[บันทึกการทหาร] : ศึกฉีเหลียงซาน

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-14 23:46:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด







เมื่อล่วงเข้าสู่ยามห้า ความมืดก็เริ่มของเส้นทางบางลง ขอบฟ้าทางตะวันออกปรากฏแสงขาวจาง บ่งบอกว่ารุ่งสางใกล้มาถึง เสียงระฆังยามไกล ๆ ดังแผ่วมาในอากาศ พร้อมกลิ่นควันไฟหุงต้มที่ลอยมาแตะจมูก

แม่ทัพฮั่วชะลอม้า มือขวาชูขึ้นสั่งให้ขบวนหยุด ทหารทุกนายหยุดเท้าอย่างพร้อมเพรียง แววตาทุกคู่จับจ้องไปยังเบื้องหน้า แนวไฟสลัว ๆ ที่วูบไหวอยู่ห่างออกไปราวพันก้าว บ้านหลังเล็กหลังน้อยเริ่มมองเห็นเงาราง ๆ อยู่ท่ามกลางไอหมอก

พวกเขามาถึงอู๋เว่ยแล้ว…

พื้นที่รอบเมืองเป็นที่ราบสูง พื้นดินแข็งกระด้างแตกระแหงเป็นเส้นยาวตัดกันคล้ายรอยร้าวของกระเบื้องเผา ต้นไม้มีเพียงไม่กี่ต้น หญ้าแห้งเกาะอยู่ตามเนินดิน หุบเขาเบื้องหลังทอดตัวสูงชัน เงามืดของมันยังบดบังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น ทำให้เมืองยังคงอยู่ในแสงสลัว กลิ่นฝุ่นแห้งลอยมาตามลม ริมเส้นทางที่เลียบเมืองเป็นดินแข็งบดเรียบจนเห็นรอยล้อเกวียนเก่าที่ทิ้งไว้ เม็ดทรายละเอียดแทรกตัวเข้ามาในรองเท้าและช่องเกราะของทหารทุกคน

แม่ทัพฮั่วมองไปรอบเมือง เส้นขอบฟ้าเบื้องไกลยังแฝงเงาเขาสูงหลายชั้นทอดซ้อนกันราวกับกำแพงธรรมชาติที่ขวางทางไว้ พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่เมืองเสียทีเดียว หากแต่ต้องเดินเลียบไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อหาทางข้ามแนวเขาที่จะนำไปสู่เป้าหมายต่อไป

ดวงตะวันเริ่มเผยให้เห็นเหนือแนวสันเขา แสงสีทองซีดสาดลงกระทบปลายเกราะของทหารทีละคน ขบวนทัพเงียบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่แม่ทัพฮั่วจะออกคำสั่งเสียงเรียบ

“เดินต่อไป เลียบเมืองด้านตะวันตก ห้ามรบกวนชาวบ้าน”

ขบวนทัพเคลื่อนเลียบกำแพงดินของอู๋เว่ย เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารประสานกันเป็นจังหวะ ข้างทางมีชาวบ้านบางกลุ่มออกมายืนมองด้วยแววตาว่างเปล่า บ้างยืนกอดไหล่ตนเองเพื่อบรรเทาความหนาว บ้างปิดจมูกจากฝุ่นที่ลอยกรุ่นมาจากขบวนม้า เด็กเล็กคนหนึ่งจูงมือแม่ออกมายืนริมทาง ดวงตากลมโตของเขามองไปที่ง้าวของซิ่วอิง ก่อนจะหลบตาทันทีเมื่อนางหันมามองตอบ 

แต่ไม่นานนักความสงบของเช้าวันใหม่ก็ถูกสั่นคลอน เสียงร้องของม้าในแถวท้ายขบวนดังขึ้นแหลมสูงอย่างไม่ปกติ ตามมาด้วยเสียงตะโกนของทหารหลายนาย

“ม้าล้ม! มีหลุมยุบใต้พื้นทาง!”

“ระวัง! พื้นไม่แน่น!”

แม่ทัพฮั่วหันขวับสีหน้าเคร่งขรึม เขาเร่งม้าไปยังแนวหลังขบวนทันที

พื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นดินร่วนผสมทรายซึ่งดูแน่นจากภายนอก แต่กลับกลวงข้างใน ร่องล้อเกวียนเก่าที่ฝังครึ่งหนึ่งในดินเป็นสิ่งเดียวที่บอกให้รู้ว่า ที่นี่อาจเคยเป็นร่องน้ำเก่าในฤดูฝน หรือไม่ก็เส้นทางชลประทานโบราณที่ถูกปล่อยทิ้งไว้

ทหารสองนายกับม้าของพวกเขาพลัดตกลงไปในหลุมดินกว้างราวสองช่วงตัว พื้นดินร่วนซุยถล่มลงมาเกือบครึ่งหลังล้อเกวียนที่อยู่ใกล้กันเอียงกระเท่เร่ เสียงม้าครางฮืดฮาดดิ้นรนอย่างเจ็บปวด ขาหน้าข้างหนึ่งจมหายอยู่ใต้เศษดิน

“ช่วยม้าออกมาเร็ว! พยุงคนเจ็บไปอีกด้าน!” นายกองหลี่ตะโกนลั่นก่อนจะโดดลงจากม้าเข้าช่วยทันที

ซิ่วอิงกระโจนตามลงไปโดยไม่ลังเล คว้าง้าวมาปักพื้นเป็นหลักให้รั้งเชือก จากนั้นทหารอีกสามนายรีบมัดเชือกเข้ากับอกม้าตัวที่ติดอยู่แล้วร่วมกันออกแรงดึง

เสียงสั่งประสานกันดังต่อเนื่อง

“หนึ่ง...สอง...ยก!”

“อีกหน่อย! ระวังล้อเกวียนจะพลิก!”

ท้ายที่สุดม้าตัวนั้นก็ถูกดึงออกมาได้สำเร็จ แม้จะมีแผลถลอกและขาเจ็บ แต่ยังสามารถพยุงตัวได้ โชคยังดีที่ขาไม่หัก

ขณะทุกคนกำลังจะประเมินความเสียหาย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากแนวพุ่มด้านข้าง

“หลีกเส้นทางนั่นเถิดท่าน มันไม่ปลอดภัย”

ชายวัยกลางคนในชุดชาวบ้านยืนอยู่ใต้เงาไม้ห่างออกไปราวสิบก้าว มือข้างหนึ่งถือคันเบ็ดผุ ๆ อีกข้างมีถุงตาข่ายห้อยปลาขนาดเล็กสองสามตัว

แม่ทัพฮั่วหันไปมองชายผู้นั้น 

“ท่านรู้หรือว่าเส้นทางนี้เป็นอย่างไร?”

“ข้าผ่านแถวนี้บ่อย” ชาวบ้านตอบ “พื้นใต้ตรงนั้นเป็นทางน้ำเก่าที่เคยใช้หล่อเลี้ยงไร่ฝั่งเหนือเมื่อสิบปีก่อน เดี๋ยวนี้มันแห้งไปนานแล้ว ดินทรายก็กลวงแต่ผิวหน้าดูแน่นเฉย ๆ หลายคนเคยติดล้อเกวียนตรงนี้มาแล้วขอรับ”

แม่ทัพฮั่วนิ่งฟังชายผู้นั้น ดวงตาคมเข้มสะท้อนแววตรึกตรองอย่างลึกซึ้ง เขากวาดสายตามองพื้นตรงหน้าอีกครั้ง คล้ายจะมองทะลุลงไปใต้ชั้นดินที่ดูปกติแต่แท้จริงแล้วอันตรายยิ่ง

“ท่านชื่ออะไร?” เขาถามเสียงเรียบ

“ข้าชื่อหูเหว่ยขอรับ เป็นชาวประมงอยู่แถบตะวันตกของเมืองนี้” ชายชาวบ้านผู้นั้นตอบ

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าช้า ๆ ก่อนหันไปทางนายกองหลี่

“เบนเส้นทางตามแนวที่ชาวบ้านผู้นี้แนะนำ ให้คนตรวจสอบผิวดินทุกย่างก้าวจนกว่าจะพ้นแนวชั้นดินร่วน”

“รับคำสั่งขอรับ!”

เขาหันกลับไปทางชายชาวบ้าน

“ท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าหากเลี่ยงเส้นนี้เราควรผ่านแนวใดถึงจะเข้าสู่เชิงเขาได้เร็วที่สุด”

หูเหว่ยพยักหน้า ก่อนชี้มือไปทางแนวเนินเตี้ยที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ

“เส้นนั้นมีทางดินแข็งที่พวกคนเลี้ยงแพะใช้ขึ้นเขาอยู่เป็นประจำ ถึงจะคดเคี้ยวหน่อยแต่ไม่ทรุดแน่นอนขอรับ ข้ามีเวลานำทางอยู่ครึ่งวัน หากท่านประสงค์”

แม่ทัพฮั่วหันไปสบตากับซิ่วอิงแวบหนึ่ง นางพยักหน้าเบา ๆ แววตายืนยันเช่นกันว่าควรรับข้อเสนอนี้

“ดี” แม่ทัพกล่าวสั้น ๆ “ท่านนำขบวนไป เราจะออกเดินอีกครั้งทันทีเมื่อขนย้ายคนเจ็บเสร็จ”

หลังจากคำสั่งของท่านแม่ทัพ ขบวนทัพจึงหยุดอยู่ตรงนั้นอีกระยะหนึ่งเพื่อจัดทัพใหม่ เสบียงในเกวียนที่เอียงบางส่วนต้องย้ายถ่ายกลับขึ้นเกวียนอีกคัน ม้าตัวที่บาดเจ็บถูกส่งไปยังท้ายแถวโดยให้ทหารเดินเคียงคุมตลอดทาง ซิ่วอิงเดินตรวจข้าวของอย่างเงียบ ๆ ก่อนมองไปยังหูเหว่ยที่ยืนรออยู่ไม่ห่างนัก

นางเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยเบา ๆ 

“ขอบคุณที่เตือนนะเจ้าคะ”

ชายชาวบ้านยิ้มบาง ๆ

“ทางดินอู๋เว่ยมันก็เหมือนใบไม้แห้งนั่นแหละแม่นาง เหยียบผิดจังหวะนิดเดียวก็ร่วงขาด พวกท่านเป็นทัพหลวง เดินผิดที่ผิดทางความเสียหายคงมิใช่น้อยเลย”

ขบวนทัพเดินต่อไปตามทางดินแข็งที่หูเหว่ยนำหน้า แสงแดดยามเช้าค่อย ๆ ทะลุทะลวงม่านหมอกเผยให้เห็นแนวเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า สายลมเริ่มแรงขึ้นเมื่อความสูงของทางเพิ่มทีละน้อย ด้วยความที่เดินทางมาเกือบทั้งคืนโดยแทบไม่ได้หยุดพัก บัดนี้เหล่าทหารเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาทีละน้อย เสียงถอนหายใจเริ่มหนาหูขึ้น บางนายหันมามองแม่ทัพฮั่วเป็นระยะ คล้ายอยากร้องขอเวลาพักแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ย

แม่ทัพฮั่วขี่ม้าอยู่หน้าขบวน ดวงตาทอดมองไปยังแนวเขาที่ใกล้เข้ามาอย่างไม่ลดละ แม้รู้ว่ากำลังพลอ่อนแรงแต่เขาก็ยังไม่ส่งสัญญาณให้หยุด

“ข้าเห็นร่มไม้ที่เนินด้านนั้น” หูเหว่ยหันมากล่าว พลางชี้ไปยังจุดที่แนวต้นไม้รวมกลุ่มกันใต้หุบเล็ก ๆ “พวกคนเลี้ยงแพะมักใช้พักกลางวัน เส้นทางไม่ชันเกินไป มีแหล่งน้ำตื้นอยู่ใกล้ ๆ ด้วยขอรับ”

ฮั่วชวี่ปิ้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนพยักหน้า

“หยุดพักที่นั่น”

ขบวนทัพเคลื่อนไปยังลานเล็กใต้ร่มไม้ ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ทหารบางนายทรุดตัวนั่งกับพื้นทันทีโดยไม่ต้องบอก ท่อนแขนบางคนสั่นเล็กน้อยจากความเมื่อยล้า ม้าหลายตัวก็หอบหายใจแรง ซิ่วอิงปาดเหงื่อบนใบหน้า ก่อนหันไปตรวจหีบเสบียงที่เพิ่งย้ายมาจากเกวียนที่เสียหาย

เกาเหยียนเดินเข้ามา มือหนึ่งถือกระบอกน้ำ อีกมือปาดเหงื่อจากหน้าผาก

“น้ำขอรับท่านแม่ทัพ” เขากล่าวกับฮั่วชวี่ปิ้ง “ข้าก็สงสัยอยู่พอดีว่าทำไมท่านไม่ให้หยุดพักเสียที หากเดินทางในสภาพนี้ต่อไปอีกครึ่งวัน ขบวนอาจหมดแรงก่อนถึงช่องเขาเสียด้วยซ้ำ”

แม่ทัพฮั่วไม่ตอบในทันที เขาเพียงรับน้ำมาดื่มนิดหน่อยแล้วส่งกระบอกน้ำกลับไปให้เกาเหยียนพลางทอดสายตามองรอบพื้นที่พัก จุดแหล่งน้ำตื้นที่หูเหว่ยบอกนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว พอเพียงให้ทหารผลัดกันไปตักน้ำ ล้างหน้า หรือให้น้ำม้าได้

“เราจะพักที่นี่หนึ่งชั่วยาม” เขากล่าวในที่สุด “ให้คนผลัดเวรนอนพัก บรรจุข้าวสารต้มน้ำร้อน ให้ม้ากินหญ้าแล้วลูบตัวให้คลายกล้ามเนื้อ ข้าจะจัดหน่วยเล็กออกไปสำรวจแนวทางขึ้นเขา เผื่อพรุ่งนี้เกิดฝนตก ทางอาจลื่นจนใช้ไม่ได้”

เกาเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ก่อนหันไปมองซิ่วอิง

“ลูกพี่ก็ไปพักบ้างเถอะ ข้าเห็นลูกพี่ลงไปช่วยลากม้าทั้งตัวอย่างนั้น ขืนฝืนอีกมีหวังได้เป็นคนเจ็บคนต่อไปแน่ ๆ เลย”

ซิ่วอิงส่ายหน้าช้า ๆ

“ข้ายังไม่เหนื่อยเท่าไรนัก เดี๋ยวจะไปล้างหน้าแล้วไปดูทหารที่บาดเจ็บเสียหน่อย”

ขณะที่ซิ่วอิงเดินเลี่ยงจากลานพักไปยังลำธารเล็กใกล้จุดแหล่งน้ำ เสียงรอบข้างเริ่มเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมเบา ๆ กับเสียงน้ำไหลเอื่อย นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ แล้วก้มลงใช้มือตักน้ำล้างหน้า ความเย็นของสายน้ำช่วยปลุกให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้าง

ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบ้างคน และพบว่าหูเหว่ยยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ใบหน้ายังยิ้มละมุน ดวงตาดูไม่เป็นพิษภัย

“แม่นางล้างหน้าหรือ?” เขาถามเสียงเบาและยิ้มอย่างเป็นมิตร

ซิ่วอิงพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมองเขาผ่านเงาในน้ำ ก่อนลุกขึ้นบิดผ้าเช็ดหน้า

“ท่านมาตักน้ำหรือ?”

หูเหว่ยยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น รอยยิ้มไม่เปลี่ยน 

“ข้าแค่แวะมาดูแถวนี้กลัวจะเกิดอันตราย ข้าชินทางแถวนี้ดี ไม่อยากให้พวกท่านพลัดตกหลุมอีก”

“งั้นท่านก็ควรอยู่กับหน่วยนำทางสิ”

หูเหว่ยหัวเราะเบา ๆ ราวกับคำพูดของซิ่วอิงเป็นเพียงการหยอกล้อ

“แม่นางมีไหวพริบดีจริง ๆ ข้าก็แค่ห่วง ดูท่านเหนื่อยล้านัก ข้าสงสัยจริงว่าทำไมแม่ทัพถึงไม่ให้หยุดทัพเร็วกว่านี้ ทั้งที่พอเห็นสภาพทหารแล้วก็น่าจะรู้แล้ว”

ถ้อยคำฟังดูเป็นห่วงแต่แฝงอะไรแปลก ๆ ไว้ในนั้น ซิ่วอิงชะงักเล็กน้อย พลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

“ท่านแม่ทัพย่อมมีเหตุผลเจ้าค่ะ” นางตอบอย่างระวัง “การเดินทัพต้องดูหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าของทหาร”

หูเหว่ยพยักหน้า ช้า ๆ คล้ายเห็นด้วยแต่ไม่จริงจัง

“แน่นอน...แน่นอนว่าทุกอย่างมีเหตุผล” เขายิ้มอีกครั้ง “แต่บางครั้งคนที่อยู่สูง ก็อาจมองข้ามสิ่งเล็กน้อยไป อย่างเช่นหลุมดินพวกนั้น ถ้าข้าไม่ผ่านมา ทัพของท่านอาจเสียไปมากกว่านี้ก็ได้”

ซิ่วอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ความรู้สึกประหลาดแผ่ซ่านขึ้นในอก แม้คำพูดเขาจะไม่ผิดนัก แต่มีบางอย่างในน้ำเสียงและแววตาของหูเหว่ยที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ มันไม่ใช่แค่ความหวังดีธรรมดา แต่คล้ายการหยั่งเชิง หรือซ่อนบางอย่างไว้

“ข้าจะกลับไปดูทหารที่บาดเจ็บ” ซิ่วอิงเอ่ยเบา ๆ พลางก้าวถอยมาเล็กน้อยอย่างสุภาพ แต่ระวังตัว

หูเหว่ยไม่ได้ขวาง เพียงยิ้มบาง ๆ แล้วผงกหัวให้

“แม่นางโปรดระวังทางด้วย” เขากล่าว “บางครั้งแม้แต่ทางที่มั่นคงที่สุด...ก็อาจพังลงเมื่อคนที่เดินอยู่บนนั้นไม่รู้ว่ากำลังจะเหยียบตรงไหน”

ซิ่วอิงหยุดชั่ววูบที่ได้ยินประโยคนั้น หัวใจนางเต้นแรงโดยไม่รู้สาเหตุ นางเหลือบตามองกลับไปแวบหนึ่ง ก่อนเดินกลับอย่างไม่พูดอะไรอีก บางทีก็แอบคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าตาหูเหว่ยคนนี้มันแปลก ๆ อยู่นะ...



@Admin 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 48049 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-14 23:46
โพสต์ 48,049 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-14 23:46
โพสต์ 48,049 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-14 23:46
โพสต์ 48,049 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-14 23:46
โพสต์ 48,049 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +15 ความโหด จาก นักสู้  โพสต์ 2025-6-14 23:46
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-16 23:06:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด







ยามดึกในคืนนั้น ท้องฟ้ามืดสนิท มีเพียงแสงดาวเลือนรางส่องผ่านม่านเมฆหนาทึบ ลมกลางคืนพัดเอื่อยผ่านยอดไม้ ทิ้งเสียงหวีดเบา ๆ ไว้ในอากาศอันเงียบงัน ทหารส่วนใหญ่ยังหลับใหลอยู่ในผ้าห่มผืนบาง รอบกองไฟที่มอดลงแล้ว เหลือเพียงเปลวแดงเรื่อ ๆ กับควันจางที่ลอยเอื่อยขึ้นสู่อากาศเย็นชื้น

ซิ่วอิงนอนไปได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความกระวนกระวาย นางดึงผ้าคลุมไหล่มาห่มตัวหลวม ๆ แล้วเดินออกมานั่งชันเข่าอยู่ข้างกองไฟ แสงไฟวูบไหวสะท้อนบนใบหน้าเงียบขรึม ดวงตาของนางจ้องมองเปลวไฟนิ่งงัน แต่ทว่าใจกลับล่องลอยไปไกลนัก...

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นไม่ไกลนัก เกาเหยียนเดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับส่งถุงน้ำอุ่นให้

“ลูกพี่...ไม่นอนต่ออีกหน่อยหรือ” เขาถามเสียงเบา “ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลยนะ”

ซิ่วอิงรับถุงน้ำมาแนบมือ มองเปลวไฟนิ่ง ๆ ก่อนตอบเสียงแผ่ว

“ข้านอนไม่หลับ...มีเรื่องบางอย่างติดใจข้าอยู่”

เกาเหยียนมองนาง ก่อนพยักหน้าช้า ๆ 

“เรื่องของชาวประมงนั่นน่ะหรือ?”

ซิ่วอิงพยักหน้าช้า ๆ ดวงตายังคงไม่ละจากเปลวไฟ

“เจ้าว่ามันแปลกไหม...ที่ชายชาวบ้านคนหนึ่งจะโผล่มาเตือนพวกเราได้ถูกจังหวะ รู้ดีไปเสียทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งจุดที่ดินจะยุบ ทั้งที่ชาวบ้านแท้ ๆ ที่เราเจอระหว่างทางยังไม่รู้เท่าเขาเลย”

เกาเหยียนขมวดคิ้ว 

“ข้าก็เคยสงสัย แต่บางทีเขาอาจเป็นคนท้องถิ่นจริง ๆ ล่ะมั้ง ผ่านมาหลายปีก็ย่อมรู้ทางดีกว่าคนทั่วไปก็เป็นได้นะขอรับ”

ซิ่วอิงหันมาสบตาเขา ก่อนกล่าวเบา ๆ

“ข้าคงคิดมากไปเองล่ะมั้ง…”

“เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจของลูกพี่ ข้าจะคอยจับตาดูเขาไว้เองขอรับ”

ซิ่วอิงลุกขึ้น พับผ้าคลุมพาดบ่าไว้ ก่อนเอ่ยเบา ๆ 

“เดี๋ยวข้าไปตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่เผื่อเดินทางช่วงสาย อีกไม่กี่ยามก็เช้าแล้ว” 

นางหมุนตัวเดินลัดผ่านแนวกระโจมไปยังลำธารใกล้ ๆ พอถึงริมธารก็หย่อนกระบอกไม้ไผ่ลงในน้ำเย็นที่ไหลเอื่อย ๆ ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นซิ่วอิงก็ชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง

ในเงาพุ่มไม้ถัดจากธารไปเล็กน้อย นางเห็นเงาร่างของหูเหว่ย เขาเดินอย่างระมัดระวังท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ คอยหันมองรอบด้านเป็นระยะ ก่อนจะเลี้ยวลึกเข้าไปในแนวไม้เบื้องหลังจุดพักทัพ

ซิ่วอิงเบิกตานิด ๆ ความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อวานหวนกลับมาทันที นางวางกระบอกน้ำลงเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ย่องตามเขาไปในเงาไม้ ไม่ให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย นางหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนาทึบ เงี่ยหูฟังพลางแหวกกิ่งไม้เล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น

เบื้องหน้าไม่ไกลนัก หูเหว่ยหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีชายสวมผ้าคลุมสีหม่นยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขาเป็นคนรูปร่างผอมสูง ใบหน้าถูกบดบังด้วยผ้าปิดปาก เสียงสนทนาดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดพอให้ซิ่วอิงได้ยิน

“ข้าทำเท่าที่ทำได้แล้ว เจ้าอย่าลืมสัญญาล่ะ ปล่อยลูกเมียข้า…”

แต่แทนที่ชายปริศนาจะตอบรับคำ เขากลับหัวเราะในลำคอ

“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองอะไรในตอนนี้หรือ หูเหว่ย?” ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้หูเหว่ยอีกครึ่งก้าว “เจ้าก็รู้ดีว่าที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็เพราะเจ้ายังทำตัวมีประโยชน์ แต่หากเจ้าพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็อย่าหวังว่าจะได้แม้แต่กระดูกพวกเขากลับไปฝังเลย”

“คืนนี้ในยามสาม ข้าจะเปิดทางตรงท้ายคลังเสบียง พวกเจ้าต้องรีบลงมือให้ไว ก่อนที่เวรยามจะผลัดเปลี่ยน ข้าคำนวณแล้วจะมีช่องว่างราวครึ่งชั่วยาม”

ชายสวมผ้าคลุมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ

“ดี...พอพวกเราตัดเสบียงได้ กำลังทัพพวกมันก็จะสะเทือนและทัพหลวงก็จะล่มภายในไม่กี่วัน”

ชายสวมผ้าคลุมยืนหลังตรง แววตาแข็งกร้าวใต้เงาผ้าคลุมที่บดบังครึ่งใบหน้าราวกับคมมีดที่ซ่อนคมอยู่ในปลอก

“เจ้าทำหน้าที่ได้ดี หูเหว่ย” เสียงของเขาเย็นเยียบ “พวกมันยังไม่ระแคะระคายอะไรเลยสินะ?”

