เจ้าของ: WeijiaLianhua

[บันทึกการเดินทาง] : การเดินทางตามหามุกวารี

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-5 23:40:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2025-6-5 23:47


บันทึกการเดินทางสีครามบทพิเศษ




   ครั้นตอนอยู่ในถ้ำวารีแม้เหมือนผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยามทว่ากลับผ่านไปแล้วถึงสามวัน บัดนี้ที่เสร็จสิ้นการรายงานข่าวต่อฉางซานเซียนหวาง นางวางแผนว่าหลังจากนี้จะนอนให้เต็มอิ่ม ทว่าเมื่อเดินออกไปได้ไม่นานโจวจินก็ยื่นกระดาษใบน้อยมาให้ราวกับไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยกระไรให้มากความนัก



   โปรดไปกับข้าที่หมู่บ้านเจินเติ้งได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากปรึกษา


   เว่ยเจียเหลียนฮวาก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยบอกสองสตรีที่เหลือกับเว่ยซานอีกหนึ่งตัวว่านางมีธุระกับโจวจินสักเล็กน้อย พักผ่อนตามสบายได้เลย ทั้งสองต่างเอ่ยขานรับอย่างเข้าใจก่อนที่เว่ยเจียเหลียนฮวาจะเดินไปขี่ม้าเพื่อออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเจินเติ้งตามที่โจวจินนำทาง

   ครั้นเมื่อทั้งสองได้มาถึงหมู่บ้านเจินเติ้งแล้วนั้นก็พบเพียงหมู่บ้านที่ว่างเปล่า ไร้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งสองเลือกที่จะผูกม้าไว้กับต้นไม้แข็งแรงสักต้นและเลือกเดินตามโจวจินไปสำรวจหมู่บ้าน…เรียกว่าเดินเล่นตามถนนอันไร้ผู้คนเสียมากกว่า นัยเนตรกลมดั่งเมล็ดซิ่งจดจ้องสหายของนางไม่วางตา เขาในยามปกติมักจะร่าเริง ตรงไปตรงมา นอบน้อม เป็นยอดยุทธ์ผู้หนึ่งที่น่านับถือ ทว่าเขาในยามนี้เจือด้วยความหม่นหมองอย่างน่าประหลาด บ่ากว้างที่พร้อมแบกผู้คนข้างหลังบัดนี้ห่อเหี่ยวลงหมดสิ้นความมั่นใจ

   “ข้าน่ะ ครั้งหนึ่งเคยมีคู่หมั้น…” ราวกับเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่สิ่งที่อัดอั้นภายในใจนั้นไม่สามารถเก็บไว้ได้ เขาก็เริ่มระบายออกมา น้ำเสียงของเขาช่างแผ่วเบาและอ่อนไหว “ข้าเคยมาทำการค้าที่นี่ด้วยล่ะคุณหนูสาม ในตอนนั้นข้าได้รู้จักกันคหบดีใหญ่ของหมู่บ้านแห่งนี้และได้พบเจอกับสตรีนางหนึ่ง นางเป็นเสี่ยวกู่เหนียงที่จิตใจดียิ่งนัก นางเป็นที่รักของผู้คนในหมู่บ้าน นางมักช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ข้าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น จนกระทั้งวาสนาได้พานพบและร่วมผูกด้ายแดง ทว่ากลับไร้บุพเพจะผูกสัมพันธ์ หลังจากหมั้นหมายนั้นข้าได้รับโอกาสที่จะเติบโตยิ่งขึ้น ข้าหมายมั่นตั้งใจว่าในวันที่ข้าร่ำรวย มีคาราวานใหญ่ เปิดร้านค้ารุ่งเรืองเป็นของตัวเอง ณ วันนั้นข้าจะกลับมาขอโอกาสได้ดูแลนางไปชั่วชีวิต ทว่า…ในช่วงเวลาที่ข้ายุ่งอยู่นั้น ข่าวคราวของนางก็หายไป หากไม่ได้ตามท่านมาฉางซานคงไม่อาจได้รับรู้เลยว่านาง…สุดท้ายแล้วอนาจเสียยิ่งกว่าความตายพรากจากไปแสนไกล”

   มือเรียวยกขึ้นมาตบบ่ากว้าง ทำได้เพียงยืนรับฟังเขาเงียบ ๆ ปล่อยให้น้ำตาของบุรุษผู้เข้มเข็มที่สุดหลั่งรินเงียบ ๆ ให้ความเป็นสหายบ่งบอกว่า ณ ปัจจุบันนี้ แม้จุดเริ่มต้นไม่ได้ดีเด่กระไรนัก ทว่านางที่ผ่านอะไรร่วมกับเขามาแสนนานนับเกือบยี่สิบทิวาราตรีย่อมสามารถนับเป็นสหายที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เขาอย่างแน่แท้

   ในช่วงเวลาที่แสนอ้างว้างได้ปกคลุมกายนี้เอง ความชะล่าใจที่คิดว่าที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งใดก็บังเกิดความประมาท มีผีร้ายที่หลงเหลือราว ๆ สิบห้าตนปรากฎขึ้นจนทำให้พวกเขาไม่มีเวลามาหลั่งน้ำตาอีกแล้ว เว่ยเจียเหลียนฮวาถอยหลังไปหมายยกเกาทัณฑ์ไม้จันทน์ขึ้นเพื่อเป็นฝ่ายยิงสนับสนุนเช่นที่ผ่านมาทว่ากลับต้องเร่งฝีเท้าหยิบกระบี่จากแหวนดาราจรัสมาตั้งรับการโจมตีจากผีร้ายแทนเมื่อแลเห็นว่าร่างสูงนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่

   “โจวจิน เจ้ายืนบื้อกระไรอยู่ !?”

   “...เฟิงหลิง”

   แขนแกร่งที่เคยตวัดฟาดฟันบัดนี้สั่นเทาเกินกว่าจะถือกระบี่ไหว ดวงตาสั่นเทาจดจ้องผีร้ายที่นางกำลังยับยั้งเอาไว้อยู่ก่อนจะเอ่ยขานนามที่เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่เชื่อสายตา และความคะนึงหาปะปนเต็มไปหมดจนเดาได้ไม่ยากเลยว่าสิ่งที่เลวร้ายตรงหน้าคืออะไร เว่ยเจียเหลียนฮวาที่ต้องยืนตั้งรับด้วยตนเองเต็มรูปแบบก็จำต้องออกแรงให้มากขึ้นเพื่อรับมือกับเหล่าผีร้ายที่ไม่ได้รับการชำระล้าง

   “โจวจิน ปลดปล่อยนางซะ!!!”

   น้ำเสียงที่ปนด้วยความโหโมได้ตะโกนออกมาจากร่างแน่งน้อยของสตรีที่เขาไม่เคยจะได้ยินเสียงของนางตะโกนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำเรียกสติให้เขามองโดยรอบให้ดี ร่างของผีร้ายนอนเกลื่อนเกือบสิบกว่าตัวด้วยฝีมือของนางคนเดียวไม่ได้ทำให้เขาตั้งสติ หากแต่เป็นร่างของนางที่กำลังตรีงกำลังผีร้ายตัวสุดท้ายเอาไว้ เป็นร่างของสตรีที่เขาฝังความทรงจำไว้สุดดวงใจ สตรี่ที่เขาเอ่ยนาม เฟิงหลิง

   ในจังหวะที่เว่ยเจียเหลียนฮวาพลาดพลั้งกำลังจะถูกโจมตี โจวจินที่ตั้งสติได้อีกครั้งก็จับกระบี่มาฟาดฟันนางจนบัดสิ้นชีพในที่สุดก่อนจะทรุดจมลงไปในความโศกาแสนทรมาน เขาจำต้องสละนางที่เขาคะนึงหาเสมอเพื่อรักษาสหายที่ยังคงอยู่เอาไว้

   นาง…ไม่อาจอยู่ร่วมกับเขาได้อีกต่อไปแล้ว

   “ข้าบาปหนามากขนาดนั้นเชียวหรือ ไยฟ้าดินต้องย่ำยีดวงใจของข้าขนาดนี้”

   ณ ช่วงเวลาที่ความสูญเสียหวนกลับมาขยี้ดวงใจของผู้ที่มีความหวังมาตลอด ความอ่อนแอที่ถาโถมทำให้เว่ยเจียเหลียนฮวาละทิ้งซึ่งจารีตบุรุษสตรี แขนเรียวโอบกอดบ่ากว้างและลูบหลังเบา ๆ ในยามนี้ไร้ซึ่งสเน่หาใด ๆ ทั้งสิ้น

   มีเพียงผู้สูญเสียเละสหายผู้อยู่เคียงข้างเท่านั้น

   ให้เวลาค่อย ๆ เยียวยาหัวใจที่มากด้วยบาดแผลสด ให้ความทรงจำที่ท่วมหัวใจได้ตระหนักถึงความแตกสลายและถึงเวลาที่จะกอบโกยเศษดวงใจมาต่อประกอบใหม่อีกครา เมื่อมือแกร่งค่อย ๆ ลดลงจากไหล่บางผู้ปลอบโยน เมื่อนั้นก็เป็นช่วงยามเซินเสียแล้ว

  “นี่ก็เริ่มยามเซินแล้ว ข้ามีสุรารสดีอยู่หนึ่งไห ไปเมาหัวราน้ำสักคืนดีหรือไม่ อาจิน ?”

   ผู้แตกสลายแสนแข็งแกร่งได้หัวเราะออกมาเบา ๆ แม้จะเป็นการเค้นอารมณ์ขันเฮือกสุดท้ายก็ตาม เขายอมรับเลยว่าหากอยู่ผู้เดียวเขาคงไม่อาจข้ามผ่านช่วงเวลาแสนทรมานนี้ไปได้ การมีอยู่ของนางแม้ไร้คำปลอบโยน ทว่าอ้อมกอดและฝ่ามือที่ลูบหลังเบา ๆ ช่วยทำให้เขาไม่เดียวดายในโลกอันโหดร้าย ทำให้เขาได้ตระหนักมั่นได้ว่าเขายังมีคนเคียงข้างและสักวันจะหายดี

   “ข้าไม่จ่ายค่าสุราหรอกนะ เหลียนฮวา”

   “ข้าบอกตอนไหนกันว่าจะเก็บค่าสุราเจ้าน่ะ”

   สุดท้ายแล้วทั้งสองก็เดินทางกลับฉางอันเพื่อพักผ่อน ทั้งคู่ที่กลับมามอมแมมยิ่งกว่าเดิมนั้นก็ถูกจ้าวหนิงเฟยตำหนิเสียยกใหญ่ว่าไปเจอสิ่งใดมากัน ทว่าทั้งสองกลับทำเพียงหัวเราะออกมาด้วยกันและไม่คิดจะบอกอะไรไป ราวกับต้องการฝังความโหดร้ายไว้ให้ลึก โบกดินเหนียวก่อกำแพงซ่อมแซมดวงใจว่าครั้งหนึ่งความรักนั้นเคยสวยงามมากเพียงใด และการจากลานั้นโหดร้ายเพียงใด

   และในเย็นวันนี้ตามที่เหลียนฮวาสัญญา นางเลี้ยงหม้อไฟแปดเซียนและสุรานารีแดงให้เขาอิ่มหนำสำราญลืมทุกข์โศกโดยมีการฉลองการชำระล้างหมู่บ้านชิวปี้บังหน้า

   ในสหายทั้งสองได้จดจำเอาไว้ว่าวันนี้คือวันที่อ่อนไหวที่สุดของสหาย

   และก่อกำเนิดมิตรภาพผู้ยืนเคียงข้างแม้ความตายไม่อาจพังทลาย


สกรีนช็อต 2025 06 05 184840



[NPC-13] โจวจิน
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)
(หากเป็นอาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] โจว จิน เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-6-5 23:57
โจวจิน ไม่เป็นไรนะพวก เราจะอยู่เคียงข้างนายเอง TTwTT  โพสต์ 2025-6-5 23:49
โพสต์ 17373 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-5 23:44
โพสต์ 17,373 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +4 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-5 23:44
โพสต์ 17,373 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-5 23:44
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-6 01:40:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2025-6-6 01:51


บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 19
เดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ ณ หมู่บ้านกลางทะเล


  

วันที่สิบสี่ ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   ในที่สุดข้าก็ได้กระดาษกับพู่กันจากการซื้อกับชาวบ้านแถวนี้ ได้เวลาแก้นิสัยชอบเทกระจาดตำราแล้วกระมัง สุดท้ายแล้วมันก็ต้องทิ้งไว้ ณ เกวียนที่ไม่อาจเอาไปด้วยได้ในยามคับขัน หากให้สรุปเรื่องราวที่ผ่านมานี้คงเป็น ‘ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก’ กระมัง

   เริ่มจากในตอนที่เข้าสู่ฉางซานก็มีผีร้ายโผล่ออกมาจากป่าจำนวนมาก พวกมันรูปร่างเช่นมนุษย์ทั่วไป ทว่ากลับกระทำตนไร้จิตวิญญาณ ไร้สติสัมปชัญญะ ราวกับศพเดินได้รู้จักเพียงการกัดและการฆ่าฟัน คราแรกเลยที่ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นแสนเขลานักที่เอาเกวียนมาแทนยอดอาชา ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดได้ไม่นานนักก็มีทหารลาตระเวนฉางซานพร้อมกับฉางซานเซียนหวางมาช่วยได้ทันการ

   ฉางซานเซียนหวางอธิบายให้ฟังว่าผีร้ายพวกนี้นั้นมาจากหมู่บ้านชิวปี้ มันสามารถขยายกลุ่มราวกับแพร่เชื้อโรคร้ายได้เพียงฝากแผลไว้ที่ร่างของคนผู้นั้น เล่าสั้น ๆ เลยก็เมื่อได้ไปสำรวจหมู่บ้านก็ได้พบว่าเหตุการณ์พวกนี้หาใช่เรื่องธรรมดาไม่ มันมีผู้คน ? มารปีศาจ? อะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลังนี้ แล้วยามนั้นเองที่เสียงแห่งหนี่วาก็ได้ส่งมาให้ข้าบอกว่ามุกวารีช่วยเหลือผู้คนได้

   ด้วยความร้อนใจจึงเดินทางแยกตัวออกมาโดยมีข้า จื่อเซวียนชิงหลี และ โจวจินออกมาตามหาถ้ำวารีก่อนจะต้องผ่านบททดสอบทั้งสี่บททดสอบเพื่อสืบทอดพลังของทายาทหนี่วา สุดท้ายพวกเราก็ทำได้และจื่อเซวียนชิงหลีก็รีบไปชำระล้างหมู่บ้านชิวปี้ ปิดจบวิกฤตของฉางซานอย่างสวยงาม


   ในช่วงขณะที่ลมเย็นยามไร้สุริยันในคิมหันต์ฤดู เว่ยเจียเหลียนฮวาที่กำลังจุดตะเกียงเขียนบันทึกประจำวันในการเดินทางครานี้ ณ ศาลากลางสวนงดงามในจวนผู้ปกครองฉางซานอย่างฉางซานเซียนหวาง ด้วยความที่บัดนี้วิกฤตได้จบลงแล้วจึงขนย้านของเข้าจวนคืน แขกอย่างนาง จื่อเซวียนชิงหลี โจวจิน จ้าวหนิงเฟยรวมถึงเว่ยซานก็ได้เข้ามาอาศัยในจวนนี้เป็นการชั่วคราว กำหนดการวันนี้ของคณะเดินทางคือการเดินทางไปพักผ่อน ณ หมู่บ้านกลางทะเลอันตั้งอยู่บนหลังวาฬตัวใหญ่ แม้นดูเหลือเชื่อ ทว่านางที่พานพบความน่าเหลือเชื่อมามากมายก็ไม่มีสิ่งใดให้ตกใจอีกต่อไปแล้ว

   แม้ว่านี่คือคิมหันต์ฤดู ทว่าในยามวิกาลเช่นนี้สายลมยังคงเย็นกาย นางที่มีร่องรอยบอบช้ำตามกายบ้าง จ้าวหนิงเฟยที่ต้องมาช่วยทายาเอาตามหลังก็ไม่ค่อยปล่อยนางไว้คนเดียวเท่าไหร่ ในยามนี้เองที่กำลังนั่งเขียนบันทึก จ้าวหนิงเฟยก็บอกว่านางลืมหยิบผ้าคลุมไหล่ของพระสนมออกมาจึงขอตัวกลับเข้าไปหยิบเสียก่อน บัดนี้ในช่วงเวลาลมราตรีพัดโบกบุปผาสีสดใสเอนไหว ภาพของสตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งตวัดพู่กันในศาลานั้นช่างงามตาไม่หยอก

   “ในช่วงเวลาที่ไม่ต้องไปถวายพระพรเสด็จแม่ เสียนอี๋เหนียงเหนียงยังคงตื่นเช้าเหมือนเดิมเลยนะ”

   บัดนั้นพลันมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยเสียงทุ้มคุ้นเคยลอยตามลม เว่ยเจียเหลียนฮวาที่จรดพู่กันลากเส้นสุดท้ายของคำคำหนึ่งพอดีก็ยกขึ้นและวางพู่กันลง

  “ในเมื่อคุ้นเคยกับการตื่นยามนี้เสียแล้ว ร่างกายก็พลันตื่นขึ้นมาโดยไม่อาจหักห้ามได้เลยเพคะ”

   “ทว่าท่านไม่ควรมานั่งเช่นนี้ผู้เดียวยามวิกาล”

   คำเอ่ยแลดูเป็นห่วงตามมารยาทนี้ส่งผลให้สตรีผู้ที่เขาเอ่ยว่าอยู่เพียงผู้เดียวยามวิกาลหลุดแย้มสรวลออกมาเบา ๆ ฉางซานเซียนหวางแลเห็นเช่นนั้นก็เลือกทีจะมองซ้ายขวาเพื่อสำรวจรอบข้างก่อนจะถอดเสื้อคลุมมาคลุมไหล่มนในอาภรณ์ตัวบางของคิมหันต์ฤดู สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีของโอรสสวรรค์ชะงักค้างไปชั่วครู่เมื่อจู่ ๆ ก็มีเสื้อไหมเนื้อดีมาคลุมไหล่เช่นนี้ ดวงตากลมเมล็ดซิ่งเลื่อนขึ้นตามมือแกร่งอันเป็นหลักฐานที่ว่าเขาเป็นเจ้าของอาภรณ์คลุมกายสีครามปักดิ้นเงินลายเมฆางดงาม

