|
วันที่ 24 เดือน 9 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11 ยามอู่ เวลา 11.00 - 13.00 น. ╰┈➤ พบเจอจางกงกง
แสงแดดยามเที่ยงของเมืองฉางอันทอประกายสว่างจ้า ถนนสายกว้างที่ทอดเข้าสู่ย่านการค้าคึกคักไปด้วยผู้คนสัญจรไม่ขาดสาย เสียงกลองไม้ของร้านรวงดังสอดประสานกับเสียงแม่ค้าเรียกลูกค้าและเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วจากเด็กเล็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ข้างทาง ความวุ่นวายเหล่านี้กลับมิได้ทำให้เมืองดูสับสน แต่กลับเป็นภาพชีวิตชีวาและความมั่งคั่งอันเป็นเอกลักษณ์ของนครหลวง
ท่ามกลางถนนที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าเล็กใหญ่ ทั้งสองชายหนุ่มเดินเคียงกันไปอย่างสงบ เสวี่ยซีหันมองซ้ายทีขวาที ดวงตาสีอำพันกวาดผ่านสินค้าหลากหลายที่ถูกนำมาแขวนโชว์ตามหน้าร้านด้วยความสนใจ แต่ก็ยังคงมีสีหน้าครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าควรเลือกสิ่งใดดี
ห่าวหมิงซึ่งก้าวเดินไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง กลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “การซื้อเสื้อผ้าเป็นความคิดที่ดี แต่จะยิ่งดีกว่านั้น หากเลือกให้เหมาะสมกับรสนิยมของคนรักท่าน”
เสวี่ยซีชะงัก หันหน้ามาทางเขา ดวงตาฉายประกายตั้งใจฟัง
ห่าวหมิงเอียงหน้ามองเส้นทางเบื้องหน้า “ในเมืองฉางอัน หากกล่าวถึงร้านผ้าและเครื่องประดับที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ย่อมต้องนึกถึงร้านซือโฉว ที่นั่นมีทั้งผ้าเนื้อดีจากแดนไกลและเครื่องประดับฝีมือประณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ ท่านอาจจะพบสิ่งที่ถูกใจก็เป็นได้”
เพียงเอ่ยจบ เสวี่ยซีก็พยักหน้าทันที คลี่ยิ้มบางที่สะท้อนความซาบซึ้ง “เช่นนั้น ข้าจะเชื่อคำแนะนำของท่าน”
ไม่ช้านาน ทั้งสองก็มาถึงหน้าร้านซือโฉว ตัวอาคารสูงใหญ่กว่าร้านรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด ประตูไม้ทาสีเข้มสลักลวดลายเครือเถาอย่างวิจิตร โคมผ้าไหมสีงาช้างแขวนเรียงรายเหนือศีรษะ เมื่อแสงแดดยามเที่ยงส่องลอดเข้ามายิ่งขับให้ดูหรูหรา แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเรียบง่าย มิได้โอ่อ่าจนเกินงาม
เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน กลิ่นอายของผ้าใหม่ผสมกับกลิ่นไม้จันทน์ที่ใช้เผาอบห้องอย่างบางเบา ละมุนละไมราวกับบรรยากาศในหอชั้นสูง แผ่นผ้าไหมจากแดนต้าหลี่และทุ่งทรายตะวันตกแขวนเรียงรายทั้งสองฝั่ง ลวดลายวิจิตรบรรจงดุจภาพวาด เครื่องประดับเงินและหยกจัดเรียงบนตู้แก้วเนื้อใสสะท้อนแสงระยิบระยับจนแทบแสบตา
เสวี่ยซีเบิกตากว้างเล็กน้อย ดวงตาสีอำพันสะท้อนความประทับใจ “งดงามนัก ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองที่ผู้คนร่ำลือกัน”
ห่าวหมิงเพียงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวเกินจำเป็น แต่สายตาคมกริบยังคงกวาดมองรอบร้านราวกับกำลังชั่งน้ำหนักบางสิ่ง
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้างดงามเดินช้า ๆ ผ่านผืนผ้าหลากสี ลูบปลายนิ้วผ่านผ้าไหมบางเบาสีฟ้าคราม ก่อนหยุดมองเครื่องประดับเงินประดับหยกที่วางเรียงอยู่บนถาด เขาเงยหน้าขึ้นหันไปถามเสียงอ่อน “ท่านคิดว่าผ้าชนิดใด เครื่องประดับแบบใด ที่จะเหมาะกับคนรักของข้า?”
