เจ้าของ: Admin

บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)

[คัดลอกลิงก์]
โพสต์ 2025-6-13 11:13:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ สิบสาม เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเฉินถึงยามเซิน เวลา 07.00 - 17.00 น.


          ยามเฉินย้ำเข้ามาภายในห้องนอนของเรือนรับรองอย่างเงียบงัน แสงอรุณยามเจ็ดโมงเช้าในฤดูร้อนแทรกผ่านบานหน้าต่างอย่างนุ่มนวล เงาของต้นไม้ที่อยู่ข้างนอกเรือนยทอดสะท้อนเป็นลวดลายพลิ้วไหวคล้ายภาพวาดบนผนังไม้ที่แขวนอยู่ สีทองอร่ามอันอ่อนโยนระบายไปทั่วพื้นท้องทีละชั้น ๆ ราวกับโลกทั้งใบค่อย ๆ ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันอันยาวนานในช่วงค่ำคืนยแห่งนี้ บนเตียงไม้ไผ่เตี้ย ๆ แสนเรียบง่ายมีร่างของหญิงสาวร่างบานที่สวมเพียงชุดนอนผ้าฝ้ายบางเบาค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อตื่นจากช่วงราตรีที่ผ่านมา

          ดวงตากลมโตเหมือนกับตุ๊กตาไม้กระเบื้องเคลือบกระพริบเล็กน้อยก่อนที่จะหาววอดแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเต็มที่พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเป้นครั้งแรกของเช้าวันนี้

          “อื้อออ??” น้ำเสียงอันแสนเบาหวิวพร้อมรอยยิ้มแผ่วเบาของเธอปรากฎขึ้นบนใบหน้า หลินหยาลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสงบเงียบราวกับคืนก่อนที่เจ้าหล่อนนอนไม่หลับจนเกือบเช้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเลย กลับรู้สึกเบาสบายแปลกมากเลย ทั้งที่จำไม่ได้เลยสักนิดว่าหลับไปตอนไหนเสียด้วยซ้ำ แต่กลับรู้สึกว่าหัวใจอบอุ่นเหมือนมีบางอย่างหรือมีใครมากระซิบกล่อมอยู่ข้างหูยามนอน หรือว่าวิญญาณเมื่อคืนอาจจะไม่ได้มาทำร้าย มาหลอกหลอน แค่มาเฝ้าดูเงียบ ๆ อย่างอ่อนโยนกันนะ?

          มือเรียวเล็กงามของนางยกขึ้นบิดตัวและบิดแขนไปมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงหาวที่ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งก่อนที่ร่างทั้งร่างจะลุกจากเตียงโดยไม่รู้สึกเวียนหัวหรือปวดตัวเหมือนวันก่อน ๆ ดวงตาสดใสของเธอร่างกายเหมือนถูกฟื้นฟูอย่างเต็มที่ หลินหยาจึงก้าวเท้าเปล่าเข้าไปยังห้องน้ำไม้ที่ติดอยู่ด้านในห้องนอนของเธอที่เรือนรับรองแห่งนี้ เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปกลิ่นหอมของไม้สนผสมน้ำอุ่นระเหยคละคลุ้งขึ้นมาปะทะจมูก เสียงน้ำกระเพื่อมมาในอ่างไม้กลมขนาดพอดีตัว บ่งบอกได้ว่าผู้ดูแลบ้านนั้นน่าจะเตรียมน้ำไว้ให้ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางแล้วด้วยซ้ำ โห..ยอดเลย..

          เธอยกมือขึ้นไปแตะอุณหภูมิอย่างเงียบ ๆ อุณหภูมิกำลังพอดีเลยล่ะ ช่างเข้าใจคนที่ชอบแช่น้ำอะไรขนาดนี้กันนะ?

          “แหม่…แบบนี้ไม่ให้แช่ก็ใจร้ายไปแล้วล่ะ” หลินหยาเอ่ยพูดกับตัวเอง เธอเดินไปพลางถอดชุดออกอย่างไม่รีบร้อย ปล่อยเรือนยผมของตนเองให้ยาวดำสยายขลับออกมาแนบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของตนเอง ขณะที่เท้าเรียวเดินไปล้างตัวก่อนที่จะไปแช่น้ำอุ่น สระเส้นผมแล้วก็เดินไปก้าวลงในอ่างน้ำอุ่นอย่างระมัดระวัง ร่างทั้งร่างค่อย ๆ จมหายไปในอ่าง…โคตรรร ดี

          “อา..าา….า พระเจ้า..นี้แหละความสบาย” เสียงถอนหายใจระบายยาวความฟินและรู้สึกดีล่องลอยออกมาอย่างห้ามไม่อยู่สักนิด ขณะที่ร่างของหลินหยาเริ่มจมหายไปจนถึงหัวไหล่ในน้ำอุ่น ร่างกายของนางเอนพิงขอบอ่างอย่างสบายใจสุด ๆ แก้มเปล่งปลั่งเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายลูกท้อโดนไอน้ำ ผิวใสงาม ลมหายใจที่เคยขุ่นมัวก่อนหน้านี้หายไปกลายเป็นความปลอดโปร่งแสนบลิดฟลิ้วงาม เงียบสงบ มีเพียงเสียงของน้ำไหลกระเพื่อมเป็นจังหวะกลิ่นไม้หอมจาง ๆ กับเสียงของใบไผ่ดังแววหูกระทบกันภายนอกหน้าต่างราวกับบรรเลงเพลงเช้าให้คนขี้เซาฟังเสียอย่างงั้น

          “ไม่ได้อาบน้ำแบบนี้มานานขนาดไหนแล้วนะ..คิดถึงอ่างไม้ที่จวนสกุลหนานจังเลย..ฮืออ” นางพูดพลางหลับตาลงแล้วจุ่มมือลงใต้น้ำ ทำท่าทางพ่นฟองออกเบา ๆ อย่างเด็กน้อย

          ความสุขอันแสนเรียบง่ายของเธอแต่นั้นมันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความปิติยินดีแบบถึงที่สุด แบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในชีวิตที่พลิกพันผ่านมาแบบพายุของหลินหยาตั้งแต่เข้ามาที่ฉางอันแห่งนี้ ในตอนนี้นางไม่ใช่ธิดาเจ้าเมือง ไม่ใช่สาวเสิร์ฟในร้านหม้อไฟ ไม่ใช่นางรำฝึกหัดหรือนักดนตรีฝึกหัดที่หอว่านหงเหริน หรือกระทั่งผู้รอดตายจากพิษของเต้าหู้เพราะร่างกายไม่รับถั่วเหลือง แต่นางคือ หนาน หลินหยา คนที่ยังมีความสุขที่สุดเมื่อได้แช่น้ำอุ่นในยามเช้าของฤดูร้อนที่อ่อนโยน ละลายความเหนื่อยทั้งหมดออกได้โดยง่าย อาจจะนานนิดหน่อยกว่าจะยอมลุกจากอ่างน้ำอันนี้แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะตอนนางขอแค่แช่น้ำอยู่อย่างงี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุขอีกสักพักหน่อยเถอะนะ..

          “โอ้ยย…ข้าไม่อยากขึ้นจากอ่างเลย”..

          ….
         
…….

          หลังจากที่แช่น้ำในอ่างไม้อย่างตื่นมื้นจิตใจจนกล้ามเนื้อที่เคยอ่อนล้าแทบจะหลอมละลายหลายเป็นเถาองุ่นในไอน้ำหลินหยาก็ลุกขึ้น เธอหยิบผ้ามาเช็ดตัวอย่างปราณีตด้วยผ้าขนหนูผืนสีขาวสะอาด กลิ่นหอมอ่อนของไม้สนยังติดผิวของเธอราวกับไอของแดดยามเช้าเคล้าไปกับลมหายใจช่วยเติมพลังให้แก่ร่างบางที่ผ่านความป่วยไข้มายาวนานตั้งสามสี่วัน

          หลินหยาเดินกลับเข้าห้องไปแต่งตัวในเรีอนรับรอง พอเปิดกล่องเสื้อผ้าออกนางก็หยิบชุดหนึ่งที่ท่านพ่อท่านแม่ส่งมาใหม่แล้วสวมใส่มันอย่างไม่ลังเลที่จะเลือกดเลยล่ะ ชุดสีฟ้าอ่อนอมขาวที่ดูเรียบง่างามเป็นพิเศษในวันนี้

          เสื้อคลุมชั้นนอกทำงานผ้าลินินโปร่งเบา สีฟ้าเยือกเย็นดั่งหมอกยาวเช้าปลายฤดูร้อนลวดลายบนไหล่ปัดด้วยเส้นผมสีเงินบางเบาเป็นรูปเถาเมฆพันเกี่ยวเลี้ยวลดพันกันเป็นแผ่วพลิ้ว และแสนเสื้อก็ยาวปลายบานทิ้งตัวอ่อนนุ่มตามลมทุกย่างก้าวที่ก้าวเดินไป ท่อนด้านในนั้นเป็นชุดกระโปรงยาวจีบถี่ยิบ ๆ สีขาวบริสุทธิ์ตัดกับสายคาดเอมสีฟ้าลายเมฆ รัดเล็กน้อยจนมันกระชับสัดส่วนของหญิงสาวได้อย่างพอดิบพอดี เผยทรวงทรงองค์เอวงามบาดตาเหมือนหยาดจากฟ้ามาสู่ดิน ถ้าเฉียดพระอินทร์ฺคงเผลอรำพันว่าโดนนน แค่ก..ไม่ใช่ๆ  เผยทรวงทรงตามวัยที่ไม่โอ้อวดอะไร แต่กลับยิ่งให้ดูเสน่ห์แบบสาวแรกรุ่นที่กำลังบานแย้มในเวลานี้

          หลินหยาใช้เวลาดูแลเส้นผมด้วยตัวเองอย่างตั้งใจ นางรวบเส้นผมของตนเองครึ่งศีรษะขึ้นแล้วม้วนไขว้เบา ๆ ยึดด้วยปิ่นปักผมไม้ใสทรงดอกเหมยขาว และซ่อนสายไหมเส้นเล็กสีฟ้าไว้ด้านในด้วยซ้ำ ให้เส้นผมยาวสีดำของเธอนั้นพลิ้วปลิวอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่เส้นผมด้านข้างถูกปล่อยหลวมออกมาลงมาที่ตรอบหน้าช่วยให้ใบหน้าหวานของเธอดูนุ่มนวลมากยิ่งขึ้นเสียอีก

          เครื่องประดับก็สวมใส่แบบน้อยชิ้น หยิบต่างหู้ระย้ายออกมาสวมใส่เป็นสีเงินอ่อนตกแต่งด้วยลูกแก้วใสแบบเรียบง่าย หาดอกไม้มาปักผมสักหน่อยเล็ก ๆ และเข็มกลัดลายหยกนูดที่เสื้อ ไม่มีสิ่งใดทีร่แสดงฐานะอย่างชัดเจน แต่สะท้อนรสนิยมที่เธอมีอย่างสง่างาม ไม่เอกเกริกเกินวัย บ่งบอกว่าตัวตนของเธอนั้นเป็นหฯิงสาวที่แม้จะผ่านชีวิตอันแสนวุ่นวายมาแต่ก็ยังคงรักษาความละเมียดละไมในรายละเอียดเล็กน้อยไว้กับตนเอง เมื่อสวมเสร็จหลินหยาก็ยืนอยู่หน้ากระจอทองเหลืองเช็ดผิวหน้าเบา ๆ มองเงาตัวเองในกระจกอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะสูดลมหายใจยาว…

          วันนี้จะเตรียมออกจากบ้านหลังนี้แล้วหรอเนี้ย…

          ไม่ใช่เพราะไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่ไม่ดีนะ แต่หลินหยารู้สึกว่าตนเองได้พักพิงที่นี้จนฟื้นตืนยแล้วจริง ๆ และถ้าจะอยู่ต่อก็คงเกรงใจไม่น้อยเลยทีเดียว “อยู่ต่อไปคงจะเกรงใจสุด ๆ เลยล่ะ..เขาก็มีการมีงานทำเหมือนกัน” นางพึมพำเบา ๆ พลางจัดเสื้อให้เรียบร้อนเข้าทรงแล้วมองหอบผ้าที่ยังอยู่.. รอยยิ้มแต้มมุมปากของตนเองยังคงเหมือนเคย หลินหยาเป็นหญิงสาวจากเมืองกว่างโจวที่งดงามในวันนี้ไม่ใช่เด็กสาวที่โวยวายเหมือนเคยหรือถูกหิ้วแบบแมวมาด้วยพิษของถั่วงเหลืองแล้วล่ะ แต่เป็นเธอที่ตอนนี้จะเดินเท้าออกไปอย่างสง่าผ่าเผ่ยแล้วล่ะ

          ….
         
……

          ยามเฉินล่วงเวลาผ่านไปจนถึงยามซื่ออย่างเนิบช้า ท้องฟ้าวันนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อนที่สว่างเรือง แดดแรงแต่ลมพัดเย็นสบาย พัดเบา ๆ ให้ร่มไม้ไผ่พลิ้วไหวเงาบนพื้นหินในห้องพักเรือนรับรองของบ้านคุณชายเต้าหู้นามอันเล่อปรากฎ หลินหยากำลังใช้หวีซี่ถี่ไว้เส้นผมเพื่อจัดทรงให้เรียบร้อยหน้ากระจกทองเหลืองอย่างอารมณ์ดี สีหน้ารื่้นเริงเพราะตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายของเธอฟื้นตัวเต็มที่แล้วล่ะ ขอบตาไม่หมอง ผิวพรรณก็ดูเปล่งปลั่งงามขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจน จนนางเองยังต้องหยุดมองตัวเองในกระจกไปสักสองสามครั้งด้วยกัน.. หน้าตาดีจังเว้ย นี้เต้าหู้มันช่วยเรื่องผิวพรรณหรือไงนะ?

          ยังไม่ทันจะได้คิดเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นหน้าประตูก่อนที่ม่านผ้าฝ่ายจะถูกเลิกขึ้นพร้อมกับเสียงใสของหญิงสาวที่หลินหยาคุ้นเคย “แม่นางน้อยหลินหยาาา เจ้าตื่นนานแล้วหรือยัง ข้าจะมาชวนเจ้าไปกินข้าวน่ะ” ร่างของแม่นางหรงเล่อโผล่พรวดเข้ามาในจังหวะที่หลินหยากำลังจัดเส้นผมข้างขยับให้เข้าที่พอดี หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนลายดอกไม้สีขาวซ้อนผูกกลิ่นผูกชายเสื้อด้วยไหมขายดูสดใสยิ่งกว่าแสงแดดที่ลอดหน้าต่างเข้ามาเสียอีก แถมนางยังมองหลินหยาที่แต่งตัวดี ๆ เสียด้วย

          “ข้าว่าแล้วว่าเจ้ามันหน้าตาดี น่ารักจังเลย อย่างกับตุ๊กตากระบอกหรือกระเบื้องเคลือบงามแหนะ” หรงเล่อเอ่ยแล้วระบายยิ้มมองแม่นางน้อยหลินหยาที่ตอนนี้นางดีขึ้นมาจนเรียกว่าปกติได้แล้วละมั้ง?

          หลินหยาที่เห็นแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างงั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะแม่นางหรงเล่อ วันนี้แม่นางไม่มีงานหรือเจ้าคะ? ไม่ต้องขนเต้าหู้รือ?” นางเอ่ยแซว แต่นางไม่รู้ว่านั้นน่ะ ธิดาหวยขหนานอ๋อง จะมีการส่งเต้าหู้ได้ไงล่ะ แต่บางทีก็ไปช่วยท่านพ่อที่ร้านนะ ถ้าท่านพ่อไว้ใจในวันนั้น ไม่ซุ่มซ่านน่ะ

          “เอ่อ…อืม วันนี้ข้าไม่มีงานน่ะ ท่านพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว บอกว่าจะไปทำงานแล้วก็ทำธุระด้วย” หรงเล่อเอ่ยบอกแล้วพลางเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบเตียงหลินหยา “ก็เลยอยากชวนเจ้ามากินข้าวด้วยกันน่ะ น่าาาา”

          หลินหยาที่เห็นเช่นนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นจากหน้าโต๊ะเก้าอี้ของกระจกทองเหลืองนั้น พลางกระพริบตาหนึ่งครั้งก่อนที่จะยิ้มซน ๆ เล็ก ๆ “แหม่..ท่านชายอันเล่อพ่อของท่านนี้บ้างานใสช้ได้เลยนะเจ้าคะ นี้ตั้งแต่ข้าฟื้นตัวมา ยังเห็นท่านชายแค่ครั้งเดียวเองเจ้าค่ะ เขาได้กินข้าวหรือไม่? หรืออยู่แต่กับเต้าหู้หรืออย่างไรกันนะเจ้าคะ?” คำพูดของหลินหยาเหมือนเป็นเพียงการหยอกเล่นหยอกเอินขำ ๆ แต่สีหน้าของหรงเล่อกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายจะ กระอัก ในคำตอบ หากต้องตอบไป ยังไม่กล้าเล่าอะไรที่มากกว่าความจริงที่มีเพียงครึ่งเดียวของเรื่องนี้นั้นเอง

          “เอ่อ..อะ..อื้มม ใช่แล้วล่ะ” หรงเล่อรีบพูดเสริมเสียงสูงแปลก ๆ “ก็นะ..ร้านเต้าหู้ขายดีมากเลยล่ะ ต้องไปส่งของบ่อย บางทีก็มีคำสั่งซื้อจากพวกข้าราชการมากินเต้าหู้ของบ้านเราบ่อยด้วยนะ!”

          “โห…งั้นร้านพวกท่านนี้ต้องรสชาติระดับท่านอ๋องเลยนะ แม่นางรู้ไหมข้าเคยได้ยินข้าวมาว่ามีท่านอ๋องที่แบบคิดค้นเต้าหู้เก่ง ๆ ด้วยล่ะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร เหมือนจะ…” หลินหยาที่เล่าแบบนั้นด้วยความใสซื่อ ท่าทางจะพูดล้อเล่นต่อ แต่มือของหรงเล่อรีบคว้าแขนของหลินหยาไว้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะจำได้ขึ้นมาหรือพูดชื่อที่ไม่ควรพูดออกมา

          “ไม่ ๆ ๆ แหม่ ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก!” หรงเล่อรีบหัวเราะแห้ง “เอาเป็นว่าไปกินข้าวกันดีกว่านะ? เจ้าเดินไหวแล้วใช่ไหมแม่นางน้อย?” รีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเลยล่ะ เอาของกินมาล่อก่อนที่หลินหยาจะคิดอะไรได้ดีกว่า

          “เดินได้เข้าค่ะ ข้าหิวจะตายอยู่แล้วล่ะ” หลินหยาบอกแบบนั้น ลืมเรื่อง อ๋อง นั้นไปเสียสนิทเลยล่ะ

          เรือนอาหารถูกจัดแบบเรียบง่ายใต้เฉลียงไม่ใกล้จากสวนหลังบ้านเลย โต๊ะกลมไม้ทาสีอ่อนวางจานข้างและกับข้าวเรียงรายอย่างน่ากิน…เธอเห็นว่ามีอาหารเรียงรายก็มองหาดูว่ามีเค้าหู้ไหมเพราะว่าเธอกินอาหารอย่างเต้าหู้ไม่ได้ แต่ไม่มีแฮะ .. “ข้านึกว่าทั้งโต๊ะของบ้านแม่นางจะมีแต่เต้าหู้เสียอีกนะเจ้าคะ” หลินหยาบอกแล้วเดินไปนั่งลงเตรียมทานอาหาร

          “แหม่ ปกติก็มีแหละ เพราะเป็นบ้านของพ่อค้าขายเต้าหู้เชียวนะ แต่หากเจ้ากินไปจะทำยังไงล่ะ ข้าไม่อยากดูแลเจ้าป่วยแล้วนะแม่นางน้อย..แหม่” หรงเล่อพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะนั่งทานอาหารกับหลินหยา ทั้งสองนั่งข้างกัน ลมพัดชายแขนเสื้อปลิวไหวเบา ๆ เสียงหัวงเราะคิกคัก ๆ บาง ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะกินหลินหยาก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังบอกเลยว่าสยองมาก แต่เธอก็โอเคนะ..

          “หืมมมม..ข้าสงสัยนะว่าแมวตัวนั้นจะเป็นผีหรือเปล่าอะไรงี้” หรงเล่อพูดระหว่างกิน หลินหยาทำหน้าเกแล้วส่ายหัว “ไม่ใช่แน่ ๆ มันฟัดได้! จับได้ด้วยนะ มันน่ารักสุดๆ เลยล่ะ” เสียงหัวเราะประสานกันอีกครั้งระหว่างกินอาหารกันช่วงกลางวัน..ใช่ทานอาหารเที่ยงด้วยกันนั้นแหละ กับอาหารร้อน ๆ บรรยากาศดี ๆ และเพื่อนใหม่ที่ทำให้หัวใจอบอุ่นในเมืองหลวงที่แปลกประหลาดสำหรับหลินยา เท่านี้ก็เพียงพอให้มื้อนี้ของหลินหยานั้นไม่ใช่แค่มื้ออาหารกลางวันธรรมดาแต่เป็นอีกหนึ่งความทรงจำของเธอที่สงบสุขสุด ๆ ไปเลยล่ะ

          ช่วงเที่ยงของวันในตอนที่แสงแดดกลางฤดูร้อนยังคงโปรยปรายผ่านชายคาเรือนหยักโค้งเสียงลมเอื่อยพลิ้วปลายไม้ทำให้ผ้าขาวบางที่แขวนไว้ตามมุมเสานั้นสะบัดพลิ้วปลิวเบา ๆ คล้ายจะกล่อมทุกชีวิตให้นั่งเฉย ๆ ไม่ต้องไปไหนเลยสักที โต๊ะอาหารไม้กรมใต้เฉลียงกลางสวนนั้นยังไม่ทันจะเกลี้ยงจานชามดี กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ คำพูดพล่าม และเศษอาหารที่มีใครบางคนเขี่ยอย่างไม่เกรงใจใครอยู่เหมือนกัน หลินหยานั่งไขว่ห้างอยู่ฝั่งหนึ่ง มือหนึ่งถือชามข้าว อีกมือคีบผักผัดหมูน้ำค้างร้อน ๆ เข้าปากอย่างอารมณ์ดี ขณะที่หรงเล่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอามือยันแก้มคุยจนเพลินไม่หยุด ปากก็ยังเคี้ยวข้าวและอาหารที่พึ่งกินไปเมื่อกี้ไปด้วย

          “นี่ๆ แม่นางน้อย ข้าว่าเจ้าอยู่ต่ออีกสักสองสามวันเถอะดีไหม? ข้าเบื่ออยู่แล้วจะมากินอาหารคนเดียวแบบนี้มาตั้งนานน่ะ! น่าา” หรงเล่อบ่นออกมาเสียงสูงกรอกตาแล้วคีบข้าวเข้าปากตัวเองอย่างหงุดหงิดเจ้าพ่อตัวดีที่บ้างานเพราะชอบไปทำงานอย่างอื่นน่ะสิ และเธอก็ไม่อยากให้หลินหยากลับเร็ว ๆ ด้วย

          ส่วนหลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ขำในลำคอ คงเพราะท่านพ่อของแม่นางหรงเล่อนั้นไม่ค่อยว่างละมั้ง? พลางยกถ้วยน้ำมาดื่มแล้วเช็ดปากของตนเองเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปยิ้มหวาน “ใจเจ้าอยากให้อยู่ แต่ใจข้านี้มันสั่งให้ไปไงงง” นางลากเสียงยาวแบบกึ่งร้องเพลงเสียงั้น พลางยกมือลูบคอของตัวเองเหมือนกับว่าจะดูว่าไม่มีผืนอะไรขึ้นใช่ไหม ไม่ได้กินอะไรแปลก ๆ ไปสินะ? “ข้าน่ะฟื้นตัวเต็มที่แล้วนะแม่นางหรงเล่อ ดูสิ ผิวกลับมาดีจนอยากไปเดินเฉิดฉายข้างนอกบ้านเจ้าแล้วนะเนี้ย” หลินหยาบอกแบบนั้น

          แต่แม่นางหรงเล่อแทบจะลุกขึ้นตบโต๊ะที่ได้ยินอะไรเช่นนั้นเลยนะ “แต่ข้าก็เหงาน่า!! เจ้ารู้ไหมว่าตอนเข้าหลับอยู่น่ะเจ้าเงียบทั้งวันเลยนะ แล้วนี้จะหายดีแล้วหนีกลับไปแบบนี้ไม่เกรงใจคนดูแลหรือไงหืมมมมม”

          “โถ่..แม่นางหรงเล่อคนดีของข้าน้อยยย” หลินหยาวางชข้อนแล้วขยับมือไปตบไหล่อีกคนเบา ๆ แสร้างทำหน้าสลด ๆ ใจอย่างงั้นแหละ “ข้าก็อยากอยู่นะเจ้าคะ แต่แม่นางหรงเล่อลองคิดดูสิ ข้ากินข้าวฟรี นอนฟรี แถมแช่อ่างไม้ของบ้านแม่นางทุกวัน นี้ถ้าคนอื่นรุ้นะคงคิดว่าข้าเป็นลูกกาฝากแน่เลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกแบบนั้น ส่วนหรงเล่อก็หน้ามุ่ยใส่เลยล่ะ