   ชั่วขณะที่สบสายตานั้นเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างพลันประเดประดังเข้ามาจนไม่รู้ว่าในอกนั้นรู้สึกได้ว่ามันกำลังเต้นหนักแน่นขึ้นเกิดจากความรู้สึกใดกันแน่ โศกเศร้ากับภาพนิมิต โล่งใจที่ไม่เป็นเช่นนั้น หรือว่าดีใจที่พบเขาอีกคราโดยที่อาจทราบได้เลยว่านางนั้นช่างมีวาสนาเพียงใดที่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

   เพราะนางก่อนหน้านี้ไม่ได้มีหวังเลยว่าตนจะรอดหรือไม่

   “เปิ่นหวางได้ยินว่าที่วัง…ท่านต้องพิษฝันสีขาว”

   “เพคะ”

   แล้วความเงียบก็บังเกิดขึ้นในหัวขององค์ชายแห่งต้าฮั่นนั้นไม่อาจทราบได้เลยว่าเขาต้องเอ่ยเช่นไรต่อ ในช่วงเวลานั้นที่ทราบว่าสตรีที่มักเผลอสบตากับนางอยู่บ่อยครั้งล้มหมอนนอนเสื่อด้วยต้องพิศหลังจากที่เขาออกจากฉางอันได้ก็ร่วมเกือบสามเดือน ทั้งได้ยินตลอดว่านางเพิ่งจะมาฟื้นเอาช่วงวสันต์ฤดู เช่นนั้นแล้วสตรีที่เขาคิดว่าคงใช้เวลาสักฤดูกาลในการรักษาจนกลับมาเดินเหินได้อีกครากลับมาปรากฎกายตรงหน้าเขานั้นช่างราวกับฝันสีพิสุจน์ที่เขาเผลอต้องเอายามใดไม่อาจทราบได้

   “หากเปิ่นหวางถามอีกสักคราว่าเหตุใดท่านถึงมาที่นี่ ท่านจะตอบหรือไม่”

   “เช่นนั้นแล้วหากหม่อมฉันเอ่ยว่าในช่วงเวลาที่หม่อมฉันต้องพิษจนหลับไหลอยู่ร่วมเกือบแรมปี นิมิตที่แลเห็นพระองค์อยู่ท่ามกลายไพร่ชนผีร้ายกลางเมืองเป็นภาพที่ทำให้หม่อมฉันมานั่งตรงนี้ หวางเย่จะเชื่อหม่อมฉันหรือไม่”

   แท้จริงแล้วนางแลเห็นนิมิตมานานมากกว่านั้น ตั้งแต่ที่เขาเพิ่งจะกลับฉางซานเสียด้วยซ้ำ ทว่านางเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ ช่างน่าอดสูเสียจริง

   ความไม่รู้ก่อเกิดขึ้นมาในอกของทั้งสอง ความรู้สึกที่ไม่อาจทราบได้ว่าควรจะวางบุคคลตรงหน้าไว้ตำแหน่งใจในหัวใจนั้นช่างอึดอัดเกินทน สำหรับนางที่บัดนี้แน่ชัดแล้วว่าไม่อาจพิศมองฝ่าบาทผู้ได้นามว่าสามีของสตรีทั้งหลายในวังหลังเช่นสามีจริง ๆ ก็ตั้งตนไว้เพียงในกรงสีทองไร้ผู้แตะต้องก็เท่านั้น ทว่าสำหรับเขาที่เป้นอนุชาในองค์หวงตี้ผู้ที่มองจากทางไหนย่อมเข้าใจเพียงแค่นางคือพระสนมของพระเชษฐา เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะวางไว้ตรงส่วนใดก็ตาม ส่วนนั้นคงจะเป็นส่วนที่ลึกมาพอที่จะมีเพียงเขาเท่านั้นรับทราบเพียงผู้เดียว

   “ข้า…ยินดียิ่งที่ได้พบท่าน”

   เป็นความในใจอันแผ่วเบาที่เอื้อนเอ่ยออกมา ปกติแล้วนั้นบุรุษตรงหน้ามักตรัสคารมคมคาย ระบายแย้มสรวลงดงามเปื้อนพระพักต์ นัยเนตรอันยากจะหยั่งรู้ได้ว่าสิ่งใดกันที่สะท้อนออกมา ทว่าบัดนี้เมื่อได้สบเข้ากลับพบกับความรู้สึกที่ไม่เข้าใจว่าเขาสื่อออกมาเช่นนี้จริง ๆ หรือ ลมหายใจของหญิงสาวพลันขาดห้วง ความอ่อนโยนแสนอ้อยอิ่งที่เลื่อนหัตถ์หนาขึ้นมาปัดเกษางามทัดหลังใบหูและค่อย ๆ ไล่ลงมาที่ปลายอย่างถนอมราวกับกำลังโอบอุ้มบุปผางาม

   บัดนั้นที่ได้ยินเสียงของบ่าวแว่วมาจากที่ไกล ๆ พักต์งามของสตรีพลันเลื่อนออกมา มือเรียวยกขึ้นลูบปลายผมสีดำขลับงดงามในบริเวณที่เขาเพิ่งลากผ่านอย่างอ่อนโยน ร่างบางผู้ไร้ประสบการณ์ในเรื่องหัวใจนั้นไร้ปราการจะต้านทานสิ่งใด ใบหน้างามค่อย ๆ ก้มลงเล็กน้อย ยกมือบางที่ยังคงกุมปลายผมเอาไว้ยกขึ้นมาปิดบริเวณจมูกลงไปราวกับต้องการบดบังกิริยานี้ ทว่าสิ่งที่แสดงออกมานั้นคือคิ้วมนที่ขมวด ดวงตาที่มักจะจ้องมองโลกทั้งใบเลื่อนสายตาลงต่ำราวกับไม่อาจสบสายตากับผู้ใดได้ แก้มใสที่โผล่ผ่านช่องว่างของเรือนผมแลเห็นสีแดงกลาย ๆ

   แม้นไม่อาจได้ยลยินสิ่งใดจากนาง ทว่าอย่างน้อยเขาก็ได้เอ่ยสิ่งที่ต้องการเอ่ยออกมา ดวงตาคมพิศมองใบหน้าที่ไม่ได้เลิศเลอเช่นดอกโบตั๋นที่ทำให้ผู้คนต้องหยุดจดจ้อง มิใช่มะลิที่ส่งกลิ่นฟุ้งหอมหวานน่าถนอม นางงดงามดั่งหญ้าหวาที่ขึ้นอยู่ริมทาง เป็นดอกไม้ที่หันหน้ารับแดดเงียบ ๆ ไม่อ้อน ไม่อวด ไม่เอ่ยคำ — ว่าเมื่อใดเขาเดินผ่านมุมสวนที่นางยืนอยู่ มักเผลอไผลเหลียวหาอีกครั้งอยู่ร่ำไป ในคราปกติแล้วใบหน้าของนางมักจะแสดงสิ่งที่นางต้องการก็แค่นี้ ทว่าในยามนี้ท่าทีเสียอาการทำให้เขาที่ต้องก้าวเดินถอยออกมาก่อนนั้นอดไม่ได้ที่จะแย้มสรวลออกมา ร่างสูงไม่เอ่ยสิ่งใดแม้เพียงครึ่งคำ หวังเพียงปล่อยให้ถ้อยวจีสุดท้ายหมุนวนในห้วงความคิดของสตรีผู้ที่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงจังหวะของดวงใจในอก ปล่อยให้กลิ่นที่ติดปลายจมูกได้ระลึกถึงตัวตนที่ฝังภายในใจ

   สุคนธรสตรึงใจดั่งกระดาษแผ่นบางที่เพิ่งเขียนบทกวี กลิ่นของต้นจันทน์ยามค่ำ กลิ่นสมุนไพรที่ระเหยตามสายลม... ยามเมื่อต้องเดินจาก จะมีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา และความคิดถึงที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว



   “บอกข้าทีว่าเจ้าไม่ได้ดื่มจนเมาค้างอยู่น่ะโจวจิน”

   “เจ้ามิใช่หรือที่ชวนเมาหัวราน้ำ ลืมสิ้นเลยว่าวันนี้ต้องเดินทาง”

   ในยามเฉินที่สหายทั้งสี่คนและหนึ่งตัวได้มารวมตัวกัน ณ หน้าเมืองฉางซานทางเหนือเตรียมควบม้าเพื่อเดินทางไปยังริมทะเลป๋อไห่เพื่อต่อเรือไปยังหมู่บ้านลู่ไห่ เว่ยเจียเหลียนฮวาในอาภรณ์งดงามเช่นพระสนมเดินมาพบเข้ากับสภาพน่าอนาจของโจวจินก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยวาจาเสียดสีสักเล็กน้อยตามความสนิทสนมที่มากขึ้น ทำเอาสตรีอีกสองคนงุนงงว่าเกิดเหตุอันใดกันเมื่อวานนี้ทำให้สองบุรุษสตรีได้ตกลงเป็นสหายต่างยศฐาราวกับผู้ท่องยุทธ์

   “ไว้เปิ่นหวางจะเร่งจัดการสถานการณ์ให้เรียบร้อย ขอให้พวกท่านพักผ่อนให้เต็มที่ในช่วงเวลาสามวันนี้”

   ฉางซานเซียนหวางเอ่ยขึ้นเพื่อส่งท้ายผู้มีพะรคุณช่วยเหลือเมืองที่เขาปกครองทั้งหมด ก่อนที่คณะเดินทางจะเดินทางด้วยความไวยิ่งขึ้นเพราะม้าชั้นยอดที่หวางเย่ให้หยิบใช้งานตามต้องการ

   คณะเดินทางใช้เวลาเพียงสามชั่วยามเท่านั้นก็มาถึงท่าเรือริมทะเลป๋อไห่ในปลายยามเว่ย พบเจอท่าเรือสำหรับขึ้นเรือเล็กไปยังหมู่บ้านทำให้จำต้องฝากยอดอาชาทั้งสี่ชีวิตไว้กับเถ้าแก่ดูแลท่าเรือ

   การเดินทางในครานี้มีเว่ยเจียเหลียนฮวาคอยออกค่าเดินทางให้ทั้งสิ้น เจ็บเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น นางพาทุกคนขึ้นเรือเล็กเพื่อข้ามฟากไปยังหมู่บ้านลู่ไห่อันจะเป็นสถานที่ที่นางพักผ่อนนับต่อจากนี้อีกหนึ่งคืน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น เท้าของคณะเดินทางทั้งหลายก็ได้มาเหยียบ ณ ผืนดินอันเป็นแผ่นหลังของสัตว์เทพในตำนานที่ยังมีลมหายใจ

   ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นก็พอจะคุ้นชินกับนักท่องเที่ยวผู้มาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราวอยู่บ้าง นางถามชาวบ้านที่รอรับเรือว่าที่แห่งนี้มีโรงเตี๊ยมหรือร้านค้าหรือไม่ ก็ได้ความว่าโรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกลทางจัตุรัสกลางเมือง อีกทั้งยังมีการตั้งซุ้มตลาดขายของอีกด้วย นางที่ชมชอบการซื้อของพิเศษและโจวจินที่เป็นพ่อค้าก็ไม่รอช้าที่จะชักชวนผู้คนไปเปิดห้องที่โรงเตี๊ยมสักคืนและไปเดินเล่นที่ตลาดในตอนยามเซิน

   “เถ้าแก่ ๆ มีสิ่งใดน่าสนใจขายบ้างหรือ”

   “มากมายนักกู่เหนียง ร้านของข้ามีใบชาหลากหลายชนิด”

   แล้วเว่ยเจียเหลียนฮวาก็ไล่เหมาของไปเกือบทุกร้าน นางผ่านร้านชาก็ซื้อชาจนหมด เจอะร้านเนื้อก็แวะเข้าไปซื้อเนื้อหายาก ไปซื้อแร่เหล็ก ของน่าสนใจมากมายจนตำลึงทองไหลออกไปหลายร้อยตำลึงทองเชียว

   “ใช้ตำลึงเยอะไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนูสาม”

   จ้าวหนิงเฟยผู้ที่ถือถุงเงินได้แต่ถอนหายใจออกมาเมื่อต้องหยิบอีแปะหลายก้วนจ่ายค่าถุงเกลือ เว่ยเจียเหลียนฮวาหัวเราะร่าเพราะว่านางไม่ได้รู้สึกว่ามันแพงไปเท่าไหร่นัก ในเมื่อที่ฉางอันมิได้มีของพวกนี้เกลื่อนเสียหน่อย

   “คุณหนูจื่อเซวียน อย่ากระทำตามเชียว”

   ในเมื่อบ่นเจ้านายของตนไม่ได้ก็ใช้ยุทธวิธีตีวัวกระทบคราด หันไปแอบสอนสั่งเจ้าหญิงผู้ใสซื่อหวังว่าจะไม่มือเติบเช่นนายหญิงของตนเอง ซึ่งเว่ยเจียเหลียนฮวาได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานแล้วจับจูงจื่อเซวียนชิงหลีเข้าออกร้านรวงมากมายเชียว

มาค่ะ ได้เวลาเหมาของ
ใบชาหลงจิ่ง 200 * 40 อีแปะ = 8,000 อีแปะ
ใบชาไป๋หาวอิ๋นเจิน 200 * 40 อีแปะ = 8,000 อีแปะ
ใบชาหวงซาน 200 * 25 อีแปะ = 5,000 อีแปะ
เนื้อเป็ดอูยา 100 * 21 อีแปะ = 2,100 อีแปะ
เนื้อกวาง 100 * 29 อีแปะ = 2,900 อีแปะ
เนื้อไก่ดำ 50 * 60 อีแปะ = 3,000 อีแปะ
สุรานารีแดง 2 * 40 ตำลึงทอง = 80 ตำลึงทอง
สุราซีเฟิ่ง 6 * 30 ตำลึงทอง = 180 ตำลึงทอง
แร่เหล็ก 20 * 80 ตำลึงเงิน = 1600 ตำลึงเงิน
กล่องปริศนา 1 * 50 ตำลึงทอง = 50 ตำลึงทอง
หินเพลิงฟ้า(อัปเกรด) 10 * 300 ตำลึงเงิน = 3,000 ตำลึงเงิน
มุกพลังวิญญาณ 1 * 20 ตำลึงทอง = 20 ตำลึงทอง
เกลือ 120 * 300 อีแปะ = 36,000 อีแปะ
รวมทั้งหมด 330 ตำลึงทอง 4,600 ตำลึงเงิน 65,000 อีแปะ





[NPC-13] โจวจิน
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] โจว จิน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-6 01:51
โพสต์ 34722 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-6 01:40
โพสต์ 34,722 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +12 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-6 01:40
โพสต์ 34,722 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-6 01:40
โพสต์ 34,722 ไบต์และได้รับ +2 ความโหด จาก กระบอกธนู  โพสต์ 2025-6-6 01:40
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-6 14:06:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทพิเศษ


  

   ลมทะเลพัดโอบโชยกลิ่นของมวลมหาสมุทรมาปะทะผิวกายจนรู้สึกชื้น ท่ามกลางผู้คนในท้องที่มากมายและนักท่องเที่ยวประปราย ถุงตำลึงพวกนางแม้เบาหวิวลงไปโขทว่ามันก็ยังมากพอสำหรับการเที่ยวเล่นสักคืน ในช่วงเวลาที่ดวงตากลมใสสอดส่องไปแลเห็นร้านม้วนตำราก็เผลอไผลเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปโดยไว ทิ้งสหายผู้อ่อนใจกับความคลั่งไคล้ตำราของนางเองไว้ให้เดินตามมาเอง

   “อย่านะ!”

   ช่วงขณะที่เว่ยเจียเหลียนฮวาหายไปกับร้านตำรา เว่ยซานวิ่งตามไปไม่ห่าง จ้าวหนิงเฟยกับโจวจินปรึกษากับว่าจะเดินตลาดไปด้วยกันหรือว่าจะแยกย้ายกันเดินแล้วกลับไปเจอกันที่โรงเตี๊ยมอีกทีดี ดูเหมือนจื่อเซวียนจะเห็นเด็กสาวถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งกำลังรุมล้อมกดดันและขู่ทำร้ายจนนางต้องร้องออกมาด้วยอารามตกใจ ทายาทหนี่วาผู้กำเนิดมาเพื่อโปรดปวงมนุษย์ย่อมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปปกป้องดรุณีน้อยนางนี้

   “ช้าก่อนบุรุษทั้งหลาย ท่านรังแกสตรีตัวน้อยงั้นหรือ”

   “แล้วมันเรื่องของเจ้าหรืออย่างไร ในเมื่อพ่อมันไม่อาจใช้หนี้ได้ก็ต้องเอาลูกมันมาขัดหนี้เสีย หากท่านผู้มาคุณธรรมยังเห็นแต่ชีวิตตนเองก็จงเอาหัวที่ยังตั้งบนบ่าออกไปจากที่ตรงนี้ซะ”

   “อย่าได้คิดจะแตะต้องเสี่ยวกู่เหนียงแม้แต่ปลายนิ้ว”

   เมื่อยืนยันแน่ชัดในเจตนาที่ไม่ยอมหลบเลี่ยง อันธพาลก็ไม่เกรงใจแม้เป็นสตรี พวกมันรุมเข้าใส่พร้อมกับถึงสามคนทั้งยังตวัดดาบโค้งมีคมโดยไม่หวั่นเกรงที่จะคร่าชีวิตเพิ่มสักคนเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุดไม่เห็นจะเป็นอะไร การโรมรันฟันแทงนั้นดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนผู้คนโดยรอบต่างหวีดร้องด้วยอารามตกใจและออกห่างเป็นวงกว้าง ในจังหวะที่จื่อเซวียนชิงหลีหันหลังไปรับมือชายฉกรรจ์ร่างโตเพื่อปกป้องแม่นางน้อยนั้นก็มีพวกเดียวกันเข้าข้างหลังใช้ดาบตวัดฟาดกลางหลังจนเกิดบาดแผลยิ่งกว่าต่อสู้กับผีร้ายเสียอีก

   จื่อเซวียนชิงหลีที่ตั้งตัวไม่ทันได้รับบาดเจ็บก็กรีดร้องออกมาก่อนที่สัญชาตญาณจะตื่นขึ้น ร่างกายที่แปรเปลี่ยนจากสองเท้าเป็นหางเรียวของอสรพิษตวัดฟาดอันธพานใจทรามผู้นั้นออกไปไกลเพื่อป้องกันตัว บัดนั้นผู้คนพลันแตกตื่นยิ่งกว่าเคย วงล้อมที่กว้างอยู่แล้วพลันกว้างออกไปอีกเพื่อถอยห่างจากสตรีประหลาด เสียงเอ่ยว่า ปีศาจ ดังก้องไปทั่วจนจับใจความเสียงอื่นไม่ได้เลย

   ครั้นเมื่อหันไปมองดรุณีน้อยที่นางช่วยชีวิตไว้ก็แลเห็นความหวาดกลัวในดวงตากลมใส โลกทั้งใบของทายาทหนี่วาพังทลายราวกับไม่อาจมีที่ยืนตรงนี้อีกต่อไป นางพุ่งกายเลื้อยออกจาก ณ จุดนี้เสีย

   ในจังหวะที่ผู้คนกรีดร้องว่าปีศาจ สหายทั้งสามที่ยืนไม่ไกลก็พุ่งตรงเข้ามาหมายจะกำจัดปีศาจช่วยเหลือผู้คน ทว่าภาพตรงหน้านั้นทำให้ทั้งสามคนต้องตกตะลึงเมื่อ ปีศาจ ที่ชาวบ้านกู่ร้อง ใบหน้าของนางคือจื่อเซวียนชิงหลี และบัดนี้นางไม่อาจสู้หน้าผู้ใดได้จนเลื้อยหนีไปโดยไวเสียแล้ว

   “ตามนางเร็ว!”

