[บันทึกการทหาร] : ศึกฉีเหลียงซาน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-26 00:36










Trigger Warning : เนื้อหาเต็มไปด้วยเลือด ความรุนแรง ชิ้นส่วนร่างกาย รับไม่ได้กดปิดซะ








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 2221 ไบต์และได้รับ 1 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-1 20:31
โพสต์ 2025-6-2 00:52:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-3 02:09







ท้องฟ้าในยามบ่ายเริ่มเปลี่ยนสี กลุ่มเมฆสีเทาเข้มเคลื่อนคล้อยช้า ๆ ราวกับจะเตือนว่าค่ำคืนกำลังคืบคลานมาในอีกไม่กี่ชั่วยาม กองทัพของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งเพิ่งเคลื่อนพลพ้นเขตเมืองไปได้ไม่นาน เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินดังก้องประสานกันเป็นจังหวะ

แผ่นดินเบื้องหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นทรายและลมเย็นยะเยือก แม่ทัพหนุ่มประคองม้าศึกคู่ใจอยู่หน้าแนวทัพ ดวงตาคมกริบทอดมองเส้นทางไกลเบื้องหน้า จุดพักม้ายังอยู่อีกไกลและหากไม่เร่งฝีเท้าให้ทันก่อนแสงสุดท้ายของวันจะหมดลง กองทัพอาจต้องหยุดพักกลางทางท่ามกลางความมืดและอากาศที่เหน็บหนาว

“เร่งฝีเท้า! อย่าให้ราตรีมาปิดบังเส้นทาง!” เสียงสั่งการดังขึ้นอย่างเด็ดขาด ปลุกหมู่ทหารให้ตื่นตัว

ธงทัพโบกสะบัดเหนือขบวนอย่างองอาจ ท่ามกลางกลิ่นเหงื่อและฝุ่นควัน ทหารทุกนายต่างรู้ดีว่าหน้าที่ของพวกเขาไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือการรักษาเวลาเพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยเร็ว

แม่ทัพฮั่วชะลอม้าให้หยุดบนสันหินเตี้ย สายตาของเขากวาดมองแนวหุบเขาเบื้องหน้า เส้นทางที่ต้องผ่านเต็มไปด้วยโขดหินและทางลาดชัน ซึ่งเป็นจุดอันตรายต่อทั้งพลเดินเท้าและขบวนเสบียง

“ลาดชันแบบนี้ ถ้าล้อเกวียนเสีย...จะติดทั้งกอง” เขาพูดพลางหันไปทางรองแม่ทัพ

“ส่งคนไปสำรวจพื้นที่ด้านซ้ายอ้อมเขาดีหรือไม่ขอรับ? ส่วนขบวนเสบียงให้ลดจำนวนลังบนเกวียนลงก่อนผ่านจุดนี้” รองแม่ทัพเสนอ

“ก็ดี…ถ่ายทอดคำสั่งไปส่งทหารห้านายไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาทางเลี่ยง ส่วนกลุ่มที่เหลือช่วยกันลำเลียงเสบียงส่วนหนึ่งออกจากเกวียนแล้วช่วยกันขน”

คำสั่งถูกส่งต่อด้วยความรวดเร็ว เหล่าทหารพลม้าชุดหนึ่งแยกตัวออกไปอย่างว่องไว ขณะที่ทหารเดินเท้ากลุ่มใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวตามแผน บางคนคว้าเชือกมัดลังไม้แล้วช่วยกันยกลงจากเกวียน บางกลุ่มจัดสรรแรงคน แบกเสบียงขึ้นบ่า เดินเรียงแถวเป็นระเบียบเพื่อฝ่าทางลาดทีละช่วง

ซิ่วอิงหนึ่งในทหารเดินเท้า คุกเข่าลงข้างเกวียนคันหนึ่งแล้วใช้มือเปล่าดันลังไม้สองใบลงจากเกวียน ก่อนออกแรงยกขึ้นพาดบ่า น้ำหนักของมันทำให้เธอต้องกัดฟันแน่น

“เดี๋ยวข้าช่วย!” ทหารหนุ่มอีกคนวิ่งเข้ามารับลังที่สอง

ซิ่วอิงพยักหน้าสั้น ๆ ไม่พูดอะไร ก่อนก้าวเท้าช้า ๆ ตามแนวหินไปข้างหน้า

“เดินชิดซ้ายไว้! ด้านขวามีแอ่งโคลน อย่าเหยียบ!” เสียงสั่งการดังขึ้นเป็นระยะ เตือนกลุ่มลำเลียงให้ระมัดระวังตลอดทาง

แม่ทัพฮั่วยังคงอยู่บนหลังม้า มองดูการเคลื่อนไหวของทหารอย่างเงียบงัน การเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงการเร่งรุดไปสู่สมรภูมิ แต่ยังต้องประคับประคองกำลังทั้งกองฝ่าภูมิประเทศอันไม่เป็นมิตรอีกด้วย

ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทหารห้าคนที่ถูกส่งออกไปกลับมาพร้อมข่าว

“รายงาน! ทางอ้อมด้านซ้ายผ่านได้ขอรับ แม้ระยะทางจะยาวขึ้นแต่พื้นแน่นแข็งแรงกว่า”

แม่ทัพพยักหน้าช้า ๆ

“ถ้าเช่นนั้น ขบวนเกวียนทั้งหมดเปลี่ยนเส้นทางไปด้านนั้น ส่วนทหารเดินเท้าและม้าศึกขอให้ใช้เส้นหลักต่อ จัดกำลังคุ้มกันสองฝั่งเส้นทาง เผื่อไว้หากมีศัตรูเคลื่อนไหว”

เสียงสั่งการถูกส่งต่อเป็นทอด ๆ ไปตามแนวทัพ ทหารนายหนึ่งขี่ม้าเร่งนำกลุ่มเกวียนเบี่ยงเข้าสู่ทางอ้อมด้านซ้าย เสียงล้อไม้บดกับพื้นหินดังก้องในหุบเขา ขณะที่ม้าศึกและทหารเดินเท้ายังคงย่ำเท้าบนเส้นทางหลักซึ่งลาดชันและแคบลงทุกขณะ

กลุ่มทหารม้าเริ่มเคลื่อนล่วงหน้าไปสองปีกเพื่อคุ้มกัน เสียงกระพรวนเบา ๆ ที่ผูกไว้กับบังเหียนของม้าศึกดังสะท้อนคลอไปกับเสียงฝีเท้าเป็นจังหวะแน่นหนัก เสียงล้อเกวียนในระยะไกลค่อย ๆ ห่างออกไป เหลือเพียงเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของบรรดาทหารเดินเท้า และเสียงหอบของม้าศึกในกลุ่มหน้า

ซิ่วอิงยังเดินอยู่ในแนวกลางของขบวน ตอนนี้มือทั้งสองของนางประคองลังไม้เล็ก ๆ ที่เพิ่งขนออกจากเกวียนเมื่อครู่ เป็นสเบียงสำรองเผื่อกองทัพพลัดลงกับขบวนเสบียงไม่สามารถบรรจบกันได้ก็จำเป็นต้องมีเสบียงสำรอง เส้นทางตรงหน้ามีก้อนหินบางส่วนถล่มลงมาบดบังแนวทางเดิน ทำให้ทหารต้องเลาะไปตามขอบหน้าผาแคบ ๆ อย่างระมัดระวัง

“มีก้อนหินขวางทางข้างหน้า ต้องช่วยกันย้าย” เสียงคำสั่งตะโกนขึ้นก่อนหยุดแถว

แต่ก่อนที่จะมีใครขยับตัว ซิ่วอิงก็วางลังไม้ลงข้างทาง ขยับแขนกล้ามเนื้อเกร็งแน่น นางปีนขึ้นไปบนก้อนหินขนาดใหญ่ พลางมองหาจุดดันจากด้านบน

“ตรงนี้...ถ้ายกพร้อมกันสามคน ก็จะดันไปทางขวาได้!” นางร้องบอกโดยไม่รอคำสั่ง

ทหารอีกสองนายวิ่งมาสมทบ ขณะที่นายกองกำลังจะเอ่ยเตือน ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นท่าทีมั่นใจของแม่นางน้อยผู้นี้

“พร้อมนะ หนึ่ง...สอง...สาม!”

เสียงหินครูดพื้นดังลั่น ก้อนหินขนาดครึ่งตัวคนค่อย ๆ เคลื่อนออกจากทางเดิน เปิดทางให้ขบวนเบื้องหลังสามารถเคลื่อนไหวต่อได้ ทหารเดินเท้าหลายคนเริ่มขยับก้าว ขณะที่บางคนหันไปมองซิ่วอิงอย่างเงียบ ๆ

นางไม่พูดอะไร เพียงเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก แล้วหยิบลังไม้ขึ้นแบกอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามขบวนต่ออย่างไม่อวดอ้าง

แม่ทัพฮั่วที่อยู่บนหลังม้า ห่างไปประมาณสิบก้าว มองเห็นเหตุการณ์นั้นทั้งหมด

“ทหารหญิงนั่น...เคลื่อนไหวคล่องแคล่วแข็งแรงยิ่งกว่าทหารบางนายเสียอีก” เขาพูดเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยสั่งเบา ๆ ไปยังทหารผู้ติตตามด้านข้าง

“จำชื่อไว้ ดูแลนางให้ห่างจากแนวเสี่ยง แต่ไม่ต้องกีดกันจากภารกิจ วันหน้าอาจจำเป็นต้องใช้นาง”

ทหารผู้ติตตามของแม่ทัพฮั่วพยักหน้ารับเบา ๆ

ขบวนทัพยังคงเคลื่อนต่อ เสียงฝีเท้าบนดินหินเริ่มหนักขึ้นเมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มสะสม ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ เงาของภูเขาเริ่มทอดยาวเป็นม่านทึบบดบังแสงอุ่นสุดท้ายของวัน

เส้นทางเบื้องหน้าลาดลงอย่างชันแต่ไม่ถึงกับอันตรายมากนัก หากเดินด้วยความระมัดระวัง ทุกคนจะพ้นจากทางเขาเข้าสู่ที่ราบก่อนฟ้ามืด

ชั่วยามต่อมา…

เสียงน้ำไหลแผ่ว ๆ ดังมาแต่ไกล เป็นเสียงของลำธารสายเล็กริมเนินซึ่งถูกกำหนดไว้ให้เป็นจุดพักแรมในคืนแรก แม่ทัพฮั่วส่งสัญญาณหยุดขบวน ทุกคนหยุดยืนในท่าเกือบพร้อมเพรียง เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นรอบทิศ ซิ่วอิงค่อย ๆ วางลังไม้ลงข้างก้อนหิน ก่อนเริ่มช่วยพวกทหารอีกสองคนขึงผ้ากันลมชั่วคราวไว้เป็นบังลมและเตรียมที่นอนค้างแรม

แสงไฟจากกองไฟดวงแรกถูกจุดขึ้นที่ใจกลางค่าย ขณะทหารบางส่วนจัดเวรยาม ทหารบางคนเดินเก็บฟืน บ้างก็ต้มน้ำในกระบอกไม้ไผ่

“ขบวนลำเลียงกลับมาแล้ว!”

ซิ่วอิงหันขวับ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเงาม้าหลายสิบบดบังแสงไฟเบื้องหลัง บรรดาทหารเดินเท้าหลายคนลุกจากที่พัก หลายคนยกมือตะโกนรับด้วยเสียงเบาแต่ยินดี

“ราบรื่นหรือไม่?” รองแม่ทัพเดินมาถาม

“ไม่มีปัญหาขอรับ เส้นทางอ้อมตามรายงาน ใช้เวลานานกว่าหน่อยเพราะต้องหยุดล้อซ่อมครั้งนึง แต่มาถึงครบทุกคันขอรับ” เขาพูดพลางตบแผงคอของม้าเบา ๆ “พวกมันเหนื่อยน่าดูเลย”

ลังเสบียงและถุงสัมภาระถูกลำเลียงลงอย่างรวดเร็ว ซิ่วอิงตรงไปช่วยรับลังใบหนึ่งจากท้ายเกวียน และช่วยลำเลียงจนเสร็จสิ้น อย่างขยันขันแข็งมากพอดู

ค่ำคืนของการพักแรมเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีบทเพลง มีเพียงเสียงลมเย็นโกรกเบา ๆ และไฟที่ลุกไหวในความเงียบสงัด

ใกล้แนวกระโจมบัญชาการชั่วคราว แม่ทัพฮั่วยังไม่ได้เข้าพัก เขายืนกอดอกเงียบ ๆ มองดาวที่เริ่มปรากฏเหนือสันเขา ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่แววตากลับไม่ห่างจากแนวทหารเดินเท้าในค่ายนัก ดูเหมือนว่าเขากำลังยืนสนทนากับทหารผู้ติดตามอยู่

“นางชื่อ...หรงซิ่วอิงหรือ?” เขาถามโดยไม่หันไปมอง

“ใช่ขอรับ เป็นทหารใหม่ ได้ข่าวว่ามาร่วมศึกครั้งนี้เพราะท่านต้าซือหม่าสั่งให้มา”

แม่ทัพฮั่วนิ่งไปครู่หนึ่ง แสงตะเกียงสะท้อนแววคิดลึกในดวงตา

“ต้าซือหม่าสั่งงั้นหรือ?”

“ก่อนหน้านี้นางหายออกไปจากค่ายสามวัน กลับมาจำเป็นต้องรับโทษทางวินัย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดต้าซือหม่าจึงไม่ลงโทษแต่ส่งนางร่วมทัพหน้าแทน มีข่าวลือว่ามีคนช่วยให้นางไม่ต้องรับโทษขอรับ”

“งั้นหรือ? แต่การมาทัพหน้าก็เหมือนรับโทษหนักกว่าโบยเสียอีก”

คำพูดนั้นมิได้จะเย้ยหยัน หากแต่เป็นความจริง ใครเล่าจะไม่รู้ว่าแนวหน้าคือที่ที่ชีวิตบางคนหายไปโดยไร้ชื่อจารึก

“เป็นเช่นนั้นขอรับ หรงซิ่วอิงผู้นี้ค่อนข้างโดดเด่นในหมู่ทหารใหม่ กำลังวังชาดีกว่าทหารหลายนายเสียอีก แถมลายมือการคัดอักษรก็งดงามไม่เหมือนลูกชาวบ้านธรรมดา”

แม่ทัพยกคิ้วเล็กน้อย

“ลายมือสวยงั้นหรือ? ดีเลย เจ้าไปตามตัวนางมาที่นี่ที ข้ามีบางอย่างจะมอบหมายให้นางทำ”

“ขอรับ”

เสียงตอบรับจบลงพร้อมการขยับเท้าเบา ๆ ของทหารผู้ติดตามที่หายลับไปในความมืด

แม่ทัพฮั่วไม่ปล่อยทิ้งเวลาให้เสียเปล่า เขากลับเข้ากระโจมแล้วหยิบแผนที่ออกมาคลี่ดู แววตาของเขานิ่งราวกับกำลังคำนวณระยะระหว่างกองหน้า กองเกวียน และหุบเขาที่พวกเขาจะต้องข้ามในวันพรุ่งนี้ แต่เพียงครู่เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็มาหยุดลงตรงทางเข้ากระโจมของเขา หญิงสาวในชุดทหารที่ยังเปื้อนฝุ่นบาง ๆ คุกเข่าลงพร้อมคำนับ

“ซิ่วอิงคาราวะท่านแม่ทัพ”

แม่ทัพฮั่วเหลือบมองนางเพียงครู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“ได้ข่าวว่าเจ้าลายมือสวยใช่หรือไม่?”

ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไม่แสดงอาการประหลาดใจ

“ลายมือพออ่านได้เจ้าค่ะ” นางตอบอย่างถ่อมตัว

แม่ทัพฮั่วหันหน้าไปทางพู่กันและแผ่นไม้ไผ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ลองเขียนกฎทหารข้อแรกลงในแผ่นไม้ไผ่นี่หน่อย”

ซิ่วอิงลุกขึ้นอย่างสำรวม มือหยิบพู่กันขึ้นด้วยท่วงท่าคุ้นเคย ก่อนจะเริ่มจรดปลายพู่กันลงบนแผ่นไม้ไผ่ เส้นอักษรเริ่มปรากฏทีละตัว เรียบ เนี้ยบ และมั่นคง ประหนึ่งผ่านการฝึกปรือมาแต่เยาว์วัยด้วยพื้นฐานจากครอบครัวสายบัณฑิต แม้ตอนนี้นางจะสวมเกราะและแบกลังเสบียงแทนพู่กันก็เถอะ

แม่ทัพฮั่วหยิบแผ่นไม้ขึ้นพลิกดู ดวงตาเรียบนิ่งแต่แฝงแววพึงพอใจ

“ลายมือเจ้าใช้ได้ทีเดียว ต่อไปนี้ข้ามอบหมายให้เจ้าทำหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์ตลอดช่วงการศึกในครั้งนี้”

ซิ่วอิงนิ่งอึ้ง

“หะ…หา!”

แม่ทัพมองนางอย่างไม่แปลกใจ

“มีปัญหาหรือ?”

“มะ…ไม่มีเจ้าค่ะ”

เขาหันกลับไปยังแผนที่ ก่อนจะพูดต่อโดยไม่หันมา

“งั้นก็ไปได้อุปกรณ์การจดบันทึกข้าจะให้คนส่งไปให้เจ้า ในทุกคืนเจ้าจะต้องจดบันทึกเหตุการณ์ประจำวัน จำไว้ว่าอย่าตายไปเสียก่อนไม่งั้นจะถือว่าเจ้าบกพร่องต่อหน้าที่”

ซิ่วอิงกำลังจะคำนับอีกครั้ง แต่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเงียบ ๆ กับถ้อยคำท้ายประโยคนั้น

“ซะ…ซิ่วอิงรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

นางลุกขึ้นและก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวัง ก่อนหันหลังกลับออกจากกระโจม แสงตะเกียงไหวระริกสะท้อนเงาร่างของนางที่ค่อย ๆ เลือนหายไปกับความมืดของค่ายพักแรมชั่วคราวในยามดึก

ภายในกระโจมยังคงเงียบสนิท แม่ทัพฮั่วยังคงอ่านแผนที่อยู่เช่นเดิม เพียงครู่เขาเอื้อมมือหยิบแผ่นไม้ที่หญิงสาวเขียนไว้ขึ้นมาอีกครั้ง มองอักษรคัดเรียงอย่างระเบียบเงียบ ๆ แล้ววางกลับลงดังเดิม ทว่าครั้งนี้ รอยยิ้มบางเบาได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาราวกับว่าเริ่มเห็นประโยชน์จากแม่นางน้อยผู้นี้บ้างแล้ว


[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15

@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-6-2 01:32
โพสต์ 48441 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-2 00:52
โพสต์ 48,441 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-2 00:52
โพสต์ 48,441 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +10 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-2 00:52
โพสต์ 48,441 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +7 เกียรติยศ จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-2 00:52
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-3 02:06:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-3 02:08







รุ่งอรุณของวันที่สองมาถึงพร้อมแสงทองแรกที่ค่อย ๆ ปรากฏที่ปลายฟ้าทางตะวันออก เสียงไก่ป่าร้องแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางความเงียบงันของหุบเขา เหล่าทหารเริ่มขยับตัวตื่นจากการพักแรมชั่วคราว เสียงฝีเท้าก้าวลงบนผืนดิน เสียงเหล็กกระทบกันขณะอาวุธถูกตรวจเช็กและเก็บกลับเข้าที่ดังขึ้นทั่วค่ายพักแรม

กลุ่มทหารเดินเท้าชุดหนึ่งกำลังช่วยกันลำเลียงสัมภาระขึ้นเกวียนด้วยความเคยชินและประสบการณ์จากวันที่แล้ว การเตรียมพร้อมของพวกเขาราบรื่นและมีระเบียบอย่างยิ่ง

ซิ่วอิงกระชับสายรัดห่อสัมภาระก่อนจะยกกล่องเสบียงขึ้นวางท้ายเกวียน เสียงเนื้อไม้กระทบกันดังหนักแน่น ใบหน้าที่มีรอยเปรอะฝุ่นบาง ๆ เงยขึ้นรับลมเช้าด้วยแววตานิ่งสงบ นางมิได้พูดมากนัก หากแต่ทุกคนในกองต่างรู้ดีว่าซิ่วอิงคือหนึ่งในคนที่ขยันขันแข็งมากที่สุดในการศึกครั้งนี้ หนึ่งในเหตุผลอาจเป็นเพราะนี่คือการรับโทษของนาง ชดเชยความผิดจากเรื่องเมื่อครั้งก่อน

เสียงแตรเขาสัญญาณแว่วมาแต่ไกลเป็นจังหวะคุ้นเคยที่ทหารทุกนายรู้ความหมายว่าคือการรวมพลเพื่อเตรียมออกเดินทาง เหล่าทหารรีบคว้าสัมภาระติดตัวเข้าที่ เข้าประจำแถวด้วยความคล่องแคล่ว เสียงสั่งการของนายกองดังเป็นระยะ

เมื่อคืนแม่ทัพฮั่วใช้เวลาหลายชั่วยามเพ่งพินิจแผนที่ในกระโจมบัญชาการ เส้นทางที่เลือกไว้ในวันนี้ต้องผ่านหุบเขาซึ่งควรเป็นทางที่ปลอดภัยและย่นระยะเวลาเดินทางได้อย่างมาก เขาอ่านทั้งระดับความสูง สภาพป่า และความลาดของภูเขา จดจำทุกเส้นทางลำธารทุกแนวโขดหิน แต่เมื่อขบวนทัพเคลื่อนเข้าสู่เส้นทางช่วงกลาง สิ่งที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ก็เริ่มเผยตัว พื้นดินที่ควรจะแห้งแข็งกลับอ่อนนุ่มจนน่าสงสัย ดินบางจุดยวบลงยามเหยียบ บางจุดกลายเป็นโคลนลื่นคล้ายพึ่งผ่านฝนหนัก ทั้งที่เมื่อวานยังไม่มีวี่แววใด ๆ มีร่องรอยน้ำหลากและดินถล่ม เศษไม้และโคลนถล่มอัดแน่นเป็นทางยาว ขวางเส้นทางหลักที่กองทัพต้องใช้

เสียงร้องของม้าศึกตัวหนึ่งดังขึ้นจากแนวหน้า ตามมาด้วยเสียงตะโกน

“ทางขาด! น้ำป่าเซาะดินถล่มลงไปทั้งแนว!”

ทหารนายหนึ่งรีบวิ่งย้อนกลับมาแจ้งข่าวแก่แม่ทัพ ร่างของเขาเปื้อนโคลน ดวงหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เสียงล้อเกวียนแผ่วลงทีละคัน เมื่อต้องหยุดรอคำสั่งแนวหน้า บรรยากาศเงียบงันเริ่มปกคลุมทั้งกองทัพ

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งควบม้าไปดูสถานการณ์ด้วยตนเองใบหน้าของเขาเรียบนิ่ง

“สภาพทางเปลี่ยนไปภายในคืนเดียว เป็นไปไม่ได้…” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนขยับม้ามองลงไปยังแนวร่องดินที่พังทลาย

ลำน้ำสายเล็กซึ่งควรจะอยู่ลึกลงไปในหุบกลับเอ่อล้นขึ้นมา เส้นทางที่ควรปลอดภัย บัดนี้ราวกับว่ากลายเป็นกับดักธรรมชาติ ความเปียกชื้นทั้งแถบคือสิ่งที่แผนที่โบราณไม่มีวันบันทึกไว้ 

“จัดชุดสำรวจเส้นทางเบี่ยง ตรวจแนวลาดลงหุบเขา หากใช้เส้นทางนี้ไม่ได้ เราต้องหาทางเลี่ยง”

เสียงสั่งการเด็ดขาดถูกเปล่งออกมา ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ดูเหมือนว่าขบวนทัพต้องหยุดชะงักตรงนั้นนานเกินกว่าที่วางแผนไว้ ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเริ่มไหวระริกเพราะไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหน้าจะต้องอ้อมไปไกลเพียงใด 

แม่ทัพฮั่วยังคงยืนอยู่ริมขอบหน้าผา ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตายังคงมองร่องรอยดินถล่มตรงหน้า

“แผนที่แสดงว่ามีลำน้ำเล็กอยู่ห่างจากจุดนี้เกือบหนึ่งลี้ แต่น้ำกลับเอ่อมาถึงเส้นทางหลักได้อย่างไร...” เขากล่าวกับตัวเอง 

“ท่านแม่ทัพ!” นายทหารจากหน่วยพลม้าเร่งรุดเข้ามา หอบหายใจเล็กน้อย มือของเขาส่งแผนที่ย่อที่เปียกน้ำครึ่งแผ่นให้แก่แม่ทัพฮั่ว “ข้าน้อยพบจุดดินโคลนอัดรวมกับซากไม้ล้ม เหมือนถูกกั้นไว้แล้วเพิ่งพังเมื่อคืนนี้ขอรับ”

ฮั่วชวี่ปิ้งรับแผ่นนั้นมา มองเนินลาดที่ถล่มลงตรงหน้าแล้วหรี่ตา

“เหมือนมีเขื่อนธรรมชาติขนาดเล็กพังลงมา”

ระหว่างที่บรรยากาศยังนิ่งงัน ซิ่วอิงซึ่งอยู่กับหน่วยลำเลียงด้านหลัง ก้มลงดูรอยน้ำที่ขอบเส้นทาง นางสังเกตเห็นร่องน้ำข้างทางมีคราบตะไคร่เขียวอ่อนพาดอยู่เป็นแนวยาว แต่จุดที่ไหลทะลักกลับมีคราบน้ำตื้นกว่าเล็กน้อย และร่องน้ำแยกไปทางซ้ายที่ดูแห้งกว่าปกติ นางเงยหน้ามองต้นไม้แถบนี้อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถามนายกองที่อยู่ใกล้ ๆ

“ขอถามได้ไหมเจ้าคะ?...ตรงเนินเหนือซอกหุบเขานั้น เคยมีค่ายชั่วคราวหรืออะไรปิดกั้นไว้หรือไม่เจ้าคะ?”

