เจ้าของ: Admin

[ยอดเขาหัวซาน] ลานกระบี่เหินมรรคา

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-5-15 17:20:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:29






วันที่ 15 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11
เวลา 16.00 น.


แดดบ่ายคล้อยลงต่ำ ลำแสงสีทองอ่อนทอดผ่านหมอกบางที่ลอยเอื่อยปกคลุมไหล่เขาหัวซาน ซิ่วอิงเพิ่งเสร็จจากการฝึกซ้อมในค่ายพยัคฆ์ แม้จะมีเวลาไม่มากก่อนตะวันลับฟ้า แต่ในใจของนางกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยว่าจะใช้เวลานี้เพื่อออกเดินทาง

นางสะพายห่อผ้าผืนหนึ่งไว้บนไหล่ ภายในบรรจุอาหารง่าย ๆ กับไหสุราหนึ่งไห เป็นสุรารสดีที่นางเพิ่งได้มาจากตลาดล่างเขา รสหวานหอมไม่บาดคอ นางตั้งใจจะเก็บไว้ฉลองในโอกาสพิเศษ แต่วันนี้นางรู้ดีว่าโอกาสนั้นได้มาถึงแล้ว เพียงแค่นึกถึงคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาพักใหญ่ก็อยากที่จะไปร่ำสุราด้วยกันกับเขา

เท้าของนางเหยียบพื้นเขาอย่างมั่นคงทุกย่างก้าว เส้นทางขึ้นเขาหัวซานแม้จะชันและมีหินกรวดคมคาย ทว่ามิได้ทำให้นางหยุดชะงักแม้แต่น้อย ด้วยวิถีของทหารผู้แบกหอกหนักยามฝึกฝน นางเคยชินกับความเหนื่อยล้าเสียจนมันกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ

ลานกระบี่เหินมรรคาบนยอดเขาเปิดโล่งต่อสายตาราวกับเป็นดินแดนแยกขาดจากโลกภายนอก และที่นั่นภาพหนึ่งที่เคยตราตรึงอยู่ในความทรงจำก็ปรากฏเบื้องหน้า บุรุษผู้หนึ่งนั่งสมาธิอยู่กลางลาน ผ้าคลุมสีขาวสะอาดปลิวเบา ๆ ตามแรงลม เขาลืมตาขึ้นทันทีที่นางย่างเท้าเข้าสู่ลาน ราวกับรับรู้ได้ถึงการมาของผู้มาเยือนก่อนที่สายตาจะเห็น เขาลุกขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่งแล้วเดินตรงเข้ามา สีหน้ายังคงอ่อนโยนและเยือกเย็นตามแบบของเขา

“ไม่ได้เจอกันเสียนาน สบายดีหรือไม่?” เสียงนุ่มลึกของคุณชายตงฟางทักซิ่วอิง

“พอดีว่าช่วงนี้ข้าฝึกหนักเจ้าค่ะ เลยไม่ค่อยมีเวลาแวะออกมาเท่าไหร่” ซิ่วอิงตอบด้วยท่าทีนอบน้อม หากแต่ในดวงตานั้นมีแววอบอุ่นที่ยากจะซ่อนไว้

“เช่นนี้เอง ข้าเองก็นึกไปว่าแม่นางคงจะลืมสหายเช่นข้าไปแล้วเสียอีก” เขายิ้มบาง เอ่ยประโยคแซวเล่นเบา ๆ

“สะ…สหายหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงชะงัก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย

“เหตุใดแม่นางจึงทำหน้าตกใจเช่นนั้น?” คุณชายตงฟางถามกลับด้วยแววตาขบขัน

“คะ…คือว่า…” นางเบือนหน้าเล็กน้อย เสียงแผ่วลงเหมือนคนที่ไม่มั่นใจจะพูดออกไปดีหรือไม่

“หรือแม่นางไม่ได้คิดว่าข้าเป็นสหาย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขออภัย” เสียงของคุณชายตงฟางยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม ทว่าแฝงความผิดหวังจาง ๆ ในน้ำเสียง

“มะ…มิใช่นะเจ้าคะ!” 

“!?!” คุณชายตงฟางชะงักเล็กน้อย เงยหน้ามองซิ่วอิงด้วยความแปลกใจ

“คุณชายเป็นคนที่ข้านับถือมากเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงกล่าวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผ่อนเสียงลงอย่างจริงใจ “ข้าไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดให้สมกับบุญคุณที่ท่านมีต่อตัวข้า หากจะเปรียบท่านเป็นฟ้าบนสรวงสวรรค์ ข้าก็กลัวจะเป็นการลบหลู่ฟ้า หากจะเปรียบท่านเป็นเซียนก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจเทียบเคียงได้...ท่านช่วยข้ามาหลายครั้งหลายครา ท่านมิหนำซ้ำยังนำโอสถมอบให้ข้า ช่วยทำแผลให้ด้วยตนเองโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ท่านมิได้เอ่ยอวดว่าตนมีคุณธรรม ท่านมิได้อ้างว่าตนเคยช่วยข้า ท่านเพียงเงียบงัน ท่านคือผู้มีคุณธรรม เปี่ยมเมตตา…”

ซิ่วอิงก้มหน้าลงเล็กน้อยเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง

“ข้าอยากเป็นสหายของคุณชายมาตลอดเจ้าค่ะ...แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งที่ข้าคิดเพียงฝ่ายเดียว ข้าไม่กล้าคิดว่าท่านจะเห็นข้าเป็นสหายได้เช่นกัน…”

คุณชายตงฟางมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาแปลกใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียงหัวเราะที่ไม่ได้เย้ยหยัน หากแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

“เจ้าก็กล่าวเกินไป ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา หาใช่เทพเซียนที่ไหน...เหตุใดเราจะเป็นสหายกันมิได้เล่า?”

“จริงหรือเจ้าคะ!?” ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นดวงตาเป็นประกายสดใสราวเด็กน้อย หากนางมีหางจริง ๆ บางทีตอนนี้หางนั้นคงกำลังกระดิกอย่างร่าเริง

คุณชายตงฟางไม่ได้ตอบ เพียงยิ้มบางบนใบหน้า และพยักหน้าเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอฉลองให้กับมิตรภาพของเราเจ้าค่ะ!” ซิ่วอิงคว้าไหสุราซีเฟิ่งออกจากห่อผ้าด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งหยิบถ้วยดินเผาออกมาคู่กัน มิหนำซ้ำยังมีไก่ขอทานที่ตั้งใจเตรียมมาฝากคุณชายอีกด้วย  

“ได้สิ” 

คุณชายตงฟางมองสิ่งที่แม่นางหรงผู้นี้จัดแจงไว้ตรงหน้า สีหน้าของเขานิ่งแต่ในแววตากลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ชัดเจน พลางนั่งลงบนพื้นลานกระบี่อย่างเงียบขรึมในแบบของเขา ซิ่วอิงรินสุราให้ถ้วยของเขาก่อน แล้วจึงรินให้ของตน

“ขอให้มิตรภาพของเรายั่งยืนตราบนิจนิรันดร์” ซิ่วอิงยกจอกสุราขึ้น

“ตราบนิจนิรันดร์” คุณชายตงฟางรับคำสั้น ๆ ก่อนยกจิบ

รสสุราแตะปลายลิ้นทั้งนุ่มนวลและแฝงความร้อนผ่าว เหมือนกับความรู้สึกที่คล้ายจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยระหว่างพวกเขา บรรยากาศโดยรอบพลันเงียบลง เหลือเพียงเสียงสายลมและเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ดังสลับกันเป็นระยะบนลานกระบี่เหินมรรคาแห่งนี้



ปลดล็อกหัวใจตงฟาง ซั่ว

[NPC-07] มอบไก่ขอทาน และ สุราซีเฟิ่ง ให้ ตงฟาง ซั่ว
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
+25 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดทอง + สุราเกรดทอง (+15)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
หัวบ้า โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+10

เชิดชูยกย่อง [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว ใช้ค่าคุณธรรม 1,000 หน่วย
ทุก ๆ 1000 ค่าคุณธรรม = 25 ความโปรดปรานต่อ NPC คนนั้น

@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ --1000 คุณธรรม โพสต์ 2025-5-15 18:43
หัวใจตันโพสนี้จึงไม่ได้ค่ามิตรภาพ   โพสต์ 2025-5-15 18:13
โพสต์ 19038 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-5-15 17:20
โพสต์ 19,038 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +8 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-5-15 17:20
โพสต์ 19,038 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-5-15 17:20
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x1
x60
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-5-29 00:32:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-5-30 22:29






วันที่ 28 ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่ 11
เวลา 16.00 น.


หลังผ่านเหตุการณ์มากมาย ณ เขาหัวซาน ครั้นว่างเว้นจากการฝึกซ้อมในค่ายพยัคฆ์ ซิ่วอิงจึงถือโอกาสเดินทางขึ้นเขาอีกครั้ง ครานี้มิใช่เพื่อการตามหาพลังงานประหลาดใด แต่เพื่อเยี่ยมเยือนสหายนักปราชญ์หนุ่มผู้สงบเย็นที่นางนับถือยิ่ง

ซิ่วอิงมาถึงลานกระบี่ มือหนึ่งถือห่อผ้าที่เตรียมมาด้วยใจ นางเดินมาด้วยกิริยาสงบนิ่ง แม้จะเหนื่อยจากการปีนเขา แต่แววตายังคงเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ สองเท้าหยุดลงเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสหายกำลังนั่งอย่างสงบอยู่กลางลาน


นางยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ามารบกวนหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่หรอก ข้าทำสมาธิเสร็จได้สักพักแล้ว” เขาลืมตาขึ้นหันมาทางนาง

“ถ้าเช่นนั้นมาร่วมดื่มกับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ รอบนี้มิใช่สุราหากแต่เป็นชาหวงซานเหมาเฟิง และข้าก็เตรียมโค่วโร่วมาด้วยเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยิ้มพร้อมยกห่อผ้าให้เขาดู

“ได้สิ” คุณชายตงฟางพยักหน้า

ทั้งสองนั่งลง ลานกระบี่แห่งนี้จึงกลายเป็นดั่งหอชาในฉับพลัน กลิ่นชาอบอวลไปตามสายลม ซิ่วอิงจัดเรียงสำรับอย่างประณีต ขณะที่คุณชายตงฟางนั่งมองอย่างเงียบงัน ครั้นได้เวลาอันสมควร เขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้ม

“กลับค่ายแล้วเป็นเช่นไรบ้าง โดนทำโทษหรือไม่?”

“มิโดนหรอกเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าต้าซือถูจะไปพูดคุยกับต้าซือหม่าช่วยข้าไว้”

“งั้นหรือ?” เขารับคำเบา ๆ

“แต่มันก็น่าแปลก เหตุใดขุนนางชั้นผู้ใหญ่เช่นนั้นถึงช่วยข้า” นางเอ่ยพลางเทชาลงถ้วย

“ก็ดีแล้วมิใช่หรือ?” คุณชายตงฟางยิ้มบาง ๆ 

“มันก็ดีนะเจ้าคะ แต่ข้าก็อดสงสัยมิได้ว่าต้าซือถูผู้นั้นรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าไปที่เขาหัวซาน”

“เจ้าได้พบเขาหรือ?” คุณชายตงฟางทำหน้าสงสัย

“มิได้พบเจ้าค่ะ ต้าซือหม่าเพียงเล่าให้ข้าฟัง” นางตอบตามตรง

คุณชายตงฟางไม่ได้ตอบในทันที เพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบ แววตาไหววูบเล็กน้อยราวเก็บบางสิ่งไว้ไม่ให้หลุดออกมา

“แล้วเจ้าคิดว่าต้าซือถูผู้นั้นเป็นเช่นไรเล่า?”

“ข้าคิดว่าน่าจะเป็นตาเฒ่าพุงพลุ้ยที่เล่ห์เหลี่ยมเยอะหรือไม่เจ้าคะ? ตำแหน่งเช่นนั้นน่าจะเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามากแล้ว” นางพูดไปพลางทำท่าทีเหมือนคิดวิเคราะห์ไปด้วย ตามลักษณะที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ควรจะเป็น

คุณชายตงฟางถึงกับสำลักชาเล็กน้อย รีบเบือนหน้ากลั้นหัวเราะ จนถึงบัดนี้ก็ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะมิได้ระแคะระคายว่าสหายที่นางกำลังนั่งสนทนาพาทีอยู่ด้วยคือต้าซือถูแห่งราชสำนักฮั่น แต่เขาก็คิดว่ายังมิใช่เวลาที่จะบอกนางจึงเลือกที่จะเก็บไว้ต่ออีกสักหน่อย

“ขำอะไรหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงหันขวับ

“แค่นึกเรื่องตลกขึ้นมาได้ เจ้าอย่าใส่ใจ”

นางมิได้ซักต่อ แค่ยิ้มบาง ๆ แล้วถอนหายใจเบา ๆ

“แต่ถึงจะไม่โดนทำโทษก็เหมือนโดนอยู่ดี…”

“ทำไมหรือ?” คุณชายตงฟางหันมามอง

“ต้าซือหม่าให้ข้าไปร่วมทัพหน้าปราบปีศาจที่ฉีเหลียงซานเจ้าค่ะ”

คุณชายตงฟางหุบยิ้มทันที ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อย เขาได้ยินเรื่องนี้ในการประชุมที่ท้องพระโรงมาแล้ว เพียงแต่มิคิดว่าผู้ที่ต้องไปร่วมทัพจะเป็นนาง แม้จะแปลกใจแต่ก็ยังเลือกทำท่าทีสุขุมอยู่ 

“ไปเมื่อใด?”

“ยังไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ข้าลงชื่อแล้ว…ข้าก็ไม่เคยออกศึกจริง ๆ แม้จะฝึกยุทธ์มาแต่อย่างไรก็ยังตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย”

“เจ้าอย่าได้ห่วงขุนชนะชัยเป็นผู้มีฝีมือ จะต้องนำชัยกลับมาได้แน่”

“แล้วท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าจะไปกับขุนชนะชัยเจ้าคะ?” ซิ่วอิงสงสัย

“ก็…ข้าได้ยินชาวบ้านเขาลือกัน…” คุณชายตงฟางกระแอมเบา ๆ แล้วรีบแก้ตัว

“ข่าวไปไวเสียจริง” ซิ่วอิงไม่แม้แต่จะสงสัยใด ๆ

“ไปครานี้คงนานร่วมเดือน ข้าคงมิได้มาพบคุณชายอีกนานเลยเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงเอ่ยเสียงแผ่ว

“เช่นนั้นการนั่งสมาธิของข้าก็คงจะสงบมิน้อย”

“คุณชาย!” ซิ่วอิงขึ้นเสียงเล็กน้อย พองแก้มงอนนิด ๆ เหมือนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่ก็ไม่ถึงกับโกรธ

เขาหัวเราะในลำคอ แต่ก็ไม่พูดต่อ ถึงแม่นางผู้นี้จะวุ่นวายจนน่าเวียนหัว แต่พอคิดว่าอีกหลายวันจะไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วเช่นนี้อีก ลานกระบี่ที่เงียบอยู่แล้ว ก็ดูจะเงียบลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก…




[NPC-07] มอบโค่วโร่ว และ ชาหวงซานเหมาเฟิง ให้ ตงฟาง ซั่ว
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
+20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง + ชา/สุราเกรดม่วง (+10) 
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15



@Admin 





แสดงความคิดเห็น

ตงฟางซั่วพร้อมปลดแล้ว แต่ถ้าหากปลดตอนนี้ คุณอาจจะโดนทำโทษวินัยทหาร ไปร่วมเดินทัพไม่ทัน-----  โพสต์ 2025-5-29 02:25
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-07] ตงฟาง ซั่ว เพิ่มขึ้น 40 โพสต์ 2025-5-29 02:24
โพสต์ 18467 ไบต์และได้รับ 9 EXP!  โพสต์ 2025-5-29 00:32
โพสต์ 18,467 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +8 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-5-29 00:32
โพสต์ 18,467 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-5-29 00:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x12
x1
x60
x44
x50
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x96
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-7-20 01:05:48 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-20 01:07


วันที่ 18 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ นอกฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่เหินมรรคา


แสงแดดยามเฉินทอดผ่านม่านเมฆบางเหนือยอดเขาหัวซาน กลีบดอกเหมยสีชมพูขาวโปรยปรายตามแรงลมตะวันออกเฉียงเหนือ เสียงสายลมที่โหมพัดเฉียดไหล่เขาแว่วผ่านดั่งเสียงกระบี่ตวัดตัดผ่านอากาศสะท้อนความว่างเปล่าที่สงบเสงี่ยมแต่แฝงไว้ด้วยพลังดุจเดียวกับสถานที่แห่งนี้ หลินหยายืนอยู่หน้าลานหินอ่อนวงกลมที่เรียบเนียนราวถูกขัดด้วยดวงจันทร์เอง นางสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนธรรมดาไม่มีอาภรณ์หรูหราไม่มีอาวุธใดในมือ มีเพียงกระเป๋าเจ็ดสมบัติสะพายไว้ข้างหลังและผ้าคลุมไหล่กันลมผืนบาง เธอเงยหน้ามอง “ประตูแห่งการลืมเลือน” ประตูหินทรงโค้งสูงประดับลวดลายกลีบกล้วยไม้ กับตัวอักษรจีนโบราณที่แทบจะลบเลือนจากกาลเวลาแต่ยังคงเปล่งประกายไร้ผู้ใดแตะต้องได้


ลานกระบี่เหินมรรคาว่างเปล่า มีเพียงเรือนตรวจการเก่าแก่ด้านหนึ่งที่ไร้ผู้เฝ้า ราวกับที่แห่งนี้เป็นดินแดนลืมเลือนที่แม้เทพเจ้าก็ไม่อาจจารึกชื่อไว้ในผืนแผ่นดิน "ก็เขาว่าที่นี่เป็นดินแดนแห่งการลืมทุกข์สินะ..." เสียงหลินหยาพึมพำแผ่วเบาดวงตาคู่นั้นทอดมองไปยังขอบฟ้าที่เบื้องล่างคือไอหมอกและแสงอรุณ นางยืนอยู่เฉย ๆ ชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว มือหนึ่งยกขึ้นดึงสายกระเป๋าลงวางไว้บนหินริมขอบลาน จากนั้นจึงถอดผ้าคลุมไหล่ออก ก้าวเข้าสู่กลางลานกระบี่เงียบ ๆ ก้มลงนั่งขัดสมาธิ ดวงตาหลับลงช้า ๆ


ลมหายใจแรกเข้าเต็มปอดกลิ่นหินเย็น กลิ่นเหมยป่า กลิ่นฟ้าหลังฝน

ลมหายใจที่สองหัวใจยังคงวุ่นวาย

ลมหายใจที่สาม...นางพยายามปล่อยให้ความคิดไหลผ่านดั่งสายลม แต่...


“เอ่อ… หรือข้าควรจะเริ่มจากปล่อยจิตก่อนนะ?” หลินหยาขมวดคิ้วในใจเบา ๆ “ไม่เอาน่า หลินหยาเจ้าทำได้ ถ้าพวกเซียนกระบี่นทำได้เจ้าก็ทำได้สิ!” นางปลอบใจตนเองในใจพลางข่มไม่ให้เปิดเปลือกตาขึ้นแต่กระนั้น…ภาพในห้วงสำนึกกลับแว่วเสียงใครบางคนขึ้นมาแทน


เสียงหัวเราะหยันเบา ๆ ของจางกงกงที่เคยทำให้นางสั่นสะท้าน แวบมาไม่รู้ตัว ภาพรอยยิ้มอ่อนโยนของเสี่ยวจ้าวจื่อที่คอยประคองมือเธอไว้เงียบ ๆ ก็แทรกเข้ามา และแม้กระทั่งใบหน้าเย็นชาของหลิวอันตอนพูดว่า “อย่าอ่อนแอ” ก็กระทบจิตอย่างเงียบงัน หลินหยาเผลอกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ ใช่สิ ยังจะฝึกตบะอะไรอีกล่ะตัวนางน่ะใจวอกแวกยิ่งกว่าแม่น้ำโขงเสียอีกแต่เพราะแบบนั้นนางถึงต้องมา นางไม่ได้ต้องการเป็นเซียนกระบี่นางแค่อยากแข็งแกร่งมากพอ... มากพอจะไม่ต้องหวาดกลัวใครอีกไม่ต้องกลั้นใจฝืนยิ้มเพื่อผ่านวันต่อวันอย่างในอดีต มากพอจะเลือกเองได้ว่าวันนี้จะร้องไห้หรือจะหัวเราะออกมาจากใจจริง


“เจ้าไม่มีดาบในมือ แต่เจ้ามีสิ่งที่หนักกว่า...” เสียงของใครบางคนแว่วขึ้นในความเงียบอาจจะเป็นเพียงลมหรือเป็นแค่จินตนาการแต่มันชัดยิ่งกว่าสิ่งใด 


หลินหยาเงียบลง…ปล่อยลมหายใจครั้งใหม่อย่างมั่นคง ปราณแห่งตนเริ่มเคลื่อนไหวแม้ไม่ใช่ปราณกระบี่ชัดเจนดังผู้ฝึกจริงจัง แต่คล้ายมีสายใยอุ่นบาง ๆ แผ่จากจุดตันเถียนกลางหน้าท้องกระจายแทรกไปทั่วร่างกายทีละชั้นอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลใจเธอเริ่มนิ่งขึ้นทีละนิด และเมื่อเธอเริ่มหลอมรวมจิตเข้ากับธรรมชาติ รอบข้างเงียบลง แม้แต่เสียงของลม…ก็กลายเป็นเพียงบทเพลงอำไพ ณ ลานกระบี่เหินมรรคา หลินหยาผู้ไม่ใช่เซียน ไม่ใช่ยอดฝีมือ ไม่ใช่นางยุทธ์ผู้โด่งดัง…ได้เริ่มก้าวแรกของการฝึกฝน “หัวใจ” ของตนเองอย่างเงียบงัน


ปราณแห่งตนที่กำลังไหลเวียนเนิบช้าอย่างมั่นคงในร่างหลินหยาพลันสะดุด…ดั่งคลื่นน้ำที่ถูกขว้างด้วยหิน ความสงบนิ่งที่เพิ่งบรรจบแทบจะพังครืนลงทั้งระบบ ดวงตาที่หลับพริ้มอย่างสงบในลานกระบี่เหินมรรคาถึงกับกระตุกคิ้ว ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนที่พวงแก้มขาวนวลจะขึ้นสีชมพูอ่อนจางๆ... แล้วแดงจัดอย่างควบคุมไม่ได้


“จุมพิต…เหรอ…” เสียงในหัวของตัวเองแว่วขึ้นอีกทีอย่างเย็นเยียบแต่ร้อนรุ่ม “ถ้าค่ามัดจำจะร้อนแรงขนาดนี้…ข้าคงต้องเร่งทำภารกิจให้เสร็จไว ๆ แล้วกลับมาเก็บ ‘รางวัลที่เหลือ’ ให้ทันที…เสี่ยวหยา”


ตึง———!


สติหลุดดิ่งลงเหวทันทียอดเขาหัวซานหายกลายเป็นเปลวไฟในนรกแห่งความเขินอาย หลินหยาที่นั่งขัดสมาธิอยู่กะพริบตาปริบ ๆ พยายามกลั้นความรู้สึกระเบิดใจที่เดือดปุด ๆ อยู่ข้างใน แต่สุดท้ายก็… “อ๊าคคคคคค!! ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เอา!! ใจเย็น ๆ สิเว้ยหลินหยา!!” นางสะบัดหัวเองแรง ๆ อย่างสิ้นหวัง มือยกขึ้นปิดหน้า ปิดหู ปิดใจ! แต่ทุกอย่างมันไม่ช่วยเลย!


ทำไมอยู่ดี ๆ ต้องนึกถึงเสียงต่ำ ๆ ที่เจ้าขันทีสวมหน้ากากกระซิบที่ข้างหูด้วย! ทำไมต้องเป็นจังหวะที่ลมหอบหอมเฉียดลำคอพอดี!? แล้วทำไมสีหน้าตอนนั้นของเขามันถึงได้... ได้ “ไม่ ไม่ ไม่! ข้าจูบเขาเพราะเอาคืนนะ! ข้าทำเพราะประชด! ไม่ใช่เพราะ...อ๊าคคคคคค!” แต่ใบหน้าของหลินหยากลับแดงขึ้นทุกที หัวใจที่ควรปล่อยว่างกลับเต้นดังราวกับจะทะลุออกมาจากอก ฝ่ามือเริ่มเย็นเหงื่อมือไม้นางเริ่มสั่นกับตัวเองทั้งที่ไม่มีอะไรสั่นอยู่เลยในโลกจริง 


“บ้าจริง! แล้วนี่ข้าจะฝึกตบะยังไงต่อได้ล่ะหา!?” นางโอดครวญในใจพร้อมกับซบหน้าลงกับเข่า ท่ามกลางลานกระบี่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ากันว่าเป็นสถานที่ลืมทุกข์แต่ในใจของหลินหยาเวลานี้กลับเต็มไปด้วยขุนเขาแห่งความเขินจนแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ใส่อะไรอีกแล้ว…


สงบที่ไหนกันเล่า…บัดซบเอ๊ย


ลมหายใจเข้าลึก… กลิ่นหินชื้นสะอาดของยอดเขาหัวซานแผ่ซ่านเข้าสู่โพรงจมูกหลินหยาอย่างอ่อนโยน ดวงตาที่แดงระเรื่อเพราะความว้าวุ่นเมื่อครู่หลับพริ้มลงอีกครา ฝ่ามือวางลงบนตักนั่งสมาธิอย่างเรียบง่ายริมลานกระบี่เหินมรรคา ท่ามกลางหมอกจางของยามเช้าและเสียงลมพัดแผ่วเบา นางสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ อย่างที่เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่สอน... "ดั่งดอกไม้บาน" ใช่แล้ว... ใจต้องอ่อนโยนเหมือนดอกไม้ ไม่ใช่...ไม่ใช่ลั่นทมแห้ง ๆ แบบที่เจ้าขันทีหน้ากลัวนั่นทำให้นึกถึง แต่ต้องเป็นดอกเหมยในสวนของบ้านตอนหน้าหนาว ดอกที่แม้จะโดนหิมะทับยังบานได้ ไม่ใช่เพราะมันดื้อ แต่มันรู้ว่าจะบานเมื่อไรอย่างสง่างาม


ลมหายใจออกช้า ๆ … "ดั่งภูผาใหญ่กว้าง" หลินหยาพยายามให้จิตใจหนักแน่นราวเขาลูกใหญ่ ไม่ไหวเอนเพียงเพราะเสียงกระซิบกระซาบน่าหยิกแบบนั้น


สูดลมหายใจเข้า… "ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น" นางจินตนาการถึงลำธารสายเล็ก ๆ จากเมืองหนานไห่ที่บ้านเก่าของตน เสียงน้ำไหลใสสะอาดเย็นจับใจ ท่ามกลางพุ่มไม้ กลิ่นดินอ่อน ๆ กับหญ้าเขียวชื้นที่ไม่เคยจางหายจากความทรงจำของเด็กหญิงที่วิ่งเปลือยเท้าเล่นในท้องทุ่ง


ลมหายใจออกอีกครา… "ดั่งนภาอากาศอันบางเบา" นางยอมปล่อยให้ทุกสิ่งลอยละลิ่วไปกับลมหายใจนั้น ความรู้สึกวาบหวามปั่นป่วนเมื่อครู่ค่อย ๆ จางลง กลายเป็นเพียงเงาเลือนในม่านเมฆของจิตใจ


นั่งอยู่นานหลินหยาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกระแสปราณอันบางเบาที่เคลื่อนไหวภายในร่าง มันไม่อึกทึก ไม่พลุ่งพล่าน แต่มาอย่างแผ่วเบา ราวกับกิ่งหลิวต้องลม ใจเริ่มสงบลงอย่างแท้จริง คราวนี้ไม่มีขันทีบ้าหื่นหน้ากากใดมาวนเวียนในหัวอีกอย่างน้อยก็ในช่วงครู่หนึ่ง “อือ…ดีขึ้นแล้ว” เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่สั่นไหวกลับมีความมั่นคงมากขึ้น ปราณภายในค่อย ๆ สะท้อนในนัยน์ตาเป็นประกายอ่อนจางแม้ใจของนางจะยังไม่แกร่งเทียมดาบ แต่มันก็เริ่มเฉียบคมและสงบนิ่งขึ้นเพียงพอที่จะเริ่มการฝึกอย่างแท้จริงเสียที


ก็ถ้าไม่เผลอคิดถึงเสียงหัวเราะต่ำ ๆ กับคำเรียก ‘เสี่ยวหยา’ อีกละก็นะ…........