          “โอ้ยย ไม่หรอกน่า ไม่มีใครกล้าบอกว่าเจ้าเป็นแบบนั้นหรอก ข้าไม่คิดงั้นด้วยนะ ไม่มีใครกล้าหรอก ข้าแค่..แค่ไม่อยากให้เจ้าไปเร็ว ๆ แค่นั้นเอง ปกติข้าไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยนะ” พูดไปก็เงียบไปทำท่าทีเริ่มน้อยใจแบบน่ารัก ๆ จนหลินหยาต้องเงยหน้าไปสลตาแล้วหัวเราะออกมาเพราะว่าหรงเล่อก็มีด้านเป็นเด็กเช่นนี้เหมือนกันนะเนี้ย..แหม่

          “เอาน่า อย่าทำหน้าหงอยเช่นนั้นสิเจ้าคะ? ช้าสัญญาว่าถ้ามีเวลาว่างเมื่อใดจะมาหาแม่นางนะ จะมานั่งเล่นกับท่านบ่อย ๆ หากมีเวลาว่างนะ” เอ่ยบอกแม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นไปด้วยความยากก็ตามเพราะว่าสำหรับหลินหยาที่ทำงานตลอดเวลาแล้วมันก็ยากมากพอสมควรเลยล่ะ

          “จริงนะ?..พูดจริงอ่ะ?” หรงเล่อเอ่ยบอกเงยหน้าขึ้นเร็วปานลมพัดปลิวใบไผ่ที่กำลังพัดอยู่ตอนนี้

       “พูดจริงเจ้าค่ะ” หลินหยาโบกมือบอกประมาณว่าใช่เลย “หากข้าไม่ว่างก็มาหาข้าที่ร้านได้ แม่นางหรงเล่อรู้ตารางงานของข้าหมดแล้วนี้หน่า?” เอ่ยย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกคนได้รับรู้สถานะทางการเงินของเธอที่ค่อนข้างวิกฤษ “แต่ตอนนี้..ข้ามีงานรออยู่ในเมืองหลวงเยอะแยะนักเจ้าค่ะ ไม่ได้มีเงินเก็บพอที่จะซื้อขลุ่ยใหม่ด้วยซ้ำ ไหนจะไม่อาจมีเงินจ่ายค่าที่พักโรงเตี๊ยมดี ๆ ในเมืองอีก ตตอนนี้ยังอาศัยที่หอว่านหงเหรินในการนอนอยู่เลยเจ้าค่ะ”

          “เจ้าไม่ใช่ขอทานนะ” หรงเล่อโวยวายพลางทำหน้ายู่ใส่

          “แต่ข้าก็ไม่ใช่เด็กสาวที่นอนอยู่เฉย ๆ แล้วมีคนเสิร์ฟอาหารให้ทุกเช้านะเจ้าคะ?” หลินหยาเอ่ยบอกแล้วระบายยิ้มใส่ความเวอร์เต็มแม็กซ์สำหรับการเล่าให้อีกคนฟังแล้วแสร้งถอนหายใจแบบโคตรนักแสดงเสียเลย “อีกอย่าง…” น้ำเสียงของหลินหยาเริ่มลดลงต่ำลง ดวงตาของนางแวววาวขึ้นเล็กน้อยขณะที่มองไปยังแม่นางหรงเล่อที่อยู่ใกล้ ๆ “ข้าเป็นพวกอยู่ไม่สุขน่ะเจ้าค่ะ อยู่ที่เดิมนาน ๆ แล้วมันเหมือนมีรากงอกออกมาจากเท้า ข้าจะทนไม่ได้จริง ๆ นะเจ้าคะแม่นางหรงเล่อ"

          เมื่อหรงเล่อได้ยินแบบนั้นก็พ่นลมหายใจฟู๊ว วว ว ออกมาแล้วทำหน้าจริงจังขึ้น “งั้นก็…งึม…เห่อเอาอย่างงั้นก็ได้ ข้าอยากไปส่งเจ้าเหมือนกันแต่ช่วงเย็นนี้คงไม่ได้” หรงเล่อเอ่ยบอกแล้วพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ส่วนหลินหยาก็เลิกคิ้วหน่อย จะไปส่งเธอที่ไหนเนี้ยน่ะ? ไม่ว่างหรอเนี้ย? ลำบากจังเลยนะ

          ภายใต้แสงแดด่อน ๆ ที่ความร้อนของฤดูรน้อนค่อย ๆ จางลงแล้วลมหอบจากทุ่งหญ้ามาพัดแผ่ว ๆ เสียงหัวเราะเบา ๆ จากสองสาวที่ดังคลอเคล้าเคลียกันกับเสียงไหวของใบหญ้าที่พัดงั้น หลังจากที่โต๊ะอาหารถูกเก็บเรียบร้อยเสียงหัวเราะก็ยังไม่จางหายไปจากปลายเฉลียงที่อยู่ใต้ชายคาไม้แห่งนี้ ร่มเงาต้นไม้เอนอ่อนลม ลำแสงแดดยามบ่ายสาดผ่านใบไม้กระทบกับพื้นหินเป็นลวดลายระยิบระยับราวกับภาพฝัน ทรงเล่อเดินกลับเข้ามาในลานอย่างร่าเริง ในมือถือพัดลายเมฆสีฟ้า สะบัดไปมาราวกับกำลังเริงระบำในงานมหรสพอยู่

          “ข้าจะไม่ให้แม่นางน้อยไปตอนนี้เด็ดขาด” นางเอ่ยเสียงจริงจังแบบล้อเล่นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเธอ ส่วนหลินหยาเหมือนกับงงนิดหน่อยแต่ก็พอจะเข้าใจความคิดของอีกคนหรือเปล่านะ? ไม่แน่ใจเหมือนกัน

          “เจ้าค่ะแม่นาง..แหม่..เจ้าแค่อยากยื้อให้ข้าอยู่นานที่สุดหรืออย่างไรเจ้าคะ?” หลินหยาเอ่ยถามส่วนหรงเล่อเมื่อเห็นเช่นนั้นก็หมุนตัวหนึ่งที “แน่นอน อย่างน้อยก็รอให้ท่านพ่อมาก่อน ข้าอยากให้เจ้าไปบอกเขาด้วยตัวเองว่าเจ้าหายดีแล้วจะได้ไปทำงานอย่างสบายใจน่ะ” หรงเล่อบอกเพราะมันเป็นมารยาทที่ควรจะบอกท่านพ่อนางก่อนที่จะออกไปไหนมาไหนเพราะเขาคือคนที่พาแม่นางหลินหยามารักษาเอง

          “หืมมมม ไหนว่าไม่อยากให้ข้าไปน่ะ? แต่กลับอยากให้ข้าไปแจ้งท่านอันเล่อกับมือเนี่ยนะ..” หลินหยาพูดพลางยิ้ม ๆ แล้วขยับเอามือไปหยิบเส้นผมที่ตดลงเป็นปอยหวานนั้นขึ้นทัดหูของตนเอง “ก็อย่างน้อยข้าก็มีข้ออ้างให้เจ้าได้กักตัวอีกครึ่งวันแหละน่า” หรงเล่อเอ่ยพลางยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ ในที่สุดหลุดหยาก็หัวเราะอย่างเต็มเสียงก่อนที่จะพยักหน้าอย่างจำนนกับแม่นางหรงเล่อคนนี้จริง ๆ

          “ตกลงเจ้าค่ะ แล้วระหว่างรอแม่นางหรงเล่อจะให้ข้าทำอะไรละเนี้ย?” นางเอ่ยบถามอีกฝ่าย

          “เล่นดนตรีให้ข้าฟังสิ?” คำตอบนั้นตอบมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

          “ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่หรอว่าเป็นนักดนตรีฝึกหัดอยู่ที่หอว่านหงเหริน ข้าอยากฟังบ้างนี้หน่า?” แม่นางหรงเล่อบอกแบบนั้นส่วนหลินหยาก็พยักหน้า แล้วเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ พลางหยิบขุล่นออกมาจากกระเป๋าผ้า แม้ว่าจะดูเหมือนเรียบง่ายแต่นางก็ดูแลมันอย่างทะนุถนอมแทบทุกวันราวกับเพื่อนคนหนึ่ง “ถ้าแม่นางฟังแล้วน้ำหูน้ำตาไหลแล้สห้ามโทษข้านะเจ้าคะ”

          “ฮ่ะ ๆ ถ้ามันไม่เพราะ ข้าจะลงโทษเจ้าแทน” แม่นางหรงเล่อตอบทันควันแล้วนั่งพัดตัวเองอย่างตั้งใจ

          ทั้งสองนั่งใต้ร่มไม้ในลานข้างเรือนบรรยายกาศนั้นเงียบสงบลมพัดเย็นพัดเบา ๆ ดอกไม้ร่วงลงจากพื้นเป็นจังหวะงาม ในขณะที่หลินหยายกขลุ่นขึ้นแนบริมฝีปาก ปลายนิ้วเรียวคค่อย ๆ กดลงที่ช่องตรงเสียง เสียงตัวโน๊ตแรกดังขึ้นช้า ๆ ใส..นุ่ม..ราวกับหยดน้ำค้างที่ตะกระทบผิวน้ำเข้าไปที่ปลายฤดูใบไม้ผลิงามเสียงดนตรีแผ่วเบาทว่านุ่มลึก ร้องเรียงเป็นทำนองแห่งความงดงาม ความเหงียบเหงาที่ไม่มีความเศร้า แต่อบอุ่นราวกับสายลมนั้นโอบอุ่นราวกับอ้อมแขนที่มองไม่เห็น ขณะที่หลินหยาเป่าขลุ่นนั้นไปอย่างอ่อนโยน ดวงตาเรียวของนางก็เหมือนกับมีแสงวาบในแวงวตาตัวเองเหมือนคนที่กำลังเดินตามเสียงเพลงของตนเองไปเรื่อย ๆ อย่างงดงาม

          หรงเล่อไม่ได้พูดอะไรเลย นางนั่งฟังเงียบ ๆ มองหลินหยาด้วยสายตาพราวระยิบระยับ นิ้วเรียวค่อย ๆ ขยับแตะข้างแก้มตัวเองเบา ๆ เพราะรู้สึกว่าวันนี้ไม่ใช่เพียงเสียงดนตรีที่ทำให้หัวใจอบอุ่น แต่คือมิตรภาพบางอย่างที่กำลังแน่นแฟ้งเกินคำว่ารู้จักกันไม่กี่วันไปไกลนัก บทเพลงบรรลงไปเรื่อย ๆ จบลงอย่างแผ่วเบาเหมือนกับสายลมของฤดูร้อนที่ผ่านไปช้า ๆ หลินหยาเป่าโน๊ตตัวสุดท้ายก่อนที่จะลดมือลงแล้วคิ้วก็คลายออกพลางระบายลมหายใจยาว ..

         “อา..ไม่ได้เป่าแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะเจ้าคะ” นางระบายยิ้ม

          “งดงามมากเลยล่ะแม่นางน้อย” หรงเล่อเอ่ยเสียงเบาก่อนที่จะปรบลมือเปาะแปะ ๆ อย่างเห็นได้ชัด “หากข้าเป็นท่านอา..เอ้ย..หมายถึงหากข้าต้อง..อืม..เอ่อ..อะ..อึม …” หรงเล่อเกือบพูดคำว่าท่านอา เกือบบอกว่าหากเป็นฮ่องเต้จะลากนางเข้าวังเสียแล้วล่ะ

          “หืม?...ท่านมีอา?..หมายถึงน้องของท่านชายอันเล่อหรือเจ้าคะ?” หลินหยาเอ่ยถาม แม่นางหรงเล่อก็พยักหน้ารัว ๆ “ใช่ ๆ มีอยู่คนหนึ่งน่ะ เป็นคนดีมากเลยล่ะ เป็นท่านอาผู้ชายหลานชายของท่านพ่อ สนิทกันมากเลยล่ะ” หรงเล่อเอ่ยบอกสภาพเหมือนคนที่เกือบจะปลดความลับของท่านพ่อเสียแล้ว

          “เห..หากเขาเป็นหลานของท่านชายอันเล่อหน้าตาคงดีแน่ ๆ เลย” เสียงของหลินหยาเอ่ยพลางหัวเราะอย่างเป็นกันไปกันมา สองสาวหัวเราะด้วยกันอีกครั้งบ่ายแก่ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เสียงดนตรี ความเงียบระหว่างโน๊ต และเสียงพูดคุยกันแผ่ว ๆ กลายเป็นฉากหลังของช่วงเวลาดี ๆ ที่ไม่อยากมีใครให้มันหมดไปแม้สักนิด บางที...แค่วันเดียวที่เข้าใจกัน ก็เพียงพอให้กลายเป็นเพื่อนตลอดชีวิต

          ….
         
……

          หลังจากนั้นก็ถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ คล้อยจนเงาไม้ทอดยาวบนพื้นกระเบื้อง ลมอุ่นของฤดูร้อยเริ่มแผ่าวปลายแสงดแดดเหลือเพียงไล่ขอบหลังคาเรือนด้วยสีทองอ่อน ราวกับทาบด้วยพู่กันฝีมือเทพยามนี้ใต้ต้นหลิวในลานเรือน เสียงดนตรีเครื่องเป่ารได้เงียบหายไปนานแล้ว ทว่าเสียงหัวเราะและคำพูดจาไร้สาระการหยอกล่้อกันสนิทสนมของเด็กสาวสองคนยังคงวนเวียนคลอเคลียอยู่ในอากาศอย่างอ้อยอิ่ง

          หลินหยาวางเครื่องดนตรีของตนเองลงบนตัก มือบางนั้นยกเช็ดเหงื่อเบา ๆ ตรงข้ามขมับ ก่อนที่จะเอนหลังพิงเสาต้นหนึ่งปล่อยให้สายลมเย็นผ่านปอยผมและชายเสื้อไปช้า ๆ หรงเล่อเองก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ใช้พัดผ้าสะบัดใส่หน้าตนเองเหมือนเด็กที่เริ่มร้อนจากกิจกรรมในวันที่เกือบหมดแสง ดวงตากลมโตสดใสของนางจ้องท้องฟ้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่เงียบ ๆ

          “ข้าว่า ข้าต้องไปแล้วล่ะแม่นางน้อย” เสียงของหรงเล่อเอ่ยพูดขึ้นแผ่ว ๆ แต่นุ่มนวล แฝงแววเสียดายจาง ๆ หลินหยาที่หันมามองก็สบตากับอีกฝ่ายในจังหวะที่แสงแดดกระทบพอดี รอยยิ้มบางเบาของทั้งคู่ทำให้เงียบกันไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าชข้า ๆ แล้วคลี่ยิ้มกลับ “แล้วแม่นางหรงเล่อจะไปทำงานหรอ?” นางเอ่ยถาม ส่วนหรงเล่อก็พยักหน้า

          “อืม…ข้าต้องไปช่วยเตรียมของบางอย่างให้กับท่านพ่อน่ะ อะเไรสักอย่างแหละ แต่ก็คงไม่ช้าหรอก ไม่ใช่อะไรที่ลำบากขนาดนั้นมั้งแบบราชกิจงี้” หรงเล่อพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจนัก ส่วนหลินหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้เพราะอีกคนพูดคำว่าราชกิจเสียอย่างงั้น

          “เจ้าพูดเหมือนบ้านนี้เป็นจวนขุนนางล่ะ แหม่..” หลินหยาเอ่ยบอก ส่วนหรงเล่อก็เบิกตากว้างนิดหน่อย เธอเกือบหลุดพูดเสียแล้ว ทำเพียงยิ้มแห้งเงียบ ๆ ไม่ตอบคำถามนั้นแต่จังหวะที่ลุกขึ้นยืนกลับลูบชายกระโปรงให้เรียบร้อย นางกลับพูดขึ้นแทนอย่างสนุกสนาน “เจ้ารู้ไหมแม่นางน้อยหลินหยา ข้ารู้จักเจ้าแค่ไม่กี่วัน แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนรู้จักเจ้ามานานมากแล้ว เจ้าตลกดี ตรงไหตรงมา ถึงจะมีบางอย่างที่คิดเกินคนปกติไปเสียหน่อย แล้วก็ไม่เหมือนใครเลย ข้ารู้สึกสบายใจที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้านะ”

          หลินหยาขยับริมฝีปากยิ้ม รู้สึกบางอย่างในอกขึ้นเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา ดวงตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของนางสบกับดวงตาของแม่นางหรงเล่ออย่างยิ่ง ๆ ก่อนที่จะตอบเบา ๆ “ข้าก็เหมือนกันเจ้าค่ะ แม่นางเป็นเพื่อนที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่แปลกหน้ากับเมืองหลวงสักนิดเลย”

          หรงเล่อเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือมาจับมือของหลินหยาแน่นแล้วกระซิบเสียงนุ่มราวกับจะให้ได้ยินกันแค่สองคน “ว่าง ๆ มาหาข้าบ้างนะ ข้าจะรออยู่เสมอ กับการพบกันครั้งหน้าของข้ากับเจ้า” หญิงสาวทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกันอีกครั้ง ก่อนที่หรงเล่อจะผละมือออกแล้วหันหลังเดินไปยังเรือนใหญ่ ฝีเท้าของนางเบา แต่ไม่เร่งร้อน ราวกับอยากยืดเวลานี้ออกให้นานที่สุด หลินหยานั่งมองจนแผ่นหลังของหรงเล่อค่อย ๆ ลับหายไปจากมุมทางเดิน จนทุกอย่างกลับมาเงียบงันอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมพัดกับดอกไม้ที่ร่วงลงพื้น “…ข้าก็เฝ้ารอเช่นกันนะ…” นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปเก็บเครื่องดนตรีของตนเองไว้ ลมอุ่นพัดอีกครา พาเอากลิ่นของช่วงเวลาแสนดีลอยวนในใจอย่างเนิ่นนาน

          ยามเย็นเริ่มร่วงโรย แสงแดดสีทองอ่อนกำลังคลี่ตัวสลัวลงเหนือชายคา เงาไม้เอียงเอนทอดตัวอ้อยอิ่งบนระเบียงไม้เรียบ ภายในเรือนรับรองที่หลินหยาได้พำนักอยู่ในช่วงเวลาที่ป่วยนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพรจาง ๆ เจือกับกลิ่นไม้หอมจากเครื่องหอมเล็ก ๆ ที่ถูกจุดไว้ข้างบานประตู หญิงสาวเรือนผมยาวสลวยผู้ยังแต่งกายด้วยเสื้อคลุมบางเบาโทนสีอ่อน เริ่มจัดเก็บสัมภาระของตนลงในถุงผ้าสะพายใบเดิมทีละชิ้น ลำดับจากเสื้อผ้าหลายชุดไปจนถึงขวดน้ำมันหอมกับเครื่องประดับขนาดเล็ก กระทั่งสายตาเธอหยุดอยู่ที่ขลุ่ยไม้ด้ามเก่าชิ้นหนึ่ง ซึ่งพ่อของเธอส่งมาจากจวนที่กว่างโจว…ขลุ่ยที่แม้นานปีผ่านไป กลับยังบรรจุเสียงในความทรงจำได้อย่างครบถ้วน

          เธอนั่งลงตรงริมหน้าต่างบานใหญ่ แสงแดดตกกระทบเสี้ยวหน้าอ่อนวัยที่ขาวนวลสะอาดราวกลีบบุปผา เสียงลมหายใจเงียบสนิทขณะปลายนิ้วเรียวยกขลุ่ยขึ้นแตะริมฝีปาก ดวงตาหลินหยาหลับลงครู่หนึ่ง ราวกับซึมซับบรรยากาศโดยรอบไว้ในห้วงใจ ก่อนที่เสียงเป่าจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นช้า ๆ ท่วงทำนองนั้นไม่ซับซ้อน หากแต่แฝงไว้ด้วยความละเมียดละไมและเศร้าสร้อยอยู่ในคราวเดียวกัน เสียงแผ่วเบาแต่ไหลลื่น ราวกับการบรรเลงของสายธารยามฤดูใบไม้ร่วงไหลผ่านรากไม้เก่าแก่ที่ฝังแน่นอยู่ในป่าลึก ทุกตัวโน้ตแฝงความโหยหา แว่วคล้ายเสียงเพรียกของใครสักคนในยามค่ำเงียบ

          และใช่..เธอไม่รู้เลยว่าท่ามกลางความเงียบสงบเยี่ยมนั้น มีใครบางคนกำลังยืนพิงกรอบประตูเงียบ ๆ อยู่ก่อนแล้ว …

          เขายืนนิ่งไม่สงเสียง ไม่แม้แต่กระซิบหรือขยับกายแม้แต่น้อยบ เรือนกายของเขาสูงโคร่งในชุดเรียบแสนสง่างามของบุรุษผู้มีแววตาที่นิ่งสงบแต่เฉียบลึกนั้นไม่มีความเคลื่อนไหว ดวงตาคมเข้มคู่นั้นจับจ้องเพียงเงาของเด็กสาวที่กำลังเป่าตจลุ่ยอยู่ภายในห้อง น้ำเสียงของขลุ่นนั้นลึกราวกับกำลังสะกดบ้างอย่างเอาไว้..

          คุณชายอันเล่อ หรืออ๋องหลิวอัน คนที่เธอไม่รู้ว่าเขาคือใคร เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้บทเพลงอันเรียบง่ายอย่างน่าเหลือเชื่อนั้นกวาดล้างความวุ่นวายจากรอบข้างไปทีละเสี้ยว ทีละเสี้ยว หากผู้ใดได้ยินคงคิดว่าเสียงขลุ่ยนี้เป็นของนางโลมมากฝีมือ หรือสตรีผู้ร่ำเรียนจากจวนขุนนางใหญ่ ทว่าแท้จริงแล้วคนที่กำลังเล่น เล่นมันด้วยหัวใจของผู้แบกเรื่องราวที่ผ่านมาไว้ในอก ไม่ได้เป่าเพื่อใครทั้งนั้น หากแต่เผ่าเพื่อซึมซับตัวตนที่แท้จริงของตนเองกลับคืนมาเท่านั้น คุณชายผู้มีพื้นหลังเป็นคนยศสูงส่งไม่ได้กล่าวคำใด ทั้งยังไม่ได้แสดงตัวในทันที เขายืนเงียบดั่งเงาไม้ที่ไม่เคยจากไปไหนในยามเย็น ลมหายใจยังคงเป็นจังหวะ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังภาพด้านนอก เขาฟังเพียงเสียงที่ออกมาเท่านั้น

          บทเพลงจบลงได้สักพักแล้วพร้อมกับแสงแดดที่เริ่มหายไป ร่วงลงเป็นลายไม้ที่ไม่ชัดเจน กลิ่นอย่างอื่นอบอวลภายในห้องที่แสนเรียบง่าย หลินหยาที่เก็บของอยู่เงียบ ๆ หลังจากที่เล่นดนตรีเสร็จโดยไม่ส่งเสียง ขยับเตรียมจะเก็บของและรอไปหาคุณชายอันเล่อเพื่อที่จะบอกเขาว่านางจะจากไป..

          เสียงฝีเท้าแน่นิ่งหนักแน่นแต่ไม่รีบร้อนดังขึ้นนอกบานประตู ก่อนที่มันจะถูกเลื่อนเปิดด้วยจังหวะที่เรียบนิ่งอันไร้พิธีการราวกับมันเป็นเพราะเขาคือเจ้าของ..ชายคนนั้นกำลังเปิดประตู ชายหนุ่มในชุดเรียบที่ดูธรรมดาแต่ทว่ามีแรงกดดันติดตัวมาเหมือนขุนนางศึกที่พึ่งกลับจากแนวหน้า ตัวเนื้อผ้าเป็นผ้าไหมเนื้อหนักที่สะท้อนแสงเพียงแผ่วเบา ไม่มันวาวเกินงาม ให้ความรู้สึกสุขุม มั่นคง และเฉียบขาด แขนเสื้อกว้างลวดลายปักคลื่นและเส้นสายเรขาคณิตแสดงถึงชาติกำเนิดดีหรือผ่านการเลือกเครื่องแต่งอย่างพิถีพิถัน สีหน้านิ่งที่ขรึมของเขาไม่ได้แสดงความตกใจที่เห็นนางไม่จากไป หากแต่ปรายตามองเพียงครั้งเดียวแล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่คิดจะก้าวล้ำเข้ามาใกล้เกินควร ใบหน้าคมเข้มได้รูป คิ้วเข้มเรียวรับกับดวงตาแม้จะมองต่ำแต่แฝงด้วยแววครุ่นคิด ลำจมูกโด่งได้รูป และกรอบหน้าเรียวลงถึงคางอย่างชัดเจน ริมฝีปากบางนิ่งเงียบ เป็นความสง่างามที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจา เขาปล่อยเส้นผมยาวดำขลับแซมประกายน้ำตาลเข้ม ผูกไว้หลวม ๆ ด้านหลัง บางเส้นตกเคลียแก้มเพิ่มเสน่ห์สบาย ๆ แต่ไม่หย่อนยาน

          หลินหยาเหลือบมองเขาแล้วลุกขึ้นช้า ๆ รวบชายผ้าเล็กน้อยแล้วโค้งตัวครารวะเบา ๆ ตามมารยาท “ท่านชาย ข้าจะกลับแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้..” นางเอ่ยบอกนิดหน่อยแล้วระบายยิ้ม ใบหน้างามนั้นเต็มตึงเหมือนเคยแล้วบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีขึ้นของนาง

          เขาไม่พูดอะไรในทันทีเพียงมองไปยังข้าวของที่เก็บแล้วครึ่งหนึ่งกับสีหน้าของนางที่ยังปกติไม่เหมือนตอนนอนสลบ “ของยังไม่ครบ” เสียงของเขาราบต่ำและนิ่งเงียบ ราวกับไม่ใข่ประโยคคำถามหรือชวนคุยแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ยื่นให้ตรง ๆ แบบตรงไปตรงมา หลินหยาที่เงยหน้าขึ้นนิดหน่อยก็พยักหน้าบอกเขา “เจ้าค่ะ ยังเก็บไม่ครบเลยเจ้าค่ะ” นางบอกแบบนั้น

          และหลิวอันยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่ขยับ ไม่เปล่งเสียงอีก สีหน้าก็ไม่ปรากฎความไม่พอใจหรือเห็นใจใดใดเลยเพียงแต่จ้องมองอย่างไม่อ้อมค้อมแม้สักนิด “หากเจ้าต้องการพักต่ออีกคืน ที่นี่จะไม่ขับไล่เจ้า” เขากล่าวในยามเย็นย่ำ แสงสุดท้ายของตะวันทอดทาบเงาระเรื่อผ่านม่านไม้ไผ่โปร่งบาง น้ำเสียงของเขาต่ำ นิ่งเฉย เรียบเฉียบไร้ความคาดหวัง หากแต่หางเสียงนั้นมีบางสิ่งบางอย่างประหลาดซ่อนอยู่ มันไม่ใช่ความอ่อนโยน…แต่เป็นความเอาใจใส่ในแบบที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัว

          หลินหยาหันมาทางเขา ยิ้มจาง ๆ อย่างนอบน้อมในแบบที่ไม่ฝืนตน "ข้า...ก็อยากอยู่อีกสักคืนเจ้าค่ะ เพราะที่นี่สงบ และอบอุ่นมากกว่าที่อื่นที่ข้าเคยผ่านพบมา" นางว่าเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายรู้สึกผิด "แต่ข้าขาดงานมาหลายวันแล้ว หากไม่รีบกลับไปก็จะเสียทั้งรายได้และชื่อเสียง ถึงจะเป็นแค่งานชั่วคราว ข้าก็อยากรักษามันไว้...ข้าไม่อยากให้ใครว่าได้ว่าข้าไม่มีวินัย" คำพูดของหลินหยานั้นฟังแล้วไม่ราบรื่นเหมือนกลอน แต่กลับจริงใจจนสัมผัสได้ ชายหนุ่มตรงหน้ามิได้ตอบในทันทีเขาเพียงยืนนิ่งมองนางเหมืองอ่านบางอย่างของสนิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น จากดวงตาเรียวคิ้มใต้คิ้วเข้มเหมือนคมมีดอาบที่ไม่เคยเปิดเผยอะไรนักเขาเอ่ยออกมาเสียงเบา

          “เจ้าบ้างาน?”

          หลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดตรงขนาดนี้ แต่ก็ตอบตามตรงไม่ต่างกัน “ก็อาจจะใช่เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกไม่ดีหากไม่ได้ทำอะไรเลย ราวกับไม่คู่ควรกับข้าวที่กินหรือลมหายใจที่ยังอยู่น่ะเจ้าค่ะ” หลินหยาตอบแบบนั้น

          ส่วนหลิวอันกลับยืนนิ่งอีกครั้งหากแต่คราวนี้มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขายกมือไขว่หลังของตนเอง “อืม..หากคิดว่าเจ้าต้องไปก็ไป” หลินหยาได้ยินคำพูดนั้นก็ไม่ได้อะไรเพราะมันก็คงเป็นการส่งในแบบของเขา นางย่อกายคารวะอีกครั้ง สีหน้าอ่อนน้อมและเต็มไปด้วยความรู้สึก "ข้าจะจดจำเจ้าคำของท่านไว้ในใจเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ไม่ว่ากัน ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า…"

          "ไม่ต้องขอบคุณ" หลิวอันขัดเบา ๆ ไม่ใช่เพราะไม่อยากรับ แต่เพราะไม่เห็นว่าการช่วยเหลือใครคนหนึ่งด้วยเต้าหู้ที่ไม่รู้ว่าจะแพ้อะไร เป็นความดีอะไรนัก "ข้าทำลงไปเพราะคิดว่าไม่ตาย" เขาเอ่ยราบเรียบ ก่อนจะหมุนตัวอีกครั้ง เดินออกไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้บานประตูเปิดไว้เพียงครึ่งเหมือนบอกนัย นางจะปิดประตูก็ได้ หรือจะออกตามมาก็ไม่ห้าม บางที...นี่อาจเป็นความใส่ใจที่เฉพาะตัวของคนอย่างหลิวอัน ผู้ซึ่งไม่รู้จักความอ่อนโยนแบบคนทั่วไป แต่กลับแสดงออกได้ชัดเจนในความนิ่งเงียบของเขา

          “ท่านชายอันเล่อ..”

          ชายหนุ่มที่กำลังเดินกลับหยุดท้าที่กำลังก้าวพ้นธรณีประตูไปเพียงครึ่งก้าวคล้ายกับประโยคเมื่อครู่ของหลินหยานั้นขัดจังหวะเขาได้อย่างชะงัก ดวงตาคมที่ทอดผ่านฟ้าค่ำเบื้องนอกค่อย ๆ หันกลับมามองเด็กสาวผู้ที่ยืนหลังเหยียดตรงยิ้มบาง ๆ ส่งมาทางเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ร่างกายของนางพึ่งผ่านความเป็นความตายมา

          “ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดนะเจ้าคะ” นางเอ่ยว่าเช่นนั้นเสียงเบาแต่มั่นคง แววตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนสะท้อนแสงสุดท้ายของยามสนธยาแห่งนี้ “ข้าต่างหากที่ไม่รอบคอบพอ ยังจะกินทั้งที่รู้ว่าตนเองนั้นแพ้ถั่วเหลือง ข้าไม่อยากให้ท่านเก็บมันเป็นภาระในใจ หรือคิดว่าตนเองทำให้ข้าป่วย มันไม่ใช่ความผิดท่านแม้แต่น้อยเลยเจ้าค่ะ”

          หลิวอันยังไม่พูดอะไร เขาเพียงมองนางเงียบ ๆ ไม่ใช่ด้วยแววตาลึกซึ้ง หากแต่เป็นแววตาของคนที่พยายามประเมินว่าคำพูดอันตรงไปตรงมาเช่นนี้มาจากความสัตย์จริงหรือว่าเป็นเพียงการประนีประนอมกับแน่สำหรับผู้หญิงที่เอาแต่เคยชินกับความอดทน  แต่หลินหยานั้นไม่ได้หยุดแค่เพียงเท่านั้น นางเอ่ยขึ้นต่อเบา ๆ ราวกับพูดเล่น

          “แต่หากวันใดวันหนึ่ง ท่านชายคิดค้นเต้าหู้ที่ไม่มีถั่วเหลืองได้ ข้าอยากลิ้มรสมันอีกสักครั้งเหลือเกินเจ้าค่ะ เพราะแม้ว่าจะกินไปเพียงคำเดียวนั้น ข้าก็จำรสชาติของมันได้ดี รสสัมผัสที่นุ่มลึก ละมุนลิ้น ชวนให้นึกถึงอะไรบางอย่างที่ไกลโพ้น อาจเพราะข้าไม่ได้กินอะไรเช่นนั้นมานานแล้ว”

          หลิวอันเลิกคิ้วเล็กน้อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรี่ตามองนางเหมือนกำลังอ่านกระดาษอันซึมซับหมึกเก่าที่่เริ่มปรากฎลวดลายบางอย่างขึ้นจากหมึกจาง ๆ ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีคำชื่นชมที่กล้าวเกินจริง แค่คำพูดเรียบง่ายของคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะพยายามใส่ใจความรู้สึกของคนทำเต้าหู้เช่นเขา แม้เพียงเสี้ยวเดียวก็ตาม

          “ข้าไม่ใช่พ่อครัว” เขาเอ่ยเรียบ ๆ “ไม่ใช่คนที่ชอบประดิษฐ์หรือดัดแปลงอะไรตามใจใครนัก เต้าหู้คือเต้าหู้ มันจะไม่ใช่เต้าหู้หากไม่มีถั่วเหลือง” เขาเว้นไปเล็กน้อย คล้ายประโยคจบแล้ว แต่กลับเอ่ยเสริมราวกับตนเองก็ประหลาดใจกับการพูดต่อ “แต่ถ้าเจ้ารอดมาจากคำสาปของถั่วเหลืองอีกครั้ง...ข้าอาจลองทำอะไรสักอย่างดู”

          นั้นไม่ใช่คำรับปาก แต่มันคือการบอกว่าเขาจะลองดุ ดวงตาของเขายังคงนิ่ง ดุดัน และราวกับสลัดความเหินห่างอย่างผู้ที่ยืนอยู่เหนือความอ่อนไหวของโลกใบนี้ แต่ในบรรยากาศยามเย็นที่เงาไม้ทอดยาวจนเกือบกลืนกลบร่างของเขานั้น…หลินหยากลับรู้สึกว่าเงาหลังของเขา อาจจะดูอบอุ่นกว่าที่เห็นเล็กน้อยก็ได้

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินหยาก็พยักหน้า เธอหันกลับมาเก็บห่อสัมภาระเล็ก ๆ ของตนเองต่ออย่างเงียบเชียบ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็หันมายิ้มบางให้ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของนางไม่ได้เจือความเก้อเขินหรือลังเลใจใด ๆ มีเพียงรอยยิ้มสุภาพและสายตานุ่มนวลที่ใช้กับคนที่ตนเองให้เกียรติ “ข้าต้องไปทำงานแล้วล่ะเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอีกครั้งที่ดูแลข้าตลอดช่วงวันที่ข้านอนซมไป ขอบคุณมากจริง ๆ” เสียงนางไม่เบานัก ไม่ดังนัก เหมือนระฆังเงินที่เคาะเบา ๆ ในลมเย็นย่ำสนธยา

          หลิวอันปรายเพียงตามองหลินหยา เหมือนจะอยากขยับริมฝีปากน้อย ๆ ราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่างหรือบางสิ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรในทันที เขาเพียงมองแผ่นหลังของนางที่ย่อตัวหยิบสัมภาระนั้นและเมื่อหญิงสาวที่เดินมาเขาก็เอ่ยถามโดยไม่ทันคิด “ตอนนี้จะไปที่ใด? ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว” น้ำเสียงของเขายังคงเรียบ นิ่ง และห่างไกลจากความห่วงใยตามแบบผู้คนทั่วไป หากแต่ก็ไม่ได้ฟังดูเย็นชาโดยสิ้นเชิง มีเพียงความหนักแน่นของคนที่เคยผ่านร้อนหนาวมานาน และยังไม่ลืมสังเกตความเป็นไปของผู้อื่น

          หลินหยาหยุดเท้าลง ยืนตรงและหันหน้ากลับมาเล็กน้อย ใบหน้านั้นยังคงยิ้มเช่นเดิม “ข้าเป็นสาวใช้และนักดนตรีฝึกหัดอยู่ที่หอว่านหงเหรินเจ้าค่ะ วันนี้ยังมีรอบการบรรเลงดนตรียามค่ำ ข้าขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ” ประโยคนั้นเอ่ยออกด้วยท่าทีเป็นธรรมดา ราวกับหญิงสาวพูดถึงการไปตักน้ำ หรือเดินตลาด ไร้ซึ่งความรู้สึกว่ากำลังบอกข้อมูลใดที่น่าละอายหรือหนักใจ หลิวอันไม่ได้ตอบทันที เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยในแบบของคนที่รับรู้แล้ว และไม่คิดคัดค้านใด ๆ เขาไม่ได้ห้าม ไม่ได้สั่ง ไม่ได้หยิบยื่นข้อเสนอใด ๆ เพื่อให้หญิงสาวอยู่ หรือแสดงความไม่พอใจที่อีกฝ่ายจะกลับไปทำงานในที่เช่นนั้น

          เพราะนางไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเขา และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะยื่นมือออกไปโดยที่ไม่มีเหตุสมควร “เดินทางดี ๆ” เขาเอ่ยเบา ๆ พลางเบนสายตาไป น้ำเสียงไม่เย็นชา แต่เป็นการบอกว่าก็เคารพเส้นทางของใครคนหนึ่ง หลินหยาทำเพียงยิ้มรับอีกครั้งก่อนที่จะโค้งศีรษะให้เขาเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างมั่นคง




@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน
หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20
โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม
ทักษะนักดนตรี เล่นดนตรี โบนัสความสัมพันธ์ +5


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 35 โพสต์ 2025-6-13 12:40
โพสต์ 101010 ไบต์และได้รับ 80 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-13 11:13
โพสต์ 101,010 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-13 11:13
โพสต์ 101,010 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-13 11:13
โพสต์ 101,010 ไบต์และได้รับ +5 EXP +15 คุณธรรม +8 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-13 11:13
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-14 16:56:14 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ สิบสี่ เดือน ห้า รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11
ยามเซิน เวลา 15.00 น.


         เมื่อจัดการงานและล้างมือล้างไม้เสร็จเรียบร้อยแล้วหลินหยาก็รับเงินงานจ้างแล้วออกจากร้านในยามเซินไม่นาน ระหว่างที่เธอกำลังเดินทางตามถนนหินสายหลักของฉางอันนั้นเธอก็สังเกตเห็นร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ที่กำลัีงทอดขนมแผ่นบาง ๆ สีทองขาวอมงามส่งกลิ่นหอมหวานยั่วใจออกมา "หลี่โต้วเกา..." นางพึมพำเบา ๆ ดวงตาเป็นประกายทันที เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายชราท้วมในชุดผ้าป่านยิ้มกว้างตะโกนเชิญชวน "ซื้อสี่ชิ้นราคาพิเศษนะคุณหนู! ซื้อไว้กินระหว่างเดินทางก็ยังร้อนอยู่เลย!" และแน่นอนถามว่าคนตระกะแบบหลินหยาจะมอนผ่านโปรโมชั่นนี้ไปได้หรอ.. ไม่อาจต้านทานความอยากได้อันนี้หรอกนะ

         หญิงสาวขยับมือควันเงินจ่ายออกมาทันทีได้ขนมหลี่โต้วเกาสี่ชิ้นร้อน ๆ ในถุงกระดาษ นางกัดไปคำหนึ่งด้วยความตื่นเต้น เนื้อแป้งหนาเหนียวนุ่ม ไส้ถั่วหลากหลายหวานละมุนลิ้นจนเผลอยิ้มออกมา ขอบคุณที่ไม่มีถั่วเหลืองนะ เขาไม่นิยมเอามาทำขนมอันนี้นี่หน่า แต่เพราะมันมีเยอะ เธอกินไม่หมดแน่ ก่อนที่จะหันไปทางถนน..นั้นสินะ คิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาเลย คิดว่าเธอจะคิดถึงผู้ชายหรอ ไม่เลยจ้า คิดถึงแม่นางหรงเล่อ

         "โอ้ย เยอะเกิน ข้ากินไม่หมดแน่..." นางหัวเราะแผ่ว ๆ กับตนเอง ก่อนจะหันไปทางถนน "งั้นเอาไปฝากแม่นางหรงเล่อเสียเลยแล้วกัน ยังไงก็อยู่บ้านเดียวกับท่านอันเล่อ พ่อค้าเต้าหู้แสนเย็นชาแต่หน้าเด็กกับหน้าตาดีนั่นแหละ" และแล้วหลินหยาก็เปลี่ยนเส้นทาง เดินเลียบไปตามถนนสายรองเข้าสู่ตรอกบ้านเรือนชั้นกลาง บ้านสกุลเล่อที่แสนเรียบหลังเล็ก ๆ (?) ง่ายแต่งดงามยังคงเหมือนเดิมเมื่อเธอไปถึง นางยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเคาะประตูรั้วไม้พร้อมเสียงเรียกอ่อนโยน

         “แม่นางหรงเล่อ อยู่ไหมมม ข้าหลินหยาเจ้าค่ะ มาเอาของฝากมาส่งล่าา”

         ระหว่างที่หลินหยานั้นยืนรออยู่หน้าประตูบ้านเล็กของสกุลเล่อ มือหนึ่งก็ยังถือถุงขนมหลี่โต้เการ้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นเรื่อย ๆ จนคนยืนรอเองก็เริ่มแอบกลืนน้ำลายเหมือนกันนะเนี้ย แต่เธอพึ่งกินหมดไปสองชิ้น ท้องตึงโคตร ๆ เลยล่ะ อากาศยามเกือบเย็นนี้มันก็ดีเหมือนกันนะเนี้ย หลินหยาคิด ก่อนที่เธอจะเหลือบมองไปทางลมที่พัดผ่านตัวบ้านที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังจากด้านในไม่นานนัก ประตูไม้จึงถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นว่าเป็นชายชราผู้ดูแลเรือนในชุดผ้าป่านสะอาดสะอ้าน ท่าทางสงบเสงี่ยนม ดวงตาสีอ่อนโยนชำเลืองมองหลินหยาอย่างนึกแปลกใจเพราะนางคือคนที่พึ่งมานอนป่วยที่บ้านหลังนี้

         “สวัสดีขอรับแม่นางน้อย คุณหนู…เอ่อ แม่นางหรงเล่อไม่อยุ่ขอรับ ออกไปแต่เช้าแล้ว หากมีธุระ ข้าจะบอกนางให้เมื่อนางกลับมา” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อมอ่อนโยน หลินหยาเธอไม่ได้มีธุระอยู่แล้วเลยไม่ซีเรียสเลยล่ะ พลางพยักหน้าแล้วยื่นถุงขมนให้พร้อมกับรอยยิ้ม

         “เช่นนั้นแล้วช่วยฝากของให้แม่นางหรงเล่อหน่อยด้วยได้ไหมเจ้าคะ? ข้าผ่านร้านขนมมา เห็นขนมหลี่โต้วเกาทำเสร็จใหม่ ๆ เลยนึกถึงนยางขึ้นมาเสียเฉย ๆ เลย” หลินหยาเอ่ยอบกแบบนั้นก่อนที่จะยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม ส่วนชายชราก็รับไว้ด้วยความเคารพ หลังจากนั้นหลินกยาก็คิดว่าจะเตรียมตัวกล่าวอำลาทันทีเพราะไม่มีอะไรแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับเท้าหันหลังกลับ เสียงฝีเท้าหนักแน่นกลับดังมาจากท้ายซอยแหนะ เมื่อเธอมองหันไปก็พบชายหนุ่มในชุดคนงานร้านเต้าหู้กำลังเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนและรวดเร็ว

         เขาประสานมือคำนับเธอด้วยท่าทีนอบร้อมทันทีที่หยุดตรงหน้า “ขอประทานโทษนะแม่นางน้อย แม่นางคือแม่นางหลินหยาใช่ไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถาม หลินหยาเมื่อได้ยินเช่นรนั้นก็พยักหน้ากำลังจะบอกว่าใช่ แต่กลับโดนพูดแทรกขึ้นมาก่อน “คือว่าเถ้าแก่ให้ข้ามาเชิญท่านไปพบขอรับ”

         หืม?..

         “เถ้าแก่?..ท่านชายอันเล่อหรอ?” หลินหยาทวนคำ ดวงตากระพริบเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ คนงานก็พยักหน้า “ใช่ขอรับ ท่านอยากสอบถามด้วยตนเองว่าสุขภาพของแม่นางตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง ท่านเถ้าแก่กล่าวว่าหากแม่นางไม่ขัดข้องตรงไหน ขอเรียนเชิญไปพบบัดนี้เลยขอรัยบ” เขากล่าวเสร็จก็ล้วงหยิบจดหมายที่พับเรียบร้อยออกมาส่งให้หลินหยา

         บนนั้นจ่ายซองว่าถึง หนาน หลินหยา อย่างชัดเจนด้วยลายมือที่โคตรรรรรสวย ขึงขัง สะอาดเรียบ และเปี่ยมไปด้วยน้ำหนักแบบคนเขชียนที่ใส่ใจในทุกคำ…ภายในนั้นเขียนอย่างสุภาพ และปลายทางครั้งนี้คือ…

          เทือกเขาฉินหลิง

          หลินหยามองปลายทางที่เธอต้องใบด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างแปลกใจเธอไม่เคยไปมาก่อนเลย อยู่ที่ไหนวะเนี้ย แล้วทำไมต้องเรียกไปที่เทือกเขาด้วย ไม่เข้าใจเลย หญิงสาวเหมือนจะงงนิดหน่อยแต่ถ้าท่านชายบอกว่าไปก็โอเคแหละ ...พลางขยับมือดมกลิ่นดูสิ ว่าของจริงไหม เผื่อเป็นจดหมายหลอกจับเธอไปขายตัดแขนตัดขาทำอวัยวะแปลก ๆ จะทำยังไง แต่ดมแล้วได้กลิ่นถั่งเหลืองและเต้าหู้แฮะ..ของจริงนี้หว่า นึกว่าของปลอมซะแล้ว พลางหันไปทางคนที่ส่งมาให้ "เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปพบเขาเองนะ ขอบคุณท่านมากที่ส่งมาให้ข้า" เธอเอ่ยกับเขาพลางระหบายยิ้มหวานให้อีกฝ่ายแล้วหยิบเก็บก่อนที่จะเตรียมไปยังสถานที่นัดพบ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องกลับไปทำงานที่หอว่านหงเหริญสาย เพราะหากเธอไปสายรอบนี้เธอจะโดนโบยหลังลายแน่นอน และหลินหยาก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้นเธอเลยกะว่าจะรีบไปรีบกลับ






@Admin


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้)
มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่
รางวัล: -
อื่น ๆ: มอบ ขนมหลี่โต้วเกา ให้ หรงเล่อ (ส่งแล้ว)



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 15173 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-14 16:56
โพสต์ 15,173 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-14 16:56
โพสต์ 15,173 ไบต์และได้รับ +3 ความชั่ว +5 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-14 16:56
โพสต์ 15,173 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ลาภลอย  โพสต์ 2025-6-14 16:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-29 16:00:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-29 16:16


วันที่ 29 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามโหย่ว เวลา 17.00 - 19.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)


ยามโหย่ว…ฟ้ากำลังเปลี่ยนสีจากทองอ่อนสู่ครามเรื่อ เสียงสายลมที่พัดต้องพุ่มไผ่หน้าบ้านเล็กดังแผ่วเบา กลิ่นของน้ำซุปจากครัวลอยมาตามลมชวนให้รู้สึกถึงความอบอุ่น แม้จะเป็นเพียงบ้านไม้หลังไม่ใหญ่โตนัก แต่กลับแฝงไว้ด้วยบรรยากาศสงบที่หาได้ยากในฉางอันอันวุ่นวาย หลินหยายืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังนั้น ริมฝีปากน้อย ๆ ยกยิ้มอ่อน พลางเรียกเบา ๆ ตามแบบคนรู้ทาง


“มีใครอยู่ไหมเจ้าคะ?! ข้าหลินหยา เปิดประตูให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของหลินหยาเอ่ยขึ้นหน้าประตูนั้นและไม่นานนัก ประตูไม้บานนั้นถูกเปิดออกโดยพ่อบ้านสูงวัยผู้หนึ่ง หน้าตายังจำได้ดีว่าหลินหยานั้นเคยมานอนที่บ้านหลังเล็กช่วงที่บ่อยอยู่เหมือนกัน ตอนแรกเขากำลังจะทักเบา ๆ แต่…ยังไม่ทันที่หลินหยาจะก้าวเข้าไปได้ถึงสามก้าว เสียงฝีเท้ากระโดดดึ๋ง ๆ พร้อมเงาร่างที่พุ่งพรวดออกมาจากลานในบ้านก็ดังขึ้นอย่างเร่งเร้า


"หลินหย๊าาาาาาา!!" เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังลั่นตามมาด้วยร่างสูงระหงของสตรีสาวผู้หนึ่งที่วิ่งเข้ามากอดเต็มแรงอย่างคิดถึงสุดใจ "โอ๊ยยย …คิดถึงเจ้าจะตายยยยแล้ว ข้าทำข้าวไว้เยอะเลย วันนี้จะให้เจ้ากินสามจานติด"


“โอ๊ยยยย!!”


“อ่ะ!!?”


  มือของหรงเล่อเผลอกระแทกเข้าที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายตรงบริเวณแผลจนหลินหยาตัวงอ หน้าซีดวาบอย่างอดกลั้น แต่หลินหยาก็ยังหัวเราะเสียงเบาเหมือนไม่ได้ถือสา "ใจเย็นน่าแม่นางหรงเล่อ ใจเย็น ๆ ข้ายังไม่หายดีเด้อ…โดนทีแทบทรุดเลยเนี่ย" เสียงของหลินหยาเจือเสียงหัวเราะทั้งน้ำตาเธอลืมออกแนวสำเนียงเด้อออกมาด้วย.. ทั้งแสบ ทั้งขำ หรงเล่อรีบเบิกตากว้างแล้วกระโดดถอยกรูดเหมือนลูกแมวโดนน้ำ “ตายแล้ว ๆๆๆ ข้าลืม! โอ๊ย ข้าเผลอไปอีกแล้ว ข้าผิดเอง! ข้าซุ่มซ่ามอีกแล้วใช่ไหมล่ะ!?”