“ทางโน้นหรือ? เคยมีค่ายของชาวบ้านเมื่อปีที่แล้ว ก่อนพวกเขาย้ายหนีลงใต้เพราะภัยแล้ง...เจ้าถามทำไม?”

ซิ่วอิงนิ่งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยช้า ๆ

“บางที...ฝายไม้ที่พวกชาวบ้านเคยสร้างไว้อาจพังลงเมื่อคืน”

“ฝาย?”

“ข้าสังเกตแนวตะไคร่บนหินกับร่องน้ำค่ะ...ร่องน้ำด้านซ้ายที่ควรจะเป็นทางระบายกลับแห้ง แต่ร่องฝั่งนี้ที่ติดเส้นทางหลักกลับมีคราบไหลชัดเจน เหมือนน้ำเปลี่ยนทางมาโดยฉับพลัน...เหมือนถูกเบี่ยงกระทันหัน”

แม่ทัพฮั่วซึ่งเดินเข้ามาใกล้ในจังหวะนั้น ได้ยินคำพูดพอดี เขาหันไปมองซิ่วอิงตรง ๆ


“เจ้าคิดว่า น้ำไม่ได้มาจากห้วยหลัก แต่ถูกเบี่ยงมาจากฝั่งเหนืองั้นหรือ?”

“เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงพยักหน้า “ข้าคิดว่า...เป็นฝายเก่าที่สร้างกั้นไว้ใช้ทำแปลงนาหรือกักน้ำใช้ดื่ม เมื่อน้ำสะสมตลอดฤดูใบไม้ผลิ พอฝนตกเพียงพอก็พังลงและพัดเศษดินไม้มาขวางทางนี้”

แม่ทัพฮั่วเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น

“ข้าตรวจแผนที่สามรอบเมื่อคืน...แต่ไม่มีข้อมูลฝายชั่วคราวพวกนั้นเลย”

เขาหลุบตาลงต่ำครู่หนึ่ง ก่อนหันไปสั่งการ

“แบ่งหน่วยไปสำรวจแนวเหนือ ว่าเส้นทางเป็นเช่นไรบ้าง และพอจะซ่อมชั่วคราวได้หรือไม่”

ใช้เวลาเพียงไม่นานเสียงฝีเท้าทหารหน่วยสำรวจก็เร่งรุดกลับมาพร้อมรายงาน

“ทางหลักพังขาดเป็นแนวยาว ดินเปียกชื้นเกินซ่อม พื้นไม่มั่นคงขอรับ”

แม่ทัพฮั่วเงียบงันอยู่ชั่วครู่ ดวงตาเฉียบคมกวาดไปตามแนวป่าตะวันออกเฉียงเหนือ

“มีทางเบี่ยงหรือไม่?”

“อาจมีทางหนึ่ง พงป่าหนาแต่พื้นแข็งกว่าด้านล่างขอรับ”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนที่จะตัดสินใจออกคำสั่งไป

“คัดคนส่งไปสำรวจแนวทางเบี่ยงตะวันออกเฉียงเหนือ”

“เจ้า! ไปกับพวกเขาด้วย” แม่ทัพฮั่วหันมาทางซิ่วอิงแล้วชี้ตัว

ทหารรอบข้างหันมองกันเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ซิ่วอิงเองก็ชะงักไปเล็กน้อย นางค้อมตัวรับคำสั่งโดยไม่เอ่ยถามให้มากความ

“ซิ่วอิงรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

เส้นทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นแนวพงป่าทึบ ชื้นแฉะด้วยละอองฝนที่ตกในยามค่ำคืน แต่ใต้เถาวัลย์และกอหญ้าสูงนั้น มีลักษณะพื้นดินแข็งและรากไม้ฝังแน่น

ซิ่วอิงเดินล่วงหน้าไปกว่าคนอื่นเล็กน้อย ด้วยความที่ร่างเบากว่านายทหารชายที่ร่วมทีมจึงคล่องตัวกว่า ทำให้สามารถไต่แนวลาดและสอดตัวลอดใต้ไม้ล้มได้ง่ายกว่า

“ตรงนี้เป็นแนวรากไม้เก่า ข้าเห็นเปลือกของมันโผล่ขึ้นเหนือดิน” นางกล่าวเสียงเรียบ ขณะใช้ปลายง้าวเขี่ยพงหญ้าเปิดเส้นทาง

“พื้นส่วนนี้ไม่เปียก และไม่มีร่องซึมน้ำด้านใต้”

ทหารร่วมทีมอีกคนหยุดมองตาม ก่อนพยักหน้าเบา ๆ

“น่าจะเป็นเส้นทางสัตว์ใหญ่...” ซิ่วอิงพึมพำ สีหน้าคล้ายกำลังคิดตามจังหวะฝีเท้าที่เดินไปเรื่อย ๆ “หรืออาจเคยเป็นทางเกวียนเก่า”

กลุ่มทหารช่วยกันฟันไม้ล้ม ตัดเถาวัลย์และใช้หินถมขอบดินตรงจุดที่เป็นเนินเอียง ให้สามารถวางแผ่นไม้พาดล้อเกวียนได้ในภายหลัง แม้ต้องใช้แรงคนหลายสิบ แต่เส้นทางเริ่มเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถที่จะใช้เป็นเส้นทางในการเดินทัพต่อไปได้

เมื่อกลุ่มสำรวจได้บุกเบิกเส้นทางจนเสร็จสิ้นก็เร่งรุดกลับไปรวมกับกองทัพและรายงานต่อแม่ทัพฮั่ว

“แนวทางเบี่ยงเปิดได้แล้วขอรับ พื้นมั่นคงเพียงพอแก่ล้อเกวียน”

แม่ทัพฮั่วรับฟังรายงานจากหน่วยสำรวจโดยไม่กล่าวอะไรในทันที เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปมองแนวป่าด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ดวงตาเรียบนิ่งแต่สังเกตได้ว่ากำลังไตร่ตรอง

“เริ่มเคลื่อนขบวน” เขาเอ่ยในที่สุด

“ให้ทหารเดินเท้านำหน้าคอยกำจัดสิ่งกีดขวาง กองเกวียนลำเลียงตามลำดับ ห้ามเร่ง ห้ามแซง รักษาระยะห่างเท่าเดิมทุกคัน”

เสียงสั่งการถูกถ่ายทอดต่อไปอย่างรวดเร็ว ขบวนทัพค่อย ๆ ขยับอีกครั้งหลังจากหยุดนิ่งมานาน เส้นทางใหม่ที่บุกเบิกผ่านแนวพงป่าแม้จะยังมีร่องรอยขรุขระ แต่พื้นแน่นแข็งแรง และด้วยการเตรียมการไว้ล่วงหน้า พวกทหารจึงสามารถพยุงล้อเกวียนให้ผ่านไปได้โดยไร้อุบัติเหตุ

เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบเขา ท้องฟ้าในแนวป่าพลันมืดเร็วกว่าที่คาด แสงสุดท้ายของวันละลายหายไปในเงาร่มไม้สูง เสียงจิ้งหรีดและแมลงกลางคืนเริ่มขับขานแทนเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารกล้า แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งสั่งหยุดขบวนทันที

“พักแรมที่นี่ หากวันรุ่งพรุ่งนี้เร่งเดินทัพอีกหน่อย ก็น่าจะถึงจินเฉิงก่อนฟ้ามืด”

เหล่าทหารขานรับทันทีโดยไม่มีผู้ใดทักท้วง เสียงไม้กระทบไม้ดังขึ้นทั่วค่ายพัก ทหารเริ่มปักเสา เตรียมกระโจมชั่วคราว และแยกย้ายกันก่อกองไฟตามจุดที่กำหนด แสงตะเกียงน้ำมันวางเรียงรายรอบค่ายให้พอเห็นเส้นรอบวงในเงามืด เสียงเวรยามสลับเปลี่ยนก็ดังขึ้นตามรอบอย่างมีระเบียบ

ซิ่วอิงจัดเตรียมพื้นที่นอนก่อนจะรับเสบียงมากินหลังจากออกแรงถางป่ามาอย่างเหน็ดเหนื่อย นางคิดว่าวันนี้ได้ทำประโยชน์ให้กองทัพเท่าที่นางจะทำได้แล้ว และดูเหมือนว่าความไว้ใจจากท่านแม่ทัพก็เริ่มเผยให้นางเห็นทีละน้อยเช่นกัน…


[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-6-3 14:38
โพสต์ 39768 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-3 02:06
โพสต์ 39,768 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +12 เกียรติยศ +12 ความศรัทธา จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-3 02:06
โพสต์ 39,768 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความกล้า +10 เกียรติยศ +15 ความศรัทธา จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-3 02:06
โพสต์ 39,768 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความกล้า +7 เกียรติยศ จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-3 02:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-4 02:19:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-4 11:20







แม้ฟ้ายังมิทันสาง เสียงนกป่าก็เริ่มแว่วมาแต่ไกล บอกเวลาแห่งการตื่นตัวของเหล่าสรรพชีวิตในป่า ทว่าสำหรับซิ่วอิงการหลับใหลในคืนนี้หาได้นำความสดชื่นมาให้ไม่ นางลืมตาตื่นขึ้นทั้งที่ยังรู้สึกอ่อนล้า นางต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งในยามค่ำคืนไปกับการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ของวันตามคำสั่งของแม่ทัพฮั่ว ถึงจะมีเวลาพักผ่อนหลังเสร็จภารกิจแต่นอนพักได้เพียงไม่กี่ชั่วยามก็ตื่นอีก ข่มตาอย่างไรก็ไม่อาจนิ่งเสียได้ เมื่อท้องที่ว่างเปล่าร้องครวญครางราวจะประท้วงต่อความหิวที่กดทับอยู่ในอก

อาหารที่กองทัพแจกจ่ายแก่เหล่าทหารสองมื้อต่อวัน แม้จะไม่ขาดมือ แต่ทว่าก็มีแต่พอให้ประทังไปได้บ้าง ไม่พอให้อิ่มท้องอย่างเต็มที่ ยิ่งสำหรับหญิงสาวเช่นนาง ผู้มิได้มีสิทธิ์เลือกในกองทัพแห่งบุรุษก็ยิ่งต้องรู้จักเอาตัวรอดด้วยปัญญาของตนเอง

ดวงตาของนางเหลือบไปมองป่าที่ลึกเข้าไป ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย ไหน ๆ ก็ยังไม่อาจข่มตาได้ น่าจะใช้ช่วงเวลานี้แอบออกไปดูรอบ ๆ บางทีในป่าแถบนี้อาจพอมีอะไรให้พอประทังท้องได้บ้าง...

"ถ้าโชคดี อาจเจอพวกเห็ดหรือผลไม้ป่าก็ได้..." นางพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง พลางเดินชะเง้อมองซ้ายขวา

ทุกย่างก้าวต้องระวังยิ่งในป่าแถบนี้ที่เมื่อวานแม่ทัพเพิ่งเตือนว่าพบรอยเท้าสัตว์ขนาดใหญ่แฝงอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ซิ่วอิงเลือกเดินเลาะตามชายป่า ไม่ลึกมากเกินไปพอให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย แต่ก็ลึกพอจะพ้นจากสายตาทหารเวร หากใครเห็นนางออกมาเดินคนเดียวก่อนฟ้าสาง อาจมีเรื่องให้ตำหนิได้

ซิ่วอิงค่อย ๆ ย่อตัวลงสำรวจพื้นใต้พุ่มไม้ใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบของมันมีลักษณะคล้ายกับใบต้นหัวมัน มือเรียวของนางแตะเบา ๆ ที่พื้น หัวใจก็พลันเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ดินบริเวณโคนต้นนุ่มกว่าที่อื่น แสดงว่ามีบางอย่างฝังอยู่ใต้ผิวดินนั้น

"หรือว่าจะมีหัวมันอยู่จริง ๆ!" นางพึมพำ ขณะใช้ปลายนิ้วเขี่ยดินเปิดหน้าอย่างระมัดระวัง

เมื่อขุดดินลึกลงไปประมาณหนึ่งชั้น นางก็พบเปลือกของบางสิ่งที่กลมมน สีคล้ำ เป็นผิวมันขรุขระคล้ายมันม่วงที่เคยเห็นตามหมู่บ้าน นางขยับมีดสั้นที่เหน็บอยู่ข้างเอวมาเป็นเครื่องมือช่วยขุดดินโดยรอบ จากนั้นจึงใช้สองมือออกแรงดึง

หัวมันสีม่วงเข้มถูกยกขึ้นจากพื้นดินทีละน้อย มันใหญ่กว่าที่คาดไว้มาก นางหัวเราะเบา ๆ อย่างดีใจ

"วันนี้ถือว่าลาภปากแล้วจริง ๆ..." แต่ยังไม่ทันที่รอยยิ้มจะคลี่เต็มใบหน้า

ตุ้บ!

หัวมันในมือนางสั่นไหวอย่างประหลาดแล้วร่วงหล่นลงจากมือ ก่อนที่เนื้อหนังมันจะบิดเกร็ง เสียงแตกปริดังเปรี๊ยะ ๆ เหมือนเปลือกไม้แตกออก แล้วหัวมันก็เริ่มขยับกลายเป็นร่างปีศาจรูปร่างกลมโตสีม่วงเข้ม

"ปีศาจ..." ซิ่วอิงอุทานเบา ๆ ขณะกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว

เจ้าปีศาจมันม่วงแผดเสียงคำรามต่ำ ๆ จากลำคอ มันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วผิดกับรูปร่างใหญ่เทอะทะ แขนสองข้างที่หน้าตาเหมือนส่วนใบที่ยื่นออกจากลำตัวกลมป้อมฟาดลงอย่างแรงใกล้เท้านางจนดินกระจาย

นางเบี่ยงตัวหลบพลางดึงง้าวออกจากฝักที่เหน็บอยู่หลังแผ่นหลัง การต่อสู้ที่ไม่คาดคิดได้เริ่มต้นขึ้น ซิ่วอิงใช้เท้าแตะพื้นเบา ๆ ผ่อนแรงก่อนหมุนตัวฟันเฉียง เจ้าปีศาจมันม่วงเบี่ยงตัวหลบได้ในคราวแรก มันแผดเสียงออกมาคำหนึ่งในภาษาที่นางฟังไม่รู้เรื่อง คล้ายเป็นคำสาปหรือด่าทอ ก่อนพุ่งเข้าหาด้วยพละกำลังอย่างบ้าคลั่ง

ถึงเจ้าปีศาจนั่นจะมีกำลังเยอะเพียงใด แต่ซิ่วอิงนั้นมีทั้งความเร็ว มีไหวพริบ และมีง้าวในมือ! นางซัดคมง้าวพาดผ่านกลางร่างมันฉับพลัน เสียงฉับ! ดังขึ้นพร้อมกลิ่นฉุนของไอร้อนสีม่วงที่ลอยขึ้นมาจาง ๆ ก่อนที่ร่างปีศาจจะทรุดฮวบลงกับพื้น ร่างกายที่เคยบิดเบี้ยวเริ่มหดเล็กลง กลับคืนสภาพเป็นหัวมันม่วงธรรมดาอีกครั้ง กลิ้งไปหยุดอยู่บนกองดิน

ซิ่วอิงยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง เหงื่อไหลซึมบนขมับทั้งที่อากาศยามเช้ายังเย็นยะเยือก นางมองมันม่วงตรงหน้า ถอนใจแผ่ว

“หวังว่าจะไม่กลายเป็นปีศาจอีกนะ รีบจัดการเอาลงท้องให้เร็วดีกว่า”

นางตัดสินใจรวบเศษไม้แห้งมาก่อกองไฟเล็ก ๆ ใกล้ต้นไม้ ก่อนโยนมันลงบนไฟ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยอบอวลมาแต่ไกล ทำให้กระเพาะที่ว่างเปล่าเริ่มโอดครวญอีกครั้ง 

เมื่อเผามันจนสุกดี นางจึงรีบดับไฟอย่างระมัดระวัง ใช้เท้ากลบดินให้แน่น ทบทวนเส้นทางกลับครู่หนึ่ง ก่อนเดินลัดเลาะกลับค่ายอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในเช้าวันนี้…


ซิ่วอิงกลับมายังจุดพักของกองทัพได้ทันเวลา แสงทองของอรุณแรกเพิ่งแตะขอบฟ้าเหนือแนวไม้ ไม่มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนหรือเสียงพูดคุยให้ได้ยิน บรรยากาศยังคงเงียบสงบ ราวกับกองทัพทั้งกองยังคงหลับใหลอยู่ใต้ผืนฟ้าที่สีฟ้าจางเพิ่งเริ่มขยายตัว

นางลอบหายใจโล่งอก ก่อนจะสาวเท้ากลับไปยังตำแหน่งพักของตนอย่างระมัดระวัง ลบคราบดินที่ติดมือกับชายเสื้ออย่างแนบเนียน แล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยประหนึ่งว่าไม่เคยออกไปไหนเลยสักนิด

ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงเคลื่อนไหวเริ่มดังขึ้นจากกระโจมพักด้านข้าง เหล่าทหารทยอยลุกตื่นจากการพักผ่อนอันสั้น กระบวนการเตรียมตัวก่อนเดินทางเริ่มขึ้นตามระเบียบวินัยที่เคยชิน ซิ่วอิงนั่งเงียบอยู่ที่มุมหนึ่ง แสงแดดเช้าสะท้อนคมง้าวในมือ นางใช้เศษผ้าชุบน้ำเช็ดเรียบไปตามสันเหล็ก ไล่คราบหมองให้เงาวับ คราบเขม่าดำที่มุมเสื้อถูกลบออกไปแล้วกลิ่นเถ้ารมควันบนฝ่ามือก็ถูกซ่อนด้วยกลิ่นโลหะจากง้าว
ทุกอย่างดูปกติเหมือนกับว่าไม่เคยมีปีศาจตนใดถูกปลิดชีพเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา

ไม่นานนักก็ทหารนายหนึ่งเปล่งเสียงแจ้งคำสั่ง

“แม่ทัพฮั่วมีบัญชา! จัดระเบียบแถว เตรียมเดินทัพต่อภายในหนึ่งก้านธูป!”

เสียงโลหะกระทบกันระงมทั่วลานพัก เหล่าทหารรีบเร่งสวมเกราะ มัดสัมภาระขึ้นเกวียน บ้างเก็บดาบ บ้างสะพายหอก ท่ามกลางเสียงโกลาหล ซิ่วอิงลุกขึ้นยืนอย่างสงบ หยิบง้าวขึ้นสะพายไว้บนหลัง แล้วก้าวเท้าตามแถวไปเงียบ ๆ

กองทัพเคลื่อนพลออกจากชายป่าอย่างเป็นระเบียบ สภาพพื้นดินโล่ง พอพ้นเขตป่ามาได้แดดก็แรงเปรี้ยงแทบไม่มีร่มไม้ให้หลบ ความร้อนระอุสะท้อนจากพื้นดินขึ้นมาปะทะใบหน้า ทว่าเสียงฝีเท้าทหารกลับสม่ำเสมออย่างหนักแน่น กองเกวียนสัมภาระลากตามหลัง จุดหมายของวันนี้คือจินเฉิงที่ต้องไปให้ถึงก่อนฟ้ามืด

กองทัพเดินทางได้สองชั่วยามก็ถึงช่วงระหว่างพักขบวนช่วงสั้น ๆ ก่อนขึ้นเนินเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นหลัก แม่ทัพฮั่วเรียกตัวซิ่วอิงเข้าไปพบ ท่ามกลางสายตาทหารคนอื่นที่ไม่กล้าแม้จะก้าวเข้าใกล้

แม่ทัพยืนอยู่ใต้เงาไม้ ข้างเขาคือแผนที่กางคร่าว ๆ บนกล่องสัมภาระ

"เจ้ามักเดินกลางขบวนใช่หรือไม่?"

"เจ้าค่ะ หน่วยของข้าน้อยประจำแถวนั้น"

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเล็กน้อย แล้วชี้ปลายนิ้วลงบนแผนที่

"ข้าต้องการให้เจ้าสังเกตพื้นที่สองข้างทางขณะเดินทัพช่วงถัดไป โดยเฉพาะจากเนินไปถึงทุ่งดินแดง แนวตรงนี้" เขาลากนิ้วเป็นแนวยาวข้างเส้นทางหลัก

"พื้นที่นี้โล่งเกินไป ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเนินซ้อน เป็นจุดเสี่ยงหากมีใครซ่อนตัวลอบโจมตี"

ซิ่วอิงขยับเข้าใกล้แผนที่ กวาดตามองแนวเส้นที่แม่ทัพชี้

"ระยะมองเปิดกว้างจริงเจ้าค่ะ แต่หากมีการพรางตัวจากร่องดินตื้น หรือซ่อนใต้ผ้าพลางสีดิน ก็อาจไม่ทันสังเกต"

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเชื่องช้า

"ข้าสังเกตเจ้ามาหลายวัน...เจ้าดูเป็นคนช่างสังเกต และสายตามองมักจะมองเห็นก่อนใครจะทันคิดถาม ข้าคิดว่าข้ามอบหมายงานไม่ผิดคน"

"ซิ่วอิงน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ผิดหวัง" นางค้อมศีรษะช้า ๆ

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเบา ๆ สายตาหันกลับไปยังเส้นทางข้างหน้า

เสียงเขาแตรสัญญาณดังขึ้นจากปลายขบวน เรียกเหล่าทหารให้เตรียมเคลื่อนทัพต่อ ซิ่วอิงค้อมศีรษะอีกครั้งก่อนถอยออกจากเงาไม้ กลับไปเข้าประจำแถวก่อนที่กองทัพจะเริ่มเคลื่อนออกจากจุดพัก 

เส้นทางเบื้องหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากดินอัดแน่นเป็นทางลาดชันขึ้นเนิน พื้นดินสีน้ำตาลปนแดงแห้งแตกระแหง ทุ่งโล่งทอดยาวไกลจรดขอบฟ้า แทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้บังสายตา ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเนินซ้อน ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง มีเพียงหญ้าแห้งสีซีดขึ้นอยู่เป็นหย่อม ๆ

ซิ่วอิงอยู่แถวกลางตามเดิม สายตาของนางไม่ได้จับจ้องเพียงพื้นตรงหน้าอีกต่อไป หากแต่กลับเฝ้ามองซ้ายขวาเป็นระยะ มองแนวหญ้าต่ำ มองเงาดินตื้น ๆ ที่ทอดข้างทาง ลมกรรโชกบางเบาพัดผ่านปลายเสื้อเกราะ ทำให้ผืนหญ้าแห้งพริ้วตาม นางหยีตาเล็กน้อย พยายามแยกให้ได้ว่าอะไรเคลื่อนไหวด้วยแรงลม และอะไรที่เคลื่อนไหวโดยไม่มีลมเลย

กองทัพเคลื่อนผ่านช่วงเนินจนถึงช่วงลาดเรียบ เสียงล้อเกวียนที่เคยกระแทกดังกับพื้นหินกลับเบาลงเมื่อเหยียบเข้าสู่พื้นที่ร่วน ทหารแนวหน้าเริ่มลดจังหวะเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ขณะที่เสียงพูดคุยจางลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงอานม้ากระทบกันเบา ๆ

ซิ่วอิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสายตากวาดผ่านแนวทุ่งด้านขวา แล้วหยุดชั่วครู่ที่ร่องดินตื้น ๆ จังหวะนั้นมีลมหอบหนึ่งพัดผ่านพอดี ทำให้เส้นหญ้าเตี้ย ๆ ข้างร่องดินปลิวเปิดออก เผยให้เห็นสีที่ต่างจากพื้นดินรอบข้างเล็กน้อย สีน้ำตาลนั้นดูเข้มชื้นกว่า และมีเศษใบไม้ปิดคลุมรอยไม่เรียบสนิท

ซิ่วอิงเบือนสายตาเล็กน้อย มุมสายตาของนางเหลือบไปเห็นสิ่งบางอย่างตรงปลายร่อง เสาไม้ผอม ๆ ปักลงดิน เอียงเล็กน้อย ดูเหมือนคันชักแบบดั้งเดิม ใช้เชื่อมกับสลักไม้และเชือกดึง หากมีอะไรหนักเหยียบลงด้านบน จะกระตุกดึงออก เปิดหลุมที่ปิดไว้ข้างใต้กับดักแบบนี้ไม่ได้มีไว้หยุดม้า แต่มักใช้กับเกวียนสัมภาระ…

นางหันไปสบตาทหารคนหนึ่งในแนวกลาง แววตาของเขาขยับรับสัญญาณ เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำ ทหารนายนี้รีบก้าวเฉียงออกจากแนวแถว หยุดขบวนเกวียนสัมภาระก่อนมันจะเคลื่อนถึงร่องดิน เสียงเรียกเบา ๆ ดังต่อเนื่องเป็นระยะ จากทหารประจำแถวหลังและผู้ควบคุมม้า สั่งหยุดชะลอโดยไม่ให้คนแตกตื่น

ซิ่วอิงก้าวเท้าฉับเดียวตรงไปยังจุดนั้น คุกเข่าลงสำรวจ นางใช้ง้าวดันหญ้าที่ปิดพรางออก และกระแทกปลายคันชักเบา ๆ พื้นดินตรงนั้นทรุดวูบเล็กน้อย แล้วเปิดให้เห็นโพรงกับดักขนาดพอให้ล้อเกวียนทั้งคันตกลงไปได้ทั้งลำ

นางไม่พูดอะไร เพียงตัดเชือกดึงหลักกลไกออกจากคันสลัก ทำให้หลุมกับดักนั้นไร้ฤทธิ์ไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นใช้ปลายง้าวกระแทกอีกครั้งเพื่อตรวจสอบซ้ำอย่างระแวดระวัง

ทหารคนอื่นเริ่มเข้าใจสถานการณ์โดยไม่ต้องมีคำอธิบาย เสียงแตรสั้นจากแนวหลังดังขึ้นสั่งชะลอขบวนทั้งกอง เหล่าทหารแนวหน้าขยับเข้าประจำตำแหน่งพร้อมรับมือโดยไม่มีการแตกตื่น

แม่ทัพฮั่วควบม้าตรงมาที่จุดเกิดเหตุ นัยน์ตาเขาสำรวจสภาพโดยรอบ ก่อนหยุดมองซิ่วอิงที่ยังคุกเข่าอยู่กลางดิน

“กับดักหรือ?”