หูเหว่ยพยักหน้าเบา ๆ 

“ไม่มีใครสงสัยข้า...ยกเว้นทหารหญิงคนหนึ่งนางชื่อซิ่วอิง ดูเหมือนนางจะจับตามองข้าอยู่”

“ซิ่วอิงงั้นหรือ…” เขาทวนชื่อช้า ๆ “ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ”

“นางเป็นทหารยศเล็ก ๆ ในกองทัพ แต่ดูท่าทางฉลาดใช่ย่อย”

“จับตาดูนางไว้ อย่าให้นางทำเสียเรื่อง”

ซิ่วอิงเม้มปากแน่น หัวใจเต้นแรงในอก เสียงของชายผู้นั้นเย็นเยียบเสียจนทำให้อากาศรอบตัวนางคล้ายเย็นลงตาม ขณะที่หูเหว่ยก้มหน้าสั่นเล็กน้อยอย่างจนตรอก

“ก็ได้…ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง” หูเหว่ยพูดเสียงแผ่ว “แต่เจ้าต้องรักษาคำพูดนะ”

ชายลึกลับหัวเราะเบา ๆ อีกครั้ง ไม่ได้ให้คำมั่นอะไร ก่อนจะหันหลังเดินหายไปในเงาไม้ เสียงฝีเท้าหายลับไปพร้อมกับความมืดระหว่างต้นไม้ ซิ่วอิงรีบเบี่ยงตัวหลบลึกเข้าไปในพุ่มไม้ เฝ้าดูจนแน่ใจว่าทั้งสองคนแยกย้ายกันแล้วจึงค่อย ๆ ย้อนกลับทางเดิม

ซิ่วอิงรีบสาวเท้าเบา ๆ พุ่งกลับค่ายอย่างระมัดระวัง หัวใจนางเต้นแรงไม่หยุด ความหนาวยามเช้าที่ปกติแล้วไม่เคยทำให้สะท้านสักนิด คราวนี้กลับแทรกซึมเข้าทุกอณูผิวอย่างน่าประหลาด

เมื่อกลับถึงแนวกระโจม นางมิรอช้ารีบมุ่งหน้าไปยังกระโจมของแม่ทัพฮั่วทันที โดยไม่แม้แต่จะกลับไปเก็บกระบอกน้ำที่ลืมไว้ริมน้ำ ทหารยามหน้ากระโจมแม่ทัพขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นนางมา

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ป่านนี้?”

“ข้ามีเรื่องด่วนต้องเข้าพบท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้!” ซิ่วอิงเอ่ยน้ำเสียงจริงจังจนอีกฝ่ายไม่กล้าตั้งข้อกังขา เพียงพยักหน้าแล้วขยับผ้าม่านให้

ภายในกระโจม แม่ทัพฮั่วแต่งกายเรียบง่ายแม้จะเป็นยามเช้ามืด เขากำลังนั่งพิจารณาแผนที่บนโต๊ะ และหรี่ตามองขึ้นเมื่อเห็นซิ่วอิงก้าวเข้ามา

“มีเรื่องอะไรหรือ?” เขาถามเรียบ ๆ

ซิ่วอิงคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญมาเรียนท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ เกี่ยวกับชายชาวบ้านหูเหว่ยกับบุคคลปริศนาที่ดูเหมือนว่ามีแผนร้ายบางอย่าง”

แม่ทัพฮั่วชะงักมือที่วางบนแผนที่ แววตาเปลี่ยนเป็นดุดันทันที

“พูดมาให้ละเอียด”

ซิ่วอิงสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวต่อ

“เมื่อครู่ ข้าน้อยพบหูเหว่ยลอบออกจากค่ายพักแรมไปยังแนวไม้ด้านหลัง ข้าน้อยเห็นเขาแอบพบกับชายผู้หนึ่ง รูปร่างสูงผอมคลุมหน้าคล้ายสายลับ พวกเขาเจรจาบางอย่างกัน...ข้าได้ยินชัดทุกถ้อยคำเจ้าค่ะ”

นางเล่าทุกอย่างอย่างละเอียด ตั้งแต่คำสนทนา การนัดหมาย เวลา และแผนการตัดเสบียงของกองทัพ หลักฐานแม้ยังไม่มีเป็นชิ้นเป็นอัน แต่คำพูดที่นางจดจำได้นั้นก็น่าจะพอเป็นหลักฐานได้บ้างไม่มากก็น้อย

แม่ทัพฮั่วฟังอย่างไม่ขัดจังหวะ สีหน้าเขาขรึมขึ้นเรื่อย ๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือไพล่หลังขณะเดินไปหน้ากระโจม ครู่หนึ่งก็หันกลับมา

“เจ้ามั่นใจในสิ่งที่ได้ยินหรือไม่?”

“ข้าน้อยขอสาบานต่อธงกองทัพ หากข้าน้อยโกหกแม้เพียงครึ่งคำ ขอให้ข้าต้องตายในสนามรบไม่พบแม้แต่ร่างกลับมาเจ้าค่ะ!”

แม่ทัพฮั่วเงียบไปอึดใจ ก่อนออกคำสั่งเสียงเข้ม

“หรงซิ่วอิง เจ้านำข้าไปยังจุดที่เกิดเหตุทันที เกาเหยียน!” เขาเรียกเสียงดัง ชายหนุ่มอดีตโจรกลับใจรีบพรวดพราดเข้ามาแทบจะทันที “ตามข้าไปด้วย”

“พวกเราจะไม่ให้โอกาสศัตรูลงมือก่อน”




ยามสามในคืนนั้น…

ฟ้ายังมืดสนิท แสงจันทร์เพียงเสี้ยวถูกเมฆหนาบดบังจนแทบมองไม่เห็นมือของตนเอง ลมกลางคืนพัดเอื่อย ๆ พาเอากลิ่นชื้นและกลิ่นไม้เปียกปะปนกับความเงียบที่น่าอึดอัดยิ่ง

เงาร่างหนึ่งโผล่มาจากแนวต้นไม้ตามนัดหมาย นั่นคือ…หูเหว่ย เขาเดินอย่างระมัดระวัง เงี่ยหูฟังอยู่ตลอดทาง ก่อนจะยกมือทำสัญญาณเบา ๆ ไปยังความมืดด้านหลัง และแล้วไม่นาน เงาคนอีกห้าถึงหกร่างก็ปรากฏขึ้น พวกมันแต่งกายคล้ายชาวบ้าน แต่ถืออาวุธเบาและกระบอกไม้ไผ่ที่ยัดฟางแห้งกับเศษผ้าชุ่มน้ำมันหมูไว้ในมือ

พวกมันเคลื่อนไหวรวดเร็วแต่เงียบกริบ แทรกตัวเข้าใกล้แนวคลังเสบียงที่ไม่มีเวรยามเฝ้าอย่างผิดสังเกต ทุกอย่างเป็นไปตามแผน หูเหว่ยกวาดตามองซ้ายขวาก่อนพยักหน้าให้ชายที่ถือคบเพลิงเตรียมจุดไฟ

“หยุดนะ!”

เสียงหญิงสาวดังขึ้นเฉียบพลัน แทรกกลางความเงียบอย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกคนชะงักหันขวับไปยังต้นเสียง ก่อนจะพบซิ่วอิงที่ยืนอยู่ใต้เงาไม้ 

“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ…คิดจะเผาเสบียงหรือ?!”

หูเหว่ยหน้าซีดเผือด แต่ชายในผ้าคลุมกลับหัวเราะขึ้น

 “ข้าเตือนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือหูเหว่ย ว่าแม่นี่จะเป็นปัญหา”

เขายกมือขึ้น

“ฆ่านาง!”

พวกชายชุดชาวบ้านพุ่งเข้าหาซิ่วอิงทันที นางก้าวเท้าแยกออก ง้าวถูกเหวี่ยงหมุนออกจากบ่าในชั่วพริบตา เสียงคมเหล็กผ่าลมวูบดังก้อง ฝ่ามือที่แน่นิ่งเมื่อครู่พลันวาดออกอย่างมีพลัง ง้าวฟาดเฉียงลงใส่ไม้พลองของศัตรูจนปลายหักกระเด็น ซิ่วอิงใช้จังหวะนั้นหมุนตัวเป็นวง ตวัดด้ามกลับสกัดการโจมตีจากด้านหลัง ก่อนกระแทกด้านทู่เข้ากับลำตัวอีกคนจนล้มกลิ้ง แต่พวกศัตรูก็ยังคงได้เปรียบด้านจำนวน ซิ่วอิงเริ่มแสดงอาการอ่อนแรงเล็กน้อย แรงเหวี่ยงของง้าวช้าลงเล็กน้อย นางเริ่มถอยหลังหายใจหนัก

ชายในผ้าคลุมสบโอกาส พุ่งเข้าด้านข้าง ใช้กระบี่แทงเฉียดชายเสื้อ แล้วใช้แรงผลักกระแทกซิ่วอิงให้เสียหลักล้มลงกับพื้น ง้าวหลุดจากมือก่อนที่กระบี่นั้นจะจ่ออยู่ที่คอของนาง 


หูเหว่ยดูร้อนรนเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าซิ่วอิงเสียท่าให้กับคนร้ายเสียแล้ว ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยได้แต่พูดออกไป

“เจ้าทำไมต้องมายุ่งด้วยเนี่ย...!?”

ชายในชุดคลุมยืนคร่อมอยู่เหนือนางพร้อมยิ้มเยาะ มืออีกข้างถือคบเพลิงอยู่ในมือคว้าเอาคบเพลิงจากลูกน้องมา

“เห็นหรือยังว่าผู้หญิงคนเดียวมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้? ข้าจะเผาคลังนี้ให้วอด แล้วทัพเจ้าก็จะอดตาย เป็นโชคดีของเจ้าที่คงไม่ทันได้อดตายเพราะคงจะโดนฆ่าปลิดชีพก่อนเป็นคนแรก”

เขาชูคบเพลิงขึ้นสูงเตรียมขว้างใส่กองฟางแห้ง กระบอกไม้ไผ่ที่ยัดฟางแห้งกับเศษผ้าชุ่มน้ำมันหมูก็เริ่มเตรียมจุดจากจุดต่าง ๆ ที่มีคนยืนอยู่ แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังคงมัวแต่ให้ความสนใจซิ่วอิงที่กองอยู่บนพื้น

ซิ่วอิงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนเงยหน้าขึ้น ดวงตาฉายแววที่เปลี่ยนไป

“เจ้าพูดถูกอยู่ข้อหนึ่ง…ข้าคนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันของชายสวมผ้าคลุมเริ่มแผ่วลงเล็กน้อย

“แต่เจ้ารู้ไหมว่าพวกเจ้าพลาดตรงไหน?”

ซิ่วอิงตวัดสายตามองไปรอบกองฟางอย่างจงใจ แล้วสบตาเขาเต็ม ๆ

“พวกเจ้า…ติดกับแล้วต่างหาก!”

ทันใดนั้นเองเสียงสัญญาณแหลมสูงของแตรศึกก็ดังแหวกอากาศขึ้นจากด้านข้าง

แสงเพลิงพุ่งวาบขึ้นจากรอบแนวไม้ในสี่ทิศ ขณะที่เสียงฝีเท้าทหารหลวงจำนวนมากกู่ตะโกนบุกเข้ามาจากทุกด้าน พุ่มไม้รอบด้านแตกกระจายด้วยแรงเคลื่อนของทหารในชุดเกราะเต็มยศ เปลวไฟจากคบเพลิงของฝ่ายซิ่วอิงสาดเงาไหววูบวาบไปทั่วแนวคลัง

“จับมันไว้! อย่าให้หนีแม้แต่คนเดียว!”

เสียงคำรามดังกึกก้อง พร้อมกับเกาเหยียนที่พุ่งนำเข้ามา เขาฟันกระบี่ออกไปจนคนร้ายในชุดชาวบ้านล้มกลิ้งไปคนหนึ่ง ก่อนตะโกน

“ลูกพี่! ถ่วงเวลาได้เยี่ยมเลย!!”

ซิ่วอิงตวัดขาด้านข้าง กระแทกหัวเข่าใส่หน้าท้องชายสวมผ้าคลุมจนเขาสะดุ้งเฮือกและเผลอลดกระบี่ลง ชั่วพริบตานั้น นางลุกพรวดขึ้น คว้าง้าวที่ตกอยู่ข้างตัวกลับมาในมืออย่างเชี่ยวชาญ ง้าวในมือของนางฟาดเป็นวงกว้าง ปัดคบเพลิงในมือศัตรูจนหล่นกระแทกพื้น เสียงไฟวูบดับดัง ฟู่! จากนั้นจึงวาดง้าวกลับมาเงื้อเหนือหัว จ้องชายในผ้าคลุมด้วยแววตาเย็นเฉียบ

“เมื่อครู่เจ้าว่าข้าทำอะไรไม่ได้คนเดียวใช่หรือไม่?...ทีนี้ลองพูดใหม่อีกครั้งตอนที่เจ้าถูกล้อมด้วยทหารหลวงดูสิ…”

ชายในผ้าคลุมกัดฟันแน่น หันมองซ้ายขวา เห็นทหารหลวงเริ่มไล่บุกเข้าประชิด เหล่าพรรคพวกของเขาถูกจับหรือถูกปราบไปครึ่งหนึ่งในเวลาไม่ถึงสิบอึดใจ

เขาถอยหลังหนึ่งก้าวพยายามหาทางหนี แต่เงาของแม่ทัพฮั่วก็ก้าวออกมาจากความมืดข้างหลัง

“ยังจะหนีอีกหรือ?” เสียงของแม่ทัพนั้นฟังดูทรงอำนาจยิ่ง “หรือเจ้าจะเลือกตายตรงนี้แทน?”

ชายในผ้าคลุมสบถในลำคอ ก่อนพุ่งตัวหนีไปอีกทาง ทว่าซิ่วอิงกลับขยับตัวก่อน เขย่งปลายเท้าเพียงก้าวเดียว ง้าวในมือนางพุ่งฉวัดเฉวียนเฉียดไหล่ของชายผู้นั้นอย่างแม่นยำ เพียงเสียง ฉวับ! คมง้าวก็ตัดผ้าคลุมของเขาขาดหลุด เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงภายใต้เงาผ้า

ใต้เงาผ้าคลุมนั้นคือใบหน้าผอมผิวกร้านเต็มไปด้วยรอยแผลเก่า จมูกเบี้ยวเล็กน้อยเหมือนเคยหักมาก่อน คิ้วหนาเข้มกับดวงตาคมลึกชวนให้ขนลุก ใบหน้าที่ดูเหมือนคนคุ้นเคยในอดีต…แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่เหมือนแม่ทัพฮั่วจะจำได้ทันทีที่สบตาเขา

“ลี่เทียน!” แม่ทัพฮั่วเอ่ยชื่อเสียงกร้าว “ข้าไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นเจ้ากลับมาอีก!”

เสียงรอบตัวเหมือนเงียบลงเพียงชั่วพริบตา ทุกสายตาหันมองชายผู้นั้นเป็นตาเดียว รวมถึงเหล่าทหารที่เคยได้ยินนามนี้แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง ลี่เทียน…ชื่อที่เคยเป็นตำนาน และเป็นตราบาปของกองทัพหลวง

ชายผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ สีหน้าหาได้หวาดหวั่นไม่

“ในที่สุด…ก็มีคนจำข้าได้เสียที” เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “แปลกดี…ที่คนเราพอหายไปเพียงไม่กี่ปี ทุกอย่างก็ถูกลืมหมดสิ้น”

แม่ทัพฮั่วก้าวมาอีกครึ่งก้าว แววตาคมกริบจับจ้องชายเบื้องหน้าไม่วางตา

“ข้าไม่นึกเลยว่าจะได้เห็นหน้าเจ้ากลับมาอีก ลี่เทียน…”

เขาเว้นวรรคเพียงอึดใจ ก่อนกล่าวต่อเสียงหนักแน่น

“เจ้าถูกถอดยศ ไล่ออกจากกองทัพ และถูกเนรเทศไปชายแดนตะวันตกเมื่อสามปีก่อน ฐานเข้าร่วมกับกบฏ…เหตุใดเจ้าจึงมาโผล่ที่นี่ได้?”

“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานแค่ไหนหลายปีมานี้ กว่าจะรอดจากแดนนรกนั่นมาได้ เหมือนว่าสวรรค์จะเข้าข้างข้าและให้โอกาสได้แก้แค้น”

แม่ทัพฮั่วฟังคำพูดนั้นแล้วกลับไม่ตอบในทันที เขามองลี่เทียนด้วยแววตาเยือกเย็น ความทรงจำเมื่อสามปีก่อนแล่นเข้ามาในหัว เขาจำได้ดีว่าเคยเคารพลี่เทียนราวกับพี่ชายร่วมรบ แต่ก็เป็นลี่เทียนคนเดียวกันที่ทรยศแผ่นดินและทำให้ทหารร่วมกองหลายร้อยชีวิตต้องสังเวยเพราะแผนลวงของเขา

“แก้แค้นหรือ?” แม่ทัพฮั่วกล่าวเรียบ ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นสูง “ถ้าเช่นนั้น…ก็ให้มันจบลงที่นี่เสียที!”

เสียงแตรศึกดังก้องอีกครั้ง พร้อมกับทหารหลวงที่กรูเข้ามารวบตัวลี่เทียน เขาพยายามขัดขืน แต่บาดแผลจากการปะทะก่อนหน้าเริ่มส่งผล ร่างของเขาถูกจับตรึงแน่นและล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกมัดตัวไว้

หูเหว่ยยังยืนนิ่งอยู่ในมุมมืด ความสำนึกผิดฉายชัดอยู่ในแววตา เขาคุกเข่าลงช้า ๆ แล้วยกมือขึ้นเหนือหัว

“ข้า…ข้ายอมรับผิดทุกอย่าง ข้าขอเพียงอย่างเดียว ช่วยลูกเมียข้าด้วยเถิด…” เขากล่าวเสียงสั่น

แม่ทัพฮั่วปรายตามองหูเหว่ยครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวสั้น ๆ

“เราจะหาตัวพวกเขาให้พบ หากยังมีชีวิตอยู่พวกเขาจะปลอดภัย แต่เจ้าก็ยังถือว่ามีความผิดอยู่”

หูเหว่ยก้มหน้าแนบพื้นไม่อาจเอ่ยอะไรได้อีก

แม่ทัพฮั่วหันกลับมามองซิ่วอิง เขาพยักหน้าให้ช้า ๆ สีหน้าแม้ยังเคร่งขรึม แต่ดวงตากลับมีแววชื่นชม

“เจ้าทำดีมากหรงซิ่วอิง หากไม่ได้เจ้าคืนนี้ กองทัพเราคงจะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง”

ซิ่วอิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างถ่อมตน

“ข้าก็เพียงทำตามหน้าที่เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ…แต่ศัตรูยังมีอีกมาก พวกเราต้องไม่ประมาทแม้แต่น้อย”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเห็นด้วยช้า ๆ ก่อนจะหันไปสั่งการกับทหารใกล้ตัวด้วยเสียงหนักแน่น

“จับกุมตัวลี่เทียนและพวกที่เหลือทั้งหมด ส่งตัวให้ทางการเมืองอู๋เว่ยทันที เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และส่งเรื่องต่อไปยังกองกลางกรมราชทัณฑ์ อย่าให้มีใครเล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”

“รับทราบขอรับ!” เสียงทหารรับคำพร้อมขยับเข้าควบคุมตัวคนร้ายอย่างเป็นระเบียบ

แม่ทัพฮั่วเหลือบมองหูเหว่ยที่ยังคุกเข่าอยู่เงียบ ๆ ก่อนเอ่ยกับนายทหารข้างตัว

“แยกตัวหูเหว่ยออกมาจากผู้ต้องหาอื่น อย่าใส่ตรวนแต่ให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแจ้งไปยังทางการอู๋เว่ยให้จัดคนติดตามเรื่องครอบครัวของเขาโดยด่วน…เด็กและสตรีไม่ควรถูกลงโทษจากการกระทำอันโง่เขลาของบุรุษผู้หนึ่ง”

“ขอรับ!”

เมื่อคำสั่งถูกกระจายออกไป ทหารหลวงก็เร่งเคลื่อนย้ายตัวนักโทษทั้งหลายออกไปตามแนวทางเดินสู่เมืองอู๋เว่ย โดยมียามอารักขาแน่นหนา ขบวนยาวค่อย ๆ เคลื่อนผ่านแนวป่าและลานพัก เสียงโซ่เหล็กกระทบกันดังแผ่ว ๆ

แม่ทัพฮั่วยืนมองขบวนผู้ต้องหาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนจึงถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันกลับไปหาซิ่วอิง

“เรื่องครอบครัวของหูเหว่ย เจ้าช่วยเขียนรายงานส่งพร้อมข้อมูลทั้งหมดที่เจ้าได้ยินมา อย่าเว้นแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยที่สุด ข้าจะเร่งส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ติดตามตัวภรรยาและลูกของเขาโดยเร็วที่สุด”

“เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงพยักหน้ารับคำ

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เวลาไม่คอยท่า เราเสียเวลาไปพอสมควรแล้ว…ให้ทหารทุกนายพักต่ออีกหนึ่งยาม จากนั้นจงเตรียมตัวเคลื่อนทัพในยามอู่ พวกเราจะต้องเดินทางไปให้ถึงจุดยุทธศาสตร์ภายในวันพรุ่งนี้”

เขาหันไปสั่งการกับทหารใกล้ตัวอีกครั้ง

“ส่งคนไปตรวจตราเกวียนเสบียงทั้งหมด ตรวจอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ครบ บันทึกจำนวนให้ตรงทุกประการ หากมีสิ่งใดผิดปกติให้รายงานข้าทันที”

“ขอรับ!”