“นิดเดียวเอง ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก” หลินหยาว่า พร้อมกับส่งถุงผ้าในมือให้ หญิงสาวยิ้มหวานปนซนก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ขนมบัวหิมะ...อ่ะ เดี๋ยวงอนอีกว่าไม่มีของฝาก”


“ว้าย ขนม!!” หรงเล่อตาเป็นประกาย “เป็นบัวหิมะแบบมีไส้หรือแบบเย็น!? เอ๊ะ! หรือแบบที่ใส่กลีบกุหลาบ!? ข้าจะรีบไปชงน้ำชาเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยว! เจ้าห้ามขยับนะ เดี๋ยวข้าจะยกมาให้ถึงตรงนี้!” ไม่รอคำตอบ หญิงสาวก็หมุนตัวกลับเข้าไปในครัวทันที เหลือเพียงหลินหยาที่หัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปช้า ๆ ด้วยจังหวะของคนที่ยังปวดหลังแต่ก็ฝืนเดินให้เป็นปกติ บรรยากาศของบ้านหลังเล็กวันนี้อบอวลด้วยความรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเอง ไม่เหมือนบ้านของอ๋องใหญ่ หรือคฤหาสน์ตระกูลขุนนาง แต่เป็นเหมือนที่พักใจยามหลงทาง เป็นสถานที่ที่ถึงจะมีบาดแผลก็รู้ว่าสามารถนั่งพักและหายใจลึก ๆ ได้อย่างไม่ต้องกลัวใครจะซ้ำเติม


หรงเล่อวางถาดชาและขนมลงตรงโต๊ะกลมริมหน้าต่าง แสงอาทิตย์ยามโหย่วยามลาลับลอดผ่านม่านกระจกฝ้าเป็นประกายอบอุ่น เธอกำลังจัดถ้วยชาลายเมฆให้เรียบร้อยแต่ยังไม่ทันยกกาน้ำ หลินหยาก็เดินเข้ามาทันที พูดลอย ๆ เหมือนชวนคุย แต่สายตากลับกวาดมองไปทั่วบ้านอย่างมีจุดหมาย "ข้ามากินข้าวอย่างใจเย็นแล้วนะ ห้ามทำข้ากระอักหลังอีกนะเจ้าแม่หรงเล่อ" หลินหยาว่าพลางหัวเราะเบา ๆ ริมฝีปากแดงเรื่อระบายยิ้ม แล้วนางก็เหลือบมองไปรอบบ้านก่อนจะหรี่ตานิดหนึ่ง "ว่าแต่…ท่านพ่อของเจ้าล่ะ อยู่ที่นี่ไหม?" คำถามนั้นฟังดูเหมือนลอย ๆ ทว่าแฝงด้วยความรู้สึกบางอย่าง แม้เสียงยังคงทุ้มหวานเช่นเดิม แต่ดวงตากลับเปล่งประกายบางอย่างคล้ายคนที่อยากแน่ใจ…ว่า ‘เขา’ อยู่ที่นี่


“อ้อ..ท่านพ่อเดี๋ยวก็มา เตรียมเต้าหู้เอาไว้ขายอยู่น่ะ” หรงเล่อหันมามองด้วยรอยยิ้ม แต่หลินหยาก็ยื่นมือมาบีบแก้มของเธอเบา ๆ แบบไม่ทันตั้งตัว "หึ ปิดเก่งนักนะ เจ้านี่เป็นถึงธิดาของหวยหนานหวาง แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กขี้สงสัยวิ่งเข้าครัวอยู่เลย" หลินหยาพูดพลางบีบแก้มอีกฝ่ายแบบคาดโทษสุด ๆ แต่ความจริงแล้วอยากแกล้งมากกว่า "อ๊ายยย ข้าเจ็บน้าาาา!" หรงเล่อร้องเสียงหลงหน้ายู่ทันที มือปัดมือของหลินหยาออกอย่างทุลักทุเลก่อนจะหันหน้าหนีแล้วทำเสียงพึมพำอย่างคนโดนจับได้ "ข้าก็ไม่ได้อยากปิดนี่นา…ท่านพ่อบังคับให้ข้าข้าเรียกเขาว่าอันเล่อ แล้วก็ห้ามพูดเรื่องนี้กับใคร ข้าก็แค่…." หรงเล่อหยุดไปนิด ก่อนจะเบ้หน้าแบบจริงจังแล้วหันกลับมาพูดเสียงเบาเหมือนแอบฟ้อง


"ข้ากลัวว่าถ้าบอกว่าเป็นลูกอ๋อง คนจะไม่คุยกับข้าอีก เหมือนสมัยก่อน…มีแต่คนกลัวข้า ข้ารำคาญจะตาย" คำพูดนั้นช่างตรงและจริงใจจนน่าหัวเราะ หรงเล่อยังคงเป็นหรงเล่อ…ถึงจะเป็นธิดาอ๋อง นางไม่เคยคิดใช้ตำแหน่งข่มใคร และมักหนีจากความเป็นทางการมาสู่โลกที่เป็นธรรมชาติของตนเสมอ "แล้วอีกอย่างนะ…" หรงเล่อก้มหน้าเหมือนจะเก็บถ้วยชา ทว่ากลับเงยหน้าขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์กระซิบเบา ๆ "ที่ข้าไม่บอกก็เพราะ…ไม่อยากให้เจ้าเกร็ง ข้าชอบเวลาเจ้าว่าข้าว่าเป็นพวกซุ่มซ่ามบ๊อง ๆ มากกว่า เหมือนตอนนี้ไง บีบแก้มข้าเล่นได้เฉยเลย" พูดจบก็หัวเราะคิกคักราวเด็กหญิงเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนรักที่สนิทที่สุด


บรรยากาศในบ้านหลังเล็กค่อย ๆ อบอวลด้วยความผ่อนคลาย เหมือนสองสาวเพิ่งพ้นเงามืดอันหนักหนา แล้วได้กลับมานั่งหัวเราะในแดดอุ่นยามเย็นอีกครั้ง ขณะที่ลึกเข้าไปด้านหลังบ้าน...ภายในห้องเล็กที่มีเพียงแสงจากโคมไฟน้ำมัน หลิวอันกำลังจัดเตรียมก้อนเต้าหู้สำหรับวันรุ่งขึ้นอยู่เงียบ ๆ


หรงเล่อหันไปมองถาดขนมบัวหิมะที่หลินหยาเอามาให้อีกครั้งก่อนจะยิ้มกว้างแล้วพูดอย่างร่าเริงราวกับจะกลบเกลื่อนความรู้สึกห่วงใยที่ยังเอ่อล้นไม่จาง “เดี๋ยวท่านพ่อก็คงจะออกมาแล้วล่ะ มากินขนมกันก่อนเถอะ ชากำลังร้อน ๆ พอดีเลย!” เสียงของนางหวานใสตามประสา แต่ดวงตากลับมองหลินหยาอย่างเคร่งเครียด พอทั้งสองนั่งลงตรงเบาะรองนุ่มข้างโต๊ะเตี้ยใต้หน้าต่าง หรงเล่อก็จ้องนางอีกครั้งด้วยสีหน้าครุ่นคิดคล้ายสตรีที่เก็บบางสิ่งไว้ในอกมานานเกินไป


“ข้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ ตอนรู้ว่าเจ้าหายไป..ข้าเกือบแอบหนีออกจากบ้านไปหาด้วยตัวเองแล้วด้วยซ้ำ...” น้ำเสียงเง้างอดพลางเบ้หน้าอย่างน่าสงสาร “แต่ท่านพ่อดันห้ามข้าไว้ไม่ยอมให้ขยับออกไปเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ข้าก็โกรธนะ!”


“เจ้าก็ยังดื้อไม่เลิกนะหรงเล่อ…เจ้าเป็นพี่สาวข้าจริงปะเนี้ย…แต่ว่านะแค่ข้าเห็นเจ้าปลอดภัยและยังคงเป็นเจ้าคนเดิม ข้าก็พอใจแล้ว” นางพูดพลางถอนหายใจเบา ๆ แล้วลดมือลงมาประสานกันบนตัก ดวงตาคู่สวยที่เคยมีเงาหม่นมานานกลับปรากฏแสงประกายแข็งแกร่งอีกครั้งเมื่อพูดประโยคต่อไป


“ครั้งนี้…ข้ารอดมาได้ เพราะท่านหลิวอัน ไม่รู้เลยว่าชาตินี้ข้าจะตอบแทนเขาได้หมดหรือไม่” คำพูดนั้นมิใช่เพียงการเอ่ยขอบคุณ แต่คือคำมั่นสัญญาในใจที่ไม่มีใครบังคับ เธอไม่เคยยอมก้มหัวต่อใคร ไม่เคยพึ่งพาใครเต็มหัวใจ ยกเว้นเขา…ผู้ชายผู้เดียวที่ยอมเจ็บแทนเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ


เสียงก้าวเดินมั่นคงดังขึ้นมาจากด้านใน พริบตาเดียวบานประตูไม้ก็ถูกเปิดออกช้า ๆ เผยร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดบ้านสีอ่อนเรียบง่าย แต่แม้จะปราศจากเครื่องแบบหรือเครื่องประดับยศ เขาก็ยังดูเปี่ยมอำนาจด้วยท่วงท่าหนักแน่น ดวงตาคมใต้คิ้วหนานิ่งล้ำแต่ไม่เย็นชา สายตาคู่นั้นเพียงแลไปก็ทำให้ลมหายใจพลันติดขัด


“ข้าได้กลิ่นชา เหมือนจะมีขนมด้วย?” น้ำเสียงเรียบเฉยนั้นฟังดูราวล้อเลียนแผ่วเบา หรงเล่อเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาแวววาว รีบพยักหน้าแรง “เจ้าค่ะท่านพ่อ! ขนมบัวหิมะ! หลินหยานำมาเองกับมือเลยนะเจ้าคะ! มาเร็วท่านพ่อมากินด้วยกัน” หลิวอันนั้นพยักหน้าเขาเดินมาหาบุตรสาวแล้วเหลือบมองสตรีที่นั่งนิ่งตรงข้าม เขาเดินมานั่งลงเงียบ ๆ ข้างหรงเล่อ ตรงปลายเสื่ออีกด้านหนึ่ง จับถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรมากนัก ท่าทีสงบและเรียบง่ายราวกับไม่เคยมีบาดแผลใดเกิดขึ้นในร่างกายมาก่อน ราวกับการโดนโบย 20 ไม้นั้นเป็นเพียงลมพัดผ่านผิวหนัง


“สวัสดีเจ้าค่ะท่านชายอันเล่อ..หรือตอนนี้ข้าต้องเรียกท่านว่าท่านหลิวอันแล้วเจ้าคะ?” นางเอ่ยถามพลางยิ้ม แล้วหันไปเหมือนหัวเราะกับหรงเล่อด้วยเหมือนกัน



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: มอบ ขนมบัวหิมะ ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20 ให้ หรงเล่อ

เอาไปปลดหัวใจโว้ยยยยยยยย ว่ะฉฮ่ะๆหสวเาำกไ่งเ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม

(ใส่ทำไมไม่รู้ แต่ก็ติดมาแล้วอ่ะ 5555)


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 37489 ไบต์และได้รับ 24 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-29 16:00
โพสต์ 37,489 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-29 16:00
โพสต์ 37,489 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-29 16:00
โพสต์ 37,489 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-29 16:00
โพสต์ 37,489 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-29 16:00
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-29 18:32:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 29 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวีเวลา 19.00 - 21.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)

ค่ำมั่นกลางสายลมเย็น - สายสัมพันธ์ที่ไม่อาจกล่าวออก


ใต้แสงโคมที่สั่นไหวจากแรงลมเย็นของยามซวี เงาไม้ไผ่ข้างลานบ้านทอดลงบนพื้นหินดั่งภาพวาดฝีแปรงของศิลปินเอก ท่ามกลางความเงียบสงบที่ไร้ซึ่งเสียงจอแจของตลาดหรือฝีเท้าของผู้คน มีเพียงสายลม หัวใจ และดวงตาสองคู่ที่ยังไม่ทันได้กล่าวความรู้สึกใดออกมา หรงเล่อเอียงศีรษะยิ้มให้หลินหยาและท่านพ่อของตัวเองนิดหนึ่งอย่างรู้ทันหรือไม่มั่นใจว่าเปิดทางให้อะไรบางอย่างกันแน่ ก่อนจะลุกขึ้นสะบัดชายเสื้ออย่างเบา แล้วเอ่ยเสียงหวาน 


"ข้าไปเก็บผ้าหลังบ้านก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวสายลมคืนนี้จะพัดให้ชื้นเสียหมด" วาจานั้นอ่อนโยน แต่แววตากลับซุกซนอย่างไม่ปิดบัง ราวกับเจ้าแม่สื่อผู้แสร้งใสซื่อ หลินหยามองตามหลังธิดาอ๋องอย่างอดขำไม่ได้ แค่ไม่ถึงชั่วยาม...หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะผูกพันราวกับเป็นพี่สาวของตนเสียแล้ว


เมื่อหรงเล่อหายลับไปหลังประตูบานเล็ก ความเงียบอันนุ่มนวลก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ไผ่เอนลู่ส่งเสียงกระซิบผ่านกัน ลมเย็นกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนของดินหลังฝน ดวงโคมแกว่งไกวราวหัวใจของใครบางคนที่เงียบเกินกว่าจะอ่านออก หลินหยายกมือประคองถ้วยชาแนบฝ่ามือไว้อย่างเงียบ ๆ ดวงหน้าเรียวสวยสะท้อนแสงโคมอ่อนจาง แต่งแต้มด้วยสีเลือดระเรื่อบาง ๆ ที่แก้มจากความอุ่นของชา...หรือจากอีกเหตุผลที่เธอเองก็ไม่แน่ใจนัก


“เจ้าหายดีแล้วหรือยัง?” หลิวอันเอ่ยเบา ๆ คำพูดนั้นแสบธรรมเสียจนเกือบฟังผ่านไปได้โดยง่ายและหากเป็นสตรีคนอื่นก็คงงอนตุ๊บไปแล้วเพราะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่สำหรับหลินหยาที่รู้ว่าเมื่อมันผ่านออกมาจากริมฝีปากของอ๋องผู้เด็ดขาด ผู้ไม่ช่างพูดหรือไม่ชินกับการเอ่ยความรู้สึก มันกลับกลายเป็นคำที่หนักแน่นยิ่งกว่าหนังหรือกฎหมายรวมกันทั้งโลกเสียอีก..


หลินหยานั้นเลื่อนสายตาสีน้ำตาลมะพร้าวอ่อนของตนเองไปสบเข้ากับดวงตาคมเข้มของเขา..แววตาที่ดูเย็นชานั้นตอนนี่มีน้อยคนเท่านั้นที่รู้ว่ามันเคยสั่นไหวเพราะใคร เธอระบายยิ้มบางแล้วหลุบตาลงช้า ๆ ก่อนที่จะตอบเสียงนุ่ม ๆ “ข้ายังไม่หายสนิทเจ้าค่ะ..แต่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว..แผลพวกนั้น หายได้ง่ายกว่าความรู้สึกเสียอีกเจ้าค่ะ..อาจจะยังมีความเครียดบ้าง ท่านหมอบอกว่าให้หลีกเลี่ยงมัน แล้วก็บอกว่าร่างกายยังไม่ค่อยฟื้นดี อย่าพึ่งทำงานหนักเจ้าค่ะ” เสียงของนางนุ่มราวกลีบดอกท้อ แต่เต็มไปด้วยน้ำหนัก และความจริงใจ แม้จะพูดเล่นนิด ๆ แต่ท่าทีไม่ได้หยอกล้อ หากเป็นการยอมรับความเป็นจริงในแบบฉบับของหญิงสาวผู้เติบโตขึ้น


หลิวอันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตานั้นยังจับจ้องที่นางอยู่เช่นเดิม เขาวางถ้วยชาลงข้างตัวช้า ๆ และเอ่ยอีกคำน้ำเสียงต่ำแผ่วแต่หนักแน่น “ข้า...ขอโทษ ที่ไม่ได้พูดเรื่องทั้งหมดออกมา..”


หลินหยาเงียบ ไม่ตอบทันที ใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้มอ่อน นางถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันกลับมามองเขาเต็มตาอีกครั้ง "ท่านพูดไปก็ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าเข้าใจ...ข้าคิดว่าตลอดเวลานั้น...ท่านแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ" นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อ "เช่นเดียวกับที่ข้าเลือกจะกลับมาที่นี่"


หลิวอันยังไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่เพียงชั่วครู่แววตาคมเข้มของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะสั่นไหวอยู่ใต้เงาโคมซึ่งเต้นรำไปกับลมราตรี "เจ้ากลับมา...เพราะข้าหรือเพราะเต้าหู้?" เขาถามเสียงแผ่ว สีหน้ากลับจริงจังเสียจนหลินหยาต้องหลุดหัวเราะเบา ๆ นางไม่มีทางกลับมาเพราะเต้าหู้แน่เพราะนางจะตายเพราะมันเขาสักวันหากไม่ระวังจริง ๆ


"เพราะหรงเล่อข้าเลยยังอยากมาเจ้าค่ะ..แต่ที่จริงเพราะข้าไม่อยากปล่อยให้ท่านโดนโบยอีกต่างหาก..แค่นี้สำหรับข้าก็เรียกว่าบุญคุณล้นฟ้าแล้ว" คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่อ่อนหวานจนทำให้ลมหายใจของหลิวอันชะงักไปชั่วขณะ ริมฝีปากของเขายกขึ้นนิดหนึ่ง ไม่ถึงกับยิ้ม หากแต่เป็นมุมที่เธอเท่านั้นที่เคยเห็น ท่ามกลางค่ำคืนกลางฤดูร้อน ที่เงาไผ่โอบล้อมเสื่อไม้ไผ่เล็ก ๆ สองคนที่ดูเหมือนไม่ควรพบกันในโลกนี้กลับนั่งอยู่ข้างกัน ไร้คำว่ารัก ไร้คำสัญญา ความผูกพันที่แม้ไม่มีผู้ใดกล่าวออกมา แต่ยากจะปฏิเสธว่ามันอยู่ตรงนั้น...ในทุกสายลม ทุกเงาไผ่ และทุกอุณหภูมิของชาในถ้วยตรงหน้า


แสงโคมริบหรี่กลางลานใต้เงาไผ่ไหวตามแรงลมยามราตรีที่พัดมาไม่ขาด แม้จะไม่มีแสงดาวให้เห็นในคืนนี้ แต่ความรู้สึกที่ลอยอบอวลระหว่างสองเงาร่างกลับชัดเจนดั่งถูกขีดลงกลางใจ หลังจากคำหยอกเย้าเพียงบางเบา หลิวอันกลับนิ่งเงียบ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย เขาเหลือบมองหญิงสาวข้างกายอีกครั้งอย่างพินิจ...ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ไม่เคยกล้าถามมาก่อน เสียงของเขาต่ำและนิ่งราวคำสารภาพจากใจ


“เจ้ากลับมา...เพราะอะไร” คำถามนั้นราวกับจะกลืนกินลมหายใจของนาง ค่ำคืนนี้เงาสะท้อนในดวงตาไม่ใช่เพียงคำถามธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นคำที่เขาเก็บระหว่างทางในทุกวันหลังจากเกิดเรื่อง รำหว่างความเงียบของยามที่นางหายตัวไป และแม้กระทั่งขณะมองแผ่นหลังของหลินหยาตอนที่นางโดนโบยจนเลือดไหลอาบชุดนักโทษสีขาว


หลินหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับคำถามนั้นปลุกบางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในอกให้เผยตน ใบหน้าของเธอไม่หลบไม่หลีก ไม่หลุบตาและเอ่ยถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินจากปากหล่อนมาก่อนเลยตลอดชีวิต “ครั้งนี้…ข้าไม่กลับไปคนเดียว” เสียงของหลินหยานั้นมั่นคงและนุ่มนวล ราวกับเสียงของสายน้ำที่ไหลผ่านซากหินแหลมคมของอดีต ทุกคำนั้นมีน้ำหนัก ทว่าไม่ใช่น้ำหนักแห่งการบีบคั้นอีกต่อไป แต่เป็นน้ำหนักของการบอกทุกอย่าง


“ข้าผูกพันกับที่นี่เจ้าค่ะ เมืองฉางอัน…แม้มันจะเจ็บปวด แม้มันจะลำบาก ต้องทำงานสายตัวแทบกระเด็นเพราะข้าเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง” ดวงตาของนางแน่วนิ่งและลึกซึ้ง “แต่ทุกครั้งที่ข้าได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคนที่ข้ารู้จักเถ้าแก่ร้านบะหมี่สามหาว เพื่อนของข้าหลายคน..หรงเล่อ…หรือได้กลิ่นเต้าหู้จากร้านของท่าน…ได้ยินเสียงท่านบอกว่าข้าจ่ายเงินไม่ครบหรือท่านบอกว่าเหลือแค่นี้จะเอาหรือไม่ ข้ากลับรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเท่าที่ข้าคิดไว้” นางหัวเราะน้อย ๆ สีหน้าเปี่ยมแววอบอุ่นอย่างที่แม้แต่หลิวอันผู้ผ่านร้อยศึกพันกลอุบายยังต้องกลั้นลมหายใจชั่วขณะเพื่อมองให้เต็มตา


“ท่านรู้ไหมเจ้าคะ..ข้าน่ะตอนอยู่กับท่านแล้ว..รู้สึกปลอดภัยกว่าการอยู่กับใครคนอื่นอีกเจ้าค่ะ..ไม่ใช่เพราะท่านคือหวยหนานหวาง..ไม่ใช่เพราะท่านเป็นอ๋อง…แต่เพราะท่านคือคุณชายอันเล่อ..คือหลิวอัน เถ้าแก่ร้านเต้าหู้หน้านิ่งที่ขี้เก๊ก..บ่นว่าข้าจ่ายเงินไม่ครบแต่กลับไม่เคยผลักไสข้าแม้แต่สักครั้งเดียว”


คำพูดสุดท้ายราวสายฟ้าผ่าลงกลางใจอ๋องผู้ไร้ใจ แววตาของหลิวอันนิ่งสงบ แต่แววเงาในนั้นกลับสั่นไหวอย่างชัดเจนเกินกว่าที่เจ้าตัวจะปฏิเสธได้ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรกลับไปทันที เขาหยุดนิ่ง เงียบงันราวถูกผนึกไว้กับราตรีนั้น ทั้ง ๆ ที่เพียงชั่วอึดใจหนึ่งก่อนหน้า แววตาของหลิวอันราวกับจะเปล่งเสียง เสียงของความในใจที่รอคอยจะถูกกล่าวออกมาเนิ่นนาน แววที่ซ่อนอยู่หลังม่านความเงียบหลังนัยน์ตาสีนิ่งนั้นเหมือนมีพายุหมุนวนอยู่ข้างใน ดวงตาคมเฉียบของเขาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งเคียงข้าง ความอ่อนโยนแผ่วเบาปรากฏขึ้นระคนกับบางสิ่งที่คล้ายจะเจ็บลึกอย่างเงียบงัน


แต่….

มันไม่สงบง่าย ๆ …..