"เจ้าค่ะ ดูจากเชือกกลไก คาดว่ามีอีกอย่างน้อยสองจุดซ้อนขนานกันตามแนวร่องลาก"

แม่ทัพฮั่วไม่ได้พูดอะไร แต่ส่งสัญญาณมืออย่างรวดเร็ว ทหารสื่อสารจากแนวกลางวิ่งออกไปด้านข้าง แจ้งขบวนให้เลี่ยงแนวร่องขวา หักเข้าเส้นทางดินแข็งด้านซ้า

ไม่นานขบวนจึงเริ่มเคลื่อนพลใหม่อีกครั้ง เบี่ยงเส้นทางเล็กน้อยจากเดิม ซิ่วอิงลุกขึ้น เดินกลับเข้าขบวนช้า ๆ พร้อมเสียงกระซิบจากทหารแนวหลังบางคนที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมามาก

แม่ทัพฮั่วควบม้าเลียบข้างซิ่วอิงก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ 

"หากเกวียนตกหลุมตรงนั้น  เราอาจเสียเสบียงครึ่งกอง ขอบใจเจ้ามาก"

“เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ” นางก้มศีรษะเล็กน้อย

หลังเลี่ยงแนวร่องดินมาได้โดยไม่มีผู้ใดบาดเจ็บหรือเสียหาย ขบวนก็เดินทัพต่ออย่างต่อเนื่องหลายชั่วยามผ่านไป ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ด้านหน้าสุดทหารแนวหน้าเปล่งเสียงเมื่อเห็นยอดธงเล็กของจินเฉิงจากระยะไกล มันไม่ใช่ธงประจำเมืองที่ปักบนหอสูง แต่เป็นเครื่องหมายแนวเขตนอกเมือง

ทางเลียบเมืองของจินเฉิงทอดตัวยาวไปทางทิศเหนือขนานกับทุ่งที่เพิ่งผ่านมา และค่อย ๆ ชันขึ้นเล็กน้อยตามแนวเนินต่ำ แม้ไม่ใช่เส้นทางหลักสำหรับพ่อค้า แต่เป็นเส้นทางที่เหมาะใช้สำหรับการเคลื่อนพล ไม่มีชาวบ้าน ไม่มีตลาด ไม่มีบ้านเรือน

เมื่อเข้าสู่แนวเขตทางการกองทัพจึงหยุด ณ จุดพักม้าใกล้เนินลาดซึ่งมีแหล่งน้ำธรรมชาติไหลผ่าน ม้าแต่ละตัวถูกปลดอานให้พักผ่อน หญ้าแห้งถูกแจกจ่ายอย่างรวดเร็วในรัศมีเงาไม้ใกล้ลำธาร

ทหารบางนายเริ่มจัดเวรยาม บ้างปักเสาธงบัญชาการชั่วคราว และอีกส่วนหนึ่งลงมือตั้งกระโจมพักแรมชั่วคราว เสียงขุดดิน กางผ้าใบ และสับไม้ดังต่อเนื่องเป็นระยะ 

ซิ่วอิงปลดง้าวลงวางข้างตัว นั่งยองอยู่ใกล้กระโจมท้ายแถว ใช้มีดเล็กเหลาไม้อ่อนเตรียมไว้สำหรับตั้งตะเกียงเช่นเคย ใกล้กันนั้น แม่ทัพฮั่วกำลังยืนสนทนากับรองแม่ทัพ เสียงไม่ได้ดังนัก แต่การพยักหน้า การชี้แผนที่ และการสั่งให้ตั้งแนวค่ายให้ลึกห่างจากแนวป่าซักห้าร้อยก้าว ล้วนบ่งชี้ว่าเขายังคงไม่ไว้ใจภูมิประเทศตรงนี้นัก

ตะวันคล้อยต่ำลงเหลือเพียงแสงสีทองสาดลงบนยอดหญ้า มุมเงาของผู้คนยืดยาวลงกับพื้น กองควันจากกองไฟลอยขึ้นจากกระโจมปลายแถวอย่างบางเบา คืนนี้คงต้องค้างแรมกันที่นี่ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางจินเฉิงอย่างเต็มรูปแบบในวันถัดไปเพื่อผ่านไปยังหมิงโจว


หลักฐานการต่อสู้
 ไอเท็มดรอป(ประลองระบบ): ตบะ 10 หน่วย
เนื้อเทศ (เลขไบต์หลักสุดท้าย = จำนวนได้)

พรสวรรค์: นักสู้ (ม่วง)
ทุกการต่อสู้ (ประลองระบบ) จะยิ่งทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ได้รับโบนัสค่าประสบการณ์เติบโต +30 EXP

ศาสตร์การล่าสัตว์  (มือฉมังแห่งนักล่า)
3) ทุกการล่าปีศาจหรือมาร จะได้รับโบนัส +20 ตบะฝึกฝน และ เพิ่มอัตราดรอปเลข 5 เข้าไปในตัวแปรอัตราดรอป

[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin  







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-4 11:23
โพสต์ 52331 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-4 02:19
โพสต์ 52,331 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-4 02:19
โพสต์ 52,331 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +15 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-4 02:19
โพสต์ 52,331 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-4 02:19

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1ตบะฝึกฝน +30 ย่อ เหตุผล
Admin + 30

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-5 14:54:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-5 14:55







วันที่สี่ของการเดินทัพ แสงแดดยามสายทาบลงบนผืนดินสีแดงคล้ำผสมฝุ่นทรายที่แห้งผาก บริเวณนี้เป็นที่โล่งกว้าง ต้นไม้ใหญ่แทบไม่มีให้เห็น มีเพียงต้นหญ้าแห้งสีเหลืองทองลู่ไปตามลมทอดตัวยาวไปสุดลูกหูลูกตา

ใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง กองทัพของแม่ทัพฮั่วเคลื่อนพลอย่างระมัดระวัง แม้พื้นที่จะเปิดโล่งแต่นั่นกลับทำให้พวกเขาไร้ที่กำบังมากขึ้นกว่าเดิม ถึงเส้นทางที่เลือกจะเลี่ยงตัวเมืองโดยตรงเพื่อไม่ให้รบกวนชาวเมืองและหลีกเลี่ยงจากการจับตาจากศัตรู แต่ก็ยังคงพบเห็นชาวบ้านประปราย พรานบางคนเดินลากซากสัตว์กลับไปยังหมู่บ้านห่างไกล หรือหญิงชาวบ้านตักน้ำจากบ่อธรรมชาติริมทางที่แทบจะแห้งขอด

หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคนผิวกร้านจากลมแดด สวมหมวกฟางเก่า ๆ พาดห่อสมุนไพรแห้งไว้บนหลัง มองขบวนทัพด้วยแววตาหวาดระแวง ก่อนจะยกมือเรียกทหารที่ขี่ม้าอยู่ไม่ไกล โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือแม่ทัพฮั่ว

“นายท่านขอรับ ช่วงนี้โจรป่าออกล่าไม่เว้นวัน มันดักปล้นขบวนพ่อค้าและชาวบ้าน พื้นที่โล่งอย่างนี้ พวกมันใช้ได้ดีนักสำหรับซุ่มโจมตี...ข้าเห็นพวกท่านขนของมาหลายเกวียนอยากให้ทันระวังไว้เสียหน่อย”

แม่ทัพฮั่วชะลอฝีเท้าม้าจนหยุดนิ่ง เขาหันไปทางชายชาวบ้านเพียงชั่วครู่โดยไม่พูดอะไรเพียงตั้งใจฟังอย่างไม่ถือตัว

ชายชาวบ้านไม่รู้ว่าเขาคือใคร จึงเอ่ยต่อด้วยความหวังดี

“ข้าเห็นพวกมันเมื่อสามวันก่อน พวกมันจะชอบซุ่มอยู่ตามรายทางเพื่อปล้นเกวียนขนสินค้า ข้าได้ยินว่าพวกมันมีธนูด้วย”

แม่ทัพฮั่วไม่ตอบใด ๆ หากแต่สายตาคมของเขากวาดตามองไปโดยรอบ เหมือนประเมินสิ่งที่ชายผู้นั้นพูดก่อนจะกระตุกบังเหียนเบา ๆ

“ขอบคุณสำหรับคำเตือน” แม่ทัพฮั่วกล่าวเพียงถ้อยคำสั้น ๆ ที่บอกว่าเขารับฟังแล้ว

แต่ชายชาวบ้านยังไม่หยุดแค่คำเตือน เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่นหนักยิ่งขึ้น

“ข้ามิได้มาเพียงเพื่อเตือนหรอกนายท่าน ข้าอยากให้ทางการช่วยปราบพวกมัน ทุกวันนี้ชาวบ้านก็ลำบากมากพอแล้ว”

คราวนี้น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอัดอั้น เป็นน้ำเสียงของผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัวทุกวัน

ยังไม่ทันที่แม่ทัพฮั่วจะเอ่ยตอบเสียงใด เสียงหนึ่งจากด้านข้างก็ดังขึ้นก่อนอย่างเย็นชา

“ลุง…นี่ทัพหลวงนะ เรามีหน้าที่ไปปราบปีศาจตามพระบัญชาไม่มีเวลาสำหรับโจรกระจอกหรอก เหตุใดถึงไม่ไปแจ้งทางการเมืองเจ้า” 

เสียงของรองแม่ทัพหนุ่มใหญ่ใบหน้าเคร่งขรึมในชุดเกราะเงินเอ่ยขึ้น เขายกมือขึ้นเท้าเอว ก่อนหรี่ตามองชายชาวบ้านอย่างไม่สบอารมณ์

“เหตุใดถึงไม่ไปแจ้งทางการเมืองเจ้าเล่า? หรือเจ้าคิดว่าทหารหลวงจะมาตรวจตราทุกหมู่บ้าน?”

เสียงฝีเท้าม้าดังสะท้อนทั่วผืนดินแดง กองทัพเริ่มเคลื่อนขบวนต่ออย่างเป็นระเบียบ ฝุ่นทรายลอยฟุ้งตามแรงเหยียบของเกือกม้าและล้อเกวียนที่บดทับพื้นแห้งแตกระแหงเป็นลายราวรอยแผลเป็นของผืนแผ่นดิน แม่ทัพฮั่วมิได้เอ่ยคำใดอีก แม้แต่รองแม่ทัพเองก็หันม้าเดินตามหลังผู้นำไปโดยไม่เหลียวกลับ

แต่ท่ามกลางเกราะเหล็กเงาวับและเสียงคำสั่งสั้นห้วนของทหาร ชายชาวบ้านยังไม่ละความพยายาม เขายืนมองแผ่นหลังของขบวนทัพอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเดินเลียบแถว เดินไปขอร้องทหารทีละคน บางคนเมิน บางคนไล่ บ้างก็ทำเพียงยิ้มฝืนแล้วเร่งฝีเท้าม้าหนีเขาไป

“ช่วยบอกแม่ทัพให้ข้าทีเถิด...” เขาพูดซ้ำ ๆ เสียงแหบแห้งในลำคอ “พวกมันไม่ได้แค่ปล้น มันฆ่าด้วย มันจับพวกเราเป็นตัวประกัน... มันเอาทุกอย่างไปจากพวกข้า...”

มือหยาบกร้านข้างหนึ่งเกาะแขนทหารนายหนึ่งไว้อย่างหมดหวัง ทหารผู้นั้นเบือนหน้าหนี รั้งแขนตัวเองกลับ แล้วขยับม้าเร่งเดินตามขบวน

ขบวนพลม้าเดินผ่านจนกระทั่งมาถึงพลเดินเท้า จู่ ๆ มือชายชาวบ้านก็สัมผัสเข้ากับปลายแขนเสื้อของใครสักใคร เขาเงยหน้าขึ้นพบว่าเป็นแขนเสื้อหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่แนวแถวกองทัพ นางไม่ได้สะบัดแขนหนีและไม่เดินหนี ซิ่วอิงปล่อยให้ทัพเดินเท้าเดินล่วงหน้าไปแล้วหยุดสนทนากับชายชาวบ้านผู้นั้น

“แม่นาง…ข้า...ข้าขอแค่ให้ใครสักคนช่วยฟังข้าเถิด ช่วยพวกเราด้วย” ชายผู้นั้นพยายามพูดทั้งที่เสียงสั่นเครือ เขาแทบจะคุกเข่าลงกับพื้นแล้วด้วยซ้ำ

ซิ่วอิงจับแขนเขาเบา ๆ ประคองให้เขายืนมั่น นางสบตาเขาอย่างตั้งใจไม่มีท่าทีรังเกียจ

“ท่านลุงข้าเข้าใจ...คนในกองทัพต้องยึดรับสั่งเป็นหลักแต่หาใช่ว่าพวกเขาไม่ใส่ใจคำขอของท่าน ข้าจะลองหาทางดู”

ดวงตาชายชาวบ้านคลอด้วยน้ำ ใบหน้าซูบตอบนั้นไหวสะท้านเบา ๆ

“ท่าน...จะช่วยจริงหรือ?”

“ข้าจะพยายาม ไม่ต้องห่วงข้าสัญญาว่าชาวบ้านจะต้องปลอดภัย”

“ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก” 

นางพยักหน้าให้เขาถอยออกจากแนวขบวน แล้วก้าวขึ้นเดินตามกองทัพต่อไป 

กองทัพเคลื่อนพลต่อเนื่องท่ามกลางแดดที่ยิ่งสายก็ยิ่งร้อนระอุ ฝุ่นทรายสีน้ำตาลแดงพัดลอยตามแรงเท้าม้าและเกวียน ยามลมพัดผ่านกอหญ้าแห้งก็โบกไหวเป็นริ้วเหมือนคลื่นที่ไร้น้ำ

ครู่ใหญ่ผ่านไป ขบวนทัพก็เริ่มชะลอลงเมื่อถึงลำธารตื้นสายหนึ่งริมเส้นทาง สายน้ำไหลเอื่อยผ่านก้อนหินตะไคร่น้ำ หญ้าทึมสีเขียวหม่นแซมอยู่ข้างตลิ่ง ที่นี่เป็นจุดพักตามระยะของวัน ทหารเริ่มปล่อยม้าให้ดื่มน้ำ ล้างหน้า หรือถอดเกราะชั้นนอกเพื่อลูบไล้เหงื่อจากร่าง

ซิ่วอิงใช้จังหวะนั้น สะบัดฝุ่นออกจากชายเสื้อแล้วเดินตรงไปยังหน้าขบวน แม่ทัพฮั่วยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้เตี้ย ๆ ข้างกองเกวียนไม้บรรทุกเสบียง เขากำลังพูดคุยสั้น ๆ กับรองแม่ทัพ แต่เมื่อเห็นซิ่วอิงเดินตรงเข้ามา เขาก็พยักหน้าให้คนข้าง ๆ ผละไป

นางยืนตรง ก่อนค้อมศีรษะ

"ขออนุญาตขอความเห็นเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ"

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเล็กน้อย

“ว่ามา”

“เมื่อครู่มีชายชาวบ้านคนหนึ่งมาเรียกร้องให้ช่วยเรื่องโจรป่าที่ดักปล้นขบวนชาวบ้านตามทา…ข้าน้อยมิอาจละเลยได้จึงมารายงานเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วเงียบไปครู่ ดวงตาของเขามองทอดไปยังปลายแนวเขตขอบฟ้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเรียบสงบ

“ข้ารู้...และข้าก็เข้าใจดีว่าพวกเขาลำบากเพียงใด แต่ภารกิจของเราครั้งนี้เป็นรับสั่งของฝ่าบาท และเป็นสถานการณ์ที่มิอาจช้าได้”

เขาหันกลับมามองซิ่วอิงตรง ๆ

“หากเราช้ากว่ากำหนดแม้เพียงวันเดียว ศึกที่อีกฝั่งอาจพลิกจากชัยเป็นพ่าย บ้านเมืองเสียหาย และชาวบ้านที่นั่นอีกจำนวนมากก็จะเดือดร้อนกว่าเดิม”

ซิ่วอิงเม้มริมฝีปาก นางไม่โต้เถียง รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดที่จะให้ท่านแม่ทัพอนุญาต

“ข้ามิใช่คนเลือดเย็น แต่ในฐานะแม่ทัพ...บางครั้งเราต้องเลือกระหว่างสิ่งสำคัญกับสิ่งสำคัญกว่า เมืองนี้ก็ยังมีทางการและด่านประจำอยู่ หวังว่าพวกเขาจะจัดการได้ในเบื้องต้น”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขออภัยที่รบกวนเวลาเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงโค้งคำนับอีกครั้งก่อนถอยออกมาเพราะคุยต่อไปก็คงมิได้ประโยชน์อะไร ในสถานการณ์นี้นางเข้าใจทั้งชาวบ้านและเข้าใจความลำบากใจของแม่ทัพฮั่วเช่นกัน

นางเดินกลับมาริมลำธาร ปล่อยให้เสียงน้ำไหลกลบความอึดอัดในอก ซิ่วอิงก้มลงวักน้ำล้างใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความครุ่นคิด

ทันใดนั้น…ความรู้สึกเย็นวาบบางอย่างแล่นผ่านต้นคอของนางคล้ายถูกจ้องมองจากที่ใดสักแห่ง ซิ่วอิงชะงัก กวาดสายตามองโดยรอบแต่ก็มีเพียงเงาไม้ เต่าทองเกาะบนใบหญ้า และเสียงน้ำกระทบก้อนหิน

เงียบ…ไร้ผู้ใด

นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หรี่ตาเพ่งไปทางแนวพุ่มไม้ไกล ๆ ไม่มีแม้แต่รอยเท้า…

“คงคิดมากไปแหละมั้ง” นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แต่ลางสังหรณ์บางอย่างก็ยังคงค้างคาอยู่ในใจเหมือนบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังเฝ้าดูอยู่ในเงามืด…


เมื่อถึงเวลาของการเคลื่อนขบวนทัพ พลม้ายังคงนำหน้า ตามด้วยทหารราบและเกวียนเสบียงที่รั้งท้าย แต่บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สำหรับซิ่วอิงแล้วทุกย่างก้าวที่เดินเคียงเกวียนคือความอึดอัดอย่างประหลาด

นางได้ไปหาแม่ทัพฮั่วก่อนออกเดินทางไม่นาน เพื่อขอเปลี่ยนหน้าที่ไปประจำการที่แนวหลังกับหน่วยคุ้มกันเสบียง ด้วยเหตุผลเพียงว่า “มีลางสังหรณ์ไม่ดี” แม่ทัพฮั่วมองหน้านางเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอนุญาตให้นางทำหน้าที่นี้

ขบวนเคลื่อนเข้าสู่ช่องเขา ข้างทางคือหน้าผาหินสลับพุ่มไม้เตี้ย ช่องทางแคบลงจนเหลือทางให้เดินเรียงเพียงแค่เกวียนพอผ่านได้ ซิ่วอิงเดินอยู่ข้างเกวียนคันหนึ่ง ฝุ่นทรายปลิวตามล้อไม้ เสียงกีบม้าดังสม่ำเสมอ ทว่า…

ฟิ้วววว ฉึก!

เสียงธนูฉีกอากาศดังขึ้นเพียงชั่วกะพริบตา ก่อนปลายลูกศรจะเฉียดใบหน้าซิ่วอิงไปอย่างฉิวเฉียดแล้วฝังแน่นลงบนกระสอบข้าวสาร นางชะงักร่างแช่แข็งไว้กับที่ ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่น

“มีคนลอบโจมตี!!”

เสียงโห่คำรามของพวกโจรป่าดังสะท้อนก้องผนังหินรอบด้าน พวกมันพุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ซอกผา และทางลาดเบื้องหลัง บ้างถือดาบ บ้างถือขวาน บางคนกวัดแกว่งหอกยาวปรี่เข้าหาขบวนเกวียน

แม่ทัพฮั่วเห็นเหตุการณ์ จึงรีบชักทวนยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ปลายเหล็กสะท้อนแสงวับวาว

“คุ้มครองเสบียง! ฆ่าโจรพวกนี้ให้สิ้น!!”

เสียงทหารกู่ร้องรับคำสั่งดังสะท้าน ซิ่วอิงไม่รอช้า ชักง้าวออกมาจากหลังบ่า หมุนกายหนึ่งรอบก่อนพุ่งใส่โจรที่เข้าประชิดเกวียน

“อย่าให้มันแตะต้องเสบียง!” นางตะโกน

นางฟาดง้าวด้วยความแม่นยำและรุนแรง ใบง้าวแหวกกลางอกของโจรคนหนึ่งก่อนหมุนฟันอีกทีที่ชายโครงของอีกคน เลือดกระเซ็นชโลมผืนดิน เสียงตะโกนโหยหวนดังไม่ขาดสาย

ทหารค่ายพยัคฆ์เปิดแนวปะทะอย่างมีแบบแผน แม้จำนวนโจรจะมาก แต่กลับไร้ระเบียบ การต่อสู้ใช้เวลาเพียงไม่นานนักแต่ก็โกลาหลมากพอสมควร เหล่าโจรล้มกลิ้งกระจัดกระจาย หลายคนพยายามหนีแต่ไม่พ้นแนวคมดาบของทหารค่ายพยัคฆ์ที่ขึ้นชื่อด้านวินัยและฝีมือ ไม่มีใครแม้สักคนยอมให้ศัตรูผ่านแนวป้องกันไปได้

เมื่อทุกอย่างสงบลง ภาพที่เห็นก็เป็นศพโจรนอนเรียงราย ทหารบางนายบาดเจ็บแต่ไม่มีใครถึงแก่ชีวิต หมอทหารรีบเข้าให้การปฐมพยาบาลในจุดที่จัดไว้ และกำลังจะออกเดินทางอีกครั้งตามคำสั่งของแม่ทัพโดยมีทหารช่วยกันพยุงผู้บาดเจ็บเดินไป

ทว่าซิ่วอิง...ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่แนวเกวียน นางหันซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเดิมจากเมื่อตอนล้างหน้าที่ลำธารย้อนกลับมา ลางสังหรณ์ของนางยังไม่ได้หายไป ตรงกันข้าม มันกลับเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม นางรู้สึกเหมือนยังมีใครบางคนจ้องมองอยู่

นางตวัดสายตาขึ้นไปยังผนังผาด้านซ้ายมือ เห็นเงาสะบัดบางอย่างเคลื่อนไหวช้า ๆ ซิ่วอิงไม่รอให้มีใครห้าม นางพุ่งตัวออกไปทันที

“อาอิง! เดี๋ยว!” ทหารหลายคนตะโกนตามหลังด้วยความตกใจ

แม่ทัพฮั่วที่เห็นการเคลื่อนไหวนั้นตั้งแต่ต้น ขมวดคิ้วแน่นก่อนตะโกน

“ตามนางไป! เร็ว!”

เขากระตุกบังเหียนม้า พุ่งตัวตามซิ่วอิงโดยมีทหารอีกสี่ห้าคนควบตามอย่างไม่ลังเล 

ซิ่วอิงเคลื่อนไปโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วน ๆ ความว่องไวของนางเกินที่ใครจะคาดคิด รู้ตัวอีกทีกลุ่มทหารม้าของแม่ทัพฮั่วก็ตามนางไม่ทันเสียแล้ว นางช่างมาไวไปไวราวกับผีหลอก 

แม่ทัพฮั่วตามมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน ทว่าเมื่อมองไปตามแนวทางดินนั้นกลับไร้เงาของหญิงสาว มีเพียงรอยเท้าจาง ๆ ที่ทอดยาวเข้าไปในพงไม้หนา เขาขมวดคิ้วแน่นสั่งทหารกระจายตัวตามหาในรัศมีใกล้เคียง

ด้านซิ่วอิงเมื่อเดินลึกเข้าไปใช้เวลาเกือบครึ่งเค่อ นางก็พบกับพื้นที่เปิดโล่งในป่า เสียงนกรอบข้างเงียบหาย สายลมแทบไม่มี ตรงหน้าของนางคือลานดินที่เต็มไปด้วยร่องรอยการตั้งค่าย ผ้าเก่า ๆ กองซ้อนกันอย่างไร้ระเบียบ กระโจมผ้าขาด ขี้เถ้าในกองไฟที่เพิ่งมอดไปได้ไม่นาน นางหยุดชะงักแววตาไหววูบ นางรู้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่ที่พักหลบแดด...แต่มันคือ รังโจร!

ขณะที่สายตายังสำรวจสิ่งรอบกาย เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นจากพุ่มไม้รอบทิศ โจรหลายคนทยอยออกมาจากเงาไม้ ล้อมนางไว้เหมือนหมาป่าที่พบเหยื่อ เดินย่างเยื้องมาช้า ๆ พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

ซิ่วอิงหันมองรอบตัวพลางเอื้อมมือไปจับด้ามง้าวเบื้องหลัง ร่างกายโน้มต่ำเล็กน้อย เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศึกโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหน้า

“หลงทางหรือแม่นางน้อย?”