ทัพหลวงค่อย ๆ กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งหลังเหตุการณ์วุ่นวาย ผ่านไปไม่นานเมื่อถึงยามอู่ เสียงฆ้องประจำกองทัพดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอก้องไปทั่วค่าย ส่งสัญญาณให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อมเข้าสู่การเดินทัพ แถวทัพถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เกวียนเสบียงที่รอดพ้นจากไฟเมื่อคืนถูกตรวจตราและซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน ทหารหลวงหลายคนแม้จะยังอ่อนล้า แต่ดวงตากลับฉายแววมุ่งมั่น

แม่ทัพฮั่วยืนอยู่หน้าแนวหน้าสุดของขบวน มองเหล่าทหารในเกราะที่เตรียมพร้อมเต็มอัตรา เขาส่งสัญญาณมือเพียงครั้งเดียว ขบวนทัพก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ เสียงล้อเกวียนบดทับผืนดิน เสียงเกราะกระทบกันเป็นจังหวะ และเสียงฝีเท้าเคลื่อนข้ามทางลาดอย่างหนักแน่น หากไม่มีอุปสรรคอื่นใดมาขัดขวางอีกพวกเขาน่าจะเดินทางถึงช่องแคบใกล้ซานโจวในอีกไม่ช้า







[NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 
 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 30 โพสต์ 2025-6-17 01:30
โพสต์ 80901 ไบต์และได้รับ 64 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-16 23:06
โพสต์ 80,901 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-16 23:06
โพสต์ 80,901 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-16 23:06
โพสต์ 80,901 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-16 23:06
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-18 00:29:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด







ความอบอุ่นเพียงชั่วครู่ก่อนจะถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีหม่นที่ลอยต่ำ แผ่นดินเริ่มแห้งแล้งขึ้นเรื่อย ๆ ดินร่วนปนทรายกลายเป็นผืนดินหลักของเส้นทาง ขบวนทัพหลวงที่เคลื่อนตัวจากอู๋เว่ยมาตั้งแต่เมื่อวานได้พักไม่กี่ชั่วยามแล้วก็เคลื่อนทัพต่อจนกระทั่งถึงวันใหม่ พวกเขากำลังฝ่าเข้าสู่พื้นที่ที่ทุรกันดารยิ่งกว่าเดิม

ภูเขาหินสีน้ำตาลเข้มตั้งตระหง่านสลับซ้อนเรียงรายเป็นแนวยาว ทั้งสูงชันและเว้าแหว่งเหมือนถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา ลมหนาวพัดวูบจากช่องเขาแคบ ๆ ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่ว มันพัดเอาทรายละเอียดลอยปลิวผ่านแนวทัพอย่างไม่ปรานี แม้แสงอาทิตย์ยังไม่แรงนัก แต่ความเย็นกลับเริ่มกัดผิวหนังจนทหารหลายคนต้องกระชับเสื้อคลุมแน่นขึ้น แม่ทัพฮั่วขี่ม้าอยู่แนวหน้าสุด ดวงตากวาดมองภูมิประเทศเบื้องหน้าอย่างพินิจ 

ขบวนทัพเริ่มชะลอลงเมื่อทางเบื้องหน้าบีบแคบเข้าเรื่อย ๆ ผาหินขนาบซ้ายขวาสูงชันขึ้นจนน่าหวาดหวั่น เพียงแค่ผู้ใดโยนหินจากเบื้องบนลงมาก็อาจสังหารคนด้านล่างได้เป็นสิบ

“ถึงช่องแคบซานโจวแล้ว...”

แม่ทัพฮั่วเอ่ยเสียงเบา แต่ดวงตานั้นกลับระแวดระวังยิ่ง ข้างกายเขามีรองแม่ทัพที่เหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะกล้าวขึ้น

“หากศัตรูซุ่มรออยู่ที่ด้านบน ช่องแคบนี้ก็จะไม่ต่างจากหลุมพรางขนาดใหญ่เลยนะขอรับ”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าช้า ๆ พลางยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดเคลื่อนที่ เหล่าทหารชะงักเท้าอย่างเป็นระเบียบ กลุ่มทหารลาดตระเวนรีบแยกตัวออกจากแนวหน้ามุ่งขึ้นตามทางลาดชันทั้งสองฝั่ง

ความเงียบปกคลุมทับบรรยากาศ ลมเย็นยังคงพัดมาเป็นระยะ หอบเอาเศษใบไม้แห้งและเม็ดทรายปลิวผ่านแนวทัพ ด้านบนหน้าผาไม่มีแม้แต่เสียงนกกาใด ๆ ผ่านไปครู่ใหญ่กลุ่มลาดตระเวนกลับลงมาพร้อมรายงานเกี่ยวกับบริเวณที่เพิ่งไปสำรวจ

“ไม่พบร่องรอยการซุ่มโจมตีขอรับ ไม่มีรอยเท้า ไม่มีควันไฟ หรือสิ่งผิดปกติใด ๆ บนผา ดูเหมือนจะไม่มีใครผ่านมาเส้นทางนี้มานานแล้ว”

แม่ทัพฮั่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ

“อย่างไรเสียก็อย่าเพิ่งไว้วางใจ ระมัดระวังไว้ด้วย”

เขายกมืออีกครั้งสั่งให้ทัพเคลื่อนตัวต่อ แต่ลดจำนวนแถวลงเพื่อให้เคลื่อนผ่านช่องแคบได้อย่างปลอดภัย ทหารหลายคนยังคงระมัดระวัง คอยเหลียวซ้ายขวาไปตามแนวผา 

เมื่อขบวนทัพหลวงพ้นจากช่องแคบซานโจวออกสู่พื้นที่เปิดโล่ง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มส่องลอดม่านเมฆอีกครั้ง ลำแสงสีทองสาดทาบลงบนที่ราบเบื้องหน้า เผยให้เห็นภูมิประเทศที่แตกต่างออกไปจากเมื่อครู่ ราวกับโลกอีกใบ ที่ราบแห้งแล้งเบื้องหน้าปกคลุมด้วยหญ้าเตี้ยแห้งสีทองปนหม่น เส้นทางทอดยาวไกลสุดสายตา และตัดผ่านหมู่เนินเตี้ย ๆ ที่ประปรายเหมือนเกาะกลางทะเลทราย

แม่ทัพฮั่วหยุดม้าบนเนินเตี้ยกลางที่ราบ ยกมือบังแดดพลางมองสำรวจภูมิประเทศโดยรอบอย่างละเอียด เสียงลมแห้งแล้งพัดกรูผ่านไป พร้อมกลิ่นจาง ๆ ของฝุ่นทรายและหญ้าแห้งที่ติดลมหอบมา ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับรองแม่ทัพที่ตามมาติด ๆ

“ตรงนี้เหมาะจะตั้งฐานหลัก”

รองแม่ทัพเหลือบตามองรอบด้านอย่างเร็ว ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย

“พื้นที่เปิดกว้าง ไม่มีจุดอับสายตา ล้อมเนินได้ง่าย แถมยังอยู่ใกล้ช่องแคบซานโจวพอดี”

แม่ทัพฮั่วยิ้มบาง ๆ แล้วสั่งการทันที 

“สั่งให้ตั้งค่ายหลักที่นี่ แบ่งกำลังเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งขึ้นเนินเพื่อสังเกตการณ์ กลุ่มหนึ่งเริ่มสร้างแนวค่าย และอีกกลุ่มให้ตั้งกระโจมกลางไว้สำหรับวางแผนการรบ”

เสียงคำสั่งถูกส่งผ่านธงและกลองอย่างรวดเร็ว ทหารหลายร้อยนายเร่งลงมือทันที ผืนผ้าใบสีเข้มถูกคลี่ออก กระโจมหลักเริ่มถูกปักขึ้นกลางพื้นที่สูงเล็กน้อยบนเนิน รั้วไม้ชั่วคราวและค่ายล้อมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจากไม้เนื้อแข็งที่ขนมาจากทัพหลัง

ควันจากกองพลาธิการเริ่มลอยขึ้นเป็นสาย ท่ามกลางเสียงขุดดิน ก่อเสา และตอกหมุดที่ดังระงมไปทั่วบริเวณ กลิ่นของเหงื่อผสมกลิ่นดินแห้ง กลายเป็นกลิ่นคุ้นเคยของกองทัพในยามตั้งค่ายไปเสียแล้ว

ทหารเริ่มขึงแนวเชือก แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ อย่างเป็นระเบียบ พื้นที่บัญชาการ คลังยุทธภัณฑ์ ลานฝึก และแนวค่ายสำหรับพักแรม เหล่าทหารเริ่มตอกเสาหลักเพื่อกางแนวรั้วป้องกันชั่วคราวโดยใช้ไม้ไผ่และเสาไม้เนื้อแข็งที่ขนติดมาด้วย ม้าศึกถูกนำไปผูกไว้ในเขตพักสัตว์ ทหารเวรยามผลัดแรกถูกจัดให้ประจำแนวขอบค่ายทันที

เมื่อกระโจมบัญชาการถูกตั้งเสร็จเรียบร้อย เสาธงทัพหลวงปักสูงตระหง่านกลางค่ายสีแดงเข้มโบกสะบัดเหนือยอดเนินอย่างสง่าผ่าเผย เป็นสัญญาณว่ากองทัพหลวงแห่งต้าฮั่นได้ตั้งหลักสำคัญทางยุทธศาสตร์ ณ ชายแดนซานโจวแล้ว

ช่วงบ่ายคล้อยในค่ายสงบลงหลังงานหลักเริ่มเข้าที่ ร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยปรากฏบนใบหน้าของทหารทุกนาย แต่ละคนยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างขะมักเขม้น จู่ ๆ เสียงของรองหัวหน้ากองพลาธิการก็ดังแทรกขึ้นเหนือเสียงคนงาน

“อาอิง! เจ้ากำลังว่างใช่หรือไม่? นำของว่างนี่ไปส่งให้ท่านแม่ทัพที่กระโจมบัญชาการหน่อย”

“เจ้าค่ะ” นางเอ่ยสั้น ๆ ก่อนจะรับของว่างและหมุนตัวเดินตรงไปยังกระโจมบัญชาการ

ภายในถาดมีขนมขนมไหมฟ้ากับชาหลงจิ่งร้อนกรุ่นที่เพิ่งชงจากยอดใบชาชุดพิเศษ ถูกเตรียมไว้สำหรับท่านแม่ทัพเพียงผู้เดียว ยามเมื่อมาถึงหน้ากระโจมสูงใหญ่ประดับตราหลวงของกองทัพ ซิ่วอิงยืนตรงก่อนขานเรียกตามพิธี

“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทหารหรงซิ่วอิง ขอเข้าพบเพื่อนำของว่างมาส่งให้เจ้าค่ะ!”

เสียงจากภายในตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึมตามแบบของเขา 

“เข้ามา”

ม่านกระโจมถูกแหวกออก ซิ่วอิงก้าวเข้าสู่ภายในด้วยท่าทีระวัง ภายในเต็มไปด้วยกลิ่นหมึกจากแผนที่ แสงแดดลอดผ่านช่องผ้าด้านบนสะท้อนบนเกราะที่วางไว้ข้างโต๊ะ แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งหันมามองนางเล็กน้อยแล้วชี้ไปยังโต๊ะข้าง

“วางไว้ตรงนั้น”

นางวางถาดลงอย่างระมัดระวัง แล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ของว่างจากกองพลาธิการเจ้าค่ะ ข้าน้อยนำมาให้ตามคำสั่งรองหัวหน้าพลาธิการ”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งวางพู่กันลงข้างโต๊ะอย่างเงียบงัน เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากนาง เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สบตาซิ่วอิงด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่ภายใต้แววตานั้นจับความประเมินผลได้ชัดเจน

“เข้ามาดูแผนที่สิ” เขากล่าวเรียบ ๆ พลางเปิดทางให้ซิ่วอิงก้าวเข้ามาอย่างระวัง 

“ศึกครั้งนี้เป็นศึกแรกของเจ้า ข้ารู้” แม่ทัพกล่าวก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่เว้นจังหวะ “แต่ข้าสังเกตว่าเจ้ามีสายตาที่ดี รู้จักฟังและจับรายละเอียด ไม่ใช่แค่จำคำสั่งอย่างเดียว”

ซิ่วอิงพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาจับไปที่แนวเขาคดเคี้ยวบนผืนแผนที่ นางสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าวขึ้นอย่างรอบคอบ

“พื้นที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นแนวเขาสูง หากพวกปีศาจใช้ซ่อนเสบียง เส้นทางลำเลียงของพวกมันต้องหลบสายตาเราไว้ด้านหลัง อาจใช้ร่องเขาหรือแนวทรายเป็นกำบัง”

แม่ทัพฮั่วเพียงเลื่อนสายตามองนางด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ก่อนชี้ปลายพู่กันลงตรงจุดเดียวกับที่นางกล่าวถึง

“เจ้าคิดเหมือนข้า แต่อย่าลืม...พื้นที่แบบนี้ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเงาธรรมชาติให้พึ่งพา ถ้าไม่รู้จักจังหวะลมกับแสง เจ้าจะกลายเป็นเป้าชัดเจนกว่าม้าในลานว่าง”

ซิ่วอิงเงียบไปชั่วขณะก่อนตอบอย่างจริงใจ

“ข้าน้อยอาจยังไม่รู้วิธีดูแสงกับลมจากสภาพจริง…แต่ข้าน้อยพอจะจดจำรายงานเส้นทางลำเลียงของศัตรูได้ และสามารถเทียบพิกัดจากแผนที่กับลักษณะการเคลื่อนไหวของพวกมันได้บ้างเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วยิ้มเพียงมุมปาก สีหน้าเรียบเย็นแต่แฝงแววพอใจ

“เพียงเท่านี้ก็มากเกินกว่าทหารใหม่ทั่วไปแล้ว...”

เขานิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวต่อเสียงหนักแน่น

“ข้าจะให้เจ้าร่วมกับหน่วยลาดตระเวนกลุ่มแรก ไม่ใช่เพราะเจ้ารู้มากกว่าคนอื่น แต่เพราะเจ้ารู้ว่าตัวเองยังรู้น้อย และยังกล้าพูดในสิ่งที่คิดโดยไม่ด่วนสรุป ข้าต้องการคนแบบนั้นในสนามจริง”

ซิ่วอิงค้อมศีรษะรับคำ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ข้าจะตั้งใจเรียนรู้ให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ และจะไม่เป็นภาระแก่ภารกิจ”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันกลับไปยังแผนที่บนโต๊ะอีกครั้ง พู่กันในมือเขาขยับแตะลงบนผืนผ้าในจังหวะมั่นคง ขีดเส้นโค้งบางเส้นหนึ่งบนแนวเขาทางเหนือของฐานทัพ

“พื้นที่ตรงนี้ ห่างจากค่ายไปหนึ่งช่วงกองทัพ ใช้เวลาขี่ม้าราวครึ่งชั่วยาม พรุ่งนี้ก่อนย่ำรุ่ง หน่วยลาดตระเวนจะเริ่มเคลื่อนพล เจ้าไปกับกลุ่มนั้น”

“เจ้าค่ะ” ซิ่วอิงตอบทันทีโดยไม่ลังเล

แม่ทัพฮั่วปรายตามองนางครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวอย่างราบเรียบแต่แฝงเจตนา

“วันนี้เจ้าไปพักก่อน พรุ่งนี้เตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะส่งคำสั่งไปแจ้งหน่วยลาดตระเวนล่วงหน้า ส่วนคืนนี้...” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนวางพู่กันแล้วเดินไปที่ชั้นวางหนังสือเล็กด้านหลัง หยิบม้วนกระดาษผูกเชือกเส้นแดงยื่นส่งให้ “ศึกษารายงานการลาดตระเวนของกลุ่มก่อนหน้าไว้ให้ดี จำเส้นทาง จำคำเตือน อย่าคิดว่าเป็นเพียงบทฝึก”

ซิ่วอิงรับม้วนกระดาษไว้ด้วยมือทั้งสอง กล่าวเสียงหนักแน่น

“ซิ่วอิงรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วเพียงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก ซิ่วอิงจึงโค้งตัวลาถอยออกจากกระโจมโดยไม่หันหลังให้ผู้บังคับบัญชา

แสงบ่ายคล้อยต่ำลงจนแทบแตะขอบเนิน ลมหนาวพัดกรูอีกระลอกผ่านรั้วไม้ของค่าย เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะ ส่งสัญญาณเวรยามผลัดเปลี่ยน เมื่อถึงกระโจมนางจุดตะเกียงน้ำมันเล็ก ๆ มุมที่นอน ก่อนคลี่ม้วนรายงานออกทีละแผ่นศึกษาอย่างตั้งใจ นางจะไม่ยอมเป็นตัวถ่วงของกองทัพเด็ดขาดและจะใช้เวลาทั้งคืนนี้เพื่อเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดก่อนการลาดตระเวนจริงจะเกิดขึ้น….


จบพาร์ท : จุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางและเส้นทางสู่สมรภูมิ

รางวัล (ความคืบหน้า):
5% ของภารกิจหลัก


[NPC-18]  มอบขนมไหมฟ้า และ ชาหลงจิ่ง ให้ ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
+20 ความสัมพันธ์ ขนมว่างเกรดทอง + ชาเกรดทอง (+10)
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า ชงชา ได้โบนัส +5 
หัวมาร โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+15
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 
 







แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 70 โพสต์ 2025-6-18 00:37
โพสต์ 43049 ไบต์และได้รับ 32 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-18 00:29
โพสต์ 43,049 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-18 00:29
โพสต์ 43,049 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-18 00:29
โพสต์ 43,049 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-18 00:29
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-18 19:26:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด







ซิ่วอิงตื่นขึ้นแต่เช้าในค่ายทัพ เสียงลมหนาวกรูผ่านผ้าคลุมกระโจมและเสียงไก่ป่า(?)ขันเบา ๆ เตือนเวลาใหม่ของวัน นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง รีบแต่งตัวด้วยชุดทหารที่เรียบร้อยและแน่นหนา ก่อนจะก้าวเท้าออกไปยังบริเวณรับอาหารเช้าในค่าย

ที่นั่นกองพลาธิการได้จัดเตรียมอาหารอย่างเป็นระเบียบ โจ๊กข้าวกล้องร้อน ๆ และเนื้อเค็มถูกจัดใส่ภาชนะจนเรียบร้อย ซิ่วอิงรับอาหารเช้ามาด้วยมือทั้งสองอย่างนอบน้อม นางขยับเท้าหาที่นั่งริมแนวรั้วไม้ชั่วคราวที่ยังมีกลิ่นสดของยางไม้จาง ๆ คละคลุ้ง ยังไม่ทันที่นางจะได้ยกช้อน เสียงคุ้นหูก็พลันดังมาจากทางเดินฝุ่นกรัง

“ลูกพี่ ๆ ข้านั่งด้วยคน!” เกาเหยียนเดินมาพร้อมใบหน้าอันสดใสที่ขัดกับรูปลักษณ์อันดิบเถื่อนของเขาอย่างสิ้นเชิง 

“ตื่นเช้าดีนี่เริ่มปรับตัวกับระบบค่ายทหารได้แล้วสินะ” ซิ่วอิงพูดขณะเขยิบถาดหลบให้เขานั่งข้าง

“สมัยออกปล้นข้าต้องตื่นเช้ากว่านี้อีก ไม่งั้นจะทันไปดักหน้ารถม้าได้ที่ไหนกัน” เขาพูดพลางหัวเราะเบา ๆ

“เจ้าช่างพูดเรื่องนั้นได้ไม่อายปากจริง ๆ” ซิ่วอิงเลิกคิ้วอย่างเอือม ๆ

“เอาน่าลูกพี่ ข้ากลับตัวกลับใจแล้ว แค่นั้นก็พอแล้วนี่” เขาตักโจ๊กเข้าปากไปคำหนึ่งอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนพูดต่อด้วยเสียงอู้อี้จากในลำคอ “อื้ม โจ๊กนี่ดีกว่าที่ข้าเคยกินตอนแอบอยู่ในหุบเขาตั้งเยอะ”

“ช่างเถอะ รีบกินซะ เดี๋ยวต้องไปลาดตระเวนจะเสียเวลาไม่ได้”

เกาเหยียนกลืนคำสุดท้ายลงคอ ก่อนยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้นจิบน้ำแล้วพูดต่อ

“เอ้อ! ลูกพี่รู้หรือยัง แม่ทัพฮั่วจัดข้าไว้ในหน่วยลาดตระเวนกลุ่มเดียวกับท่าน ข้าได้ยินรองแม่ทัพพูดว่า...เขาเห็นว่าเราน่าจะเข้าขากันดี”

ซิ่วอิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับช้า ๆ 

“อืม อาจเพราะเจ้าดูไม่ค่อยยอมอ่อนข้อกับใครเท่าไหร่นอกจากกับข้า”

“จริง ข้าก็ไม่เถียง” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วเอนหลังพิงเสาไม้ “ก็ข้าไว้ใจท่านที่สุดในค่ายนี้นี่”

ยังไม่ทันที่โจ๊กในชามของซิ่วอิงจะพร่องไปถึงครึ่ง เสียงจากทิศทางโรงครัวกองพลาธิการก็พลันดังแทรกเข้ามาเหนือเสียงคนพูดคุยทั่วไป

“อาเหยียน! อาเหยียนอยู่ไหน มาช่วยเอาอาหารไปให้ท่านแม่ทัพหน่อย!”

เป็นเสียงทหารจากกองพลาธิการคนหนึ่งตะโกนเรียกเสียงดัง ใบหน้าของเขาเปื้อนเหงื่อเล็กน้อยทั้งที่เพิ่งรุ่งสาง และในมือยังถือถาดอาหารที่ปิดฝาไว้

เกาเหยียนชะงักตะเกียบค้างในมือก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างชัดเจน

“ข้ากินข้าวของข้าอยู่ดี ๆ แท้ ๆ...” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วตะโกนกลับไป “มีคนอื่นอีกตั้งเยอะ ทำไมเจ้าไม่ใช้!”

“จะใครเอาไปให้ก็เหมือนกันนั่นแหละ จะบ่นอะไรนักหนา” เสียงจากกองพลาธิการตอบกลับอย่างทันควัน ก่อนจะตะโกนเสริมมาอีกคำ “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพทำงานหนักไม่ออกจากกระโจมมาเลยข้าวปลาก็ไม่ค่อยหาเวลากิน เกรงว่าจะได้ป่วยไข้ก่อนได้ทำศึกแน่ ข้าก็เลยเตรียมน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีนไปให้บำรุงกำลังหน่อย! รีบมาเอาไปเสีย เดี๋ยวเย็นหมด!”

น้ำเสียงที่จริงจังนั้นทำให้เกาเหยียนถอนหายใจหนักกว่าเดิม เขาเตรียมจะลุกขึ้นเหมือนคนที่จำยอมต่อโชคชะตา แต่ยังไม่ทันได้ลุกดีเสียงถัดจากข้างเขาก็ดังขึ้น

“เดี๋ยว! ข้าไปเอง!”