   สองเท้าไม่อาจตามเรียวหางของอสรพิษได้ เมื่อคลาดการติดตามแล้วก็จำต้องแยกย้ายกันตามหาให้ทั่วทั้งเกาะวาฬแห่งนี้ เว่ยเจียเหลียนฮวาเดินไปเรื่อย ๆ ราวหกสิบลี้จนกระทั่งไปแลเห็นสุดชายขอบของเกาะวาฬ ณ สถานที่ที่ต้นท้อตั้งตระหง่านงดงาม แลเห็นสตรีผู้ครอบครองเกล็ดเปล่งประกายงดงามสะท้อนแสงจันทรากำลังสะอื้นไห้ตัดพ้อในเผ่าพันธุ์และลมปากของผู้คน

   “เจอตัวแล้ว”

   สตรีผู้ที่เป็นดั่งศูนย์รวมใจของคณะเดินทางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งของต้นไม้ราวกับว่าต้องการให้พื้นที่แก่ผู้ที่อ่อนไหวที่สุดในยามนี้

   “ไยผู้คนภายนอกถึงโหดร้ายกับเรานัก แม้เป็นเช่นนี้ แต่ว่าข้าก็ยังคงเป็นมนุษย์คนหนึ่งมิใช่หรือ แล้วที่ข้าเข้าไปช่วยไม่ได้ทำให้เขาเห็นในความดีของข้าเลยหรือ ไยถึงรังเกียจเดียดฉันท์ถึงเพียงนั้น”

   “เพราะผู้คนมักหวาดกลัวในสิ่งที่แตกต่างจากตนเองอย่างไรเล่า จื่อเซวียนชิงหลี”
ใบหน้างามเงยขึ้นมองท้องนภายามรัตติกาล แลพิศดวงจันทราที่ทอแสงอ่อนโยนประดับด้วยกลีบดอกท้อที่โรยลงมาราวกับต้องการปลอบใจสตรี “มนุษย์ที่แสนอ่อนแอน่ะ มักจะตีตัวออกห่างเพื่อความปลอดภัยของตนเอง มันคือธรรมชาติของมนุษย์ผู้ไม่อาจเข้าใจสิ่งใดได้เลยจนกว่าจะถูกจับมานั่งให้พิศมองและตระหนักถึงความเข้าใจในสิ่งที่แตกต่าง”

   “เช่นนั้นแล้วข้าไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนได้หรือ”

   “ทั่วใต้หล้าหมื่นขุนเขาพันนที ผู้คนหลากหลายนับสิบร้อยหมื่นยังไม่อาจเอ่ยว่าเป็นหนึ่งเดียวได้เต็มปาก แล้วเจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนที่ประณามรูปลักษณ์ของเจ้าโดยไม่แลเห็นความดีของเจ้าทำไมกัน” เว่ยเจียเหลียนฮวาเอ่ยพร้อมกับยกมือบางไปลูบศีรษะน้อยเบา ๆ ดังเช่นพี่สาวจนทำเอานึกถึงสองพี่น้องสกุลเหวยในความทรงจำบททดสอบถ้ำวารี  “จะมีผู้ใดที่สามารถเข้าใจในตัวเจ้าได้มากเท่าตัวเจ้าเอง ผู้คนก็ตัดสินเพียงที่ตาเห็น ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคือใคร ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจว่าตัวตนแท้จริงของเจ้าเป็นเช่นไรแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็อย่าไปให้ค่าผู้คนที่ไม่เห็นค่าของเจ้า การโปรดผู้คนเป็นหน้าที่แล้วไซร้ ทว่าหากเจ้ามอบทั้งใจให้ใต้หล้า แล้วใต้หล้าที่เจ้ารักจะมีสักกี่คนเชียวที่มอบใจให้เจ้า”

   “อย่าอาวรณ์คนอื่นเลยจื่อเซวียน จงมองหาผู้ที่จะยืนเคียงเจ้าดีกว่า”

   “คุณหนูสาม ข้า…ข้า…”

   มีเพียงเสียงสะอื้นไห้และหยาดน้ำตาเท่านั้นที่เคยงข้างนางในยามนี้ จื่อเซวียนชิงหลีที่เอนมาซบไหล่บางผู้ที่ปลอบโยนและเคียงข้าง ณ ช่วงเวลาที่อ่อนไหวก็ค่อย ๆ อ่อนแรงลงในหนึ่งชั่วยามต่อมาจนเผลอไผลเข้าห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน ร่างกายที่เป็นครึ่งอสรพิษก็กลับคืนสู่สองเท้าของมนุษย์ทั่วไป

   “คุณหนูเว่ยเจีย—”

   จ้าวหนิงเฟยและโจวจินวิ่งตามมาเจอด้วยการนำทางของเว่ยซาน มือเรียวของสตรีเจ้าของนามที่พวกเขาเอ่ยยกขึ้นเหนือริมฝีปากบ่งบอกให้พวกเขาเบาเสียงลงหน่อย

   “เด็กน้อยที่ตลาดเล่าให้ฟังว่า พออันธพาลฟาดดาบไปที่หลังของนาง นางก็กรีดร้องแล้วกลายเป็นปีศาจ แม้ว่านางหวาดกลัว แต่ว่าอยากให้ช่วยดูแผลที่หลังพี่สาวงูตนนั้นให้หน่อย บอกมาเช่นนี้เจ้าค่ะ”

   “เท่าที่ข้าอยู่กับนาง ท่าทางบาดแผลคงสมานด้วยพลังของนางไปแล้ว ทว่าไม่อาจเพิกเฉยเรื่องนี้ได้” เว่ยเจียเหลียนฮวาเอ่ยก่อนจะหันไปทางโจวจิน “โจวจิน อุ้มนางให้ที กลับโรงเตี๊ยมไปดูอาการสักหน่อย ท่าทางวันรุ่งขึ้นคงต้องเร่งออกจากหมู่บ้านแต่เช้าเสียแล้ว”

   แล้วค่ำคืนนี้สตรีทั้งสามก็นอนในห้องเดียวกันเพื่อดูอาการของทายาทแห่งหนี่วา ส่วนหนึ่งบุรุษและหนึ่งหมาป่าก็ให้นอนด้วยกันอีกห้องหนึ่งตลอดทั้งคืน





[NPC-13] โจวจิน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

[NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-6 15:20
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] โจว จิน เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-6 15:20
โพสต์ 20033 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-6 14:06
โพสต์ 20,033 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +12 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-6 14:06
โพสต์ 20,033 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-6 14:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-6 17:39:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 20
เดินทางไปพักผ่อนหย่อนใจ ณ หมู่บ้านกลางทะเล


  

วันที่สิบห้า ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   ข้าได้รับรู้แล้วว่าหนานเจ้านั้นหาใช่สถานที่ของมนุษย์ทั่วไปไม่ หากถามว่ากลัวหรือไม่ การตอบว่าไม่เลยคงจะเป็นการโป้ปด ทว่านางคือสหาย และนางไม่ได้ทำร้ายผู้ใด เช่นนั้นแล้วเหตุใดต้องหวาดกลัวนางจนทำให้นางเสียความรู้สึกกัน กว่าจะปลอบนางที่เจ็บปวดจากโลกภาพนอกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ข้าก็หวังว่าในสักวันที่นางต้องอยู่คนเดียว นางจะเข็มแข็งและไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป


   จากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้เว่ยเจียเหลียนฮวาตัดสินใจจะกลับฉางซานเลยตั้งแต่เช้าแทนที่จะอยู่ต่ออีกสักคืน ในเมื่อสหายของนางไม่สะดวกใจจะอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนล้อมรอบแล้วเอ่ยว่านางเป็นปีศาจ เช่นนั้นแล้วไยต้องดื้อดึงอยู่ต่อ คณะเดินทางทั้งสี่คนและหนึ่งตัวได้ช่วยกันเก็บของ เว่ยเจียเหลียนฮวาเก็บใบชา เนื้อสดชั้นเลิศ แร่ทั้งหลายไว้ในแหวนดาราจรัส ด้วยความที่ต้องการเร่งออกจากที่แห่งนี้ตั้งแต่เช้า นางจึงสอบถามเสี่ยวเอ้อร์ว่าเรือเล็กเที่ยวแรกนั้นออกเรือยามใดก็ได้ความว่าเริ่มรอบแรกในกลางยามเหม่า

   ในช่วงเวลาที่คณะเดินทางกำลังเดินลงมาจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมนี้เองก็มีสองแม่ลูกเดินเข้ามาตรงหน้าและคุกเข่าโดยไม่ทันจะเอ่ยอะไรเกริ่นก่อนทั้งสิ้น

   “ขอบพระคุณกู่เหนียงที่ช่วยลูกของข้ามากเลยเจ้าค่ะ”

   จื่อเซวียนชิงหลีที่หลบหลังเว่ยเจียเหลียนฮวานั้นก็ชะโงกใบหน้ามาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน เมื่อสายตาของนางได้พินิจดูแล้วก็จดจำได้ว่าเด็กสาวผู้นี้ที่กำลังคุกเข่าข้างมารดาคือเด็กสาวที่นางเข้าไปช่วยเหลือเมื่อวานนี้นี่เอง

   “เสี่ยวกู่เหนียงเมื่อวานนี่”

   “สามีของข้านั้นติดการพนันนอกหมู่บ้านจนต้องมากู้หาไปเล่นเพิ่ม แต่สุดท้ายเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เขาหอบเงินไปเล่นพนัน ออกปากว่าจะกลับมาจนบัดนี้ยังไม่กลับเลยเจ้าค่ะ ข้ากับลูกสาวเลยต้องแบกรับหนี้สินแทนเขา เมื่อวานนี้หากมิได้กู่เหนียงช่วยเหลือข้าคงต้องสูญเสียลูกสาวของข้าไปตลอดกาลเป็นแน่”

   จื่อเซวียนชิงหลีที่คิดว่าผู้คนที่นี่ช่างใจร้าย ร้องห่มร้องไห้จนอ่อนแรงไปเมื่อวานนี้ก็รู้สึกเก้อเขินจนไม่รู้จะทำตนอย่างไร เว่ยเจียเหลียนฮวาแลเห็นเช่นนี้ก็แย้มสรวลออกมาขบขันในท่าทีของสตรีผู้เป็นองค์หญิงทว่ากลับไม่รู้จะรับมือเช่นไรกับผู้คน มือเล็กหันไปสะกิดจ้าวหนิงเฟยก่อนจะกระซิบกระซาบบางอย่างเพื่อให้จ้าวหนิงเฟยช่วยเอ่ยปากแทนตามประสาของสตรีฉางอัน ทำเอาโจวจินที่เห็นภาพนี้ก็ขบขันออกมาเบา ๆ จนเว่ยเจียเหลียนฮวาต้องใช้ศอกกระทุ้งเอวหนาให้เก็บทรงเอาไว้เสีย

   “คุณหนูของข้าบอกว่า เห็นแก่ที่พวกเจ้ารู้บุญคุณผู้ช่วยเหลือ เอ่ยปากและคำนับอย่างจริงใจ เช่นนั้นแล้วคุณหนูของข้าจึงให้สิ่งนี้เป็นของตอบแทนความรู้คุณ เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนที่รู้คุณในใต้หล้าจะได้พบกับสิ่งดี ๆ เช่นกัน”

   เมื่อจ้าวหนิงเฟยเอ่ยจบก็ยื่นถุงผ้าใบน้อยไปให้สตรีผู้เป็นมารดาของเด็กสาวผู้นั้น ภายในนั้นมีอีแปะราวสามก้วน (สามพันอีแปะ) อยู่ ไม่จำเป็นต้องเปิดดูแต่อย่างใดก็รีบก้มหัวขอบคุณผู้มีพระคุณของพวกนางจนหน้าผากแทบกระแทกพื้นอยู่รอมร่อ

   “ลุกขึ้นเถิด แม้มันจะผ่านได้ไม่ง่ายนัก ทว่าเจ้ายังมีลูกน้อยต้องเลี้ยงดู จงดิ้นรนต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะนี่คือชีวิตของมนุษย์เช่นเรา แล้วความสบายใจวันข้างหน้าจะตอบแทนความทุกข์ยากในวันนี้”

   ครั้นเมื่อแลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติมแล้วเว่ยเจียเหลียนฮวาก็เดินนำไปนั่งที่โต๊ะหนึ่งนโรงเตี๊ยมเพื่อหาอะไรทานลงท้องกันก่อนออกเดินทาง นางสั่งอาหารง่าย ๆ อย่างปลาเปรี้ยวหวาน ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว ชาหวงชานเหมาเฟิง และหมั่นโถวมาเป็นอาหารเช้าวันนี้ ยามเมื่ออิ่มท้องแล้วก็พร้อมออกเดินทาง เว่ยเจียเหลียนฮวาเดินนำออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อตรงไปยังท่าเรือเล็กข้ามกลับเข้าฝั่งแผ่นดินใหญ่ ในช่วงเวลาต้นยามเฉินนี้เองคณะเดินทางก็ลงจากเรือเล็กไปปลดม้าหมายออกเดินทางกลับฉางซาน ทว่าไม่ทันจะขึ้นขี่ม้าแต่อย่างใดก็ปรากฎปีศาจลักษณะเป็นกุ้ง ถือทวนสามง่ามตรงเข้ามาหาพวกนางสามตัว

   โจวจินที่ยังไม่ทันจะแก้มัดเชือกม้าของตนเองก็เร่งหยิบทวนของตนมาตวัดออกตัวปกป้องสตรีทั้งสามโดยมีเว่ยซานเห่าขู่อยู่เคียงข้าง ทว่าปีศาจกุ้งพวกนั้นก็ทำเพียงเอ่ยอย่างชื่นมื่นราวกับสนทนาลมฟ้าอากาศ

   “นี่แม่นางทั้งหลาย ยกพ่อหนุ่มนี่ให้พวกข้าเถิด สัญญาว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งหมด”

   ปกตินั้นต้องเป็นส่งตัวสตรีไปเป็นเหยื่อมิใช่รึ ? ทว่าดูเหมือนว่ากุ้งพวกนี้ชมชอบบุรุษเสียมากกว่า โจวจินที่รู้ล้วว่าตนมิใช่แค่ผู้ปกป้องแต่เป็นเหยื่อของปีศาจด้วยเช่นกันก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ

   “โจวจิน ข้าว่าเข้าต้องปกป้องตัวเองแล้วสิ”

   “ปกป้องข้ามิได้หรืออย่างไรคุณหนูเหลียนฮวา”

   แม้จะเอ่ยปากบอกให้สตรีปกป้อง ทว่าเมื่อสิ้นวจีหยอกเอินตามประสาสหายสนิทเขาก็พุ่งตัวเข้าไปปะทะกับกุ้งทั้งหลายโดยไม่ต้องให้สตรีทั้งหลายมาช่วยเหลือทั้งนั้น เพลงทวนถูกดึงมาใช้หลากหลายกระบวนท่าหวังเพียงชนะให้ได้ไวที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างกายของตนต้องถูกย่ำยี

   สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกเขาที่ได้มีกุ้งไว้ไปฝากเจ้าเมืองฉางซานแล้วกระมัง



   “มิใช่ว่าจะกลับพรุ่งนี้หรอกหรือ”

   เมื่อคณะเดินทางกลับมาถึงเมืองฉางซานช่วงกลางยามเว่ยก็ตรงกลับมาที่จวนเจ้าเมืองฉางซานอันเป็นสถานที่พำนักชั่วคราวของผู้กล้าปกป้องเมือง ฉางซานเซียนหวางที่ได้รับรายงานว่าพวกนางกลับมาแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องทรงอักษรมาต้อนรับคณะเดินทางด้วยทั้งมารยาทของเจ้าบ้าน และต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าพวกนางกลับมาแล้วจริง ๆ

   “พอดีว่าเกิดเรื่องนิดหน่อย ทว่าก็ได้ของฝากพระองค์ไม่น้อยเพคะ”

   เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ที่ดึงของสำหรับฝากฉางซานเซียนหวางออกมาตั้งแต่ก่อนเข้าจวนอยู่แล้วก็ยื่นใบชาชั้นดีมาให้เขา

   “หนึ่งกระปุกนี้เป็นไป๋หาวอิ๋นเจิน อีกหนึ่งกระปุกเป็นหลงจิ่ง ของฝากจากลู่ไห่เพคะ”

   “เช่นนั้นพวกท่านคงต้องนั่ง ๆ นอน ๆ เล่นที่นี่อีกสักวันแทนแล้วล่ะ”

   “เพียงได้พักในจวนของพระองค์หม่อมฉันก็ทราบซึ้งใจแล้วเพคะ ขอบพระทัยหวางเย่ที่กรุณาให้คณะเดินทางของหม่อมฉันได้พักในที่สะดวกสบายเช่นนี้”

   ร่างเล็กยอบกายถอนสายบัวเบา ๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปยังห้องนอนของตนเองหลังจากที่มอบของฝากให้ไปตามที่ต้องการเรียบร้อย ใช้เวลาหลังจากนี้ไปกับกับอ่านตำราที่เพิ่งซื้อมาจากหมู่บ้านลู่ไห่เมื่อคืนนี้แทน

สกรีนช็อต 2025 06 06 161545
สกรีนช็อต 2025 06 06 162634
สกรีนช็อต 2025 06 06 162328



[NPC-13] โจวจิน
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง + ชา/สุราเกรดม่วง (+10)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

[NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์อาหารเกรดม่วง + ชา/สุราเกรดม่วง (+10)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

ไอเท็มดรอป(ใช้เอฟเฟคผ่านประลองระบบ): (เอฟเฟค x2 ปกติ)
กุ้ง 2 ตัว

ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): +20 ตบะฝึกฝน
(เอฟเฟค x2 ปกติ)
กุ้ง (เลขไบต์หลักสุดท้าย)

ทวนสามง่าม (เลขไบต์ออก 0 และ 5)
(หากเป็น ผู้มีบุญ จะเพิ่ม % เป็นเลขไบต์ 0/3/5/8)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

สามารถยื่นขอปลดยืนยันหัวใจสืบดวงกับโจวจินเพื่อบรรลุหัวใจสูงสุด จากนั้นรอระบบหัวใจแถวสอง  โพสต์ 2025-6-6 23:35
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-6 23:32
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี เพิ่มขึ้น 65 โพสต์ 2025-6-6 23:32
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-13] โจว จิน เพิ่มขึ้น 45 โพสต์ 2025-6-6 23:31
โพสต์ 20129 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-6 17:39

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +60 ย่อ เหตุผล
Admin + 60

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-8 03:35:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2025-6-8 03:36


บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 21
มังกรวารีกับปทุมมาศในบ่อทองคำ


  

วันที่สิบหก ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   ดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้จับพู่กันเลยนะ ?