เสียงฝีเท้ารบกวนไม่แน่ชัดว่าเป็นเพียงคนเร่ร่อนจากตรอก หรือเพียงแมวหลงทางและเสียงไก่ขันแว่วแทรกจากบ้านเรือนใกล้เคียง ลมหอบเอากลิ่นถ่านแผ่วจางจากห้องครัวเพื่อนบ้านลอยปะปนเข้ามาแทนกลิ่นชาอุ่นรินไว้ในถ้วย เสียงโคมที่แกว่งเบา ๆ ชนโครงไม้ดังเป็นจังหวะเล็ก ๆ ที่ฟังดูแปลกแยกจากความเงียบอันนุ่มลึกก่อนหน้า ทำให้บรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนจะหลุดจากปลายลิ้นกลายเป็นขื่นค้างอย่างแปลกประหลาด หลิวอันเพียงหลุบตาลงเล็กน้อย มือเรียวยาวกระชับชายเสื้อคลุมที่ถูกลมเย็นต้องอย่างเงียบงัน เขาไม่ได้กล่าวอะไรในทันที แต่เพียงพยักหน้าเบา ๆ ราวรับรู้บางสิ่ง


ใต้เงาไผ่ที่เสียดเสียงแผ่วเบาไปตามแรงลมยามซวี แสงโคมหน้าบ้านวูบไหวเหมือนสิ่งมีชีวิตกำลังหวาดหวั่นบางอย่าง บรรยากาศที่อุ่นละมุนก่อนหน้านี้พลันเปลี่ยนราวสายฟ้าที่แลบฟ้าท่ามกลางคืนเดือนหงาย เมื่อเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นเป็นจังหวะดังแว่วมาแต่ไกล ไม่เร็ว ไม่เร่งร้อน แต่มั่นคงในแบบที่ทหารฝีมือดีจะเดินได้มีจังหวะของคนที่รู้จักการล่า


หลินหยาหยุดชะงัก ดวงตากลมหวานหรี่ลงอย่างเฉียบพลัน มือที่ถือขนมค้างอยู่ในอากาศ ริมฝีปากนางเม้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงต่ำ ทว่ากระชับและชัดถ้อย “เสียงฝีเท้าเหมือนเป็นจังหวะของทหาร...หรือพวกที่เคยฝึกในค่ายหรือเจ้าคะ?” น้ำเสียงแม้เบา แต่ก็แฝงความเคร่งขรึมเฉียบคมจนคนฟังไม่กล้าดูแคลน


หลิวอันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ แต่ดวงตาหรี่คมเหมือนพยัคฆ์กลางรัตติกาล เสียงชาที่กำลังจิบค้างอยู่ถูกวางลงบนจานรองเซรามิกเบา ๆ ดังกริก...เสียงนั้นกลับกลายเป็นคำสั่งที่คมเฉือนยิ่งกว่าเสียงดาบ “หรงเล่อ พานางไปอยู่ข้างในก่อน ล็อกบานไม้ฝั่งห้้องตะวันออกให้แน่น”


หรงเล่อซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากด้านหลังบ้านพร้อมตะกร้าใส่ผ้าในมือถึงกับชะงัก นางเบิกตากว้างทำท่าจะค้านอย่างไร้เดียงสา "แต่ท่านพ่อ ข้าว่า….." ทว่ายังไม่ทันเอ่ยจบ เพียงแค่สบเข้ากับแววตาของหลิวอันที่เยียบเย็นเสียจนคล้ายจะตรึงทุกคำพูดไว้กลางลำคอ หรงเล่อก็กลืนน้ำลายลงคอทันที ริมฝีปากเม้มแน่น “เจ้าค่ะ...” เสียงตอบเบาแทบเป็นลมหายใจ เธอรีบคว้าขนมในมือหลินหยาพลางจับมืออีกฝ่ายดึงลุกขึ้นด้วยท่าทางลนลาน “ไปกับข้าเถอะ เร็ว...” หรงเล่อกระซิบพร้อมพยายามฉุดนางเดิน แต่หลินหยายังคงมองสบตากับหลิวอัน ดวงตาของนางไม่ได้หวาดหวั่น หากแต่เต็มไปด้วยความใคร่รู้


ส่วนหรงเล่อตอนที่กำลังจะเดินไปก็ถามท่านพ่อแบบกระซิบ “ใครมาหรือเจ้าคะ?” หรงเล่อถามพ่อของตนเสียงเบาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงปนด้วยความกลัวแต่ก็ซ่อนความดื้อรั้นอยู่ในที


หลิวอันไม่มองบุตรสาว ไม่มองใคร เขายังคงจับจ้องเงามืดที่เคลื่อนไหวอยู่ไกล ๆ นอกแนวไม้ไผ่ สายตาแน่วแน่คมกริบ ปราณสะกดแน่นจนเหมือนร่างนั้นกลายเป็นหิน “ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่ตามมาจากวังหลวง” คำพูดของเขาเปล่งออกมาอย่างเยือกเย็น เรียบเฉยราวกับบอกว่าวันนี้เพียงฝนจะตก ไม่ใช่ฟ้าจะผ่า ทั้งที่สิ่งที่มากำลังเป็นคลื่นแห่งหายนะ เสียงเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเงาหลายสายเริ่มปรากฏบริเวณขอบรั้วไม้ไผ่ที่อยู่ไกลสุด ทว่าหลิวอันยังคงนั่งอยู่เช่นนั้นไม่ไหวติง มีเพียงเงาดำหนักแน่นของบุรุษผู้เป็น ‘เขี้ยวคมอสุรา’


บานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มที่ผ่านฤดูกาลนับไม่ถ้วนยังคงปิดสนิท...แต่พลังงานแปลกประหลาดกลับแผ่ซ่านมาจากอีกฟาก เหมือนความเยียบเย็นของเงาราตรีที่กำลังเกาะกุมลมหายใจทั้งหลังบ้านไว้ ไม่ทันให้ใครทันเตรียมตัว เสียงเคาะประตู….


... กึก… กึก… กึก…


เพียงสามครั้ง..


แต่เสียงนั้น...กลับคล้ายคมดาบที่ฟันตัดลมหายใจในอกของสตรีผู้หนึ่ง หลินหยานิ่งงันเธอได้ยินเสียงนั้นระหว่างเดินตามหรงเล่อไป มือที่เคยหยิบขนมไว้สั่นระริก ดวงตาเบิกค้างรับกับลำคอที่กลืนน้ำลายลงแทบไม่ไหว ความรู้สึกเย็นเยียบไล่จากปลายนิ้วขึ้นสู่ต้นคอ ไม่ใช่เพราะกลัวความตาย...แต่เพราะรู้ว่าเงานั้นหมายถึงใคร


"สตรีนามหลินหยา…ข้ามาตามคำสั่งของท่านกงกงใหญ่จากวังหลวง ว่ามี ‘ของบางอย่าง’ ที่เจ้าทิ้งไว้ในตำหนักตงเฉินลืมเอาไว้" เสียงเรียบเฉยแต่รุกคืบ ทว่าประโยคถัดมานั้นคือลิ่มเหล็กที่ตอกกลางใจ "โปรดตามข้าไป…” 


“ทันที"


ก่อนที่ใครจะได้ตอบรับ หรือจะเอ่ยอะไร ใครบางคนกลับก้าวล่วงออกไปอย่างเงียบงัน ให้สตรีทั้งสองหลบในที่ปลอดภัย เงาร่างสูงใหญ่ของเขาเคลื่อนตัวเหมือนเงาพยัคฆ์ในเงาไม้ มือเขายกขึ้นเปิดบานประตูโดยไม่รีรอแม้ครึ่งลมหายใจ แสงจากด้านนอกสาดเข้ามาเพียงครึ่งเดียว ทว่าสิ่งที่กระทบตาผู้มาเยือนกลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าก้าวล่วงอีกก้าว บุรุษชุดผ้าฝ้ายเรียบธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตู ท่าทางราบเรียบ สายตาเย็นเยียบ มือหนึ่งซุกอยู่ในชายเสื้อ แต่แววตาที่จ้องมองตรงไปยังขันทีและนายทหารข้างกายนั้น…เปี่ยมด้วยพลังชนิดที่ไม่มีทหารฝึกดีคนใดกล้าหันสายตากลับคืน


"แม่นางหลินหยาไม่ได้ลืมอะไรไว้" หลิวอันกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นต่ำ ไม่รีบร้อน ไม่หยาบกร้าน ทว่าคมกริบยิ่งกว่ามีดที่เพิ่งลับคมเสร็จใหม่ ๆ “ข้าขอเชิญกงกงกลับไปแจ้งจางกงกงผู้เป็นนายของเจ้าเสียว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลินหยา คือ ‘คนของจวนหวยหนานหวาง’ ขอจางกงกงอย่าได้มารบกวนนางอีก” เขายืดหลังเต็มความสูง ไม่ใช่เพียงในฐานะเถ้าแก่เต้าหู้ ไม่ใช่พ่อค้าชั้นกลางในย่านสิบลี้ แต่ในยามนี้...คือเงาของอ๋องผู้อยู่ใต้เพียงเบื้องพระยุคลบาท ดวงตาเขาหรี่ลงเหมือนอสูรร้ายที่เริ่มสำแดงเขี้ยว สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารที่ซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์


นายทหารข้างขันทีสะอึกเงียบ ๆ พยายามไม่ขยับดาบ ขันทีที่มากับเขากลืนน้ำลายลงคอ เหงื่อเย็นไหลเงียบขณะยกมือประสานขันทีผู้มาเยือนที่มีอายุมากกว่านิดหน่อยแค่นั้น แต่กลับกลืนน้ำลายลงคอไม่ค่อยสนิทนัก เหงื่อเริ่มซึมจากไรผม แม้จะยังคงท่าทีเถียงอยู่ภายนอกอย่างนุ่มนวล "องค์หวางเย่…แม้นว่าท่านจะเป็นผู้ใหญ่ในราชสำนัก แต่เรื่องนี้เป็นคำสั่งจากท่านจางกงกงโดยตรง หลินหยานั้นเคยถูกสอบสวนอย่างเป็นทางการ การไม่ส่งตัวนางกลับไปรับของที่สำคัญอาจเข้าข่าย…." น้ำเสียงของขันทีเต็มไปด้วยเลศนัย เสมือนหวังจะกดดันหรือบีบคั้นให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านเปิดทาง และยังไม่ทันจะพูดจนจบประโยค


"หากเจ้าคิดว่าข้า ‘กลัว’ จงฉางชื่อเช่นเขา...ก็ลองล่วงเข้าธรณีประตูบ้านข้าดู" รอยยิ้มมุมปากเย็นชาจนหัวใจคนฟังสั่น ดวงตาของเขาเหยียดหยันไม่ปิดบัง เขากล่าวราบเรียบ แต่ทุกถ้อยคำราวกับน้ำหนักหินพันชั่งทับลงกลางอก "อย่าว่าแต่ข้าไม่อนุญาตให้แตะต้องนาง เจ้าทั้งหมด…อย่าคิดแม้แต่จะยกปลายเท้าเข้ามาเหยียบฝุ่นในลานบ้านข้าด้วยซ้ำ" ขันทีผู้นั้นหน้าถอดสี แต่ก็ยังยืนอย่างฝืน ๆ นายทหารด้านข้างเริ่มลังเล ไม่ใช่เพราะกลัวเจ้านาย แต่มันมีบางอย่างในเงารอบตัวชายตรงหน้าที่ทำให้เขาไม่อยากก้าวไปแม้ครึ่งก้าว...ไม่สิ…มันคือความตายที่ล่องลอยอยู่เบื้องหลังดวงตาของหลิวอัน


"…เช่นนั้นกระหม่อมขออนุญาตถอนตัวกลับก่อน" ขันทีโค้งศีรษะอย่างเสียไม่ได้ สีหน้าหมองแต่แฝงด้วยประกายร้ายที่ยังไม่มอด นายทหารด้านข้างก็ประสานมือแล้วหมุนกายกลับพร้อมกัน เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ถอยห่างออกไปทางตรอกมืด เสียงเหยียบดินและก้อนกรวดคล้ายฝนตกกระทบกระเบื้องแตก ๆ ทีละแผ่น แต่หลิวอันรู้ดีคนพวกนั้นยังไม่ไปไกล ยังมี ‘เงา’ เฝ้ามองอยู่ห่างออกไปเพียงมุมตา…จางกงกงมิอาจปล่อยหลินหยาไปโดยง่าย เขาสงสัยนักว่าจางกงกงคิดอะไรกันแน่ ถึงให้ความสนใจกับสตรีเช่นหลินหยา ถึงเพียงนี้กัน?


กึก..กึก..


ใต้เงาไผ่ยามค่ำ เสียงประตูไม้ฝั่งตะวันออกถูกเคาะช้า ๆ พร้อมเงาร่างสูงสง่าของชายหนุ่มผู้มากด้วยอำนาจและอารมณ์อันลึกล้ำ หลิวอันยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมเรียบนิ่งทอดมองเข้าไปในความมืดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวเสียงต่ำแต่นุ่มนวลกว่าที่เคยเป็น "ปลอดภัยแล้ว" เขามองลอดบานประตูเข้าไป เห็นเงาของสองสตรีที่ยืนเคียงกันอยู่ภายใน หญิงสาวที่เขาเคยช่วยเหลือเสี่ยงตายมา และธิดาผู้เป็นดั่งแก้วตาเดียวในโลก


จนเมื่อประตูเปิดออกหลิวอันจึงกล่าวต่อ "แม่นางหลินหยา...เจ้าค้างที่นี่เถอะ" เขากล่าวต่อในจังหวะนิ่ง "คืนนี้ให้หรงเล่อมีเพื่อนอยู่ด้วย ข้าจะนอนในห้องทำเต้าหู้เอง ส่วนห้องนอนเจ้าใช้ได้" หลินหยาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ภายในแววตาของนางมีบางอย่าง เคลื่อนไหว นางประสานมือค้อมตัวเบา ๆ กล่าวเสียงเรียบแต่อ่อนโยน "ขอบคุณเจ้าค่ะท่านชาย” เสียงของนางไม่หวานนัก ไม่ออดอ้อน แต่มีความจริงใจที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน และมันมากพอจะทำให้หลิวอันพยักหน้ารับเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรต่ออีก


"อะแฮ่ม ๆ ..ข้าว่าข้ากลับจวนใหญ่ไม่ทันแล้วใช่ไหมเจ้าคะ! แถมไม่ต้องกลับแล้วม๊างงงวันนี้" หรงเล่อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบแทรกขึ้นเสียงใส แก้มขึ้นสีเรื่อราวกับลืมความตึงเครียดเมื่อครู่ไปหมด "คืนนี้ข้าจะนอนกับหลินหยานะ พวกเราจะนอนคุยกันจนเช้าเลย! เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมผ้าห่มกับของว่าง" หรงเล่อว่าพลางวิ่งผลุบหายเข้าไปในเรือนเล็ก เหลือเพียงเงาของหลินหยาที่ยืนอยู่กับหลิวอันตามลำพัง


นางเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหันมามองเขาอีกครั้ง แสงโคมเบาบางสะท้อนแววตาของเธอ ทำให้ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้พูดหล่นอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับนาง "ท่านไม่ต้องนอนในห้องทำเต้าหู้ก็ได้นะเจ้าคะ…ถ้าเพียงเพราะห่วงข้า"


หลิวอันไม่ตอบในทันที แต่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนน้อย ๆ เหมือนอยากพูดบางอย่าง ก่อนจะเลือกเงียบไว้แทน เขาเพียงเหลือบมองหลินหยา พลางเอ่ยแผ่ว ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด "เจ้าคือแขก…แขกของข้า ย่อมต้องปลอดภัยที่สุด" แล้วเขาก็หันหลัง เดินกลับเข้าไปยังห้องทำเต้าหู้ของตนเองโดยไม่พูดอะไรอีก แม้แผ่นหลังกว้างจะยังนิ่งเงียบ...แต่มันกลับดูเหมือนภูเขาที่ยืนค้ำฟ้าคอยปกป้องเรือนเล็กเรือนนี้อย่างเงียบงันไม่เปลี่ยน


หลินหยาเงียบลง รอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ก่อนจะหมุนกายตามหรงเล่อเข้าไปภายในด้วยหัวใจที่อุ่นขึ้นทีละนิด…


......

..........


ภายในห้องนอนเล็กของบ้านหลังนั้น แสงโคมถูกหรี่ลงจนแทบมองเห็นเพียงเงารำไร หยาดน้ำค้างเย็นจากช่องหน้าต่างที่เปิดไว้พัดพาไอเย็นของยามค่ำเข้าสู่ผิวเนื้อเบา ๆ ชวนให้รู้สึกสงบ ผืนเสื่อที่ปูบนพื้นไม้สะอาดหมดจด กลิ่นหอมของใบเก็กฮวยแห้งลอยอ้อยอิ่งคล้ายกล่อมจิตให้ผ่อนคลาย หลินหยาเอนกายนั่งอยู่บนเบาะข้างเตียง ผ้าคลุมบางเฉียบที่คลุมไหล่หล่นเล็กน้อยเผยให้เห็นลำคอระหงกับแนวกระดูกไหล่เรียบลื่น ผมยาวของนางแม้จะถูกตัดออกแล้วก็ตาม แต่กลับยังคงความหนา ดำขลับเงางามราวผ้าแพรในราตรี หรงเล่อนั่งซ้อนหลังอยู่ เธอหวีผมให้อย่างอ่อนโยนด้วยหวีไม้สลักลายดอกเหมย


“แม่นางหลินหยา…เสียดายจังเลย เส้นผมของเจ้าสวยขนาดนี้ ไม่ควรต้องตัดทิ้งเลย" เสียงหวานพลางหัวเราะแผ่ว ๆ "มันเรียงตัวดีนัก เงาสะท้อนในแสงโคมก็ยังเห็นชัดอยู่เลย เจ้าใช้ยาอะไรหมักไว้หรือเปล่าเนี้ย" หลินหยาขยับยิ้มน้อย ๆ มุมปาก รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายซ่อนอยู่ภายใน "ข้าไม่ได้เสียดายหรอก…มันก็แค่เส้นผม เส้นผมที่เคยเติบโตมาพร้อมกับเรื่องที่ไม่อยากจำ" นางตอบเบา ๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจเงียบ ๆ จากปลายจมูก "บางที…มันอาจเป็นการตัดอดีตออกไปจากตัวข้าก็ได้ ต่อให้มันสวยแค่ไหน ถ้ามันเคยจมอยู่ในสิ่งที่เจ็บปวด…ข้าก็ไม่อยากเก็บมันไว้"


หรงเล่อชะงักมือเบา ๆ นางมองลงไปยังผมที่ตัวเองกำลังหวี หยุดอยู่กับภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของหญิงสาวตรงหน้า หลินหยาปิดเปลือกตาลงช้า ๆ ใจของนางกลับล่องลอยไปยังภาพหนึ่งภาพของบุรุษผู้หนึ่งที่มีแผ่นหลังที่มิได้กันหลับมามองนาง ท่ามกลางแสงโคมและกลิ่นน้ำมันบนโต๊ะเครื่องไม้ เส้นผมสีดำนางเคยหล่นผ่านปลายนิ้วของเขาก่อนจะถูกตัดลงราวกับเครื่องหมายของคำสัญญาหรือการยอมแพ้บางอย่าง จางกงกง…เพียงชื่อในใจนั้น ภาพแววตาไร้แสงกับใบหน้าขาวซีดในเงาเทียนก็กระแทกเข้ามาไม่ทันตั้งตัว ทำให้หลินหยาต้องสูดลมหายใจเบา ๆ แล้วหลบสายตาตัวเองในเงากระจกเงาในห้อง


"เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ข้าไม่เสียใจแล้วที่ตัดมันออกไป" นางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เสียงยังคงนิ่งแต่ดวงตากลับฉ่ำแสงเงียบ ๆ ไม่ต่างกับลำธารในคืนหนาวเหน็บที่ยาวนาน หรงเล่อไม่ถามต่อ เพียงโน้มตัวมากอดจากข้างหลังแล้วซบแก้มลงบนไหล่ของหลินหยานิ่ง ๆ มือเล็ก ๆ วางไว้ตรงอกด้านซ้ายของอีกฝ่ายที่ยังมีชีพจรสั่นไหวอย่างสม่ำเสมอ "ข้าไม่รู้ว่าเจ้าผ่านอะไรมาบ้าง…แต่ถ้าเจ้าอยากเล่า ข้าจะฟัง ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ข้าจะอยู่ตรงนี้เงียบ ๆ ข้าง ๆ เจ้า" หลินหยาขยับมือขึ้นไปกุมมือของอีกฝ่ายเบา ๆ ไม่ได้กล่าวอะไร แต่เพียงการสัมผัสนั้นก็พอแล้วมันมากพอจะยึดเหนี่ยวใจที่เคยหลุดลอยกลับคืนมาได้อีกครั้ง


ไม่นานหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลานอนของสาว ๆ ทั้งสองคน


หลินหยานั้นระบายยิ้มพลางล้มตัวลงนอนบนเตียงไม้อย่างนุ่มนวล ผ้าห่มผืนใหญ่หอมกลิ่นสะอาดของดอกเก็กฮวยกับกลิ่นจาง ๆ ของบุรุษเจ้าของห้องที่เหมือนจะซึมเข้าไปในเนื้อไม้และทุกอณูของหมอนมุ้ง เธอพลิกกายหันไปมองหรงเล่อที่ยังคงง่วนอยู่กับการวางหมอนให้ตรงตำแหน่ง พออีกฝ่ายเอนตัวลงนอนข้างกัน หลินหยาก็ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ หัวเราะในลำคอแล้วกระซิบ "เจ้ารู้ไหม…ท่านพ่อเจ้ามีกลิ่นเต้าหู้ติดตัวจริง ๆ ด้วยนะ กลิ่นอ่อน ๆ นุ่ม ๆ แบบเต้าหู้ขาวคลุกขิงอุ่น ๆ ยังไงก็ไม่รู้"


หรงเล่อทำหน้าฉงนเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาในความเงียบของค่ำคืน มือเล็กตบหมอนดังปุ ๆ แล้วพูดเหมือนจะขำจนท้องแข็ง "ฮ่า ๆ จริง! กลิ่นเต้าหู้จริงด้วย! ข้าเคยนอนกับท่านพ่อเวลาฝันร้ายตอนเด็ก ๆ ยังเคยแอบคิดเลยว่าทำไมต้องมีกลิ่นแปลก ๆ ไปทั้งตัว!" หลินหยากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ขำจนต้องเอามือปิดปากกลัวเสียงจะลอดออกไปถึงห้องด้านนอกที่หลิวอันอาจจะยังตื่นอยู่


"แล้ว…หน้าท่านก็ดุ๊ดุ ฉายาเขี้ยวคมอสุราอะไรนั่นยังไงล่ะ แต่ดันชอบทำเต้าหู้" หรงเล่อทำเสียงเลียนแบบคนแก่จริงจัง "เต้าหู้ต้องต้มในอุณหภูมิเท่านั้น…ห้ามคนนานเกินไป…เกลือต้องโรยตอนต้มถึงจะกลมกล่อม!" ทำท่าทางโคฟเวอร์เป็นท่านพ่อตัวเองแบบตรงสเป็คสุด ๆ รู้แล้วจ้าว่าพ่อลูกกันชัว ๆ ไม่ต้องมาทำให้เหมือนกันขนาดนี้ก็ได้นะ หรงเล่อยิ้มพรายเมื่อเห็นว่าหลินหยาดูจะหัวเราะไม่ห่างหายไปไหน "ฮะ ๆ ๆ หรงเล่อ! เจ้าหยุด! ข้าจะกลั้นขำไม่ไหวแล้ว!" หลินหยาว่า แล้วขยับตัวเข้าไปเบียดอีกคน แอบซุกศีรษะลงกับไหล่เล็กของหญิงสาวผู้เปี่ยมความอบอุ่น หรงเล่อนั้นเลยยกมือขึ้นลูบเรือนผมที่สั้นลงของหลินหยาแผ่วเบาความอบอุ่นในห้องที่มีแสงจันทร์ลอดม่านไม้ไผ่บาง ๆ แล้ว ยังมีเพียงเสียงหัวเราะที่ไร้พิษภัยของหญิงสาวสองคนทำให้รับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพนั้นช่างอบอุ่นยิ่งกว่าอะไรดี


"เจ้ารู้ไหม…" หรงเล่อกระซิบแผ่ว ๆ "พ่อข้าอาจจะเหมือนเต้าหู้จริงก็ได้ ภายนอกดูดุดันแข็งแรง แต่ข้างในน่ะ…" เหมือนจะพูดแบบให้หลินหยาต่อคำให้


"ข้างในเป็นเต้าหู้อ่อน" หลินหยาเสริมต่อทันควัน ก่อนจะหัวเราะคิกคักแล้วหลับตาลงด้วยกันสองคน เป็นจังหวะที่หรงเล่อนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาหลินหยาที่กำลังเอนตัวพิงหมอนเบา ๆ ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เสียงหายใจอุ่น ๆ ของกลางคืนยังพอแผ่วอยู่เบื้องนอก แต่ภายในห้องกลับอบอุ่นด้วยแสงโคมและเสียงสนทนา


"หลินหยา..หากเจ้ามีลูกสาว...ที่อายุห่างกับเจ้าไม่มากนัก เจ้าจะรู้สึกแปลกไหม?" หรงเล่อเอ่ยถามขึ้นมา แต่หลินหยากลับเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะยังไม่เข้าใจ…เอาตรง ๆ ก็คือต้องให้เวลาหัวสมองประมวลผลน่ะ…ดวงตากลมโตนั้นกะพริบสองสามครั้งราวกับกำลังนับตัวเลขในหัว "เอ๋? เจ้าหมายถึงถ้าข้ามีลูกตอนนี้เหรอ? ถ้างั้นก็คงห่างกันราว ๆ 14 ปีนะ ห่างกันอยู่น่าาไม่น่าจะใกล้กัน?" หลินหยาเหมือนจะเข้าใจอะไรสักอย่างแบบงง ๆ เหมือนกันนะ..จนหรงเล่อหัวเราะแห้งพลางทำมือปัด ๆ ว่าไม่ใช่ ๆ 


"เปล่า ๆ ข้าไม่ได้หมายถึงลูกแท้ ๆ หรอก" หรงเล่อยิ้มแห้งเล็กน้อย เอื้อมมือมาดึงชายผ้าห่มขึ้นปิดบ่าอีกคนเบา ๆ "หมายถึงลูกเลี้ยงน่ะ...แบบว่า...ฟีลเหมือนจะอายุไล่ ๆ กันกับแม่เลี้ยงน่ะ" หลินหยาฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ เพราะว่าเธอเข้าใจแล้วว่าอีกคนหมายถึงลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงนั้นเอง เหมือนจะคิดนิดหน่อยนะก่อนจะตอบเสียงแผ่วแต่ชัดถ้อย


"อ้อ...งั้นเหรอ ข้าไม่ถือหรอกนะ หากต้องอยู่กับเด็กที่อายุใกล้กัน...ข้าคงถามเจ้าตัวแหละว่า 'เจ้าอยากให้ข้าเป็นแม่ หรือเป็นเพื่อนดี' ข้าจะได้ปฏิบัติตัวให้ถูก ครอบครัวข้าน่ะมีพี่น้องเยอะ บางทีก็มีทะเลาะบ้าง แย่งของกันบ้าง แต่พวกเรารักกันมากเลยนะ" หลินหยาเงียบไปสักครู่ ดวงตาคู่นั้นมองเพดานไม้เหนือศีรษะอย่างอ่อนโยนก่อนพูดต่อ


"ถ้าข้าจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใครสักคน...ข้าก็หวังว่าจะได้อยู่ในครอบครัวที่รักกันแบบนั้น ไม่ใช่แค่ให้ข้าเข้าไปอยู่เฉย ๆ เหมือนเครื่องประดับบนชั้นวางว่าได้ข้าไปเป็นภรรยา ได้ข้าไปเป็นแม่..แต่ให้ข้าเป็นคนในครอบครัวจริง ๆ...ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยคิดที่อยากจะเป็นภรรยาที่ดี แต่หากเอาตรง ๆ ถ้าข้าต้องเป็นแม่ ข้าคงจะเป็นแม่ที่ดีให้ได้จนถึงที่สุด"