ซิ่วอิงลุกพรวดจนเสียงฝ่าเท้ากระทบพื้นกรวดดังชัดพอได้ยินคำว่าเอาไปให้ท่านแม่ทัพ 

เกาเหยียนเลิกคิ้วสูง มองนางด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อสายตา 

“ไหนเมื่อกี้ยังบอกให้ข้ารีบ ๆ กินอยู่เลย…”

“ก็เพราะเจ้าไม่อยากไป ข้าถึงต้องรับแทนไงล่ะ” ซิ่วอิงตอบพลางเดินตรงไปยังชายกองพลาธิการที่ยังถือถาดไว้

ทหารผู้นั้นเห็นนางเดินมาก็รีบส่งถาดให้โดยไม่รีรอ

“พอดีเลยฝากเจ้าด้วยนะ แล้วก็ฝากสุรานี่ไปให้ด้วยอากาศหนาวจะได้อุ่นร่างกาย”

นางพยักหน้ารับ มือทั้งสองยื่นไปรับถาดอาหารด้วยท่วงท่าระมัดระวัง ถาดไม้เคลือบคราบยางถูกปิดด้วยฝาครอบผ้าคลุมอย่างดี และจากกลิ่นที่โชยออกมาจาง ๆ เมื่อรับมาใกล้ตัว นางก็ได้กลิ่นสมุนไพรจีนที่อวลอยู่เคล้ากับกลิ่นเนื้อกวางตุ๋นชวนให้นึกถึงห้องยาจีนอย่างบอกไม่ถูก

เสียงเกาเหยียนดังไล่หลังเหมือนอยากแซว

“ระวังถาดหล่นล่ะลูกพี่ ถ้าหกลงพื้น ข้าวเช้านี้ท่านได้เป็นคนต้มให้ใหม่เองแน่ ๆ”

ซิ่วอิงไม่หันไปตอบเสียงนกเสียงกา นางมุ่งตรงไปยังกระโจมบัญชาการโดยแอบพกม้วนรายงานที่ได้จากท่านแม่ทัพเมื่อวานนี้ไปด้วย

เมื่อเดินมาถึงบริเวณนั้นสายตาของนางก็ชะเง้อมองกระโจมบัญชาการตรงกลางค่ายที่ยังปิดม่านอยู่ มีเพียงธงทัพหลวงที่โบกสะบัดเหนือยอดเสาไม้ลอยสะบัดไปตามแรงลม เสียงฝีเท้าของนางใกล้จะถึงหน้ากระโจมแล้ว ซิ่วอิงหยุดลงสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับขยับม้วนรายงานที่แนบไว้อย่างแนบเนียนใต้สายคาดเอว

นางยืนตรงก่อนขานเสียงตามพิธีเช่นเคย

“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทหารหรงซิ่วอิง นำอาหารเช้ามาส่งเจ้าค่ะ”

ภายในนั้นเงียบอยู่หนึ่ง...ก่อนเสียงคุ้นหูจะดังตอบกลับจากด้านใน

“เข้ามา”

ม่านกระโจมเปิดออกเบา ๆ ด้วยมือของนางเอง แสงจากภายนอกลอดเข้าไปภายใน เผยให้เห็นภาพแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะแผนที่ เขายังสวมชุดทหารเต็มยศแม้เพิ่งรุ่งเช้า และข้างโต๊ะยังมีแผนที่อีกสองม้วนที่คลี่ไว้บางส่วนราวกับเขาไม่ได้นอนมาตลอดคืน

ซิ่วอิงวางถาดอาหารลงอย่างระมัดระวังบนโต๊ะรองข้างแผนที่ กลิ่นน้ำทิพย์กวางตุ๋นค่อย ๆ ลอยอบอวลในกระโจมกลบกลิ่นหมึกที่เคยอบอวลอยู่ก่อนหน้านั้น

แม่ทัพฮั่วเหลือบตามองถาดอาหาร แล้วเอ่ยเพียงเบา ๆ

“วันนี้มีเนื้อกวางตุ๋น? เหตุใดอาหารถึงไหนหรูถึงเพียงนี้”

“เจ้าค่ะ กองพลาธิการบอกว่าท่านไม่ค่อยได้ทานอะไรเลย จึงจัดเมนูนี้มาให้บำรุงเป็นพิเศษ”

“สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไหนจะสุรานี่อีก ฝากบอกกองพลาธิการด้วยด้วยว่าคราวหน้าเอาอาหารปกติเหมือนพลทหารทั่วไปก็พอ”

“เจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วกล่าวจบแล้วก็มิได้แตะต้องถาดอาหารในทันที เพียงเหลือบตามองสักครู่แล้วหันกลับไปสนใจแผนที่บนโต๊ะดังเดิม ปลายนิ้วเรียวยาวขีดเส้นลงบนผืนผ้ราวกับยังไม่ยอมปล่อยให้สมองหยุดพัก 

ซิ่วอิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบม้วนรายงานที่เหน็บไว้ใต้คาดเอวออกมาแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“ท่านแม่ทัพเจ้าคะ…ข้าน้อยขอส่งคืนรายงานที่ยืมไว้เมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ”

แม่ทัพเงยหน้าขึ้นจากแผนที่เพียงเล็กน้อย มองม้วนรายงานในมือนางด้วยสายตานิ่งสงบ

“อ่านจบแล้วหรือ?”

ซิ่วอิงพยักหน้าช้า ๆ พลางยื่นม้วนรายงานให้เขาอย่างนอบน้อม

“เจ้าค่ะ อ่านครบถ้วนแล้ว แม้จะเป็นเพียงรายงานลาดตระเวนธรรมดา ๆ แต่เมื่อได้อ่านอย่างละเอียด ข้าน้อยก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมท่านจึงให้ความสำคัญกับมันนัก”

แม่ทัพรับม้วนรายงานโดยไม่กล่าวอะไร มือเรียววางมันลงข้างโต๊ะแผนที่อย่างเป็นระเบียบ

ซิ่วอิงสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ แล้วจึงกล่าวต่อ

“ในตอนแรกข้าน้อยเคยนึกว่าการทำศึกคือเรื่องของดาบ ปราการ และจำนวนไพร่พล แต่ยิ่งได้อยู่ใกล้ท่าน ข้าน้อยก็ยิ่งตระหนักว่า...ชัยชนะไม่ได้เกิดบนสนามรบเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มต้นที่โต๊ะวางแผนนี้นานก่อนหน้านั้นแล้ว”

นางมองผืนผ้าแผนที่เบื้องหน้าเขา คล้ายเห็นความเหนื่อยล้าที่สถิตอยู่ทุกเส้นที่ถูกขีดลงไป

“ทุกเข็มที่ทิ่มบนแผนที่ ทุกเส้นที่ลาก ทุกตัวอักษรในรายงาน...ข้าน้อยเห็นความตั้งใจของท่านแม่ทัพชัดเจน ไม่ใช่เพียงเพื่อกำชัย แต่เพื่อให้คนของท่านรอดกลับมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งไม่เอ่ยคำใด ดวงตาคู่นั้นเพียงเฝ้ามองนางนิ่ง ๆ เหมือนรอฟังจนจบ

ซิ่วอิงจึงยกมือขึ้นคำนับต่ำจนแผ่นหลังโค้งงอเต็มพิธี

“ข้าน้อยซาบซึ้งที่ท่านไว้วางใจให้ข้าน้อยร่วมหน่วยลาดตระเวน ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง จะไม่ปล่อยให้ข้อมูลใดหลุดรอดสายตา ไม่ปล่อยให้ภยันตรายใดเล็ดลอดสู่ค่ายนี้โดยไม่รู้ตัว ข้าจะกลับมาพร้อมสิ่งที่ท่านต้องการเห็นบนแผนที่นี้เจ้าค่ะ”

ในกระโจมเงียบไปชั่วอึดใจก่อนแม่ทัพฮั่วจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนี้ก่อน

“ดี ไปได้แล้ว”

ซิ่วอิงเงยหน้าขึ้น สบตากับเขาเพียงแวบเดียว แล้วผงกศีรษะรับคำสั่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกจากกระโจมไป

ข้างนอกฟ้าสว่างเต็มที่แล้ว สหายร่วมหน่วยอีกสามคนยืนรออยู่ใต้เงาไม้ต้นใหญ่ทางตะวันออกของค่าย

เกาเหยียนโบกมือให้ซิ่วอิงพลางยกคิ้ว

“ลูกพี่ทำไมเข้าไปนานจัง จนข้าคิดว่าลูกพี่เข้าไปกินข้าวเช้าแทนแม่ทัพเสียเองแล้วเนี่ย”

“เงียบปากไปเลยก่อนที่เจ้าจะได้กินหมัดของข้าแทน!”

“ไปเถอะ ถึงเวลาเริ่มงานของพวกเราแล้ว” ทหารอีกนายกล่าวเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

ม้าสี่ตัวที่ถูกยืมมาจากคอกม้าในค่าย พวกมันถูกจูงมาตามแนวคอก ซิ่วอิงลูบแผงคอม้าเบา ๆ ก่อนจะขึ้นอานตามวิธีที่ฝึกมาอย่างคล่องแคล่ว เกาเหยียนขึ้นม้าพร้อมรอยยิ้มแบบคนที่คุ้นเคยกับอานและบังเหียนอย่างดี (เพราะปล้นบ่อย) ส่วนทหารอีกสองนาย หลี่จื่อไห่กับจางหยูก็กระโดดขึ้นตามโดยไม่เอ่ยวาจา

ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของซานโจวเป็นพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้หน่วยของพวกเขาลาดตระเวนในวันนี้ เป็นแนวตีนเขาสลับเนินหิน ต้นไม้แห้งแล้งกระจัดกระจายเหมือนตอไม้หลงยุค ภูมิประเทศเป็นเนินทรายและหินแกร่ง กลิ่นทรายแห้งอวลอยู่ในลมหนาวที่พัดแรงตลอดสาย

ฟ้ายังไม่ทันถึงยามอู่ แต่แสงอาทิตย์กลับอ่อนแรงจนดูคล้ายยามเย็น เพราะแถบเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาสูงไกลลิบราวสามร้อยลี้ ยืนหยัดเหมือนกำแพงมืดบนฟ้า ซิ่วอิงเหลียวมองมันครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“เมฆนั่น…ยังคงลอยอยู่ที่เดิม แต่ขยายกว้างกว่าเมื่อวานเสียอีก”

หลี่จื่อไห่ซึ่งมองตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น

“วันนี้ไม่มีนกเลยสักตัว แม้แต่เสียงแมลงก็เงียบด้วย...”

“เพราะหมอกของมันเริ่มลอยผ่านมาถึงแถวนี้แล้ว” ซิ่วอิงตอบ “อากาศก็เย็นเกินปกติ ทั้งที่แดดยังมีแสงอยู่แท้ ๆ”

เกาเหยียนสูดลมหายใจแรง ๆ แล้วพ่นออกมาเป็นไอสีขาว

“ข้าเองก็รู้สึกเหมือนหายใจลำบากเล็กน้อย คล้ายยืนอยู่บนยอดเขาหิมะมากกว่าจะเป็นที่ราบชายเขาเสียอีก”

หลี่จื่อไห่ขยับมือไปแตะคันธนูโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขากวาดมองรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง

“บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวใต้มวลหมอกนั้นแน่นอน” เขากระซิบ “พวกมันอาจยังไม่เข้าเขตนี้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ห่างนัก”

หน่วยลาดตระเวนทั้งสี่หยุดม้าอยู่บนสันเนินเตี้ย ลมหนาวตีกระทบใบหน้าและร่างกายเหมือนคมมีด แม้ชุดเครื่องแบบทหารจะหนาเพียงใดก็ยังไม่อาจต้านทานความเย็นที่แล่นเข้ากระดูกได้

เบื้องหน้าพวกเขาเป็นพื้นที่โล่งไกลสุดสายตา ทะเลทรายสีหม่นขรุขระด้วยแผ่นหินกะเทาะและเส้นสายรอยร้าวจากแผ่นดินแห้งผาก แม้แสงอาทิตย์ส่องกระทบผืนดินแต่กลับไม่ก่อให้เกิดไออุ่นแม้แต่น้อย

“พวกมันสร้างอาณาเขตแล้วจริง ๆ” ซิ่วอิงเอ่ยเสียงหนัก “ข้าจะจดข้อมูลนี้ไว้รายงานให้แม่ทัพทันทีเมื่อกลับถึงค่าย”

ทั้งสี่เดินสำรวจต่อโดยขี่ม้าไปรอบบริเวณ พยายามไม่ให้ใกล้แนวหมอกเกินไป แต่ยังสามารถจดบันทึกลักษณะภูมิประเทศได้ครบถ้วน พวกเขาพบรอยเท้าแปลกประหลาดบางจุด ลึกและยาวราวกับสัตว์ขนาดมหึมาก้าวผ่าน บางรอยลึกถึงเกือบหนึ่งฉื่อ

ใกล้พ้นแดนที่ลาดตระเวนในวันนี้ พวกเขาพบรอยไหม้บนพื้นทราย ไม่ใช่จากไฟธรรมชาติ แต่เหมือนมีบางสิ่งแผดเผาลงมาจากฟ้า พื้นดินถูกเผาจนเป็นวงดำกลม พืชพันธุ์เล็ก ๆ ที่เคยขึ้นตามรอยหินก็แห้งกรอบกลายเป็นเถ้าถ่าน

“นี่ไม่ใช่ผลของไฟป่าแน่นอน...” จางหยูพูดช้า ๆ

“น่าจะเป็น…พลังของปีศาจ” ซิ่วอิงกล่าวเสริม

เมื่อตะวันเริ่มเอียงไปทางทิศตะวันตกและเงาของภูเขาสูงทอดยาวราวม่านมืด ซิ่วอิงก็ตัดสินใจว่าควรลาดตระเวนแค่นี้พอ

“พอเท่านี้สำหรับวันนี้ พวกเรากลับค่ายก่อนเถิด ท้องฟ้าแบบนี้อยู่ต่ออีกนิดอาจกลับไม่ทัน...”

เกาเหยียนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก 

“ในที่สุด! ข้ารู้สึกขนลุกตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว…”

พวกเขาทั้งสี่ควบม้าย้อนกลับทิศทางเดิมโดยไม่พูดจาอีก เสียงกีบม้าตบพื้นหินแห้งแล้งดังก้องเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงอยู่ใต้เสื้อเกราะ เมื่อเริ่มเข้าเขตค่ายความกดดันก็พลันเบาลงทันทีเหมือนเมฆที่บดบังหายไปจากหัวไหล่ของทุกคน

แม้พวกเขาจะไม่ได้เผชิญหน้ากับปีศาจโดยตรงในวันนี้ แต่สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน และสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้  ล้วนยืนยันกับทุกคนในหน่วยเดียวกันแล้วว่า...พวกมันอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้วจริง ๆ




ทานอาหารจากหน่วยพลาธิการ +50 พลังงาน


เชิดชูยกย่อง [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง ใช้ค่าคุณธรรม 1,000 หน่วย
ทุก ๆ 1000 ค่าคุณธรรม = 25 ความโปรดปรานต่อ NPC คนนั้น


[NPC-18]  มอบน้ำทิพย์กวางตุ๋นยาจีน และ สุรานารีแดง ให้ ฮั่ว ชวี่ปิ้ง
โรลเพลย์พูดคุยประจำวัน ได้รับความสัมพันธ์+5 แต้ม
+30 ความสัมพันธ์ อาหารเกรดแดง + สุราเกรดแดง +20
อาหารประเภทที่กำกับไว้ในคำอธิบายว่า อาหารปรุง ได้โบนัส +5
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน +20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

หัวใจนายพลฮั่วถึงลิมิตแล้ว หากยังไม่เข้าสู่สมรภูมิหรือเริ่มแผนการจะยังขอปลดได้  โพสต์ 2025-6-18 23:49
คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-18] ฮั่ว ชวี่ปิ้ง เพิ่มขึ้น 80 โพสต์ 2025-6-18 23:49
คุณได้รับ --1000 คุณธรรม โพสต์ 2025-6-18 23:48
โพสต์ 57895 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-18 19:26
โพสต์ 57,895 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-18 19:26

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังงาน +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-19 17:17:10 | ดูโพสต์ทั้งหมด







แสงอ่อนของยามเช้ายังไม่ทันไต่พ้นขอบฟ้า เสียงแตรปลุกก็ดังขึ้นทั่วค่ายทหารฝ่าหมอกจางและลมหนาวจัด ซิ่วอิงเปิดตาทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น นางลุกขึ้นจากฟูกอย่างรวดเร็ว เสื้อเกราะและอาภรณ์ถูกรัดแน่นเรียบร้อยภายในเวลาอันสั้น

เสียงฝีเท้าหนัก ๆ และเสียงเรียกขานกันของพลทหารดังสลับไปมา แต่เช้านี้กลับมีบางอย่างต่างออกไป อากาศเย็นยะเยือกผิดธรรมดาและเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ซิ่วอิงเดินออกจากกระโจมพร้อมกระเป๋าสัมภาระประจำตัว แขนเสื้อพลิ้วไหวไปตามแรงลมยามเช้า นางตรงไปยังคอกม้าอย่างรวดเร็ว

ไม่นานเสียงฝีเท้าของคนคุ้นเคยก็ดังขึ้นด้านหลัง

“ลูกพี่!” เกาเหยียนเดินเข้ามาในชุดเครื่องแบบ ใบหน้าหยอกเย้าแต่แววตาแฝงความวิตกจาง ๆ

ซิ่วอิงเหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงทัก

“วันนี้ท้องฟ้าดูอึมครึมอย่างไรก็ไม่รู้แฮะ” เขาว่าเบา ๆ ขณะจูงม้าเข้ามาใกล้

ไม่นานนักหลี่จื่อไห่กับจางหยูก็มาถึง ทั้งสองสวมเครื่องแบบพร้อมสะพายธนูและดาบข้างเอว

“แม่ทัพออกคำสั่งแล้ว จุดลาดตระเวนวันนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ใกล้หุบเขา”

ซิ่วอิงพยักหน้า มือข้างหนึ่งลูบแผงคอม้าเบา ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นอานอย่างรวดเร็ว

“อย่าชักช้า ไปกันเลยก่อนลมจะแรงกว่านี้”

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หน่วยทั้งสี่ควบม้าออกจากค่าย เสียงกีบม้าตบพื้นดินแห้งดังกังวานในอากาศเย็นจัด เส้นทางลาดตระเวนเช้าวันนี้ทอดยาวสู่แนวภูเขาที่ปกคลุมด้วยทรายและหินแห้งผาก รอยเท้าของม้าทิ้งรอยไว้เพียงครึ่งก่อนจะถูกลมหอบกลบไป บนสันเขาทอดยาวที่ไกลออกไป  

กลุ่มของซิ่วอิงควบม้าไปตามทางคดเคี้ยวเลียบแนวเนินหิน ลมเย็นจัดตีกระแทกใบหน้าเหมือนคมมีด บางช่วงลมหอบทรายตามมาจนต้องหรี่ตาลง ทะเลทรายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้แตกต่างจากเมื่อวาน เยือกเย็นยิ่งกว่า และเงียบกว่ายิ่งนัก

เมื่อถึงเชิงเขา ทั้งสี่หยุดม้าใต้เงาโขดหินใหญ่ที่มีร่องรอยจากการกัดเซาะของลมตามกาลเวลา ซิ่วอิงกวาดสายตาไปรอบบริเวณก่อนจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ

“ดูเหมือนหมอกนั่นจะลอยเข้ามาใกล้กว่าเมื่อวานเสียอีกนะ”

หลี่จื่อไห่พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม 

“หมอกมันลอยลงมาจากช่องเขานั่น เกิดมาก็ไม่เคยเจอหมอกหนาแบบนี้มาก่อน”

เกาเหยียนหรี่ตามองไกลออกไป ทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ควรจะเปิดโล่งกลับมีแถบเงาดำไล่คืบเข้ามาอย่างช้า ๆ ซิ่วอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เงาดำนั้นไม่มีรูปร่างชัดเจน แต่คล้ายม่านหนาทึบที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้าเหมือนมีชีวิต ลมหอบหนึ่งพัดผ่านพวกเขาอีกครั้ง พร้อมเสียงหวีดแหลมบางเบา ไม่แน่ชัดว่าเป็นเสียงลมหรือเสียงอย่างอื่นที่แฝงมากับมันกันแน่

มันดูผิดธรรมชาติมากจริง ๆ นะ” จางหยูพูดเบา ๆ น้ำเสียงกดต่ำอย่างระแวง

“หุบเขานั้นอาจเป็นจุดก่อตัวของหมอกปีศาจก็ได้” ซิ่วอิงว่า

ซิ่วอิงขมวดคิ้วมองแนวหมอกที่ค่อย ๆ ลอยเข้ามาใกล้ ช่องเขาเบื้องหน้ายังคงเงียบงัน แขนเสื้อของนางสะบัดไปตามแรงลมอีกระลอก นางเหลียวไปทางสหายทั้งสามที่ยังจ้องไปยังเงานั้นด้วยความระแวดระวัง

“เราเดินสำรวจโดยอ้อมตามแนวเขา ไม่ต้องเข้าไปในช่องหมอกโดยตรง” ซิ่วอิงกล่าวเรียบ ๆ พลางหยิบม้วนไม้ไผ่จากเอว “พื้นที่แถวนี้แม้จะแห้งแล้ง แต่ก็ยังสำคัญในแง่ยุทธศาสตร์ หากมีช่องทางลับหรือเส้นทางลำเลียงใด ต้องจดไว้ให้หมด”

จากนั้นทั้งสี่ก็ควบม้าเลียบไปตามเนินเขาต่ำ ๆ ที่เต็มไปด้วยหินกรวดและทรายแข็ง ทุกอย่างรอบตัวเต็มไปด้วยเงาสีเทาหม่น ลมยังคงแรง และอากาศเย็นจับผิว

“พวกปีศาจที่ว่านี่…มันไม่ได้อยู่ใกล้แถวนี้ใช่ไหม?” เกาเหยียนถามพลางเหลียวมองแนวหมอกอีกครั้งสีหน้าไม่ค่อยไว้ใจนัก

หลี่จื่อไห่ส่ายหน้า 

“อยู่ห่างไปสามร้อยลี้ ข้ามทะเลทรายไปอีกฟากหนึ่งโน่น ถ้าพวกมันจะมาแถวนี้จริงเราต้องเห็นร่องรอยก่อนหน้าแล้วล่ะ”

จู่ ๆ เสียงเดินเท้าหนักแน่นก็สะท้อนลอดหุบเขา ราวกับแผ่นดินสะเทือนเบา ๆ ใต้ฝ่าเท้า กลุ่มของซิ่วอิงที่กำลังไต่ขอบเนินอยู่พลันชะงักลงพร้อมกัน

“ได้ยินเสียงนั่นไหม?” จางหยูเอ่ย พลางชะเง้อมองข้ามสันหินไป

หลี่จื่อไห่ยกมือป้องหน้าผาก แล้วพยักหน้า 

“อย่าบอกนะว่ากองทัพปีศาจบุกน่ะ”

พวกเขารีบควบม้าขึ้นสันเนินสูงด้านหนึ่งของแนวเขา ทันทีที่พ้นขอบหินกลุ่มควันจางจากธงและฝุ่นคลุ้งของกองทัพก็ดึงสายตาของทุกคนให้แน่นิ่ง ทัพใหญ่นับพันนายกำลังเคลื่อนขบวนผ่านหุบเขาเบื้องล่าง ม้าเดินเรียงกันเป็นแนวยาว ธงผืนใหญ่สะบัดแรงกลางลมหนาว บ่งบอกฐานะของกองทัพอย่างชัดเจน

ซิ่วอิงรีบกระตุกบังเหียน ควบม้าลงเนินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพวกพ้องอีกสามคน พวกเขาเข้าไปใกล้ที่สุดในระยะที่ปลอดภัย จากนั้นยกมือขึ้นสูงเป็นสัญญาณขอเจรจา

“ข้าน้อยเป็นหน่วยลาดตระเวนของทัพหลวง ขออนุญาตทราบได้หรือไม่ว่าพวกท่านเป็นทัพจากที่ใดถึงใช้เส้นทางนี้เดินทัพ เบื้องหน้าอีกสามร้อยลี้มีทัพปีศาจนะเจ้าคะ”

หนึ่งในนายทัพจากกองหน้าหยุดม้าลงก่อนจะควบเข้ามาใกล้

“ข้ามีนามว่าเวินซ่าง พวกเราคือกองทัพเสริมจากเหลียงโจว ได้รับคำสั่งให้นำทหารสามพันนายมาสมทบกับทัพหลวง”

ซิ่วอิงยังไม่ตอบทันที นางพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“ท่านมีหนังสือคำสั่งมาด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”

เขาพยักหน้าแล้วยื่นม้วนผ้าไหมไปให้ซิ่วอิง เมื่อนางคลี่อ่านดูก็พบว่าเนื้อหาเป็นคำสั่งส่งทัพเสริมจริง พร้อมประทับตราแดงอย่างถูกต้องสมบูรณ์

ซิ่วอิงขบกรามแน่นเล็กน้อย ก่อนค้อมศีรษะนอบน้อม

“เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”

นายทัพคนนั้นพยักหน้า ก่อนหันไปสั่งการทหารด้านหลังให้ชะลอขบวน

“พื้นที่แถบนี้ทุรกันดารนัก ทางแยกหลายจุดอาจทำให้ทัพใหญ่ล่าช้า หากท่านเห็นสมควร ข้าขอนำทางทัพของท่านกลับไปยังค่ายหลักเจ้าค่ะ”

“เป็นพระคุณยิ่งนัก” นายทัพกล่าวด้วยสีหน้ายินดี “เราตั้งขบวนผ่านแนวภูเขาโดยอาศัยแผนที่เก่า เส้นทางแห้งแล้งและลำบากกว่าที่คาดไว้มาก”

ซิ่วอิงหันกลับมาหาพวกพ้องแล้วกล่าวสั้น ๆ

“ยุติภารกิจลาดตระเวนวันนี้ เราจะนำทัพเสริมกลับค่าย”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งสี่จะควบม้าขึ้นหน้าแถว นำทางกองทัพเหลียงโจวให้ไต่เลาะไปตามเส้นทางที่ปลอดภัยและไม่วกวน แม้ดินแดนรอบด้านจะแห้งแล้งและไม่มีร่มเงาใด ๆ แต่ขบวนทัพสามพันนายยังคงเดินหน้าด้วยความสงบเรียบร้อย

หลังจากเดินทางต่อเนื่องร่วมสองชั่วยาม ภูเขาหินเตี้ย ๆ เริ่มแยกออกเผยให้เห็นแนวค่ายหลักของทัพหลวงตั้งตระหง่านอยู่กลางที่ราบแข็ง ด้านหน้าค่ายมีธงทัพหลวงปักเรียงราย พลทหารแนวหน้าเริ่มเคลื่อนไหวเตรียมรับขบวน

เสียงแตรยาวดังก้องเมื่อซิ่วอิงควบม้านำกองทัพเหลียงโจวเข้าสู่เขตค่าย ทหารเวรยามทั้งสองฝั่งลู่ธงต่ำเป็นสัญญาณต้อนรับ ขบวนทัพหยุดชั่วครู่เพื่อเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน

ซิ่วอิงหยุดม้าแล้วลงจากอานหน้ากระโจมแม่ทัพ พร้อมหันไปยังเวินซ่าง นายทัพจากเหลียงโจวที่ควบม้าตามมาติด ๆ

“เชิญท่านเข้าพบแม่ทัพฮั่วได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะเป็นผู้นำทางให้”

เวินซ่างพยักหน้า ก่อนลงจากม้าตามมาด้วยองครักษ์สองนาย

“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยทหารหรงซิ่วอิง นำท่านเวินซ่างจากทัพเหลียงโจวมาเข้าพบเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงกล่าวรายงานหน้ากระโจม

“เข้ามา” เสียงจากด้านในดังออกมาเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เข้าไปด้านใน

พวกเขาก้าวเข้าสู่กระโจมแม่ทัพ กลิ่นยาสมุนไพรเจือจางลอยปะปนกับกลิ่นหมึกสดใหม่จากแผนที่ แม่ทัพฮั่วนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ ใบหน้าแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า เขาเหลือบมองขึ้นเมื่อทั้งกลุ่มเข้ามาถึง

“ท่านคือเวินซ่างหรือ?”  