   ในวันหยุดพักช่วงวันสุดท้ายก่อนที่วันพรุ่งนี้จะต้องเดินทางต่อ นางได้กระทำในสิ่งที่ค้างคามาแสนนานอย่างการเขียนตำราเรื่องรอบตัวต้าฮั่นจนมาถึงหมวดสุดท้ายและเหมือนเพียงเอาไปเผยแพร่เป็นอันใช้ได้ เว่ยเจียเหลียนฮวาไม่รอช้า ใช้โอกาสที่จ้าวหนิงเฟยมารินน้ำชาให้ก็บอกให้เอาม้วนตำราไปจัดการให้เรียบร้อย จ้าวหนิงเฟยรับคำสั่งตามประสงค์ก่อนจะหยิบม้วนตำราฝีมือพระสนมเอกผู้เป็นดั่งปราชญ์ในมวลสตรีไปจัดการปักเย็บเข้ากับผ้าไหมงามเพื่อเป็นม้วนตำราแสนงดงามทว่าเนื้อหากลับเข้าถึงได้ง่าย ทั้งยังง่ายต่อการเก็บรักษาอีกต่างหาก

   เว่ยเจียเหลียนฮวาที่แลเห็นว่าม้วนตำราของนางได้ถูกรับตัวไปเรียบร้อยก็รู้สึกสบายอุราจนต้องหยิบตำราว่าด้วยเรื่อศิลปะแห่งการถ่ายทอดความคิดลงบนตัวอักษร ครั้นเมื่อกำลังดำดิ่งในตัวอักษรอยู่นั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาได้ก้าวเข้ามาในอาณาบริเวณนี้ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงดังชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนมาหยุดลง ณ ที่ที่นางกำลังนั่งอยู่ ดวงตาสีเปลือกไม้ที่มักจะจดจ่อเพียงตัวอักษรค่อย ๆ เลื่อนขึ้นด้วยสังหรณ์ใจที่ว่าผู้มาเยือนในครานี้ก็คงจะเป็นคนเดียวกันกับยามเช้าตรู่ไร้แสงจรัสเช่นเมื่อวานนี้ และมันก็เป็นเช่นที่นางคาดเดาไว้

   “กิจธุระของฉางซานเสร็จสิ้นแล้วหรือเพคะ ไยหวางเย่ถึงมายืนตรงนี้”

   เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาทักทายก่อนจะลดม้วนตำราลงวางไว้ที่ตักเล็ก บุคคลที่นางเอ่ยทักไม่ใช่ใครอื่น เป็นฉางซานเซียนหวางผู้ที่กำลังยืนอยู่ริมศาลาไม่ยอมก้าวเข้ามา พระพักต์งามแย้มสรวลเช่นปกติราวกับว่ากำลังล่อลวงให้นางเป็นคนเดินออกไปหาเขาเสียเอง ทางบุรุษผู้เดินเข้ามาเมื่อแลเห็นว่านางเป็นฝ่ายรู้ตัวเสียก่อนแม้ว่าจริง ๆ เขาจะไม่ได้ตั้งใจซ่อนตัวตนก็ตาม เขาก็เอ่ยสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ในการประทับ ณ ริมขอบศาลาเช่นนี้

   “เปิ่นหวางว่าจะไปลาดตระเวนเสียสักหน่อยก่อนออกเดินทาง แลเห็นว่ายังไม่พาเสียนอี๋เหนียงเนียงไปออกชมเมืองของเปิ่นหวางเลยมาเอ่ยชวน”

   “หวางเย่ทรงไม่กลัวว่าหม่อมฉันจะไปเดินเล่นจนครบก่อนหน้านี้แล้วหรือ”

   “ด้วยพิสัยของพระสนมที่เปิ่นหวางคิดว่ารู้แล้วนั้น เปิ่นหวางคิดว่าพระสนมหลังจากกลับจากหมู่บ้านลู่ไห่คงไม่ก้าวเท้าออกจากเรือนหรอกกระมัง”

   ซึ่งเป็นจริงดังที่พระองค์ตรัสมิใช่น้อย นางที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็เอาแต่นอนอ่านตำราจนจ้าวหนิงเฟยขอร้องว่าอย่างน้อยก็ขอให้เปลี่ยนสถานที่อ่านตำราบ้างจึงมาลงเอยที่ที่นางกำลังนั่งอยู่เช่นนี้ ใบหน้าของพระสนมหลังจากได้ยลยินเช่นนั้นก็แย้มสรวลออกมาอย่างเสแสร้งตามแบบฉบับของสตรีจอมเสแสร้ง ส่วนภายในใจนั้นกำลังรู้สึกทึ่งกับสายเลือดสกุลหลิวว่าเหตุใดเชื้อถึงแรงถึงเพียงนี้ จะคนพี่คนน้องก็ดักทางนางได้จนหมดจริง ๆ เว่ยเจียเหลียนฮวาได้แต่คิดภายในใจเป็นประโยคที่นางใช้กับฝ่าบาทไปแล้วด้วยความหมั่นไส้ส่วนบุคคล

   ‘ข้าล่ะเกลียดคนรู้มากเสียจริง’

   “เพื่อไม่เป็นการโป้ปดหวางเย่ หม่อมฉันจะไปด้วยก็แล้วกันเพคะ”

   เป็นการให้คำตอบกลาย ๆ ว่านางเองก็ไม่ได้เยื้องย่างยกย่องลงเหยียบพื้นดินภายนอกเช่นกัน…

   หลิวชุ่นที่แลเห็นว่านางเอ่ยบอกคำตอบมาแล้วก็ขบขันเบา ๆ รู้สึกเอ็นดูในท่าทีที่ไม่ยอมจะบอกมาตามตรงว่านางไม่ได้ออกไปไหนเลยแต่เลือกที่จะบอกว่านางไม่ใช่คนโกหกแทน ร่างสูงค่อย ๆ ผายมือเชื้อเชิญให้นางเดินตามเข้าออกมาข้างนอกเพื่อขึ้นรถม้าสำรวจรอบเมือง แท้จริงแม้จะบอกไปแบบนั้นแต่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็อยากจะลาดตระเวนดูเพื่อความสบายใจว่าในคราที่เขาจำต้องจากบ้านเมืองไปไกลถึงเพียงนี้ มันจะไม่มีสิ่งใดมากล้ำกลายได้อีก

   การเดินทางเพื่อสำรวจเมืองพร้อมลาดตระเวนความปลอดภัยไปในตัวก็เริ่มขึ้น โดยเริ่มจากบริเวณใกล้ ๆ ขึ้นรถม้าเคลื่อนผ่านตามตลาด จัตุรัสผู้คนพลุกพล่านมากขึ้นด้วยความสบายใจในการใช้ชีวิต ใบหน้างามของสตรีหนึ่งในผู้กอบกู้อดยกยิ้มภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ มือเรียวที่มักจะจับตำราก็แง้มดูโลกภายนอกตลอดการเคลื่อนผ่านตามที่ต่าง ๆ จนไปสะดุดตาเข้ากับร้านตำราที่นางยังไม่เคยเข้าถึงกับเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อของบุรุษผู้นั่งตรงข้ามนางโดยไว

   “หวางเย่เพคะ ช่วยจอดรถม้าก่อนได้หรือไม่”

   เขาเอ่ยบอกให้จอดก็จริง ทว่าด้วยความสงสัยเขาก็ชะโงกใบหน้าดูนอกรถม้าด้วยเช่นกัน แลเห็นว่าสตรีผู้สะกิดเขาเมื่อครู่โดดลงรถม้าเดินดุ๊กดิ๊กเข้าร้านตำราไปก็รับทราบได้เลยว่ามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เรียกร้องความสนใจนางได้ ใบหน้าคมคายที่ไม่มีผู้ใดจะมาจดจ้องยามนี้พลันปรากฎรอยยิ้มที่แฝงด้วยความคิดประหลาดอย่างการเริ่มคิดจะหลอกล่อนางด้วยห้องตำราใหญ่โตและปิดประตูตีแมวเสีย เมื่อดึงสติออกจากการวาดวิมารตำราได้แล้วองค์ชายแห่งต้าฮั่นก็ลงจากรถม้า แจ้งให้สารถีไปจอดใกล้ ๆ ร้านตำราก่อนที่เขาจะเข้าไปดูสถานการณ์ว่าบัดนี้ดอกบัวดอกน้อยที่ลอยฉิวเข้ามาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

   และไม่ทำให้เขาผิดหวัง ภาพของสตรีที่กำลังยืนตาโตกับตำราที่ยังไม่เคยอ่านก็ทำให้มุมปากของผู้พิศเห็นกระตุกยกขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เว่ยเจียเหลียนฮวาที่ก่อนเข้าร้านเอาแต่ท่องว่า ‘ไม่ซื้อ เราแค่มาดู ไม่ซื้อ เราแค่มาดู’ ก็กลับกลายเป็น ‘ไม่ดู เราแค่จะซื้อ’ แทนไปแล้วเรียบร้อย

   “คงไม่ได้จะเหมาทั้งร้านหรอกกระมัง”

   สิ้นวจีทุ้มที่โผล่มาข้างกายราวกับว่ากำลังชะโงกใบหน้ามองว่านางกำลังอ่านสิ่งใดอยู่พร้อมทั้งเอ่ยหยอกเอินอย่างเกินจริง ร่างเล็กที่กำลังไล่อ่านความน่าสนใจของตำราในมือก็ผินใบหน้าไปเตรียมจะบอกว่านี่มันไม่ได้มากมายเสียสักหน่อย อย่าว่ากล่าวเกินจริงนัก ทว่าเมื่อเลื่อนใบหน้าหันไปหมายจะตอบโต้จำต้องกลืนทุกสิ่งลงท้องไปเสียก่อน สิ่งที่ดวงตากลมสีเปลือกไม้แลเห็นคือใบหน้าของบุรุษแสนงดงามและคมคายอยู่ห่างจากใบหน้าของนางเพียงแค่ห้าชุ่นเท่านั้น ลมหายใจพลันขาดห้วง ดวงเนตรจดจ้องใบหน้าอย่างไม่อยากยอมรับเสียเท่าไหร่ว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามจมสามารถล่มเมืองได้ เมื่อเลื่อนขึ้นจนสบสายก็รู้สึกได้ในทันทีว่านี่มันไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว

   “ม ไม่ได้เหมาเสียหน่อยเพคะ ก็…ราวสิบม้วนเท่านั้น”

   เพื่อปกป้องดวงใจของตนเอง เว่ยเจียเหลียนฮวาเร่งขยับถอยห่างก่อนจะโกยม้วนตำราที่คาดว่าน่าจะเกินสิบม้วนด้วยซ้ำไปให้เถ้าแก่ร้านตำราคิดเงินและเร่งกลับขึ้นรถม้าคืน ภาพที่ฉางซานเซียนหวางได้ทัศนาความเสียกิริยาของนางนี้ก็ทำเอาเขาอยากให้ถึงวันต่อไปเท่าไหร่นัก

   เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองกลับขึ้นรถม้าสารถีก็เริ่มเคลื่อนรถม้าออกไปบริเวณนอกเมืองจนมาจอดที่ร้านน้ำชาร้านหนึ่งราวกับว่านี่คือจุดหมายปลายทางของการเที่ยวเล่นครานี้

   ร่างเล็กค่อย ๆ ลงจากรถม้าโดยอาศัยมือแกร่งช่วยประคองไม่ให้ล้มไปเสียก่อนตามมารยาทของสังคม ดวงตากลมสำรวจพื้นที่โดยรอบแลเห็นความสงบของท้องที่จนใจดวงน้อยค่อย ๆ กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ร่างสูงของพระอนุชาในองค์จักรพรรดิเดินนำเข้าไปยังร้านที่ร้างผู้คน ทว่ากลับไม่ได้ดูเหมือนขายสิ่งใดไม่ได้ เพียงแค่เหมือนว่าพวกนางมาในช่วงเวลาพิเศษที่ไร้ผู้คนเสียมากกว่า

   “พักดื่มชาสักหน่อยแล้วค่อยเดินลาดตระเวน”

   ครั้นได้โอกาสนางก็ไม่ปฏิเสธ ร่างบางนั่งลงอย่างว่าง่ายก่อนจะเอ่ยสั่งสิ่งที่นางชมชอบอย่าง “ขอขนมไหมฟ้ากับไป๋หาวอิ๋นเจิน”

   “ดูท่านชมชอบชาขาวนะ”

   “หม่อมฉันแค่ไม่ชอบชาขมน่ะเจ้าค่ะ”

   นั่นหมายความว่าแท้จริงแล้ว หากชาใดคือชาชั้นยอด ชั้นเลว นางดื่มได้หมดยกเว้นชาขมก็เท่านั้น ทั้งสองใช้ช่วงเวลานี้ในการนั่งพักลิ้มรสความหอมของชา ความหวานของน้ำตาลในขนม เป็นความสงบที่สายลมในช่วงใกล้เสี่ยวหม่านพัดโบกเบา ๆ ช่วยให้ความหอมของชากำจายไปทั่วทั้งร้านน้ำชาแห่งนี้ ทั้งสองใช้เวลาในการนั่งพักลิ้มรสขนมราว ๆ เกือบครึ่งชั่วยามได้ก็เดินทางต่อ แต่ว่าครานี้เลือกที่จะเดินแทนการนั่งรถม้า สารถีจึงต้องเฝ้ารถม้าที่ร้านน้ำชาอย่างช่วยไม่ได้

   การเดินทางต่อจากนี้นับว่าเป็นการเดินเพียงสองคนอย่างแท้จริง นางมองตามทางไผ่สูงแม้ดูเงียบสงบทว่ายังคงมีถนนพื้นหินปูให้รถม้า เกวียนเทียมและผู้คนเดินเหินสัญจร ยิ่งได้เดินสำรวจเมืองกับเขานางยิ่งตระหนักได้ว่าเมืองแห่งนี้มีความหมายแลพเต็มไปด้วยความทุ่มเทที่เขาดูแลมากเพียงใด นางคงกล้าเอ่ยได้เต็มปากเขาเป็นผู้ปกครองเมืองที่ดีคนหนึ่งเทียว

   ในขณะเดียวกันนั้นที่รอบกายเงียบสงัด ภายในหัวของบุรุษช่างมากมายมหาศาลด้วยคำถามที่อยากฟังคำตอบจากร่างบางผู้กำลังชมนกชมไม้สบายใจ ด้วยความต้องการคำตอบให้ตนเองเพื่อคลายความสบสันในใจนี้บุรุษในอาภรณ์ไหมชั้นงามก็เริ่มที่จะตรัสทำลายความเงียบนี้เสีย

   “ท่าน…ท่านว่าที่นี่เป็นอย่างไร”

   “เงียบสงบดีเพคะ เป็นเมืองที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยที่หนึ่งเลยก็ว่าได้”

   “แล้วฉางอันเล่า”

   “หากให้เปรียบคงเป็นดั่งเมืองใหญ่มากแสงสี ต้องยอมรับว่าเกือบทุกสิ่งสามารถหาได้ในฉางอัน แม้มีทุกอย่างทว่ากลับไร้ความสงบร่มรื่นไร้กังวลเช่นนี้”

   นั่นรวมทั้งหมายถึง อำนาจ ชื่อเสียง บริวาร เงินตรา ความมั่งคั่ง และทรัพย์สินล้วนมีหนทางหาได้ในฉางอันทั้งสิ้น ต้องเรียนถามใจของผู้อยู่อาศัยว่าต้องการสิ่งใดกันแน่ หากให้เปรียบคงยากที่จะเลือกเพราะว่าผู้คนบนท้องที่แต่ละท้องที่ล้วนแตกต่าง ความต้องการช่างหลากหลาย เช่นนั้นแล้วนอกเมืองคงจะไม่เหลือสิ้นหากผู้คนใฝ่หาเพียงเมืองใหญ่

   ชายหนุ่มได้คำตอบเช่นนี้แล้วหาได้กระจ่างใจไม่ กลับรู้สึกว่าด้วยความที่นางมักจะวางตัวเป็นกลางเสมอเช่นบัณฑิตไร้ฝักฝ่ายทำให้เขาอยากจะได้ยินคำตอบที่มาจากใจของนาง คำตอบที่หวังว่าจะทำให้คงามสับสนใจห้วงความคิดนี้หายไปเสียที

   “แล้วท่านเล่าพระสนม ท่านที่จากฉางอันมาคิดเช่นไร” บัดนั้นเมื่อคำถามได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาฝีเท้าที่ก้าวเดินพลันหยุดลง นัยเนตรแห่งสายเลือดโอรสสวรรค์จดจ้องสตรีผู้ได้ชื่อว่าเป็นสตรีของโอรสสวรรค์ ทุกความสับสนและความไม่เข้าใจล้วนเป็นเรื่องของนางทั้งสิ้น “เหตุใดท่านถึงมาอยู่ตรงหน้าข้าด้วยเหตุผลเพียงแค่นิมิตฝันกัน ทั้ง ๆ ที่หากท่านขอฝ่าบาท ฝ่าบาทก็คงจะสามารถหาวิธีส่งกำลังพลจัดการแทนที่จะให้ท่านเดินมาพบอันตรายแท้ ๆ”