คำถามนั้นตรงไปตรงมา ราวกับไม่ได้ปิดบังความใสซื่อที่มีอยู่ในตัวตน ห่าวหมิงเหลือบตามองเขา ก่อนหันกลับไปยังแถวปิ่นปักผมที่วางเรียงอย่างบรรจง ดวงตาสงบนิ่ง
เสวี่ยซีเดินตามสายตาของห่าวหมิง จนพบปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งลายดอกเหมยทำจากเงินชุบทองอ่อน ประดับด้วยหินสีแดงเล็ก ๆ ที่เรียงเป็นเกสร ดูอ่อนหวานแต่ไม่หวือหวาเกินไป
เขาเอื้อมมือหยิบขึ้นมา หมุนเบา ๆ ใต้แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้ ดวงตาสีอำพันเป็นประกาย “ชิ้นนี้หรือ… ท่านคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”
ห่าวหมิงมองปิ่นในมือเขา ก่อนมุมปากจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่หาได้เห็นยากนัก “ปิ่นปักผมลายดอกเหมยนี้ งดงามและอ่อนหวาน เหมาะกับคนที่ท่านรักยิ่งนัก แสดงว่าท่านเข้าใจในรสนิยมของเขาเป็นอย่างดี”
คำพูดนั้นทำให้เสวี่ยซีเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายประกายประทับใจ ไม่ใช่เพราะได้รับคำชม แต่เพราะรู้ว่าตนเองได้เลือกสิ่งที่สะท้อนถึงหัวใจที่แท้จริงของเขา
เขากำปิ่นนั้นแนบอกเบา ๆ ก่อนหันไปยิ้มบาง “ข้าจะเลือกสิ่งนี้”
ห่าวหมิงมิได้เอ่ยคำใดต่อ เพียงพยักหน้าอย่างพอใจ แววตาสงบนิ่งกลับเปล่งประกายอุ่นบางเบา ราวกับยินดีที่เห็นอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของสิ่งที่มอบให้แก่คนรัก
บรรยากาศยามเที่ยงภายในร้านซือโฉวเต็มไปด้วยแสงแดดอบอุ่นที่ลอดผ่านหน้าต่างและเสียงผู้คนที่พูดคุยอย่างเบา ๆ ทว่า สำหรับเสวี่ยซีแล้ว กลับเหมือนทั้งร้านเงียบสงัด เหลือเพียงเขาและห่าวหมิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางแถวผ้าและเครื่องประดับละลานตา
การเลือกปิ่นปักผมเพียงชิ้นเดียว กลับทำให้หัวใจของเขามั่นคงขึ้นกว่าเดิม ว่าเขาสามารถมอบสิ่งที่คนรักต้องการได้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงความหวือหวาภายนอก
และในสายตาของห่าวหมิง สิ่งที่เห็นคือความตั้งใจจริงของเสวี่ยซี — ชายหนุ่มผู้ใสซื่อที่แม้จะยังมีความไม่ประสีประสาอยู่บ้าง แต่กลับเต็มไปด้วยความรักและความพยายามที่งดงามยิ่งนัก
เมื่อออกจากร้านซือโฉว ประตูไม้สลักลวดลายเบื้องหลังปิดลงอย่างเงียบงัน แสงแดดบ่ายคล้อยสาดกระทบพื้นหินเรียบของถนนการค้า ฉางอันยังคงเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ เสียงล้อเกวียนบดไปบนทางหินคลอเคล้ากับเสียงแม่ค้าตะโกนขายขนมร้อน ๆ กับชาเย็นที่มีคนรุมล้อม บรรยากาศคึกคักแต่ก็อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองใหญ่