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาฝึกตบะเพราะตีมอนไม่ได้ ฮือ ๆ


รางวัล: 

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 30000 = 150 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน


สรุปรางวัลที่ได้ : 150 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 37799 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 01:05
โพสต์ 37,799 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-20 01:05
โพสต์ 37,799 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-20 01:05
โพสต์ 37,799 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-20 01:05
โพสต์ 37,799 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-20 01:05

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +150 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-20 15:20:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-20 15:43


วันที่ 19 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ นอกฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่เหินมรรคา


ยอดเขาหัวซานในยามเช้าเงียบสงบท้องฟ้าเบื้องบนยังมีหมอกบางลอยเคล้ากับแสงแดดอ่อนกลั่นแสงสว่างผ่านม่านเมฆให้กระทบพื้นหินขัดของ ลานกระบี่เหินมรรคา ดูคล้ายกระจกใสบานใหญ่ที่สะท้อนภาพฟ้ากับเขาเข้าด้วยกันจนแยกไม่ออก หลินหยาเหยียบปลายเท้าลงอย่างแผ่วเบาแต่หนักแน่น ก้าวหนึ่งต่อจากอีกก้าวราวมีเส้นพลังในใจที่พาให้เธอกลับมาสู่จุดเดิมทุกเช้า ราวกับการกลับมาสารภาพต่อท้องฟ้าว่าความตั้งใจของนางนั้นยังไม่สั่นคลอน ต้นแขนซ้ายของหลินหยายังมีริ้วรอยของแผลเก่าจากกระบี่ของใต้เท้าเถียนเฟิง แม้มิได้ลึกนักแต่ก็บาดพอจะเตือนใจว่าแม้ร่างกายจะรักษา แต่จิตใจที่เต็มไปด้วยความค้างคา...กลับยากจะเยียวยาเช่นเดียวกัน หลินหยาเงยหน้ามองประตูแห่งการลืมเลือนที่ตั้งตระหง่านตรงขอบลานกระบี่ เงาระเบียบศิลาสลักโบราณทอดเงาแนบพื้นหินเย็นเฉียบ ลายเส้นของมรรคาถักทอเป็นวงกลมราวกับเชิญชวนให้เธอก้าวเข้าสู่ใจกลางตนเองอีกครา


"ข้าจะไม่ใช่เซียนกระบี่ก็ช่าง..." นางพึมพำกับตนเองเบา ๆ สายลมหยอกเส้นผมยาวดำขลับของนางให้โบกเบา "แต่ข้าจะเป็นข้า...ที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อวาน" นางทรุดกายนั่งกลางลาน กระชับผ้าคลุมบางให้แน่น ลมหายใจเริ่มผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ลานกระบี่เหินมรรคา เงียบสงัดไร้ผู้คน วันนี้ไม่มีใคร...มีเพียงเธอเท่านั้น


ความวุ่นวายจากเมืองหลวง...เสียงขู่คำรามของขันทีผู้คล้ายยิ้มละไมแต่กริบคม...ภาพเงาขององค์เทพใต้เงาจันทร์...และแววตาสั่นไหวของเพื่อนใหม่ที่ยื่นอาหารให้จากใจแท้...ทุกภาพสลับเวียนเข้ามาในหัวเหมือนเกลียวน้ำวน หลินหยาหลับตาลงแน่น หอบลมหายใจเข้ายาวและช้า "ดั่งดอกไม้บาน...ภูผาใหญ่กว้าง...ดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ดั่งนภาอากาศอันบางเบา..." นางรำลึกบทคำแห่งจิตเบิกบานที่ได้ยินมาจากพวกนักพรต บังคับให้เสียงในหัวเริ่มสงบ แม้ใจจะยังไม่นิ่งสนิทแต่เธอก็กำลังฝึกที่จะนิ่ง ความอึดอัดในอกค่อย ๆ คลี่คลายลงทีละชั้น แม้จะยังเหลือสิ่งที่ไม่สามารถกลืนลงไปได้แต่หลินหยาก็ไม่เร่งร้อน นางเรียนรู้ว่าการบำเพ็ญตบะมิใช่เพื่อขจัดความรู้สึกออกไปให้สิ้น...หากแต่เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน โดยไม่ให้มันกลืนกินตน


ขอบฟ้าเริ่มเปิดสายลมพัดไล่หมอกให้บางลง แสงแดดยามเฉินพาดผ่านเรือนตรวจการเก่าแก่ บนพื้นหินกลางลาน...ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เปลือกตาหลับสนิทลมหายใจคงที่ ปลายนิ้วแตะพื้นอย่างนิ่งสงบ แม้นนางไม่ใช่ผู้มีปราณกระบี่หากแต่หัวใจของนางก็ถือดาบทิพย์ไร้รูป ที่หั่นแบ่งอดีต ความลังเล และความหวาดกลัว ออกจากกันอย่างเงียบงัน


แต่จะให้ใจสงบอยู่กับคำว่า ‘ดั่งนภาอากาศอันบางเบา’ ไปได้นานสักเท่าไรเล่า ในเมื่อความทรงจำอันน่าเจ็บกระเส่ากับใบหน้าบัดสีของบุรุษหน้าด้านคนนั้นยังตามมาหลอกหลอนแม้กระทั่งในท่ามกลางความสงบเงียบแห่ง ลานกระบี่เหินมรรคา นางหลับตาเพ่งจิตไว้ในใจกลางลมหายใจตนอยู่ครู่หนึ่งก็พลันรู้สึกเหมือนบางสิ่งลอยวาบขึ้นมาในสมอง


‘เจ้าจะไม่ดมก็ได้...แต่ถ้าอยากพิสูจน์จริง ๆ...ก็ต้องชิมต่างหาก’


หลินหยาเบิกตากว้างทันที!


"ฮึ่ย!!!" นางกัดฟันสะบัดหน้าแรง ๆ หนึ่งทีจนเส้นผมปลิวปรู๊ดเหมือนจะไล่วิญญาณขี้ล้อจากสมองไปให้พ้น ทั้งที่อากาศบนยอดเขายามเช้านั้นแสนจะบริสุทธิ์และเงียบสงบ แต่หัวใจของนางกลับรู้สึกร้อนผ่าวเหมือนมีคบไฟจุดอยู่ในอก


‘ริมฝีปากข้า’


อ๊าคคค!! ตาบ้า! เจ้าขันทีบ้า!! กล้าดียังไงถึงพูดจาแบบนั้นกับข้า! หลินหยาแทบลุกขึ้นมาเดินย่ำเท้าอย่างเด็กงอแงถ้าไม่ติดว่ายังอยู่กลางลานศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วไปเขามานั่งฝึกฝนตบะกัน! ใบหน้าขาวของนางเริ่มเปลี่ยนสีจากชมพูระเรื่อกลายเป็นแดงเข้ม ลามไปถึงใบหูข้างหนึ่งที่ชัดเจนว่านางกำลังคิดมาก "...แต่ข้าจูบคอเขาเองนี่หว่า..." นางพึมพำเบา ๆ แล้วเอาผ่ามือกุมหน้า จิตใจของหลินหยาในตอนนี้คือสนามรบระหว่างความต้องการสงบเยี่ยงเซียน กับภาพลางของขันทีโรคจิตที่ชอบพูดอะไรลามกแบบนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้นางไล่ตีเขาในใจไปเอง น้ำเสียงของเขาก้องขึ้นมาในหัวเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้แล้ว ยิ่งคิด ยิ่งหน้าร้อน ยิ่งอับอาย ยิ่งไม่สามารถกลับเข้าสมาธิได้เลยแม้แต่เค่อเดียว


“ไม่เอาแล้ว!! ข้าจะลงจากเขา!!” นางเกือบจะพูดออกมาดัง ๆ ถ้าไม่ติดว่ายังพอมีสติกลั้นไว้ได้ ยิ่งฝืนสมาธิเท่าไรยิ่งรู้ว่าจิตใจตนเองกำลังหลุดไปทุกที หลินหยาถอนหายใจแรงเฮือกใหญ่แบบคนหมดแรง ก้มหน้าก้มตานั่งทบทวนชีวิตตัวเองกลางลานกระบี่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ฝึกได้อะไรสักอย่าง รู้ตัวอีกที...เจ้าขันทีบ้านั่นก็ยึดพื้นที่ในหัวของนางไปหมดแล้ว


นางควรจะมีสมาธิ...ควรจะบำเพ็ญตบะ...ควรจะ


‘ริมฝีปากข้า...’


โอ๊ยยยย!! พอแล้ว


และแล้วก็เป็นอีกครั้งที่ความพยายามนั่งนิ่งฝึกจิตใต้หุบฟ้า ณ ลานกระบี่เหินมรรคา ของหนาน หลินหยา ต้องสั่นสะเทือนจนแทบจะระเบิดตู้มออกจากกลางยอดเขา! แม่นางน้อยผู้นี้นั่งหลังตรงสวยท่ามกลางลมเย็นยามเช้า เส้นผมปลิวเบา ๆ ตามแรงลม สายตาหลับลงอย่างผู้สงบ แต่หากได้สังเกตดี ๆ จะพบว่าหางคิ้วของนางกระตุกน้อย ๆ ทุกคราเมื่อความสงบเริ่มมาเยือน แต่...ยังไม่ทันถึงครึ่งเค่อดี…


‘แล้วทำไมหน้าเจ้าตึงนักล่ะ แม่นางไม่หึงทั้งที่คนอื่นเขาลูบแขนข้า ลากข้าไปกินเหล้ารำสุรา เอียงตัวกระซิบคำหวานข้างหูไม่หยุด?’


ปัง! เหมือนมีเสียงสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม!


ใบหน้าขาวสะอาดที่แดงระเรื่ออยู่แล้วพลันเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาดเหมือนลูกท้อสุกจัด หลินหยาถลึงตาเบิกโพลง ก่อนจะกำมือแน่นสะบัดหน้ารัว ๆ เหมือนจะไล่ฝันร้ายออกจากหัว “ฮึ่ยยยย!! ไปให้พ้น! พวกเจ้าไปไกล ๆ เลยนะ!!” เสียงกรีดร้องอยู่ในหัวเท่านั้นแต่นางกัดฟันกรอดพยายามกลั้นไว้ไม่ให้มันหลุดออกมาจากปากอย่างบ้าคลั่ง


เอียงตัวกระซิบคำหวานข้างหูไม่หยุด...?


เธอเผลอนึกภาพสตรีชุดบางที่ตัวหอม ๆ ลูบไล้ต้นแขนของคนผู้นั้นแล้วใช้ปลายนิ้วจิ้มอกเขาเบา ๆ ขณะกระซิบอะไรบางอย่างเข้าไปใกล้จนลมหายใจรินรดแก้ม… “อ๊าาาาาาาาา!!” หลินหยาคว้าหัวตัวเองไว้แทบจะกลิ้งไปบนลานกระบี่! "เป็นขันทีแท้ ๆ!! ทำไมถึง...ทำไมถึงมีคนเอียงตัวกระซิบด้วย! แล้วทำไมข้าต้องคิดภาพแบบนั้นด้วย! ข้าไม่ได้อยากรู้!! ข้าไม่ได้หึง!!" ใช่สิ ข้าไม่ได้หึง ข้าแค่...แค่ไม่พอใจเล็กน้อยนิดเดียวเอง! ใครจะไปชอบขันทีพูดจาลามกคนหนึ่งได้! ใครกันเล่า...ใครกันจะหลงไปชอบคนที่ชอบกวนประสาทคนอื่นแบบนั้นกัน! ไม่ใช่ข้าแน่ ๆ!


‘...แต่ทำไมหน้าเจ้าตึงนักล่ะ...’


“ตึงบ้านเจ้าสิ!” เธอเผลอสบถออกเสียงเบา ๆ จนแม้แต่นกที่เกาะกิ่งไม้ใกล้ ๆ ยังสะดุ้งบินหนี หลินหยาฟาดผ้าคลุมด้านหลังเบา ๆ แล้วนั่งนิ่งกัดฟันกรอด ไม่ได้ฝึกสมาธิ ไม่ได้บำเพ็ญอะไรแล้วตอนนี้ มีแต่ มโนภาพ กับ เสียงลมหายใจจาง ๆ ของคนที่ไม่ควรจะยึดหัวใจของนางได้แม้แต่นิดเดียว แต่กลับฝังรากอยู่กลางอกเหมือนหนามตำแล้วดึงไม่ออกเสียอย่างนั้น สุดท้ายก็ได้แต่ซุกหน้าลงกับเข่า กอดเข่าตัวเองอย่างคนหมดแรงจะเถียงกับสมอง "...ไอ้บ้าเอ๊ย..." นางพึมพำเสียงเบา ติดจะอู้อี้


ลมบนยอดเขาหัวซานยังคงพัดเอื่อยเนิบ ดอกหญ้ารอบขอบผายังคงไหวเอนตอบรับกับแรงธรรมชาติ แสงอาทิตย์ยามสายส่องลอดผ่านกลุ่มเมฆบางเบา ชะโลมแสงลงบน ลานกระบี่เหินมรรคา อย่างแผ่วเบาและศักดิ์สิทธิ์ หลินหยาผละใบหน้าออกจากเข่า รวบผมที่ปลิวให้แน่นอีกครั้งก่อนจะนั่งหลังตรงอย่างจริงจัง ดวงตาคู่นั้นยังแฝงแววเอาเรื่อง ราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านในสมองย่ำยีสติของตนอีกต่อไป


ใช่ วันนี้ไม่ใช่วันสำหรับการวอกแวก วันนี้...ต้องรู้ให้ได้ว่าท่านจางทังเป็นตายร้ายดีอย่างไร!


