดือนและมีสายลมพัดอ่อน ๆ ก่อนไปถึงตำหนักจางฉางซื่อ บางคำที่ไม่ควรพูด อาจถูกกลืนไปในหมอกยามราตรีเสียก่อนจะได้หลุดออกจากปากไปก็ได้นะ?...

           ว่าไปนั้น..




@Admin

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
อื่น ๆ: -
รางวัล: -



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 11120 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-25 20:50
โพสต์ 11,120 ไบต์และได้รับ +2 EXP +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-25 20:50
โพสต์ 11,120 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม +4 ความโหด จาก ผู้มีบุญ  โพสต์ 2025-6-25 20:50
โพสต์ 11,120 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-25 20:50
โพสต์ 11,120 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-25 20:50
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
หน้ากากไร้ใจ
เกราะทองเทวะ
โล่ไม้
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x5
x5
x5
x5
x5
x5
x149
x15
x1
x1
x20
x15
x18
x16
x47
x16
x150
x5
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x15
x10
x34
x2
x1
x103
x12
x9
x14
x5
x22
x29
x16
x19
x48
x145
x5
x5
x24
x5
x6
x10
x1
x1
x3
x9
x5
x5
x5
x1
x6
x6
x10
x5
x121
x40
x20
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้