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวออกจากเงาไม้ ดวงตาข้างหนึ่งขุ่นมัวจากรอยแผลเก่า มุมปากยกยิ้ม พาดดาบโค้งไว้บนบ่าอย่างไม่ยี่หระ ดูก็รู้ว่าเจ้านี่ต้องเป็นผู้คุมรังโจรแห่งนี้

“ลูกพี่ นังนี่มันคือคนของกองทัพที่จัดการพี่น้องเรา” เสียงแหบห้าวของโจรคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเคียดแค้น

คำพูดนั้นทำให้แววตาของเหล่าโจรรอบตัวแข็งกร้าวขึ้นทันที บรรยากาศเปลี่ยนจากเงียบเชียบเป็นตึงเครียดราวระเบิดที่ใกล้ระเบิดเต็มที

“พวกเจ้าคือโจรกลุ่มนั้นทำสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านสินะ” ซิ่วอิงถาม

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม เจ้าบุกมาถึงที่นี่ก็อย่าคิดเลยว่าจะได้กลับไป” หัวหน้าโจรกล่าว เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนกวาดตามองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  

“แต่จะว่าไป…หน้าตาเจ้าก็งดงามใช้ได้” เขายกปลายดาบเชยปลายคางของนางขึ้นอย่างเหิมเกริม “ไม่แน่ ข้าอาจปรานีไม่ฆ่าเจ้าทิ้ง...แต่เก็บไว้เป็นเมียแทน”

ดวงตาของซิ่วอิงฉายแววแข็งกร้าว นางไม่ได้เบือนหน้าหลบ ไม่หวาดกลัว และไม่แสดงความตกใจแม้แต่น้อย หากแต่เอ่ยถ้อยคำเพียงประโยคเดียว

“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”

“หน็อยนังนี่! กล้ามากนักที่มาท้าทายลูกพี่เรา ข้าจะสงเคราะห์เจ้าก่อนเลย!” เสียงตะโกนกึกก้องจากโจรร่างบึกบึน มือหนาของมันยกท่อนไม้ขนาดใหญ่ขึ้นเหนือหัว ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ท่อนไม้หนักนั้นถูกง้างสูงพร้อมแรงเหวี่ยงหมายฟาดลงใส่ศีรษะของซิ่วอิงเต็มแรง 

และในเสี้ยวพริบตาเดียว...

เสียงหวีดแหลมของโลหะฉีกอากาศดังขึ้น ทวนเล่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาด้วยแรงมหาศาล ปักทะลุร่างของโจรผู้นั้นจากด้านหลัง เลือดพุ่งกระเซ็นกลางลานดิน ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงโดยไม่ทันได้ปล่อยแรงที่ตนหมายมั่น ท่อนไม้ร่วงลงกระแทกพื้น

เงาสูงใหญ่เบื้องหลังค่อย ๆ ชัดขึ้นท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลอดผ่านยอดไม้ แม่ทัพฮั่วยืนอยู่ห่างออกไป สายตาคมกริบจับจ้องทุกอย่างอย่างแม่นยำ ปราศจากความลังเลราวกับการสังหารเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงหน้าที่ธรรมดา

“ดูเหมือนว่าแขกไม่ได้รับเชิญจะมาเพิ่มอีกแล้วสินะ...จัดการพวกมัน!” หัวหน้าโจรคำรามลั่น เสียงคำสั่งของมันดังก้องไปทั่วลานป่า

ทันใดนั้นเหล่าโจรทั้งค่ายก็กรูกันออกมาจากเงาไม้ พุ่งเป้าไปที่ชายเพียงผู้เดียวที่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางแดด พริบตานั้นเองการต่อสู้ก็ปะทุขึ้น ทวนในมือของแม่ทัพฮั่วถูกดึงขึ้นมาจากร่างไร้วิญญาณของโจรคนแรก ก่อนที่เขาจะเคลื่อนไหวฉับไวราวพายุหมุน คมปลายทวนสะบัดฟาดทะลวงกลางวงล้อมราวกับพญามังกรพุ่งทะยานจากเมฆา ทุกท่าทางเปี่ยมด้วยพลังและความแม่นยำ

แม้ไร้ทหารติดตามเคียงข้างเพราะพวกนั้นกระจายตัวกันออกไปตามหาซิ่วอิงในพื้นที่โดยรอบ แต่แม่ทัพฮั่วกลับไม่แม้แต่จะลังเล ดวงตาเขานิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด

เสียงอาวุธปะทะกันดังสนั่น เสียงร้องของโจรที่ถูกแทง ถูกฟาด ถูกเหวี่ยงกระเด็นสะท้อนทั่วลานป่า ร่างของแม่ทัพฮั่วเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน คล้ายดาบเดียวต่อกรกับลมสิบทิศ เขาโถมเข้าใส่ศัตรูนับสิบอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับเสือที่กระโจนเข้าสู่วงหมาป่า เลือดของศัตรูสาดกระเซ็นลงบนพื้นดินผสมกับฝุ่นและขี้เถ้าที่ลอยฟุ้งในอากาศ แม้จำนวนจะไม่เป็นใจ แต่ทักษะทวนของแม่ทัพกลับเปี่ยมไปด้วยพลังของขุนศึกผู้ผ่านสมรภูมินับครั้งไม่ถ้วน ร่างเพียงหนึ่งกลับยืนหยัดต้านศัตรูนับสิบได้อย่างไม่หวั่นไหว

ในขณะที่แม่ทัพฮั่วต่อกรกับโจรนับสิบเบื้องหลัง ซิ่วอิงเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป นางหมุนตัวอย่างรวดเร็ว มือเอื้อมไปคว้าง้าวด้านหลังออกมา จากนั้นพุ่งเข้าหาหัวหน้าโจรโดยไร้คำพูดใด การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นทันที

เสียงโลหะปะทะกันกึกก้องกลางลานดิน ดาบโค้งของหัวหน้าโจรวูบไหวว่องไวผิดคาด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ท่วงท่าเฉียบขาด สอดแทรกด้วยความดิบเถื่อนที่ได้มาจากประสบการณ์ภาคสนามนับไม่ถ้วน ง้าวในมือซิ่วอิงสับเข้าใส่อย่างเฉียบพลัน การเคลื่อนไหวของนางอาศัยทั้งความเร็วและความแม่นยำ สายตาของนางนิ่งแน่ว ดวงใจไร้ความลังเล

“ดุ...แบบนี้ข้าถูกใจยิ่งนัก!” หัวหน้าโจรร้องเสียงหัวเราะก้อง เสียงหัวเราะของมันฟังแล้วน่าขนลุกไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่คุ้มคลั่ง

แต่ซิ่วอิงไม่มีเวลาจะหัวเราะด้วย ให้เป็นเมียโจร...นางยอมตายเสียดีกว่า!

ความคิดนั้นกลายเป็นแรงผลัก นางระดมท่ารุกอย่างไม่ลดละ ใช้ทุกกระบวนง้าวที่ฝึกมาทั้งชีวิตแทงสวนเข้าใส่ช่องว่างของดาบโค้งที่เคลื่อนไหวเร็วราวพายุ เสียงฟาดปะทะของอาวุธดังระงม ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนดินใต้ฝ่าเท้าแทบป่นเป็นผง

ในจังหวะสุดท้ายที่หัวหน้าโจรเสียหลักเพียงเสี้ยววินาที ซิ่วอิงหมุนง้าวเป็นวงกว้างแล้วฟาดเฉียงจากด้านล่างขึ้น คมง้าวเฉือนทะลุแนวป้องกันของเขาอย่างแม่นยำ เลือดสาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ

หัวหน้าโจรร้องลั่นก่อนจะทรุดร่างลงกับพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดและความพ่ายแพ้ที่ไม่คาดฝัน ซิ่วอิงยืนหอบเล็กน้อย 

“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและฝุ่นดินที่ยังลอยคลุ้งในอากาศ

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งเดินเข้ามาหาซิ่วอิงอย่างเร่งรีบ แววตาเข้มดุของชายผู้เป็นแม่ทัพเปลี่ยนเป็นห่วงใยเมื่อเห็นรอยถลอกเล็ก ๆ บนร่างหญิงสาว

“ข้าน้อยไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

แม่ทัพพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าเบาใจ แล้วทั้งสองก็เริ่มเดินสำรวจภายในค่ายโจรที่กลายเป็นซากจากการต่อสู้เมื่อครู่ ลานดินที่เคยเต็มไปด้วยเสียงคำรามบัดนี้เหลือเพียงความเงียบงัน เศษผ้าเก่า กองไฟที่มอดไปแล้ว และอาวุธตกกระจัดกระจาย

เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ก็พบเข้ากับร่างของชาวบ้านสองสามคนถูกมัดมือมัดเท้า ใช้ผ้าสกปรกปิดปากไว้ พวกเขานั่งพิงอยู่กับเสาไม้เก่า ใบหน้าอิดโรย ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเหน็ดเหนื่อย

“พวกชาวบ้านนี่!” ซิ่วอิงพึมพำ

แม่ทัพฮั่วไม่รอช้า เขาก้าวเข้าไปคลายเชือกให้ทันที พร้อมกับซิ่วอิงที่ช่วยอีกด้านหนึ่ง

“ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว” แม่ทัพกล่าว

ชาวบ้านที่เป็นอิสระต่างน้ำตาคลอเบ้า บางคนยกมือขึ้นกุมอก บางคนร่ำไห้เบา ๆ ด้วยความโล่งใจ

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาใกล้ กองทหารที่กระจายกำลังอยู่โดยรอบกลับมารวมตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากทิศนี้

“ท่านแม่ทัพ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?” นายทหารผู้หนึ่งร้องถามเสียงดัง

“ข้าไม่เป็นไร เอาน้ำท่าให้ชาวบ้านพวกนี้กินเสีย พวกเขาอ่อนแรงกันมาก”

ทหารรีบยื่นน้ำและอาหารแห้งเล็กน้อยให้ชาวบ้านที่ยังอยู่ในสภาพอ่อนล้า

“ขอบคุณพวกท่านมากจริง ๆ ถ้าไม่ได้พวกท่าน...เห็นทีพวกเราคงตายกันที่นี่แล้ว...” ชายชราเอ่ยเสียงสั่น มือยังสั่นไหวขณะรับน้ำจากทหาร

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ข้าจะให้ทหารพาพวกท่านกลับไปยังหมู่บ้าน” แม่ทัพกล่าว

“ขอบคุณ...ขอบคุณมาก พวกท่านเป็นคนดีจริง ๆ...” เสียงขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังก้องไปทั่วลานค่ายโจรที่ล่มสลาย
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ทหารแต่ละนายก็ค่อย ๆ ทยอยนำชาวบ้านซ้อนท้ายม้าออกจากค่าย เพื่อนำไปส่งยังหมู่บ้านโดยปลอดภัย เหลือเพียงเงาร่างสองร่างที่ยังยืนอยู่ท่ามกลางลานดินว่างเปล่า คือ แม่ทัพฮั่วและซิ่วอิง

ท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่เริ่มอ่อนแรง แม่ทัพฮั่วหันกลับมามองหญิงสาวตรงหน้า สีหน้าเคร่งขรึมของเขาช่างต่างจากเมื่อครู่ที่แสดงความห่วงใย ใบหน้าเรียบเฉียบคมของแม่ทัพบัดนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา

“กลับไป...เจ้าโดนแน่!” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาสั้น ๆ ทว่าหนักแน่นราวกับคำพิพากษา

ซิ่วอิงยังไม่ทันได้ตอบหรือแม้แต่จะหลบสายตา แม่ทัพก็ขึ้นม้าด้วยท่วงท่าที่คุ้นเคย จากนั้นไม่กล่าวคำใดให้เสียเวลา เขาคว้าข้อมือนางแล้วออกแรงดึงขึ้นอย่างรวดเร็ว นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องซ้อนท้ายตามไปโดยดี

ระหว่างทางกลับไปรวมกับกองทัพใหญ่ มีเพียงเสียงฝีเท้าม้าและสายลมที่พัดใบไม้ลู่เอนเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน พวกเขาไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว และในความเงียบนั้นเอง ซิ่วอิงก็พอจะคาดเดาอนาคตของตนได้ไม่ยาก...หลังลายแน่ ๆ!



หลักฐานการต่อสู้

พรสวรรค์: นักสู้ (ม่วง)
ทุกการต่อสู้ (ประลองระบบ) จะยิ่งทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ได้รับโบนัสค่าประสบการณ์เติบโต +30 EXP


[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 








แสดงความคิดเห็น

Y E S  โพสต์ 2025-6-6 22:54
คุณได้รับ 30 EXP โพสต์ 2025-6-6 22:46
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-6 22:46
มีเศษผ้าจำนวนหนึ่ง 50 ผืนคุณจะเก็บของดรอปจากโจรหรือไม่  โพสต์ 2025-6-6 22:46
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-6 10:21
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-6 23:58:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-7-8 16:17







รุ่งเช้าในค่ายทหารชั่วคราวนอกเมืองจินเฉิง ดวงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นแนวเขา แสงเช้าอ่อน ๆ ยังไม่ทันไล่ความเย็นของราตรีจางไป ทว่าในค่ายกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเสียงฝีเท้าทหารที่เร่งรุดไปยังลานกว้างกลางค่าย

วันนี้ทหารทั้งกองถูกเรียกตัวให้มารวมกันแต่เช้าตรู่ โดยมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อ “สำเร็จโทษ” หรงซิ่วอิง ทหารใหม่ผู้แหกกฎด้วยการบุกรังโจรเพียงลำพัง ทำเอาทั้งกองทัพต้องวิ่งวุ่นตามหาและเสี่ยงชีวิตไปช่วย จนเสียเวลาเดินทัพ อีกด้านหนึ่งก็มีกองโจรที่ถูกจับมาจากวันที่ไปปราบปรามถูกควบควมตัวเพื่อรอการสอบสวนอยู่

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แววตาแข็งกร้าว 

“ที่ให้ทุกคนมารวมตัวกันเช้านี้ เพื่อจะให้ทุกคนได้เห็นว่าคนที่กล้าขัดคำสั่งแม่ทัพ จะลงเอยเช่นไร” เขาประกาศเสียงดังกังวาน สายตากวาดมองทั่วลาน ทหารทุกนายยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ

เบื้องหน้าของแม่ทัพ ซิ่วอิงคุกเข่าอยู่กลางลาน สีหน้าเรียบเฉยแต่ใจเต้นแรง นางไม่พูดอะไรเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำผิด (อีกแล้ว)

“หรงซิ่วอิง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าตนเองกระทำผิด?” เสียงของแม่ทัพเปล่งขึ้นอีกครั้ง

“ทราบเจ้าค่ะ” นางตอบ

“หากไม่มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ห้ามถือวิสาสะทำการใด ๆ! การตัดสินใจโดยพลการของเจ้าหากพลาดขึ้นมา...เจ้าคิดหรือว่าจะยังนั่งอยู่ตรงนี้!”

ซิ่วอิงก้มหน้านิ่ง ไม่อาจโต้แย้งได้สักคำ

“นี่คือการลงโทษ ฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทหาร…โบยนางยี่สิบไม้!”

ทันทีที่คำสั่งประกาศ ทหารสองนายก็เข้าล็อกแขนซิ่วอิงจับให้นางนอนราบลงกับแผ่นไม้ที่เตรียมไว้กลางลาน ร่างของนางสั่นไหวเล็กน้อย แต่ไม่มีคำวิงวอนสักคำเดียวเล็ดลอดจากปาก

เพียะ!

ไม้แรกฟาดลงไปเต็มแรงเสียงดังสะท้อนทั่วลาน

ไม้ที่สองตามมาอย่างไร้ความปรานี

ไม้ที่สาม…

ไม้ที่สี่...

แต่ก่อนที่ไม้ที่ห้าจะกระหน่ำลงมา เสียงวุ่นวายก็ดังขึ้นจากริมค่ายพักแรม

“หยุดก่อน!”

เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งดังลั่น ก่อนที่กลุ่มชาวบ้านหลายคนจะรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน พวกเขาดูอิดโรยแต่ดวงตาแน่วแน่ ชายคนที่ดูเป็นหัวหน้าหายใจหอบเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น

“ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...แม่หนูคนนี้ช่วยพ่อของข้าไว้ ช่วยเราทุกคน ถ้าไม่มีนางพวกเราคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้”

แม่ทัพฮั่วขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไร

“นางทำผิดกฎ ข้ารู้...แต่หากจะลงโทษ ข้าขอรับแทนเอง!”

“ข้าด้วย!” อีกคนรีบคุกเข่าตาม “โบยข้าแทนเถอะท่านแม่ทัพ!”

“ข้าก็ด้วย! พวกเราเต็มใจ!” ชาวบ้านอีกหลายคนคุกเข่ากันระเนระนาด เสียงวิงวอนสะท้อนทั่วลานทหาร

แม่ทัพฮั่วยืนนิ่งมองภาพนั้นอยู่อึดใจ แววตาของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดชัดเจน ชาวบ้านผู้ต่ำต้อยพากันคุกเข่าร้องขอให้ยกโทษให้ทหารหญิงที่นอนรอชะตาตัวเองอยู่บนแท่นไม้ ใจหนึ่งซิ่วอิงก็อยากโดนโบยให้มันจบ ๆ ไปแต่ดูท่ามันคงไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว

แต่จู่ ๆ ก็มีคนหนึ่งยกมือขึ้นมา

“ข้าเอง!” 

เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังฝ่าความเงียบที่ปกคลุม ทหารที่ยืนควบคุมเหล่าโจรสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นหัวหน้าโจร เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ล่ามข้อมือ แม้จะได้รับการรักษาแผลอย่างดี แต่สภาพร่างกายยังอิดโรย ใบหน้ายังมีรอยฟกช้ำให้เห็นอยู่ทั่วไป 

หัวหน้าโจรถูกควบคุมตัวมาพร้อมกับเหล่าลูกน้องอีกประมาณห้าสิบราย ซึ่งถูกกักกันไว้อย่างแน่นหนาในเขตค่ายพักแรม ทุกคนได้รับการปฐมพยาบาลอย่างเหมาะสมจากหมอทหาร บาดแผลอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแล้ว แม้หลายคนจะยังพันแผลตามตัวอยู่

“ในเมื่อทุกอย่างเริ่มต้นที่ข้า ข้ารับโทษแทนนางเอง”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันมามอง
 
“เจ้าจะบ้าหรือไง! แผลเจ้ายังไม่หายดีเลยด้วยซ้ำ” 

เสียงของซิ่วอิงดังขึ้น นางยังคงนอนอยู่บนแผ่นไม้กลางลาน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจเพราะไม่อาจทนเห็นอีกผู้อื่นต้องมารับกรรมแทนตน (แม้เจ้าบ้านี่ควรจะโดนสักทีก็ตามจากสิ่งที่เคยทำมา)

หัวหน้าโจรไม่ได้ตอบนาง แต่กลับหันไปทางแม่ทัพฮั่ว

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็มีข้อเสนอที่ท่านแม่ทัพมิอาจปฏิเสธได้” 

น้ำเสียงของเขาทำให้ทั้งลานเงียบอีกครั้ง เหมือนทุกผู้คนต่างรอว่าเขาจะกล่าวอะไรออกมา

แม่ทัพฮั่วหันเหความสนใจจากซิ่วอิงไปยังหัวหน้าโจรที่ยังคงถูกควบคุมตัว ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงความหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย

“ว่ามา” แม่ทัพกล่าว

“ข้าเกาเหยียน ในฐานะที่เป็นหัวหน้าโจรคุมภูเขาแถบนี้ พวกเราดักปล้นชาวบ้านเพื่อความอิ่มท้องและหายอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับข้าได้…”

เขาเริ่มกล่าวอย่างไม่หลีกเลี่ยงความจริง เสียงของเขาดังชัดพอให้ได้ยินทั่วลาน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตรงไปตรงมา

“แต่ในเมื่อวันนี้กองโจรของข้าพ่ายแพ่ต่อทัพหลวง ข้าจะขอยอมสวามิภักดิ์ให้แก่กองทัพและมอบกองโจรของข้าให้แก่กองทัพของท่าน แต่มีข้อแม้เดียว…”

เสียงเขาหยุดลงครู่หนึ่ง

“ข้อแม้อะไร?”

แม่ทัพถามกลับทันที

“ปล่อยนางเสีย…กองทัพท่านนี่มันอะไรลงโทษคนที่สร้างชื่อเสียงให้กองทัพ ปกป้องชาวบ้านงั้นหรือ?”

ประโยคนี้ทำให้เกิดเสียงฮือฮาเบา ๆ ทันทีในกลุ่มชาวบ้าน

“ใช่ ๆ” เสียงสนับสนุนดังแทรกจากด้านข้าง หลายคนพยักหน้ารับ ขณะที่บางคนเริ่มเอ่ยวิงวอนอีกครั้ง

“ขอแม่ทัพพิจารณาด้วย” อีกเสียงหนึ่งเสริมเข้ามา

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งยังคงยืนนิ่ง คิ้วของเขาขมวดแน่นจับจ้องไปยังหัวหน้าโจรเกาเหยียน เสียงโห่ร้องวิงวอนของชาวบ้านและคำพูดเมื่อครู่ของชายตรงหน้า ยิ่งทำให้บรรยากาศลานทหารตึงเครียดยิ่งขึ้น

“เจ้าคิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำจะลบล้างความผิดได้หรือ?” 

“มิได้ขอให้ลบล้าง” เกาเหยียนตอบเสียงเรียบ “ข้าแค่เพียงต่อรองด้วยข้อเสนอที่น่าสนใจ…” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย “ท่านคิดดูเถิดระหว่างตีแม่นี่ให้หลังหักแล้วเสียกำลังพลไปคนนึงโดยเปล่าประโยชน์ กับได้กำลังเพิ่มอีกห้าสิบคน แบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน?”

เกาเหยียนไม่ได้ขอความเห็นใจ เขาวางหมากของตนลงอย่างชัดเจน ข้อเสนอที่แม้จะขัดหู แต่ก็น่าคิด และยากที่จะเพิกเฉย

แม่ทัพฮั่วยังไม่ตอบ แค่ทว่าแววตาเขาเริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่ใช่อ่อนลง...แต่กำลังชั่งน้ำหนักสิ่งที่หัวหน้าโจรผู้นั้นพูด เสียงซุบซิบเบา ๆ เริ่มแว่วขึ้นจากบางมุมของลาน ดวงตาหลายคู่หันไปมองแม่ทัพฮั่วและเกาเหยียนสลับกัน 

“เจ้าเก่งเรื่องต่อรองนะ” แม่ทัพฮั่วกล่าวขึ้นช้า ๆ “อันที่จริงไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องมาต่อรองกับพวกโจรไร้สัจจะแบบเจ้า”

เกาเหยียนไม่ตอบ เพียงยืนนิ่งเช่นเดิมทำหน้ากวนตีน ดวงตายังไม่หลบเลี่ยง

“แต่ข้าก็ไม่โง่พอ...ที่จะปฏิเสธข้อเสนอที่มีค่ากว่าโทษที่ลงไปแล้วไม่ได้อะไรกลับคืน”

แม่ทัพฮั่วหันไปทางทหารที่ยืนควบคุมซิ่วอิงอยู่ด้านข้าง

“ยุติการลงโทษ ปล่อยนาง”

ทันทีที่คำสั่งนั้นออกจากปากแม่ทัพ เสียงถอนหายใจ โล่งใจ และเสียงพึมพำแสดงความดีใจดังขึ้นจากฝูงชาวบ้าน ทหารที่จับตัวซิ่วอิงไว้ค่อย ๆ ผ่อนแรงลง แล้วประคองนางให้ลุกขึ้นจากแผ่นไม้ ซิ่วอิงยังหอบเหนื่อย แผ่นหลังและเสื้อเปื้อนเลือดซิบ ๆ 

แม่ทัพไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาหันหลังกลับ เดินจากไปโดยไม่หันมองใคร ทิ้งทั้งลานไว้ในความวุ่นวายของอารมณ์อันหลากหลาย


หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไปเพียงไม่นาน ซิ่วอิงได้รับการตามตัวไปยังกระโจมแม่ทัพยามสาย แดดแรงขึ้นแต่ภายในกระโจมกลับเย็นสลัว แม่ทัพฮั่วนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ เต็มไปด้วยแผนที่และรายงาน แต่ดวงตาของเขาเงยขึ้นมองนางทันทีที่นางก้าวเข้ามา

“หรงซิ่วอิง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าค่ะ” นางประสานมือคำนับ แม้จะยังบาดเจ็บอยู่

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่...ว่าหัวหน้าโจรเกาเหยียนคนนั้น ยอมสวามิภักดิ์เพราะเหตุใด”

ซิ่วอิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง

“ข้าไม่แน่ใจเจ้าค่ะ…”

แม่ทัพมองนางนิ่ง ๆ ก่อนจะหยิบม้วนรายงานบางอย่างบนโต๊ะแล้ววางลงข้างตัว

“เขาบอกกับข้าว่า เขายอมสวามิภักดิ์เพราะเจ้า”

ซิ่วอิงชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นเช่นนั้น

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ

“เพราะเหตุนี้ โจรห้าสิบนายข้าจะส่งให้ไปเป็นทหารประจำการที่ค่าย ส่วนเกาเหยียนข้าจะให้เขาอยู่ต่อกับทัพของเราในฐานะทหารติดตามของเจ้า” เขาหยุดไปเล็กน้อย “ทั้งเพื่อเฝ้าดู และเพื่อให้รับผิดชอบผลจากคำพูดของเขาเอง”

ซิ่วอิงเบิกตาเล็กน้อย แต่ไม่ปริปากค้าน นางเพียงประสานมือคำนับอีกครั้ง

“จะ…เจ้าค่ะ…”

พูดจบขแม่ทัพฮั่วก็ยื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ที่บรรจุขวดยาออกไปตรงหน้าเขา ภายนอกขวดเป็นเซรามิกเคลือบเรียบ สีขาวขุ่น มีเชือกปอพันไว้แน่นหนา กลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ ลอยแทรกออกมาแม้ยังไม่ได้เปิดฝา

“เอาไปทา” 

ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือไปรับด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าแม่ทัพผู้เด็ดขาดจะเป็นฝ่ายยื่นมือให้สิ่งนี้กับนาง

“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”

นางกอดห่อยาแนบอกราวกับเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในยามนี้ แล้วถอยออกจากกระโจมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ก็ยังมีเศษผ้าจำนวนหนึ่งที่ได้มาตอนทลายรังโจรที่แม่ทัพฮั่วบอกจะเอาไปทำอะไรก็ทำ

หลังจากออกมาจากกระโจมแม่ทัพ ลมเช้ายังพัดเอื่อย ดวงอาทิตย์คล้อยขึ้นกลางฟ้า ซิ่วอิงเดินทอดสายตาไม่ไกลก็เห็นร่างคุ้นตายืนรออยู่ตรงมุมหนึ่งของลาน นั่นคือเกาเหยียนในชุดเครื่องแบบทหารใหม่เอี่ยม

แม้จะยังดูฝืน ๆ ผิดแปลกจากภาพหัวหน้าโจรผู้เคยครองป่ามาก่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจสวมใส่เต็มที่ ผมเผ้าถูกรวบเรียบร้อย ท่าทางเหมือนจะพยายามทำตัวให้เหมือนคนในกองทัพที่สุด

ซิ่วอิงมองภาพนั้นแล้วอดหัวเราะในใจไม่ได้ แม้จะแปลกตาอยู่ไม่น้อยแต่เธอก็รู้สึกยินดีที่อย่างน้อยคนที่เคยยืนอยู่อีกฝั่ง...วันนี้เลือกจะหันมาอยู่ข้างเดียวกันแล้ว

“ลูกพี่…” เกาเหยียนเรียกขึ้นทันทีที่เห็นนางเดินมาใกล้

“ลูกพี่งั้นหรือ?” ซิ่วอิงเลิกคิ้วอย่างงุนงง “เมื่อวานเจ้ายังจะเอาข้าเป็นเมียอยู่เลย หึ!”