“ขอรับ ข้าน้อยแม่ทัพรองเวินซ่าง นำทัพจากเหลียงโจวสามพันนายมาสมทบตามคำสั่ง” เขาคุกเข่าคำนับแล้วชูหนังสือคำสั่งขึ้นเหนือศีรษะ

แม่ทัพฮั่วรับม้วนคำสั่งจากมือทหารผู้ช่วย คลี่ออกและไล่อ่านสายตาเร็วเฉียบ ก่อนพยักหน้าช้า ๆ

“ประทับตราถูกต้องดี ยินดีต้อนรับทัพจากเหลียงโจว พวกท่านมาถึงได้จังหวะพอดี”

เวินซ่างยิ้มบาง ๆ พลางกล่าว

“ข้าเตรียมเสบียงมาพอสมควร แยกออกเป็นข้าวสาร เนื้อแห้ง และสมุนไพรเบื้องต้น ขณะนี้เก็บอยู่หลังแนวทัพพร้อมแจกจ่ายทันทีที่ได้รับอนุญาต”

แม่ทัพฮั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมผ่อนคลายลง

“เยี่ยมมาก วันนี้พวกท่านเดินทางมาไกลไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าประชุมแผนกัน”

“ขอรับ” เวินซ่างคำนับอีกครั้ง แล้วจึงลุกออกจากกระโจมพร้อมผู้ติดตาม

แม่ทัพฮั่วหันกลับมามองซิ่วอิงซึ่งยังคงยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางสงบ

“การลาดตระเวนวันนี้เป็นเช่นไรบ้าง?”

ซิ่วอิงก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนคุกเข่าลงแล้วรายงานสิ่งที่สำรวจพบพร้อมมอบม้วนไม้ไผ่ที่จดบันทึกให้แก่ท่านแม่ทัพ

“เรียนท่านแม่ทัพ เส้นทางตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากศัตรู แต่หมอกหนาที่ลอยลงจากช่องเขายังปกคลุมอยู่เช่นเดิม หมอกนั้นหนากว่าเมื่อวาน คาดว่าในระยะสามร้อยลี้จะเป็นที่ตั้งทัพของเหล่าปีศาจเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วรับม้วนไม้ไผ่มาจากมือซิ่วอิง ก่อนคลี่ออกดูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาไล่สายตาไปตามตัวอักษรอย่างช้า ๆ จนถึงบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

“เจ้าเขียนละเอียดดีมาก” 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

แม่ทัพวางม้วนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะ พลางดึงแผนที่หลักขึ้นมากางคู่กัน

“แนวลาดตระเวนด้านตะวันออกเฉียงใต้ที่เจ้าใช้…เจ้าตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากที่ข้ากำหนดเดิมหรือ?”

“เจ้าค่ะ ข้าหลีกเลี่ยงช่องเขาโดยตรง เพราะหมอกเริ่มหนาขึ้นจนบดบังทัศนวิสัย แทนที่จะบุกเข้าไป ข้าเลือกเลียบเขาทางเหนือ ลมแรงแต่ทัศนวิสัยกว้างกว่า”

แม่ทัพนิ่งฟังแล้วใช้ปลายนิ้วแตะเส้นทางบนแผนที่

“เจ้าเคยว่าหมอกนั้นไม่เคยคืบเข้ามาเร็วขนาดนี้ใช่หรือไม่?”

ซิ่วอิงพยักหน้า 

“ในยามปกติหมอกจะเกาะตัวแค่ปากช่องเขา แต่สองวันที่ผ่านมา เริ่มลอยต่ำและหนากว่าปกติ ข้าเกรงว่าศัตรูอาจจะเริ่มรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราแล้ว พวกมันอาจส่งคนมาดูลาดเลาเจ้าค่ะ”

แม่ทัพฮั่วขมวดคิ้วแน่น สายตาไล่ไปตามแนวช่องเขาที่ระบุไว้บนแผนที่ ริมฝีปากเม้มสนิทอย่างครุ่นคิด

“หากหมอกนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมดา ข้าคงไม่วิตกนัก…แต่ถ้ามันเป็นสัญญาณของพลังปีศาจ มันจะกลายเป็นภัยใหญ่ยิ่งกว่า” เขาพึมพำเบา ๆ

เขามองไปที่ม้วนไม้ไผ่บนโต๊ะอีกครั้ง และไล่สายตาไปตามลายมือบรรจงที่บันทึกรายละเอียดอย่างแม่นยำ 

“การเปลี่ยนเส้นทางเลียบเขาแทนที่จะผ่านช่องเขาโดยตรง ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ทัศนวิสัยที่จำกัดในเช้านี้อาจกลายเป็นจุดเสียเปรียบหากศัตรูวางกำลังซุ่มโจมตีไว้”

แม่ทัพฮั่วผ่อนลมหายใจช้า ๆ มือยังค้างอยู่บนแผนที่ที่กางอยู่ตรงหน้า

“ในวันพรุ่งนี้ ข้าจะให้เจ้าขึ้นสังเกตการณ์จากแนวเขาทางเหนือที่เจ้าลาดตระเวนไป หากมีความเคลื่อนไหวใดของหมอก หรือแม้แต่เงาการขยับของขบวนศัตรู ต้องรายงานข้าทันที”

“ซิ่วอิงรับคำสั่งเจ้าค่ะ”

“เจ้าไปได้”

ซิ่วอิงก้าวออกจากกระโจมแม่ทัพด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เสียงฝีเท้าทหารที่สวนทางไปมายังคงแน่นแน่นในลานค่าย ทัพเหลียงโจวบางส่วนเริ่มเข้าประจำจุดตามการจัดสรร พวกเขาไม่คุ้นกับสภาพพื้นที่นัก จึงดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง

นางมองพวกเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินไปยังกองพลาธิการ กลิ่นควันไฟจากเตาหุงยังอวลอยู่กลางลาน พวกทหารผลัดเวรยืนเข้าแถวกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดจาเสียงดังนัก ทั้งเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากวันที่ยาวนาน และลมเย็นที่พัดมาจากด้านตะวันออก

“ข้าวหนึ่งถาด เนื้อแห้งหนึ่ง” เสียงเจ้าหน้าที่พลาธิการพูดห้วน ๆ พร้อมยื่นถาดไม้ให้

ซิ่วอิงรับมาอย่างเงียบงัน แล้วเดินหาที่นั่งกิน ข้าวร้อน ๆ ยังมีไอน้อย ๆ ลอยขึ้นจากถาด ข้างกันเป็นเนื้อแห้งชิ้นบางที่บอกได้เลยว่าบาปของนางยังหนากว่าเนื้อชิ้นนี้เสียอีก

นางกินไปเงียบ ๆ ช้า ๆ แค่พอให้ประทังความหิว ทว่าในหัวกลับไม่ได้สงบเท่าไรนักเพราะคำพูดของแม่ทัพฮั่วในกระโจมยังคงก้องในหู

‘หากหมอกนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมดา ข้าคงไม่วิตกนัก…
แต่ถ้ามันเป็นสัญญาณของพลังปีศาจ มันจะกลายเป็นภัยใหญ่ยิ่งกว่า’

ซิ่วอิงวางตะเกียบลงชั่วครู่ พลางมองไปยังขอบค่ายฝั่งตะวันออกที่ไกลลิบ ที่ซึ่งช่องเขาและหมอกหนายังคงเงียบงันอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้มันจะยังสงบได้แบบนี้ไปอีกนานเท่าใด…



ทานอาหารจากหน่วยพลาธิการ +50 พลังงาน


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 55312 ไบต์และได้รับ 40 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-19 17:17
โพสต์ 55,312 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-19 17:17
โพสต์ 55,312 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-19 17:17
โพสต์ 55,312 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-19 17:17
โพสต์ 55,312 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-19 17:17

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังงาน +50 ย่อ เหตุผล
Admin + 50

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-20 01:12:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-20 01:17







ยามจื่อในคืนนั้นลมหนาวพัดผ่านทะเลทรายรอบค่ายทหารอย่างแผ่วเบา พื้นดินแข็งเย็นจัดจนชอนไชทะลุรองเท้าทะลวงเข้าสู่กระดูก คบไฟตามแนวรั้วส่องแสงสลัวทอดเงาสะบัดไหวลงบนผืนทรายที่ไร้ร่องรอยผู้คน ทุกอย่างสงบนิ่งอย่างที่ควรจะเป็น

แต่แล้วเสียงหวีดแหลมบางเบาก็กรีดผ่านความเงียบจากทิศตะวันออก ลมพลันตวัดแรงราวมีชีวิต หอบเอากลิ่นเน่าเหม็นฉุน กับกลิ่นโลหะคาวเลือดแทรกซึมเข้ามาในค่ายภายในพริบตาเดียว

ทหารเวรแนวหน้าเบิกตากว้างเมื่อเห็นเงาดำในม่านหมอกเริ่มเคลื่อนไหว รวดเร็วและบิดเบี้ยว ร่างของมันมิอาจจัดอยู่ในเงาของมนุษย์หรือสัตว์ใดที่รู้จักได้เลย

ทันใดนั้นเอง ธงสัญญาณฉุกเฉินก็ถูกยกขึ้นสูงโบกสะบัดพลิ้วไหว พลุไฟสีแดงพุ่งขึ้นฉีกท้องฟ้ายามราตรีอย่างเฉียบพลัน แสงสีเลือดสว่างวาบเหนือลานค่าย เป็นสัญญาณแจ้งเตือน ‘ภัยเหนือธรรมชาติ’ ที่กำลังรุกรานเข้ามา

ค่ายทั้งค่ายตื่นสะท้าน เหล่าทหารลุกฮือจากที่หลับที่นอน ชักอาวุธด้วยความเร่งรีบ ฝีเท้าที่บรรดาทหารวิ่งสับสนประสานกันเป็นเสียงเดียว ซิ่วอิงสะดุ้งลืมตาขึ้นในทันทีลมหายใจแรกของนางเต็มไปด้วยกลิ่นเหล็กและกลิ่นเหม็น  มือขวาของนางรีบคว้าเอาด้ามง้าวแทบจะในจังหวะเดียวกับที่มือซ้ายคว้าชุดเกราะแล้วรีบออกไปจากกระโจม

ซิ่วอิงก้าวพ้นจากกระโจมในชั่วอึดใจ ดวงตาคมกริบของนางกวาดไปรอบลานค่ายที่บัดนี้จมอยู่ในความโกลาหล เสียงคำสั่ง เสียงฝีเท้า เสียงอาวุธกระทบกันสะท้อนก้องไปทั่ว แสงแดงจากพลุไฟยังคงลอยอยู่เหนือศีรษะฉายให้เห็นละอองหมอกที่เริ่มคืบคลานเข้ามารอบรั้วค่าย

แต่หมอกนั้น...ไม่ใช่หมอกธรรมดา…

มันเย็นยะเยือกจนแม้แต่เกราะเหล็กยังเกิดน้ำค้างแข็งเคลือบหนา พลังงานบางอย่างแฝงตัวอยู่ภายใน มันเหมือนกับลมหายใจของภูตพราย บีบคั้นจิตใจให้หวาดกลัวและสับสน 

“เรียนท่านแม่ทัพ! เงาประหลาดนั่นมีรูปร่างคล้ายเงาทหารฮั่นมากขอรับ พี่น้องของเราที่เข้าใกล้ต่างสติหลุดเลือน พูดเพ้ออะไรก็ไม่รู้ขอรับ” 

เสียงรายงานของทหารหนุ่มจบลงพร้อมกับเสียงหวีดลมที่ดังแทรกเข้ามาอย่างไร้ต้นสาย ลมหอบเอาหมอกสีหม่นที่ยิ่งหนาทึบจนเริ่มกลืนกินแนวคบไฟหน้าค่ายให้ดับลงทีละดวง 

ไม่นานนักทหารอีกสองนายก็ถูกพยุงกลับเข้ามาโดยสหายร่วมกอง สีหน้าทั้งคู่ซีดขาว ดวงตาเบิกโพลงราวไม่เห็นสิ่งใดตรงหน้า มือไม้สั่นเทาไม่หยุด ปากเอาแต่พึมพำอะไรบางอย่าง

“ในหมอก...มีดวงตา...มันจ้องมองข้าอยู่...”

อีกคนสะอื้นเงียบ พึมพำซ้ำ ๆ 

“เสียงนั้น...มาจากอีกฟากหนึ่งของโลก...ข้าได้ยินมัน...ข้าได้ยินชัดเจน...”

เสียงแตรคำสั่งดังขึ้นอย่างเฉียบพลัน แม่ทัพฮั่วผู้สวมเกราะสีเงินยืนตระหง่านอยู่บนแท่นบัญชาการ เสียงของเขาทะลุหมอกและเสียงโกลาหลลงมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ทหารหรงซิ่วอิง! จัดหน่วยสังเกตการณ์กลางคืนทันที เอานักพรต พลธนูเวท และพลสื่อสารไปด้วย เราต้องรู้ให้ได้ว่าหมอกนี้มีจุดเริ่มต้นที่ใด มันเคลื่อนที่อย่างไร และมันทะลุแนวเขาเข้ามาจากที่ใด เตรียมตัวให้พร้อมภายในสิบห้านาที!”

“ซิ่วอิงรับบัญชา!” ซิ่วอิงตอบรับเสียงดัง พลันหมุนตัวไปออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“เกาเหยียนเจ้าไปตามคนให้ข้า”

“ขอรับลูกพี่” เกาเหยียนเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบไปจัดการทันที

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ หน่วยสังเกตการณ์กลางคืนก็ตั้งแถวพร้อมที่แนวรั้วตะวันออก ซิ่วอิงตรวจสอบชุดเกราะและง้าวในมืออีกครั้ง ดวงตาของนางจ้องแนวหมอกที่คืบเข้ามาอย่างช้า ๆ

แม่ทัพฮั่วมองฝ่าหมอกหนาทึบที่คืบคลานเข้ามาด้วยความระแวดระวัง เขาเหลือบมองไปยังหน่วยที่ซิ่วอิงจัดตั้งไว้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มผู้เป็นนักพรตสวมชุดคลุมปักยันต์ยืนหลับตานิ่ง ธนูเวทจับคันธนูแน่นลมหายใจเป็นควันสีขาว และพลสื่อสารซึ่งพร้อมม้าขี่ข้างกายก็ยืนประจำตำแหน่งเตรียมพร้อมรอคำสั่ง

แม่ทัพฮั่วยกมือขึ้นก่อนเปล่งวาจา

“หน่วยสังเกตการณ์กลางคืน ฟังให้ดี!” เสียงของเขาชัดเจนและเฉียบขาด “พวกเจ้าต้องเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะปลอดภัย โดยต้องไม่ข้ามแนวหมอกเข้าไป จงใช้สายตา จิตสัมผัส เพื่อตรวจสอบว่าหมอกนี้เคลื่อนตัวอย่างไร ต้นตออยู่ที่ใด และสำคัญที่สุด…ให้ตรวจดูแนวเขาด้านหลังว่ามีช่องทางลับหรือรอยแยกใดที่เป็นทางให้หมอกเล็ดลอดเข้ามาได้หรือไม่”

เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ

“หากพบทิศทางการเคลื่อนตัวของหมอก หรือการเปลี่ยนแปลงใดก็ตาม ให้ยิงพลุสีน้ำเงินขึ้นสู่ฟ้า หากพบว่าหมอกเริ่มขยายตัวเร็วหรือกระจายเกินแนวป้องกันให้ยิงพลุสีขาว นั่นจะเป็นสัญญาณเตือนการอพยพ”

จากนั้นแม่ทัพฮั่วก็หันไปทางรองแม่ทัพของทัพเหลียงโจว

“เวินซ่าง ท่านจงเตรียมพลชุดเคลื่อนที่เร็วของเหลียงโจวให้พร้อม กองทัพต้องพร้อมเคลื่อนตัวภายในเวลาหนึ่งเค่อ หากจำเป็นเราจะอพยพกำลังส่วนหนึ่งออกจากค่ายทันทีให้พ้นแนวหมอก”

“รับบัญชา!”

แม่ทัพฮั่วตวัดสายตามองไปยังหน่วยของซิ่วอิงอีกครั้ง 

“ทหารหรง หากสถานการณ์บานปลาย...อย่ารีรอที่จะถอย นี่ไม่ใช่ศึกธรรมดาเจ้าจะเอาคนของเราไปเสี่ยงไม่ได้”

“เจ้าค่ะ”

ซิ่วอิงพาหน่วยสังเกตการณ์มาถึงแนวเนินทรายเตี้ยที่ทอดตัวขนานกับรั้วตะวันออก นางยกมือขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดนิ่ง หูของนางจับฟังความเคลื่อนไหวเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง

“พลธนูเวท เจ้าขึ้นเนินไปทางซ้าย ระวังด้วยอย่าข้ามแนวหมอก”

“ขอรับ” พลธนูเวทรับคำก่อนจะไถลตัวแนบผืนทราย แล้วค่อย ๆ เลื้อยขึ้นเนินอย่างเงียบเชียบ

“นักพรต ท่านไปทางขวา ข้าต้องการรู้ว่าหมอกนี้แฝงไอพลังสิ่งใด”

นักพรตพยักหน้าเบา ๆ เขาสะบัดปลายแขนเสื้อ เผยยันต์ผืนเล็กที่พันรอบข้อมือก่อนเริ่มสวดเบา ๆ แล้วเคลื่อนตัวตามคำสั่งอย่างสงบนิ่ง

พลสื่อสารซึ่งอยู่ด้านหลังผูกม้ากับเสาไม้เตี้ย ๆ ย่อตัวลงใกล้พื้น รอส่งสัญญาณทันทีหากได้รับคำสั่ง

ขณะที่คนอื่นแยกออกไป ซิ่วอิงก็ค่อยไปพาตัวเองไปอยู่ในแนวสูงเพื่อคอยสังเกตภาพรวม นางเริ่มกวาดสายตาเหนือทะเลหมอกที่กำลังเคลื่อนไหว

“หมอกนั่น…” นางพึมพำ

ซิ่วอิงเพ่งมองจากแนวสูงบนเนินหินเตี้ยที่ตั้งตัวสูงขึ้นจากผืนทรายรอบค่ายเล็กน้อย ดวงตาของนางกวาดไปรอบแนวหมอกที่กำลังคืบคลานคลุมพื้นดินช้า ๆ แสงจากคบไฟที่เหลือรอดช่วยฉายภาพเงาลาง ๆ ให้พอมองเห็นรูปร่างภายใน 

สายหมอกมิได้ลอยคละกันมั่วซั่ว หากแต่เคลื่อนไหวเป็นชั้นเป็นริ้ว เงาดำภายในก็หาใช่เพียงภาพหลอนจากแสงไฟ มันเคลื่อนไหวจริง มีจังหวะและระยะห่างคงที่เหมือนการลาดตระเวนยังไงอย่างนั้น

“นี่มันอะไรกันเนี่ย…”



ตัวเลือก : ส่งลูกน้องเข้าไปแทน แล้วสังเกตจากแนวสูง



@Admin 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28642 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-20 01:12
โพสต์ 28,642 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-20 01:12
โพสต์ 28,642 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-20 01:12
โพสต์ 28,642 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-20 01:12
โพสต์ 28,642 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-20 01:12
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-20 16:27:31 | ดูโพสต์ทั้งหมด







หมอกยังคงเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ความเย็นยะเยือกคืบคลานเข้ามาราวกับกำลังไล่ต้อนทุกสรรพสิ่งไปสู่ความมืดมิด ซิ่วอิงยืนนิ่งอยู่บนแนวเนินต่ำ สายตาคมกริบของนางกวาดมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบัดนี้เริ่มเห็นบางสิ่งผิดปกติชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

“ทิศนั้น...” นางพึมพำเบา ๆ ไม่นานเสียงจากพลธนูเวททางซ้ายมือก็ดังขึ้น

“อาอิง…ข้าเห็นเงาดำเคลื่อนที่เป็นแนวเรียง เหมือนขบวนทหารไม่มีผิด แต่มันไม่มีเสียงฝีเท้าเลยสักนิด”

ทันใดนั้นเอง นักพรตที่เคลื่อนไหวอยู่ทางขวาก็ส่งเสียงรายงานเข้ามา

“ตอนนี้ไอปีศาจในหมอกกำลังผันแปรและมีจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจบางอย่างในพื้นดิน”

ซิ่วอิงนิ่งไปเพียงอึดใจเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหมอกและรายงานจากทั้งสองทิศสมทบเข้ามาพร้อมกัน เงาดำในหมอกเคลื่อนอย่างมีระเบียบและมีจังหวะบางอย่างในพื้นดินที่คล้ายการเต้นของหัวใจ

ดวงตาของซิ่วอิงหรี่ลง ขณะที่สมองกำลังประมวลผลอย่างเร็ว

“นักพรต! ใช้ยันต์ผนึกพลังตรึงหมอกไว้”

“ขอรับ” 

นักพรตหยิบยันต์จากข้อมือฟาดกับพื้นทรายเบื้องหน้า แสงจาง ๆ วาบขึ้นแล้วดับไป หมอกพลันหยุดนิ่งชั่วขณะ และในห้วงเวลานั้นซิ่วอิงก็เห็นบางสิ่งผ่านม่านหมอก…

เงาทหารในชุดเกราโบราณเคลื่อนที่อย่างพร้อมเพรียง แต่ดวงตาไร้แววชีวิต ร่างบางตนยังมีตราประจำราชสำนักฮั่นโบราณ และตรงใจกลางขบวน...มีเสาศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีตราอาคมขาดวิ่นแต่นางไม่แน่ใจนักว่ามันคืออะไรกันแน่

เพียงพริบตาต่อมา หมอกก็สั่นไหว แรงกดดันกระจายรอบพื้นที่ นักพรตสะอึกเล็กน้อยก่อนจะผงะถอยมา พึมพำเสียงแผ่ว

“ข้าได้ยินมัน…เสียงจากอีกฟากโลก…”

ซิ่วอิงกัดฟันแน่น ก่อนจะตวัดมือให้พลสื่อสารเตรียมพร้อมแต่ยังไม่ให้ยิงพลุ นางยังคงรู้สึกว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอให้สรุปอะไรได้

“พลสื่อสาร ไปนำโคมไฟเซียนขึ้นมาตั้งที่แนวป่าแห้งด้านหน้า ปักไว้ให้เว้นระยะห้าก้าวจากแนวหมอกด้วย อย่าเข้าไปใกล้มันเกินไป”

“รับคำสั่ง!”