"เจ้าขันทีบ้า...หากเจ้ากล้าทำอะไรเพื่อนข้าแม้แต่นิดเดียวนะ..." เสียงแผ่วเบากระซิบลอดไรฟันขณะที่นางหลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจเริ่มรินรดออกอย่างสม่ำเสมอ เธอเคยเป็นเด็กสาวที่เกลียดการถูกควบคุม และเกลียดที่สุดคือความเงียบอันอึดอัดภายในวังหลวง แต่ตอนนี้แม้จิตจะว้าวุ่น ความทรงจำจะรุมเร้า แต่เพราะมีเป้าหมายชัดเจนความสงบก็เริ่มก่อร่างขึ้นอย่างเงียบงัน “จางทัง...ถิงเว่ยคนนั้นหายไปเพราะข้าและเขา? เพราะตัวข้าเอง และตอนนี้ข้าให้อสรพิษกลับกลอกอย่างจางกงกงไปให้ช่วยตามหาเพราะเขาเป็นคนเริ่มทุกอย่าง? เขาบอกจะช่วยข้า...แต่ข้าไม่ไว้ใจเขาได้เลย ข้าไม่รู้ว่าเขาแค่เล่นสนุกหรือเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง”


ลมหายใจเข้าลมหายใจออก หลินหยาเอ่ยภาวนาในใจตามที่ได้ยินจากนักพรตในตลาดเมื่อหลายวันก่อน ใจดั่งสายน้ำ ไม่เร่งไม่ช้า ไม่ขุ่นไม่ใส แต่ไหลไปตามมรรคา เส้นผมปลิวเบา ๆ ใบหน้าแดงจัดจากความขุ่นใจค่อย ๆ คลายลง กลายเป็นสงบนิ่ง คิ้วเรียวไม่ขมวดมุ่นอีกต่อไป เธอกำลังพยายามบรรลุ...ไม่ใช่บรรลุแก่นปราณกระบี่เพราะนั่นคงไม่นางนางนัก สำหรับนางแต่คือบรรลุความแน่วแน่ที่จะ ไม่ให้ใครมาชักจูงอารมณ์และความคิดอีก หลินหยายังไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังเดินอยู่บนทางของผู้มีพรสวรรค์ แต่ไม่ยอมถูกลิขิตด้วยพรสวรรค์นั้น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของหลินหยากลับดูนิ่งลึกและคมชัดขึ้นเล็กน้อย ไม่หวั่นไหวไปกับอดีตที่พัดวนในความคิด ไม่ตกใจไปกับคำพูดร้ายลึกแฝงกลที่เจอมาเมื่อคืน และไม่ลังเลที่จะทำสิ่งที่ควรทำ


"เจ้าจะบอกข้าแน่...ไม่ว่าจะด้วยดีหรือร้าย ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำลายเพื่อนของข้าผู้มีพระคุณของข้า" นางพึมพำขึ้นเบา ๆ ลุกขึ้นจากท่านั่งบนลานกระบี่ แผลที่แขนเริ่มหาย ความปั่นป่วนในใจเริ่มสงบ ร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น สติเริ่มมั่นคงขึ้น และหัวใจของหลินหยาก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับ เจ้าขันทีปากดีคนนั้น อย่างที่ไม่ใช่แค่ ‘เสี่ยวหยา’ อีกต่อไป


หากเจ้ามีคำตอบ...ข้าจะฟัง

หากเจ้าโกหก...ข้าจะรู้

หากเจ้าไม่พูด...ข้าจะ บีบให้พูด


สายลมเย็นบางเบาที่พัดพาไอหมอกจากไหล่เขาหัวซานโอบล้อมร่างของหญิงสาวผู้ยืนอยู่กลางลานหินอ่อนทรงกลม ลานกระบี่เหินมรรคา ณ ความสูงที่เมฆยังลอยต่ำกว่าปลายผมของเธอ หลินหยาไม่พูด ไม่ขยับ ปล่อยให้ร่างกายยืนอยู่อย่างนั้นนิ่งราวกับเสาหิน ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขา เธอมองไกลออกไปสุดสายตา ทิวเขาไกลสุดลูกหูลูกตาแผ่กว้างซ้อนทับกันไปจนจรดเส้นขอบฟ้าสีจาง ขอบประตูแห่งการลืมเลือนทอดเงายาวเฉียงทาบผ่านพื้นหินอ่อน ในดวงตาหลินหยาสะท้อนเพียงสีฟ้าอ่อนของนภาและความทรงจำที่เธอไม่อาจสลัดได้


"ลมหายใจเข้า..." เสียงเธอแผ่วเบาเหมือนกระซิบให้ตนเองฟัง "ลมหายใจออก..."


นางปล่อยให้ปลายผมสะบัดตามแรงลม ใบหน้าเผยความเรียบนิ่ง และภายในใจที่ผ่านสมรภูมิความคิดมายาวนาน เธอรู้ดีว่าความเงียบนี้...ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่าแต่คือการเติบโตที่ไม่มีเสียง พิษในร่างของหลินหยาพิษที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัดเพราะนางไม่ได้ชั่งใจว่าไฉนพิษของปราณอสรพิษกลับอยู่ในกายของนางยังคงไหลวนอยู่ในเส้นชีพจรและรากปราณ อาการเจ็บแปลบเป็นพัก ๆ ที่ต้นแขนและบ่าซ้ายยังไม่เลือนหาย เธอรู้ว่ามันไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่ร่างกายเธอเริ่ม ชินชา


แต่ความชินชานั้น...หาใช่ความยอมจำนนไม่


"เจ้าคิดจะอยู่กับข้าตลอดไปงั้นหรือ?" หลินหยาพึมพำกับความว่างเปล่าในลำคอ ถามถึงพิษนั้นเหมือนมันมีชีวิต "ข้าจะอยู่กับเจ้าเช่นกัน...แต่ข้าจะเป็นคนควบคุมเจ้า ไม่ใช่ปล่อยให้เจ้าควบคุมข้า" นางนั่งลงอีกครั้ง ตรงกลางลานกระบี่ ท่าเดิม เรียบง่าย ไม่โอ้อวด มือวางประสานบนตัก ลำตัวตั้งตรงแผ่นหลังแนบแน่นกับกระแสลม แม้ไม่มีใครสอนนางให้ฝึกฝนตบะตามหลักนักพรต แม้ไม่มีเคล็ดวิชาให้ตามอ่านหรือตำราสืบทอด หากแต่ในหัวใจหลินหยารู้ว่าความสงบเป็นสิ่งเดียวที่ยังสามารถ อยู่ร่วมกับสิ่งเลวร้ายที่ไม่อาจถอนทิ้งได้


นางไม่รู้ว่าพิษนี้จะกำเริบขึ้นเมื่อไร หรือวันใดจะกัดกินจนร่างกายทรุดลงไปจริง ๆ แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ และจิตใจไม่ถูกเงามืดกลืนกิน นางก็จะไม่ยอมพ่ายง่าย ๆ ยอดเขานี้เย็นยะเยือกแต่กลับไม่อ้างว้าง เสียงลมนี้กึกก้องแต่ไม่เคยบั่นทอน แม้พิษในกายจะราวกับคำสาปแต่จิตใจที่แน่วแน่ในอกของหลินหยานั้นคือไฟที่ไม่เคยดับ


“จางกงกง...เรื่องที่เกี่ยวกับท่านทั้งหมด...ข้าจะเอาความจริงออกมาจากปากท่าน...ไม่ว่าเลือดจะต้องไหลอีกกี่หยดก็ตาม” บัดนี้ดวงจิตที่หวั่นไหวกำลังจะหลอมกลายเป็นดาบที่ไม่มีใครมองเห็น แต่แกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนพร้อมจะ เฉือนความลวงออกจากความจริง ได้ในไม่ช้า



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาอีกวันแล้วจ้าาา มาเลย


รางวัล: 

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 60000 =300 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน


สรุปรางวัลที่ได้ : 300 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 62,699 ไบต์และได้รับ +30 EXP +40 คุณธรรม +40 ความชั่ว +44 ความโหด จาก แผ่นไม้ลายเถาวัลย์เร้นเงา   โพสต์ 2025-7-20 15:20
โพสต์ 62,699 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-20 15:20
โพสต์ 62,699 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-20 15:20
โพสต์ 62,699 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-7-20 15:20
โพสต์ 62699 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-20 15:20

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +300 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 300

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-21 19:17:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-21 19:19


วันที่ 20 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ นอกฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่เหินมรรคา


แสงแดดยามเฉินทอสีทองบาง ๆ สะท้อนผ่านปลายยอดเขาหัวซานที่ยังเย็นเฉียบด้วยกลิ่นหมอกบางคลุ้งล้อม หลินหยาผละมือจากหินเย็นใต้ฝ่าเท้า พลางยืนอยู่กลางลานกระบี่เหินมรรคา ดินแดนแห่งการลืมทุกข์ที่ซึ่งเธอพยายามมาเยือนทุกเช้าเพื่อต่อรองกับใจตน


พื้นหินอ่อนขัดจนเรียบลื่นใต้เท้าเป็นวงกลมสมบูรณ์แบบ แผ่รัศมีเงาสะท้อนร่างบางในชุดฝึกอ่อนชื้นเหงื่อ หลินหยายืนนิ่ง ดวงตาหวานเศร้ามองไปยังประตูแห่งการลืมเลือนที่ทอดตัวสูงราวกับจะลบล้างทุกสิ่งให้เงียบงัน นางยกมือขึ้นปลดผ้าคลุมไหล่ที่ห่มคออยู่ก่อนจะโยนมันวางลงกับขอบหิน เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวจัดตรงช่วงคอและต้นไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยจูบ รอยกัด รอยช้ำจางแต่ชัดพอที่จะอ่านอารมณ์ของผู้ฝากร่องรอยไว้ว่า ‘มิใช่เพียงความปรารถนา’ แต่คือการปักตราราวกับต้องการลบล้างสิทธิ์ใด ๆ ของโลกใบนี้ที่มีต่อนาง


หลินหยาพ่นลมหายใจออกยาว สายตาเหม่อมองเบื้องหน้าราวกับจะผ่านทะลุขอบฟ้าเหนือหน้าผาออกไป “จางกงกง…ท่านซ่อนอะไรไว้ในรอยยิ้มนั้นกันแน่ ไม่รู้จักพอเลยจริง ๆ สินะ” เสียงเธอเบาราวลมใต้จันทัน ไม่ได้ต้องการคำตอบจากใครทั้งนั้น เมื่อคราวก่อนเขาพูดกับนางถึงจางทังอย่างอ้อมค้อม แฝงรอยจงใจ นัยน์ตาดุจสิงห์ที่ซ่อนเล็บยิ่งชวนให้นางแน่ใจว่าบุรุษสวมหน้ากากผู้นั้นกำลังใช้บางสิ่งเป็นเดิมพัน และ 'ถิงเว่ย' เพื่อนคนสำคัญที่ฝากฝังไว้ก็คืออีกชื่อที่พาดพิงถึงเบื้องหลังอันเยือกเย็นของคนผู้นั้น


แม้ใจจะว้าวุ่นจนแทบหลุดจากร่าง หลินหยาก็ทรุดกายลงกลางลาน หันหน้าเข้าหาจุดศูนย์กลาง ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งประสานกันตรงหน้าตัก หลับตาลงอย่างช้า ๆ ลมหายใจเข้า…เธอพยายามนึกถึงดอกเหมยที่ผลิบานใต้หิมะ ลมหายใจออก…ดั่งหยาดน้ำค้างที่ไหลลงปลายกลีบโดยไม่ทิ้งรอย ดินแดนแห่งการลืมทุกข์เป็นเช่นไรนางยังไม่รู้แต่เธอขอแค่ได้พักใจแม้เพียงชั่วครู่ เพราะในยามที่ปราณสงบ ภายในวังวนของการฝึกฝนและลมหายใจนางจะได้ยินเพียงเสียงลม เสียงของหัวใจตนและเงาสะท้อนของชายผู้ซ่อนใบหน้าหลังหน้ากากครึ่งซีกที่ก่อความว้าวุ่นในใจไม่เลือน 


หลินหยาจะยังไม่ถอย ไม่เลยจนกว่าจะรู้…ว่าความจริงของจางทังคืออะไรและคนผู้นั้นต้องการอะไรจากสิ่งที่เขาทำกันแน่


หลินหยานั่งนิ่งอยู่กลางลานกระบี่เหินมรรคา ลมยามเช้าเย็นสบายกระทบผิวเนื้อราวกับพัดปลายขนนกนิ่มเบา หากแต่มิอาจคลายอึดอัดในอกที่ตีตื้นขึ้นราวคลื่นใต้น้ำพายุ ริมฝีปากของนางเม้มแน่น เหลือบตาขึ้นมองม่านหมอกที่ค่อย ๆ คลี่ตัวอยู่ระหว่างสันเขาเบื้องหน้าเหมือนม่านตาที่ปิดบังโลกแห่งความจริงของตน ลมหายใจแรกซึมลึกเข้าสู่ปอดหลินหยาจับความสับสนที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในให้หยุดนิ่ง ราวกับคว้าผีเสื้อกลางพายุวางมันลงกลางฝ่ามือแล้วมองตรง ๆ ว่านี่คืออะไรแน่