“โถ่…ลูกพี่จะรื้อฟื้นเรื่องนั้นไปทำไมกัน…ข้าสำนึกแล้ว กลับตัวกลับใจแล้ว” เกาเหยียนถึงกับเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน

“ว่าแต่ที่เจ้าบอกท่านแม่ทัพว่ายอมสวามิภักดิ์ต่อกองทัพเพราะข้า มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”

เกาเหยียนยืดตัวตรง สูดลมหายใจลึกแล้วกล่าว

“ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยแพ้ใคร แต่ก็ดันมาแพ้ท่าน ท่านเป็นสตรีแต่มีความกล้าหาญและเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรียิ่งนัก ข้านับถือใจเจ้าจริง ๆ ที่มิกลัวตายเพียงเพื่อช่วยผู้คน”

เขาหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ

“ผิดกับข้าที่ทำผิดมาทั้งชีวิต ตอนที่ท่านกำลังจะโดนลงโทษมิมีคำขอร้องใดออกจากปาก ทำให้ข้านับถือใจยิ่งนัก ต่อไปนี้ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนข้าจะขอติดตามรับใช้ท่านไปทุกที่”

ซิ่วอิงเงียบไปครู่หนึ่ง มองเขาอย่างพิจารณา 

“แล้ว…จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร”

“อะไรก็ได้แล้วแต่ลูกพี่…เรียกว่า…อาเหยียนก็ได้ขอรับ”

“จะให้ข้าอายุสั้นหรืออย่างไรให้ตายเถอะ! เจ้าแก่กว่าข้าอีกนะ”

เกาเหยียนยิ้มแหย ๆ ก่อนที่ซิ่วอิงจะพูดต่อ

“เอาเป็น…เหล่าเกาแล้วกัน”

“เหล่าเกาหรือ…ดะ…ได้ ๆ แล้วแต่ลูกพี่”

ซิ่วอิงส่ายหน้าอย่างระอา มือกุมขวดยาและเศษผ้าที่เพิ่งได้จากแม่ทัพฮั่วไว้แน่น

“ส่วนเจ้าจะเรียกอะไรก็ช่างเถอะข้าจะไปแล้ว”

นางหมุนตัวจะเดินออกไป แต่เสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยังคงติดตามมาไม่ห่าง

“จะตามข้ามาทำไมอีกเนี่ย?” นางหันกลับถามอย่างเหนื่อยใจ

“ก็ข้าบอกแล้วว่าข้าจะติดตามลูกพี่ไปทุกที่”

“ข้าจะไปปลดทุกข์!”

“อะ…อ๋อ….เช่นกัน…ขะ…ข้าจะไม่กวน”

ซิ่วอิงกลอกตา ก่อนจะเดินกึ่งวิ่งออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งเกาเหยียนไว้กับท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ที่ดูไม่สมกับตำแหน่งอดีตหัวหน้าโจรเลยแม้แต่น้อย…



[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


เก็บเศษผ้าจำนวน 50 ผืน


@Admin 








แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-7 14:07
โพสต์ 57534 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-6 23:58
โพสต์ 57,534 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-6 23:58
โพสต์ 57,534 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +40 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-6 23:58
โพสต์ 57,534 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-6 23:58
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-7 22:17:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด







หลังความวุ่นวายยามเช้าสงบลง กองทัพก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้งอย่างไม่รอช้า การตัดสินใจในลานกว้างเมื่อเช้านี้ แม้จะไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของกองทัพอย่างเคร่งครัด แต่กลับนำมาซึ่งสิ่งที่เหนือความคาดหมายกว่านั้น กองโจรที่เคยเป็นศัตรูบัดนี้ได้กลายมาเป็นพันธมิตรใต้ธงเดียวกัน

ท้องฟ้าไร้วันนี้เมฆบดบัง แดดยามสายแผดเผาแม้แต่พื้นดินก็ยังระอุ ท้องทุ่งเบื้องหน้ากว้างไกลและแห้งแล้ง ปราศจากแม้แต่ร่มเงาของไม้ใหญ่ กองทัพเดินลัดเลาะผ่านหุบเขาเตี้ย ๆ และทุ่งหญ้าที่ถูกแสงแดดรีดเอาความชุ่มชื้นไปจนสิ้น

ซิ่วอิงเดินอยู่ในแนวหลัง แม้ก้นจะยังปวดระบมจากแผลโบย แต่ดวงตานางกลับแน่วแน่กว่าครั้งใด ท่ามกลางเสียงฝีเท้าของผู้คนนับร้อย เกาเหยียนในชุดเครื่องแบบทหารใหม่เอี่ยมเดินทอดเท้าคู่ขนานกับนาง ท่าทางไม่คล่องนักแต่ก็ไม่ปริปากบ่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เคยประดับบนใบหน้าหายไป เหลือเพียงแววตามุ่งมั่นเหมือนสุนัขเฝ้าประตูที่สาบานจะไม่ทิ้งเจ้านาย

“เดินให้เร็วหน่อยสิ เจ้าจะล้าหลังทัพคนเดียวหรือไง?”

ซิ่วอิงหันมากระซิบเสียงขุ่น

“ขอรับ ลูกพี่!” เขายกมือคารวะอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วรีบเดินจ้ำให้ทันนางทันที

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งขี่ม้าอยู่เบื้องหน้าของขบวนทัพ เส้นทางไปหมิงโจวนั้นไม่มีคำว่าราบรื่น โดยเฉพาะเมื่อกองทัพในวันนี้มิใช่มีเพียงทหาร แต่เป็นส่วนผสมระหว่างคนของแผ่นดินกับคนที่เคยต่อต้านมันมาก่อน

แค่เพียงเขากวาดตามองทางด้านหลังก็มองเห็นถึงความไม่ลงรอยที่แฝงอยู่ในสายตาของนายทหารบางคน ทหารใหม่กว่าห้าสิบนายที่เพิ่งได้รับชุดเกราะยังเดินกันไม่เป็นแถว ท่าทางฝืน ๆ เหมือนคนที่อยู่ผิดที่ผิดทางดูเผิน ๆ เหมือนกับพวกโจรปลอมตัวเป็นทหารเสียมากกว่า ฮั่วชวี่ปิ้งรู้ดีว่าความจงรักภักดีมิอาจยัดใส่หัวคนได้ในชั่วคืนเดียว แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าชัยชนะในศึกใหญ่เบื้องหน้า มิได้มาจากแรงแขนเพียงอย่างเดียว มันต้องมาจากใจที่รวมกันด้วย

เสียงฝีเท้าของม้านับร้อยย่ำไปบนดินแห้งแตก ฝุ่นตลบคลุ้งกลางอากาศร้อนระอุ แต่มิมีใครหยุดเดิน มิมีใครบ่น ท่ามกลางแดดที่ราวกับจะเผาให้ผิวหนังลอกเป็นแผ่น

แม่ทัพฮั่วเบนสายตามองไปยังทิศทางหนึ่ง พลันเห็นร่างของซิ่วอิงที่เกือบจะโดนโบยจนตายเมื่อเช้านี้ บัดนี้เดินด้วยแผ่นหลังและก้นที่ยังเต็มไปด้วยรอยเลือดจาง ๆ ซึมผ่านเสื้อผ้า นางเดินอยู่ไม่ห่างจากแนวหลังกลางแถวโจรที่เพิ่งกลายเป็นทหารหมาด ๆ ข้างตัวนางมีชายร่างสูงในเครื่องแบบใหม่ กำลังเดินพยายามปรับตัวและรักษาระยะห่างอย่างประหลาด ชายผู้นั้นคือเกาเหยียน

โลกนี้ช่างน่าขันนัก…

แม่ทัพฮั่วยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มที่แม้เบาบางแต่ก็หายากยิ่งในสงคราม ใจหนึ่งเขาก็ยังไม่ไว้ใจพวกมันมากนัก…แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ถูกเสนอมาให้

พอขบวนทัพเดินทางมาได้ราวหนึ่งช่วงยาม เสียงแตรสัญญาณก็ดังขึ้นจากแนวหน้าทัพ ตามมาด้วยเสียงวุ่นวายเล็กน้อยจากเหล่าทหาร แม่ทัพฮั่วขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินรายงาน

“สะพานไม้ข้ามลำธารพังขอรับ เมื่อกลางคืนฝนตกหนักที่ภูเขาด้านเหนือ ท่อนไม้หลักบางส่วนถูกน้ำซัดหลุดไปครึ่งหนึ่ง เกวียนเสบียงมิสามารถข้ามได้” เสียงนายทหารหนุ่มรายงานอย่างเร่งร้อน

“ลำธารลึกหรือไม่?” แม่ทัพฮั่วถามโดยไม่เสียเวลามองแผนที่

“ไม่ลึกนักแต่กระแสน้ำเชี่ยวมากขอรับ หากฝืนข้ามอาจเสียคนเสียของได้”

แม่ทัพฮั่วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ

“แยกคนข้ามก่อนส่วนหนึ่งให้คุมพื้นที่ฝั่งโน้น อีกส่วนให้หาวิธีซ่อมสะพานโดยเร็ว”

ทหารหลวงหลายคนยืนลังเลอยู่ริมตลิ่ง บ้างก็เถียงกันว่าจะยกของลุยน้ำไปก่อนดีไหม บ้างก็บ่นถึงเวลาเดินทัพที่ต้องเสียเปล่า บ้างก็เกี่ยงกันไปซ่อมสะพานตรงพื้นที่น้ำไหลเชี่ยวนั่น แต่ที่ดูจะวุ่นวายยิ่งกว่ากลับเป็นบรรยากาศโดยรอบ สายตาหลายคู่หันไปทางกลุ่มทหารใหม่ ซึ่งแม้จะสวมเครื่องแบบเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีรอยแผลจากการต่อสู้ก่อนหน้าติดอยู่ และสำคัญที่สุด…พวกเขาคืออดีตโจรที่ยังไม่มีใครไว้ใจ

“ถอยไป ๆ! มัวแต่ยืนมองกันอยู่นั่นแหละ! เจ้าคนพวกนี้ซ่อมสะพานกันไม่เป็นหรือไง เรื่องแค่นี้!”

เสียงห้วนห้าวตะโกนขึ้นกลางวง เกาเหยียนเดินฝ่าเข้ามาพร้อมท่อนไม้บนบ่าพร้อมรอยยิ้มกวนโอ๊ยประจำตัว

“สมัยก่อนข้าสร้างกับดักไว้ตามป่า ซ่อมสะพานไม้แค่นี้เป็นงานถนัดนัก เจ้าเอาเชือก! เจ้าถือหลักไม้ให้มั่น ส่วนข้า…ดูนี่!” เขาโยนท่อนไม้ไปยังช่องโหว่ของสะพานอย่างแม่นยำ ก่อนจะกระโดดตามไปและเริ่มลงมือประสานข้อต่อด้วยมือเปล่า

“ลูกพี่…” เสียงหนึ่งดังจากกลุ่มทหารใหม่ที่เป็นโจรกลับใจ

“ตอนเป็นโจร ข้ากับพวกเจ้าเคยดักซุ่มตีบนสะพาน ซ่อมสะพานให้คนเดินแค่นี้จะไม่ได้หรือไง!”

คนของเขาชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะมองหน้ากันแล้วเริ่มเดินตามออกมาโดยไม่รอคำสั่ง ท่อนไม้เริ่มถูกยกขัดเข้าข้อต่อ เชือกที่เคยใช้ล่ามม้า บัดนี้กลับกลายเป็นตัวเชื่อมชิ้นส่วนใหม่ของสะพาน 

ซิ่วอิงยืนพิงต้นไม้เล็กริมตลิ่ง ถอนใจยาว ดวงตาของนางจับจ้องสะพานที่กำลังซ่อมแซมตาไม่กะพริบ เมื่อเห็นเกาเหยียนกระโดดไปกลางสะพาน แล้วหันมาชี้นิ้วสั่งพรรคพวกอย่างกระฉับกระเฉง ซิ่วอิงเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นทหารในกองทัพบางคนยังลังเลที่จะเข้าไปช่วย นางจึงเดินเข้ากลางฝูงชนอย่างไม่รีรอ

“เจ้าพวกนั้น ซ่อมสะพานได้เร็วกว่าพวกทหารของเราเสียอีก” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นเสียงดังพอได้ยินทั่ว

เหล่าทหารหลวงหันมามองนาง บ้างคนก็ยังคงลังเล

“หากพวกเจ้าคิดว่าพวกโจรทำไปเพราะอยากตบตา ก็เข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยตาตนเองสิ จะได้รู้ว่าพวกเขาใช้ท่อนไม้กับเชือกประสานกันอย่างไร ไม่ใช่เอาแต่ยืนเหงื่อไหลฟังเสียงไม้กระทบกันอยู่ตรงนี้!”

พูดจบนางก็เดินไปช่วยพวกโจรซ่อมสะพานอย่างไม่แบ่งแยก เมื่อเห็นดังนั้นทหารหนุ่มคนหนึ่งก็หน้าแดงก่ำ ก่อนจะคว้าท่อนไม้แล้วเดินฝ่ากลุ่มคนไปช่วยโดยไม่พูดอะไร อีกหลายคนเริ่มขยับตาม และในเวลาไม่กี่อึดใจ สะพานไม้ก็ถูกซ่อมร่วมกันโดยทั้งอดีตโจรและทหารจริง

เกาเหยียนที่อยู่กลางสะพานหันกลับมามองอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นซิ่วอิงลงมาช่วยซ่อมสะพานทั้งที่แผลยังไม่หายดี แต่อันที่จริงเหล่าโจรทั้งกลุ่มแผลสาหัสยิ่งกว่านางเสียอีก

“โถ่ ลูกพี่! ท่านยังบาดเจ็บอยู่เลย มาทำอะไรตรงนี้” เขาตะโกนลั่น ขณะกำลังขึงไม้เข้ากับเสาตอม่ออีกฟาก

ซิ่วอิงเหลือบตามองเขานิดหนึ่ง มือยังไม่หยุดจับปลายเชือกที่พันเข้ากับโครงสะพาน

“แผลเจ้าที่โดนข้าฟันยังหนักกว่าแผลโบยของข้าเสียอีก ทำต่อไปเถอะ”

เกาเหยียนหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะรีบหันกลับไปมัดปมต่อ

ไม่ถึงหนึ่งยาม สะพานชั่วคราวก็ถูกซ่อมจนสามารถให้คนและเกวียนเสบียงข้ามผ่านได้ เสียงถอนหายใจโล่งอกดังขึ้นจากหลายทิศ รวมถึงจากเหล่าทหารของกองทัพที่เคยจ้องเขม็งพวกโจรอย่างไม่ไว้ใจ

“ขอบคุณขอรับลูกพี่” เสียงของเกาเหยียนดังขึ้นเบา ๆ ข้างตัวซิ่วอิง ขณะที่นางกำลังจะเดินต่อกลับเข้าทัพ

“ขอบคุณอะไร?” ซิ่วอิงเหลือบมองเขาด้วยคิ้วขมวดเล็กน้อย

“ก็ที่ลูกพี่ช่วยพูดกับพวกทหารแทนข้า…ข้ารู้ตัวดีว่าต่อให้แหกปากอย่างไร พวกนั้นก็ไม่ยอมฟังคนอย่างข้าหรอก”

“ข้าไม่ได้พูดแทนเจ้า ข้าพูดในสิ่งที่ควรทำต่างหาก ถ้าเจ้าจะขอบคุณใครก็ควรขอบคุณตัวเจ้าเองที่ไม่ล้มเหลวจนทำให้ข้าต้องอับอาย”

เกาเหยียนหัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง ราวกับว่าคำพูดดุ ๆ นั้นเป็นคำชมที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ

แม่ทัพฮั่วที่ยืนเฝ้ามองอยู่ตลอด เขาหรี่ตามองสะพานใหม่ที่ดูแม้จะไม่แข็งแรงนัก แต่ก็มั่นคงพอจะข้ามได้โดยไม่ต้องเสี่ยงตาย

หลังจากสะพานไม้ชั่วคราวถูกซ่อมจนใช้การได้ กองทัพก็ทยอยเคลื่อนข้ามทีละชุด โดยเริ่มจากหน่วยเดินเท้าก่อนเพื่อทดสอบความแข็งแรงของสะพานตามคำสั่งแม่ทัพฮั่ว

“ระวังเท้าด้วย!” เสียงเตือนดังขึ้น ขณะกลุ่มทหารคนหนึ่งเหยียบไม้ที่โยกเล็กน้อย เกาเหยียนรีบกระโดดเข้าไปปรับจุดยึดทันที ก่อนจะหันไปสบตากับซิ่วอิงที่ยังยืนมองไม่ไกลนัก เขายกนิ้วโป้งให้นางแบบไม่พูดอะไร

ไม่นานขบวนเสบียงก็เคลื่อนข้ามสะพานได้อย่างปลอดภัย ทีละเกวียน ทีละเกวียน กลิ่นหอมอ่อนของหญ้าแห้งและถุงข้าวสารโชยมากับลม เสียงล้อไม้เสียดสีกับไม้สะพานครูดเป็นจังหวะ

เมื่อทุกคนข้ามลำธารไปได้โดยปลอดภัย ขบวนทัพหยุดพักใต้ร่มเงาของเนินเตี้ย ฝั่งตรงข้ามของหุบเขาเล็กที่ทอดยาวไปสู่เส้นทางแคบและคดเคี้ยว ซิ่วอิงนั่งลงบนแผ่นหินเรียบ นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่ม

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เกาเหยียนยื่นถุงผ้าเล็กให้ซิ่วอิง ข้างในเป็นซาลาเปาแห้ง ๆ ที่คงถูกหยิบจากเสบียงชุดแรกเมื่อเช้า

“เอามาให้ทำไม เจ้าจะเอาใจข้าหรือ?” ซิ่วอิงถามพลางขมวดคิ้ว

“เปล่าขอรับ ลูกพี่แค่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ข้าก็แค่ไม่อยากให้ท่านเป็นลมไปเสียก่อน”

ซิ่วอิงเหลือบตามองเล็กน้อย ก่อนจะรับถุงผ้ามาวางไว้ข้างตัวโดยไม่พูดอะไร

“อีกไม่กี่ชั่วยามเราจะต้องเดินผ่านช่องเขาแคบ ๆ” เกาเหยียนพูดขึ้น “แม่ทัพฮั่วสั่งให้จัดแนวทัพใหม่ เตรียมป้องกันจากดินถล่มหรือหินกลิ้งจากยอดเขา”

“ดินถล่ม?”

ซิ่วอิงหันมามองทันที

“ใช่ ข้ารู้มาจากพวกทหารคนอื่น พวกเขาบอกว่าหลังฝนเมื่อคืนดินริมหน้าผายังไม่มั่นคง หากขบวนทัพเคลื่อนผ่านเร็วเกินไปอาจเกิดอันตราย”

นางพยักหน้าเงียบ ๆ แววตาเริ่มจับจ้องเส้นทางเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

เสียงม้าสะบัดหางดังขึ้นจากด้านข้าง แม่ทัพฮั่วขี่ม้ามาใกล้แล้วหยุดลงหรี่ตามองซิ่วอิงและเกาเหยียนอย่างพินิจ

“เจ้าสองคนไปเตรียมตัวให้พร้อม” เขาพูดเรียบ ๆ  “ข้าจะให้พวกเจ้าขึ้นนำกลุ่มหน้าที่ต้องเดินนำขบวนเล็กเข้าสำรวจความมั่นคงของหน้าผาและเส้นทางเบื้องหน้า”

“ขอรับ!” เกาเหยียนตอบทันทีโดยไม่ลังเล ก่อนจะหันไปมองซิ่วอิงซึ่งยังนิ่งไม่พูดอะไร

ซิ่วอิงเหลือบตามองแม่ทัพฮั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยอาการบาดเจ็บจากการถูกโบย ทั้งที่เกาเหยียนบาดเจ็บหนักกว่านางแต่เขากลับชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ผิดกับซิ่วอิงที่เติบโตมาด้วยการใช้ชีวิตคุณหนูมาก่อนที่จะเข้ากองทัพ แม้คนในตระกูลจะลงโทษนางหลายครา แต่นั่นก็เป็นเพียงการนั่งคุกเข่าสำนึกผิดเสียส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่นางจะไม่ชินกับการโดนลงโทษสถานหนัก

“เจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนควบม้าเลี้ยวกลับไปสั่งการในส่วนอื่น ทิ้งเพียงฝุ่นทรายและเสียงเกือกม้าที่ค่อย ๆ เลือนหายไป

ซิ่วอิงเดินนำออกไปโดยไม่พูดคำใด ขณะเกาเหยียนรีบสาวเท้าตาม นางหยุดอยู่ริมขอบลาดเนินที่มองเห็นทางแคบทอดยาวเป็นแนวยาวคดเคี้ยวราวกับงูขด ท่ามกลางภูเขาทั้งสองฟากดินเหนียวสีน้ำตาลเข้มยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน บางจุดมีร่องรอยเลื่อนตัวของดินชัดเจน

ทั้งสองคนเริ่มเคลื่อนตัวลงไปตามแนวลาดต่ำโดยมีทหารจากกลุ่มลาดตระเวนอีกห้าคนตามหลังมาเป็นกลุ่มสนับสนุน บรรยากาศรอบข้างเงียบงันจนแม้แต่เสียงใบไม้ตกยังฟังชัด เมื่อเดินไปได้ราวครึ่งทาง ซิ่วอิงก็ชะงักอยู่ตรงจุดหนึ่งพลางย่อตัวลงแตะพื้นดินเบา ๆ

“ดูนี่สิ” นางเอ่ยพลางชี้ไปยังรอยแตกระแหงของดินที่แผ่ออกเหมือนเส้นเลือด

“ดินตรงนี้เลื่อนมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อเช้านี้ ถ้าฝนตกเมื่อคืนหนักกว่านี้นิดเดียว อาจกลายเป็นดินถล่มไปแล้ว”

เกาเหยียนมองตามแล้วขมวดคิ้ว

“แล้วเราจะยังให้กองทัพผ่านได้อยู่หรือขอรับ?”

ซิ่วอิงไม่ตอบในทันที นางมองขึ้นไปยังยอดผาเบื้องบนที่มีเงาต้นไม้ลาง ๆ พาดผ่าน ก่อนจะตัดสินใจเดินต่ออีกเล็กน้อย แล้วหยุดอยู่บริเวณโค้งแคบที่สุดของทาง

“ตรงนี้ปลอดภัยกว่านิดหน่อย” นางกล่าว “ถ้าจะให้ขบวนทัพผ่าน ต้องให้เดินเรียงแถวเดียวเท่านั้น ห้ามเกวียนเคลื่อนตามติดกันเร็วเกินไป และต้องมีคนคอยจับตาด้านบนตลอดเส้นทาง”

“เข้าใจแล้วขอรับ…ข้าจะกลับไปรายงานท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้”

แต่ก่อนที่เกาเหยียนจะหันหลัง ซิ่วอิงก็ยกมือขึ้นหยุด 

“ข้าไปด้วย ข้าจะพูดกับแม่ทัพเองให้แน่ใจว่าเขาเข้าใจความเสี่ยงนี้”

ทั้งสองเร่งฝีเท้ากลับขึ้นเนิน แม้ซิ่วอิงจะยังเดินได้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ไม่ปริปากบ่น มือข้างหนึ่งกดแนบแผลไว้ตลอด ขณะที่อีกข้างกำหมัดแน่นราวกับต้องการยึดสติให้อยู่กับตัว

เมื่อกลับมาถึงจุดพักขบวน แม่ทัพฮั่วกำลังนั่งลงบนผ้ารองพื้นริมหน้าผาพร้อมผังแผนที่เปิดกางอยู่เบื้องหน้า เหล่าทหารอาวุโสรายล้อมและสาละวนกับการถกเถียงถึงเส้นทางผ่านเขา

“ท่านแม่ทัพ!” ซิ่วอิงกล่าวเสียงชัดเจน ทำให้ทุกสายตาหันมามองในทันที

แม่ทัพฮั่วเงยหน้าขึ้น มองหญิงสาวซึ่งแผ่นหลังยังยืดตรง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเหงื่อและคราบฝุ่น 

“มีอะไร?”