"ถ้าคนคนนั้นมีลูกสาวอยู่ก่อนแล้ว...และลูกสาวคนนั้นน่ารัก อบอุ่น ขี้แยบ้าง ซุ่มซ่ามบ้าง แต่น่ารักเหมือน...หรงเล่อ ข้าก็คงไม่ลำบากใจเท่าไร" หรงเล่อหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนทำหน้างอใส่เธอ "ใครขี้แย เจ้าหมายถึงใครล่ะ!?" หรงเล่อที่ได้ยินก็แทบจะถลึงตาใส่หลินหยาพลางทำหน้ายู่เพราะว่าเหมือนอีกคนจะยกตัวอย่างเป็นเธออย่างงั้นแหละ


"ก็ไม่ได้ว่าหรอก แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ นี่นา" หลินหยาตอบพลางหัวเราะคิกคัก ยกแขนขึ้นโอบอีกคนเข้ามาในอ้อมกอดเบา ๆ "เอาเถอะ นอนได้แล้ว เจ้าอยากให้ข้าเป็นเพื่อนหรือแม่กันแน่นะ หืม?" เธอแซวอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงในอ้อมแสงอุ่นของโคมไฟในห้องที่ค่อย ๆ ดับลงอย่างช้า ๆ (เพราะถ้ามากกว่านี้เดี๋ยวพ่อกับจางกงกงตกกระป๋องแค่ก---)



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: ผม..รู้สึกจิตใจหวั่นไหว หลิวอัน หรงเล่อ


รางวัล: +5 ความสัมพันธ์สนทนาทั่วไป [NPC-04] หลิว อัน

หัวดี โบนัสเพิ่มความโปรดปราน+20

โบนัส ความสัมพันธ์พิเศษ (VIP) กับ NPC +10 แต้ม

โบนัส ความโปรดปราน NPC เผ่ามนุษย์ (ผู้มีบุญ) +20 แต้ม


แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับความสัมพันธ์กับ [NPC-04] หลิว อัน เพิ่มขึ้น 55 โพสต์ 2025-6-29 19:11
โพสต์ 99836 ไบต์และได้รับ 72 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-29 18:32
โพสต์ 99,836 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-29 18:32
โพสต์ 99,836 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-29 18:32
โพสต์ 99,836 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-29 18:32
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-29 21:14:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-6-29 21:49


วันที่ 29 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไฮ่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)


ห้วงแห่งนิทราของการนอนหลับลึกซึ่งปราศจากขอบเขตของเหตุผลทั้งปวงในโลก หลินหยาที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ ข้างกายของนางมีหรงเล่อที่กำลังนอนขดตัวซุกราวกับทั้งคู่นั้นนอนด้วยกันมานานหลายครั้งแล้ว แสงโคมของห้องที่ดับไปนานแล้วเหลือเพียงเงาของแสงจันทร์ที่ทอดผ่านช่องไม้บนเพดานแต่หลินหยากลับไม่ได้นอนหลับลึกแบบสบาย ๆ แล้วตื่นมาในเช้าที่สดใส..เธอฝัน..ฝันที่คล้ายความจริงเสียจนแทบแยกไม่ออก


ในความฝันนั้น..ร่างของหลินหยาถูกโอบกอดเอาไว้แนบแน่นด้วยใครบางคน สัมผัสจากแผ่นอกกว้างและแขนแกร่งแข็งแกรงสอดประสานกับนางอย่างแนบชิด เส้นผมยาวสีดำของบุรุษผู้นั้นปรกปิดใบหน้าของตนเองมันพร่ามัวเหลือเกิน ทำให้หลินหยานั้นไม่อาจมองเห็นได้ชัดว่าผู้ใดที่อยู่ใต้ร่างกายของเธอ 


แขนของเขานั้นสอดเข้ามาโอบกอดรัดแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนางเอาไว้แน่น ความอบอุ่นที่เจือความร้อนแรงแปลก ๆ ของปลายนิ้วที่ไล้ขึ้นบริเวณบั้นเอวทำให้นางนั้นขนลุกซ่าไปทั่วต้นคอแม้กำลังหลับอยู่ จูบของเขาค่อย ๆ วางลงที่่ต้นไหล่สีขาวเนียนอันไร้อาภรย์ของนาง แล้วขยับไล่ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับรสจูบนั้นเป็นการเดินทางขึ้นไปสู่หลังใบหู ก่อนที่จะกลายเป็นสัมผัสที่เริ่มร้อนแรงขึ้นและลึกซึ้งจนแทบละลายความเป็นตัวตนของนางลงในอ้อมแขนนั้น


“เจ้าหวาน..จนข้าทนไม่ไหว” เสียงกระซิบต้ำแผ่วเบาเจือหอบหายใจแหบพร่า ข้างใบหูของนาง ฟังดูมาจากลำคอของบุรุษผู้หนึ่งที่เร้นหลบทุกความรู้สึกของตนเองตลอดมาและอาจจะตลอดไป 


และในชั่วพริบตานั้น..ร่างของหลินหยาจากที่อยู่ด้านบนก็โดนพลิกกลับ ลำคอของนางเชิดรั้งขึ้นเล็กน้อยและสัมผัสได้ถึงจุมพิตร้อนลึกที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ท่วงท่าที่เขาประคองนางไว้ขณะถาโถมลงมานั้นทั้งหนักแน่นและควบคุมนางได้อย่างน่าประหลาด ข้อมือของเธอถูกกักและตรึงไว้ข้างหมอน ร่างเปลือยเปล่าถูกตรึงอยู่ใต้แรงปรากฎนาอันคุกกรุ่นร้อนระอุราวกับเตาไฟเดือด…มันควรจะหยุด..แต่สิ่งที่ก้องอยู่ในตอนนี้คือเสียงของเตียงไม้ที่กระแทกผนังตามแรงขยับของเตียงจนทำให้หัวใจของสตรีที่กำลังนอนฝันอยู่นั้นเต้นกระหน่ำระรัวหนักหน่วง


นางในฝันพยายามที่จะเรียกชื่อของเขาแต่เหมือนเสียงกลับติดอยู่ในลำคอ


และในจังหวะที่ชายคนนั้นโน้มตัวลงมาใกล้กับริมฝีปากของนาง ราวกับจะสัมผัสแตะต้องกัน พลันแสงจันทร์แรมก็สาดส่องเข้ามาพอดี ดวงหน้าที่เคยพร่ามัวพลันชัดเจนขึ้น..นางมองไม่เห็นใบหน้าเหมือนเคย แต่ดวงตาของเขาคมกริบดั่งพยัคฆ์ยามจ้องเหยื่อ เสี้ยวรอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นอย่างบางเบา…น่ากลัว..และ..


!!!!!!! 


หลินหยาลืมตาโพลงในความมืด ดวงตากลมเบิกกว้างขณะหายใจถี่ ๆ เหงื่อเย็นซึมซาบอยู่ตรงขมับทั้งสองข้าง และแม้จะไม่มีเสียงใดนอกจากลมหายใจเบาของหรงเล่อที่นอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ… แต่หัวใจของนางกลับยังคงเต้นโครมครามราวกับเพิ่งวิ่งหนีอะไรมา ความร้อนรุ่มยังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ริมฝีปากที่เคยถูกจูบในฝันยังรู้สึกชาเล็กน้อย มือของนางกำผ้าห่มแน่นในความเงียบ หรงเล่อยังคงหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะรู้ถึงแรงสั่นสะท้านในใจของหญิงสาวที่ตื่นขึ้นจากความฝัน


หลินหยาไม่กล้าขยับ นางจ้องมองเพดานที่เงียบสงบ แต่หัวใจยังคงไหววูบอยู่ภายใน และแม้จะไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพียงความฝัน...หรือความปรารถนาที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจตนเองมาตลอด ทว่าคำพูดสุดท้ายนั้นกลับดังก้องอยู่ไม่หาย


เจ้าเป็นของ…ข้า?...


ใครวะเนี้ย!!! 


“อิหยังวะ..” หลินหยาพึมพำออกมาเป็นภาษาไทย(?) หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ผมสีเข้มที่เหลือเพียงระบ่าที่โดนหวีมาสะบัดอยู่ตรงไหล่ หน้าของเธอยังคงเหวอค้างด้วยท่าทางที่แทบจะปิดไม่มิด ตอนนี้เธอหน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุก หายใจก็ไม่ทั่วท้อง แถมมือก็ยังกำชายผ้าห่มแน่นอยู่เลย..


“ข้าฝันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรวะเนี้ย..เชี้ย…..” เธอเอียงคอ ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายมันคงจะเป็นอะไรที่น่าอายมากเลยทีเดียว หรือมันเป็นช่วงเวลาที่บอกว่าเธอเริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ? แต่นางเข้าพิธีปักปิ่นไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้วนะ ถึงจะยังไม่ครบ 1 ปีเต็มก็เถอะเพราะยังไม่ถึงวันเกิดปีที่ 15 ของตนเองเลย..ตอนนี้หลินหยาเริ่มขมวดคิ้วออกไปในความมือ ตาก็ปรือ ๆ ตึง ๆ ราวกับยังคงปรับสติของตัวเองไม่ได้ดีนัก


“แล้วนั้นมันใครวะนั้น..หน้าก็ไม่เห็น…” หลินหยาพยามนึก..แต่ยิ่งนึก ก็ยิ่งใจสั่นรู้สึกเหมือนจะรู้จักแต่ก็ไม่รู้จัก ไม่กล้ายืนยันกลัวใจตัวเองเสียมากกว่า "ไม่ ๆ ๆ นอนกับคนอื่นแล้วฝันแปลก ๆ มันก็ปกติใช่ไหมล่ะ? แค่เปลี่ยนที่นอน มันก็ต้องฝันมั่วอยู่แล้ว!" นางพยายามปลอบตัวเอง แถมยังพึมพำต่ออย่างคนไม่อยากยอมรับความจริง


"ช่างแม่งเหอะ…มันก็แค่ฝัน… ก็ฝันไปเถอะ! เตียงกระแทกผนังเองได้ด้วยหรือไง! ฮึ่ย…อัปรีย์สีกบาล" ว่าแล้วก็ฟาดหมอนเบา ๆ อย่างหงุดหงิดใส่ตัวเอง หลินหยาเหลือบมองหรงเล่อที่ยังหลับนิ่งไม่รู้เรื่อง “นอนหลับเป็นตายเลยนะ หรงเล่อ..เจ้านี้ดีจังนอนแบบไม่ต้องสะดุ้งตื่น” พอพูดเสร็จก็ถอนหายใจแรง แล้วฟุบหน้าลงกับหมอนข้างอีกใบด้วยความพยายามจะข่มตานอนอีกครั้ง ทั้งที่ใจยังแอบฟุ้งซ่านไม่เลิก


"ไม่คิด…ไม่คิดแล้ว…นอน! ต้องนอน!" นางงึมงำเบา ๆ ก่อนจะพลิกตัวหนีไปอีกด้านแล้วดึงผ้าห่มคลุมหัวทั้งตัวไว้อย่างสิ้นหวังแต่ในหัวก็ยังวนเวียนอยู่กับเสียงต่ำกระซิบใกล้ใบหู กับแรงสัมผัสที่แม้แต่ในความฝันยังรู้สึกได้… แล้วอยู่ดี ๆ ใจก็เต้นรัวขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล


"ชิบหายแล้ว..." ...นอนไม่หลับโว้ยยยยยยยยย



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28461 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-29 21:14
โพสต์ 28,461 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-29 21:14
โพสต์ 28,461 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-29 21:14
โพสต์ 28,461 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-29 21:14
โพสต์ 28,461 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-29 21:14
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-6-30 00:17:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 30 เดือน 5 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)

แสงแดดยามเฉินสาดลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างกระดาษสาอาบไล้บรรยากาศในห้องนอนของบ้านหลังเล็กจนดูอบอุ่นละมุน ราวกับยามเช้ากำลังคลี่คลายฝันประหลาดของค่ำคืนก่อนอย่างอ่อนโยน หลินหยาปรือเปลือกตาตื่นขึ้นมาอย่างเนิบช้า สะบัดหัวน้อย ๆ เหมือนจะไล่ความฝันประหลาดให้หลุดออกจากร่องรอยในหัวใจที่ยังคงเต้นแปลก ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ


หลินหยานั้นสะบัดผ้าห่มออกแล้วก็ลุกขึ้นพรวดแบบที่คนหัวฟูสุดใจ เส้นผมที่โดนตัดสั้นระดับไหล่นั้นกระแซะกระซเิงเหมือนเพิ่งหนีหมาจรมาอย่างไรก็ไม่รู้ ทั้งที่เมื่อคืนตอนอาบน้ำก็หวีให้เรียบร้อยแล้วนะเนี้ย หญิงสาวขยี้ตาเล็กน้อยเดินตุปัดตุเป๋ไปยังอ่างไม้ตรงมุมห้อง ล้างหน้าล้างตาแบบลวก ๆ ก่อนจะเช็ดหน้าให้แห้ง สบถในใจไปพลาง "ฝันบ้าอะไรของข้านะเมื่อคืน..." นางก้มหน้ามองหยดน้ำที่ยังเกาะปลายคาง เหมือนจะเอาหน้าแช่ลงอ่างซ้ำอีกทีให้มันลืมไอ้ภาพคนนั้น...ที่ไม่มีหน้าแต่เล่นหนักเหลือเกิน


“โอ๊ยยยย ขอร้องง หยุดคิดดด สิคิดฮอตมันหาแม๊ะมันหน่อ” หลินหยาเผลอพูดสำเนียงอีสานออกมาแบบไม่รู้ตัวเธอ พลางหยิบหวีขึ้นมาหวีผมของตัวเองอย่างหงุดหงิดแรง ๆ ผมสั้นแค่ไหล่ก็จริงแต่ตอนตื่นมานี่มันกระเจิงขนาดจะสู้กับหรงเล่อที่นอนอยู่ยังไม่ได้เพราะเส้นผมของนางเรียบลื่นดีทั้งที่เมื่อวานนอนฟาดแขนกับกอดหมอนข้างทั้งคืน นางหันกลับไปมองบนเตียง หญิงสาวผู้นอนอยู่ข้าง ๆ ยังฟุบหน้าลงกับหมอนนอนแน่นิ่งเหมือนผักลวก ริมฝีปากเผยอนิด ๆ แถมมือยังโอบหมอนข้างไว้แน่น หายใจฟืดฟาดนิดหน่อยเหมือนกำลังฝันดี หลินหยาเท้าคางนั่งมองอยู่ปลายเตียงก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอ


“ข้าน่ะฝันเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้..แต่เจ้าน่าจะฝันว่ากำลังแอบไปหาอะไรกินในครัวแน่ ๆ เลยใช่ไหมดูทรงแล้วเนี้ย” เสียงของหลินหยาดังแผ่วเบา รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ พลางเหลือบมองดูดวงอาทิตย์ที่ขึ้นเต็มดวงจนเจิดจ้าแล้ว “นี้มันเช้าจะสายแล้วนะหรงเล่อ…” นางหันไปมองแสงที่กระทบผนัง นับเวลาคร่าว ๆ จากทิศแดด แล้วก็ขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปแตะแก้มหรงเล่อเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงไม่ดังนัก "เจ้าคงฝันว่ากำลังบินอยู่มั้ง…ถึงได้อ้าปากค้างอยู่นานขนาดนี้..."


แต่แล้วในจังหวะที่หรงเล่อยังไม่ลืมตา หลินหยาก็กลับไปนั่งท่าเดิม พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกหน เหมือนกับเสียงเงียบในห้องทำให้ความคิดกลับมาอีกแล้ว "จริง ๆ ข้าก็ไม่ได้ฝันแปลกอะไรมากหรอก...แค่...มันเหมือนจริงเกินไป" นางกระซิบกับตัวเองเบา ๆ แล้วเอาหลังมือตีหน้าผากตัวเองป้าบ แป๊ะ!! "โอ้ยยย ถึงเวลาแตกเนื้อสาวแล้วหรือไงวะข้า... เพ้อถึงเสียงเตียงโดนกระแทกในฝันเนี่ยนะ หลงกลิ่นคนไม่เห็นหน้าจนตื่นมาเหม่ออยู่ได้ชั่วโมงกว่า บัดซบ!" แต่แม้จะพ่นคำแรงไปเช่นนั้น แววตาที่ทอดมองหน้าหรงเล่อกลับอ่อนลงทีละนิด


"นางมีพ่อที่เอาใจใส่ขนาดนั้น มีครอบครัวอบอุ่น… ถ้าสวรรค์คิดจะโยนอะไรบ้า ๆ ใส่ข้าอีก ข้าขอแค่ไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อนก็พอ" เสียงกระซิบล่องลอยไปตามลมยามเช้า แล้วหลินหยาก็ยกมือขึ้นปัดแก้มของหรงเล่อเบา ๆ อีกครั้งก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน "ตื่นได้แล้ว…เจ้าหลับยาวจนข้าคิดจะปลุกให้ตื่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะแต่เจ้าดันนอนหน้าฟินแบบนั้น ข้าก็เลยอดใจไม่ไหว มานั่งมองอยู่ตั้งนาน"


หลังจากนั้นก็ขยับมือแล้วจับหรงเล่อเขย่า ๆ แบบนี้สิวะ เพราะคนตื่นนอนยากมันก็เขย่ากันเป็นเซียมซี่นี้แหละ “ตื่นนนนนได้แลบ้ว ว ว วว หรงงงงเล่อออ”


"โอ๊ยยยย หลินหยานะหลินหยา…ข้าเพิ่งจะฝันว่ากำลังเดินบนขนมบัวหิมะก้อนยักษ์อยู่เชียว…!" เสียงโวยวายของหรงเล่อดังขึ้นพร้อมกับท่าทางที่ยกแขนปัดเบา ๆ ขณะโดนเพื่อนสาวเขย่าจนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วลากจากเตียงอย่างไร้เมตตา หลินหยาในชุดสบาย ๆ สีขาวซีดที่ดูเรียบง่ายกำลังนั่งพับเพียบอยู่ปลายเตียง มือหนึ่งยันสะโพก อีกมือหนึ่งดึงแขนหรงเล่อให้ลุก "จะฝันอะไรเจ้าก็ฝันไป ข้าจะลากเจ้าลงอ่างแล้วนะ ตื่นสิ หรงเล่อ ข้ายังต้องกลับก่อนเที่ยงอีก เดี๋ยวจะไม่ได้ร่ำลากัน!"


หรงเล่อที่โดนลากไปยังอ่างไม้ด้านในบ่นพึมพำแต่ยอมล้างหน้าตามอย่างเสียไม่ได้ นางนั่งพับเพียบถูหน้าเช็ดตาไปพลางบ่นไม่หยุด "ที่จวนข้าปกติมีพี่สาวใช้ปลุก ข้าก็เลยไม่ต้องลุกเร็วแบบนี้หรอก แถมเตียงก็ใหญ่กว่า แสงก็ไม่เข้ามากนัก นอนสบายกว่าเยอะเลย…" หญิงสาวย่นจมูกพลางบ่นงึม ๆ น้ำกระเซ็นใส่พอให้หายงัวเงียแต่ก็ยังทำหน้าเหมือนถูกปลุกขึ้นมากินข้าวในวันที่ขี้เกียจที่สุด


หลินหยาหัวเราะเบา ๆ พลางยื่นผ้าผืนเล็กให้ "เจ้านี้ช่างมีชีวิตดีจริง ๆ บุตรสาวท่านอ๋อง ท่านหลิวอันนี้เลี้ยงเจ้าดีเป็นพิเศษเลยสินะ นอนกอดหมอนจนข้าเกือบจะขโมยหมอนเจ้ากลับบ้านด้วยเลยเมื่อคืน ดูกอดแล้วหลับสบายจัดเลยน่ะ"


"ไม่เอานะ! ข้าไม่ยอมให้ใครแย่งหมอนข้าหรอก!" หรงเล่อเช็ดหน้าเสร็จก็ทำหน้าหงิกใส่แบบเล่น ๆ ก่อนจะยิ้มกว้างในทันทีเมื่อเห็นหลินหยาหัวเราะไม่หยุด ทั้งสองสาวจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อย หลินหยาผูกผ้าแถบรัดผมอย่างลวก ๆ ขณะที่หรงเล่อแม้จะยังง่วงแต่ก็แต่งตัวได้อย่างคล่องแคล่ว สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายของบ้านหลังเล็กที่ต่างจากเสื้อผ้าหรูหราในจวนใหญ่ แต่ดูน่ารักสดใสไปอีกแบบ


เมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งสองก็เดินลงมาทางห้องโถงด้านหน้า โต๊ะไม้เตี้ย ๆ ถูกปูผ้าลายดอกอย่างเรียบร้อย และมีข้าวต้มฟักหอมกรุ่นวางอยู่สองถ้วย พร้อมผักดองกับเต้าหู้ทอดสีเหลืองทองที่วางอยู่บนจานเคลือบ หรงเล่อเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงและถือตะเกียบในมือระหว่างกิน ส่วนหลินหยาไม่แตะเต้าหู้แม้แต่ปลายเล็บก้อยเลยล่ะ


“งึมมม ท่านพ่อคงจะไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดแล้วแน่ ๆ เลยปกติท่านพ่อจะทำงานราชการจากหวยหนานแล้วก็ทำไว้มากเลยไม่เคยผิดพลาดด้วยล่ะเพื่อที่จะได้เอาเวลาไปขายเต้าหู้ที่ร้านน่ะ..ข้าก็ยังคิดว่าท่านนอนเวลาไหนกันนะ? แต่ก็…อืม…ก็มีเวลาเยอะแหละมั้ง” หรงเล่อทำหน้าท่าทางเหมือนคนสงสัย แต่นางก็ระบายยิ้มหวานแล้วนั่งกินข้าวเช้ากับหลินหยาก่อนที่หลินหยากับหรงเล่อจะต้องแยกกันโดยที่แม่นางหรงเล่อไม่รู้เลยว่าการนอนคืนที่ผ่านมามันทำให้หลินหยาแทบสติแตก ไม่ใช่เพราะคิดไม่ซื่อนะ แต่นางแม่ง..ฝันประหลาด!!



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: -

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 25870 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-6-30 00:17
โพสต์ 25,870 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-6-30 00:17
โพสต์ 25,870 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-6-30 00:17
โพสต์ 25,870 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-6-30 00:17
โพสต์ 25,870 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-6-30 00:17
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-1 22:16:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 01 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามซวี ถึง ยามไฮ่ เวลา 20.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)


หลังจากกลับมาที่บ้านหลังเล็กแล้วหลินหยากับหรงเล่อก็เข้าห้องนอนของตนเองที่นอนด้วยกันสองคน ส่วนหลิวอันก็ไปนอนที่ห้องทำเต้าหู้เหมือนเคย หลินหยานั้นนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่สะท้อนเงาใบหน้าของหญิงสาวในชุดนอนผ้าฝ้ายบางเบาสีขาวปักลายบุปผาจาง ๆ เส้นผมยาวระดับไหล่ที่เธอเพิ่งหวีเสร็จยังมีรอยสะบัดของปลายที่กระดกขึ้นเล็ก ๆ จากนั้นหญิงสาวก็จับสายผูกเอวเสื้อคลุมนอนให้แน่นขึ้นอีกนินพลางหันไปทางร่างเล็กที่นอนคว่ำอย่างสบายใจอยู่บนเตียง “หรงเล่อ..ข้าบอกเจ้าหรือยังว่าพรุ่งนี้ข้ามีนัดกินข้าวกับท่านจางทังน่ะ..ถิงเว่ย คนที่เคยตัดสินคดีของข้าครั้งก่อน”


หรงเล่อเงยหน้าขึ้นจากหมอนทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ท่าทางเหมือนแมวที่โดนน้ำแตะหางให้เปียก “หื้ม?” ดวงตากลมใสหรี่ลง “จางทังคนนั้น...ที่เจ้าว่าเขาเป็นคนเฉียบขาด ใช่มั้ย?” หลินหยายักไหล่ “ก็ใช่นะ แต่เขาก็ปากดีไปหน่อย เหมือนคนชอบขัดตลอด แต่เข้าใจดีมากเลยแต่บางทีก็พูดอะไรไม่รักษาน้ำใจคนอื่นเลย...แต่ก็ช่วยชีวิตข้าไว้ตอนนั้นจริง ๆ นะ..เขาใจดีนะตอนแรกน่ะ”


หรงเล่อยังนอนอยู่แต่เอาคางเกยแขนตัวเองไว้ มองอีกคนแล้วเอ่ยเบา ๆ “แล้วเจ้า...ชอบเขาหรือเปล่า” คำถามนั้นทำให้หลินหยาชะงักไปนิด เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มบางแล้วเดินมาทิ้งตัวลงข้าง ๆ หรงเล่อบนเตียง ผ้าห่มยับเล็กน้อยเมื่อเธอเอนตัวลง “ไม่หรอก” เธอตอบเสียงนิ่ง “ข้ารู้สึกซาบซึ้ง แต่ไม่ได้ ‘ชอบ’ แบบนั้น”


แม่นางหรงเล่อพยักหน้าเบา ๆ สีหน้ากลับกลายเป็นโล่งอกอย่างไม่ปิดบัง เหมือนคนที่เพิ่งวางถุงแป้งหนัก ๆ ออกจากอก “ดีแล้ว” เธอว่า พลางเอื้อมมือมาดึงแขนหลินหยาไปกอดไว้ เหมือนจะบอกว่า ‘เจ้าเป็นของข้า...’ หรือไม่ก็ ‘เจ้าเป็นของบ้านนี้แล้วนะ’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาตรง ๆ หลินหยาหัวเราะคิกขำเบา ๆ พลางลูบหัวอีกคนเหมือนลูกแมว “เจ้าทำตัวเหมือนแม่หวงลูกสาวเลยรู้มั้ย”


“ก็ข้าไม่อยากให้เจ้าตกไปอยู่ในมือคนแปลกหน้า” หรงเล่อบ่นเสียงอู้อี้ในอกหลินหยา “โดยเฉพาะคนที่ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะดูแลเจ้าได้ดีรึเปล่า...”