เขินอาย? — ใช่ แต่เพียงเสี้ยวเดียว

โกรธ? — ย่อมมี เมื่อคิดถึงรอยกัดบนผิวและเสียงยั่วเย้า

หวาดหวั่น? — ยิ่งกว่า ทั้งต่อพิษในกาย ทั้งต่อชะตาของจางทัง


ทว่าสิ่งท่วมท้นกว่านั้นคือ สับสน สับสนว่าจะช่วยอย่างไรโดยไม่เหยียบย่ำหัวใจใครอีกคน สับสนว่าตนควรเชื่อหรือลังเลในรอยยิ้มหลังหน้ากากครึ่งซีก เธอหลับตาปล่อยลมหายใจออกยาวดิ่งผ่านอกลงสู่พื้นหินเย็นของลานกระบี่


ไม่ใช่เพียงแค่เขินอายเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป ไม่ใช่แล้ว... ไม่ใช่รอยจูบ รอยกัด รอยที่ฝากไว้บนเนื้อกายจะทำให้นางสะท้าน หากแต่เป็นความคิดของหัวใจที่เริ่มเดินนำเหตุผลไปไกลเสียแล้ว “ข้า...ต้องไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลืนข้าไป...” เสียงกระซิบในลำคอเบาจนเหมือนลมหายใจ


นางรู้ดีว่าจางกงกงไม่ใช่คนธรรมดา แม้ในคราบขันที แต่นั่นมิใช่ข้อจำกัดสำหรับความอันตรายของเขา ความเฉียบขาด การลงมืออย่างไร้ความลังเลและแววตาโรคจิตที่เหมือนเย็นชาแต่กลับแฝงแรงดึงดูดน่าพรั่นพรึง นางรู้ว่าหากวันหนึ่งต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเขา...และมิตรสหายของตนเลือดหนึ่งหยดอาจเปื้อนมือเขาแต่คำสัญญาหนึ่งคำอาจเปื้อนใจเธอ


หลินหยาพ่นลมหายใจออกยาวนางเริ่มต้นสมาธิอีกครั้งด้วยจิตที่แหลมคมกว่าเดิม คราวนี้นางไม่เพียงตั้งใจฝึกเพื่อขจัดคลื่นความคิดอันโกลาหลเท่านั้น แต่เพื่อหาทางออก…หาช่องว่างระหว่างทุกความขัดแย้งที่โอบล้อมตนไว้ "ข้าต้องช่วยจางทังให้รอด...แต่ต้องไม่ให้จางกงกงรู้ว่าเจตนาข้าคืออะไร"


"และ...ข้าก็ต้องช่วยจางกงกงให้ไม่ทำร้ายผู้คนเพราะข้าอีก...ไม่ใช่ด้วยการห้ามเขาแต่ต้องทำให้เขาไม่คิดจะทำต่างหาก" แววตาหลินหยาเปิดขึ้นอีกครั้ง เยือกเย็นราวน้ำแข็งผสมน้ำค้างบนเขา พลางพูดกับตัวเองเสียงแผ่ว “มันต้องมีทางออก...ที่ไม่ต้องแลกด้วยเลือดใครทั้งนั้น ข้าเชื่ออย่างนั้น แม้แต่เงามืด...ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน” เมื่อความจริงกระจ่าง ต้องยื่นทางเลือกให้จางกงกงทางที่ไม่พาเขาเข้าสู่จุดแตกหัก ทว่าไม่เปิดช่องให้เขาใช้อำนาจขู่ใครได้อีกเธอยังไม่เห็นภาพชัด แต่เชื่อว่าย่อมมีจุดสมดุลระหว่างกฎหลวงกับช่องว่างสีเทาที่ชายผู้นั้นถนัดยืน มัดรวบพิษในกายและพิษในใจให้อยู่หมัดใช้การฝึกทุกเช้าที่ลานกระบี่หล่อเลี้ยงปราณให้มั่นคงถึงวันที่จะต้องเผชิญหน้าไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร


“ทุกอย่างย่อมมีทางออกที่ดีที่สุด” เธอกระซิบกับลมบนยอดเขา มือรวบผ้าคลุมขึ้นพาดไหล่อีกครั้งไม่ใช่เพื่อซ่อนรอยจูบหากแต่เป็นเครื่องเตือนใจว่า


‘เมื่อยอมรับความปั่นป่วนได้ จิตก็เริ่มสงบ เมื่อจิตสงบ ปัญญาก็จะเปิดทาง’


วันนี้หลินหยายังไม่ใช่ผู้บรรลุงต่อสิ่งใดเลยแม้สักนิดแต่ก้าวที่เธอทำลงบนลานหินเย็นตรงนี้ ก้าวสู่หนทางที่จะแก้ปมทุกเส้นด้วยมือและหัวใจของตนเองมั่นคงกว่าทุกวันที่ผ่านมา นางยืนขึ้นจากพื้นหินอ่อน สะบัดฝุ่นบางออกจากชายเสื้อ ก่อนจะหันหลังให้ประตูลืมเลือนแล้วก้าวกลับสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง แต่หัวใจของหลินหยาในเช้านี้ไม่เหมือนทุกวันนางจะไม่หลบหนีความจริงอีกต่อไป ทางเลือกอาจลำบาก และผลลัพธ์อาจไม่ได้สวยงาม แต่นางเลือกแล้วว่าจะเป็นคนที่เผชิญหน้าทั้งแผนการ...ทั้งผู้คน...และทั้งใจของตนเอง




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มาเอาเงินไม่ได้มาทำตบะหรอกจริง 5555+ แต่หลินหยามาเพื่อตบะไง


รางวัล

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 30000 = 150 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน


สรุปรางวัลที่ได้ : 150 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


ได้รับ 128 EXP จากโพส = เกิน 99 EXP
99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point

แสดงความคิดเห็น

EXP ปัจจุบันของคุณมี 10  โพสต์ 2025-7-21 20:34
โพสต์ 31399 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-21 19:17
โพสต์ 31,399 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-21 19:17
โพสต์ 31,399 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-21 19:17
โพสต์ 31,399 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-21 19:17

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +150 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-22 21:26:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 21 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่เหินมรรคา


ยามเหม่าแสงแรกของวันยังไม่ส่องผ่านขอบฟ้าอย่างชัดเจนนัก สายลมยามรุ่งอรุณที่ยอดเขาหัวซานหนาวเหน็บเป็นพิเศษเมื่อกระทบผิวเนื้อ แต่หลินหยายังคงยืนนิ่งอยู่ที่ลานกระบี่เหินมรรคา สายตาจับจ้องไกลออกไปยังม่านหมอกที่เบาบางเคลื่อนไหวคล้ายม่านบางของสรวงสวรรค์ ร่างบางในชุดผ้าฝ้ายบางเบาแฝงกลิ่นอายธรรมะยืดกายสงบอยู่บนลานหินซึ่งเต็มไปด้วยพลังลี้ลับ แม้วันนี้นางจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อฝึกยุทธ์ ไม่ได้มานั่งสมาธิเพื่อกลั่นปราณ ไม่มีดวงตาแน่วแน่ที่เคยจ้องท้องฟ้าหรือยอดเขาอื่น ๆ อย่างมุ่งมั่น


วันนี้…ดวงตาคู่นั้นมีเพียงความสับสนและเศร้าสร้อยและความรู้สึกที่ยากเกินบรรยายความรู้สึกออกมาได้


"ข้าควรทำหน้ายังไง...หากต้องเจอท่านอีกกันท่านหลิวอัน" เสียงแผ่วเบาถามลมที่โอบรอบกาย น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นพร่าเล็กน้อย แววตาหนักแน่นที่เคยดื้อดึงและร่าเริง วันนี้กลับเหมือนปีกนกที่เปียกฝน ร่วงโรยและอ่อนล้าเกินกว่าจะกางออกโบยบิน


เมื่อวาน…หลินหยาเพียงตั้งใจมานั่งเล่นริมทะเลสาบให้ลืมโลก แต่กลับลงเอยด้วยการร้องไห้จนหลับไปในอ้อมแขนของชายผู้สูงศักดิ์ท่านหลิวอันผู้เป็นอ๋องที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี แต่ยอมสละทุกอย่างเพื่อเธอ แค่คิดถึงสายตาที่เขามองนางตอนพูดว่า 'รัก' น้ำตาก็แทบจะรื้นอีกครั้ง เธอกลัวที่จะเจอเขา...ไม่ใช่เพราะกลัวโดนตำหนิ ไม่ใช่เพราะความผิดหวัง แต่เพราะเธอรู้ว่าเขาจะไม่ตำหนิ…เขาจะยังคงมองนางด้วยสายตาเดิม…สายตาของคนที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไข


สายลมพัดผ่านกลีบดอกเหมยซึ่งเพิ่งเริ่มบานกระจายปลิวไหว ลานกระบี่ที่เคยดุดันยามฝึกกลับเงียบสงบและงดงามดั่งแดนสวรรค์เมื่อยามเช้า หลินหยาหลุบตามองปลายรองเท้าตนเองที่หยุดอยู่ริมขอบหิน ก่อนจะพึมพำในใจ “ข้าทำร้ายท่าน...แม้ท่านจะไม่พูดอะไรสักคำ” แล้วเงยหน้าสูดอากาศลึกในอก “แต่ข้าก็ไม่อาจโกหกหัวใจของข้าเช่นกัน” หากเจอเขาอีก…หลินหยาจะทำหน้าเช่นไร? ยิ้มแบบที่เคยหรือก้มหน้าหลบตา? บอกเขาว่ายังเจ็บปวดอยู่หรือทำเป็นว่าอะไรไม่เคยเกิดขึ้น? หญิงสาวไม่มีคำตอบ นางรู้เพียงว่าหัวใจของนางเหมือนภูเขาทั้งลูกที่กำลังพังทลายเงียบ ๆ จากข้างใน


เงาร่างของเธอบนลานหินทอดยาวไปกับแสงอ่อนของรุ่งอรุณ สะท้อนเงาความว้าวุ่นในใจที่ไม่อาจกลั่นกรองได้ด้วยปราณหรือวิชายุทธ์ใด ๆ ได้อีกต่อไปแล้วในเช้านี้ ยอดเขาหัวซานยังคงตื่นขึ้นมาเงียบงัน แต่นางกลับรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบยังไม่ยอมให้นางได้พักหายใจแม้เพียงครู่เดียว


หลินหยานั่งนิ่งอยู่กลางลานกระบี่เหินมรรคา ขัดสมาธิอย่างที่เคยทำมาตลอดหลายเดือนนับตั้งแต่เหยียบสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนจิตใจและวิถีธรรม แต่ครานี้กลับต่างออกไปนัก…สายลมบนยอดเขาหัวซานที่เคยให้ความรู้สึกเย็นชื่น หอบพาเอาความสงบและสมาธิมาด้วยเสมอ มาบัดนี้กลับเย็นเยียบและเปล่าเปลี่ยวจนแทบจะแทรกซึมเข้าสู่ชั้นในของจิตใจ เปลือกตางามนั้นหลับลง เส้นขนตาสั่นระริก นางพยายามรวบรวมจิตให้มั่นสถิตอยู่ที่จุดตันเถียนล่าง หายใจเข้า...นับหนึ่ง...สอง...สาม...หายใจออก...แต่ยังไม่ทันจะถึงสิบ ความคิดก็หวนคืนกลับมา ภาพในหัวของหลินหยาไม่ใช่ลานกระบี่ ไม่ใช่วิชาตบะที่อาจารย์เคยสอนให้จดจำ แต่เป็นใบหน้าเคร่งขรึมของบุรุษผู้หนึ่ง บุรุษผู้มีแววตาลึกซึ้งไร้ถ้อยคำเอ่ย ทว่าแฝงไปด้วยทุกอารมณ์ที่โลกมิอาจบรรยาย หลินหยารู้ดีว่านั่นคือภาพของหลิวอัน ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหลับไปในอ้อมแขนเขาเมื่อคืน


“ข้าร้องไห้...คาอกเขา...แล้วเขาก็เพียงกอดข้าไว้ ไม่พูดอะไรอีกเลย...” นางพึมพำเบา ๆ แม้เพียงความเงียบก็ไม่สามารถไล่ความคิดในหัวให้ออกไปได้ ทันใดนั้น…ลมหายใจที่พยายามรักษาให้สม่ำเสมอกลับติดขัด เสมือนร่างกายกำลังปฏิเสธการเข้าสมาธิอย่างรุนแรง ทั้งหัวใจ ทั้งสมอง ต่างตะโกนขัดแย้งกันอยู่ในอก


"ข้าแค่อยากสงบใจ…ขอแค่สักหน่อยg5vtot…" นางครางในลำคอเบา ๆ เหมือนกำลังอ้อนวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลานนี้ ทว่าทุกครั้งที่พยายามปล่อยวาง ภาพบางอย่างก็หวนกลับมา ความรู้สึกผิด การทำร้ายคนที่ดีเหลือเกิน คนที่ปกป้องนางไว้ไม่หวังสิ่งใด แต่กลับต้องมานั่งโอบกอดซากหัวใจของนางที่มอบไปให้บุรุษผู้หนึ่ง…บุรุษที่นางรักอย่างมิอาจห้ามใจได้แม้เขาจะเคยเหยียบย่ำวิญญาณของนางมาแล้วก็ตาม