“ข้าไปสำรวจเส้นทางแคบแล้วเจ้าค่ะ จุดตรงกลางหุบเขานั้นมีรอยเลื่อนดินหลายจุด ดินยังไม่แน่นตัวจากฝนเมื่อคืน หากปล่อยให้ขบวนทัพเดินผ่านโดยไม่เว้นระยะห่างเพียงพอ มีโอกาสสูงที่จะเกิดดินถล่ม”

เสียงพูดคุยในวงนายทหารเงียบลงในทันที

“แล้วเจ้ามีข้อเสนอแนะหรือไม่?” แม่ทัพฮั่วถามกลับ

ซิ่วอิงพยักหน้า

“ให้แบ่งขบวนเป็นส่วนเล็ก ๆ เดินเรียงหนึ่งผ่านเส้นทาง และส่งทหารเฝ้าสังเกตด้านบนหน้าผาอย่างน้อยสองกลุ่ม ตลอดจนกว่าจะข้ามพ้นแนวเขา ทั้งยังควรเตรียมเชือกและไม้พยุงเสริมสำหรับข้ามจุดลาดชันโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ 

“เจ้าทำได้ดี”

คำชมเพียงประโยคสั้น ๆ จากท่านแม่ทัพ ทำเอาเกาเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่ ซิ่วอิงเองก็ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม คล้ายจะตอบโต้แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา นางเพียงค้อมศีรษะสั้น ๆ แล้วหันกลับไปเตรียมการต่อทันที

หลังแผนการถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว เสียงเคลื่อนพลของกองทัพก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนถูกจัดให้อยู่ตามลำดับใหม่ แถวเรียงเดี่ยวทอดยาวราวงูเลื้อยคดเคี้ยวตามแนวเขา เสียงคำสั่งดังเป็นระยะเพื่อควบคุมระยะห่างและจังหวะการเดิน

ทหารบางคนมีแววตาตึงเครียด บางคนมองขึ้นไปยังหน้าผาด้วยใจระแวง แต่ก็ไม่มีใครฝ่าฝืนคำสั่ง ทุกคนรู้ดีว่า ในยามสงครามความผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดอาจหมายถึงการสูญเสียครั้งใหญ่

เกาเหยียนเดินนำกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ตรงส่วนหน้า สายตาเขากวาดมองขึ้นไปเหนือหัวบ่อยครั้ง ขณะที่ซิ่วอิงเดินข้างหลังเขาเล็กน้อย สังเกตแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินใต้เท้าและเสียงกรอบแกรบของดินไหลที่แว่วมาเป็นพัก ๆ

และแล้ว…เสียงเปรี๊ยะเบา ๆ ดังขึ้นจากทางด้านบน ซิ่วอิงชะงัก เท้าหยุดโดยสัญชาตญาณ 

“หยุด! อย่าขยับ!”

เกาเหยียนหยุดตามทันที ก่อนจะหันไปถามเสียงเบา 

“เสียงอะไรขอรับ?”

“ฟังให้ดี...” ซิ่วอิงยืนนิ่งหลับตาเงี่ยหูฟังเสียงกรอบแกรบแผ่ว ๆ คล้ายเสียงเนื้อดินแยกจากกัน และตามมาด้วยเสียงหินเล็กหล่นกระทบกันเป็นทอด ๆ ราวกับมีบางสิ่งกำลังเตรียมจะพังครืนลงมา

“มีบางอย่างผิดปกติ” นางพึมพำ แล้วตะโกนสุดเสียง

“ทุกคนหมอบ! เกาะพื้น! หยุดการเคลื่อนพล!”

ไม่ทันขาดคำ เสียงคำรามต่ำจากยอดผาก็ดังกึกก้องตามมา ทั้งกลุ่มเงยหน้าพร้อมกัน และเห็นกลุ่มดินขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเป็นคลื่นสีดำไหลลงมาจากเบื้องบน 

เสียงร้องเตือนดังสนั่นไปทั่วขบวน บ้างคนวิ่งหลบ บ้างหมอบกับพื้น ทหารบางคนที่อยู่ห่างจากใจกลางดินถล่มพอ ก็เริ่มวิ่งไปช่วยคนที่ล้มกลิ้งอยู่ใกล้แนวร่วง

แต่เพราะคำเตือนของซิ่วอิง การจัดแถวขบวนห่างกันเป็นช่วง ๆ ทำให้ดินถล่มถูกจำกัดความเสียหายไว้เพียงบางส่วนของกลุ่ม ไม่มีใครเสียชีวิต มีเพียงทหารสองนายบาดเจ็บเล็กน้อย และเกวียนเปล่าหนึ่งคันที่ถูกกลืนลงหลุมไป

เมื่อฝุ่นจางและเสียงสงบลง แม่ทัพฮั่วก็ควบม้าเข้าไปยังแนวดินถล่ม ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน เขามองเห็นกลุ่มของซิ่วอิงยังปลอดภัยครบจำนวน สีหน้าเคร่งขรึมของเขาเริ่มผ่อนลงเล็กน้อย

“เจ้าเตือนทันเวลา” เขาพูดเบา ๆ ขณะเดินเท้าเข้ามาใกล้ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้น สายตานางยังจับจ้องไปทางแนวดินพังที่เพิ่งเกิดขึ้น

“ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเจ้าค่ะ” นางตอบตามตรง “แต่ก่อนหน้าจะเกิด ข้าสังเกตเห็นรอยแตกที่ดินแผ่ออกกว้างเหมือนเส้นใย ข้างบนก็มีหินหล่นเป็นจังหวะเหมือนอะไรบางอย่างกำลังคลายตัวเจ้าค่ะ”

นางหยุดหายใจครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ

“ข้าแค่สงสัยว่าทำไมถึงยังมีเสียงกรอบแกรบอยู่บนยอดผา มันฟังดูไม่ปกติเลยเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วพินิจนางอย่างเงียบงัน ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“เจ้าทำดีแล้ว แม้จะเป็นเพียงข้อสังเกตแต่มันก็ช่วยชีวิตคนทั้งกลุ่มได้”

เขาหันไปสั่งนายทหารด้านหลังทันทีให้ส่งคนขึ้นไปสำรวจแนวสันเขาเพิ่มเติม พร้อมกำชับให้ค่ายพักแรมคืนนี้จัดในพื้นที่ต่ำแต่มั่นคง

แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์คล้อยต่ำพาดผ่านหุบเขาไกล ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีทองอ่อนเป็นส้มแดง แล้วจางลงเป็นม่วงอมเทา

ขบวนทัพหยุดพักแรมริมห้วยเล็กซึ่งไหลเอื่อยจากตีนเขา ทหารแต่ละคนต่างนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ซิ่วอิงถอดรองเท้าเปื้อนโคลนออก ล้างเท้าในลำธารน้ำใส พลางเงยหน้ารับลมเย็นที่โชยเอื่อยปะทะแก้ม แม้บาดแผลจากการโบยยังเตือนให้นางรู้ถึงขอบเขตของการขัดคำสั่ง แต่ก็ไม่มีความเสียใจในดวงตานาง มีเพียงความเหนื่อยล้าและความพึงใจเงียบ ๆ ที่สิ่งที่ทำไปวันนี้ไม่สูญเปล่า

เกาเหยียนเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนยื่นถุงผ้าเล็กให้

“เอานี่ไปเถอะ ลูกพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะขอรับ”

ซิ่วอิงเหลือบมองเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ข้าดูเหมือนจะเป็นลมง่ายนักหรือ?”

“ก็...ไม่ขอรับ” เขารีบตอบ แต่ยิ้มมุมปาก “แต่ท่านก็ไม่ใช่หินนี่นะ ถ้าไม่กินเดี๋ยวก็หมดแรงจริง ๆ หรอก”

นางรับถุงมาอย่างไม่พูดอะไร แล้วหยิบซาลาเปาแห้ง ๆ ขึ้นมาเคี้ยวคำเล็ก ๆ อีกทั้งถุงเก่าก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้กินเลย

บรรยากาศรอบกองพักแรมเริ่มเงียบ เสียงแมลงยามเย็นเริ่มดังระงมผสานกับเสียงไฟที่เริ่มจุดตามจุดต่าง ๆ ใต้ผืนฟ้าที่เริ่มมีดาวดวงแรก

แม่ทัพฮั่วยืนอยู่ริมค่าย เห็นซิ่วอิงนั่งสงบอยู่ข้างลำธาร ส่วนเกาเหยียนก็ยังไม่เลิกพูดคุยส่งเสียงเบา ๆ ข้างตัวนาง ใบหน้าของแม่ทัพนิ่งเงียบ แต่มีบางอย่างในแววตาอ่อนลง

เขากล่าวกับตัวเองเบา ๆ

“บางที...คนพวกนี้ดูใช้ได้กว่าที่ข้าคิดเสียอีก”

แล้วเขาหันกลับ เดินลับเข้าไปในเงาของค่าย ซึ่งค่อย ๆ กลืนเขาหายไปกับแสงสุดท้าย วันรุ่งพรุ่งนี้คือกำหนดการที่จะถึงหมิงโจว แม้อุปสรรคข้างหน้ามิอาจคาดเดาได้ แต่ฮั่วชวี่ปิ้งก็มั่นใจอยู่สิ่งหนึ่งคือ เขามีกองทหารที่น่าฝากความไว้ใจได้ไม่น้อยทีเดียว…





[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

(ปล็ดล็อกหัวใจ 2 ดวงได้แล้ว)  โพสต์ 2025-6-7 23:11
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 20 โพสต์ 2025-6-7 23:11
โพสต์ 77874 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-7 22:17
โพสต์ 77,874 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-7 22:17
โพสต์ 77,874 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +40 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-7 22:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-8 23:01:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด







อรุณรุ่งของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงไก่ป่าร้องเรียกจากหุบเขาเบื้องไกล แสงอ่อนสีทองสาดผ่านกลุ่มหมอกบาง ๆ ที่เกาะคาอยู่เหนือยอดไม้และลำธาร ซิ่วอิงตื่นขึ้นก่อนเสียงปลุกของกองทัพ เธอเหยียดแขนช้า ๆ พลางขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณก้นทำให้รู้ว่าแผลของตนยังไม่หายดีนักแต่ก็นับว่าดีขึ้นจากเมื่อวานมากแล้ว  

ค่ายพักแรมเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เสียงคนพูดคุย เสียงเก็บข้าวของ และเสียงม้าสะบัดเท้าเตรียมพร้อมล้วนผสานกันเป็นจังหวะของกองทัพที่พร้อมเดินหน้า

เกาเหยียนเดินเข้ามาพร้อมห่อผ้าเล็ก ๆ ในนั้นคือเสบียงเช้าเป็นข้าวต้มข้น ๆ กับเนื้อแห้งหนึ่งชิ้น

“หลับสบายหรือไม่ขอรับ ลูกพี่?” เขาพูดพลางยื่นข้าว

ซิ่วอิงรับไว้โดยไม่พูด เธอนั่งกินเงียบ ๆ จนหมดโดยไม่เหลือเศษ เมื่อวางถ้วยลง เธอพูดขึ้นเรียบ ๆ

“แจ้งทุกหน่วยให้เตรียมพร้อมภายในหนึ่งชั่วยาม เราจะออกเดินทางก่อนแดดจะขึ้นสูง”

เสียงของแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งดังขึ้นไม่ไกลจากที่ซิ่วอิงนั่งอยู่ นางรีบวางถ้วยเปล่าแล้วลุกขึ้นยืนตรงในทันที แม้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนายทหารระดับสูง แต่ซิ่วอิงก็ใส่ใจคำสั่งทุกประโยคราวกับเป็นคำสั่งเฉพาะตัว

“หรงซิ่วอิง” แม่ทัพฮั่วหันมาหาซิ่วอิง

นางชะงักเล็กน้อย รีบประสานมือทำความเคารพ 

“คาราวะท่านแม่ทัพ”

“แผลของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?” น้ำเสียงของแม่ทัพฮั่วยังคงราบเรียบ แต่ในถ้อยคำนั้นมีความใส่ใจแฝงอยู่

“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่แน่นอนเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้ารับคำตอบของซิ่วอิง สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไป แต่สายตาดูคล้ายจะผ่อนคลายลงชั่วครู่ก่อนจะกลับเป็นเฉยนิ่งอีกครั้ง

“หากรู้สึกเจ็บอีกก็อย่าฝืนล่ะ ร่างกายของเจ้าก็สำคัญไม่แพ้การศึกในครั้งนี้”

ซิ่วอิงสัมผัสได้ถึงความห่วงใยนั้น แม้จะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน แต่น้ำเสียง ท่าที และความใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยอย่างอาการบาดเจ็บของนางก็ทำให้รู้ว่าท่านแม่ทัพไม่ได้เป็นคนใจไม่ไส้ระกำอะไรนักกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา

“ขอบคุณในความเมตตาเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบ แม้สายตาจะไม่กล้ามองตรงไปยังดวงตาคมของแม่ทัพก็ตาม

แม่ทัพฮั่วไม่กล่าวอะไรต่อ เขาเพียงพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“นี่ ๆ ลูกพี่ขอรับ” 

เสียงเกาเหยียนดังขึ้นจากด้านข้าง ขณะที่เขายื่นหน้ามาใกล้หูซิ่วอิง พยายามทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างกับคนที่กำลังจะเปิดโปงความลับของแผ่นดิน

“อะไร?” ซิ่วอิงที่กำลังจัดอาวุธอยู่ชะงักเล็กน้อย พลางปรายตามองเขา 

เกาเหยียนเหลือบซ้ายแลขวา ก่อนจะกระซิบต่อ

“มิใช่ว่าท่านแม่ทัพมีใจให้ลูกพี่หรือขอรับ?”

เพียงได้ยินประโยคนั้น ซิ่วอิงก็ฟาดมือเข้าไปที่หัวเกาเหยียนทันที เสียงดังป๊าบ! กังวานจนคนใกล้เคียงบางคนหันมามองด้วยความสงสัย

“เจ้าจะบ้าหรือ!” นางกระซิบตอบด้วยเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นั่นมันผู้บังคับบัญชา อีกอย่างข้าไม่มีทางชอบคนในกองทัพแน่ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!”

แต่เกาเหยียนยังไม่ละความพยายาม ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มขี้เล่นแบบคนไม่กลัวตาย

“ข้าก็แค่สงสัยเองขอรับ หรือว่าลูกพี่มีคนในใจแล้ว?”

ซิ่วอิงถึงกับชะงัก จู่ ๆ ภาพของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่ตั้งใจ สหายผู้คุ้นเคย…แต่นางก็สะบัดหัวน้อย ๆ ไล่ความคิดนั้นออกไป พลางพูดกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

“จะ…จะไปมีได้อย่างไรเล่า!”

เกาเหยียนตาเป็นประกายทันทีราวกับเห็นโอกาสทอง

“ดีเลย! แบบนี้ก็แสดงว่าข้ายังมีโอกาส…โอ๊ย!”

ไม่ทันขาดคำ หมัดของซิ่วอิงก็ซัดเข้าแขนขวาเขาอีกครั้งอย่างแม่นยำจนชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก

“โอกาสกับผีน่ะสิ!” 

ซิ่วอิงชกแขนเกาเหยียนไปอีกที

“แหะ ๆ ข้าล้อเล่นเฉย ๆ ข้าไม่คิดอะไรกับลูกพี่แล้วจริง ๆ” เกาเหยียนพูดทั้งที่ยังขยับแขนไปมาอย่างปวด ๆ

“ไปเถอะ ได้เวลาเดินทัพต่อแล้ว” 

ซิ่วอิงตัดบทสนทนาแล้วหอบสัมภาระทั้งหมดไปรวมตัวกับเหล่าทหารคนอื่น ๆ เพื่อจัดทัพเตรียมเคลื่อนพล

เสียงสัญญาณเคลื่อนทัพดังขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มแตะขอบยอดเขา ขบวนทัพเคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านแนวป่าทึบที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นชื้นของน้ำค้าง เดินรวมอยู่ในแนวทหารเดินเท้าเบื้องหน้ากองเกวียนเสบียง

เส้นทางไปหมิงโจวมีบางช่วงที่ลำบาก โดยเฉพาะเมื่อข้ามโขดหินริมธาร บางคนลื่นล้ม บางคนถูกทากเกาะ แดดเริ่มสาดแรงและอากาศก็ร้อนอ้าวจนเหงื่อของทหารทุกนายเปียกชุ่มหลัง เส้นทางเบื้องหน้าคือเนินเขาสลับร่องห้วยตื้น ๆ ที่ไหลเอื่อยจากเขาด้านตะวันตกลงมาตัดทางเดินอย่างไม่ปรานี การต้องลุยน้ำตื้นย่ำโคลนนั้นเหนียวหนืดเกินคาด ทำให้ขาของทุกคนแทบยกไม่ขึ้น

แม้จะเป็นกองทัพที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทัพผ่านภูมิประเทศที่โหดร้ายเช่นนี้ ก็ยังทำให้สีหน้าทหารหลายคนเริ่มแปรเปลี่ยน เสียงบ่นพึมพำดังขึ้นเป็นระยะ บางคนหกล้มไปในปลักโคลนจนทั้งตัวเปรอะเปื้อน ซิ่วอิงที่แม้จะยังไม่หายดีจากบาดแผลก็ต้องกัดฟันเดินฝ่าไปพร้อมกับคนอื่น ๆ นางไม่ยอมแสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน สายตาของเขากวาดมองสภาพเส้นทางและสีหน้าทหารด้วยความเงียบงัน แต่ถ้าสังเกตแววตาของเขาจะสามารถรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งของภารกิจที่แบกอยู่บนบ่าของผู้บังคับบัญชาผู้นี้ เขาหยุดม้าลงเป็นระยะเพื่อตรวจสอบเส้นทางและวางแผนล่วงหน้า บางจุดเขาสั่งให้ทหารตัดไม้ทำสะพานชั่วคราว บางจุดเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่โคลนลึกที่อาจทำให้กองเกวียนติด

ซิ่วอิงเปลี่ยนเป็นเดินขนาบไปกับกองเกวียนเสบียงเพื่อช่วยดันเกวียน ท่ามกลางโคลนเหนียวหนืดและแสงแดดที่สาดกระทบจนตาแทบพร่า นางยกแขนปาดเหงื่อบนหน้าผาก ขณะมองไกลไปยังเงาหลังของแม่ทัพฮั่วที่ยังคงอยู่หน้าแนวทัพ แต่แล้วเสียงกีบม้าก็แผ่วลง แม่ทัพฮั่วควบม้าเลี้ยวกลับมาทางด้านหลังเล็กน้อย มาหยุดอยู่ไม่ห่างจากซิ่วอิงเท่าใดนัก

“หรงซิ่วอิง”

ซิ่วอิงรีบชะงักฝีเท้า ประสานมือและย่อตัวเล็กน้อย

“ท่านแม่ทัพ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้เจ้าคะ?”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งจ้องมองซิ่วอิงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ

“เจ้าขึ้นม้าไปกับข้า ข้าต้องการให้เจ้าตรวจเส้นทางล่วงหน้ากับข้าอีกครึ่งลี้”

“อะ…เอ๋?”

ซิ่วอิงเบิกตากว้างเล็กน้อย มิใช่เพราะหวาดหวั่น แต่เพราะคำสั่งนั้นมักจะตกแก่ทหารหน่วยลาดตระเวนที่ระดับสูงกว่านี้ มิใช่นางที่ยังถือว่าเป็นเพียงทหารเดินเท้าที่ถือว่าลำดับชั้นในกองทัพต่ำสุด แต่กระนั้นนางก็ตอบรับทันทีโดยไม่แสดงความลังเลเพราะนี่คือโอกาสอันดีในการทำผลงาน ในหัวของนางมีแต่เลื่อนขั้น เลื่อนขั้น เลื่อนขั้น!!!

“ซิ่วอิงรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

เกาเหยียนที่กำลังช่วยดันล้อเกวียนอยู่ใกล้ ๆ แอบหันมาเลิกคิ้วให้ซิ่วอิง ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์และขยิบตาหนึ่งทีโดยไม่พูดอะไร ซิ่วอิงทำเพียงเหลือบตามองตอบอย่างรำคาญก่อนจะเดินตรงไปยังแม่ทัพฮั่ว

แม่ทัพฮั่วยื่นมือให้ดึงนางขึ้นหลังม้า ซิ่วอิงลังเลชั่ววินาทีก่อนจะคว้ามือเขาอย่างมั่นคง เท้าก้าวขึ้นเหยียบโกลนอย่างเชี่ยวชาญและขึ้นคร่อมม้าอีกตัวที่อยู่ข้าง ๆ ทันที ร่างของนางแม้จะยังเจ็บจากแผล แต่ก็ขยับด้วยความคล่องแคล่วจนแม่ทัพพยักหน้าอย่างพอใจ

“ตามข้ามา” เขาว่าเพียงเท่านั้น ก่อนควบม้าเคลื่อนตัวแซงแนวทหารไปตามทางแคบเลียบเนินหินด้านข้าง ซิ่วอิงตามไปโดยไม่อิดออด

สองม้าควบเบา ๆ ไปข้างหน้า ท่ามกลางความเงียบของป่าและเสียงน้ำไหลเบา ๆ จากร่องธารข้างทาง เสียงฝีเท้าม้ากระทบผืนดินชื้น ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ

“เจ้ามองเห็นสิ่งใดที่ผิดปกติหรือไม่?” แม่ทัพถามขณะยังจ้องเส้นทางด้านหน้า

ซิ่วอิงเพ่งมองอย่างระวัง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“ยังไม่พบสิ่งผิดปกติเจ้าค่ะ แม้ทางจะชื้น แต่ยังไม่พบร่องรอยการถูกใช้งานจากคนหรือสัตว์กลุ่มใหญ่ก่อนหน้าเรา”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ

“เจ้านับว่าใช้ได้…มีสายตาและวิจารณญาณมากกว่าที่ข้าคิดไว้แต่แรก”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”

ทั้งสองเงียบกันไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งแม่ทัพเอ่ยขึ้นใหม่

“หากวันหนึ่งเจ้าต้องนำทัพ…เจ้าคิดว่าตนจะทำได้หรือไม่?”