“โอ๋ ๆ” หลินหยาขำก่อนจะกอดอีกคนแน่นขึ้นเบา ๆ กลิ่นแป้งหอม ๆ จากเสื้อผ้า หอมผสมกับกลิ่นดอกโบตั๋นจาง ๆ ทำให้อบอุ่นใจยิ่งนัก คืนนี้เตียงนอนของหลิวอันกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวของสองสหายต่างวัยที่ใจตรงกันในหลายอย่าง แม้ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน...แต่หลินหยาก็เริ่มรู้สึกว่า ความผูกพันนั้นแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าน้องสาวแท้ ๆ เสียอีก


หรงเล่อซุกหน้าอยู่กับไหล่ของหลินหยา พลางขยับขาดิ้นไปมาจนผ้าห่มยับยู่ยี่เต็มเตียง ก่อนจะหยุดนิ่งแล้วหันหน้ามาหาหลินหยา ดวงตากลมใสพราวระยับแม้จะอยู่ในแสงไฟเรือนเล็กที่ริบหรี่ “แล้วเจ้าล่ะ…ชอบคนแบบไหนกันแน่ คนที่เจ้าอยากได้มาเป็นคนรักน่ะ?” ส่วนหลินหยาก็นิ่งไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะไม่รู้คำตอบ…แต่เพราะไม่เคยกล้าคิดมันอย่างจริงจังมาก่อน


เธอเอนตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาหรงเล่อ ปลายนิ้วเรียวไล้เล่นกับผ้าห่มสีขาวสะอาดเบา ๆ ริมฝีปากระบายยิ้มจาง “ข้าไม่รู้หรอกว่ารักมันคืออะไรแน่ ๆ” เสียงเธอแผ่วเบาราวกับกลัวว่าถ้าพูดดังไป ความเปราะบางในใจจะหลุดร่วงออกมา “แต่ที่แน่ ๆ ข้าไม่ชอบคนที่ปั่นหัวข้า ไม่ชอบคนที่ชอบทำให้ข้ารู้สึกไม่มั่นคง…” ดวงตาคู่หวานกลมโตของหลินหยานั้นทอดมองเพดานไม้ “ข้าไม่ชอบคนที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง แล้วก็ไม่ชอบคนที่เอาแต่พูดแต่ไม่ฟัง... โดยเฉพาะเวลาที่ข้าอยากพูดสิ่งที่อยู่ในใจจริง ๆ”


หรงเล่อนอนฟังเงียบ ๆ พลางยกมือหนุนแก้ม ดวงตาเธอกะพริบช้า ๆ เหมือนเก็บคำของอีกฝ่ายไว้ในอกอย่างเงียบงัน


“ข้าไม่ได้ต้องการให้เขาหน้าตาดี ไม่ต้องรวย ไม่ต้องมีสมบัติมากมาย หรือเป็นบุรุษจากตระกูลใหญ่ มีอำนาจ” หลินหยายิ้มบาง ๆ “แค่ให้เขาฟังข้าจริง ๆ เวลาข้ารู้สึกไม่ไหว แค่นั้นก็พอแล้ว”


“แต่เจ้าก็น่ารักมากเลยนะหลินหยา..แม้ว่าจะดูเด็กแก้มนุ่มริมฝีปากจุบจิบน่าฟัด” หรงเล่อแทรกขึ้นเบา ๆ “เจ้าคงไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีคนชอบเจ้าไหมหรอก ข้าว่าคนแถวนี้เห็นเจ้าแล้วใจบางกันไปครึ่งค่อนเมืองแล้วด้วยซ้ำ…” หลินหยาหัวเราะเสียงเบาเหมือนกับว่าไม่จริงหรอกพลางยกมือขึ้นปัด ๆ ว่าไม่มีทาง “ไม่หรอก..คนอย่างข้าไม่ได้ถึงครึ่งเหล่าสตรีงามมากมายเลยด้วยซ้ำ คนหอว่านหงเหรินสวยกว่าข้าเยอะแยะ..แต่ข้าก็มีความคิดนะข้าไม่อยากเป็นแค่ภรรยาที่ดีให้ใคร” เธอเอ่ยเสียงแน่นนิด ๆ “ข้าอยากเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตของตัวเอง และถ้าโชคดี…ก็อยากมีความรักด้วยแม้จะยังไม่เข้าใจว่าความรักมันเป็นยังไงจริง ๆ ก็ตาม” เธอหลับตาลงพลางถอนหายใจเบา ๆ


หรงเล่อขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วสอดแขนกอดหลินหยาเบา ๆ จากด้านหลัง “งั้นก็ให้ข้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะ…จนกว่าเจ้าจะเข้าใจมัน ข้าจะอยู่ฟังเจ้าทุกครั้งที่เจ้าอยากพูดเลย แต่ถ้าหากเจ้ารู้สึกรักใครสักคนอย่าลืมบอกข้าล่ะ” รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นที่ริมฝีปากหลินหยา เธอไม่หันกลับไปมอง แต่ขยับมือน้อย ๆ ไปแตะมืออีกฝ่ายเบา ๆ ค่ำคืนนี้ที่เรือนเล็กแห่งบ้านหลังเงียบงัน ไม่มีแม้แสงจันทร์ลอดหน้าต่าง แต่กลับอบอุ่นเหลือเกินในอก



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 24920 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-1 22:16
โพสต์ 24,920 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-1 22:16
โพสต์ 24,920 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-1 22:16
โพสต์ 24,920 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-1 22:16
โพสต์ 24,920 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-7-1 22:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-2 01:16:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วันที่ 02 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเฉิน เวลา 07.00 - 09.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก (คุณชายอันเล่อ)


แสงแดดยามเช้าค่อย ๆ สาดลอดผ่านช่องไม้บานหน้าต่างของเรือนเล็ก กระทบผิวแก้มขาวจัดของหญิงสาวที่เพิ่งขยับกายจากผ้าห่มผืนหนา เส้นผมสีดำสนิทปล่อยกระเซิงเล็กน้อยจากการนอน หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน รู้สึกถึงความอุ่นข้างกายที่ยังไม่ขาดหายหรงเล่อยังนอนอยู่ หายใจสม่ำเสมอ ท่าทางเหมือนลูกแมวขี้เซา หลินหยายิ้มจาง ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ทำให้เสียงเตียงดังมากนักก่อนจะหยิบเสื้อคลุมบางสีขาวสะอาดมาสวม เดินไปยังห้องครัวของบ้านหลังเล็กที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นเต้าหู้จากเมื่อคืน 


แต่บัดนี้กลับถูกกลบด้วยกลิ่นหวานของน้ำผึ้งร้อน มือเรียวเริ่มงานช้า ๆ แป้งข้าวเจ้ากับแป้งข้าวเหนียวถูกร่อนรวมกันอย่างประณีต ใส่แป้งข้าวโพดนิด ๆ ข้าวโอ๊ตที่บดแล้วอีกหน่อย ผสมน้ำผึ้งที่กวนไว้จนข้นเหนียวลงในถาด ก่อนที่หลินหยาจะเริ่มดึง ขึง และปั่นอย่างอ่อนโยนด้วยปลายนิ้วที่เคยดีดเครื่องดนตรีมาก่อน เส้นไหมสีขาวโปร่งบางค่อย ๆ แยกตัวเป็นพัน ๆ เส้นละมุนดั่งสายไหมจริงจัง ถูกคลุกกับไส้ถั่วลิสง งาขาว และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วจนหอมกรุ่น แล้วปั้นกลมเป็นก้อนพอดีคำ หอม หวาน มัน คลุกด้วยรักและความอ่อนโยนแทนคำปลุก


เมื่อเสร็จ หลินหยาก็จัดใส่ถาดไม้เล็ก ๆ วางลงบนผ้าปักลายดอกท้อ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยแววตาพราวขำ “หรงเล่อ” เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้น พร้อมปลายนิ้วที่เขย่าไหล่เบา ๆ “ตื่นได้แล้วนะ...จะได้อาบน้ำ ล้างหน้า แล้วกินขนม”


“อื้ออออ ข้ายังไม่อยากตื่น…” เด็กสาวโอดครวญพร้อมซุกหน้าลงกับหมอน หลินหยาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจับแขนดึงเบา ๆ จนนางลุกขึ้นนั่งงัวเงีย “รีบลุก ไม่งั้นข้ากินหมดแน่ ๆ เลยนะ” น้ำเสียงอ้อน ๆ เหมือนจะขี้แกล้งดังขึ้นพลางแกล้งยื่นขนมไหมฟ้ามาให้ดมเพื่อปลุกคนแถวนี้แทน


หรงเล่อขยับจมูกฟุดฟิดทันทีทั้งที่ยังไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ “กลิ่นหอมจัง…เจ้าทำเองเหรอ?”


“อืม ข้าทำเองกับมือเลยนะ หวงมาก ใครไม่รีบตื่นอดกิน!” หลินหยาทำหน้าขึงขังแต่ตาเต็มไปด้วยแววขบขัน ก่อนจะพาหรงเล่อไปล้างหน้าอาบน้ำ เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย แล้วค่อย ๆ ยื่นขนมไหมฟ้าให้ หรงเล่อรับมาด้วยมือทั้งสอง ตาโตเป็นประกาย “สวยเหมือนหิมะเลย..แปลว่ารอบก่อน ๆ เจ้าก็ทำให้ข้าหรอ?” พอหลินหยาได้ยินก็พยักหน้าว่าใช่ นางทำเองตลอดแหละ “กินแล้วระวังใจละลายล่ะ” หลินหยาว่าเบา ๆ แล้วหันหน้าไปอีกทาง กลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อเห็นหรงเล่อกัดขนมแล้วตาลอยเหมือนขึ้นสวรรค์


“อร่อยมากกกก เจ้าต้องสอนข้าทำแล้วล่ะ!” หรงเล่อพูดทั้งปากเต็มไปด้วยไหมฟ้า หลินหยายกมือขึ้นปิดปากตัวเอง พยายามกลั้นขำ “ข้าทำให้กินก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องเหนื่อยหรอกน่า เดี๋ยวเครื่องครัวพังหมดทำไงอ่ะ..ข้าไม่เก็บนะบอกไว้ก่อนเจ้ายิ่งซุ่มซ่ามอยู่” ยามเฉินในบ้านหลังเล็กเงียบสงบ มีเพียงเสียงหัวเราะใส ๆ ของเด็กสาวสองคนที่แทรกผ่านออกมายังลานไผ่ด้านนอก…ดังพอให้ผู้ใดที่เดินผ่านหน้าประตูต้องหยุดยิ้ม



@Admin 

พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

มอบ ขนมไหมฟ้า ให้ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

ดี: 5.0
ดี: 5
  โพสต์ 2025-7-2 12:12
โพสต์ 16572 ไบต์และได้รับ 12 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-2 01:16
โพสต์ 16,572 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม +5 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-2 01:16
โพสต์ 16,572 ไบต์และได้รับ +6 EXP +10 คุณธรรม +8 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-2 01:16
โพสต์ 16,572 ไบต์และได้รับ +5 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-2 01:16
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 02:54:20 | ดูโพสต์ทั้งหมด

วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามเหม่า เวลา 05.00 - 07.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก คุณชายอันเล่อ


รุ่งเช้าแห่งฉางอันอบอวลด้วยกลิ่นไม้หอมจากสวนหลังจวน แสงตะวันอ่อน ๆ สาดลอดผ่านม่านผ้าโปร่งสีอ่อนในห้องนอนบ้านหลังเล็กของหวยหนานอ๋อง เสียงนกกระจิบเจื้อยแจ้วอยู่นอกหน้าต่าง แสงเช้าแตะปลายเตียงที่ปูด้วยฟูกขนนุ่มหนา สองร่างที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่ยังอยู่ในท่วงท่าสงบ หลินหยาลืมตาช้า ๆ กลอกตามองเพดานไม้ที่เธอคุ้นเคยแล้วจึงค่อย ๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้รบกวนร่างข้างกายที่ยังหลับอยู่ หรงเล่อยังหลับตานิ่ง สีหน้าผ่อนคลายแม้จะนอนผิดท่าไปเล็กน้อย แขนพาดมาหลวม ๆ กับขอบผ้าห่มคล้ายเด็กสาวที่เผลอหายใจเข้าเงียบ ๆ แล้วลืมโลกทั้งใบ


หลินหยาอมยิ้มนิด ๆ ก่อนลุกขึ้นเบา ๆ แล้วเดินปลายเท้าไปยังห้องน้ำชั้นใน เสียงน้ำไหลดังสม่ำเสมอขณะหญิงสาวชำระล้างร่างกาย ทันทีที่กลับมาในห้องอีกครั้ง หล่อนในชุดผ้าฝ้ายสะอาดตา ผมยังเปียกเล็กน้อย เธอเดินไปใกล้เตียงแล้วนั่งลงริมขอบ เตรียมตัวปลุกคุณหนูอีกคนที่นอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่กลางห้อง


“หรงเล่ออออ...” หลินหยาเรียกเบา ๆ แบบยานคางพลางเอียงหน้าเข้าไปใกล้ ใช้นิ้วแตะปลายจมูกของอีกฝ่ายเบา ๆ “ข้าปลุกเจ้าทุกวันจนเหมือนกลายเป็นสาวใช้จริง ๆ แล้วนะ...เจ้าแม่นางขี้เซา”


หรงเล่อครางในลำคอเล็กน้อย คล้ายจะไม่อยากตื่น หลินหยาหัวเราะเบา ๆ แล้วค่อย ๆ สอดมือเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายให้นั่งขึ้น แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้ก่อนจะนั่งด้านหลังเริ่มหวีผมให้ตามกิจวัติเช่นทุกเช้า “วันนี้ข้าจะออกไปข้างนอกทั้งวันนะ” หลินหยาเอ่ยขึ้นขณะใช้หวีไม้ช้า ๆ เกลาผมสีน้ำตาลเข้มของหรงเล่อ “ข้าจะไปเดินตลาดกับร้านแถวถนนสิบลี้ แวะซื้อของนิดหน่อย แล้วก็…” เธอหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตาลงยิ้ม “ข้ากำลังเริ่มเบื่อกับการอยู่เฉย ๆ แล้วล่ะ คิดอยู่ว่า...อยากลองทำอะไรที่ไม่เหนื่อยมากบ้าง ลองเป็นแม่ค้าตัวเล็ก ๆ ดูจะเป็นไรไป มันอาจจะสนุกก็ได้”


หรงเล่อที่ตอนแรกยังง่วง ๆ อยู่เริ่มลืมตากว้างขึ้นตอนที่หลินหยาเอ่ยเรื่องนั้น “แม่ค้ารึ? ข้าคิดว่าเจ้าจะไปเปิดหอรำ หอดนตรีหรือลอบขายขนมใต้ดินเสียอีก”


หลินหยาหัวเราะเสียงใสทันที “เจ้าเห็นข้าเป็นพวกนั้นรึไง!” หรงเล่อหัวเราะตามก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ถ้าเจ้าอยากทำจริง ๆ ทำไมไม่ไปช่วยงานที่ร้านของท่านพ่อข้าล่ะ? ยังไงร้านนั้นก็...ใหญ่ มั่นคง แล้วก็สะอาดสะอ้าน เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากด้วย แถมอยู่ในสายตาของท่านพ่อตลอดเลยด้วยนะ”


หลินหยานิ่งไปครู่ ก่อนจะทำหน้ามุ่ยราวเด็กที่ได้ยินชื่อขนมที่ไม่อยากกิน “เจ้าลืมหรือเปล่า...ร้านพ่อเจ้าเป็นร้านขายเต้าหู้...เต้าหู้ทั้งร้าน...” หลินหยาเบ้ปากแล้วเอียงหน้าอย่างเวทนาตัวเองยิ่งนัก “หากไปทำงานร้านเขาจริง..ข้าล่ะอยากถามเขาเหลือเกินว่าจะจ้างข้าไปเฝ้าร้านหรือส่งข้าไปตายทางอ้อมกันแน่ แค่เดินเข้าไปละออถั่วเหลืองเวลาทำก็แทบทำให้ข้าสิ้นชีพแล้วละมั้ง”


หรงเล่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ “ก็จริงของเจ้า...ถั่วเหลืองก็คือปีศาจร้ายของหลินหยานี่นา” หลินหยาแกล้งทำเสียงเข้ม “ปีศาจร้ายเรอะ…เจ้าว่ามันเบาไป ข้ามันเหมือน...เหมือนกำลังจะระเบิดตายได้ลิ้มลองเข้าปากสักคำ!” แล้วสองสาวก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ขณะที่หลินหยายังคงหวีผมให้หรงเล่ออย่างใจเย็น บทสนทนาเบาสบายยามเช้า กลิ่นหอมจาง ๆ จากน้ำมันหอมในห้อง และแสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง ทำให้เช้านี้เป็นเหมือนช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่อบอุ่นและเรียบง่ายอย่างที่ทั้งสองคนต่างโหยหา 


หลังจากนั้นขณะหลินหยากำลังติดกระดุมเสื้อคลุมบางตัวสุดท้าย เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหรงเล่อก็ดังใกล้เข้ามาจากด้านหลัง ธิดาหวยหนานอ๋องในชุดเนื้อผ้าโปร่งยามเช้าเพิ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จใหม่ ๆ เส้นผมยาวสลวยยังเปียกหมาดเล็กน้อย หลินหยาหันมามองอีกฝ่ายแล้วระบายยิ้มบาง ๆ อย่างคนที่รู้สึกอบอุ่นใจ "วันนี้ข้าคงกลับเย็นหน่อยนะ จะไปเดินดูร้านค้าที่ตลาด คิดไว้ว่าจะลองไปยื่นป้ายขอเป็นแม่ค้าดูด้วย" เธอว่าพลางยื่นมือไปตรงหน้าหรงเล่อ นิ้วก้อยขาวจิ๋วยกขึ้นขยับไปมา 


"แต่ก่อนจะไป ข้ามีอย่างหนึ่งจะสัญญา ข้าจะกลับมาทำขนมสูตรใหม่ให้เจ้ากิน เพราะงั้นห้ามหน้างอนะตกลงไหม?” หรงเล่อหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ดวงหน้าที่เคยดูงามแบบสุภาพเรียบเฉยยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น บัดนี้กลับแต้มรอยยิ้มบางใสซื่อ เมื่อเห็นนิ้วก้อยนั้นยื่นมาตรงหน้า นางก็ยื่นนิ้วตนเองมาเกี้ยวสอดเข้าอย่างไม่ลังเล “รับปากแล้ว เจ้าได้ทำขนมเป็นเข่งใหญ่แน่นอนข้าจะกินให้หมดเลย” หรงเล่อว่าพลางพยักหน้าอย่างคนที่เอาจริงตามคำสัญญา


หลินหยาขยิบตาข้างหนึ่ง ยิ้มกว้างราวกับอุ่นไปถึงกลางใจ แล้วก็คลายมือนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถามต่อ “ว่าแต่…วันนี้เจ้าจะไปไหนหรือ?”


หรงเล่อยกปลายผมขึ้นซับน้ำเบา ๆ พลางตอบเสียงเรียบ “ข้ากะว่าจะกลับเข้าไปที่จวนหวยหนานอ๋องในเมืองฉางอันเสียหน่อย คงโดนพวกสาวใช้ลากตัวไปไหนมาไหนนั้นแหละ…เห่อเกิดเป็นสตรีช่างลำบาก” แต่พอหลินหยาได้ยินเธอก็เลิกคิ้วอย่างสนใจทันที “จวนหวยหนานอ๋องในเมืองฉางอันรึ? ปกติ…ท่านหลิวอันพักที่นั่นเหรอ?”


“ใช่ ตอนพักผ่อน ท่านพ่อมักไปอยู่ที่นั่น เพราะเงียบกว่าทางราชสำนัก แต่ตอนเจ้ามาอยู่บ้านหลังนี้...ท่านพ่อก็มานอนที่นี่ทุกคืน” หรงเล่อพยักหน้าช้า ๆ แล้วเล่าให้หลินหยาฟังแต่คำพูดนั้นทำให้หลินหยากะพริบตาปริบ ๆ เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยเบา ๆ “หืม...ทุกคืนเลยหรือ?”


หรงเล่อพยักหน้ารับอีกครั้ง ใบหน้าไม่ได้เผยความหมายใดพิเศษ นางแค่พูดตามความเป็นจริงด้วยความคุ้นเคยในแบบบุตรสาว “ตอนเช้ามืดท่านพ่อก็จะออกไปก่อน ข้ากับเจ้ายังไม่ทันตื่นเลยด้วยซ้ำเลยมั้ง? เห็นบ่าวบอกว่าท่านกลับไปทำราชการที่จวนใหญ่แต่เช้า…เคร่งครัดเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”


หลินหยาเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะแปลกใจ แต่เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกได้ถึงภาพของบุรุษเงียบขรึมผู้หนึ่งที่ก้าวยาวมั่นคงในยามเช้ามืด ท่ามกลางหมอกบางของฉางอันโดยไม่มีใครเห็น หรือพูดให้ถูกไม่มีใครทันเห็นเลยต่างหาก “…ท่านพ่อเจ้าคงเป็นคนที่วางแผนเวลาชีวิตได้เที่ยงตรงกว่าหอนาฬิกาวังหลวงอีกนะ…” หลินหยาอดพึมพำไม่ได้ หรงเล่อหัวเราะนิด ๆ พลางพยักหน้าอีกครั้งเพราะมันเป็นจริงตามนั้นแน่นอน 



@Admin 


พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่

อื่น ๆ: พบและพูดคุยกับ NPC ตัวประกอบ หลิว หรงเล่อ

รางวัล: -


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 28493 ไบต์และได้รับ 16 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 02:54
โพสต์ 28,493 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 02:54
โพสต์ 28,493 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 02:54
โพสต์ 28,493 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 02:54
โพสต์ 28,493 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +10 ความโหด จาก ขลุ่ย  โพสต์ 2025-7-4 02:54
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
โพสต์ 2025-7-4 22:04:45 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย LinYa เมื่อ 2025-7-5 04:31


วันที่ 04 เดือน 6 รัชศกเจี้ยนหยวน ปีที่ 11

ยามไห่ เวลา 21.00 - 23.00 น. ณ ถนนสิบลี้ บ้านหลังเล็ก คุณชายอันเล่อ


ลมค่ำคืนพัดเอื่อยเฉื่อยผ่านหน้าต่างบานเล็กที่แง้มอยู่ กลิ่นหวานของดอกไม้ยามราตรีลอยแผ่วเข้ามาในห้องโถงของบ้านหลังเล็ก บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงแสงตะเกียงอ่อนเรืองรองที่สาดไล้ไปตามไม้เก่ากลิ่นชื้นอ่อน ๆ พอจะรู้ว่านี่คือบ้านของคนที่ชอบหลบสายตาผู้คนและใจตัวเองมาโดยตลอด หลินหยาที่เดินเข้ามาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือค่อย ๆ วางของลงแล้วบิดขาไปมา ดวงตายังเป็นประกายราวกับไม่มีวี่แววว่าเธอจะเหนื่อยเลยสักนิด


"คืนนี้หรงเล่อนอนที่จวนใหญ่ของท่านในฉางอันสินะเจ้าคะ?...ข้าเหงาแปลก ๆ แฮะ" นางพูดลอย ๆ แต่เสียงยังสดใสราวกับสาวน้อยวัยเพิ่งหลุดจากงานเทศกาล นางเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ลมหายใจของเขายังคงสม่ำเสมอ สงบและหนักแน่นเช่นเคยแม้ในยามที่ไม่มีใคร นางย่อตัวลงข้างหลังเขาอย่างคล่องแคล่ว แล้วเอื้อมมือจับไหล่เขาเบา ๆ ก่อนโน้มหน้าไปกระซิบเสียงหวานหยอดใส่หูข้างหนึ่ง


"ท่าน คืนนี้ช่วยข้าทำขนมหน่อยสิ~ ข้าจะทำขนมให้หรงเล่อ แล้วก็จะทำเผื่อท่านด้วย ทำสองเท่าเลย ข้าไม่ได้บังคับท่านหรอกน่าานะ แต่…" นางหยุดกะพริบตาปริบ ๆ อย่างรู้ตัวว่ากำลังทำตัวน่าตบให้หันไปอีกทางหนึ่ง "แต่ถ้าท่านไม่ช่วย...ก็อดกินนะคะ ขนมไหมฟ้า...ขนมหลี่โต้วเกา...กับขนมคอเป็ด...ไม่อยากกินสักนิดหน่อยเลยหรือเจ้าคะ~" ปลายนิ้วกดเบา ๆ ที่ไหล่ของชายหนุ่มคล้ายจะเร้าใจขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับแมวตัวน้อยที่กำลังอ้อนขอของโปรด สะโพกกระดกนิด ๆ อย่างเผลอตัว


หลิวอันไม่ได้หันมามอง แต่เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย "...ตอนนี้ดึกแล้ว" บอกนางแบบคนที่เริ่มงงว่าทำไมวันนี้หลินหยาดูอ้อนบ่อยผิดปกติ แต่เอาความจริงนางเดาอารมณ์ไม่เคยได้อารมณ์เปลี่ยนราวกับพายุหรือสายลมฤดูใบไม้ผลิ