   ครานี้เป็นดวงตาสีเปลือกไม้กลมหวานที่เฝ้าจดจ้องความสับสนที่ฉายผ่านแววตาของเขา ความอ้อนวอนขอคำตอบปรากฎอยู่ในคำถามและน้ำเสียงทุ้มอันแผ่วเบา ท่าทางที่ชวนให้นางรู้สึกประหลาดในใจก็ทำให้นางจำต้องมาเรียบเรียงความคิด ถักทอคำตอบที่หวังว่าจะสื่อไปถึงบุคคลตรงหน้า

   “หากหวางเย่แลเห็นหม่อมฉันในห้วงฝัน ยืนท่ามกลางผู้คนที่ล้มตาย ท่ามกลางวังหลวงที่พังทลาย เป็นเช่นนี้ทุกคืนราวกับโดนสะกดจิตใจจนเป็นกังวล เช่นนี้ท่านจะให้หม่อมฉันนิ่งดูดายได้หรือ ต่อให้สิ่งนี้คือเรื่องที่คิดฝันไปเอง ทว่าอย่างน้อยการที่มาเห็นกับตาว่าหวางเย่ยังปลอดภัย ย่อมไม่มีสิ่งใดให้หม่อมฉันกังวลได้อีก”

   “เช่นนั้นเปิ่นหวางเป็นเพียงนิมิตที่ทำให้เจ้ากังวลเท่านั้นหรือ”

   “ ‘เท่านั้นหรือ’ หากมันเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่กังวลหม่อมฉันคงไม่เร่งลุกจากตั่งเตียงมายืนอยู่ตรงนี้หรอกเพคะ”

   เพราะเป็นห่วงไม่ใช่หรือถึงมายืนอยู่ตรงนี้

   เมื่อห้วงอารมณ์ที่คุกกรุ่นไปปะทุขึ้น ด้วยสถานะทางสังคมทำให้นางที่เกือบพลั้งปากเอ่ยความในใจต้องหยุดยั้งตัวเองเอาไว้ ความเงียบหลังได้รับคำตอบของคำถาม ความคิดที่ติดตรึงในจิตไม่อาจเอื้อนเอ่ยนั้นมีมากมายเหลือคณานับ มีเพียงสายลมที่คอยพัดโอบให้ทบทวนความคิดและจิตใจของตนเอง

   ริมฝีปากงามเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะปิดแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาที่มักจะเฉยชากำลังวาวใสและไร้ความหนักแน่น วงคิ้วขมวดเข้าด้วยกันราวกับต้องการรวบความรู้สึกให้อยู่เพียงในอก

   หากว่านางเป็นเพียงคุณหนูสาม นางกับเขาในตอนนี้จะเป็นเช่นไร

   นางไม่อาจทราบได้เลยว่าระหว่างการที่นางเป็นพระสนมถึงได้มีตัวตนในชีวิตของเขา กับการที่นางเป็นเพียงคุณหนูสาวในจวนสกุลโอวหยางแต่ไร้วาสนาจะไปพิศเห็นแม้เพียงเงาของเขาสิ่งใดจะดีเลิศไปกว่ากัน

   “เช่นนั้น…เพราะเหตุใดกันท่านถึงมาอยู่ตรงหน้าข้ากัน”

   “หากเป็นข้าที่อยู่ในอันตราย ท่านจะมายืนอยู่ตรงหน้าข้าด้วยความรู้สึกเดียวกันหรือไม่”

   น้ำเสียงทุ้มเบาที่เอ่ยถามเป็นดั่งลมเบาที่เป่าเอากำแพงอิฐหนาล้มครืนดั่งเยื่อกระดาษสา วจีหวานเอ่ยตอบโต้ทันควันอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามันคือความรู้สึกที่เล็ดลอดจากความคิดและเหตุผลที่นางควรยึดถือเช่นปกติ ดวงตากลมใสเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปเอง นางที่หลุดจากการมีสติอยู่เสมอยกมือขึ้นปิดปากเล็ก เป็นหลักฐานชั้นดีว่าสิ่งนี้เป็นความรู้สึกที่นางพยายามไม่เอ่ยออกมาให้ผู้ใดรู้ทั้งสิ้น

   นกน้อยไม่อาจดิ้นรนออกจากกรงทองที่กักขังได้เช่นไร

   นางที่เป็นสนมผู้ต้องอยู่วังหลังไปชั่วชีวิตย่อมไม่อาจยื่นใจให้ผู้ใด

   ยิ่งเป็นพระอนุชาในองค์จักรพรรดิแล้ว หากท่าทีของนางแสดงออกมาแล้วไซร้ผู้ที่เสียหายย่อมเป็นเขา นางที่เป็นนางสนมสุดท้ายก็เพียงหยุดลง ณ ตำหนักเย็น เลือกผ้าแพรสักสามฉื่อ ยาพิษสักถ้วย หรือ กริชสักเล่มปลิดปลิวลมหายใจเงียบ ๆ ก็สิ้นสุดการมีตัวตนต่อผู้คนแล้ว น้ำหนักของสตรีในใจผู้คนช่างเปราะบาง แม้ถวิลหาความเท่าเทียมทว่าปิตาธิปไตยนั้นยังคงเหนียวแน่น เช่นนั้นแล้วหากเขาไม่ต้องการความรู้สึกใด ๆ นี้ เขาที่เป็นถึงบุรุษผู้ไม่อาจหาผู้ใดแทนได้ย่อมไม่อาจแปดเปื้อนเรื่องพวกนี้ให้มีมลทิน

   เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ไม่อาจสบสายตากับเขาได้อีกต่อไปเร่งหมุนกายเดินกลับไปทางเดินเพื่อขึ้นรถม้าคืน นางที่ก้าวเดินด้วยความหวังลึก ๆ ว่าเขาจะกลายเป็นกุญแจปลดนางออกจากกรงสีทองช่างแผ่วเบาและอ่อนแรงจนทำให้ร่างบางผู้มักจะเป็นผู้นำมาตลอดเหลือเป็นภาพของสตรีบอบบางและไร้กำลัง

   อย่าคาดหวังในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย

   นางผู้เติบโตมากับการถูกย่ำยีความหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่านางจะทนทานความผิดหวังได้หรือไม่ จึงกระทำเพียงบอกกับตนเองว่าอย่าได้หวังสิ่งใดจากผู้อื่นเลย โดยเฉพาะความรักที่พร้อมเผชิญหน้ากับความขวากหนามทิ่มแทงกาย

   อา…นางอยากรู้ใจเขาเพียงสักครั้งจริง ๆ





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

- สามารถโรลเพลย์เขียนตำราทางวิชาการขึ้นมา 1 เล่ม (สร้างบล็อกของเรา) +50 EXP : +2 Point : +100 ชื่อเสียงคุณธรรม (หากเป็นสนม +50 บารมี) (สร้างตำราสัปดาห์ละครั้ง)
- หลังเขียนตำราเสร็จแล้ว แนบรายละเอียดไว้ส่วนบนของบล็อก ชื่อตำรา: รายละเอียดโดยสรุปสังเขปตำรา: ตำราดังกล่าวจะถูกบัณฑิตทั่วไปช่วยกันนำไปเผยแพร่จนแพร่หลายทั่วฉางอัน

@Admin

แสดงความคิดเห็น

ฉางซานหวางจดจำคำตอบคุณแล้ว   โพสต์ 2025-6-8 22:51
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 60 โพสต์ 2025-6-8 22:51
คุณได้รับ +100 คุณธรรม โพสต์ 2025-6-8 22:51
คุณได้รับ 50 EXP โพสต์ 2025-6-8 22:50
โพสต์ 39576 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 03:35
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-8 17:37:37 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 22
การเดินทางสู่หนานเจ้า


  

วันที่สิบเจ็ด ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   จีหยาน จีหยาน จีหยานหรือ เหอะ น่าหมั่นไส้นัก เจ้าจิ้งจอกไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำคนอึดอัดได้หน้าชื่นตาบานเสียจริง


   เท่าที่นางสังเกตได้ ทั้งจากการไปลาดตระเวนเมื่อวานนี้และการเดินทางไปยังหมู่บ้านลู่ไห่คราก่อนทำให้แลเห็นได้ชัดเจนว่าบัดนี้ผีร้ายทั้งหลายได้หายไปจากอาณาบริเวณฉางซานเรียบร้อย หรือหากเจอจริง ๆ ในบริเวณหมู่บ้านร้างห่างไกลจากหมู่บ้านชิวปี้มาก ๆ ก็จะเป็นผีร้ายที่อ่อนแรงลงและสามารถปลิดชีพได้ ไม่ฟื้นขึ้นอีกครา การที่สถานการณ์ดีขึ้นในลักษณะเช่นนี้ร่วมกับมีทหารจากหลิวเป่ยในนามขององค์หวงตี้มาสนับสนุนหมู่บ้าน ทำให้ฉางซานเซียนหวางวางใจต่อการออกเดินทางไกลในครานี้

   “ในครานี้ยังคงเช่นเดิมที่เปิ่นหวางจะขอเสนอให้นำม้าไปสองตัว”

   “เรียนหวางเย่ หม่อมฉันคิดว่าควรนำม้าไปเท่าจำนวนคนเพคะ”

   ในขณะนี้คือการประชุมเพื่อกำหนดเส้นทางที่ไวที่สุดในช่วงยามเหม่าของวันเดินทาง เว่ยเจียเหลียนฮวาที่มีความเห็นต่างก็เอ่ยแสดงความคิดเห็นขึ้นมาอย่างฉะฉาน แม้ใจของนางนั้นจะยังไม่พร้อมจะพบปะเขาตรง ๆ เท่าใดก็ตาม ทว่าเรื่องบ้านเมืองและผู้คนต้องมาก่อน นางจึงเก็บความรู้สึกอึดอัดในใจนี้ลงไปและทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

   ทางด้านของฉางซานเซียนหวางเห็นว่าผู้ที่ทักท้วงเรื่องจำนวนม้านั้นหาใช่ใครอื่น เป็นสตรีที่หวาดกลัวอาชาสูงจนกายสั่นถึงเพียงนั้น วงคิ้วขนงพลันขมวดด้วยความสงสัยว่านางกระทำเช่นนี้เพราะอะไรกัน

   “แต่พระสนมเว่ยเจียเสียนอี๋ไม่สะดวกใจกับอาชามิใช่หรือ”

   “หม่อมฉันเดินทางมานานมากพอที่จะอดทนได้เพคะ ทั้งการเดินทางระยะไกลนั้นไม่เหมาะสมที่จะเพิ่มภาระให้มันเหนื่อยง่ายมากขึ้น หม่อมฉันจึงขอเสนอให้นำอาชาไปตามจำนวนคนจะดีกว่าเพคะ”

   ที่กล่าวมาหาใช่ว่าไม่มีเหตุผล แม้รู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นคือทางเลือกที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในเมื่อนางเอ่ยปากเองเช่นนั้นก็ไม่อาจคัดค้านได้เพราะเขาเองก็ต้องการที่จะไปหนานเจ้าให้ไวที่สุดเช่นกัน

   “ด้วยการเดินทางนี้จะไปกันหมด ฉางซานจะไม่เหลือผู้ใดดูแล หม่อมฉันขอให้จ้าวหนิงเฟยรั้งอยู่ฉางซานเพื่อประสานงานกับคหบดีหมู่บ้านหลิวเป่ย เพื่อการดูแลชาวเมืองที่ราบรื่นมากขึ้น หากมีสิ่งใดที่ต้องการให้เจ้าเขียนจดหมายอ้างนามของข้าไปยังฉางอันได้ตามต้องการ”

   เป็นอีกคราที่จ้าวหนิงเฟยจำต้องอยู่ห่างจากนายหญิงของนาง วงคิ้วมนขมวดเข้าด้วยกันเล็กน้อย นางเข้าใจว่านี่เป็นการทำงานที่ดีที่สุด ทว่าทางด้านจิตใจแสนภักดี นางนั้นอยากอยู่เคียงกายพระสนมที่นางเคารพรักมากกว่า ทว่าหากนางงอแงไปรังแต่จะทำให้พระนางลำบากใจเสียเปล่า จ้าวหนิงเฟยจึงทำได้เพียงลุกขึ้นเอ่ยรับความคาดหวังของพระสนม

   “รับด้วยเกล้าเพคะพระสนม”

   การประชุมนี้จบลงในยามเฉินพอดีกับเวลารับประทานอาหารเช้า นี่จึงเป็นการร่วมโต๊ะทานข้าวกับผู้คนทั้งหลายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกเดินทางไกลจากชายขอบทะเลสู่สุดดินแดนภูผาเหมันต์ เช่นนั้นแล้วจ้าวหนิงเฟยจึงอาสาเข้าครัวไปทำอาหารสุดฝีมือ ขนสุราชั้นดีมารินให้คณะเดินทางที่ตัดสินใจทานข้าวร่วมโต๊ะก่อนออกเดินทาง อาหารในวันนี้จึงดูดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีน เป็ดเป่ยจิงและสุรานารีแดง

   ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคณะเดินทางก็ได้ออกเดินทางในช่วงปลายยามเฉิน เดินทางลงใต้เพื่อไปยังสถานที่อันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรหนานเจ้า ดินแดนเทพีหนี่วาสถิต การเดินทางของพวกนางนั้นช่างราบเรียบด้วยเนื่องจากปีศาจร้ายทั่วเมืองได้หายไป อากาศที่เคยมีม่านหมอกบดบังนั้นสดใสขึ้นทันตา เปิดทางให้ร่างทั้งสี่ถูกแสงแดดอาบไล้สมกับเป็นช่วงใกล้เสี่ยวหม่านของปี

   การเดินทางในครานี้นับว่าไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก จื่อเซวียนชิงหลีและโจวจินต่างรู้สึกได้ว่าสหายของพวกตนกับองค์ชายนั้นต้องมีบางอย่างต่อกันจนไม่ยอมคุยกันแม้แต่ครึ่งคำถ้าไม่มีเหตุให้แสดงความคิดเห็น การเดินทางนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิดมากนั ด้วยเพราะว่าผู้นำทางในครานี้คือฉางซานเซียนหวาง ย่อมรู้จักเส้นทางทางการทหาร เป็นเส้นทางตัดเข้าสู่ที่ราบหวงเหอ เส้นทางราชการสายตะวันออกเฉียงใต้ ครั้นเมื่อเดินทางมาจนยามโหย่วก็พบว่าเดินทางมาถึงลั่วหยางพอดี

   “วันนี้ค่ำแล้วไม่เหมาะกับการเดินทางเสียเท่าไหร่ พักผ่อนที่ลั่วหยางก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ”

   “เพคะหวางเย่”

   “การเดินทางคราก่อนเจ้าให้พวกเขาเรียกเจ้าว่าอย่างไรหรือ”

   “???... คุณหนูสามเพคะ”

   “เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าจีหยาน ข้าจะเป็นคุณชายรองสกุลหลิว เข้าใจหรือไม่ คุณหนูสามเว่ยเจีย”

   แม้รู้สึกหมั่นไส้เพียงใด ทว่าการที่เรียกเช่นนี้เป็นเหตุเป็นผลมากเกินจะคัดค้านสิ่งใดได้ หากนางไม่อยากให้สหายทั้งสองเรียกนางว่าพระสนม พระสนมตลอดการเดินทางเช่นไร เขาคงไม่อยากถูกเรียกว่าองค์ชายตลอดการเดินทางฉันนั้น เว่ยเจียเหลียนฮวาจำต้องขานรับตามรับสั่งและไม่วายแอบทำหน้าทำตาเบ้ริมฝีปากบางเป็นปากเป็ด

   “เพ— เจ้าค่ะ จีหยานกงจื่อ” นางเอ่ยอย่างถือดีตามประสาคนหมั่นไส้บุรุษจิ้งจอกตรงหน้า “เช่นนั้นแล้วข้าอยากไปเดินซื้อของกับชิงหลี แต่จะเดินไปสองคนก็กระไรอยู่เลยจะขอเอาตัวโจวจินไปคุ้มกันกับช่วยถือของด้วย คุณชายจีหยานก็พักผ่อนให้มาก ๆ เล่าเจ้าค่ะ”

   สิ้นวจีหวานแขนเล็กก็ควงแขนสหายทั้งสองคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมหลังจากโยนของเข้าห้องกันเรียบร้อยแล้ว ท่าทางของทั้งสองผู้สูงศักดิ์นั้นช่างแปลกประหลาดในหลาย ๆ ความหมายจนโจวจินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาตอนที่เดินออกมาไกลเสียแล้ว

   “เจ้าทะเลาะกับเขาหรือ เหลียนฮวา”

   “ผู้ใดทะเลาะกับจิ้งจอกนั่นกัน”

   “นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครแล้วเหลียนฮวา”

   “ไม่รู้ ไม่ชี้ ข้าจะไปร้านตำรา!!”