ซิ่วอิงจดจ้องแนวหมอกที่เริ่มคืบคลานอีกครั้ง ไอเย็นเริ่มแผ่กระจายไปเรื่อย ๆ นางเงยหน้ามองท้องฟ้าเหนือหัว พลุสีน้ำเงินยังอยู่ในมือของพลสื่อสาร แต่นางจะยังไม่สั่งยิง เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลา…


ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อโคมไฟเซียนก็ถูกปักลงตามแนวที่กำหนด แสงไฟสีขาวอมทองค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่เพียงไม่กี่อึดใจ โคมหนึ่งก็ดับวูบ...อีกโคมเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ...จากนั้นก็ดับลงพร้อมเสียงลมหมุน

ซิ่วอิงหันไปสบตาพลสื่อสารแล้วพยักหน้า

“ยิงพลุสีน้ำเงิน!”

เสียงหวีดของพลุแหวกอากาศทะยานขึ้น ฟ้าเหนือค่ายสว่างวาบด้วยแสงสีฟ้า เป็นการแจ้งเตือนแม่ทัพฮั่วว่า ‘หมอกนี้ไม่ใช่หมอกธรรมชาติ และบางสิ่งที่คล้ายวิญญาณระดับสูงกำลังเคลื่อนไหวใกล้แนวค่าย’



ตัวเลือก (ตามลำดับเหตุการณ์) : 
B. ส่งนักพรตใช้ยันต์ผนึกพลังกลางหมอก
D. ล่อหมอกออกมาโดยการตั้ง “โคมไฟเซียน” ไว้ที่แนวป่าแห้งด้านนอก
C. ยิงพลุสีน้ำเงินแจ้งฐาน


@Admin 







แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15808 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-20 16:27
โพสต์ 15,808 ไบต์และได้รับ +6 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-20 16:27
โพสต์ 15,808 ไบต์และได้รับ +2 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-20 16:27
โพสต์ 15,808 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +2 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-20 16:27
โพสต์ 15,808 ไบต์และได้รับ +5 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +5 คุณธรรม +5 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-20 16:27
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-21 21:55:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-6-22 13:22







พื้นทรายที่อยู่ใต้โคมไฟเซียนเริ่มสั่นไหวเบา ๆ ก่อนที่เสียงกรอบแกรบจะดังแทรกออกมาจากใต้ผิวทรายมีบางสิ่งกำลังแตกร้าว ละอองไอน้ำในอากาศเกาะตัวแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...แผ่นทรายโดยรอบโคมกลายเป็นผลึกน้ำแข็งใสแข็งแกร่ง พื้นดินราวกับถูกพันธนาการโดยไอเย็นจากใต้โลก

ทันใดนั้นเองเสียงสะท้อนบางเบาก็กังวานแทรกผ่านม่านหมอกมา 

“ใครปลุกข้าจากสุสานแห่งเหมันต์...ใครนำไฟเซียนมาเหยียบถิ่นข้า...”

แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบา แต่หน่วยสังเกตการณ์ทุกคนที่อยู่แนวหน้าได้ยินชัดเจนราวกับมันพูดกระซิบอยู่ข้างหู ซิ่วอิงนิ่งไปทันที ใจของนางเต้นวูบ นางรู้แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นว่านี่ไม่ใช่เพียงหมอกปีศาจธรรมดาทั่วไปอีกต่อไป แต่มันถูกควบคุมโดยวิญญาณระดับแม่ทัพหรือไม่ก็ขุนศึกโบราณที่ยังคงผูกพลังไว้กับดินแดนแห่งนี้…

จุดที่โคมดับเมื่อครู่ บัดนี้เกิดแรงหมุนของหมอกอย่างชัดเจน มันกลายเป็นจุดศูนย์กลางใหม่ ละอองหมอกพุ่งเข้าไปรวมตัวบริเวณนั้นอย่างเร่งรัด ความเย็นที่แผ่กระจายกลับยิ่งทวีคูณ

ซิ่วอิงกัดฟันแน่น

“พวกเราจะต้องเปิดทางค้นหาต้นกำเนิดหมอกบ้านี่ ก่อนที่หมอกจะกลืนค่ายไปทั้งค่าย”

แต่ก่อนที่นางจะได้ออกคำสั่ง นักพรตเซี่ยอวิ๋นที่ยืนตรึงยันต์อยู่อีกฟากก็สั่นสะท้าน ยันต์บนพื้นทรายเริ่มสั่นไหวก่อนจะไหม้ช้า ๆ จากมุมล่าง พร้อมกับเสียงแหลมกรีดแทรกเข้ามาในโสตประสาท

“เจี้ยนเหวิน...เจี้ยนเหวินอยู่หรือไม่...จงคืนดาบให้ข้า…”’

ดวงตาของเซี่ยอวิ๋นเบิกกว้าง เขาทรุดลงคุกเข่าทันที มือขวายังพยายามยึดยันต์ไว้ขณะมันถูกไฟอาคมกลืนช้า ๆ เลือดกำเดาไหลลงมาจากจมูก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงและผิดจังหวะจนแทบจะหายใจไม่ทัน เขารีบผละออกจากจุดนั้น หมอกที่เคลื่อนตัวอยู่กลับหยุดนิ่งกะทันหัน จากนั้นมันก็เริ่มถอยกลับทีละชั้น ทีละริ้ว เหมือนสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่เพิ่งถูกจี้จุดอ่อนโดยไม่คาดคิด และบัดนี้กำลังถอยห่างเพื่อเฝ้าระวังและเตรียมการโต้กลับครั้งใหญ่

“มันตอบสนองต่อไฟเซียน...และมันเอ่ยชื่อเจี้ยนเหวิน...ใครคือเจี้ยนเหวินกันแน่...?”

ซิ่วอิงจ้องมองหมอกที่เริ่มถอยร่นพร้อมความเย็นยะเยือกที่ยังคงปะทะใบหน้าราวกับหิมะกลางเหมันต์ นางมิลังเลแม้แต่น้อย รีบหันไปหาพลสื่อสารทันที

“ส่งรายงานไปยังแม่ทัพฮั่วโดยตรง บอกท่านว่ามีเสียงจากหมอกเอ่ยนาม ‘เจี้ยนเหวิน’ และหมอกกำลังตอบสนองต่อไฟเซียนอย่างผิดธรรมชาติ จุดที่โคมดับกลายเป็นศูนย์กลางหมุนพลัง และอาจเป็นที่มาของการตื่นของวิญญาณระดับขุนศึก!”

“ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้!” พลสื่อสารตอบรับก่อนจะคว้าม้าคู่ใจ กระชับสายบังเหียนและทะยานกลับสู่ใจกลางค่ายทันที


ภายในค่าย

เมื่อเสียงพลุสีฟ้ายังไม่ทันจางหายจากฟากฟ้า พลสื่อสารก็มาถึงหน้าแท่นบัญชาการ แม่ทัพฮั่วที่ยืนอยู่ท่ามกลางแผนที่ผืนผ้าขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยรองแม่ทัพและขุนพลฝ่ายต่าง ๆ เงยหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินรายงาน

“ชื่ออะไรนะ?”

เสียงของแม่ทัพฮั่วทุ้มต่ำและชัดเจน

“เจี้ยนเหวินขอรับ วิญญาณในหมอกเอ่ยชื่อนี้ออกมาอย่างชัดเจน และหมอกกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมคล้ายมีสติปัญญา...”

แม่ทัพฮั่วนิ่งไปชั่วอึดใจ ดวงตากวาดมองไปรอบค่ายแล้วตวัดมือออกคำสั่งเด็ดขาดทันที

“พลสื่อสาร! สั่งให้เริ่มวาง ยันต์เวทย์สกัดหมอกรอบแนวค่ายทั้งหมด อย่าให้เหลือช่องว่างแม้แต่หนึ่งฝ่ามือ”

เขาชี้ไปที่นายกองอีกคน

“เจ้าไปปลุกนักพรตอาวุโสประจำค่ายขึ้นมา ข้าต้องการให้เขาวิเคราะห์ชื่อ ‘เจี้ยนเหวิน’ ทันที ดูว่ามีบันทึกในคัมภีร์โบราณหรือไม่!”

ก่อนที่เขาจะหันไปหารองแม่ทัพเวินซ่างจากเหลียงโจว

“เวินซ่าง! ท่านจงเตรียมกองเคลื่อนที่เร็วของเหลียงโจว เผื่อกรณีต้องอพยพหรือฝ่าหมอกเข้าไป"

เวินซ่างซึ่งอยู่ไม่ห่างพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

“ข้าจะเตรียมกำลังและม้าศึกเตรียมไว้ภายในเวลาครึ่งเค่อ ขอรับ”


ยามอิ๋น ณ แนวรั้วตะวันออก

สายลมสงัด...ท่ามกลางทะเลทรายที่แข็งเย็นยะเยือกดั่งเหล็กกล้า ซิ่วอิงยืนแน่นิ่งอยู่บนเนินเตี้ย ดวงตากวาดมองแนวหมอกที่ยังคงสั่นไหวเป็นระลอก เงาทหารลาง ๆ ที่เคยเห็นเมื่อหัวคืนนั้น ค่อย ๆ จางหายราวกับไม่เคยมีอยู่จริง

และทันใดนั้นเอง…

ตุ่ม…ตุ่ม…ตุ่ม…

เสียงกลองทุ้มต่ำดังแว่วจากใจกลางหมอก ชัดเจนและห่างเท่า ๆ กัน

“นั่น...เสียงอะไร?” นักพรตข้างตัวซิ่วอิงเอ่ยแผ่ว ริมฝีปากแทบไม่ขยับ

ยังไม่ทันได้คำตอบเสียงกลองชุดใหม่ก็ดังขึ้น คราวนี้เร็วกว่าก่อนหน้าคล้ายการปลุกระดม

ตุ่ม ตุ่ม ตุ่ม ตุ่ม ตุ่ม!

หมอกตรงกลางพลันหมุนวนรุนแรงราวถูกดูดเข้าสู่จุดศูนย์กลางที่มองไม่เห็น เงาดำกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้...พวกมันยืนเรียงเป็นแถวแน่นเป็นขบวน เหมือนกองทหารในพิธีฝังศพศักดิ์สิทธิ์ เงียบงัน แต่เปี่ยมด้วยแรงอาฆาต

ซิ่วอิงตัดสินใจเด็ดขาด

“จัดหน่วยลับ เคลื่อนที่แนวเฉียงเข้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายคือจุดศูนย์กลางเสียงกลอง ท่านนักพรต นำยันต์ผนึกกลองวิญญาณไปวางบนหินเจดีย์กลางหุบ ห้ามขานตอบเสียงใดในหมอกเด็ดขาด!”

นักพรตพยักหน้า สีหน้าเครียดขรึม

“ถ้าขานรับชื่อของตนในหมอก...เราจะกลายเป็น ‘ผู้ถูกผนึกกลับด้าน’ ทันที”

พวกเขาฝ่าหมอกเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เสียงกลองยังคงดังระลอกต่อระลอก เบาบ้าง ถี่บ้าง ไม่เป็นจังหวะนักรบ แต่เป็นจังหวะสะกดดวงวิญญาณ

เมื่อมาถึงจุดศูนย์กลาง หมอกที่ปั่นป่วนก็พลันฉีกเปิดราวม่านผ้าถูกกระชาก เผยให้เห็นหินเจดีย์โบราณแท่งหนึ่ง โผล่พ้นพื้นดินกลางเวิ้ง ด้านหนึ่งของเจดีย์มีสลักชื่อ ‘เจี้ยนเหวิน’ ด้วยอักขระโบราณที่ยังแผ่ไอสงครามออกมาอ่อน ๆ อีกด้านสลักคำว่า ‘อ๋องผู้ไร้หน้า’

รอบหินเจดีย์เงาทหารเกราะโบราณสิบสองตนยืนล้อมเป็นวงแน่น พวกมันไร้ลมหายใจ พวกมันไร้ลมหายใจ ไม่มีสีหน้า ไม่มีลูกตา ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเหมือนกับหุ่นวิญญาณ ที่ถูกสั่งให้เฝ้าดวงจิตหลักของขุนศึกเจี้ยนเหวิน

บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนที่นักพรตเซี่ยอวิ๋นจะยื่นยันต์ผนึกออกมา มือสั่นเล็กน้อยขณะก้าวไปใกล้เจดีย์ และในห้วงนั้นเอง...เสียงกระซิบก็ดังขึ้นจากรอบทิศ

“เซี่ยอวิ๋น...เซี่ยอวิ๋น...กลับมา...เรารอเจ้าอยู่นานแล้ว…”

เสียงนั้นใช้เสียงเดียวกับมารดาที่ตายไปของเขา แต่นักพรตหลับตาแน่น ไม่ขาน ไม่หัน 

ทันใดนั้น…

ก่อนที่นักพรตจะกดยันต์ลงบนแท่นหินเจดีย์ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาในหัวของเขา

“อย่าทำ...เจ้าจะปลุกเขาให้ตื่นโดยสมบูรณ์...”

เสียงนั้นดังก้องในจิต ไม่ใช่ผ่านหู และมันใช้ ‘เสียงของตัวเขาเอง’ พูดกับเขา มือที่กำยันต์อยู่เริ่มสั่นหนักขึ้น...ยันต์เวทที่สว่างไสวเริ่มแปรเปลี่ยนสี กลายเป็นสีเทาหม่น นักพรตชะงักชั่วขณะ พลังลี้ลับบางอย่างแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ เขาพยายามจะเรียกสติของตัวเอง แต่ในจังหวะนั้นเอง…

ปึง!

เสียงกระแทกบางอย่างดังขึ้นจากพื้นหินเบื้องหลัง หุ่นวิญญาณหนึ่งในสิบสองตนขยับแขนเล็กน้อย ดวงตาสีเลือดลุกวาบขึ้นราวกับจับสัญญาณบางอย่างได้ และแล้วเสียงกลองก็เปลี่ยนจังหวะ…

ตุ่ม ตุ่ม ตุ๊ม! ตุ๊ม! ตุ๊ม!

จังหวะกลองนี้ซิ่วอิงรู้ดีว่ามันคือเสียงกลองเดินทัพ…

เหล่าเงาทหารที่ยืนเรียงรายรอบหินเจดีย์ เริ่มย่างเท้าออกพร้อมกัน หมอกเบื้องหลังพวกมันฉีกออกเป็นร่องกว้าง เผยให้เห็นเส้นทางอันดำมืดที่ทอดยาวสู่ใจกลางค่ายหลวง มันคือ ‘ทางอพยพแห่งความตาย’ เส้นทางลับบัดนี้ถูกเปิดขึ้นจากภายใน!

เงาทหารเงียบงันไม่เปล่งเสียงใด...แต่ใต้หมวกเกราะของพวกมันเริ่มปรากฏ เนื้อหนังที่กำลังก่อร่างใหม่เป็นวิญญาณนักรบ ฟื้นคืนในร่างชั่วคราว

ซิ่วอิงเบิกตากว้างทันทีที่รู้ตัว

“ไม่ทันแล้ว! พวกมันกำลังเคลื่อนผ่านแนวค่ายจากด้านใน!”


ณ ใจกลางค่ายหลวง

เสียงแตรเตือนภัยยังไม่ทันสิ้นสุด…

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!!

พื้นดินกลางค่ายหลวงค่อย ๆ แตกออกเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ เปลวหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นจากรอยแยกพร้อมเสียงคำรามต่ำ ๆ ของบางสิ่ง

ตุบ…ตุบ…ตุบ…ตุบ…

“มันมาแล้ว!” เสียงทหารเวรตะโกน

จากรอยแยกนั้นร่างสูงใหญ่ของ ทหารเกราะโบราณทั้งสิบสองตน ทะยานขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า แต่ทรงพลัง พวกมันเข้าประจำตำแหน่งราวกับรู้จักแผนผังค่ายอย่างดี และเบื้องหลังของพวกมันนั้น…

“เจ้าสินะ คือ…เจี้ยนเหวิน”

เสียงแม่ทัพฮั่วกล่าวเสียงเรียบ เมื่อเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอหมอก ร่างชายในชุดขุนศึกสมัยโบราณ กายแกร่งดั่งหินศักดิ์สิทธิ์ ผิวเนื้อแน่นตึงราวยังมีชีวิต แต่ในดวงตากลับมีเพียงหมอกแห่ง แต่ในดวงตากลับมีเพียงหมอกแห่งความตาย เขายกดาบพิชัยสงครามขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะออกคำสั่งแก่ร่างทหารทั้งสิบสองตน

“ฆ่ามันให้หมด!”

ฝูงทหารเงาเริ่มบุกทะลวงแนวค่าย! เสียงเกราะกระทบ เสียงฝีเท้าดังก้อง

"ทุกหน่วย! ตั้งแนว! ป้องกันเขตกลางค่ายให้ได้!"

เสียงแม่ทัพฮั่วตะโกนลั่น แต่ทัพหลวงหลายส่วนเริ่มแตกกระเจิง ทหารหน่วยหนึ่งที่ประจำโรงเก็บเสบียงปะทะกับหุ่นเกราะสามตน เสียงหนึ่งร้องลั่น ขณะที่แขนของเขาถูกทับโดยโล่ของศัตรูจนแหลกละเอียด เพื่อนร่วมกองรีบดึงร่างเขากลับ แต่สายเกินไปหุ่นตนนั้นหันกระบี่แทงทะลุแผ่นหลังอีกคนก่อนเหวี่ยงร่างลอยไปกระแทกเสาไม้ เสียงการปะทะของดาบกับโล่ หอกกับเนื้อ และ เสียงกู่ร้องของผู้บาดเจ็บดังไปทั่วค่าย

ซิ่วอิงพร้อมหน่วยลับรีบกลับมาที่ค่ายเพื่อสมทบทันที นางพุ่งเข้ากลางวงล้อม พลิกง้าวฟันเฉียง แรงจากการโจมตีทำให้หุ่นวิญญาณหัวขาดหนึ่งตนทรุดลงกับพื้น เลือดของพวกพ้องเปื้อนเสื้อคลุมนางเป็นปื้นแดง ทหารหนุ่มข้างตัวนางร้องออกมา

“อาอิง ข้างหลัง!”

แต่ก่อนที่ซิ่วอิงจะหันกลับ หุ่นอีกตนกระโจนใส่เงื้อดาบฟาด ง้าวของนางยกขึ้นทันต้านแรงของดาบได้ทันเสียงโลหะเสียดกันดังจบแสบหู นางกัดฟันใช้ขาเตะเข้าข้อพับศัตรู จากนั้นถีบเต็มแรงจนล้มตึง แล้วซ้ำด้วยง้าวจ้วงแทงทะลุคอเกราะ มันดิ้นสองครั้งก่อนสงบนิ่ง

ขณะที่แนวรบดูเหมือนจะรักษาไว้ได้แล้ว แม่ทัพฮั่วก็พุ่งเข้าประจันหน้ากับเจี้ยนเหวิน ดาบของอดีตขุนศึกฟาดใส่ด้วยแรงอาฆาตจากอดีต แรงสะท้อนมหาศาลทำให้แม่ทัพฮั่วต้องถอยสามก้าว เขาเหวี่ยงทวนตวัดล่างเฉียงขึ้นเฉือนท้องเจี้ยนเหวินโลหะเกราะแตกระเบิดเป็นประกายไฟ

เจี้ยนเหวินไม่หลบเขาใช้ดาบฟาดตอบตรงกลางทวน เสียงกังวานสะท้อนดังกลางค่าย การปะทะรุนแรงขึ้นทุกวินาที ทหารหลายสิบนายตายคาที่ แนวกำแพงบางส่วนถล่มลงเมื่อหุ่นวิญญาณทุบฐานรากด้วยโล่เวท

อีกด้านหนึ่งนักพรตอาวุโสกำลังเตรียมยันต์ผนึกสุดท้าย เขาเริ่มร่ายบดสวดอย่างตั้งใจแต่สายตาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เขาจำเป็นต้องติดมันที่หินเจดีย์ให้ได้

“อย่าปล่อยให้ขุนศึกขัดขวางการลงยันต์เด็ดขาด! พวกท่าน...ยื้อมันไว้ให้ได้!”

ซิ่วอิงและแม่ทัพฮั่วสบตากันเพียงเสี้ยววินาที แล้วทั้งสองก็โถมแรงทั้งหมดเข้าประจัญหน้าเจี้ยนเหวินอีกครั้ง ง้าวฟาดปะทะกับดาบ ทวนแทงทะลวงใต้รักแร้ของวิญญาณ เลือดดำทะลักออกจากรอยแผล ก่อนที่ซิ่วอิงจะผละออกไปช่วยคุ้มกันท่านแม่ทัพจากหุ่นอีกตัวที่กำลังเข้ามา

เสียงกู่ร้องแห่งการรบดังกระหึ่มไปทั่วค่าย กลิ่นควัน เลือด และหมอกปีศาจหลอมรวมเป็นอากาศที่ไม่อาจหายใจได้เต็มปอด ทว่าซิ่วอิงและแม่ทัพฮั่วกลับยิ่งเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว

อ๊ากก!!!

เสียงร้องสุดท้ายของหุ่นวิญญาณตนหนึ่งดังขึ้นเมื่อง้าวของซิ่วอิงแทงทะลุเบ้าตา มันชักกระตุก ก่อนร่างจะล้มโครมลงกับพื้น

ด้านข้างแม่ทัพฮั่วเริ่มได้เปรียบ ทวนในมือของเขาตวัดด้วยความแม่นยำ เขาเคลื่อนไหวอย่างนักรบผู้ผ่านศึกมาทุกสนาม ด้วยเท้าที่หนักแน่นดั่งภูผาและแรงแทงดั่งวายุพัดโถม

เจี้ยนเหวินเริ่มเสียจังหวะ ดาบของเขาหนักอึ้งขึ้นทุกครั้งที่ฟาดฟัน ราวกับร่างเนื้อของเขากำลังเสื่อมถอยทุกวินาทีที่อยู่บนโลกนี้

"เจ้าสูญเสียจุดศูนย์กลางของจิตแล้ว!" 