เสวี่ยซีเดินเคียงข้างห่าวหมิง ดวงตาสีอำพันยังคงทอดมองปิ่นปักผมในกล่องเล็ก ๆ ที่ร้านซือโฉวห่อให้ด้วยผ้าไหมสีอ่อน เขากอดกล่องนั้นแนบอกอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของล้ำค่าที่สุดในชีวิต ความอ่อนหวานบนใบหน้ายังคงไม่หายไป
ห่าวหมิงปรายตามองแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ แต่แฝงความอบอุ่นบางเบา “เจ้าดูทะนุถนอมมันยิ่งนัก”
เสวี่ยซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยิ้มละไม “ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าเลือกมาเพื่อเขา ข้าหวังว่า เมื่อเขาได้รับเขาจะยิ้มอย่างมีความสุข”
ห่าวหมิงเดินไปข้างหน้าไม่เร่งรีบ แสงแดดยามบ่ายทอดผ่านแนวเสาไม้และเงาต้นไม้สองข้างทาง ส่องลงบนใบหน้าคมเข้มของเขา เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าดอกเหมยมีความหมายเช่นไร?”
เสวี่ยซีชะงัก ดวงตาสีอำพันกะพริบเล็กน้อย “ข้าไม่แน่ใจนัก รู้เพียงว่ามันบานงามท่ามกลางฤดูหนาวเท่านั้น”
ห่าวหมิงพยักหน้าเบา ๆ “ถูกแล้ว ดอกเหมยบานในยามหิมะปกคลุม เป็นสัญลักษณ์ของความอดทนและความเข้มแข็งท่ามกลางความลำบาก อีกทั้งยังหมายถึงความหวังที่ไม่เคยดับสูญ” เขาหันสายตามองเสวี่ยซี สีหน้านิ่งแต่แฝงความอบอุ่นลึกซึ้ง “เจ้าลองคิดดูสิ หากเจ้ามอบปิ่นปักผมลายดอกเหมยนี้ให้กับคนรัก ย่อมหมายความว่า เจ้าปรารถนาให้เขามีความสุขและความเข้มแข็ง ไม่ว่าต้องพบเจอกับสิ่งใดในชีวิตก็ตาม”
คำพูดนั้นทำให้เสวี่ยซีหยุดฝีเท้าลงกลางทาง หันมามองห่าวหมิง ดวงตาเป็นประกายวาบด้วยความซาบซึ้ง เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงสั่นแต่หนักแน่น “ขอบคุณที่ชี้แนะ”
ผู้คนเดินสวนผ่านทั้งสองไปเรื่อย ๆ เสียงเจรจาซื้อขายและเสียงหัวเราะดังเป็นฉากหลัง
เสวี่ยซีก้มลงมองกล่องในมืออีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนหวานแต่จริงจัง “ข้าจะมอบมันให้เขาด้วยมือของข้าเอง และจะไม่เพียงแค่มอบของ แต่จะมอบหัวใจที่ข้าเก็บรักษาไว้ทั้งหมดให้กับเขา ข้าอยากให้เขายิ้มได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดข้าก็ยินดี”
ห่าวหมิงมองภาพนั้นเงียบ ๆ ก่อนมุมปากจะยกขึ้นเพียงเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่ผู้อื่นอาจไม่ทันสังเกต แต่เต็มไปด้วยการยอมรับและความพอใจ เขาเอ่ยช้า ๆ “เจ้ามีหัวใจที่บริสุทธิ์ แม้จะไร้เดียงสาอยู่บ้าง แต่ก็เพราะความใสซื่อเช่นนี้ จึงทำให้เจ้ามีค่ามากกว่าใคร”
|