   แล้วเว่ยเจียเหลียนฮวาก็เร่งฝีเท้าเดินหนีสหายทั้งสองไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องมาตอบคำถามราวกับถูกสอบสวนเช่นนี้ จบที่นางได้ไปเข้าร้านตำรา ยืนอ่านอยู่ร่วมเกือบครึ่งชั่วยามเชียวกว่าจะยอมละสายตาออกจากม้วนตำราเพื่อไปจ่ายค่าตำราและเอากลับไปอ่านต่อก่อนนอน





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)
(หากเป็นอาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

[NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + ชา/สุราเกรดแดง (+20)
(หากเป็นอาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5 เพิ่ม)
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
)

- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-8 22:53
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-6-8 22:53
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี เพิ่มขึ้น 90 โพสต์ 2025-6-8 22:53
โพสต์ 19200 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 17:37
โพสต์ 19,200 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +4 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-8 17:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-8 20:08:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 23
จากลั่วหยาง สู่ อานชิง


  

วันที่สิบแปด ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   เหนื่อยสายตัวแทบขาด บั่นเอวเหมือนจะระบม ผู้ใดเอาไม้มาทุบกายข้าหรืออย่างไร ไม่คิดเลยว่าการเดินทางเร่งรีบที่สุดเช่นนี้จะเหนื่อยยิ่งนัก เข้าใจแล้วว่าเหตุใดต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญแลแข็งแกร่งเป็นม้าเร็วกัน


   “ระวังหน่อยคุณหนูสาม”

   อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน เมื่อถึงเวลาที่ออกหากินตามปกติในยามเฉินนั้นเว่ยเจียเหลียนฮวาในชุดเรียบง่ายไม่ต่างจากตอนที่นางเป็นคุณหนูสามในจวนเสียเท่าไหร่เพื่อสะดวกในการเดินทาง สองเท้าเดินออกจากห้องตัวเปล่าเพราะของล้วนโยนเข้าแหวนดาราจรัส มีเพียงตำรากางอยู่ในมือ ดวงตาที่ควรจะมองทางในเวลาที่ต้องเดินลงบันไดกลับจดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรบนตำรา สำหรับนางนั้นนี่เป็นเรื่องธรรมดาจนสามารถอ่านหนังสือเดินไปมาตลอดเวลาได้ด้วยซ้ำ ทว่ามันคงจะเป็นเรื่องที่ดูอันตรายไปสักหน่อยในสายตาของผู้อื่นที่ไม่เคยแลเห็นนางในช่วงเวลาเช่นนี้ และผู้เดียวที่เพิ่งจะมาเห็นตัวเกียจคร้านคลั่งไคล้ตำรายามนี้คือฉางซานเซียนหวาง

   ด้วยอารามตกใจเสียงทุ้มที่ใกล้ชิดกว่าที่คิดโดยไม่รู้ตัวทำให้เท้าเล็กเหยียบขั้นบันไดพลาดลื่นเอาที่สองขั้นสุดท้ายเสียได้ ร่างเล็กที่เสียสมดุลพลันโอนเอนเตรียมจะล้มลงไปกองกับพื้น ทว่าการตอบสนองที่ว่องไวเช่นบุรุษผู้เยี่ยมยุทธ์ได้โอบกายสตรีประคองเอาไว้ไม่ให้นางต้องเจ็บตัวตั้งแต่เช้า ซึ่งภาพทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของโจวจินและจื่อเซวียนชิงหลีทั้งหมดเพราะพวเขาก็เดินตามมาติด ๆ และสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะทำให้องค์หวางเย่ประหลาดใจคงจะเป็นการที่แขนอีกข้างของนางกำลังถูกประคองด้วยโจวจินผู้พุ่งตัวมาด้วยความไวอย่างน่าเหลือเชื่อ

   “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่างน้อยตอนเดินลงจากบันไดก็ลดตำราลงก่อนน่ะ”

   เมื่อเหตุการไม่คาดฝันเกิดขึ้น สหายเช่นเขาย่อมต้องช่วยเหลือโดยไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ความสนิทสนมที่ทั้งสามคนแลเห็นว่าปกติบัดนี้เริ่มก่อเกิดความเคลือบแคลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจของหวางเย่ผู้ได้ลงมาสัมผัสการเดินทางร่วมกับคณะเดินทางจริง ๆ จัง ๆ

   เขารู้สึกได้ว่าพวกเขาสนิทกันยิ่งกว่าเดิม ตั้งแต่กลับจากการตามหาไข่มุกวารีจนเจอ

   “ข้าไม่เป็นอะไรหรอกน่า ต่อให้ล้มก็แค่บันไดสองขั้น”

   ทว่าดูเหมือนว่าเจ้าตัวนั้นจะไม่ได้ใส่ใจกับความปลอดภัยตัวเองเท่าไหร่ ซ้ำยังม้วนตัวเดินออกจากการประคองของสองบุรุษเพื่อเดินไปนั่งโต๊ะอาหาร สั่งอะไรมาทานง่าย ๆ ยามเช้า ส่วนจื่อเซวียนชิงหลีผู้ที่เฝ้ามองมาตลอดก็ได้แต่ส่ายหัวให้ทั้งสามคนในหลาย ๆ ความหมาย ทั้งอ่อนใจสตรีผู้ไร้กังวลยามถือตำราจนน่ากังวล ทั้งรู้สึกเห็นใจโจวจินที่บัดนี้สหายคนเก่งของพวกเขาไม่ตอบรับอะไรแล้ว และ รู้สึกว่าท่าทางการกระทำของสหายรู้ใจจะไปสะกิดอะไรสักอย่างของร่างสูงศักดิ์

   จากประสบการณ์ยืมม้วนวรรณกรรมรักประโลมโลกจากเว่ยเจียเหลียนฮวาอ่านจนใต้ตาดำคล้ำก็ทำให้นางดูจะมีจินตนาการกว้างไกลมากขึ้น เช่นในตอนนี้ที่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นวรรณกรรมรักสามเส้าม้วนล่าสุดที่นางเพิ่งจะอ่านจบเมื่อคืนนี้หรอกใช่ไหม แม้จริง ๆ แล้วในใจจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าอย่างไรเรื่องระหว่างเว่ยเจียเหลียนฮวาและโจวจินก็เป็นเพียงแค่สหายสนิทที่รู้ใจกันเท่านั้น หาได้มีสิ่งใดมากเกินกว่าที่เป็นเลยแม้เพียงนิด ที่ต้องคิดมากก็คงจะเป็นฉางซานเซียนหวางที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับพวกนางมาก่อนย่อมเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ

   โถ องค์ชายผู้น่าสงสาร

   ครั้นเมื่อท้องอิ่ม ก็เริ่มออกเดินทาง ในวันนี้แผนการเดินทางยาวไกลกว่าทุก ๆ วัน พวกนางต้องเดินทางลงใต้ตามแม่น้ำฮั่น ออกจากลั่วหยางเร่งฝีเท้าก้าวเข้าสู่อิ๋งโจวเพื่อพักม้าสักชั่วยามก่อนจะเดินทางต่อไปแถบเมืองอานชิงเพื่อขึ้นเรือสำเภาล่องไปตามแม่น้ำแยงซีเจียงในวันรุ่งขึ้น เช่นนั้นแล้วการเดินทางหลายชั่วยามของพวกนางจึงมาหยุดที่เมืองท่าแม่น้ำอย่างเมืองอานชิง





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

[NPC-13] โจวจิน
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

[NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


รู้แหละว่าบางตัวยังไม่ได้ปลด แต่ใส่ไปก่อน lol

- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

จื่อเซวียน ชิงหลี หัวใจตัน 6 ดวงแล้ว สามารถดำเนินการปลดหัวใจ 6 ดวงอย่างเป็นทางการได้  โพสต์ 2025-6-8 22:56
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-8 22:54
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-8 22:54
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-14] จื่อเซวียน ชิงหลี เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2025-6-8 22:54
โพสต์ 13278 ไบต์และได้รับ 8 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 20:08
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-9 00:30:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 24
ล่องเรือเดินทางลำน้ำแยงซีเจียง


  

วันที่สิบเก้า ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   วันนี้เมาเรือ จึงไม่จับพู่กัน


   หากเปรียบเทียบกันแล้ว นางที่เห็นด้วยกับการล่องเรือไปตามแม่น้ำแยงซีเจียงไม่ใช่เพียงเพราะมันรวดเร็วกว่า ทว่ามันหมายถึงว่านางจะได้พักจากการควบม้าอย่างน้อยก็ครึ่งค่อนวัน ให้เวลาได้ทำใจและพักร่างกายจากการเกร็งตัวจนเหมื่อยไปหมดนี้ด้วย ในปลายยามเฉินที่อากาศเริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อย ทว่าด้วยความที่เป็นเมืองท่าริมแม่น้ำอากาศจึงพอจะเย็นลงขึ้นมาหน่อย พืชพันธุ์ประขำฤดูที่แหลเห็นตลอดทางก็เริ่มออกดอกแล้ว ผ่านช่วงต้นคิมหันต์ไปก็คงจะเริ่มผลัดกลีบดอกก่อผลอ่อนเป็นแน่

   ในช่วงเวลานี้นั้นนอกเหนือจากการเดินทางที่ทรหดยิ่งกว่าเดิมในแง่ของการเดินทางไม่หยุดพัก เว่ยเจียเหลียนฮวาต้องยอมรับเลยว่าฉางซานเซียนหวางนั้นเหมาะสมในการติดต่อกิจธุระต่าง ๆ นัก นางที่ก่อนหน้าเป็นผู้นำในคณะเดินทางก็สบายขึ้นเป็นกองเช่นในครานี้ที่องค์ชายออกหน้าพูดคุยกับเจ้าของท่าเรือเพื่อเดินทางไปยังฉางซาให้ไวที่สุด

   เอาเข้าจริง นางก็แอบเสียดายไม่น้อยที่ไม่อาจเก็บสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่เป็นที่ก่อเกิดจิตวิญญาณลงไปในแหวนดาราจรัสได้ มิเช่นนั้นคงสบายเกินเรื่องเกินราวไปมากเชียว

   “ตลอดนับจากนี้เกือบทั้งวันเราจะล่องเรือไคว่โจวไปเย่วโจว หลังจากนั้นอีกราว ๆ สองชั่วยามล่องเรือผ่านแม่น้ำเซียงไปยังทางใต้ของฉางซา ที่นั่นมีเส้นทางลัดเลี่ยงเมืองที่ใช้ได้อยู่ ในส่วนของม้า ข้าจะปล่อยมันเข้าป่าไป มันได้รับการฝึกให้กลับเส้นทางเดิมอยู่”

   สิ้นวจีนุ่มในคราต่อมาคณะเดินทางก็ได้ฤกษ์ลงเรือเร็วเพื่อออกเดินทางไปตามเส้นทางแม่น้ำแยงซี เพื่อตรงไปยังเมืองเย่วโจวและต่อไปแม่น้ำอีกสายเพื่อไปจบที่ฉางซาน เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ขึ้นเรือไคว่โจวครั้งแรกเช่นเดียวกับจื่อเซวียนชิงหลีก็มองซ้ายมองขวา เกาะขอบเรือมองสายธารที่ไหลเป็นริ้วกระแสจากท้องเลือกที่แหวกว่าย เสียงของสายน้ำที่ถูกตีกับเรือส่งเสียงไพเราะชวนให้สงบใจไม่หยอก เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เว่ยเจียเหลียนฮวากระทำต่อคือการหยิบขนมคอเป็ดมาวางไว้ข้างกายและนั่งประจำที่ให้เรียบร้อย หยิบตำราออกมากางอ่านตามประสาสตรีผู้ที่ใช้เวลาไปกับการอ่านตำราเป็นส่วนมาก และแน่นอนว่าหลากหลายประเภทเสียด้วย

   อย่างเช่น…ช่วงนี้มีเรื่องหนักอกหนักใจก็มาอ่านม้วนวรรณกรรมประโลมโลกที่ช่วงนี้นางแบ่งกันอ่านกับชิงหลีอยู่เนือง ๆ

   เพื่อความปลอดภัยนั้นทำให้ต้องแยกกันนั่งเป็นคู่ และเพื่อความสบายใจเช่นกันถึงให้โจวจินนั่งกับจื่อเซวียน ส่วนนางนั่งกับฉางซานเซียนหวาง เช่นนั้นแล้วในยามนี้นางกำลังนั่งตัวตรงนิ่งให้ได้มากที่ชุดเชียว

   ด้วยความที่เรือแล่นเร็วด้วยกระมัง ความรู้สึกตอนนี้ของนางจึงกลายเป็นว่าแทนที่จะสงบ กลับรู้สึกคลื่นไส้แทน มือเล็กยกขึ้นมานวดหัวตาหวังคลายอาการปวดบริเวณหัวตาและอาการคลื่นไส้นี้ ฉางซานเซียนหวางผู้และเห็นปฏิกิริยานี้ก็อดห่วงไม่ได้

   “คุณหนูเว่ยเจีย เมาเรือหรือ?”

   “น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

   แม้ไม่อยากจะยอมรับเท่าใดนัก ทว่าอาการเช่นนี้คงไม่พ้นอาการเมาเรือ ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้เมาเรือตอนที่ข้ามไปหมู่บ้านลู่ไห่แท้ ๆ คงเป็นเพราะว่าครานี้เป็นเรือเร็วแล่นฉิว ร่วมกับอ่านตำราเพ่งอ่านตัวอักษรจนปวดหน่วงหัวตาไปหมด สงสัยนางคงต้องยอมแพ้กับการอ่านม้วนตำราวรรณกรรมว่าด้วยเทคนิคของการจัดการความรู้สึกแสนเข้าข่ายวรรณกรรมประโลมโลกขนาดย่อมด้วยตัวอย่างสถานการณ์แสนน้ำเน่า (แต่ก็ยังอ่านเป็นตุเป็นตะ)

   “หลับตาลงก่อนดีหรือไม่ หรือว่าเจ้าจะหลับไปก็ได้ แม้ไม่ได้ถึงที่หมายในเร็ว ๆ นี้ ทว่าหากใกล้ถึงเมื่อใดข้าจะปลุกเจ้าเอง”

   ร่างสูงเอ่ยพร้อมกับยกมือหนาขึ้นดันให้ศีรษะน้อย ๆ วางพิงบ่ากว้างของเขาเบา ๆ หวังให้นางได้นั่งหลับอย่างสบายมากขึ้นร่วมกับภายในใจลึก ๆ ที่ใช้เรื่องความสบายของนางเป็นข้ออ้างในการใช้การกระทำสื่อว่าเขาไม่อยากจะปล่อยให้เรื่องราวของพวกเขามันน่าอึดอัดไปมากกว่านี้ อย่างน้อยในช่วงเวลาที่นางกำลังพักผ่อนก็ขอให้ได้พิงกายสักก้านธูปก็ยังดี

   เว่ยเจียเหลียนฮวาที่รู้สึกคลื่นไส้เกินกว่าจะลืมตาขึ้นได้ก็ยอมพิงศีรษะกับบ่ากว้างเพื่อหลับตาลงพักสายตาและปล่อยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู หวังเพียงตื่นมาแล้วจะหายจากอาการเช่นนี้

   ใช้เวลาในการเดินทางร่วมสี่ชั่วยามได้ จากยามเฉินสู่ยามโหย่ว บัดนี้คณะเดินทางได้เข้าสู่เย่วโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากว่ามีผู้เดินทางที่รู้สึกคลื่นไส้กับเรือเร็วจึงตัดสินใจขึ้นจากเรือ ณ ที่แห่งนี้และเลือกไปขอเช่าม้าชั้นดี เว่ยเจียเหลียนฮวาผู้หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดก็ตื่นขึ้นอีกครั้งจากการปลุกของบุรุษข้างกายก่อนจะต้องอดทนเดินทางต่อ อย่างน้อยก็ขอไปพักแถบใกล้ ๆ เขตชานเมืองฉางซา

  เดินทางต่ออีกร่วมเกือบสองชั่วยามได้ จากท่าเรือทะเลสาบตงถิงมาสู่ริมแม่น้ำอู๋หลิงเข้าเขตเมืองฉางซา วันนี้คงไม่อาจเข้าเมืองได้ ร่วมกับความตั้งใจเดิมที่ต้องการใช้เส้นทางไปยังกุ้ยโจวซึ่งการเดินทางนี้ต้องตั้งสติให้มั่น เช่นนั้นแล้วอย่าฝืนเดินทางต่อเป็นการดี

   “ฝากสตรีปูผ้าเฝ้าของ ประเดี๋ยวข้ากับคุณชายโจวจะไปหาไม้มาจุดฟืนไฟ”

  แล้ววันนี้ก็มีเวลาอยู่ร่วมกับจื่อเซวียนสักเล็กน้อยและทุกคนก็เร่งเข้านอนกันเพื่อพักเอาแรง





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15883 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-9 00:30
โพสต์ 15,883 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +4 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-9 00:30
โพสต์ 15,883 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-9 00:30
โพสต์ 15,883 ไบต์และได้รับ +2 ความโหด จาก กระบอกธนู  โพสต์ 2025-6-9 00:30
โพสต์ 15,883 ไบต์และได้รับ +5 EXP +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-9 00:30
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-10 00:33:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด

บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 25
คาบจันทราพิทักษ์ผกา


  

วันที่ยี่สิบ ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   วันนี้ไม่มีผู้บันทึก


   คิดถึงเกวียนยิ่งนัก…

   เป็นเสียงภายในใจที่ดังขึ้นตลอดการเดินทางในวันนี้ ณ เส้นทางดินลัดผ่านป่าในยามอู่ เว่ยเจียเหลียนฮวาและสหายนั้นต้องตื่นมาตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม เก็บผ้าฟูกนอน เสบียงและเครื่องใช้ต่าง ๆ นับว่าการที่นางมีแหวนดาราจรัสทำให้การเดินทางนี้สบายยิ่งขึ้นในแง่ของการขนสิ่งของ จากนั้นก็ใช้เส้นทางลับเลี่ยงเมืองจากฉางซาเพื่อเดินทางไปตามเส้นทางที่นำไปสู่เมืองหย่งโจว

   ใช้เวลาไปสามชั่วยาม เปลี่ยนม้าระหว่างทางไปรอบหนึ่งได้ ในที่สุดคณะเดินทางก็ได้พักร่างกาย ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตเมืองหย่งโจว นับว่าการได้แลเห็นหมู่บ้านแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แค่ไหนก็ตามก็นับว่าเป็นสวรรค์ส่งมาโปรด

   “เรื่องม้า ที่นี่พอจะมีม้าชั้นยอดอยู่ ข้าจะไปจัดการเรื่องเปลี่ยนม้าก่อนออกเดินทางต่อ อีกราวชั่วยามค่อยมารวมตัวที่ประตูหน้าหมู่บ้านที่เดิม”

   “ข้าจะช่วยจูงม้าขอรับ”

   โจวจินผู้ที่มักจะช่วยเหลือผู้คนเสมอก็อาสาช่วยเหลือฉางซานเซียนหวางในการจับจูงม้าโดยจะได้แบ่งเบาภาระกันคนละสองตัว ปกติแล้วการแบ่งกลุ่มมักจะเป็นฉางซานเซียนหวางกับเว่ยเจียเหลียนฮวา โจวจินกับจื่อเซวียนชิงหลี เช่นนั้นแล้วการได้เห็นการแบ่งกลุ่มเช่นนี้นับว่าแปลกตานัก สตรีทั้งสองยืนมองสองบุรุษเดินไปจนลับตาแล้วร่างเล็กที่อายุน้อยกว่าก็แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย

   “เหลียนฮวา เสียดายที่ไม่ได้ไปกับเขาหรือไง”