แม่ทัพฮั่วตะโกนเสียงดัง พร้อมแทงทวนพุ่งเข้ากลางอกเจี้ยนเหวิน ปักลึกจนอีกฝ่ายกระอักเลือดดำพรั่งพรูออกจากปาก

“มันจะไม่จบลงง่าย ๆ แบบนี้หรอก…”

เสียงเจี้ยนเหวินแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต เขายกดาบครั้งสุดท้ายหวังจะฟันลงแม้ตนเองจะแตกดับก็ตาม แต่ทว่า…

จู่ ๆ เสียงสวดแหลมสูงก็ดังกึกก้อง นักพรตอาวุโสที่ทุ่มเทพลังสุดท้าย เรียกพลังธาตุจากฟ้าและดิน ลงยันต์ศักดิ์สิทธิ์ใบสุดท้ายกลางค่าย ทันทีที่ยันต์สัมผัสหินเจดีย์ เสียงตูม! ดังสนั่น หมอกทั้งค่ายสั่นสะเทือน กองทหารเงาที่บุกเข้ามาชะงักราวกับถูกกระชากเชือกไว้กลางอากาศ

ยันต์ผนึกเริ่มทำงานแสงสว่างบริสุทธิ์พวยพุ่งจากอักขระกลางเจดีย์ พาดผ่านพื้นดินด้วยความเร็วเหนือสายตา ลำแสงแตกตัวออกเป็นวงวงเวทย์ซ้อนกันหลายชั้น ล้อมหินเจดีย์ วิญญาณ และร่างเงาทหารทั้งหลายราวกับใยแมงมุมอาคม

เสียงคำรามของขุนศึกเจี้ยนเหวินแผดลั่น

"เจ้า...กล้าผนึกข้าอีกครั้งรึ!!!"

ดาบของเขายังชูขึ้นเหนือหัว แต่ร่างกลับสั่นระริก เส้นเลือดดำพาดผ่านผิวหนังราวกับหมึกปีศาจกำลังไหลย้อนเข้าสู่ต้นกำเนิด ดาบในมือเริ่มแตกร้าว เสียงแตกระเบิดของพลังสะท้อนสะเทือนทั่วทั้งค่าย

เงาทหารที่ยังเหลือรอดอยู่เริ่มทรุดลงทีละตน ทีละตน ทีละตน...

ปึง!

ปึง!!

ปึง!!!

เสียงร่างเหล็กล้มกระแทกพื้นดังกึกก้อง ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือน มวลหมอกดำที่แผ่คลุมฟ้าค่อย ๆ ถูกดูดกลับเข้าสู่เจดีย์อย่างรุนแรงราวกระแสน้ำวน หมอกหมุนวนกลับเข้าไปทาง ‘ทางอพยพแห่งความตาย’ ที่เคยเปิดออก

เจี้ยนเหวินพยายามฝืนร่างเดินไปข้างหน้า แต่เท้าของเขากลับติดตรึงอยู่กับพื้น มือที่ยกดาบเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหมอก ก่อนที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างจะเริ่มระเหิดหายไป

“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”

ร่างของเขาสลายกลายเป็นเงาดำแตกเป็นเศษหมอกที่ถูกดูดเข้าหินเจดีย์ เสียงคำรามครั้งสุดท้ายถูกกลืนหายไปในกระแสพลังผนึกที่เริ่มปิดปากทางทุกสาย

ตึงงงงง!!!

หินเจดีย์สั่นไหวครั้งสุดท้าย ก่อนจะเรืองแสงแดงเรื่อและสงบนิ่งในที่สุด…

เสียงเฮดังกระหึ่มไปทั่วค่ายหลวง ทหารที่รอดชีวิตต่างโห่ร้องชื่อแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งกู่ก้องให้กับชัยชนะอันแสนหฤโหด เสียงเกราะกระทบกัน กลิ่นควันและเหล็กยังอบอวลในอากาศ แต่ในแววตาของทุกคนกลับมีแววแห่งความหวังปะปนอยู่บ้างแล้วเป็นครั้งแรก

ซิ่วอิงยืนอยู่ท่ามกลางเสียงเฉลิมฉลองนั้น นางหอบหายใจหนัก ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้าที่เริ่มเปิดขึ้นจากม่านหมอก นางยิ้มออกมาเพียงนิดเป็นรอยยิ้มแห่งความโล่งใจ

แต่แล้ว...

โครม!

โลกหมุนเคว้ง ร่างของนางทรุดฮวบลงทันทีเหมือนเชือกที่ถูกตัดขาด ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อยก่อนเลือนลาง ม่านตาไม่โฟกัส เสียงรอบข้างค่อย ๆ จมหายลงไปในความเงียบ

“หรงซิ่วอิง!”

แม่ทัพฮั่วที่อยู่ใกล้คว้าร่างนางไว้ได้ทัน เขาคุกเข่าลงทันที แขนข้างหนึ่งประคองแผ่นหลังนางไว้ อีกข้างแตะที่ข้อมือของนางเพื่อตรวจชีพจร

“ตามหมอทหาร!”

แม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้งตะโกนออกมาเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและฝุ่นควัน เขาก้มลงช้อนร่างของหรงซิ่วอิงขึ้นมาในอ้อมแขนทันที ก่อนจะก้าวฉับออกจากสนามรบกลางค่ายไปยังกระโจมรักษาพยาบาล ไม่รอให้ใครมาช่วย ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพฝ่าทะลุหมู่คนที่ยังคงวุ่นวายไปด้วยแววตาแน่วแน่ มุมปากตึงแน่น


ณ กระโจมรักษาพยาบาล

ม่านผ้าแหวกออกพร้อมเสียงฝีเท้าหนักแน่นของแม่ทัพฮั่ว เขาวางร่างของซิ่วอิงลงอย่างระมัดระวังบนเสื่อรองเตียงอย่างระมัดระวัง

“ตรวจชีพจรนางก่อน แล้วดูบาดแผลทุกแห่ง” เขาออกคำสั่งอย่างตรงไปตรงมา

หมอทหารรีบเข้ามา ตรวจชีพจรและตรวจสอบร่างกายอย่างชำนาญ ดวงตานิ่งพินิจ ก่อนเอ่ยเสียงมั่นใจ

“ชีพจรสม่ำเสมอ แต่อ่อนลงจากความเหนื่อยล้าสะสมขอรับ ไม่ใช่อาการภายในร้ายแรง”

หมอทหารผละออกแล้วพูดต่อ

“บาดแผลตามร่างกาย บางจุดมีฟกช้ำและแผลเฉียงจากของมีคม แต่ไม่มีแผลลึกถึงจุดอันตราย เป็นการบาดเจ็บจากการต่อสู้และแรงกระแทกมากกว่าขอรับ ก่อนหน้านี้นางเคยได้รับบาดเจ็บจากการถูกโบย และ ทำงานหนักหลายอย่าง นาง…คงเพียงแค่หมดแรง”

แม่ทัพฮั่วพยักหน้าเงียบ ๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะมองมือของซิ่วอิงซึ่งมีรอยบาดจนเลือดซึม

“ฝากท่านดูแลด้วยแล้วกัน”

“ท่านแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าจะทำการล้างแผลแล้วจ่ายยาให้ พักฟืนสักคืนก็น่าจะดีขึ้นแล้วขอรับ ”

เขาไม่กล่าวสิ่งใดอีกเพียงพยักหน้าให้หมอทหาร แล้วหันหลังเดินออกจากกระโจมฝีเท้าหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่แฝงอยู่ภายใน ม่านผ้าปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลมยามค่ำ ยามที่เงาของแม่ทัพค่อย ๆ หายไปในความมืดภายนอก เหลือไว้เพียงกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ และเสียงลมที่พัดลอดผ่านผ้าใบกระโจมท่ามกลางความเงียบงัน


-จบเควสปลดล็อกหัวใจ-

หลักฐานการต่อสู้
แพ้ รางวัลปลดล็อกหัวใจสำเร็จอย่างเดียว



จบพาร์ท : สภาพแวดล้อมแห่งชิงไห่

รางวัล (ความคืบหน้า):
10% ของภารกิจหลัก



@Admin 








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 75504 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-21 21:55
โพสต์ 75,504 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-21 21:55
โพสต์ 75,504 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-21 21:55
โพสต์ 75,504 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-21 21:55
โพสต์ 75,504 ไบต์และได้รับ +15 EXP +1 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +40 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-21 21:55
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-22 15:16:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย RongXiuying เมื่อ 2025-7-8 16:17







ซิ่วอิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ความรู้สึกหนักศีรษะยังคงเกาะอยู่ที่ขมับ เงากระโจมผ้าใบสีน้ำตาลอ่อนค่อย ๆ ชัดขึ้นในสายตา กลิ่นสมุนไพรเจือจางในอากาศ บอกได้ทันทีว่านางอยู่ในกระโจมรักษาพยาบาล แต่สิ่งที่นางไม่แน่ใจคือ เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? นางจำได้เพียงเสียงสุดท้ายของเจี้ยนเหวิน...แล้วโลกก็ว่างเปล่า

เสียงหนึ่งทักขึ้นทันทีที่นางขยับตัวเบา ๆ

“เจ้าฟื้นแล้ว!”

ซิ่วอิงผงะเล็กน้อย หันไปตามเสียง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดพลทหารธรรมดาแต่สวมผ้ากันเปื้อนของหมอทหาร มือข้างหนึ่งถือถาดยา อีกข้างถือแผ่นไม้ไผ่สำหรับจด นัยน์ตาเขาดูเป็นมิตรแต่แฝงความอ่อนล้าจากการอดนอน

“ที่นี่กระโจมรักษาพยาบาลหรือ?”

เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย พลทหารรีบวางถาดแล้วหยิบขันน้ำขึ้นมาให้

“ใช่ ที่นี่กระโจมรักษาพยาบาล เจ้าหมดสติไปสามวันเต็ม ข้ากับท่านหมอผลัดกันดูอาการเจ้าอยู่ตลอด นึกว่าจะมิตื่นเสียแล้ว…”

ซิ่วอิงรับน้ำจิบเบา ๆ ก่อนถามเสียงแผ่ว 

“เจ้าเป็นใคร?”

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ แล้วโค้งเล็กน้อย

“ข้าชื่อหานชู เป็นผู้ช่วยหมอทหารในกระโจมนี้ ไม่ได้มีตำแหน่งสูงส่งอะไรหรอก แต่ตั้งใจจะเป็นหมอให้ได้ในวันหนึ่ง”

ซิ่วอิงพยักหน้าเล็กน้อย 

“ข้าชื่อหรงซิ่วอิง...ก็แค่…ทหารใหม่ธรรมดานั่นล่ะ”

“ข้า...รู้จักเจ้า” หานชูยิ้มเจื่อน “ชื่อเจ้าดังไปทั้งค่ายแล้ว คนพูดกันว่าเจ้าแทงทะลุตาของหุ่นวิญญาณด้วยง้าว ทั้งที่ตอนนั้นเจ้าก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว”

ซิ่วอิงหัวเราะเบา ๆ แม้ในอกจะยังแน่นอยู่บ้าง 

“มิคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะมีคนเล่าเหมือนเป็นตำนานเสียด้วย แต่มินานก็คงลืมกันไปเอง”

“ที่จริงก็...มีคนเล่าแบบเติมแต่งอยู่บ้าง บางคนบอกว่าเจ้าเหาะได้ด้วยซ้ำ” หานชูพูดติดตลกพลางนั่งลงข้างเตียง

“แล้ว...สถานการณ์ในค่ายตอนนี้ล่ะ?” น้ำเสียงของซิ่วอิงกลับมาจริงจัง

หานชูหันไปมองทางประตูผ้าแล้วตอบ

“สงบแล้ว หมอกหายไปหมดค่ายกำลังฟื้นฟู ที่ผ่านมาสองวันไม่มีสัญญาณการตื่นของหมอกอีก แม่ทัพฮั่วสั่งเสริมแนวผนึกรอบเจดีย์แล้วและตอนนี้มีเวรยามเพิ่มสามเท่า ส่วนหินเจดีย์ก็มีนักพรตผลัดเวรเฝ้าไม่ขาดแม้ในยามดึก”

ซิ่วอิงถอนหายใจช้า ๆ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“ข้าหลับนานขนาดนั้นเชียวหรือ...”

หานชูพยักหน้า 

“สามวันเต็ม เจ้าคงหมดแรงจริง ๆ แผลของเจ้าถูกดูแลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงนัก แค่ยังต้องพัก ข้ายังไม่อนุญาตให้ออกไปลุยในสองวันนี้”

“ใครอนุญาตหรือไม่ ข้าไม่สนอยู่แล้ว” ซิ่วอิงพูดเรียบ ๆ แต่ก็ยกมือขึ้นกดขมับเบา ๆ ราวยอมรับว่าสภาพร่างกายยังไม่ปกติ

“ก็จริง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนฟังง่าย แต่ก็หวังว่าเจ้าจะฟังข้าสักเรื่อง ข้าจะเอายาต้มมาให้ เจ้าอย่าฝืนก็พอ”

ซิ่วอิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ

“ขอบใจเจ้ามาก หานชู”

หลังจากดื่มยาต้มอุ่น ๆ จากมือหานชูจนหมด ซิ่วอิงก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น นางรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง แต่ก็พอเดินไหว พอเดินออกมาพ้นเงากระโจมแสงแดดอ่อนของยามสายก็สาดกระทบใบหน้า จนต้องยกมือขึ้นบังแสง

เสียงขวานสับไม้ดังจากด้านหนึ่ง ขณะที่เสียงสิ่วเคาะแผ่นหินดังก้องจากอีกมุม ชายฉกรรจ์ในชุดทหารบางคนใช้เชือกป่านยึดเสากระโจม เสื่อฟางถูกนำมาปูแทนผ้าที่เสียหาย และเศษไม้ที่แตกหักกองสุมอยู่มุมค่ายรอการเผาทิ้ง ควันจางลอยขึ้นฟ้าพลางเจือกลิ่นเถ้าถ่านและสมุนไพรบางชนิดที่เผาคลุ้งตามความเชื่อของหมอผีท้องถิ่น

เจดีย์กลางค่ายถูกล้อมไว้ด้วยเชือกผ้าไหมแดง ผูกยันต์กระดาษเขียนตัวอักษรอาคมด้วยหมึกดำ กลิ่นธูปเก่าโชยอ้อยอิ่งอยู่ในลมอ่อนที่พัดผ่านมา

และแล้วก็เสียงตะโกนดังจากด้านข้าง

“ลูกพี่!!”

เกาเหยียนโยนค้อนด้ามไม้ลงบนฟางแห้ง แล้ววิ่งฝ่าฝุ่นทรายเข้ามาน้ำตาคลออย่างไม่อายใคร เขาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าซิ่วอิง

“ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว! ข้านึกว่า..ท่าน...” เขาเอ่ยไม่จบน้ำเสียงสั่นเครือ

“ใจเย็นหน่อย ข้ายังมิตายเสียหน่อย”

เกาเหยียนหัวเราะพลางปาดน้ำตา

“พวกเขาห้ามข้าเข้าไปในกระโจม บอกว่าข้าเสียงดังวุ่นวายจนรบกวนหมอ ข้าก็เลยได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ข้างนอก แอบฟังเสียงหมอเดินเข้าออกแทบทุกชั่วยาม”

ซิ่วอิงส่ายหน้าน้อย ๆ

“เจ้าคงวิ่งไปมาเหมือนลิงเป็นแน่แท้”

“ก็อาจจะใช่” เขาหัวเราะแห้ง “แต่ก็เพราะข้าเป็นห่วงท่านจริง ๆ นี่นา”

ซิ่วอิงพ่นลมหายใจเบา ๆ สายตามองไปยังเสาไม้ไผ่ที่กำลังถูกยกขึ้นเสริมค่าย

“เรายังคงอยู่ในสนามรบ คงมิอาจผ่อนคลายได้ง่าย ๆ แน่ ข้าคิดว่าข้าค่อนข้างฟื้นตัวแล้วเดี๋ยวจะมาช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้”

“เดี๋ยวสิจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ท่านเพิ่งฟื้นนะ!” เกาเหยียนรีบยื่นมือห้ามทันที สีหน้าร้อนรนยิ่งกว่าเดิม “ท่านหมอยังไม่อนุญาต ท่านเดินได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว อย่าคิดจะยกไม้ยกหินอีกเลย!”

ซิ่วอิงเลิกคิ้วเล็กน้อย มองอีกฝ่ายราวจะเอ่ยวาจาเถียง ‘ปาฏิหารย์บ้าบ้าอะไรกัน ข้าแค่เหนื่อยไปหน่อยเท่านั้น’ แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อแรงในร่างยังฝืนไม่ขึ้นจริง ๆ

“งั้นข้าขอนั่งดูใกล้ ๆ ก็แล้วกัน” นางตอบเรียบ ๆ แล้วหันไปหาฟืนเก่าแถวนั้นที่พอจะนั่งพิงได้

เกาเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วหันกลับไปยกเสาไม้ต่อ แต่ยังไม่วายหันมาบ่นต่ออีกว่า

“ลูกพี่…นั่งก็อย่านั่งตรงที่มีควันนะ เดี๋ยวก็ปวดหัวขึ้นมาอีกหรอก”

ซิ่วอิงเพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายง่วนอยู่กับงาน

สายตาของนางทอดมองไปรอบค่าย เสียงตีไม้ ตอกตะปูไม้และลากเส้นเชือกยังดังเป็นจังหวะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปอย่างเด่นชัด ‘ท่านแม่ทัพฮั่วชวี่ปิ้ง’

ปกติแล้วท่านแม่ทัพมักจะเดินตรวจงานในค่ายด้วยตนเองในยามเช้า คอยพูดคุยกับนายทหารชั้นผู้น้อย ตรวจสอบแนวป้องกัน และแม้แต่ช่วยขยับหินหรือตรวจคุณภาพของไม้ด้วยตนเอง แต่วันนี้ไม่มีแม้เงาเสื้อคลุมให้เห็น

“เหล่าเกา” ซิ่วอิงเอ่ยเรียกเบา ๆ ขณะสายตายังมองไปยังปลายกระโจมใหญ่ของแม่ทัพที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของค่าย “ท่านแม่ทัพ...มิได้ออกมาเดินตรวจหรือ?”

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนทันที เขาวางเชือกในมือลงแล้วหันมานั่งข้างซิ่วอิง

“ท่านก็สังเกตเห็นสินะ” เขาพูดเบา ๆ “ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น...วันที่หมอกระเบิดออกมา แล้วหุ่นวิญญาณบุกค่าย...ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้ออกจากกระโจมเลย”

ซิ่วอิงขมวดคิ้ว

“ไม่ได้ออกมาเลย?”

เกาเหยียนพยักหน้า

“แม้แต่ในยามรุ่งสางก็ไม่เคยเดินออกมา ใครเข้าไปก็ถูกสั่งห้าม ยกเว้นเพียงเด็กส่งอาหารที่นำสำรับเข้าไปวันละสองครั้ง พวกทหารเวรยังเล่ากันว่า...ในยามดึกก็ยังเห็นแสงเทียนสว่างจากกระโจมอยู่อย่างนั้นทั้งคืน”

ซิ่วอิงเงียบไปชั่วครู่ ดวงตามองไปยังปลายค่ายที่กระโจมแม่ทัพตั้งอยู่

“เจ้าว่าท่านแม่ทัพ...ขลุกตัวอยู่ในนั้นทำอะไร?”

เกาเหยียนส่ายหน้าเบา ๆ

“ไม่มีใครรู้เลย ขนาดรองแม่ทัพยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป บ้างก็ว่าแม่ทัพเจ็บหนักแต่ปิดข่าวไว้ บ้างก็ว่าเขากำลังฝึกวิชาอาคม...แต่ไม่มีใครกล้ายืนยัน”

“ข่าวลืออะไรของเจ้าเนี่ย เพ้อเจ้อชะมัด”

เกาเหยียนหัวเราะแห้ง ๆ พลางเกาศีรษะ

“ก็พวกทหารบางคนที่อู้งานน่ะสิ พอไม่มีศึก ไม่มีใครกล้ารบกวนท่านแม่ทัพ ทุกคนก็เริ่มแต่งเรื่องเอง ขนาดเวรยามบางคนยังแอบพนันกันว่าในกระโจมมีปีศาจตัวใหม่ซ่อนอยู่ด้วยซ้ำ!”

ซิ่วอิงถอนหายใจเงียบ ๆ นัยน์ตาเรียวยาวจ้องมองเส้นผ้าหนาหนักที่ปิดปากกระโจมแม่ทัพไว้แน่นหนา ไม่มีแม้รอยเปิด ไม่มียามยืนเฝ้าตรงหน้า มีเพียงความเงียบงัน และแสงเทียนที่ไหววูบอยู่ด้านใน

“ข้ามิเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะนั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรหรอก บางทีเขาอาจกำลังทำอย่างหนักอยู่ในตอนนี้ก็ได้…”



+2 CHA จากการได้พบปะเพื่อนใหม่

@Admin 








แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 38548 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-22 15:16
โพสต์ 38,548 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-22 15:16
โพสต์ 38,548 ไบต์และได้รับ +8 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-22 15:16
โพสต์ 38,548 ไบต์และได้รับ [ถูกบล็อค] ความชั่ว +10 ความโหด จาก ทักษะพรานป่า  โพสต์ 2025-6-22 15:16
โพสต์ 38,548 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +12 คุณธรรม +12 ความโหด จาก ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก  โพสต์ 2025-6-22 15:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
โพสต์ 2025-6-23 20:58:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด







ยามเฉิน

เช้าวันต่อมา แม้แสงแดดจะจ้าแล้วแต่ก็ยังมิอาจสู้ความเย็นของลมในยามเช้าได้เลย ซิ่วอิงค่อย ๆ ลุกจากเตียงในกระโจมรักษาพยาบาล เสียงฝีเท้าของผู้ช่วยหมอเดินวนรอบ ๆ กระโจมทำให้นางรู้ทันทีว่าหานชูตื่นก่อนเช่นเคย

เมื่อก้าวออกมานอกกระโจม นางก็เห็นค่ายที่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงค้อน เสียงตะโกนบอกตำแหน่ง เสียงเส้นเชือกถูกยึดแน่น ล้วนแสดงถึงความมีชีวิตชีวา แต่สิ่งเหล่านั้นกลับตอกย้ำความรู้สึกอึดอัดในใจของนางเอง

นางก็ฟื้นตัวเดินได้คล่องแล้วมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงถูกปฏิบัติเหมือนคนบาดเจ็บไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้?

นางพยายามก้าวเข้าไปใกล้กลุ่มทหารที่กำลังยกเสาไม้ตรงมุมค่าย แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“เจ้าจะไปไหน?”

นางหันกลับไปเห็นหานชูที่ยืนกอดอกอยู่ ใบหน้าเขามีรอยยิ้มแบบคนที่รู้อยู่แล้วว่าต้องได้พูดประโยคนี้

“ข้าแค่จะไปดูเขายกเสา ไม่ได้จะไปยกเองเสียหน่อย” ซิ่วอิงตอบเสียงเรียบ

“ดูเฉย ๆ แล้วทำไมเจ้าถึงถือเชือกป่านไว้ในมือล่ะ?” เขาเลิกคิ้วถามกลับ

นางชะงัก...ก่อนจะโยนเชือกลงพื้นพลางถอนหายใจ

“ก็ข้าแค่เบื่อนี่นา ให้นั่งอยู่นิ่ง ๆ ทั้งวันมันไม่ใช่นิสัยของข้าเลยสิกนิด”

หานชูเดินเข้ามาใกล้ ยื่นกระบอกน้ำไม้ไผ่ให้นางพลางพูดเสียงอ่อนลง

“ข้าเข้าใจ...แต่ถ้าเจ้าฝืน แล้วแผลเปิดอีกล่ะ? เจ้าคงมิอยากกลับไปนอนนิ่งสามวันอีกหรอกใช่หรือไม่?”