ครบครึ่งยาม หลินหยายังคงนั่งนิ่งแต่ภายในกลับวุ่นวายราวกับพายุ

ครบหนึ่งยาม…นางยังไม่อาจสงบได้แม้แต่วินาทีเดียว


มือทั้งสองที่วางบนหน้าตักเริ่มสั่น เสียงลมหายใจไม่อาจปกปิดความร้อนรนในใจได้อีกต่อไป ดวงตาของนางเปิดออก…ไม่ใช่ด้วยความสงบ แต่เพราะจิตใจที่เหมือนจะระเบิดออกมา “ข้าไม่ไหว…” เสียงสั่นเบาราวกับกระซิบกับตนเอง แต่นั่นคือถ้อยคำจากใจของหญิงสาวผู้ที่แม้จะฝึกฝนตบะมาเพียงใด ก็ยังคงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่แบกรับความรู้สึกเกินกว่าความอดทนจะรับไหว นางถอนหายใจเบา ๆ แล้วลุกขึ้นมายืนช้า ๆ ปล่อยให้สายลมกระทบแก้มที่เริ่มเปียกชื้นอีกครั้ง


ยอดเขาหัวซานยังคงงดงามเช่นเคย แต่ในอกของหลินหยากลับเหมือนกำลังหลงทางในทะเลหมอกหนาทึบ…ไร้ทิศ ไร้ปลายทาง และไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการคือการหลบหนีหรือเผชิญหน้า สายลมของยอดเขาหัวซานยังพัดแรงไม่เปลี่ยน แต่อุณหภูมิในใจของหลินหยากลับอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด…นางสูดลมหายใจลึกยืดอกให้อากาศเย็นจัดของเช้าตรู่ซึมผ่านร่างกาย เหลียวมองผืนนภาที่กำลังเปลี่ยนจากม่วงเทาไปสู่ฟ้าอ่อน ลำแสงแรกของยามเหม่าเจิดจ้าแตะยอดหิมะบางเบาที่ปกคลุมยอดไม้ไกลโพ้น เงาสะท้อนนั้นแวววาวดุจผลึกแห่งความจริง ความจริงที่นางเริ่มยอมรับ


"เอาเถอะ…" น้ำเสียงของหลินหยานั้นนิ่งขึ้นเล็กน้อย พลางพึมพำกับสายลมที่ไม่มีวันตอบ “ในเมื่อข้าไม่หนีความรู้สึกที่มีต่อเขา ชายผู้ที่ทำให้ข้าเจ็บแทบตาย…เหตุใดเล่า…ข้าต้องหนีความรู้สึกต่อท่านหลิวอันด้วย” นางหลับตาไว้ชั่วครู่ ให้แสงแดดไล้เปลือกตาจนรู้สึกถึงความร้อนระเรื่อเบา ๆ นางไม่ได้รู้สึกละอายที่ร้องไห้เมื่อวาน ไม่ละอายที่ยอมเปราะบางให้ใครเห็น ไม่ละอายแม้แต่ที่ทำร้ายบุรุษผู้หนึ่งที่ยื่นหัวใจให้


หลินหยาเปิดตาขึ้นอีกครั้ง สายตามั่นคงดั่งน้ำบนผิวนิ่งของทะเลสาบเยว่ปิงเหอ นางรู้แล้วว่าความรู้สึกที่นางมีให้ท่านหลิวอันไม่ใช่ความรักเช่นชายหญิง นางรู้ว่านั่นคือสิ่งที่ใสสะอาด น่าเคารพ เป็นความอบอุ่นที่ไม่มีวันจางหาย เป็นแสงไฟในฤดูหนาว ไม่ใช่เปลวเพลิงที่เผาใจ "ข้าเพียงอยากให้ท่านรู้…ข้าไม่อาจรักท่านในแบบที่ท่านต้องการ แต่นั่นมิได้แปลว่าข้ามิรู้คุณ" นางกล่าวในใจ คล้ายเอ่ยกับเขาแม้เขาไม่อยู่ตรงนี้


"ท่านหลิวอันคือบุคคลที่ข้าเคารพรัก เป็นผู้มีพระคุณของข้า…ข้าจะไม่มีวันลืม ไม่ว่าวันใดข้าจะเป็นใคร อยู่ที่ใด" ดวงตาหลินหยาอ่อนโยนลงขณะปล่อยให้ความเงียบและลมของเขาหัวซานเป็นพยานแทนเขา "ข้าปรารถนาดีต่อท่านเสมอ…เช่นเดียวกับที่ท่านปรารถนาดีต่อข้า"


ถ้อยคำสุดท้ายนั้นหลุดออกจากริมฝีปากสีจาง แผ่วเบาดุจคำสัญญาที่ล่องลอยไปในฟ้า แต่มั่นคงดุจแผ่นศิลา วันนี้…หลินหยายังไม่อาจเข้าสมาธิได้ แต่หัวใจของนางกลับมั่นคงขึ้นกว่าทุกวันที่ผ่านมา นางรู้แล้วว่าเจ็บปวดเพียงใดก็ต้องมองไปข้างหน้า เพราะต่อให้ไม่มีใครจับมือไว้…นางก็ยังมีตนเองที่กล้าเผชิญความจริง และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด





@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออออออ หลินหยามันขี้บ่นนะ อ้อ ลืมไปน้องเป็นคนคิดมาก


รางวัล: 

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 30000 = 150 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน


สรุปรางวัลที่ได้ : 150 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 36899 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-22 21:26
โพสต์ 36,899 ไบต์และได้รับ +35 EXP +12 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 2025-7-22 21:26
โพสต์ 36,899 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 2025-7-22 21:26
โพสต์ 36,899 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 2025-7-22 21:26
โพสต์ 36,899 ไบต์และได้รับ +25 EXP +20 คุณธรรม +9 ความชั่ว +20 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 2025-7-22 21:26

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +150 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 7 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 22 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามอิ๋น เวลา 03.00 - 05.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่หินมรรคา


แสงจันทร์รางเรื่อคล้อยต่ำเหนือแนวขอบฟ้า เสี้ยวจันทร์สีงาช้างปรากฏอยู่ท่ามกลางม่านหมอกบางยามรุ่งสาง ยอดเขาหัวซานล้อมรอบด้วยความเงียบอันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับทั้งโลกได้หยุดหายใจเพื่อเคารพบูชาแด่ห้วงเวลาแห่งสมาธิและการละวาง ณ ลานกระบี่หินมรรคาซึ่งทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดเอื่อยราวกับจะกล่าวเตือนว่าความคิดใด ๆ ก็เป็นเพียงฝุ่นละอองในห้วงมหาสมุทรแห่งจิต หลินหยานั่งลงบนแผ่นหินกลางลานที่แตะต้องแสงจันทร์ก่อนใครเพื่อน มือเรียวของนางค่อย ๆ วางดอกไม้หอมไว้เบื้องหน้า มวลดอกม่วงอ่อนกลีบบางที่เก็บมาจากเชิงเขา กลิ่นหอมละมุนแผ่วเบาราวกับเสียงถอนหายใจของหญิงสาวผู้แบกหัวใจอันวุ่นวาย


ลมหายใจหนึ่งถูกสูดเข้าอย่างแผ่วเบาแล้วผ่อนออกยาวนาน นางหลับตาลงในที่สุด “หลินหยา...สูดเข้า...” นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “สูดเอาเพียงกลิ่นดอกไม้...ไม่ใช่กลิ่นเขา...ไม่ใช่กลิ่นชุดผ้าของจางกงกง...ไม่ใช่กลิ่นจาง ๆ ของท่านหลิวอันตอนเขากอดข้าไว้...” คิ้วของนางกระตุกเมื่อใจเริ่มสั่นไหว ไม่สิ นางมาเพื่อขจัดภาพเหล่านั้นไม่ใช่หรือ? นางบอกตัวเองเช่นนั้น แล้วพยายามตั้งจิตอีกครั้ง


หากแต่ในห้วงจิตเบื้องลึก เงาร่างสองสายที่แตกต่างกันยังวนเวียนไม่เลือนหาย คนหนึ่งดั่งเพลิงลุกที่แผดเผาหัวใจจนแทบไหม้ อีกคนเย็นสงบแต่มั่นคงจนแทบยอมหลอมละลาย นางกัดฟันน้อย ๆ หลับตาแน่นยิ่งกว่าเดิม “ไม่...ไม่เอา...ข้าต้องสงบ...ข้าไม่ใช่กาน้ำเดือดที่ใครจะมาเปิดฝาแล้วใส่บางอย่างเข้าเมื่อไรก็ได้...” เสียงนางอู้อี้ราวกับต่อสู้กับเงาของตัวเอง ลมเหนือพัดผิวแก้มของนางอย่างอ่อนโยน นางไม่รู้ว่าคือแรงลมจากยอดเขา หรือใจของใครคนหนึ่งที่ยังตามมาถึงในห้วงคิด


เวลาค่อย ๆ ไหลผ่านไหลเวียนในท่ามกลางความเงียบ หลินหยาพยายามผ่อนลมหายใจ สงบตัวเองทุกครั้งที่ความร้อนวูบวาบแล่นผ่านกายโดยไม่มีเหตุผล ทุกครั้งที่ภาพริมฝีปากของใครบางคนแล่นผ่านมุมตาในความคิด นางจะสูดกลิ่นดอกไม้กลับคืนมา


กลิ่นดอกไม้ที่เป็นของจริง...ไม่ใช่กลิ่นกายของเขา...ในยามนี้


นางอยู่ในท่านั้นนานจนเหงื่อเย็นซึมหลังมือ แม้เสื้อจะหนาแต่มันไม่ช่วยให้นางหลุดจากการจมดิ่งในวังวนของความคิดอันวุ่นวายได้เลย แต่สุดท้าย...นางก็ค่อย ๆ คลายไหล่ลง แม้ดวงตาจะยังปิดอยู่แต่ลมหายใจเริ่มนิ่งกว่าเดิม เพราะแม้เงาทั้งสองจะยังอยู่ในใจนางแต่นางก็เลือกที่จะนั่งมองมัน ไม่ใช่ตกอยู่ในนั้นอีก “ข้ายังมีชีวิตอยู่...ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นมากำหนดหัวใจข้าเสียทุกครั้ง...” นางพูดเสียงเบาราวกับจะพูดให้ตัวเองในอดีตฟัง แม้จะยังไม่หลุดพ้นจากความคิดทั้งมวล...แต่วันนี้ หลินหยาก็ได้นั่งลงกับใจตัวเองอีกครั้งและนั่น...คือก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ในคืนแห่งยอดเขาหัวซาน


สายลมห้วงยามอิ๋นพัดผ่านลานกระบี่หินอย่างเงียบงัน หอบกลิ่นหอมบางเบาของดอกไม้ขจรขจายคลอเคลียปลายจมูกหลินหยา คล้ายบทเพลงของธรรมชาติที่บรรเลงช้า ๆ อย่างอ่อนโยน ทุกสรรพสิ่งรอบตัวเหมือนไร้ตัวตนแม้แต่ก้อนหินสูงใหญ่เบื้องหน้า หรือแม้แต่ฟากฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากน้ำเงินสนิทเป็นสีเทานวล… ลมหายใจของหญิงสาวผ่อนยาวราวกับปลดปล่อยบ่วงบางอย่างที่เคยรัดแน่นในใจ


"เงียบจัง..." นางพึมพำอยู่ในอกเสียงเล็กเบาราวกับไม่ต้องการให้โลกได้ยิน


ร่างกายนางไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แผ่นหลังตรงสง่างาม เส้นผมปลิวเบา ๆ ตามกระแสลม ดวงหน้าที่เคยยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่น บัดนี้กลับดูสงบนิ่งราวกับน้ำในชามหยก ริมฝีปากอิ่มสีธรรมชาติก็ไร้คำพูดใด สะท้อนเงาของหญิงสาวผู้ยังคงมีรอยแผลในใจ แต่เลือกจะประคองมันไว้ด้วยมือของตนเอง


เมื่อได้ที่นางก็ปล่อยใจให้ไหลไปตามห้วงหาวแห่งจิต ปล่อยร่างจิตให้ลอยเคว้งตามสายลมไต่ยอดไม้ ลอยข้ามแม่น้ำ ข้ามหุบเหว และไหลวกกลับมาสู่อ้อมแขนของตัวเอง ดั่งนางได้กลับมาพบ "ตัวตน" ที่แท้จริงอีกครั้ง ไม่ใช่ลูกขุนนาง ไม่ใช่สาวใช้ ไม่ใช่หญิงของจางกงกง หรือแม้แต่ผู้ที่ถูกหวยหนานหวางหมายปอง… แต่เป็นแค่ “หลินหยา” ผู้หญิงที่ยังหายใจ และยังพอมีแรงจะเลือกหนทางของตน กลิ่นดอกไม้...อบอวลเหมือนกอดจากโลกที่ไม่กล่าวคำใด นานเท่าไรไม่มีใครรู้ ดวงตางามก็เริ่มขยับเล็กน้อย เฉดขนตาไหวตามลม ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นดวงตาสัน้ำตาลมะพร้าวอ่อนที่ทอแสงคล้ายหยดน้ำผึ้งในแสงอรุณแรก


เบื้องหน้าแสงเงินของรุ่งอรุณเริ่มแทรกทะลุผ่านม่านหมอกเหนือขุนเขา ทาบเงาทองอ่อนลงบนแผ่นหินโบราณของลานกระบี่ ลำแสงแรกยามรุ่งเช้าชโลมร่างของหลินหยาเอาไว้ราวกับแสงแห่งการเริ่มต้นใหม่ นางรู้สึกได้ถึงไออุ่นบางเบาที่ต่างจากค่ำคืนก่อนหน้า "วันนี้…ข้าจะไม่หนีความคิดของตัวเองเผชิญหน้ากับมันให้นิ่งงันพอที่จะก้าวต่อไป" นางพูดกับตัวเองเบา ๆ


แม้เส้นด้ายของโชคชะตายังพันกันยุ่งเหยิง แม้หัวใจจะยังสั่นไหวกับแค่เพียงการคิดถึงใครบางคน แต่ในเช้าวันนี้ ณ ยอดเขาหัวซาน...หลินหยาได้พบความสงบที่ไม่เคยได้ลิ้มรสมานาน และนั่น…คือของขวัญจากธรรมชาติ ที่แม้แต่เทพเจ้าก็อาจมอบให้ไม่ได้ หากนางไม่ยอมยื่นมือรับด้วยตนเอง นั้นแหละคือสิ่งที่มนุษย์ต้องฟันฝ่าและมันจะเป็นแบบนี้