   “ข้าเริ่มคิดมาสักพักแล้วว่าจะงดวรรณกรรมประโลมโลกพวกนั้นจากเจ้าสักพัก ชิงหลี”

   แม้ว่าจะไม่นานเท่าใดนักทว่าการที่ได้อยู่สองต่อสองกับจื่อเซวียนชิงหลีนับว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีไม่ใช่น้อย ทว่าด้วยลักษณะนิสัยร่วมกับก่อนหน้านี้แวะซื้อตำรามาตลอดเลยทำให้พวกนางตัดสินใจที่จะใช้เวลาตลอดหนึ่งชั่วยามไปกับการนั่งร้านชา สั่งขนมหวานและน้ำชามาจิบอย่างสบายใจ หยิบม้วนตำรามาอ่านฆ่าเวลา

   ครั้นเมื่อรู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาที่นัดแล้ว ทั้งสองก็ออกจากร้านชาเพื่อเดินไปยังสถานที่นัดหมายต่อ

   “บอกข้าทีว่าม้าชั้นเลิศพวกนี้ท่านไม่ได้ไปโยนถุงเงินใส่หัวขุนนางมา”

   “คุณหนูก็กล่าวอะไรน่ารักน่าชังยิ่ง ถ้าต้องทำเช่นนี้ทุกรอบข้าไม่หมดตัวก่อนรึ ?” ฉางซานเซียนหวางตรัสพลางแย้มสรวลออกมา “ที่นี่มีพันธมิตรของข้า ข้าก็แค่ไปขอแลกม้าเสียสักหน่อยเพียงเท่านั้น”

   “ก็แล้วไป”

   เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ทั้งสี่คนก็ออกเดินทางต่อโดยจุดหมายต่อไปคือกุ้ยหลิน เส้นทางตอนแรกนั้นราบเรียบดีอยู่หรอก ทว่าผ่านไปสักพักเส้นทางเริ่มคดเคี้ยว ฝ่าโขดหินและลำธารตื้นตัดขวาง ต้องเดินทางฝ่าป่าหุบเขา “เงาภูผา” ซึ่งเล่าขานกันว่าเป็นถิ่นอาศัยของ “เงาไร้วิญญาณ” — สิ่งมีชีวิตเร้นลับที่หลอกล่อวิญญาณนักเดินทางให้หลงทางตลอดกาล แม้ไม่อยากจะยอมรับเท่าใดนัก หากต้องเปรียบเทียบทักษะความสามารถการต่อสู้แล้วล่ะก็ เมื่อก่อนนางก็คงจะวางจื่อเซวียนชิงหลีไว้ในจุดที่ต้องปกป้องมากที่สุด ทว่าเมื่อได้แลเห็นร่างแท้จริงของนางแล้ว เว่ยเจียเหลียนฮวาจำต้องว่าตนเองไปอยู่ในจุดของผู้อ่อนแอแทนเรียบร้อย…

   ข้ามาทำอะไรที่นี่กันนะ…

   “ระวังตัวให้ดี ข้าได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว”

   โจวจินผู้อยู่รั้งท้ายเอ่ยออกมาเบา ๆ เตือนให้ทุกคนตั้งสติให้มั่น แม้ว่าสถานการณ์ที่เมฆามืดครึ้ม ท้องนภาร้องก้องนั้นจะทำให้การระบุตัวของสิ่งที่เคลื่อนไหวมันยากขึ้นไปอีก ณ วินาทีที่หยาดพิรุณเม็ดแรกตกกระทบไหล่บางของเว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ต้องขยับไปอยู่ตรงกลางของขบวนโดยฝีมือของจื่อเซวียนชิงหลีผู้ห่วงสหายของนางมากกว่าตนเอง ชั่วขณะนั้นก็มีเข็มเรียวแหลมพุ่งมาจากสองข้างของหุบเขา พวกนางถูกโจมตีแล้ว

   “อย่าให้ทายาทราชวงศ์หนานเจ้ารอดไปได้”

   เสียงของผู้สั่งการตะโกนก้อง เจตนาได้เผยอย่างชัดเจน นักฆ่าในอาภรณ์สีดำที่เร้นกายภายใต้ความมืดครึ้มยามเซินที่ฝนพรำพุ่งออกมาเพื่อหวังกำจัดคณะเดินทางให้สิ้นซาก

   “นักฆ่าพวกนี้ไม่ใช่ชาวหนานเจ้าด้วยซ้ำ”

   การที่จื่อเซวียนชิงหลีเอ่ยเช่นนี้ ร่วมกับดวงตาและสัมผัสอันแปลกประหลาดของผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์นี้ทำให้นางได้รับรู้ว่าคนพวกนี้คือมนุษย์นักฆ่าที่ถูกล้างสมองโดยปีศาจเจี๋ยฮว่าผู้ตกอยู่ในห้วงอนธกาลอีกที การต่อสู้โรมรันโดยที่ฉางซานเซียนหวางและโจวจินคอยออกหน้าปะทะตรง ๆ ส่วนจื่อเซวียนชิงหลีที่เห็นว่าคนพวกนี้มาทำร้ายนางและสหายย่อมไม่อาจปล่อยไว้ได้จึงแปลงกายตวัดหางอสรพิษห้าสีงดงามกระแทกพวกนักฆ่าให้ออกห่างจากเว่ยเจียเหลียนฮวา ซึ่งนางที่อยู่ตรงกลางวงนี้อยู่บนม้าคอยยิงเกาทัณฑ์สนับสนุนให้มากที่สุด

   ด้วยการจัดขบวนเช่นนี้ทำให้พวกมันเข้าใจผิดว่าเว่ยเจียเหลียนฮวาเป็นทายาทหนี่วาผู้ได้รับการปกป้อง นักฆ่าทั้งหลายจึงทะยานเข้ามามากขึ้นจนกระทั้งมีนักฆ่าหนึ่งคนหลุดเข้ามาหมายใช้กริชแทงเข้าที่อกของสตรีผู้อยู่ใจกลางของการปกป้อง ฉางซานเซียนหวางแลเห็นเช่นนี้ก็พุ่งเข้ามาตวัดกระบี่ปัดกริชออกไปให้ไกลที่สุด ในจังหวะนั้นเองที่ดวงตาเปลือกไม้แลเห็นว่ามีนักฆ่าใช้โอกาสที่เขาเปิดเผยช่องว่างจากการพุ่งเข้ามาปกป้องอย่างไม่ระวังหมายแทงเข้าที่อกแกร่ง เว่ยเจียเหลียนฮวาไม่รอช้าควบม้าไปถีบออกไปให้ไกล

   สถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น ทว่าวินาทีนั้นกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นเหยียบที่แทงเข้ามาในบ่าเล็ก ก่อนจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอุ่นร้อนที่ค่อย ๆ กระจายออกมาพร้อมหยาดโลหิตสีชาด มันคือเหล็กแหลมที่ปักจากข้างหลัง นางถูกโจมตีจนได้

   ร่างบางที่ค่อย ๆ ร่วงลงจากอาชาทำให้คณะเดินทางใจร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยเฉพาะฉางซานเซียนหวางผู้ที่ได้รับการปกป้องจากนางจนนางต้องเหล็กแหลมปักแทง ร่างกายกำยำขยับร่างตามสัญชาตญาณพุ่งไปรับร่างบางไม่ให้หล่นกระแทกพื้นพร้อมใช้กระบี่ตวัดปลิดชีพนักฆ่าในอาณาบริเวณนั้นด้วยปราณดาบจนชิ้นชีพ แม้ใจอยากจะอุ้มนางหนีไปให้ไกลเสียก่อนก็ตาม

   “ก้มหัวก่อนนะ”

   ทว่า ณ เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการกระทำคือการวางนางให้นั่งกับพื้นไว้ ก่อนจะเดินลมปราณภายในกายเพื่อกระจายกระแสปราณ รอบกายที่แลเห็นหมอกจาง ๆ โดยมีเขาที่ส่งประกายราวกับจันทราในยามราตรี ปราณที่แผ่ออกควบคุมให้นักฆ่าทั้งหลายต้องพบกับจิตรสังหารเกินจะรับมือ ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปตวัดกระบี่ปลิดชีพนักฆ่าทั้งหมดราวกับหมาป่าที่ขย้ำฝูงกระต่างในคมเขี้ยวเดียว

   ท่ามกลางพิรุณที่โหมกระหน่ำ รอบกายพลันกลายเป็นทะเลสีชาด ฉางซานเซียนหวางผู้แลเห็นว่าไร้ผู้ที่มีลมหายใจแล้วก็เร่งฝีเท้ามายังร่างของเว่ยเจียเหลียนฮวาผู้ชุ่มโชกด้วยหยาดฝนและโลหิต ทั่วทั้งร่างสั่นเทาอย่างไม่เคยประสบมานาน ภาพของสตรีที่อยู่ภายในดวงใจเสมอกำลังบาดเจ็บเพราะปกป้องเขา

   “ดึง…ออกไปให้หน่อย…”

   น้ำเสียงหวานสั่นเทาทว่ากลับเอื้อนเอ่ยในสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก มือเล็กพยายามฉีกชายกระโปรงเปียกชุ่มออกมาให้เป็นเส้น แม้ไร้กำลังในการต่อสู้ แต่นางผู้มีปัญญาย่อมมีความรู้ว่าในเรื่องแบบนี้ควรกระทำเช่นไรต่อไป

   นี่ล่ะนะ ประโยชน์ของตำรา

   “ข้าจะดึงแล้ว ทนสักประเดี๋ยว”

   แม้นต้องทำให้นางเจ็บ ทว่าการปล่อยเอาไว้รังแต่จะทำให้นางทรมานมากขึ้น ฉางซานเซียนหวางจำต้องดึงเหล็กปลายแหลมออกจากบ่าเล็กที่กำลังสั่นเทา เขาที่เคยอยู่ในสนามรบย่อมรู้ดีว่าการที่จะรักษาให้เจ็บน้อยที่สุดคือการทำให้มันหายไปในคราเดียว เช่นนั้นแล้วมือแกร่งจึงดึงออกให้หมดภายในครั้งเดียว

   “!!!”

   พหูสูตรน้อย ปราชญ์ในรั้วสีชาด นางเกียจคร้านแห่งเถียนเซี่ย จะคำเอ่ยไหนก็ไม่ได้บ่งบอกเลยสักนิดว่านางจะมีประสบการณ์และความสามารถในการสงคราม การต้องมาเผชิญเรื่องเจ็บตัวแม้เตรียมใจแล้วก็ตาม ความเจ็บปวดย่อมเป็นความเจ็บปวด มือเรียวส่งเศษผ้าที่ฉีกจากกระโปรงไหมชั้นดีให้เขาช่วยกดบาดแผลเอาไว้ พร้อมกับใช้มันมัดกดบาดแผลชั่วคราวไปก่อน ต่อให้ ณ ตอนนี้จะมีสิ่งใดช่วยนางได้มากกว่านี้ ทว่าท่ามกลางฝนพรำไม่เหมาะควรแก่การรักษาบาดแผล

   “เร่งหาที่หลบฝนรักษาบาดแผลนางก่อนเถิด”

   โจวจินเสนอทางเลือก ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ ด้วยอาชาที่ล้มไปหนึ่งเหลือเพียงสามร่วมกับการบาดเจ็บของสตรีผู้แสนบอบบาง ฉางซานเซียนหวางจึงอุ้มเว่ยเจียเหลียนฮวาขึ้นม้าไปพร้อมกัน สองเท้าตบสะโพกแกร่งของอาชาชั้นเลิศ สี่เท้าควบทะยานฝ่าหยาดน้ำที่หลั่งรินราวกับเป็นบทโศกที่ฟ้าดินมอบให้

   “ข้าจะช่วยเจ้าให้ได้ เหลียนฮวา ได้โปรด…อย่าเป็นอะไรเลย”

   น้ำเสียงทุ้มเอ่ยกระซิบหวังให้นางได้ยินและผ่านความเจ็บปวดนี้ไปให้ได้ วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอดให้แนบชิดขึ้นราว แบ่งปันไออุ่นเพื่อให้นางสั่นเทาน้อยลงสักเล็กน้อยก็ยังดี พวกเขาใช้เวลาไม่นาน อาจด้วยเพราะความร้อนใจของคณะเดินทางทั้งสามคนทำให้การเดินทางครานี้ผ่านไปอย่างว่องไวแม้เสี่ยงอันตรายจากอุบัติเหตุกลางฝนก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดในเขตกุ้ยหลินเพื่อตามหาโรงหมอ

   และในปลายยามซวีที่ผู้คนใกล้จะหลับไหลกันหมดแล้วนั้น เว่ยเจียเหลียนฮวาก็ได้รับการรักษาจากหมอยาในกุ้ยหลิน





[NPC-05] หลิว ชุ่น
+5 พูดคุยประจำวัน
+20 หัวดีโบนัสความสัมพันธ์
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

สามารถดำเนินเรื่องเพื่อขอปลดอีเว้นท์หัวใจ 10 ดวงอย่างเป็นทางการกับหวางเย่ได้แล้ว  โพสต์ 2025-6-10 00:49
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-10 00:49
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-05] หลิว ชุ่น เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-10 00:49
โพสต์ 25494 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-10 00:33
โพสต์ 25,494 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +12 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-10 00:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
โพสต์ 2025-6-10 22:37:32 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย WeijiaLianhua เมื่อ 2025-6-10 22:38


บันทึกการเดินทางสีครามบทที่ 26
ข้ามผ่านหมื่นฉันทาทลายภาพลวง


  

วันที่ยี่สิบเอ็ด ซื่อเยว่ เจี้ยนหยวนศกที่สิบเอ็ด

   ดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้จับพู่กันเลยนะ ?


   หากให้เอ่ยว่าบบัดนี้คณะเดินทางเป็นเช่นไร คงกล่าวเปรียบได้กับเมฆที่ครึ้มฝนในยามนี้ โดยเฉพาะบุรุษผู้ที่ยังคงสวมอาภรณ์เปื้อนโลหิตนั่งเฝ้าข้างเตียงในโรงหมอไม่ยอมลุกไปไหนทั้งนั้น ทำเอาสหายร่วมเดินทางอีกสองคนของสตรีผู้นอนบนเตียงหลับไหลด้วยพิษบาดแผล หมอยผู้ที่รักษาได้เอ่ยไว้ว่าการที่รักษาขั้นต้นได้ทันท่วงที อย่างน้อยก็ช่วยทำให้นางเสียเลือดน้อยลง แม้จะน่ากังวลที่ฝนตกทำให้บาดแผลมันแห้งและหมดไหลยาก ทว่าต้องขอบคุณผ้ายาพันแผลที่ฉางซานเซียนหวางได้รับครั้นตอนไปแลกเปลี่ยนม้ากับตระกูลพันธมิตร

   ยามนี้เว่ยเจียเหลียนฮวาพอทุเลาความเจ็บปวลงไปากจนหลับได้สนิทแม้มันจะเกิดร่วมกับความอ่อนล้าก็ตาม อย่างน้อยสิ่งที่เขาได้แลเห็นคือใบหน้าซีดเซียวที่ดูสงบลงจนเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง

   “คุณชายจีหยาน ท่านยังไม่ได้พักตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะขอรับ อย่างน้อยก็ไปอาบน้ำชำระกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงเตี๊ยมข้าง ๆ นี้เถิด ข้ากับคุณหนูจื่อเซวียนจะเฝ้านางในระหว่างนี้เอง”

   “ข้า…ไม่วางใจ…”

   “ข้าเองก็ไม่วางใจเช่นกัน ทว่าหากนางต้องตื่นมาพบกับท่านในสภาพเช่นนี้ แม้กระทั่งคนบาดเจ็บเองก็คงไม่อาจสบายใจที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้หรอกขอรับ” โจวจินเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงบุรุษผู้นี้ที่ดูเหมือนจะเสียสติไปชั่วขณะท่ามกลางสายฝน “แม้จะไม่เชื่อข้า ทว่าท่านลองทบทวนแล้วเชื่อความทรงจำของท่านดู นางที่ชมชอบบุรุษงดงามจะไม่ห่อเหี่ยวเวลาต้องจ้องมองท่านที่มีสภาพเช่นนี้จนลงไปนอนกองอีกหรอกรึ ?”