ซิ่วอิงเงียบ ก่อนรับน้ำมาจิบช้า ๆ ดวงตานางทอดมองไปทางกระโจมแม่ทัพอีกครั้ง

“ยังมิมีใครเข้าไปได้เลยหรือ?” นางถาม

หานชูส่ายหน้าเบา ๆ

“เมื่อคืนข้ายังเห็นแสงเทียนจากในนั้นอยู่ ข้าสงสัยว่าเขาไม่ได้หลับเลยด้วยซ้ำ”

“เขาทำอะไรอยู่ในนั้นกันนะ…”


ยามซื่อ

แดดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ลากเงาร่างของหญิงสาวทอดยาวลงบนเนินทรายสีทองแดงอ่อน ลมแห้งผ่าวยังพัดโชยมาเป็นระยะ ขับละอองทรายให้ปลิวลอยฟุ้งอยู่ตลอดแนวขอบฟ้าเบื้องหน้า รอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงเม็ดทรายกลิ้งไหลตามลาดเนิน กับเสียงรองเท้าของนางเหยียบลงบนผิวดินที่แข็งกระด้างสลับนุ่มร่วน

ซิ่วอิงเดินอยู่ห่างจากแนวค่ายมาไกลพอสมควร สุดสายตาคือเทือกหินที่โผล่พ้นจากพื้นทรายขึ้นมาประปราย คล้ายซากโครงสัตว์ยักษ์ที่ถูกกลบกลืนด้วยกาลเวลา ฟ้าเปิดโล่งและแดดจ้าจนดวงตาต้องหรี่ลงทุกคราครั้งที่เงยหน้ามอง

“แค่เดินออกมาสูดอากาศไม่ถึงชั่วยาม คงไม่มีใครรู้กระมัง”

นางพึมพำเบา ๆ ขณะทอดสายตาไปไกล เส้นขอบฟ้าเบลอระลอกเหมือนคลื่นลวงตา ความกว้างใหญ่ของทะเลทรายทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ทว่าท่ามกลางความเงียบวังเวงนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา

ครืด...ครืด... อื๋อว์…

เสียงครางสั้น ๆ ปนหอบหายใจถี่จากบางสิ่ง แผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันไปทางต้นเสียงซึ่งดังมาจากหลังแท่งหินใหญ่

ซิ่วอิงเดินเข้าไปใกล้ ระวังฝีเท้าทุกย่างก้าว มือขวาแตะด้ามอาวุธที่เหน็บไว้ด้านหลังโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะชะโงกหน้าดู…

ภาพที่เห็นคือ สุนัขตัวหนึ่งตัวไม่ใหญ่มากนักแต่ลำตัวล่ำแน่น ขนสีดำปนสีน้ำตาลไหม้ตรงเหนือดวงตาและขาทั้งสี่ มันดิ้นอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างแท่งหิน ขาหน้าถูกกับดักเหล็กหนีบไว้แน่น ขนรอบแผลเปื้อนเลือดและฝุ่นจนจับตัวเป็นก้อน

“ตัวอะไรน่ะ สุนัขหรือ? เหตุใดหน้าตาแปลกนัก…”

ลักษณะของมันดูไม่เหมือนสุนัขแบบที่จะพบเห็นได้ทั่วไปในแดนต้าฮั่น ใบหน้ากว้าง จมูกสั้น หน้าผากสูง ตาโตและดู...น่าเกรงขามยิ่ง

“สงสัยเจ้าคงจะติดกับดักของหน่วยลาดตระเวนเข้าแล้วล่ะ”

นางย่อลง ใช้ด้ามมีดงัดกลไกกับดักอย่างชำนาญ

แกร๊ก! 

เสียงกลไกปลดตัวดังเบา ๆ ก่อนที่กับดักจะคลายออกจากขาที่เจ็บของเจ้าหมา มันครางเบา ๆ แต่ไม่ขู่ ไม่เห่า

ซิ่วอิงดึงผ้าผืนหนึ่งจากเอว หยิบสมุนไพรแห้งที่ติดมาด้วยมาเคี้ยวพอแตก แล้วแตะเบา ๆ ลงบนแผลด้วยความระมัดระวัง

“เจ้าทนหน่อยนะ ของที่ข้าพอจะหาได้ก็มีเท่านี้แหละ”

เจ้าหมานิ่งยอมให้นางรักษาพยาบาลแต่โดยดี พลางมองนางด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมินความน่าไว้ใจของมนุษย์ผู้นี้

“เอาล่ะ เรียบร้อย…นี่รางวัลของเจ้า”

ซิ่วอิงยื่นเนื้อแห้งที่พกติดตัวมาให้มัน

“กินซะ ข้ามีแค่นี้แหละ แล้วอย่ากัดมือข้าล่ะ”

มันใช้ลิ้นเลียเนื้อแห้งเบา ๆ ก่อนจะงับกินอย่างสงบ ซิ่วอิงลุกขึ้นปัดทรายออกจากเสื้อผ้าจากนั้นก็ปล่อยมันไป

“เจ้าไปเสียเถิด แล้วก็ระวังอย่าให้โดนกับดักอีกล่ะ ข้ามิได้ผ่านมาช่วยเจ้าได้ทุกวันหรอกนะ”

ซิ่วอิงหันหลังกลับ เดินจากมากลางทะเลทรายโดยไม่ได้หันไปมองอีก นางตั้งใจไว้แค่มาเดินเล่นสูดอากาศ ทว่ากลับกลายเป็นโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบค่ายไปในตัวเสียอย่างนั้น ดวงตาคมกริบของนางมองไปรอบ ๆ ไล่ตามแนวเนินทรายและหินผุที่กองอยู่ประปราย ตะวันยังคงไต่ฟ้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความร้อนเริ่มสะสมในอากาศ แม้จะยังไม่รุนแรงถึงขั้นแผดเผา แต่ก็พอให้เหงื่อผุดซึมที่ขมับ

จากการแค่เดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย ซิ่วอิงกลับเริ่มจดจำรายละเอียดของพื้นที่โดยรอบแบบไม่รู้ตัว ทั้งตำแหน่งหิน รูปทรงเนิน บริเวณที่พออำพรางตัวได้ หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นก็อาจใช้เป็นแนวตั้งรับได้

แต่ในขณะที่ก้มลงสำรวจรอยยุบบนผืนทราย นางก็รู้สึกแปลก ๆ...เหมือนถูกใครบางคนจ้องอยู่จากด้านหลัง เงานั้นสะท้อนวาบเข้าหางตา ซิ่วอิงหันขวับ มือแตะที่ด้ามมีดสั้นตรงเอว

ไม่มีใคร...

นางหรี่ตา ไล่มองตามแนวเนิน แต่กลับพบเพียงผืนทรายเรียบโล่ง ปราศจากสิ่งมีชีวิตใด

ทว่านางยังไม่ละความระแวง จนกระทั่ง…

หงิง..หงิง…หงิง…

เสียงครางคุ้นเคยดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

และแล้วจากหลังแท่งหินเตี้ย ๆ ที่อยู่ห่างไปเพียงห้าก้าว เจ้าหมาสีดำลำตัวแน่นตัวเดิมก็โผล่หน้าออกมา ร่างกายของมันยังสะอาดอยู่บ้างจากที่นางปัดทรายและห้ามเลือดให้ก่อนหน้า ขาหน้าที่บาดเจ็บยังมีผ้าผืนเล็กของนางพันอยู่หลวม ๆ มันมองนางนิ่ง ๆ ด้วยแววตาไร้เดียงสา ซิ่วอิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“เจ้าตามข้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

มันหอบเบา ๆ หางกระดิกอย่างพอใจเมื่อเห็นว่านางยืนรอ

“เจ้านี่มัน...ไม่รู้ความจริง ๆ”

ซิ่วอิงย่อตัวลง ลูบหัวมันเบา ๆ ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นใต้ขนหยาบ แม้เจ้าหมาตัวนี้จะยังบาดเจ็บอยู่ แต่ก็ไม่อิดออดหรือแสดงท่าทีอ่อนแอเลยสักนิด

แสงแดดส่องเฉียงลงมาทาบเงาของทั้งสองบนเนินทรายสีทองอ่อน ลมร้อนเริ่มโชยแรงขึ้นในช่วงสาย ซิ่วอิงมองหาก้อนหินใหญ่แถวนั้น ก่อนจะพยักหน้าเรียกมันเดินตามไปยังร่มเงาใต้แนวหินผุกร่อนที่พอจะกันแดดได้เล็กน้อย นางทิ้งตัวลงนั่ง ปล่อยให้เหงื่อไหลจากขมับโดยไม่เช็ด เจ้าหมาเองก็นั่งลงข้างนางอย่างเชื่องช้า หางวางพาดพื้นทรายตะแคงเล็กน้อย ดูเหมือนจะชอบใจที่มีร่มเงาให้พัก

“อันที่จริงข้าควรนอนพักในกระโจม แต่ก็ดันเดินไกลมาเจอเจ้าเสียได้ ถ้าเจ้าตามเข้ากลับไปทางค่ายจะยอมหรือไม่นะ ช่วงนี้เป็นช่วงสงครามสงครามเสียด้วยเสบียงก็มีจำกัด ทุกคนก็เคร่งเครียดกับศึกที่กำลังจะมาถึง”

ซิ่วอิงหัวเราะเบา ๆ ทว่าในดวงตามีแววกังวลฉายอยู่ลึก ๆ นางก้มหน้าลง ลูบเม็ดทรายบนพื้นผ่านปลายนิ้วเบา ๆ คล้ายกำลังจัดระเบียบความคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างช้า ๆ

“เจ้ารู้หรือไม่...ข้าไม่กลัวตายหรอกนะ แต่ข้ากลัวแพ้”

เจ้าหมาเอียงคอเล็กน้อย เหมือนพยายามฟัง

“เจ้าปีศาจพวกนั้นน่ะมันไม่ธรรมดาจริง ๆ อีกอย่างกำลังพลของเราก็น้อยกว่าหลายเท่า เจ้าคิดว่ามนุษย์ธรรมดาจะเอาชนะกองทัพปีศาจได้หรือไม่?”

ลมพัดวูบเข้ามากระทบสองร่างใต้ร่มเงาหิน ทรายปลิวเล็กน้อยผ่านข้างเท้าของซิ่วอิง

“ตอนนี้ทั้งกองทัพก็เริ่มเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้เลยด้วยซ้ำ ทหารบางคนก็พูดแล้วว่าไม่คิดว่าเราจะชนะได้ บางคนเริ่มพกยันต์ บางคนเริ่มสวดมนต์ก่อนนอน...ทั้งที่เราอยู่ในกองทัพหลวงนะ”

ซิ่วอิงถอนหายใจอีกครั้ง

“และแม่ทัพใหญ่...เขาเอาแต่ขังตัวอยู่ในกระโจม ไม่มีใครเข้าไปได้เลย ข้ายังไม่เห็นเขาโผล่หน้าออกมาเลยสักครั้งนับจากวันที่เกิดเรื่องลึกลับในค่าย”

เจ้าหมาเลียขาตัวเองที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่อย่างช้า ๆ พลางส่งเสียง ‘หงิง’ สั้น ๆ เหมือนตอบรับ

“นั่นสิ เจ้าว่าข้าควรเข้าไปคุยกับเขาดีหรือไม่?” ซิ่วอิงหันไปถามราวกับมันเข้าใจคำพูด

มันยกหัวขึ้นมองกลับไปที่นางสายตานิ่ง

“หรือข้าควรจะเชื่อว่าท่านแม่ทัพยังมีแผน…เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผยดีล่ะ?”

นางยกเข่าขึ้นมากอดไว้ หลับตาลงชั่วครู่ปล่อยให้เสียงลมกลบความคิด และในขณะที่นางกำลังหลับตาอยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็แว่วมาจากสายลม

เสียงนั้นมิใช่เสียงของมนุษย์ หรือแม้แต่เสียงธรรมชาติ หากแต่เป็นเสียงกระซิบแผ่วเบาราวกับคลื่นลมพัดผ่านกลีบดอกไม้ เสียงที่อ่อนโยน ทว่าเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่จนแม้แต่ทรายใต้พื้นยังคล้ายจะหยุดไหล

“จิตใจเจ้ากำลังสั่นไหว ข้าสัมผัสได้ถึงความกังวลของเจ้า”

ดวงตาของซิ่วอิงลืมขึ้นทันที นางหันมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นผู้ใด นอกจากเจ้าเจ้าหมาข้างตัวที่ลุกขึ้นแล้วหันไปจ้องแน่นิ่งยังทิศเบื้องหน้า

แสงจ้าเหนือเนินทรายวาบขึ้นเพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนแสงนั้นจะบิดเบี้ยวรวมตัวกลายเป็นร่างของสตรีผู้หนึ่ง รูปร่างดี งามสง่าดุจเทพธิดา สวมอาภรณ์เขียวอ่อนประดับด้วยลายกลีบบุปผาเคลื่อนไหวราวมีชีวิต ดวงตาเปล่งแสงสีอำพันคล้ายรู้แจ้งทุกสิ่งในสามโลก

ซิ่วอิงเบิกตากว้าง ลุกขึ้นยืนในทันที มือแตะที่ด้ามมีดอย่างระวัง

“ท่านเป็น...ใครกัน?”

นางผู้นั้นแย้มรอยยิ้มอ่อนโยน ทอดสายตามองซิ่วอิงอย่างสงบ

“เราคือ ชุนเตี๋ย เทพธิดาผู้พิทักษ์ถ้ำต๋าจือ เรามิได้มาเพื่อทำร้ายเจ้า หากแต่มาเพราะเสียงใจของเจ้าร้องเรียกเราผ่านห้วงห่วงกังวลนั้น”

แสงรอบกายของเทพธิดาส่องสะท้อนเม็ดทรายเป็นประกายพร่างพราย

“เสียงใจข้างั้นหรือเจ้าคะ?” ซิ่วอิงเบิกตานิ่ง “ท่านรับรู้ได้หรือว่า ข้า...หวั่นไหวแค่ไหนกับสงครามที่กำลังจะมาถึง?”

ชุนเตี๋ยพยักหน้าเบา ๆ

“ผู้ใดมีความกลัว ย่อมแสดงว่าเขายังมีสิ่งที่ต้องปกป้อง ความหวั่นไหวของเจ้าจึงไม่ใช่ความผิด แต่จงอย่าปล่อยให้ความกลัวนั้นกลายเป็นโซ่ล่ามใจ เจ้าแบกภาระหนักเกินกว่าที่ใจจะรับไหว แม้แต่สำหรับนักรบที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า”

“แล้วข้าควรทำเช่นไรเจ้าคะ?” น้ำเสียงของซิ่วอิงสั่นเล็กน้อย “แม้แต่แม่ทัพก็ยังคงเงียบงัน แม้แต่ฟ้า...ก็เหมือนหันหลังให้เรา”

เทพธิดาเดินเข้าใกล้ ก้าวย่างของนางนั้นไร้เสียง ไม่แม้แต่จะทำให้เม็ดทรายเคลื่อนไหว

“จงจำไว้ ชัยชนะในศึกที่แท้ มิได้เกิดจากจำนวนทหารหรือคมดาบ หากแต่เริ่มต้นจากใจที่กล้าพอจะยืนอยู่ตรงหน้า ‘ความเป็นไปไม่ได้’ แล้วเอ่ยว่า เราจะผ่านไปให้ได้”

นางยื่นมือเรียวบางมาแตะที่กลางอกของซิ่วอิง แสงอบอุ่นจาง ๆ แผ่กระจายออกจากปลายนิ้ว

“ภายในเจ้า...มีพลังที่ยังหลับใหลอยู่ หากเจ้ากล้าพอที่จะเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าศัตรูจะร้ายเพียงใด ก็ไม่อาจโค่นเจ้าได้”

ซิ่วอิงรู้สึกร่างกายเบาขึ้นอย่างน่าประหลาด หัวใจที่หนักอึ้งคล้ายได้รับการปลดปล่อย ดวงตาที่เคยหม่นกลับส่องประกายเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง

“ข้าจะมิกลัวอีกแล้ว” นางพึมพำกับตนเอง ก่อนเงยหน้ามองเทพธิดา “ข้าสาบาน...ไม่ว่าศึกครั้งนี้จะจบเช่นไร ข้าจะยืนหยัดจนถึงที่สุด เพื่อแผ่นดิน เพื่อพวกพ้อง...และเพื่อตัวข้าเองเจ้าค่ะ”

เทพธิดาชุนเตี๋ยยิ้มอย่างพอใจ

“ดีมาก...เราได้เห็นประกายแสงในเจ้ากลับคืนมาแล้ว”

เทพธิดาหันไปมองเจ้าหมาข้างกายซิ่วอิงอีกครั้ง

“เจ้ารู้หรือไม่...บางที เจ้าสุนัขตัวนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ชะตาฟ้าส่งมาเพื่อช่วยเจ้า”

ซิ่วอิงหรี่ตาเล็กน้อย มองเจ้าหมาที่ตอนนี้ยังนั่งนิ่งเหมือนเด็กว่าง่ายตัวหนึ่ง

“มันน่ะหรือเจ้าคะ? ข้าเพียงเจอมันบาดเจ็บอยู่กลางทะเลทรายก็เท่านั้น...”

เทพธิดายิ้มบาง ก่อนยื่นมือขึ้นวาดวงเวทกลางอากาศ ลำแสงสีทองจางพุ่งขึ้นห่อหุ้มร่างของเจ้าหมา มันสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดขืน ทันใดนั้นร่างของมันเริ่มเปลี่ยน ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กล้ามเนื้อแน่นและแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม ขนเปล่งประกายราวถูกชะล้างด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งที่น่าตกใจที่สุด...คือหัวของมันเริ่มแยกออกเป็นสามหัวอย่างสมบูรณ์!

ซิ่วอิงถอยหลังโดยสัญชาตญาณ มือแตะด้ามง้าวทันที ดวงตาเบิกกว้าง

“สัตว์อสูร!”

แต่ก่อนที่นางจะชักอาวุธออกมา เสียงของเทพธิดาก็ดังขึ้นเบา ๆ แต่หนักแน่น

“อย่า…เจ้าสัตว์ตัวนี้ ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า”

นางผายมือชี้ไปยังเจ้าหมาสามหัวที่ยังคงนั่งสงบ 

“มันเห็นเจ้าเป็นผู้มีพระคุณ ตั้งแต่เจ้าเปิดกับดัก ชะล้างแผล และให้อาหาร ความซื่อสัตย์ของมันจึงถูกผูกไว้กับเจ้าตั้งแต่บัดนั้น”

เทพธิดาหันขวับ แสงในดวงตาเจิดจ้าขึ้น

“หากเจ้าต้องการให้มันช่วยในการศึก จงมอบพลังของเจ้าแก่สัตว์อสูรตนนี้ จิตใจของเจ้า...จะเป็นบ่อเกิดใหม่ของมัน”

จากนั้นเทพธิดาเสกแท่นหินโบราณขึ้นจากพื้นทราย ลวดลายโบราณผุดขึ้นมารอบฐาน กลิ่นอายของฟ้าดินคล้ายรวมตัวอยู่ที่จุดนั้น

“ให้มันขึ้นไป” เทพธิดากล่าว “และเจ้าต้องส่งพลังตบะของตนให้มันทีละน้อย จนกว่าพันธะระหว่างเจ้ากับมันจะเชื่อมสมบูรณ์”

ซิ่วอิงยังลังเลเล็กน้อย แต่มองเจ้าหมาแล้วก็รู้สึกถึงบางอย่างในใจที่ผูกพันอย่างไม่ทราบเหตุผล

“เจ้าจะไม่ทำร้ายข้าใช่ไหม?” นางถามแผ่ว ๆ

เจ้าหมาใช้หัวกลางพยักช้า ๆ แล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนแท่นอย่างสงบ ซิ่วอิงจึงยื่นมือออก ปล่อยพลังตบะออกจากฝ่ามือเป็นแสงจาง ๆ แสงของพลังเริ่มซึมเข้าสู่ร่างมันทีละน้อย

เทพธิดาทำหน้าที่ช่วยถ่ายโอน แสงจากพื้นแท่นแผ่กระจายวงออก ในเวลาไม่นาน แผลที่เคยมีหายสนิท ดวงตาของทั้งสามหัวนั้นเปล่งประกาย พลังของมันเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

ซิ่วอิงจ้องมองเจ้าหมาสามหัวตรงหน้า ดวงตาทั้งหกของมันเปล่งประกาย นางค่อย ๆ ยื่นมือออกไปอย่างระวัง แล้วลูบลงบนหัวกลางของมัน ผิวสัมผัสยังคงหยาบกร้าน กล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือเต้นเป็นจังหวะราวกับจะตอบรับการสัมผัสนั้น

“มิน่าเชื่อเลย...” นางพึมพำเบา ๆ “เจ้าคือสัตว์อสูรจริง ๆ งั้นหรือ...แต่เจ้ากลับมิมีท่าทีไม่ดุร้ายเลยสักนิด”

เสียงของเทพธิดาชุนเตี๋ยดังขึ้นอีกครั้งจากด้านหลัง

“อสูรที่แท้จริงมิได้ตัดสินกันเพียงรูปลักษณ์ หากแต่จิตใจ และวิญญาณที่ผูกพันกับผู้ครอบครองต่างหากที่กำหนดว่า...มันจะเป็นเพื่อนหรือภัย”

แสงรอบตัวเทพธิดาค่อย ๆ จางลง คล้ายร่างของนางจะเลือนหายไปในสายลม

“เราช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว…”

นางหันไปมองเจ้าสัตว์อสูรอีกครั้ง ก่อนที่แสงสุดท้ายจะหายวับไปพร้อมสายลมอบอุ่น ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงัดและเสียงหอบแผ่วเบาของเจ้าสัตว์อสูรตรงหน้า

ซิ่วอิงลูบหัวมันอีกครั้งแล้วถอนหายใจ

“ดูท่าว่าเจ้าจะกลายเป็นเพื่อนร่วมรบของข้าเสียแล้วสินะ”

มันเอียงหัวเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งแนบชิดด้านข้างเหมือนรับรู้ถ้อยคำ

ซิ่วอิงเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาเปล่งประกายแน่วแน่ราวกับนางได้ตื่นจากความสับสนที่กักนางไว้เนิ่นนานแล้ว เจ้าสัตว์อสูรเปลี่ยนร่างกลับเป็นเพียงสุนัขธรรมดา เดินตามซิ่วอิงกลับค่ายหลวง เวลานี้หากชักช้าอยู่มีหวังมิพ้นโดนท่านหมอตำหนิเป็นแน่



การมอบพลังแก่สุนัขสามหัว 10  Level
-500 ตบะฝึกฝนในการถ่ายโอนพลังฝีมือแก่สิ่งมีชีวิต
รางวัลแก่ผู้ถ่ายโอน: +500 คุณธรรม และ +100 พลังใจ ต่อ 1 Level x 10 



@Admin 







แสดงความคิดเห็น

สุนัขสามหัวคุณพัฒนาจนระดับ 50  โพสต์ 2025-6-23 21:07
โพสต์ 71214 ไบต์และได้รับ 56 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-23 20:58
โพสต์ 71,214 ไบต์และได้รับ +10 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-23 20:58
โพสต์ 71,214 ไบต์และได้รับ +12 EXP [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 ความโหด จาก เกราะเกล็ดมังกร  โพสต์ 2025-6-23 20:58
โพสต์ 71,214 ไบต์และได้รับ +2 Point [ถูกบล็อค] ความชั่ว +40 คุณธรรม +30 ความโหด จาก หินสลักโบราณ  โพสต์ 2025-6-23 20:58

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +1000 ตบะฝึกฝน -500 ย่อ เหตุผล
Admin + 1000 -500

ดูบันทึกคะแนน

←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
ปราณเพลิงสีชาด
ยอดฝีมือ
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
เกราะเกล็ดมังกร
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
หินสลักโบราณ
หมวกเกราะทหารใหม่
ตำรากฎทหาร
อาภรณ์พร่ำพิรุณ (ญ)
มีดแล่เนื้อ
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x22
x1
x55
x44
x52
x1
x21
x28
x15
x10
x30
x20
x6
x1
x14
x97
x1
x27
x10
x5
x2
x116
x37
x90
x38
x2
x3
x40
x1
x3
x2
x7
x7
x7
x4
x5
x17
x2
x2
x16
x7
x20
x2
x87
x4
x4
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้