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เห่อออออออ หลินหยามันขี้บ่นนะ อ้อ ลืมไปน้องเป็นคนคิดมาก


รางวัล: 

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 20000 = 100 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน


สรุปรางวัลที่ได้ : 100 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 27899 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 27,899 ไบต์และได้รับ +20 EXP +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 27,899 ไบต์และได้รับ +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 27,899 ไบต์และได้รับ +12 EXP +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 7 วันที่แล้ว
โพสต์ 27,899 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม +5 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา  โพสต์ 7 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +100 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 5 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-25 16:33


วันที่ 23 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่หินมรรคา


แสงตะวันแรกของยามเหม่าส่องลอดปลายยอดไม้ที่แตะขอบฟ้า ก้อนเมฆสีอ่อนเรื่อบางเบาแต้มท้องฟ้าสีน้ำเงินจาง ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมหายใจของป่าและเสียงลมพัดกรูไปตามปลายยอดสน หลินหยาก้าวเท้าขึ้นสู่ลานกระบี่หินมรรคาอีกครั้ง...สถานที่ที่เธอใช้หลอมรวมจิตใจและพักพิงจากเรื่องราวอันวุ่นวายในเมือง ยามลมเย็นกระทบผิวแก้ม หลินหยาก็หลับตา สูดหายใจลึกเข้าไปในอกแล้วอ้าปากหาววอดเล็กน้อยเหมือนแมวเพิ่งตื่นนอน นางเงยหน้ามองฟ้าอย่างผ่อนคลาย แสงแดดที่ยังไม่แรงจัดทำให้ผิวรู้สึกอบอุ่นกำลังดี นางยกแขนขึ้นยืดตัว หันเอียงซ้ายทีขวาทีเหมือนจะวอร์มร่างกาย พลางบ่นเบา ๆ กับตัวเองด้วยน้ำเสียงสดใส


"วันนี้อากาศดีชะมัด...ข้าควรจะขุดดอกไม้สักอย่างกลับไปปลูกดีไหมนะ?" เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของตนเองที่ย่ำลงบนพื้นหินและใบไม้แห้งยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าโลกใบนี้เงียบสงบดีอย่างประหลาด หลินหยาจึงเดินทอดน่องไปรอบลานกระบี่ ก้าวเท้าอย่างอิสระ ไม่รีบร้อน ไม่มีภาระ ไม่มีใครไล่ล่า ไม่มีเสียงขู่จากใต้เท้าผู้ใด ดอกหญ้าเล็ก ๆ ที่ชอนไชขึ้นตามร่องหินเริ่มโบกไหวตามแรงลม นางก้มลงไปแตะปลายยอดมันเบา ๆ ยิ้มขำให้กับความเปราะบางที่ยังแข็งแรงดีต่อใจของตัวเอง


"สวัสดีตอนเช้านะเจ้าตัวเล็ก"


พูดเสร็จนางก็ลุกขึ้นมายืนตรงกลางลานอีกครั้ง สูดหายใจยาวเหยียดแขนยืดเอว แล้วปล่อยมือออกกว้างยามที่สายลมปะทะใบหน้า หลินหยาหลับตาลง...ให้สายลมนำพาความรู้สึกทุกอย่างออกไปจากใจ ไม่มีความเครียด ไม่มีห่วงหาอาวรณ์ มีเพียงตนเองกับโลกใบนี้ และรอยยิ้มบาง ๆ ที่แต่งแต้มบนริมฝีปากนางในยามที่แสงตะวันอาบลงมาบนเรือนผมสีดำสนิทจนเป็นประกาย


หลินหยาก้าวไปยืนที่ขอบลานกระบี่ หินผืนใหญ่เบื้องหน้าเธอทอดยาวออกสู่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออก ลานโล่งนั้นชื้นเย็นด้วยไอละอองหมอกที่ยังไม่จางหาย แสงทองยามเช้าสาดอาบเสี้ยวหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังลูบไล้เส้นผมสีดำขลับที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย บางเส้นพลิ้วไปตามแรงลมเบา ๆ คล้ายสายไหมร้อยมนต์ นางหันหน้าเข้าหาฟ้า ก้าวถอยหลังออกมาสามก้าวอย่างตั้งใจ แล้วจึงทรุดกายลงนั่งบนเบาะผ้าทอมือสีเรียบที่นำติดตัวมาด้วย นางวางดอกไม้หอมไว้ข้างหน้า กลีบของมันยังคงชุ่มไอหมอก หอมอบอวลกลิ่นอ่อน ๆ ของชะลูดหอมเจือกฤษณา ช่วยปลุกจิตใจให้สงบลงจากภายใน ดวงตาของหลินหยาค่อย ๆ ปิดลง ลมหายใจถูกปรับให้ลึกและยาว


ลมหายใจเข้า... รู้สึกถึงกลิ่นของดอกไม้... กลิ่นที่แฝงด้วยความอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ลมหายใจออก... ปล่อยวางทุกความคิดที่ไม่จำเป็น... ให้ไหลออกไปเหมือนสายลมที่พัดผ่าน นางท่องอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ "ใจดั่งสายธาร มิยึดมั่น… ใจดั่งกลีบบุปผา มิเหนียวแน่น…" ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนิบช้า ทว่าหนักแน่นนัก


คลื่นจิตภายในเริ่มราบเรียบ ราวผิวน้ำในทะเลสาบยามสงบ หัวใจของนางไร้ซึ่งแรงสะเทือนจากภายนอก ไม่มีเสียงคน ไม่มีความเร่งรีบจากโลกมนุษย์ ไม่มีเงาของจางกงกงที่คอยหลอกหลอนหัวใจเธอในยามปกติ ไม่มีแม้แต่ความคิดถึงใบหน้าของใครคนหนึ่งที่ยิ้มให้เธอในยามเธอล้มเสมอมา นางรู้ดีว่าเมื่อใดที่ใจถูกชักนำออกไปจากตนไป ก็ต้องดึงมันกลับมาด้วยมือของตนเท่านั้น หลินหยาไม่พยายามหนีจากความคิดพวกนั้น นางเพียงแต่ปล่อยให้มันผ่านมาผ่านไป เหมือนลมเฉื่อย ๆ ที่เลียผิวไม้ แล้วก็หายลับไปในเงาเขา


ลมหายใจเข้า… เธอรู้สึกถึงชีพจรตัวเองเต้นอย่างสม่ำเสมอเหมือนเสียงธรรมชาติ ลมหายใจออก… เธอรู้สึกว่ากระแสพลังในกายเริ่มเคลื่อนอย่างช้า ๆ จากจุดตันเถียนขึ้นสู่กลางอก แล้วไหลเวียนไปทั่วกายเหมือนหยาดฝนหล่อเลี้ยงผืนดิน นางเข้าสู่สมาธิได้อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ร่างกายที่เคยอ่อนล้าและจิตใจที่มักถูกรบกวนด้วยเสียงความคิดของผู้อื่นบัดนี้เงียบสงบ… ดั่งดอกไม้ผลิบานท่ามกลางสายลมฤดูร้อน มิรีบร้อน มิแข็งกร้าว แต่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตและพลังงาน


เวลาผ่านไปราวกับไม่มีอยู่จริงในลานกระบี่แห่งนี้ และหลินหยาก็ปล่อยให้ตนเองล่องลอยไปในห้วงสภาวะนั้นอย่างอิสระ ไม่แบกอดีต ไม่คาดหวังอนาคต... มีเพียง “ตอนนี้” ที่เปี่ยมด้วยความหมาย เมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นเล็กน้อย ดอกไม้ตรงหน้าเริ่มสั่นไหวจากสายลมที่เปลี่ยนทิศ หลินหยาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความแจ่มใส จิตใจเธอสงบ และว่างพอสำหรับจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอีกครั้งในวันใหม่




@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: เอาล่ะ มาเอาเงินจ้า


รางวัล

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 20000 = 100 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน

สรุปรางวัลที่ได้ : 100 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 24999 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,999 ไบต์และได้รับ +10 EXP +10 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,999 ไบต์และได้รับ +20 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,999 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 5 วันที่แล้ว
โพสต์ 24,999 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 5 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +100 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 100

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 24 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่หินมรรคา


ท่ามกลางแสงอรุณอ่อนที่เริ่มฉายผ่านม่านหมอกเบาบางแห่งยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่หินมรรคาซึ่งมักเงียบงันก็กลับดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยในเช้าวันนี้เพราะเสียงฝีเท้าเบา ๆ กับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของใครบางคนและ…หมาน้อยขนปุกปุยหนึ่งตัว หลินหยาในชุดผ้าบางสีอ่อนปักดอกไม้ฝีมือตนเอง อุ้มเจ้าหมาน้อยที่ชื่อว่า ‘เซียนเฉ่า’ ไว้แนบอก เจ้าตัวขนฟูนั่นดูยินดีนักที่ได้ออกมารับลมหนาวยามเช้า หางกระดิกไม่หยุด ขนสีน้ำตาลดำเงางามนุ่มลื่น ดวงตากลมใสและฉายแววความสุขเหมือนเจ้าของไม่ผิด


“ดูสิเจ้าเซียนเฉ่า วันนี้ฟ้าใสขนาดนี้ เจ้าโชคดีนะที่ได้มา ไม่ใช่ทุกวันนะที่ลมจะเบาขนาดนี้ ข้าก็เกือบจะนอนต่ออยู่แล้วเชียว” หลินหยาบ่นพึมพำกลั้วหัวเราะขณะวางเจ้าหมาน้อยลงบนพื้นหญ้าที่ขึ้นแซมตามรอยแยกของลานหิน เซียนเฉ่าก็เริ่มเดินย่ำไปมาอย่างมีความสุข ตะกุยดินบ้าง ล้มตัวนอนกลิ้งบ้าง แล้วเงยหน้าขึ้นบอกเสียงใส ๆ อย่างน่ารักอย่างที่สุด “วันนี้อากาศดีจริง ๆ ขอรับคุณหนูหลิน ข้าชอบแบบนี้ที่สุดเลย~” เสียงของเซียนเฉ่ากังวานใสราวเสียงของเด็กน้อยผู้ใสซื่อ ไม่มีใครคิดว่ามันจะสามารถพูดได้จริง ๆ จนหลินหยาต้องกลั้นยิ้มพลางถอนหายใจเบา ๆ


“โอ๊ย เจ้าอย่าพูดน่ารักนักสิ วันแรกที่ได้ยินเจ้าพูดนะ ข้าเกือบสำลักข้าวเช้าแทนเลยนะรู้ไหม…” เซียนเฉ่าเอียงคอมองแล้วยิ้มอย่างเขินอาย ขณะที่หลินหยาก็เดินวนรอบลานหินเพื่อยืดเส้นยืดสาย โดยมีเจ้าหมาน้อยวิ่งตามอยู่ไม่ห่าง


“วันนี้ข้าจะอยู่ที่นี่ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ต้องลงเขาแล้วไปส่งเจ้าดูร้านกับเจ้าชือฟ่านและท่านชายไป๋อีก เจ้าเซียนเฉ่า พอถึงร้านแล้วเจ้าต้องไม่วุ่นวายนะ เข้าใจไหม?”


“รับทราบขอรับ!” เซียนเฉ่าตอบเสียงใส แล้วนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมสมเป็นสุนัขดีเด่น “ข้าจะเป็นเด็กดีที่สุดในร้าน จะไม่เห่า ไม่วิ่งไล่ลูกค้า และจะไม่แอบกินขนมในกล่องหลังร้านอีกแล้ว!” หลินหยาหัวเราะออกมาทันที “อย่าให้ข้าจับได้นะว่าขนมงาผสมน้ำผึ้งหายไปอีกครั้ง เจ้าอย่าคิดว่าข้าจำกลิ่นลมหายใจของเจ้าตอนกินของหวานไม่ได้หรอก!” เซียนเฉ่าหลุบหูลงแต่ก็ยิ้มตาใสอยู่ดี


แดดเช้าที่เริ่มทาทาบลานหินมรรคา กลิ่นไอดินและกลิ่นหญ้าชื้นสดใหม่ เสียงสายลมพัดเบา ๆ ปะปนเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ กับเสียงหัวเราะของหญิงสาว…ทั้งหมดนั้นทำให้เช้าวันนี้ดูมีชีวิตชีวากว่าทุกเช้า และแม้ว่าจะเป็นเช้าที่ไม่มีเหตุการณ์ใดแปลกประหลาดเกิดขึ้นเลยก็ตามมันก็ยังอบอุ่นอย่างเงียบงันอยู่ดี


หลินหยาย่อตัวลงใกล้เจ้าหมาน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเกาหัวมันเบา ๆ นิ้วเรียวไล้ผ่านใบหูที่ตั้งชันด้วยความเอ็นดู กลุ่มขนนุ่ม ๆ สีน้ำตาลเข้มกับดำดูตัดกันอย่างเป็นธรรมชาติ เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าหลับตาพริ้มเล็กน้อยด้วยความสุข สมเป็นสัตว์ติดหรูที่โปรดปรานการถูกเอาใจยิ่งกว่าสิ่งใดในพิภพนี้ "เอาล่ะ เจ้าไปวิ่งเล่นได้เลยนะ แต่ระวังอย่าวิ่งไปไกล เดี๋ยวจะตกลงไปจากยอดเขาหัวซานนี่ล่ะ ถึงข้าจะฝึกสมาธิเจ้าญาญอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะบินไปอุ้มเจ้ากลับมาได้ทันหรอกนะ เข้าใจไหม?" หลินหยายิ้มเอ่ยพลางใช้นิ้วจิ้มเบา ๆ ที่จมูกหมาน้อย