คำถามนั้นไม่เหมือนคำถามทั่วไป หากเป็นเหมือนการหยั่งใจหรือทดสอบบางอย่างในตัวนาง ซิ่วอิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงนิ่งแน่วแน่

“ข้าไม่รู้ว่าข้าจะทำได้ดีแค่ไหนเจ้าค่ะ…แต่หากวันนั้นมาถึงจริง ข้าจะนำพาทุกคนกลับบ้านให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งเหลือบมองซิ่วอิงครู่หนึ่ง สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง คล้ายยอมรับ คล้ายประเมิน คล้ายคาดหวังอะไรบางอย่าง

“เช่นนั้น…จงจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดี” เขากล่าวเสียงเรียบ “เพราะวันหนึ่ง มันอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่เจ้าคิด”

ซิ่วอิงไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงประสานมือคารวะอีกครั้งแล้วมองตรงไปเบื้องหน้า มือที่จับบังเหียนม้าแน่นขึ้นเล็กน้อย จากคำพูดที่เหมือนจะเปิดประตูบานหนึ่งในอนาคตของนาง

หลังจากสำรวจเส้นทางล่วงหน้าอีกครึ่งลี้และไม่พบอันตรายใด ๆ แม่ทัพฮั่วจึงสั่งให้กลับไปรวมทัพ ขบวนเดินทางต่อได้โดยไม่ล่าช้า เส้นทางเริ่มลาดเอียงลงไปตามไหล่เขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายความว่าหมิงโจวอยู่ไม่ไกลเกินครึ่งวันเดินเท้าอีกต่อไป

ยามบ่ายคล้อยผ่านไปทีละชั่วขณะ แสงแดดซึ่งเคยสาดแรงในยามสายเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อขบวนทัพเคลื่อนลึกเข้าสู่พื้นที่ที่ร่มเงาของป่าหนาแน่นขึ้น เสียงจังหวะฝีเท้าทหารเหยียบใบไม้แห้งและดินชื้นเริ่มแผ่วเบาลงตามแรงที่ถดถอยของผู้คน แต่ไม่มีใครปริปากบ่น แม้แต่เกาเหยียนที่เคยช่างพูด ยังนิ่งเงียบยามเดินเลียบเนินหินขรุขระ ราวกับรับรู้ได้ว่าสายตาแม่ทัพอาจจะจ้องอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายยามเซิน ปลายเนินเตี้ยเบื้องหน้าก็เปิดให้เห็นทิวหลังคาเมืองหมิงโจวที่ทอดยาวเรียงรายอยู่ลิบ ๆ ท่ามกลางม่านแสงอาทิตย์สีส้มแก่ที่ฉาบฟ้ากลายเป็นเฉดทองแดง เมืองใหญ่แห่งนี้มีแนวป้อมหินสูงล้อมรอบอย่างมั่นคง ควันบางจากเตาในบ้านเรือนเริ่มลอยขึ้นสู่อากาศ เผยให้เห็นถึงชีวิตของชาวเมืองที่ยังคงดำเนินไปตามครรลอง

“เมืองหมิงโจว…” ซิ่วอิงพึมพำกับตนเอง ขณะมองตัวเมืองจากระยะไกล

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งออกคำสั่งให้เลียบเมืองไปทางทิศใต้ โดยคงระยะห่างจากกำแพงเมืองพอสมควรเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้าน ขบวนทัพแยกเป็นแนวยาวระวังด้านข้างอย่างระมัดระวัง ขณะเคลื่อนผ่านทุ่งหญ้าต่ำที่ทอดยาวขนานกับกำแพงเมือง เบื้องหลังนั้นคือเงาตะคุ่มของหมิงโจวที่ค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปในแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน




[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 46876 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-8 23:01
โพสต์ 46,876 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-8 23:01
โพสต์ 46,876 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +15 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-8 23:01
โพสต์ 46,876 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-8 23:01
โพสต์ 46,876 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก เกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-8 23:01
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-9 23:26:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด







เช้าวันนี้ ซิ่วอิงลืมตาตื่นขึ้นก่อนแสงแรกของอรุณจะทาบไล้ผ่านฟากฟ้า ความเงียบสงบในยามเช้ายังไม่ถูกรบกวนจากเสียงโห่ร้องของทหารหรือเสียงกลองปลุกประจำค่าย นางขยับกายเบา ๆ พลางรับรู้ถึงอาการตึงแน่นบริเวณหลัง แผลโบยที่เคยปวดแสบปวดร้อนบัดนี้เริ่มแห้งดีแล้ว แม้ยังมีอาการเจ็บเล็กน้อยหากขยับแรงเกินไป แต่นางก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันกลายเป็นข้ออ้างในการทำตัวสำออยเป็นคนอ่อนแอ

ซิ่วอิงสวมชุดฝึก ก่อนจะก้าวเท้าออกจากกระโจมสู่ลานกว้างที่ยังเงียบงัน นางสูดลมหายใจลึก ชื่นชมความสงบยามรุ่งสางแล้วจึงยืนประจันหน้ากับความว่างเปล่าที่เป็นสนามฝึก

มือเรียวเอื้อมหยิบง้าวคู่ใจขึ้นมา น้ำหนักของมันยังคงมั่นคงและคุ้นมือ นางเริ่มขยับร่างกายอย่างช้า ๆ ไล่ตั้งแต่การยืนยัน ไปจนถึงการหมุนตัวและฟาดอาวุธออกไปในอากาศ ท่วงท่าของนางเปี่ยมด้วยพลังและความมั่นใจ ราวกับกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางสายลมอันสงบนิ่ง

ขณะที่คมง้าวในมือของซิ่วอิงวาดเส้นโค้งเฉียบคมกลางอากาศ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากทิศทางหนึ่งของค่ายพักแรม แต่ซิ่วอิงยังไม่ทันสังเกต เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับการควบคุมลมหายใจและการวางจังหวะอย่างแม่นยำ

แม่ทัพฮั่วเดินออกจากกระโจมอย่างเงียบเชียบ ดวงตาเข้มเฉียบคมกวาดมองทั่วค่าย ก่อนจะสะดุดกับภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังฝึกกระบวนท่าง้าวอยู่กลางลาน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อจำได้ว่าเป็นซิ่วอิง การขยับเคลื่อนไหวของนางเต็มไปด้วยแม่นยำ สายตาก็ต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้มุมปากของแม่ทัพฮั่วยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มจาง ๆ

“ขยันแต่เช้าเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากด้านหลัง

ซิ่วอิงสะดุ้งเฮือก ง้าวในมือหยุดชะงักทันที นางหันขวับมาทางต้นเสียงแล้วรีบคุกเข่าคาราวะโดยไม่รีรอ ร่างกายที่ยังเจ็บจากบาดแผลกดทับกับพื้นเล็กน้อย แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่งอยู่ได้

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเห็นว่ายามเช้าอากาศดี จึงคิดจะฝึกฝนเพื่อลับฝีมือไว้ใช้ในสนามรบ” ซิ่วอิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ในใจยังเต้นแรงจากความตกใจเมื่อครู่

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าของเขายังคงนิ่งขรึม แต่แววตานั้นฉายแววพึงพอใจ

“ดี! ความตั้งใจเช่นนี้...ควรค่าแก่การรักษาไว้”

แม่ทัพฮั่วยืนมองซิ่วอิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ฟังดูคล้ายชักชวน

“เจ้าสนใจจะไปขี่ม้าลาดตระเวนกับข้าสักรอบหรือไม่? ยืมม้าจากฝ่ายพลม้ามาขี่ก่อนได้”

ซิ่วอิงชะงักเล็กน้อย ดวงตากลมโตสะท้อนแววประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นประกายมุ่งมั่นอย่างรวดเร็ว นางรีบคำนับตอบรับ

“เจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนผายมือไปทางแนวกระโจมด้านหนึ่ง

“ไปยืมม้ามาเถอะ ข้าจะรอที่ประตูเมือง”

ซิ่วอิงไม่รีรอ รีบหมุนตัวออกไปยังเขตพักของฝ่ายพลม้า ภายในไม่กี่อึดใจ นางก็พาม้าหนุ่มตัวหนึ่งเดินจูงมายังหน้าประตูเมือง ควันไออุ่นจากลมหายใจของม้าลอยขึ้นปะปนกับหมอกจาง ๆ ยามเช้า เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดินเป็นจังหวะเบา ๆ

แม่ทัพฮั่วยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วราวกับเคยชินจนเป็นสัญชาตญาณ เมื่อเห็นซิ่วอิงมาถึง เขาหันมามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบแต่เด็ดขาด

“ขึ้นม้าเร็ว พวกเราจะออกลาดตระเวณและกลับมาก่อนที่พวกทหารจะตื่น”

ซิ่วอิงพยักหน้า รับคำสั่งโดยไม่ลังเล นางเหวี่ยงตัวขึ้นขี่ม้าอย่างมั่นคง แม้ไม่ใช่นักขี่ม้าชั้นแนวหน้า แต่ก็ฝึกฝนมาดีพอที่จะควบคุมม้าได้อย่างไม่อายใคร

แม่ทัพฮั่วกระตุกบังเหียนเบา ๆ ม้าศึกใต้ร่างของเขากระโจนเบา ๆ ไปข้างหน้า เขาหันมาพูดขณะม้าควบช้า ๆ เคียงกัน

“ข้าอยากดูเส้นทางข้างหน้าสักหน่อย กลัวว่าจะมีโจรหรือพวกกองโจมตีซ่อนสุมอยู่ หากปล่อยไว้จนถึงตอนเดินทัพจริงคงลำบาก”

เสียงฝีเท้าม้าควบไปช้า ๆ บนเส้นทางลูกรังที่ตัดผ่านป่าโปร่ง ทิวไม้สองข้างทางไหวเอนรับลมเช้า เสียงนกร้องแว่วเบาเป็นฉากหลังของความเงียบสงัด แม้ทั้งสองจะไม่เอ่ยคำใดออกมา แต่บรรยากาศกลับไม่อึดอัด มีเพียงความสงบที่คล้ายกำลังตกผลึกความคิดของตนเองระหว่างลาดตระเวน

จนกระทั่งแม่ทัพฮั่ว ผู้ซึ่งเงียบมาเกือบตลอดทาง จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่ฟังแฝงความใคร่รู้

“ทำไมเจ้าถึงอยากเป็นทหารล่ะ?”

เขาหันมามองซิ่วอิงเพียงแวบเดียวก่อนจะละสายตาไปมองเบื้องหน้าอีกครั้ง สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนไปเลย

“สตรีหาได้ยากนักที่จะกล้าออกมาทำเรื่องเช่นนี้”

ซิ่วอิงนิ่งไปเล็กน้อย สายตาเหม่อมองพื้นป่าเบื้องหน้า คล้ายกำลังทบทวนความทรงจำ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงตอบออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง

“แต่เดิม...ครอบครัวของข้าน้อยเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นมาหลายชั่วอายุคนเจ้าค่ะ ไม่มีใครในจวนสนใจหรือเก่งกาจด้านการต่อสู้เลยสักคน ข้าน้อยก็เลยกลายเป็นเหมือน...แกะดำของตระกูล”

นางยิ้มจาง ๆ อย่างขมขื่นแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ

“ตั้งแต่เด็กข้าน้อยชอบเรื่องศิลปะการต่อสู้ ข้าน้อยโดดเรียนวิชาการเรือนบ่อยครั้งเพื่อแอบออกไปฝึกกับจอมยุทธ์พเนจรที่ผ่านมาบ้าง ฝึกเองจากคัมภีร์ที่ลักอ่านจากร้านหนังสือบ้าง”

แม่ทัพฮั่วเหลือบมองนาง แต่ไม่ได้พูดขัด

“บางคนอาจจะคิดว่าข้าน้อยไร้สาระหรือทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล แต่สำหรับข้าน้อยแล้วการได้สมัครเข้าร่วมกองทัพ คือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ แล้วมันยังมีประโยชน์กับบ้านเมืองด้วย ต่อให้วันหนึ่งข้าน้อยต้องตายในการรบ ข้าน้อยก็ไม่เสียใจ อย่างน้อย...ก็ได้พยายามแล้ว ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อแผ่นดินนี้”

นางเว้นวรรคเล็กน้อย เสียงลมหายใจกลบเสียงฝีเท้าม้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสารภาพเสียงเบาลงเล็กน้อย

“จริง ๆ แล้ว...นอกจากพี่ชายคนรอง ก็ยังไม่มีใครในตระกูลรู้เลยว่าข้าน้อยมาเป็นทหารเจ้าค่ะ”

เมื่อเสียงของซิ่วอิงเงียบลง เหลือเพียงเสียงฝีเท้าม้าที่กระทบผืนดินและเสียงสายลมพัดผ่านพงไม้เบื้องข้าง แม่ทัพฮั่วก็ขี่ม้าเคียงข้างอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังไตร่ตรองเรื่องราวที่เพิ่งได้ยิน แล้วจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“เช่นนั้น ข้าก็จะไม่ปริปากพูด จนกว่าเจ้าจะพร้อมบอกพวกเขาด้วยตนเอง”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ทว่าอบอุ่นยิ่ง

“และถึงตอนนั้น...เจ้าจะต้องเป็นนายทหารผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเกียรติและผลงานจนไม่มีใครหน้าไหนจะกล้าตำหนิหรือลบหลู่เจ้าได้อีก”

ซิ่วอิงหันไปมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง แต่นางยังคงเงียบ ไม่กล้าเอ่ยคำขอบคุณใด ๆ ออกมา

แม่ทัพฮั่วขี่ม้าไปอีกครู่ ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับลังเลอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยเรื่องราวของตนเองกับใครอย่างเต็มใจ

“จริง ๆ แล้ว...แต่เดิม ข้าไม่เคยคิดจะเป็นแม่ทัพ ไม่เคยคิดจะบัญชากองทัพหรือยืนอยู่ในแถวหน้าของศึกใด ๆ เลย”

เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างขื่นขม

“ตอนนั้น ข้าเพียงแค่อยากจะเที่ยวเล่นไปทั่วยุทธภพ ใช้ชีวิตอิสระดั่งพวกจอมยุทธ์ในตำนาน”

สายตาของแม่ทัพฮั่วเหม่อมองไปยังปลายขอบฟ้า สายลมพัดเส้นผมยาวของเขาปลิวระเนนระนาด ก่อนเสียงของเขาจะทุ้มนุ่มลงอย่างผิดวิสัย

“แต่ข้าตัดสินใจติดตามท่านอาเว่ยเข้าสู่สนามรบ เพราะข้าอยากจะแก้แค้นให้ท่านป้าเว่ยจื่อฟู...ท่านป้าเสียชีวิตเมื่อห้าปีก่อน นางเป็นคนจิตใจดี ทำขนมอร่อย และดูแลข้าเสมือนแม่แท้ ๆ คนหนึ่ง...”

เขาเว้นวรรคไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยต่อด้วยเสียงแผ่วลง

“ท่านแม่ของข้าจากไปตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้าไม่เคยจำใบหน้าท่านได้ด้วยซ้ำ แต่ท่านป้าคือทุกอย่างที่ข้ารู้จักในคำว่าความอบอุ่นของครอบครัว”

ม้าของทั้งสองยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ผ่านเส้นทางที่มีแสงแดดอ่อนสาดส่องผ่านยอดไม้ลงมา

“วันนั้น...ท่านป้าเข้าไปในป่า เพื่อหาสมุนไพรมารักษาโรคประจำตัวของข้า” เขากล่าวต่อน้ำเสียงเจือความโกรธเก็บกลั้น “แล้วพวกปีศาจก็...ฆ่านาง”

แม่ทัพฮั่วเงียบลงอีกครั้งขบกรามแน่น ก่อนจะหันไปมองทางทิศตะวันตก ดวงตาสีเข้มของเขาสะท้อนแสงแดดราวกับเปลวเพลิง

“ข้าจะต้องล้างบางพวกปีศาจให้หมดสิ้น เพื่อให้ต้าฮั่นปลอดภัย ไม่ต้องมีใครต้องเคราะห์ร้ายอย่างท่านป้าของข้าอีก...”

เสียงของเขาหนักแน่น และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“ท่านป้าเป็นคนจิตใจโอบอ้อมอารี เมตตา และไม่เคยทำร้ายใคร...แต่กลับต้องจบชีวิตอย่างน่าสงสารนัก”

ซิ่วอิงฟังอย่างเงียบงัน ดวงตาสะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้นางจะไม่เคยรู้จักท่านป้าคนนั้น แต่จากน้ำเสียงของแม่ทัพฮั่ว...นางสัมผัสได้ถึงความรัก ความผูกพัน และบาดแผลที่ยังไม่สมานดีของเขา

หลังจากบทสนทนาเงียบลง ทั้งสองยังคงขี่ม้าลาดตระเวนต่อไปตามแนวป่าที่ทอดยาว เส้นทางขรุขระในยามเช้าชุ่มชื้นด้วยหยาดน้ำค้าง ซิ่วอิงขี่ม้าเคียงข้างแม่ทัพฮั่วอย่างเงียบงัน สายตากวาดมองโดยรอบอย่างระมัดระวัง พยายามจับความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณของภัยแฝง

แม่ทัพฮั่วนำทางไปเรื่อย ๆ ทุกฝีเท้าของม้าควบไปด้วยจังหวะคงที่ เขาสังเกตลักษณะภูมิประเทศ พุ่มไม้ที่ถูกเหยียบย่ำ ทางแยกเล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นเส้นทางลอบโจมตี แต่จนแล้วจนรอด เส้นทางทั้งหมดกลับเงียบสงัด ไม่มีร่องรอยของโจร ไม่มีกลิ่นไอของปีศาจ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงใบไม้ไหวที่ผิดธรรมชาติ

จนกระทั่งแสงแดดแรกของยามสายเริ่มสาดส่องแรงขึ้น พวกเขาก็มั่นใจแล้วว่าแนวหน้าปลอดภัยพอสำหรับการเคลื่อนทัพใหญ่

“ไม่มีอะไรผิดปกติ กลับค่ายกันเถอะ” แม่ทัพฮั่วเอ่ยเรียบ ๆ

ทั้งสองควบม้าย้อนเส้นทางกลับไปยังค่ายพักแรม ท่ามกลางสายลมเย็นของเช้าวันใหม่ เมื่อกลับมาถึง เหล่าทหารบางส่วนเริ่มขยับตัวลุกจากที่นอน จุดไฟต้มน้ำ และเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง ไม่มีใครทันสังเกตว่าแม่ทัพกับทหารหญิงคนหนึ่งได้ออกไปข้างนอกและกลับมาแล้ว

ครึ่งชั่วยามถัดมา หลังจากกลองเรียกพลดังขึ้นหนึ่งครั้ง กองทัพต้าฮั่นก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากหมิงโจว ม้าศึก เกวียนเสบียง และทหารหลายร้อยนายเคลื่อนตัวเป็นสายยาวไปตามเส้นทางลาดยาวสู่ทิศตะวันตก

เป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือหลานโจว เขตป่าเขาซึ่งเต็มไปด้วยเส้นทางลี้ลับและอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา

ขบวนทัพเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ผ่านหุบเขาและลำธาร ท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามสาย ต้นไม้สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนสีเป็นโทนน้ำตาลเขียว ร่องรอยของฤดูกาลเปลี่ยนผ่านกำลังแผ่คลุมทั่วแผ่นดิน

เส้นทางสู่หลานโจวไม่ได้เรียบง่ายเช่นเขตเมืองที่พวกเขาเพิ่งจากมา ทางเริ่มคดเคี้ยวและลื่นชื้นจากฝนที่ตกในคืนก่อน หินและรากไม้ชอนไชไปทั่ว เส้นทางนี้ไม่เหมาะแก่การควบม้าเร็ว กองทัพจึงจำต้องชะลอฝีเท้า

ซิ่วอิงเดินอยู่ในแนวกลางของขบวนทัพ นางแบกง้าวคู่ใจไว้บนหลัง เสื้อเกราะหนังที่สวมอยู่เริ่มซึมเหงื่อจากการเดินทางต่อเนื่องหลายวัน ใบหน้าของนางเรียบนิ่ง แต่สายตากวาดไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง ป่ารอบด้านหนาทึบขึ้นทุกย่างก้าว และหมอกจาง ๆ เริ่มเกาะต่ำเหนือพื้นดิน กลืนรอยเท้าและเงาทุกอย่างให้ดูพร่าเลือน

แม่ทัพฮั่วอยู่แนวหน้ากองทัพบนหลังม้าศึก เขาชะลอฝีเท้าให้กองทัพรักษาจังหวะ โขดหินน้อยใหญ่ปกคลุมตลอดทางเดิน มันแหลมคมจนพื้นรองเท้าหลายคู่เริ่มขาดวิ่น แม้ม้าศึกแข็งแรงเพียงใดก็เริ่มเดินอย่างระแวดระวัง หางพลเริ่มถูกรั้งช้าลงจากรถเสบียงที่ติดหล่ม

แม่ทัพฮั่วชักม้าหันกลับ ร่างสูงใหญ่บนอานยกมือขึ้นสูงส่งสัญญาณหยุดขบวนทันที เสียงฝีเท้าชะงักลงเป็นระลอก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจหนักของทหารบางนาย เขาควบม้าลงมาตรวจที่เกิดเหตุด้วยตนเอง ล้อเกวียนจมลงไปในดินเปียกจนถึงครึ่งเพลา ดินร่วนผสมโคลนลึกเหนียวหนืด แค่ลากด้วยแรงคนไม่อาจทำให้ขยับได้

แม่ทัพฮั่วก้มลงจับดินขึ้นมาขยี้เบา ๆ ระหว่างปลายนิ้ว ดินอ่อนและเย็นชื้นจนแทบจะละลายกลายเป็นน้ำได้ในมือ หากขืนฝืนเคลื่อนทัพต่อ เสบียงที่ขนมาหลายวันคงจมหล่มและเสียหายหนัก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมดุดันกวาดมองรอบแนวป่า แล้วตะโกนเสียงชัดเจน

“ทหารหรงซิ่วอิง! มาดูทางด้านซ้ายของแนวหล่มนี้”

ซิ่วอิงผู้ยังเหนื่อยหอบจากการเดินทางรีบวิ่งเข้ามาใกล้ทันทีพอได้ยินคำสั่ง นางไม่รีรอวิ่งไปยังพื้นที่ที่แม่ทัพชี้ ก่อนจะคุกเข่าลงพลางใช้มีดสั้นเสียบดินเบา ๆ

“ตรงนี้แข็งกว่าเจ้าค่ะ ไม่มีน้ำซึม และรากไม้แน่นอยู่ใต้ดิน น่าจะใช้รองล้อได้!”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้า 

“ดี เจ้าไปกับทหารอีกสามสี่คน ตัดไม้ไผ่ให้ได้ความยาวเท่าล้อ แล้วนำมาปูเป็นแนวรองพื้นตรงนี้”

คำสั่งถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว เหล่าทหารที่พักอยู่ข้างขบวนต่างเร่งรุดไปยังแนวป่า ใช้ขวานสั้นกับเลื่อยตัดไม่ไผ่เป็นซีกหนาเท่าแขนลากกลับมาด้วยแรงคน ในเวลาไม่นานไม้ไผ่เหล่านั้นก็ถูกปูเป็นแนวล้อให้เกวียนพ้นหล่ม แต่ยังไม่ทันจะเริ่มลาก เสียงของเกาเหยียนก็เอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ทัพ! ถ้าใช้แผ่นไม้เพียงอย่างเดียว น้ำหนักเกวียนอาจทับจนหักลงอีกได้”

แม่ทัพฮั่วหันไปมองเกาเหยียน

“เจ้ามีวิธีหรือ?”

“ถ้าใช้ก้อนหินก่อแนวรองใต้ไม้ไผ่ ก็พอจะเพิ่มความแข็งแรงไม่ให้ไม้ทรุดได้บ้าง ใกล้ลำธารมีหินมากพอ ขอท่านแม่ทัพโปรดอนุญาตด้วยขอรับ”

แม่ทัพพยักหน้าทันที 

“ทำตามนั้น! เจ้านำกลุ่มไปขนหินมา ส่วนข้า...จะควบคุมล้อและม้าเอง”

เพียงครู่เดียวหินแม่น้ำถูกนำมาวางเรียงเป็นชั้นแรก จากนั้นจึงปูไม้ไผ่ทับอย่างเป็นระเบียบ จังหวะนั้นเองซิ่วอิงก็ยกมือขึ้น

“มัดเชือกเข้าเพลาอีกชั้นเถิดเจ้าค่ะ จะได้ออกแรงดึงพร้อมกันโดยไม่หลุดจากจุดยึด”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้า 

“ดี! ทุกคนเข้าประจำจุด!”

ทหารนับสิบจับเชือกเข้ามัดเข้ากับเพลา ขณะที่อีกกลุ่มจับแนวเกวียนไว้แน่น รอแรงจากด้านหน้า แม่ทัพฮั่วควบม้าขึ้นนำ ขยับบังเหียนควบคู่ไปกับม้าลากที่ผูกพ่วงไว้

“พร้อม!”

“หนึ่ง...สอง...ดึง!”

เสียงร้องพร้อมกันดังก้องทั่วเชิงหุบเขา ม้าลากออกแรงเต็มกำลัง ล้อเริ่มยกลอยจากหล่มโคลนช้า ๆ ดินดูดแน่นเหมือนจะไม่ยอมปล่อย ทหารบางนายกัดฟันแน่น ท่อนแขนเกร็งเต็มแรง ทว่าล้อเริ่มกระตุก...กระชาก...และในที่สุด เสียงโครมหนึ่งดังขึ้น เกวียนหลุดจากหล่มอย่างแรง ทหารหลายคนล้มก้นกระแทกพื้นไปตาม ๆ กัน แต่เสียงหัวเราะโล่งอกก็ดังขึ้นทันที

แม่ทัพฮั่วกระโดดลงจากหลังม้า เดินมาลูบแผงคอม้าและตบไหล่ทหารที่ร่วมแรง

“ดีมาก ทุกคน! เหนื่อยวันนี้เพื่อลดหายนะในวันหน้า”

เขาหันไปมองเส้นทางที่เพิ่งผ่านมา ก่อนตะโกนเสียงดัง

“เปลี่ยนแนวเดิน! นายกองทุกแนว ตรวจดินก่อนผ่าน!”