   คำกล่าวของโจวจินนั้นช่างบรรยายได้เห็นภาพยิ่งนัก ในบางครานางก็มักจะเมียงมองใบหน้าของบุรุษโฉมงามแล้วหลงในภวังค์ไปชั่วครู่

   โชคดีนักที่อย่างน้อยเขาก็หน้าตาดี



   ครั้นตระหนักรู้ได้แล้วว่าเขาผู้ไม่อาจปล่อยมือนางได้ย่อมต้องทำให้นางจับมือเขาไว้เช่นกัน ร่างสูงศักดิ์ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะตบบ่าของสหายที่นางนับว่าเป็นคนที่รู้ใจนางที่สุดเพื่อเป็นการฝากฝังให้เขาได้ดูนางต่อ



   ความเจ็บที่ถาโถมบ่าซ้ายของร่างเล็ก กลิ่นสมุนไพรยาต้ม ไอร้อนจาง ๆ ที่ให้ความอบอุ่น ผ้าห่มแม้ไม่ได้นุ่มเช่นในตำหนักทว่ากลับคลายหนาวได้อย่างดี ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เว่ยเจียเหลียนฮวารับรู้ตอนที่นางลืมตาตื่นขึ้นมา

   “เหลียนฮวา เจ้าฟื้นแล้ว”

   เสียงหวานเป็นเสียงแรกที่นางได้ยินหลังจากหลับไหลจนเต็มอิ่ม ดวงตากลมสีเปลือกไม้ค่อย ๆ มองไปรอบ ๆ ก็พอจะตระหนักได้ว่าบัดนี้นางคงอยู่ที่โรงหมอสักแห่ง ทว่าอยู่ในเขตเมืองไหนไม่อาจตอบได้ชัดนัก สองแขนของนางค่อย ๆ ขยับ ร่างเล็กค่อย ๆ เออนไปด้านขวาเพื่อค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งดี ๆ

   วินาทีนั้นประตูโรงหมอก็เปิดพอดี ใบหน้างามที่อ่อนล้าสักหน่อยค่อย ๆ ผินใบหน้าไปพิศมองแสงยามอรุณรุ่งทอดผ่าน ร่างสูงผู้สง่างามแสนคุ้นเคยนั้นเองที่เป็นคนเปิดประตูโรงหมอ ยามเมื่อนัยเนตรสบสายตาเขาก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามายืนข้างเตียงไม้ไผ่ปูผ้าบุนานวมใยฝ้าย ดวงตาสีรัตติกาลของเขาสะท้อนความกังวล ความโล่งใจ ความโกรธ ความสุข และความเศร้าออกมาเต็มไปหมด ชั่วขณะนั้นรอบข้างพลันเงียบสงบ จื่อเซวียนชิงหลีผู้เจนโลก(วรรณกรรมประโลมโลก)ก็ดึงโจวจินออกจากฉากโรงงิ้วบทละครลึกซึ้งไปรอนอกโรงหมอ

   “จีหยา—”

   น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาไม่ถึงครึ่งคำพลันมลายหายไปเมื่อบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้ก้มกายลงโอบกอดร่างบางราวกับว่าเขาทำนางหล่นหายไปครึ่งราตรี ใบหน้างดงามฝังลงบ่าเล็ก ความสั่นเทาที่สัมผัสได้ทำให้นางตระหนักว่าคนผู้นี้เจ็บปวดเพียงใด

   “ใยเจ้าต้องมาเจ็บแทนข้าด้วย”

   น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาและสั่นเทา ความอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญกับความสูญเสียตรงหน้าช่างโหดร้ายนัก ความรู้สึกสมเพศที่ไม่อาจปกป้องสตรีคนเดียวได้แผ่กระจายทั่วอกแกร่งตลอดทั้งคืนเช่นโลหิตที่ซึมเป็นวงกว้างไม่ต่างจากสตรีผู้หลับไหล

   “เจ้าไม่ควรมาที่นี่จริง ๆ เจ้าควรอยู่ข้างกายเขา เขาต้องปกป้องเจ้าได้ดีกว่าข้าเป็นแน่”

   สิ้นวจีตัดพ้อมือเรียวพลันดันอกแกร่งออกเพื่อประคองใบหน้าที่กำลังสบสัน สมเพช สิ้นหวังให้ตั้งสติและสบดวงตาเมล็ดซิ่งสีเปลือกไม้งดงามให้ดี

   “หากเช่นนั้น แล้วผู้ใดกันจะปกป้องท่าน”

   ไร้ซึ่งคำตอบเอื้อนเอ่ย รู้อยู่แก่ใจว่าผู้ใดกันจะปกป้องตัวเขา เขาเป็นถึงเงามืดแห่งบัลลังก์มังกร ไฉนเลยจะต้องการคนป้องกันคุ้มกายให้รั้งมือเท้ายามฟาดฟัน ทว่าสี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้งฉันใด ผู้เยี่ยมยุทธ์เองย่อมไม่อาจหลีกหนีเรื่องที่เกิดคาดเดาได้ฉันนั้น เช่นเมื่อคืนนี้ที่นางต้องไปรับเข็มเหล็กแหลมเพื่อปกป้องผู้แข็งแกร่ง

   สำหรับนางที่กระทำเช่นนั้นก็สามารถเอ่ยว่าเพื่อให้เขาไม่บาดเจ็บและสามารถต่อสู้ได้จนดับลมหายใจให้หมดสิ้นได้ ทว่าลึก ๆ ในใจย่อมรู้ดีว่าเป็นเพราะร่างกายที่ตอบสนองไปก่อนเหตุผลเสียแล้วจึงได้เป็นเช่นนี้

   ฉนั้นแล้ว…ไยนางต้องบอกปัดไปด้วย ในเรื่องที่มันชัดแจ้งแก่ใจ

   “ถึงจะลึกก็เถิด ทว่ามันมิได้เป็นบาดแผลใหญ่นัก ไม่ได้เจ็บอะไรมากวันนี้เราต้องออกเดินทางต่อให้ได้”

   “เช่นนั้นแล้วก่อนออกเดินทางเจ้าต้องให้ข้าตรวจบาดแผลเสียก่อน”

   ด้วยเหตุนี้เองการสนทนาของสองบุรุษสตรีจำต้องจบลงและคืนตัวเว่ยเจียเหลียนฮวาให้หมอยาได้ตรวจบาดแผล บาดแผลของนางนั้นกว้างราว ๆ เกือบชุ่น ความลึกจากที่คาดคะเนด้วยตาคนราว ๆ เกือนสองชุ่น นับว่าเป็นบาดแผลหนักของสตรีที่ดูเป็นผู้สูงศักดิ์นัก ทว่าเมื่อได้แลเห็นบาดแผลดูเริ่มสมานและแห้งไวกว่าที่ควรเป็นก็ทำให้หมอยารู้สึกงุนงงนัก

   “แม้ไม่อยากจะเชื่อสายตาเท่าใดนัก ทว่าด้วยแผลของเจ้าในยามนี้ดูดีขึ้นผิดวิสัยเชียว เลือดหยุดหลั่ง แผลเริ่มแห้ง เนื้อเริ่มสมาน ขอเพียงเจ้ารับปากว่าจะไม่ใช้งานบ่าซ้ายของเจ้าไปสักพักก็วางใจออกเดินทางได้” ท่านหมอเอ่ยก่อนจะเดินไปหยิบห่อเทียบยามายื่นให้นาง “ห่อผงสีเขียวนั้นเป็นผงไป่จี๋บดผงผสมกับโหย่วจินสำหรับใส่ยาที่แผลในตอนที่เจ้าแกะผ้าใหม่ทุกวัน ส่วนอีกห่อที่เป็นผงสีน้ำตาลเป็นห่อยาโหย่วจินกับเม่าเย่า ต้มระงับปวด”

   “ขอบพระคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ บุญคุณนี้ข้าจะไม่ลืม”

   เว่ยเจียเหลียนฮวาที่ได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพรกลาย ๆ ก็คำนับก่อนจะจ่ายค่ารักษาและค่าเทียบยา นางเดินออกมาแจ้งแก่ทุกคนว่านางไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนัก อย่างน้อยท่านหมอยาก็อนุญาตให้นางเดินทางต่อได้แล้ว เช่นนั้นคณะเดินทางก็เร่งเดินทางต่อจากกุ้ยหลินมุ่งหน้าสู่หนานหนิงโดยที่นางต้องขึ้นหลังอาชาตัวเดียวกับฉางซานเซียนหวางเพราะด้วยอาชาที่ลดลงเหลือเพียงสามตัวและนางที่บาดเจ็บไม่อาจบังคับเองได้

   เอวัง…ไม่น่าเลยเว่ยเจียเหลียนฮวา

   คณะเดินทางออกจากกุ้ยหลินในช่วงต้นยามซื่อ เดินทางออกจากเมืองได้ราว ๆ ชั่วยามก็พบว่าเส้นทางต่อจากนี้หากขี่มาขึ้นเขาคงลำบาก ทว่าจะให้ล่องแพไปตามเส้นทางปกติก็ไม่ได้เร็วไปกว่ากันแถมยังจะช้ากว่าเดิมเพราะต้องอ้อมเขาตามเส้นทางแม่น้ำ การปรึกษาของคณะเดินทางนั้นได้เลือกทางน้ำที่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ร่างกายของผู้บาดเจ็บต้องทนกับแรงสะเทือนของฝีเท้าม้าจนเจ็บแผล ทำเอาเว่ยเจียเหลียนฮวาต้องถอนหายใจว่านางนั้นกำลังกลายเป็นตัวถ่วงของคณะเดินทางอย่างแท้จริงขึ้นไปอีก

   “พวกเจ้าอยากไปหนานหนิงให้ไวที่สุดงั้นหรือ ข้ามีเส้นทางล่องแพที่ไวกว่าเดินเขาเสียอีก”

   ในขณะที่คณะเดินทางกำลังเดินไปยังแพที่ให้ม้าแลกมันมาพร้อมกับเสบียงจำนวนหนึ่ง ได้ปรากฎสตรีงดงามปานนางจิ้งจอกเดินนวยนาดเข้ามายังปลายแพ การปรากฎตัวเช่นนี้นับว่าก่อเกิดความแคลงใจให้ทั้งสี่มิใช่น้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้เว่ยเจียเหลียนฮวานิ่งเฉยไม่ใช่ใบหน้าของนางแต่อย่างใด เป็นคำว่าเส้นทางการล่องแพที่ไวกว่าการเดินเขาต่างหาก

   “เส้นทางของเจ้าจะทำให้พวกข้าไปถึงหนานหนิงได้ภายในกี่ชั่วยาม”

   “นับจากนี้ราวห้าชั่วยาม ต่อม้าอีกสักชั่วยามก็ถึงหนานหนิงพอดี”

   นับว่าเป็นการเดินทางที่รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าการเดินทางเดิมที่น่าจะไปถึงหนานหนิงได้ไวที่สุดก็อีกสิบชั่วยาม การที่มันสามารถประหยัดได้ครึ่งต่อครึ่งทำให้แววตาของเว่ยเจียเหลียนฮวาเย็นเหยียบด้วยความมาดมั่นและจริงจัง

   “ได้ ขึ้นแพมา”

   “เหลียนฮวา เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ”

   โจวจินเอ่ยทักท้วงทันควัน ฉางซานเซียนหวางและจื่อเซวียนชิงหลีเองก็กังวลไม่แพ้กัน ทว่าเจ้าตัวไม่คิดจะยอมถอยจากความคิดที่ว่านางต้องการไปในเส้นทางที่ไวที่สุด

   “พวกเจ้าบอกว่าขึ้นเขาแล้วข้าอาจจะต้องเจ็บแผลตลอดทาง ข้าก็จะยอมล่องแพ”

   ร่างเล็กไม่รอช้า ครั้งและเห็นว่าหากต้องมานั่งฟังทุกคนต่อไปการเดินทางนี้จะช้ากว่าเดิม นางก้าวไปปลดเชือกผูกหลักริมท่าน้ำ ใช้ยันต์คุมวารีที่นางกว้านเหมามาจากร้านต่อแพเพื่อเร่งกระแสน้ำพัดพาแพไปตามทางที่ต้องการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทั้งสามก็ไม่อาจทักท้วงใด ๆ ได้อีก กระทำเพียงตื่นตัวให้มากที่สุดและจับตาดูการกระทำของสตรีนางนี้ให้มากที่สุดก็เท่านั้น

   “ใยพวกเจ้าจดจ้องกันปานจะกลืนกินเช่นนั้นพ่อรูปงาม”

   ขึ้นชื่อว่านางจิ้งจอก ไม่ใช่แค่ใบหน้าของนางเท่านั้น ทว่ากลับรวมถึงการกระทำที่ทำท่าทีจะล่อลวงบุรุษรูปงามในแพนี้ตลอด นั่นทำให้เว่ยเจียเหลียนฮวาเริ่มอยากกระทำสิ่งที่โหดร้ายอย่างการถีบนางลงจากแพเสียให้สิ้นเรื่อง

   คนงามคนเดียวที่นางยกย่องคือสตรีผู้มีนามว่า ลู่ไป๋หรั่น

   “หากเจ้า—”

   “โอ๊ะ ๆ ข้ามีนามว่าเหม่ยหลิน”

   “...ได้ เหม่ยหลินกู่เหนียง หากเจ้าไม่บอกทางก็ลงจากแพไป”

   “นี่กลางน้ำนะเสี่ยวกู่เหนียง”

   “แล้วอย่างไร นี่แพข้า”


   แทนที่จะทำให้นางจิ้งจอกรู้สึกโกรธเคือง ทว่ามันกลับทำให้นางหัวเราะอารมณ์ดีที่สตรีนางนี้มีน้ำโหออกมาเบา ๆ แววตาของสตรีผู้เต็มไปด้วยความน่าสงสัยนั้นวาวโรจน์ยามจ้องมองเว่ยเจียเหลียนฮวา หากให้เปรียบตบะบุรุษรูปงามคืออาหารโอชา ดวงวิญญาณของสตรีนางนี้เป็นดั่งโสมพันปีสำหรับนางปีศาจเช่นกัน ครั้นเมื่อถึงทางแยกสองทาง หนึ่งคือทางหลักที่จะไปตามเส้นแม่น้ำใหญ่ ทว่าอีกทางนั้นคือเส้นทางลัดเลาะไปตามช่องเขาหมื่นฉันทาที่คณะเดินทางไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่าพวกนางโดนพาเข้ามาสู่กับดักเสียแล้ว

   “เหลียนฮวา…”

   แว่วเสียงที่ขานนามของนางทำให้สตรีผู้เป็นเจ้าของนามนั้นเอ่ยหันตามต้นเสีย ทว่าสิ่งที่นางได้แลเห็นกลับเป็นภาพของฉางซานเซียนหวางในอาภรณ์ธรรมดาสามัญกำลังโอบอุ้มร่างเล็กราวกับก้อนแป้งตัวน้อย ทว่าใบหน้านั้นกลับละม้ายเขาจนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตา เว่ยเจียเหลียนฮวาค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อพิศมองให้จัดแจ้งยิ่งขึ้น



   ทว่าไม่ทันไรอีกฟากฝั่งก็มีเสียงเรียก เมื่อหันไปแลเห็นภาพบิดา มารดายืนเคียงรักใคร่กลมเกลียว ช่างเป็นภาพที่ปราศจากความไร้กังวลทั้งปวงที่นางประสบมาทั้งชีวิต เมื่อนั้นแล้วนางพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ชั่วขณะที่ฉางซานเซียนหวางกำลังจะยื่นมือที่ว่างจากการอุ้มก้อนแป้งน่าชังมาวางไว้ที่บ่าเล็ก มือเรียวพลันหยิบลูกเกาทัณฑ์มาหวังแทงที่มือของเขาและออกมาห่างมาง้างคันศรทันใด

   “นี่น่ะ…ไม่ใช่เวลาให้ข้าฝันกลางวันหรอกนะ”

   เว่ยเจียเหลียนฮวาเอ่ยออกมาราวกับเตือนใจตนเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น นางไม่มีทางที่จะได้ครองคู่กับเขาราวกับเป้นด่านเคราะห์ที่ต้องข้ามผ่าน ครอบครัวที่รักของนางไม่มีทางกลมเกลียวราวกับบาดแผลที่เรื้อรังไม่มีวันหาย เช่นนั้นแล้วข้อสรุปเดียวที่ได้คือภาพลวงตาทั้งสิ้น เมื่อนั้นมือเรียวก็ปล่อยลูกเกาทัณฑ์ไปทางฉางซานเซียนหวางที่ยังคงแจ่งชัดเพียงผู้เดียว

   ภาพฝันตรงหน้าพังทลาย สิ่งที่แลเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายคือภาพของสตรีงดงามทิ้งกายชุ่มโชกโลหิตลงไปใต้แม่น้ำ แม้ว่าจะไม่อาจคร่าชีวิตปีศาจนั่นได้ ทว่าอย่างน้อยนางก็ไล่นางปีศาจออกไปจากแพนี้ได้สำเร็จ ดวงตาเมล็ดซิ่งวาวใสรีบเลื่อนสายตาไล่สำรวจสหายของนาง ทุกคนที่ดูเหมือนว่าจะตื่นจากภวังค์กันหมดดั่งกระจกสะท้อนฉันทาที่แตกสลายไปพร้อมกัน เมื่อนั้นร่างบางก็ทรุดลงจากความโล่งใจ

   “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ไยแผลเจ้าปริออกมาเช่นนี้”

   ด้วยความที่ต้องออกแรงง้างสายเกาทัณฑ์ทำให้แผลที่กำลังจะสมานกันได้ปริขาดและเริ่มหลั่งโลหิตสีชาดซึมเป็นวงน้อย ๆ มือเล็กที่พยายามเอื้อมไปกดบาดแผลทำได้เพียงจิกเข้าที่ไหล่มนราวกับต้องข่มความเจ็บปวดให้ได้

   “ไม่มีอะไร แค่กำจัดนางตัวดีออกจากแพก็เท่านั้น”

   จื่อเซวียนชิงหลีที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวจพต้องมาช่วยนางทำแผลใหม่ ใส่ยาห้ามเลือดและเพิ่มการสมานแผลเข้าไปตามที่หมอยาให้มาและพันเพื่อกดบาดแผลเอาไว้ไม่ให้แน่นหรือหลวมมากเกินไป โจวจินที่ใช้ทักษามองเส้นทางก็มาคอยควบคุมยันต์คุมวารีเพื่อให้แพเดินทางล่องไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ใช้เวลาต่อจากนั้นอีกราว ๆ หนึ่งชั่วยามก็ได้รู้ว่าพวกนางนั้นมาถึงที่หมายตามที่นางจิ้งจอกบอกโดยไม่มีผิด พร้อมทั้งรู้ตัวอีกทีก็พบว่าบัดนั้นยามซวีแล้วก็เดินทางผ่านเกวียนค้าขายไปยังหนานหนิงถึงช่วงยามไห่พอดี

   ตลอดการเดินทางหลังจากทลายภาพเงาฉันทาได้แล้วนั้น เว่ยเจียเหลียนฮวาก็หลับด้วยความอ่อนล้าโดยมีฉางซานเซียนหวางอุ้มนางตลอดการเดินทางจนมาถึงเมืองหนานหนิงและหาที่พำนักให้ผู้บาดเจ็บได้พักผ่อนอย่างสบายที่สุด





)

- สามารถโรลเพลย์ค้นคว้าหาความรู้จากการฟัง หรือ อ่าน +30 EXP (วันละครั้ง) (ฟังความรู้สมุนไพร)

@Admin

แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-10 23:47
โพสต์ 36122 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-10 22:37
โพสต์ 36,122 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +12 ความโหด จาก นักวิชาการ  โพสต์ 2025-6-10 22:37
โพสต์ 36,122 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ธนูไม้จันทน์  โพสต์ 2025-6-10 22:37
โพสต์ 36,122 ไบต์และได้รับ +2 ความโหด จาก กระบอกธนู  โพสต์ 2025-6-10 22:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ยอดคีตศิลป์
อัจฉริยะ
กระบี่
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
แหวนดาราจรัส(D)
พัดคุณชาย
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินชิงฮวาเฟิน(เสียนอี๋)
หมวกไผ่ผ้าคลุม
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x16
x5
x10
x38
x1
x179
x2
x5
x2
x1
x163
x2
x2
x4
x6
x1
x1
x21
x33
x10
x2
x1
x19
x10
x4
x6
x3
x20
x2
x2
x11
x15
x134
x4
x3
x2
x377
x10
x7
x238
x6
x64
x33
x1
x50
x111
x67
x26
x164
x6
x17
x81
x16
x10
x21
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้