เซียนเฉ่าผงกหัวสองสามที แล้วกระดิกหางเป็นการตอบรับ “ขอรับคุณหนูหลิน ข้าจะเดินอย่างสำรวม วิ่งอย่างงามสง่า ดุจคุณชายตระกูลใหญ่ ไม่ตกเขาแน่นอนขอรับ!” พูดจบมันก็กระโดดพรวดพลาดออกไปทันที โดยไม่ลืมหันกลับมาหลิ่วตาใส่หนึ่งทีแบบเจ้ากะล่อนแสนรู้ "อืม… สำรวมงั้นหรือ… วิ่งเหมือนหมาป่าหลงฝูงยังไงยังงั้น" หลินหยาอดพึมพำพลางส่ายหน้าอย่างขบขันไม่ได้ นางลุกขึ้นหันหน้าไปยังแนวยอดเขา ลมเบา ๆ ปะทะปลายผมที่ถูกรวบไว้หลวม ๆ ด้านหลัง 


เธอหายใจเข้า...ช้า ๆ ลึก ๆ...ดั่งดอกไม้ที่กำลังผลิบาน เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ของเซียนเฉ่าที่วิ่งวนไปรอบ ๆ พร้อมเสียงดมดินสลับเห่าเบา ๆ ทำหน้าที่แทนดนตรีประกอบสมาธิในเช้าวันนี้ได้อย่างดี หลินหยาทิ้งกายลงนั่งอย่างสงบ เหนือพื้นหินที่อุ่นด้วยแดดยามเช้า ริมฝีปากยกยิ้มบางขณะหลับตาลง …และในขณะที่เจ้าหมาน้อยวิ่งวนอยู่แถวรอบลาน บางทีก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า บางทีก็ก้มดมกลิ่นไม้หอมที่ปลิวมากับลมเช้า หลินหยาก็เข้าสู่ภวังค์แห่งการบำเพ็ญจิตของตนเองอย่างเงียบงัน แสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นปลายเขาคล้ายเป็นผู้เฝ้ามองคู่หนึ่งนี้อยู่ห่าง ๆ ราวกับรู้ว่าพวกเขากำลังใช้เช้าวันใหม่เติมพลังให้ทั้งใจและกาย…ในแบบที่เป็นตัวเองที่สุด


เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ดังตึ๊บ ๆ อยู่ด้านหลังเมื่อหลินหยาคลายมือจากท่าฝ่ามือวางตัก ลมหายใจสุดท้ายในสมาธิเลื่อนผ่านเรียวปากอ่อนหวาน ก่อนที่เปลือกตางามจะปรือเปิดอย่างช้า ๆ ราวกับดอกพุดซ้อนที่ผลิบานยามรุ่งสาง กลิ่นหอมของเช้าวันใหม่ยังลอยอยู่รอบกาย เสียงนกร้องและลมเย็นปะทะแก้มเบา ๆ เหมือนย้ำว่าโลกยังหมุนต่ออย่างแผ่วเบา แต่แล้วภาพทุกอย่างกลับถูกแทนที่ด้วยเจ้าน้อยร่างอวบป้อมที่กระโจนพรวดใส่ตักเธอ


“ฮ้าววว ท่านคุณหนู! ข้ากลับมาแล้วขอรับ! วิ่งได้ครบสามรอบลานกระบี่! ไม่ตกเขา! ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่ว่า...” เจ้าหมาน้อยเซียนเฉ่าแหงนหน้าส่งเสียงหอบหายใจเล็กน้อย ขณะถูกหลินหยาอุ้มขึ้นแนบอกตามนิสัยประจำ เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเกยคางลงบนหัวมัน "อื้ม เจ้าทำดีมาก ๆ วันนี้เก่งจริง ๆ นะ" นางลูบหัวมันอย่างเอ็นดู ปลายนิ้วไล้ผ่านขนละเอียดตรงหูเล็ก ๆ จนมันเริ่มหรี่ตาอย่างพึงใจ แต่ก็แค่ไม่ถึงครึ่งกะพริบตา เจ้าหมาน้อยก็เงยหน้าขึ้น ถามเสียงใสที่ทำเอาหลินหยาสะอึก


“ว่าแต่... วันนี้ท่านจะไปพบท่านชายกลิ่นแปลก ๆ อีกหรือเปล่าขอรับ?”


“…กลิ่น…แปลก?” หลินหยาชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนที่สีแก้มขาวจัดจะถูกย้อมด้วยสีชมพูระเรื่อทันที ดวงตากลมโตเบิกโพลงเล็กน้อยขณะลดมือที่กอดเซียนเฉ่าลงมาน้อย ๆ แล้วหันหน้ามองเจ้าหมาน้อยด้วยแววตาคล้ายจะฆ่าแต่มันก็ยังคงส่งสายตาใสซื่อมาอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราว 


“ก็กลิ่นแบบ…แบบกลิ่นที่สะอาดและสุขุมเป็นพื้นฐาน กลิ่นไม้หอมหรูหรา หรือเครื่องเทศบางเบาปนกลิ่นไม้แปลก ๆ กับมีกลิ่นอายของความเย็นชา ลึกลับ ความเฉียบคม…แล้วก็…มีอันตราย ๆ ด้วยขอรับ…” เซียนเฉ่าเงยหน้าบรรยายอย่างจริงจัง ใช้จมูกดมผ้าคลุมไหล่ของหลินหยาเบา ๆ แล้วกระดิกหางช้า ๆ “ข้าจำได้ กลิ่นท่านนั้นแรงมากเลย อยู่ติดท่านคุณหนูตั้งหลายครั้งแน่ะ แทบทุกวันเลย”


“เซียนเฉ่า! พอเลย! เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว!” หลินหยาสะบัดหน้าเร็วจี๋ ก่อนจะกอดหมาน้อยแน่นกว่าเดิมเหมือนใช้มันบังหน้า ริมฝีปากแดงน้อย ๆ เม้มแน่น ร้อนผ่าวทั้งสองแก้ม "เฮอะ! ข้าก็แค่ถามว่าเราจะไปหาท่านนั้นอีกหรือเปล่า...เห็นช่วงนี้ไม่เจอก็คิดว่าคงคิดถึง กลิ่นนั้นมันอบอุ่นดีนะขอรับแต่อันตรายแปลก ๆ คล้าย ๆ...กลิ่นของคนที่แอบชอบท่านมากกว่าผู้เป็นเจ้าของกลิ่นเสียอีก"


"เจ้าหมาน้อยบ้า!" หลินหยาเบะปาก ดึงหูมันเบา ๆ อย่างหมั่นไส้ ทั้งที่หน้าแดงจนไปถึงซอกคอ "ข้าก็แค่…แค่ยังไม่รู้ว่าจะไปหรือไม่ไป! แล้วมันก็ไม่ใช่กลิ่นแปลกอะไรทั้งนั้น! เป็นกลิ่น…กลิ่นคนบ้าอำนาจก็แบบนั้นแหละ!"


“อืม…ข้าจำได้ว่าเมื่อวานท่านแอบสูดกลิ่นที่แขนเสื้อตัวเองก่อนนอนด้วยนะขอรับ…”


“เซียนเฉ่าาาาาาาาาาาา!!” เสียงโวยวายของหลินหยา กลบเสียงลมยามเช้าไปหมดสิ้น ในขณะที่เจ้าหมาน้อยยังคงส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ คล้ายผู้ที่ได้เปิดโปงความลับสำคัญของเจ้านายสาวได้สำเร็จอีกหนึ่งคราแล้ว…





@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ไอ้หมานี้มันต้องเข้ากับจางกงกงได้ดีแน่เลย...


รางวัล

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 30000 = 150 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน

สรุปรางวัลที่ได้ : 150 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


99 EXP [LV Max] แจ้งเลื่อนระดับ +2 Point


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 35499 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 35,499 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 35,499 ไบต์และได้รับ +35 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 35,499 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 35,499 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] คุณธรรม [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 4 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +150 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 150

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 25 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ นอกเมืองฉางอัน ยอดเขาหัวซาน ลานกระบี่หินมรรคา


สายลมยามเช้าที่โอบรัดยอดเขาหัวซานยังคงเย็นสบาย แสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงบนพื้นหินอ่อนของลานกระบี่หินมรรคาเป็นประกายงดงาม หลินหยาก้าวขึ้นสู่ลานอย่างคุ้นชิน ปล่อยให้สายตาละเลียดไปตามหมอกบางที่ลอยคลอคลุมยอดไม้รอบข้าง ความสงบของสถานที่แห่งนี้ราวกับซึมเข้าสู่จิตใจนางในทันที หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด กลิ่นหญ้าและดอกไม้ป่าผสมกับไอหมอกจางทำให้หัวใจเธอแผ่วเบาลงทีละน้อย หลินหยาวางสัมภาระลงช้า ๆ ก่อนจะก้าวไปกลางวงหินอ่อนที่ขัดเรียบเป็นวงกลม นั่งคุกเข่าในท่าที่สบาย คลายไหล่ลง หยุดสายตาอยู่กับท้องฟ้าที่เริ่มสว่างไสว


“วันนี้…ทำใจให้สงบก่อน” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงความมุ่งมั่น ก่อนหลับตาลง ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านค่อย ๆ เลือนหาย ลมหายใจเข้า - ออกสม่ำเสมอราวกับจังหวะของธรรมชาติ เสียงนกก้องกังวานจากยอดไม้ไกล ๆ คล้ายจะกลายเป็นเพลงประกอบให้การบำเพ็ญของนาง ดอกไม้ป่าลู่ไปตามสายลมอย่างอ่อนโยน ดั่งพลังรอบกายกำลังหลอมรวมกับจิตใจของหลินหยา


นางค่อย ๆ ผ่อนคลายทุกความกังวลที่ติดอยู่ในหัวใจ ความวุ่นวายจากเมืองฉางอัน ความปั่นป่วนจากผู้คนที่รายล้อม…ทุกสิ่งถูกสลายไป เหลือเพียงความเงียบและความสงบภายในจิตใจของนางเอง เตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้าอย่างแน่วแน่


สายหมอกยามเช้าเคลียคลอรอบยอดเขาหัวซาน ราวกับม่านบางที่โอบห่มทุกสิ่งให้กลืนไปกับความสงบ หลินหยานั่งนิ่งในสมาธิอยู่นานจนร่างกายเริ่มรู้สึกเบาเหมือนไร้น้ำหนัก ทุกจังหวะลมหายใจเข้าออกกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้ และความเงียบที่แผ่วราวกับสรวงสวรรค์บนดิน เวลาคล้ายหยุดหมุนไปในห้วงแห่งความสงบที่นางสร้างขึ้นเอง เมื่อความคิดในหัวเริ่มนิ่งสนิทเหมือนน้ำในบ่อที่ไร้คลื่น หลินหยาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แสงอาทิตย์สีทองที่ลอดผ่านม่านหมอกกระทบเข้าดวงตาเจือประกายระยิบ นางขยับตัวลุกขึ้นอย่างสง่างาม ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอราวกับจังหวะหัวใจที่นิ่งลงแล้ว


ก้าวเท้าเบา ๆ ไปยังขอบลานกระบี่หินมรรคา หลินหยายืนมองทิวเขาที่ทอดตัวไกลสุดสายตา เส้นขอบฟ้ากับยอดเขาลูกน้อยใหญ่เรียงรายซ้อนทับกันเป็นชั้นคล้ายภาพวาด สายหมอกเคลื่อนคล้อยไหลรินไปตามหุบเขา ราวกับสายน้ำขาวนวลพริ้วไหวในอากาศ ดวงตาของนางจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างเงียบงัน โดยไม่คิดจะเอื้อนเอ่ยคำใด


ในช่วงเวลานี้ หลินหยาพยายามสลัดทุกความคิดที่พยายามจะไหลกลับเข้ามา ไม่คิดถึงจางกงกง ไม่คิดถึงคำพูดที่กรีดลึกลงหัวใจ ไม่คิดถึงความรู้สึกสับสนที่ยังซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของจิต นางปล่อยทุกสิ่งให้เลือนหายไปกับสายลมที่พัดแรงขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้โอบอุ้มความเงียบของเธอแทน


หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งสั้น ๆ เหมือนกับจะจดจำสัมผัสของลม แสง และความว่างเปล่าที่โอบรัดอยู่รอบตัว ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นมองทิวเขาอีกครั้งด้วยแววตาที่สงบและแน่วแน่กว่าเดิม ยืนอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ปล่อยให้ความงามของโลกกลืนทุกความรู้สึกวุ่นวายไปจนหมดสิ้น ขณะเดียวกัน หัวใจของหลินหยาก็เต้นเบา ๆ แต่มั่นคง ราวกับกำลังบอกตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรจะรออยู่ข้างหน้า นางพร้อมจะก้าวไปเผชิญมันด้วยใจที่มั่นคงแล้ว




@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: คิดมะออกแง๊ววววว


รางวัล

[การฝึกฝนตบะของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง]

+50 ตบะ ในการฝึกฝนตบะที่นี่ (ทุก ๆ 10,000 ไบต์ ต่อ 50 ตบะ) = 10000 = 50 ตบะ


โบนัสในการฝึกฝนตบะที่นี่ของผู้มีฐานะ ผู้บำเพ็ญขั้นสูง

ตำลึงเงิน เลขไบต์สองหลักสุดท้าย = 99 ตำลึงเงิน

สรุปรางวัลที่ได้ : 50 ตบะฝึกฝน, 99 ตำลึงเงิน


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 19699 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 19,699 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม จาก ด้ายแดงแห่งโชคชะตา  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 19,699 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ยอดคีตศิลป์  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 19,699 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 คุณธรรม จาก ปราณกระเรียนขาว(ไม้)  โพสต์ 4 วันที่แล้ว
โพสต์ 19,699 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +8 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ดาวนำโชค  โพสต์ 4 วันที่แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตำลึงเงิน +99 ตบะฝึกฝน +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 99 + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้