ขบวนทัพเคลื่อนตัวอีกครั้งอย่างระมัดระวัง คราวนี้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่เสี่ยงหล่มและโคลนลึก ทุกหน่วยปฏิบัติตามคำสั่งแม่ทัพฮั่วโดยเคร่งครัด เส้นทางเบี่ยงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านแนวเขาที่ทอดยาวซับซ้อน สลับเนินลาดกับลำธารแคบที่ไหลรินเป็นสายเสียงเบา

ขบวนทัพเคลื่อนตัวต่อเนื่องท่ามกลางแดดบ่าย สายลมที่พัดผ่านเริ่มเย็นขึ้นเมื่อระดับความสูงของภูมิประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากพื้นราบของหมิงโจว พวกเขากำลังเข้าสู่ชายขอบของหลานโจว  ดินแดนภูเขาสูงทอดยาว เบื้องหน้าเต็มไปด้วยภูเขาเขียวชอุ่ม สลับซับซ้อนเป็นชั้น ๆ ราวกับผืนคลื่นของทะเลหญ้าและไม้ใหญ่ที่หยักไหวตามแรงลม หุบเขาลึกวางตัวตัดขวางเป็นแนวเฉียง ทว่าไกลออกไปทางด้านตะวันออกและตอนกลาง ป่าสนสูงเสียดฟ้าเริ่มแผ่แนบแน่นท่ามกลางไอหมอกที่เกาะอยู่เหนือเรือนยอด

เสียงแม่น้ำสายหนึ่งไหลเอื่อยผ่านหุบลึกทางซ้ายมือ น้ำใสสะอาดรินหลั่งลงจากยอดผาตัดกับสีเขียวเข้มของป่าาได้อย่างน่าตื่นตา บางช่วงมีสะพานไม้เก่าเชื่อมผาไว้ให้ข้ามผ่านทางลาดชัน

แม่ทัพฮั่วควบม้าขึ้นเนินเล็กแล้วหยุดมองภาพเบื้องหน้า ดวงตาของเขาหรี่มองไปยังผืนป่าทางตะวันออก และยอดเขาที่สูงชันเหมือนกำแพงธรรมชาติของหลานโจว

“ถึงแล้ว...เขตเลียบเมืองหลานโจว” เขาพึมพำเสียงเบา

แนวต้นสนลู่ไหวตามแรงลม เสียงใบสนเสียดสีกันดังเป็นจังหวะเหมือนเสียงกระซิบของหุบเขา ทหารหลายคนหันมองรอบข้างด้วยความตะลึงในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่โอบล้อมไว้ ใต้เงาภูเขาเบื้องหน้ามีร่องรอยกำแพงหินเก่า ซากค่ายทหารโบราณที่ยังหลงเหลือเสาไม้ผุพังและบ่อน้ำตื้นอยู่ นั่นคือจุดหมายของวันนี้ ที่เป็นพื้นที่พักแรมก่อนเข้าสู่หลานโจวในวันรุ่งขึ้น…





จบเควสปลดล็อกหัวใจ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
+10 ความรู้สึกดีของฮั่วชวี่ปิ้งจากการเห็นซิ่วอิงฝึกฝน


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2025-6-11 23:44
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 10 โพสต์ 2025-6-10 00:31
โพสต์ 65416 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-9 23:26
โพสต์ 65,416 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-9 23:26
โพสต์ 65,416 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +40 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-9 23:26
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-11 23:05:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด







แสงแดดยามเช้าสาดแรงกว่าเมื่อวาน ทะลุผ่านหมอกบางบนยอดไม้ ลูบไล้ทั่วค่ายพักอย่างไม่ปรานี ฤดูร้อนมาเยือนแล้วอย่างเต็มตัว กลิ่นไอชื้นในอากาศเริ่มเจือด้วยกลิ่นหญ้าแห้งและฝุ่นทาง มดแดงไต่ยั้วเยี้ยบนพื้นดินที่อุ่นร้อนอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเช่นเดียวกับกองทัพต้าฮั่น

ยังไม่ทันที่กลองเช้าจะดัง ทหารหลายคนก็ลุกขึ้นเตรียมเสบียง เก็บกระโจม บางคนตรวจดูสายรัดของม้าอย่างเงียบงัน ขบวนทัพวันนี้จะเริ่มเคลื่อนตัวทันทีหลังรับคำสั่ง แม่ทัพฮั่วเดินตรวจแนวหน้าโดยไม่กล่าวให้มากคำ มีเพียงดวงตาคมกริบที่กวาดมองโดยรอบ หาจุดบกพร่องสุดท้ายก่อนสั่งเดินทัพ

“ทุกหน่วยประจำแนว ขบวนที่หนึ่งขึ้นนำ เหล่าทหารเดินเท้าเตรียมพร้อม รักษาระยะห่างให้แน่นหนา ห้ามให้ล่าช้าแม้แต่ครึ่งชั่วยาม!” เสียงนายกองดังขึ้นพร้อมการขยับตัวของทัพหลักอย่างเป็นระเบียบ

ซิ่วอิงขยับง้าวให้มั่นคงบนหลังปาดเหงื่อจากขมับ แม้จะยังไม่สายแต่อากาศก็ร้อนอบอ้าวเกินยามเช้าทั่วไป พื้นดินที่ผ่านพ้นฝนมาไม่นานเริ่มแห้งจนแข็งเป็นร่องรอยล้อเกวียนและเกือกม้า ซิ่วอิงขยับอยู่ในแนวทหารแถวกลาง จังหวะก้าวมั่นคง ไหล่ไม่ตก แม้เหงื่อซึมทั่วแผ่นหลังแต่ดวงตายังมุ่งตรงไปข้างหน้า

แม่ทัพฮั่วควบม้าอยู่แนวหน้าสุด ควบคุมจังหวะกองทัพไม่ให้ช้าไม่ให้เร็ว เส้นทางวันนี้ตัดผ่านเชิงเขาที่ทอดยาวสู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ลาดเขาเบื้องหน้าเป็นเส้นทางแคบคดเคี้ยว ต้นไม้ลดน้อยลงกลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งลมแรง แดดร้อนเปรี้ยงกับกลิ่นฝุ่นดินที่ฟุ้งขึ้นทุกย่างก้าว

ขบวนทัพเคลื่อนไปอย่างไม่หยุดพัก ตั้งแต่นกยังไม่ขับขานจนถึงยามสาย เหงื่อไหลชโลมใบหน้าทหารทุกนาย แต่พวกเขามิอาจหยุดฝีเท้าได้แม้แต่น้อย

“น้ำหมดอีกแล้ว...” เสียงทหารนายหนึ่งพึมพำอย่างหงุดหงิด ซิ่วอิงเห็นดังนั้นจึงยื่นกระบอกไม้ไผ่ของตนให้ไป

“อดทนหน่อย เดี๋ยวข้ามลำธารไปจะมีจุดพักกลางวัน”

แม่ทัพฮั่วหยุดม้าอยู่หน้าทางแยกเล็ก ๆ บริเวณลานหินกว้าง เขาหรี่ตามองแนวผาเบื้องซ้าย แล้วหันไปพูดกับนายกองที่ตามหลังมา

“ใช้ทางขวา เบี่ยงเข้าริมธาร ยาวกว่าแต่ปลอดภัยกว่า ห้ามแยกกำลัง”

“ขอรับ!”

เสียงสั่งขานไปทั่วแนว ขบวนเริ่มเลี้ยวขวา แทรกตัวเข้าแนวพุ่มไม้และลานกรวดที่ลาดต่ำลงสู่ริมน้ำ แม่น้ำสายหนึ่งไหลรินเบื้องหน้า เงาน้ำสะท้อนท้องฟ้าไร้เมฆและใบไม้สีซีดจากแดดเผา

แม่ทัพฮั่วลงจากม้า ลูบน้ำล้างมือ ก่อนจะตักน้ำขึ้นดื่มทีเดียวจนหมดกระบอก

“พักที่นี่ครึ่งชั่วยามจากนั้นเดินต่อ ไม่มีมื้อเที่ยง!” เขาตะโกนไปทั่ว

เสียงถอนหายใจดังขึ้นปนกับเสียงล้างหน้า ล้างม้า และเติมน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ ซิ่วอิงนั่งยอง ๆ ใต้เงาไม้เล็ก บีบผ้าชุบน้ำวางบนต้นคอ มือข้างหนึ่งลูบง้าวที่ยังอุ่นแดดอยู่เบา ๆ

ยังไม่ทันครบครึ่งชั่วยามดี เสียงตะโกนจากปลายแนวริมน้ำก็ดังลั่น

“เตรียมตัว! เก็บสัมภาระ! ขบวนจะเคลื่อนต่อในสามสิบลมหายใจ!”

เสียงครวญเบา ๆ ดังขึ้นบ้าง แต่ไม่มีผู้ใดชักช้า แต่ละคนลุกขึ้น เสียงเกราะเสียดสีกับผิวม้า เสียงขยับบ่า เสียงกระบอกไม้กระทบเชือกบ่งบอกว่าขบวนทัพกำลังจะเดินหน้าต่อ

แม่ทัพฮั่วขยับบังเหียนม้า เขาสะบัดหยดน้ำออกจากปลายแขนเสื้อ จากนั้นปีนขึ้นหลังม้าท่าทางผ่าเผย เขากวาดตามองไปยังปลายเส้นทางที่ทอดผ่านแนวหญ้าแล้วขึ้นสู่เนินเขาระลอกถัดไป

“เคลื่อนขบวน!” เสียงคำสั่งดังขึ้น

ขบวนเริ่มเคลื่อนอีกครั้ง คราวนี้เร็วกว่าเดิมเล็กน้อย เหมือนต่างรู้กันดีว่าทางที่เหลือยังอีกไกลนัก และไม่มีใครแน่ใจว่าค่ำนี้จะหยุดพักได้ที่ใด

แสงแดดยามบ่ายเทลงมาเป็นระลอก อากาศร้อนราวเพลิงสุม แม้ลมจะพัดแรงในทุ่งหญ้าเบื้องหน้า แต่มันกลับยิ่งพาเอากลิ่นดินแห้งและฝุ่นผงมาเติมเต็มลำคอ พื้นทางที่ทอดผ่านเบื้องหน้าเริ่มแคบลง เลื้อยคดไปตามแนวเขาและเนินดิน ซิ่วอิงจ้องมองเส้นทางด้วยดวงตาที่ไม่วอกแวก ความเงียบของขบวนทัพมีเพียงเสียงเกือกม้าและเสียงหายใจที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ขบวนทัพยังคงเคลื่อนไปไม่หยุด แม้ทุ่งหญ้าเบื้องหน้าเปิดโล่งแต่ลมที่พัดมาลับร้อนจัด เงาร่มไม่มีให้พึ่งพิง แดดเปรี้ยงสาดลงกลางกระหม่อมของทุกผู้คนไม่เว้นแม้แต่ม้าที่เดินนำ

เสียงฝีเท้าของทหารเริ่มไม่สม่ำเสมอ บางจังหวะมีเสียงหอบหนัก ๆ ดังแทรกอยู่ในแนวกลางของขบวน ซิ่วอิงมองไปยังทหารรอบข้าง เห็นบางคนหน้าขาวซีด บ้างใบหน้าแดงก่ำผิดธรรมชาติ จังหวะหายใจถี่เร็วเหมือนไม่อาจสูดลมหายใจลึกได้เต็มปอด

“ข้าเดินต่อไม่ไหวแล้ว…” เสียงสั่นพร่าของชายหนุ่มด้านหลังดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงจะทรุดลงคุกเข่าทั้งสองข้าง หัวทิ่มจมพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

ซิ่วอิงรีบหันกลับไปสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบประคองเขาขึ้นมา มือที่สัมผัสร่างอีกฝ่ายรู้สึกได้ถึงไอร้อนแปลกประหลาดร้อนอย่างผิดธรรมชาติ

“นี่เจ้า…ตัวร้อนจัดเลยนี่!” 

ยังไม่ทันที่นางจะได้เรียกนายกอง เสียงโกลาหลก็เริ่มดังขึ้นจากอีกด้าน

“มีทหารล้มตรงนี้ขอรับ!”

“หมอ! เรียกหมอ!”

เสียงนายกองด้านข้างรีบควบม้าพุ่งมาด้านหน้ารายงานแม่ทัพทันที

“ท่านแม่ทัพ! มีทหารล้มจากไข้แดดแล้วไม่ต่ำกว่าหกนายขอรับ บางคนเริ่มเพ้อ หนึ่งคนชัก!”

แม่ทัพฮั่วขมวดคิ้ว ดวงตากวาดมองทิวทัศน์ที่ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวรอบตัว กลางวันแผดเผายิ่งกว่าเตาเผาเหล็ก พื้นดินร้อนราวถ่าน และเส้นทางเบื้องหน้าก็ยังอีกยาวไกล

“สั่งหยุดขบวน!”

เสียงคำสั่งแทรกผ่านไปทั่วแนวทัพ

“ย้ายผู้ป่วยไปใต้เงาภูเขาเล็กทางขวา วางผ้าชุบน้ำบนหน้าผาก ใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำราดข้อมือ ข้อเท้า ลดไข้ทุกวิถีทาง!”

“ขอรับ!”

กลุ่มหมอทหารถูกเรียกอย่างเร่งด่วน ขบวนพักชั่วคราวถูกตั้งขึ้นอย่างลวก ๆ ในพื้นที่ที่แทบไม่มีอะไรบังแดด ซิ่วอิงต้องใช้ผ้าคลุมยาวคลี่กางกับกิ่งไม้แห้งเป็นร่มเงาชั่วคราวให้กับคนป่วย

แม่ทัพฮั่วยืนกลางแดด แม้เหงื่อจะไหลเป็นทางใต้ขมับ แต่ดวงตาของเขายังคงกวาดมองผู้ใต้บังคับบัญชาที่นอนระเกะระกะ ใบหน้าหลายคนยังแดงจัด บ้างเพ้อจนเรียกชื่อใครต่อใครไม่หยุด เขาขบกรามแน่น ขณะจ้องมองเหล่าทหารที่เริ่มล้มลงทีละคน ความกังวลฉายชัดในดวงตา มิใช่เพียงเพราะกำลังพลลดลง หากแต่เป็นเพราะโรคร้อนจากแดดอาจลุกลามรวดเร็วกว่าการโจมตีของศัตรูเสียอีก

“นายกองหลี่!” แม่ทัพฮั่วหันขวับไปเรียก

“ขอรับ!”

“ส่งคนเร็วที่สุดกลับไปยังหมู่บ้านเล็กที่เราผ่านเมื่อเช้า ขอเสบียงน้ำเพิ่ม และสมุนไพรลดไข้ ถามหาผู้อาวุโสที่รู้วิธีรักษาไข้แดดด้วย หาทุกวิถีทาง เราไม่มีเวลารอให้ธรรมชาติเมตตา”

“ขอรับ ข้าน้อยรับคำสั่ง!” นายกองหลี่ควบม้าจากไปอย่างว่องไว ฝุ่นดินฟุ้งตามหลัง

แม่ทัพฮั่วหันไปมองแนวทหารอีกครั้ง เสียงไอค่อกแค่กกับเสียงเพ้อสะลับกันไปมา บางคนเริ่มกระตุกเล็กน้อยก่อนแน่นิ่ง น้ำที่ตักมาจากลำธารใกล้ ๆ ถูกใช้จนเกือบหมด เหล่าหมอทหารมือไม่หยุดนิ่งสักวินาที

ซิ่วอิงนั่งลงข้างนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง ใช้ผ้าชุบน้ำค่อย ๆ วางบนหน้าผากเขา แววตาของนางแข็งกร้าวอย่างฝืนกลั้นความกังวล

“เจ้าจะดีขึ้นในไม่ช้า ไม่ต้องห่วง...” นางพึมพำกับคนที่หมดสติ ด้านข้างเกาเหยียนก็คอยยกน้ำมาเตรียมไว้ให้นาง

แม่ทัพฮั่วยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจ

“ประกาศให้พักยาวถึงยามพลบค่ำ ข้าจะเปลี่ยนรูปแบบขบวนเริ่มเคลื่อนพลตอนกลางคืน เดินช่วงยามแรกถึงยามสี่ ไม่แตะแดดอีกจนกว่าเราจะข้ามภูเขาทางตะวันตกสำเร็จ”

ทันทีที่ประโยคนั้นจบลง ความเงียบแผ่คลุมไปทั่วแนวค่าย เหล่าทหารต่างชะงักมือจากสิ่งที่กำลังทำ บางคนเงยหน้าขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่าตนได้ยินถูกต้องหรือไม่ เปลี่ยนเวลาเดินทัพเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในแผนมาก่อน แต่เพียงเสี้ยวอึดใจต่อมา เสียงถอนหายใจรโล่งอกก็ดังขึ้นจากมุมต่าง ๆ บ้างทรุดตัวลงกับพื้นโดยไม่ปิดบังความอ่อนล้า บ้างก้มหน้าซบเข่าปล่อยให้เหงื่อไหลรินเงียบ ๆ เหมือนสลัดภาระหนักทิ้งไปครึ่งหนึ่ง

ซิ่วอิงเปลี่ยนผ้าชุบน้ำผืนใหม่วางบนหน้าผากของนายทหารหนุ่มที่ยังไม่ฟื้น ไอร้อนจากร่างของเขาราวกับปล่องเตาเผา มือของนางคอยป้อนน้ำทีละหยดด้วยความระมัดระวัง เกาเหยียนรีบวิ่งกลับมาพร้อมกระบอกน้ำเต็มสองใบ หอบหายใจแรงแต่ยังพยายามยิ้มให้ซิ่วอิง

“นี่ขอรับลูกพี่ ข้านำมาจากฝั่งลำธารไกลขึ้นไปหน่อยแต่น้ำเย็นกว่าเดิมมาก”

“ดีมาก เจ้าเตรียมผ้าใหม่เถอะ” ซิ่วอิงรับกระบอกน้ำมาวางไว้ข้างตัว แล้วใช้ปลายแขนเสื้อซับเหงื่อตัวเอง “เราต้องรักษาอาการของคนพวกนี้ให้ดีขึ้นก่อนตะวันตกดิน”

ขณะซิ่วอิงนั่งพับเพียบใต้ร่มที่คลี่จากผ้าคลุม เงาเรียวยาวของม้าและบังเหียนก็ทอดผ่านลงเบื้องหน้า แม่ทัพฮั่วลงจากหลังม้าอย่างเงียบเชียบ เดินตรงมาหานาง

“ทหารที่เจ้าดูแล เป็นอย่างไรบ้าง?”

“หลายคนอาการดีขึ้นเจ้าค่ะ แต่ก็มีบางนายที่อาการยังแย่อยู่” ซิ่วอิงตอบโดยไม่เงยหน้า สายตายังคงอยู่ที่ชายหนุ่มตรงหน้านาง “ร่างกายของเขาร้อนเกินกว่าจะลดด้วยน้ำธรรมดา ข้าหวังว่าเสบียงสมุนไพรจะมาทัน”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้า

“ข้าส่งคนกลับไปหมู่บ้านแล้ว กำชับให้หาผู้รู้ตำรับยาท้องถิ่นด้วย หวังว่าจะมีใครเคยรักษาไข้แดดจากภูเขาแถบนี้”

เขาก้มลงนั่งยองข้างซิ่วอิง หยิบผ้าชุบน้ำที่นางทำไว้จุ่มลงกระบอกไม้ไผ่ แล้วบิดออกช้า ๆ ก่อนจะวางลงบนคอของอีกนายหนึ่งด้วยตนเอง

“ข้ามิคิดเลยเจ้าค่ะว่าท่านจะสั่งหยุดขบวนกลางวันแล้วเปลี่ยนมาเดินกลางคืนแทน” ซิ่วอิงเอ่ยหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง

“หากยังเดินต่อกลางแดดเช่นนี้ วันนี้เราอาจเสียคนเพิ่มอีกสิบหรือยี่สิบคน” แม่ทัพฮั่วกล่าวเรียบ ๆ “ข้าจะไม่เอาชัยชนะไปแลกกับชีวิตพวกเขาหรอก”

ซิ่วอิงพยักหน้ารับช้า ๆ ไม่มีถ้อยคำใดหลุดจากริมฝีปากอีก ดวงตาของนางทอดมองคนเจ็บตรงหน้า

“ข้าเคยคิดว่าในศึกใหญ่ ผู้ที่ตายจะต้องตายในสนาม มิใช่เพราะแดดแผดเผาเช่นนี้…” เสียงของนางเบาราวกับรำพึงถึงอะไรบางอย่างกับตัวเองมากกว่าจะพูดให้ใครฟัง

แม่ทัพฮั่วไม่ตอบในทันที เขานั่งเงียบ พลิกดูผ้าชุบน้ำในมือแล้วเปลี่ยนให้คนเจ็บอีกนายหนึ่งอย่างระมัดระวัง เหงื่อผุดตามขมับของเขาเช่นเดียวกับทุกคนในค่าย แม้ในยามพักเช่นนี้ เขาก็ยังไม่พัก

“สงครามไม่เคยเลือกวิธีพรากผู้คนหรอก” เขากล่าวในที่สุด น้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “หน้าที่ของข้าคือพาพวกเขาให้ถึงจุดหมาย ด้วยกำลังที่เรามีและสูญเสียให้น้อยที่สุด”

“ข้าจะอยู่ดูแลคนป่วยที่นี่จนถึงยามหนึ่งเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงกล่าวเสียงเรียบ “หากมีใครทรุดอีก จะได้ช่วยทัน”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ ปัดฝุ่นจากชายเสื้อแล้วหันกลับมามองนางอีกครั้ง

“หากถึงยามสาม ทหารส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้น เราอาจต้องหาที่ตั้งค่ายพักยาวอีกหนึ่งคืน” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วเสริม “หากถึงตอนนั้น ข้าจะรับผิดชอบรายงานต่อเมืองหลวงด้วยตนเอง”

ซิ่วอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย 

“แต่ท่านแม่ทัพ…”

“ไม่มีแต่” แม่ทัพฮั่วตัดบท “เรื่องในสนามรบ ข้าฟังความเห็นจากทุกคน แต่เรื่องความอยู่รอดของกองทัพ ข้าคือผู้รับผิดชอบสูงสุด” เขาพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะหมุนตัวจากไป

ยามบ่ายคล้อยลงจนเงาของภูเขาเริ่มทอดยาวทาบทับแนวหยุดพัก เสียงของแมลงในพงหญ้าเริ่มดังกว่าลม เสียงลมหายใจของทหารผู้ป่วยทุกนายยังคงยื้อตัวเองไว้ด้วยความหวัง ความหวังที่ถูกส่งออกไปกับนายกองหลี่เมื่อหลายชั่วยามก่อน แล้วในที่สุด...เสียงฝีม้าก็แว่วมาจากเบื้องหลัง

“มาแล้ว! พวกเขากลับมาแล้ว!” เสียงทหารคนหนึ่งร้องขึ้นขณะชะเง้อมอง

แม่ทัพฮั่วหันขวับ ดวงตาที่ยังไม่ทันพักจับจ้องไปยังร่างของม้าที่ควบฝ่าฝุ่นกลับมา พร้อมผู้ติดตามสองคนที่บรรทุกห่อผ้าเต็มหลัง บนหลังม้าอีกตัวมีชายชราผิวกร้านผมขาวบางขี่มาด้วยสีหน้าหนักแน่นไม่ต่างจากคนหนุ่ม

นายกองหลี่กระโดดลงจากหลังม้าแทบจะทันทีที่ถึง แล้วรีบรายงานต่อแม่ทัพฮั่ว

 “เรียนท่านแม่ทัพ เรานำสมุนไพรและตำรับยากลับมาแล้วขอรับ! ผู้อาวุโสท่านนี้คือหมอเทวดาของหมู่บ้าน เขาเคยรักษาไข้แดดในฤดูร้อนเมื่อสิบปีก่อน!”

ชายชราผู้เป็นหมอเริ่มกล่าวอธิบาย

“สมุนไพรพวกนี้ต้องต้มกับน้ำสะอาดไม่ต้องเคี่ยวมากนัก แล้วให้คนป่วยจิบช้า ๆ ผ้าชุบน้ำให้ใช้ใบทับทิมแช่ร่วมลงไป จะช่วยดูดไอร้อนออกจากผิวเนื้อได้”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าก่อนหันไปสั่งเสียงหนักแน่น 

“แบ่งสมุนไพรเป็นสามส่วน ต้มทันทีทั้งสาม หมอทหารทั้งหมดรวมกับผู้อาวุโส ดูแลการต้มยาไม่ให้ผิดพลาด ซิ่วอิง! เจ้าดูแลกลุ่มที่อาการหนักที่สุด จัดลำดับผู้ป่วยรับยา!”

“รับทราบเจ้าค่ะ!” ซิ่วอิงลุกขึ้นทันที ส่งสัญญาณให้เกาเหยียนไปเตรียมหม้อต้มน้ำจากริมธาร

ไม่นานนัก กลิ่นหอมฉุนแปลกประหลาดของสมุนไพรเริ่มลอยคละคลุ้งทั่วจุดพัก กลิ่นเฝื่อนของรากไม้และใบยาขับกลิ่นเหงื่อและฝุ่นออกไปทีละน้อย 

ซิ่วอิงนั่งอยู่ข้างทหารหนุ่มคนเดิม ใช้ผ้าชุบน้ำใบทับทิมวางบนหน้าผากเขาอย่างเบามือ นางค่อย ๆ ประคองศีรษะเขาขึ้นแล้วหยดยาทีละหยดใส่ปาก คนเจ็บกระตุกเบา ๆ ขณะน้ำยาไหลลงลำคอ จากนั้นจึงเริ่มหายใจช้าลงและลึกขึ้น

เวลาผ่านไปช้า ๆ ดวงตะวันคล้อยต่ำลงจนอาบขอบฟ้าด้วยสีส้มเรื่อ เสียงไอเริ่มเบาลงทีละเสียง เสียงเพ้อเจื้อยเริ่มหายไปจากแนวพัก ชายคนหนึ่งที่หมดสติมาทั้งวันลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วพึมพำเสียงแหบ

“ข้า…อยู่ที่ใด…?”

“เจ้ายังอยู่กับเรา” ซิ่วอิงยิ้มจาง ๆ พลางจับมือนั้นแน่น

เสียงหนึ่งตะโกนจากอีกฟากค่าย

“แม่ทัพขอรับ! นายทหารทางนี้ฟื้นแล้ว! อีกสองคนเริ่มขยับได้แล้วเช่นกัน!”

เสียงแห่งความหวังเริ่มดังขึ้นทั่วแนวพัก ทหารที่ช่วยกันดูแลคนเจ็บต่างเงยหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มมีประกาย หมอทหารยิ้มทั้งที่น้ำตาคลอ เด็กหนุ่มบางคนถึงกับกอดกันกลั้นสะอื้นไม่อยู่

แม่ทัพฮั่วยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่เงียบ ๆ เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงยืนนิ่งใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ปล่อยให้สายลมอุ่นจากภูเขาพัดชายเสื้อเบา ๆ

จากความสิ้นหวังเมื่อชั่วยามก่อน บัดนี้กองทัพต้าฮั่นกลับเริ่มฟื้นตัวเหมือนทุ่งหญ้าที่ฟื้นสีเขียวหลังฝนแรก เมื่อถึงยามหนึ่ง ขณะที่แสงสุดท้ายของวันกำลังจะเลือนหาย แม่ทัพฮั่วก็ออกคำสั่ง

“เตรียมเคลื่อนพลในยามสอง เราจะเริ่มเดินต่อในความมืด...เพื่อหลีกเลี่ยงเปลวแดดของวันใหม่”

ท้องฟ้ายามพลบค่ำกลายเป็นสีม่วงเข้ม เปลวแดดสิ้นสุดลงแล้ว แต่ศึกยังไม่จบ ซิ่วอิงยืนมองเงาของขบวนทัพที่เริ่มขยับอีกครั้งในยามสอง ภายใต้แสงดาวที่เริ่มระยิบ นางสัมผัสได้ถึงเสียงก้าวเท้าที่มั่นคงของเหล่าทหาร แม้ไร้เสียงโห่ร้อง แม้แววตายังหม่นเศร้า ทว่าในทุกย่างก้าวนั้น มีความตั้งใจแน่วแน่ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเจอกับอะไรอีก แต่คืนนี้…พวกเขาจะก้าวไปด้วยกันจนกว่าจะถึงอู๋เว่ย




[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 62262 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-11 23:05
โพสต์ 62,262 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-11 23:05
โพสต์ 62,262 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-11 23:05
โพสต์ 62,262 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +30 คุณธรรม +40 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-11 23:05
โพสต์ 62,262 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +7 คุณธรรม จาก หมวกเกราะทหารใหม่  โพสต์ 2025-6-11 23:05
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x19
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้