"ข้ารู้~ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เที่ยงคืนนะ"


"เจ้ามันขี้เซา พรุ่งนี้จะลุกไม่ไหว"


"ท่านก็ปลุกข้าสิ~ หรือท่านไม่กล้า?" คราวนี้หลินหยาโน้มตัวมาอีกนิด เอาคางเกยบนไหล่เขา หน้าแก้มปัดเบา ๆ กับต้นคอของอีกฝ่ายพลางทำเสียงง้องแง้งราวกับแมวขี้อ้อนในคืนไร้จันทร์ "นะคะ ท่านเจ้าขา~ ข้าจะสอนท่านทำไหมฟ้าเองนะ เอาน้ำผึ้งมากวนแล้วต้องขึงเส้นแบบนี้แล้วก็แบบนี้เลย" ว่าพลางทำท่ามือไปมาเหมือนแม่ค้าตลาดสายไหม


…ใกล้เกินไป…ชายหนุ่มที่ดูเย็นชามาทั้งวันถอนหายใจเงียบ ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นเขาจึงค่อยลุกขึ้นช้า ๆ ราวกับจักรพรรดิผู้ยอมสละพระอิฐพระปูนให้ประชาชนมือไว แต่ความจริงแล้วเขาจะหาทางหนีการขยับตัวเข้าหาเขาของนางมากเกินไปตอนนี้ต่างหาก "ดี..เจ้าจะได้รู้ว่าข้าไม่กล้า...หรือแค่ขี้เกียจจะตอบโต้คนดื้อรั้นอย่างเจ้า"


"เย่~!" เสียงดีใจใสแจ๋วดังขึ้นทันทีในครัวกลางดึก หญิงสาววิ่งไปจัดเตรียมอุปกรณ์ทันทีเหมือนเตรียมออกรบ ส่วนเขาก็เดินตามไปเงียบ ๆ อย่างเหนื่อยใจแต่สุดท้ายก็ยอม…เพราะเขารู้ดี ว่าในคืนนี้ แค่ได้อยู่เคียงข้างนางเงียบ ๆ แม้จะต้องทำขนมปั้นแป้งกลางดึก


เสียงกวนแป้งและน้ำตาลกระทบกันเบา ๆ ดังเป็นจังหวะในห้องครัวเล็กแห่งบ้านหลังนั้น กลิ่นหวานหอมของน้ำผึ้งและงาคั่วลอยคลุ้ง ผสมกับกลิ่นอุ่นอวลของดอกไม้ที่ยังติดตามชายเสื้อของหญิงสาวที่ยืนข้าง ๆ แสงตะเกียงสลัววาบไล้บนผิวขาวสะอาดของหลินหยา แววตานางเป็นประกายเมื่อจดจ่ออยู่กับการคลึงแป้งที่นวดได้เนียนนุ่มเหมือนสัมผัสของก้อนเมฆในหน้าร้อน มือเรียวที่เปื้อนแป้งขาว ๆ ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรังเกียจแม้แต่น้อย เธอหัวเราะคิกเบา ๆ แล้วขยับเข้ามาใกล้เขาเพียงนิด “แป้งนี้มันยังไม่เนียนเท่าที่ข้าต้องการเลย ขอยืมมือท่านหน่อยนะเจ้าคะ” เสียงใสแจ๋วเอ่ยขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือของเขาขึ้นมาแนบกับแป้งโดยไม่รอฟังคำตอบ มือนุ่มของเธอทาบซ้อนกับฝ่ามือหนาของเขา คลึงนวดไปตามแรงที่ส่งลงผิวแป้งในอ่างไม้ สัมผัสตรงนั้นถึงจะผ่านเนื้อแป้ง แต่กลับเหมือนประทับลึกลงในอกของเขาอย่างยากจะลบเลือน


หลิวอันยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเฉยในแบบฉบับของเขาทว่าในอกกลับร้อนรุ่มดุจเตาที่กองฟืนไว้เต็มพิกัด มุมตาคอยจับจ้องเธอเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ โดยเฉพาะเจ้าตัวดีที่กำลังยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา ยิ่งเวลาหลินหยาก้มหน้าก้มตาไปบดงาด้วยครกหินเส้นผมยาวเพียงประบ่าของนางไหลลงข้างแก้มลมหายใจระเรื่อเอื้อนผ่านริมฝีปากที่ขบกันเบา ๆ พลางจ้องครกอย่างจดจ่อ…เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้เหมือนจะคับแคบขึ้นทุกที


บ้าชะมัด…ทำไมมือของนางถึงนุ่มนักปกติตอนจับยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ทำไมกลิ่นของนางถึงหวานนัก ทำไมเสียงหัวเราะนางถึงกวนใจถึงเพียงนี้ นางอาจไม่รู้ตัวว่าทุกสัมผัสเล็กน้อยล้วนทำให้ใจเขาเตลิดเหมือนเสือที่โดนมัดไว้แล้วปล่อยให้กลิ่นเหยื่อคอยหลอกหลอนกลางค่ำคืน หลิวอันหันหน้าหลบในที่สุดสูดลมหายใจลึกอย่างต้องการระบายความปั่นป่วนนั้นแล้วกล่าวเสียงเย็นชานิด ๆ แต่แฝงความห้วนแปลกประหลาด “เจ้าทำแป้งเปื้อนแขนข้าแล้ว”


หลินหยาเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตากลมโตส่องประกายเงางามในแสงตะเกียง นางหลุดหัวเราะ “งั้นท่านก็ล้างเองสิเจ้าคะ ข้าไม่ได้หยิบแขนท่านไปจุ่มเองเสียหน่อย!” เขาเหล่มองเธอเล็กน้อยก่อนจะหันไปล้างมือตรงตุ่มน้ำ พ่นลมหายใจออกเบา ๆ…เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทนได้นานแค่ไหนหากคืนนี้ต้องยืนทำขนมอยู่ข้างนางแบบนี้ข้างหญิงสาวที่รู้จักกลิ่นของทุกสิ่งยกเว้นกลิ่นหัวใจ


เสียงไฟในเตาตะเกียงเต้นเร่าเบา ๆ ขณะขนมชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกจัดวางเรียงบนถาดไม้ หอมฟุ้งไปทั่วทั้งห้องครัวกลางค่ำคืน เงาอ่อนจากเปลวตะเกียงทอดลงบนแก้มของหญิงสาวที่นั่งพิงอยู่ข้าง ๆ ร่างสูง ความเหนื่อยจากการต้ม บด นวดและอบนั้นคล้ายจะปลิดออกจากหัวใจหลินหยาไปหมดสิ้นเมื่อได้กลิ่นหวานอุ่น ๆ จากขนมของเธอเอง กับการที่ไม่มีเสียงวุ่นวายใดมารบกวนโลกใบเล็กของคืนนี้ หลิวอันนั่งข้างกัน แผ่นหลังตรงทระนงเสมอแม้ยามพัก กลิ่นเต้าหู้กับใบไม้แห้งในเสื้อเขาเจือปนกับกลิ่นน้ำผึ้งและงาขาวจากตัวเธอเป็นกลิ่นที่ไม่รู้ว่าอบอุ่นเพราะฤดูกาลหรือเพราะอะไรแน่


"จะว่าไป..ข้าจำได้ว่าขนมแต่ละชนิดจะสื่อถึงอารมณ์ด้วยนะเจ้าคะข้าไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยเจ้าค่ะ" เสียงหลินหยาเบาราวกับเสียงกระซิบในฝัน นางมองขนมแต่ละชิ้นที่เรียงบนถาดด้วยแววตาฉ่ำแสง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ พลางพูดต่อ "มีคนเคยบอกว่า...ขนมแต่ละอย่างเหมือนสื่อถึงอารมณ์ แต่ข้าว่านะถ้าคิดแบบนั้นทุกครั้งก่อนทำข้าคงปวดหัวตายก่อนจะได้กิน" 


เซาปิ่ง (เปลือกกรอบไส้หวาน) → ความสุขเรียบง่าย

บัวหิมะ (เย็นนุ่ม) → ความสงบเย็น

ไหมฟ้า (หวานละลาย) → ความอ่อนไหว

กุ้ยฮวา (ดอกไม้หอม) → ความอ่อนหวาน

หลี่โต้วเกา (เหนียวหนึบ) → ความผูกพัน

คอเป็ด (กรุบกรอบ) → ความเข้มแข็งภายนอก

ไร้กังวล (เบาเหมือนขนนก) → ความปล่อยวาง ฯลฯ


นางหัวเราะเบา ๆ กลั้วลมหายใจ ขณะเอนตัวเอียงหัวพิงลงบนไหล่ของเขาอย่างเงียบงันโดยไม่ทันคิด เสียงกึกเบา ๆ ของถ้วยไม้ในมือหลิวอันหยุดชั่วขณะแขนที่วางสงบข้างลำตัวนั้นตึงเครียดน้อย ๆ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ...แต่เพราะรับมือไม่ถูก ไหล่เขาแน่นและอบอุ่นนิ่งราวกับภูผาแต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยในแบบที่ไม่ต้องพูดออกมาหลินหยาไม่รู้ว่าเขาขยับตัวเล็กน้อยเหมือนจะหันไปมอง หรือแค่เป็นภาพหลอนจากเปลวไฟที่วูบไหว


"ข้าทำเพราะอยากให้คนกินยิ้มได้ก็พอเจ้าค่ะ...บางครั้งมันก็เท่านั้นขนมก็เป็นแค่ขนมไม่ต้องเป็นสัญลักษณ์ของอะไรทั้งนั้นก็ได้ จริงไหมเจ้าคะ?" นางพูดต่อ ขณะยังพิงไหล่เขาอยู่นั่นแหละ เสียงเนือยเบาแต่มีความสุข หลิวอันไม่ตอบอะไรเขาแค่ก้มหน้าลงเพียงเสี้ยวแล้วมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเบา ๆ น้อยกว่าสายลมเฉียดผ่านแต่มากพอจะทำให้หัวใจของชายผู้เย็นชา...วาบอุ่นคล้ายจะละลายไปกับเสียงลมหายใจของนางที่ซบอยู่ตรงบ่า


เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดเพียงประโยคสั้น ๆ “เช่นนั้นเจ้าก็คงจะเป็นขนมที่หวานที่สุดแล้ว” และไม่มีใครรู้ว่า เขาหมายถึงรสชาติของขนม...หรือรสชาติของใครบางคนกันแน่ แต่สำหรับหลินหยาเธอกลับหัวเราะร่าออกมาแบบร่าเริงหลินหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พลางหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินประโยคของเขา เสียงหัวเราะของนางเบาและชุ่มราวกับน้ำผึ้งละลายกับสายลม แต่กลับแฝงด้วยความซนเจ้าเล่ห์ที่มีเสน่ห์จนเหมือนเสียงนั้นกรีดแทงลงไปในหัวใจคนฟังโดยไม่ตั้งใจ


"ข้าไม่อยากเป็นขนมหรอกเจ้าค่ะขนมที่หวานที่สุดอะไรนั้นหรอกเจ้าค่ะ..." หญิงสาวพูดพลางยันตัวขึ้นนิดหนึ่งไม่ซบไหล่อีกคนแล้วดวงตาคมหวานนั้นจับจ้องใบหน้าเขาอย่างตั้งใจ ริมฝีปากสีแดงน้อย ๆ ขยับช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแบบเฉพาะตัว "หากเป็นขนมหวานที่หวานที่สุดน่ะ...กินไปไม่กี่คำก็เลี่ยนจนอาจต้องหาชามาดื่มตัดรสเสียแล้วล่ะเจ้าค่ะ…ข้าอยากเป็นขนมที่อมเปรี้ยวอมหวานกินได้เรื่อย ๆ ไม่มีเบื่อ ไม่จำเป็นต้องหวานจนต้องเก็บฝันหรอกเจ้าค่ะ" ตอนพูดจบนั้นเอง เธอกลับจ้องเขาตาไม่กะพริบเอียงคอเล็กน้อยเหมือนแมวขี้อ้อนที่พอใจกับการได้แหย่เหยื่อเล่นแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าคนที่โดนล่อลวงนั้นคือเสือเฒ่าผู้เคยเยียบเย็นต่อทุกความรู้สึกมานานนับสิบปี


หลิวอันนั่งนิ่งข้างเธอท่าทางราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในอกของเขากลับไม่สงบเลยสักนิด หัวใจที่เคยแห้งผากเหมือนเตาถ่านที่ไร้ควัน กลับสั่นสะเทือนขึ้นมาเหมือนมีใครโยนถ่านแดง ๆ ก้อนหนึ่งลงไปให้กลายเป็นเปลวไฟกะพริบอยู่เงียบ ๆ ในอก สิบปีที่ผ่านมาตั้งแต่เสียใครบางคนไปเขาไม่เคยรู้สึกถึงบางสิ่งแบบนี้อีกเลย ไม่เคยรู้สึกว่าอาการใจเต้นแรงจังหวะที่ขาดไปชั่วครู่ตอนเธอจ้องตาเขามันจะกลับมาอย่างไม่ให้ตั้งตัวได้เช่นนี้ หลิวอันไม่ขยับไม่กระพริบตายังคงเงียบงันเฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ปิดไม่มิดเลยในยามนี้...คือใบหูที่ขึ้นสีอ่อน ๆ ราวกับกลีบพีชปลายฤดู เขาไม่ตอบใด ๆ มีเพียงการเบือนหน้าไปเล็กน้อยเหมือนต้องการหลบสายตานางหรือหลบใจตนเองกันแน่...ก็สุดแล้วแต่


หลังจากที่ขนมทำใกล้เสร็จแล้วหลินหยาเลยให้หลิวอันไปอาบน้ำแต่งกายเพราะเขาทำงานมาทั้งวันคงจะเหนื่อยอยากผ่อนคลาย แต่นางย้ำกับเขาว่าหากอาบเสร็จแล้วอย่าลืมมากินขนมก่อนที่จะนอนด้วยนางจะเตรียมไว้ให้..เวลาใกล้จะล่วงผ่านข้างนอกมืดสนิทจนมีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันที่วางอยู่ตรงมุมห้องครัวบ้านหลังเล็กของอ๋องหลิวอันเท่านั้นที่ให้แสงนวลตา สีส้มอุ่นทอดทอดพาดผ่านไอน้ำที่ลอยกรุ่นจากหม้อตุ๋นใบสุดท้าย และเมื่อเสียงตะเกียบกระทบช้อนเงินเบา ๆ ดังกริ๊ก ภาพเบื้องหน้าก็ชัดเจนขึ้นในทันใด


โต๊ะไม้กลมกลางห้องที่เคยโล่งเปล่า ยามนี้ถูกล้อมรอบด้วยขนมหวานสิบชนิด หลากสีสัน เรียงรายอย่างประณีตไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์หากกลิ่นที่ลอยโชยอยู่ในครัวเล็ก ๆ แห่งนี้กลับชวนให้ความเหนื่อยล้าทั้งวันทั้งคืนแทบละลายลงในพริบตา หลินหยายืนอยู่ข้างโต๊ะสวมผ้ากันเปื้อนดิบธรรมดา ทว่ากลับดูสง่างามจนน่าตะลึงแม้มีคราบแป้งบนแก้มบางข้างหนึ่งเธอหันมายิ้มให้ทันทีที่เขาเดินกลับมาจากการอาบน้ำกลิ่นสบู่สมุนไพรและกลิ่นไม้จันทน์ยังไม่ทันจางจากร่างสูงโปร่งก็ถูกกลิ่นขนมหอมหวานกลบเสียจนหมด


"อาบน้ำเสร็จแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?" นางพูดพร้อมดึงแขนเขาเบา ๆ ให้มานั่งข้าง ๆ "ข้าน่ะ…จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เห็นไหมเจ้าคะ?" ดวงตาหวานหยาดนั้นเปล่งประกายเหมือนแม่น้ำลึกที่ซ่อนแสงดาวเอาไว้ภายใน


“นี่เจ้าจะเลี้ยงข้าให้กลมกลิ้งจนเดินไม่ได้หรืออย่างไร” เขาเอ่ยเรียบ ๆ แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่ถ้วยหนึ่งตรงหน้า สีขาวนวลของน้ำแกงร้อน ๆ กับเต้าหู้อ่อนที่ลอยแผ่ว ๆ มีผลซิ่งเหรินที่ถูกปอกเปลือกเรียบร้อยโรยหน้าอยู่ "ซิ่งเหรินโต้ฟู?" ทันทีที่อ๋องหลิวอันเหมือนเห็นของที่ตนเองชอบหลินหยาก็ระบายยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างเขา หยิบช้อนเล็กและถ้วยมาแล้วค่อย ๆ ตักเนื้อเต้าหู้เข้าไปอย่างบรรจงพลางส่งให้อีกฝ่าย “ข้าตั้งใจทำให้ท่านเลยนะเจ้าคะ เต้าหู้อ่อน ๆ กับน้ำแกงผลไม้ รสไม่จัดมากแต่กินแล้วชุ่มคอ ข้ารู้ว่าท่านชอบของแบบนี้…หรือข้าเดาผิด?”


อ๋องหลิวอันมองเธออย่างนิ่งงันเล็กน้อย ก่อนจะรับถ้วยไปอย่างไม่พูดอะไร มือใหญ่นั้นกระชับช้อนแน่นเสียจนหลินหยานึกขำก็คนอะไรทำเหมือนจะถือดาบลุยสนามรบทั้งที่แค่จะกินขนม เขาตักคำแรกขึ้นจรดริมฝีปาก แทบจะในทันทีที่กลืนลงคอความรู้สึกคล้ายหยาดน้ำค้างเย็นสบายไหลผ่านลำคอก็เกิดขึ้น ช่วยล้างกลิ่นรบเร้าในใจเขาออกไปอย่างน่าอัศจรรย์ จนต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่อยากจะยอมรับว่า… 


“มัน…อร่อย”


หลินหยาหัวเราะคิกทันที “เจ้าค่ะ! อร่อยแน่นอน ข้าอุตส่าห์ใส่ใจทุกขั้นตอนเลยนะ! อ้อ..แล้วก็ไม่ได้แตะเต้าหู้เข้าปากตัวเองด้วยท่านไว้ใจได้เลยไม่ป่วยแน่นอน” เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอแล้วค่อย ๆ ใช้ตะเกียบหยิบขนมเซาปิ่งขึ้นมาเคี้ยวเงียบ ๆ แกล้งทำเป็นไม่เห็นว่าหญิงสาวยิ้มไม่หุบชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะยังคงเคลื่อนไหวช้า ๆ อย่างมั่นคง 


“ข้านึกล่ะเจ้าค่ะท่าน..ที่เราสนิทกันได้...ก็เพราะตอนนั้นท่านเอาเต้าหู้งาดำให้ข้ากินแล้วข้าก็แพ้จนล้มป่วย…จนท่านต้องพาข้ามาดูแลที่นี่”


ตะเกียบในมือเขาหยุดลงกลางคันระหว่างที่กำลังจะคีบขนมเซาปิ่งอีกชิ้น ทันทีที่ถ้อยคำเรียบง่ายนั้นหลุดออกจากริมฝีปากของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลินหยาเอียงหน้ามาทางเขาเล็กน้อย ใบหน้าขาวสะอาดที่สะท้อนแสงตะเกียงนวลตาเผยรอยยิ้มบางปนจริงใจ รอยยิ้มแบบที่เธอไม่ได้หยอกเขา ไม่ได้ยั่ว ไม่ได้เล่น เพียงแค่พูด...ด้วยใจ คำพูดของนางเปล่งเสียงเบานัก แต่กลับเหมือนกระทบในอกของหลิวอันอย่างรุนแรงกว่าที่นางจะรู้ ดวงตาเรียวเฉียบของเขานิ่งสนิท ไม่ได้หันมามองตรง ๆ ทว่าเพียงเหลือบผ่านก็เห็นประกายอ่อนละมุนในดวงตาคู่นั้นของหลินหยาประกายที่ซ่อนความซื่อสัตย์ ความรู้สึกผิด และความซาบซึ้งจนถึงแก่น


“ขอบคุณนะเจ้าคะ……ข้าน่ะ…ตอบแทนให้ท่านได้เท่านี้ หวังว่าท่านจะไม่ว่าอะไรข้านะ” นางพูดพลางยิ้มอีกครั้ง เสียงคำว่าตอบแทนยังค้างอยู่ในอากาศเหมือนกลิ่นดอกกุ้ยฮวาที่ถูกทิ้งไว้กลางคืน ละมุน ซึมลึก และเปราะบางเหลือเกินหญิงสาวนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนขนมบัวหิมะที่เธอทำดูเหมือนเรียบง่ายและเย็นเยียบ แต่ภายในกลับซ่อนอะไรไว้มากมายเกินจะเดา


หลิวอันไม่พูดในทันที เขาวางตะเกียบลงช้า ๆ มือที่วางบนโต๊ะกระชับเล็กน้อย เสียงพึมพำจากริมฝีปากชายที่มักพูดน้อยก็ดังขึ้นชัดเจนพอที่จะได้ยินในห้องเงียบ ๆ “เจ้าตอบแทนด้วยขนมพวกนี้?” เขามองไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยของหวานสิบอย่าง ซึ่งแต่ละชิ้นถูกทำขึ้นด้วยมือของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขาตอนนี้ ทุกชิ้นมีกลิ่นของนาง ทั้งใจของนาง ทั้งรอยยิ้ม ทั้งความเหนื่อย ทั้งความอบอุ่น...แล้วเขาก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “…ข้าไม่ได้ต้องการของตอบแทนอะไรเลย…ตอนที่ข้าพาเจ้ามาข้าเพียงไม่อยากเห็นเจ้า...ตาย” เขาหันหน้ามาทางหลินหยาโดยตรง ดวงตาคู่นั้นไม่ได้เย็นชาอย่างที่เคย แต่กลับอุ่นร้อนจนน่ากลัวในความนิ่ง


“ข้าจะไม่โกรธเจ้า…และข้าก็ไม่ต้องการอะไรจากเจ้า ไม่ต้องตอบแทนไม่ต้องรู้สึกผิดไม่ต้องฝืนใจทำขนมเพื่อข้า” เขาหยุดชั่วครู่ก่อนพูดต่อ “แต่ถ้าเจ้าจะอยู่ที่นี่…แค่อยู่ข้าง ๆ กันเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว”


หลินหยาชะงัก นางกะพริบตาช้า ๆ มองชายตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมาอีกครั้งนางเอนคอเล็กน้อยให้อีกคนระหว่างยกมือขึ้นมาเท้าคางของตนเองตอนอยู่ใกล้ ๆ ท่านหลิวอัน 


“เช่นนั้น...ข้าจะอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ ตรงนี้เลย”



@Admin 



พรสวรรค์: ลาภลอย (ไม้) 

มีโอกาสพบเจออีเว้นท์แปลก ๆ บางอย่างแทรกในเควสที่กำลังทำอยู่


อื่น ๆ: มอบขนม 10 ชนิดให้ หลิวอัน (ส่งให้แอดมิน)

(ขนมเหอฮวาซู ซิ่งเหรินโต้ฟู บัวลอย ขนมหลี่โต้วเกา ขนมคอเป็ด ขนมไร้กังวน ขนมเซาปิ่ง ขนมบัวหิมะ ขนมไหมฟ้า ขนมกุ้ยฮวา)

(โอนละจ้าาอย่าลืมตรวจสอบและกินให้อร่อย)


รางวัล: +2 Point


มอบ ซิ่งเหรินโต้ฟู ขนมว่างเกรดทอง ความสัมพันธ์ +20

อาหารปรุง ความสัมพันธ์ +5

(ใส่ไว้ให้รู้ว่าชาตินี้ฉันเคยมอบของให้หลิวอันเป็นเต้าหู้จากร้านตัวเอง)


รอต่อสินะ เอือกกก


แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 69028 ไบต์และได้รับ 48 EXP! [VIP]  โพสต์ 2025-7-4 22:04
โพสต์ 69,028 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ใบตราพ่อค้าสกุลลู่  โพสต์ 2025-7-4 22:04
โพสต์ 69,028 ไบต์และได้รับ +10 EXP +1 Point +25 คุณธรรม +15 ความโหด จาก คนดวงแข็ง  โพสต์ 2025-7-4 22:04
โพสต์ 69,028 ไบต์และได้รับ +10 EXP +25 คุณธรรม +20 ความโหด จาก กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)  โพสต์ 2025-7-4 22:04
โพสต์ 69,028 ไบต์และได้รับ +10 คุณธรรม จาก ทักษะนักดนตรีข้างถนน  โพสต์ 2025-7-4 22:04
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
แหวนดาราจรัส(D2)
ตำราอาหารลับของเสี่ยวจ้าวจื่อ
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา
ยอดคีตศิลป์
ปราณกระเรียนขาว(ไม้)
ดาวนำโชค
ขลุ่ยพันธะในเงาศาลา
พลั่ว
กระเป๋าเจ็ดขุมทรัพย์(D)
ทักษะผู้ขี่มังกรตะวันตก
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x20
x15
x20
x52
x50
x25
x182
x1
x4
x4
x44
x1
x2
x2
x10
x10
x34
x2
x1
x122
x2
x18
x14
x5
x13
x60
x16
x49
x48
x74
x1
x1
x114
x2
x6
x1
x1
x1
x3
x9
x5
x3
x2
x1
x6
x6
x10
x5
x132
x40
x19
x7
x15
x42
x4
x1
x1
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้