ทิวทัศน์ของพระราชวังต้องห้ามล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงสี่ทิศชวนให้ผู้คนอึดอัด
ใบหน้าของหลงเยวี่ยประทินโฉมอย่างงดงาม วงคิ้วทรงสายมุกขับให้ดวงตาเรียวยาวของนางแลดูเฉี่ยวคม ปิ่นประดับมุกห้อยระย้าคลอเคลียดวงหน้าล้วนทำจากเครื่องเงินและพลอยงดงาม ยามขยับร่างกายระย้าไข่มุกจะกระทบกันเกิดเสียงกังวานราวกับแว่วเสียงสกุณาร้องระบำ พัดกลมลายวิหคเกี้ยวดอกเบญจมาศในมือโบกพัดเบาๆ โอบควันขาวบางของไอเย็นที่ลอยกำจายออกมาจากน้ำแข็งสู่กาย
ในพระตำหนักเล็กเมิ่งเหยาไม่มีบ่าวไพร่คนใดกล้าสบตานางสักคน จนถึงวันนี้หลินกูกู่ก็ยังมาตบปากและตีมือนางกำนัลทั้งสามอยู่ทุกวัน จึงมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ
จือซินถือพัดอีกตัวโบกให้หลงเยวี่ยเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงสุขุม “คุณหนูเจ้าคะ อีกไม่นานก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไท่โฮ่ว นี่เป็นงานใหญ่ของราชสำนักฝ่ายในที่เพิ่งจัดหลังมีการคัดเลือกสาวงามเข้าวัง เรื่องของขวัญจะต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
สิ่งของล้ำค่ามากมายที่หลงเยวี่ยเคยเห็นล้วนไม่อยู่ในสายพระเนตรของไท่โฮ่ว วังหลวงเปี่ยมด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่า นางในยามนี้ก็ยังคงคิดไม่ตกว่าจะถวายสิ่งใด
จือซินเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตั้งแต่เด็ก ดื่มนมร่วมเต้าจากแม่นมคนเดียวกันมา นอกจากจะนับถือกันเป็นนายบ่าวแล้ว ยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นราวกับพี่น้องร่วมอุทร จะสิ่งใดหลงเยวี่ยก็ฟังคำของนางถึงเจ็ดส่วน
“ไท่โฮ่วเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ทุกสัปดาห์จะสวดมนต์ภาวนาให้แผ่นดินและฝ่าบาทอยู่เสมอ ช่างคล้ายคลึงกับนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเรา ท่านมักจะคัดอักษรเผาถวายแก่สัจจเทพอี๋เหออยู่เสมอ”
“คัดบทสวดขอพรหรือ?” หลงเยวี่ยเคยคัดบทสวดมนต์อยู่หลายครา เพื่อขอพรให้บรรพบุรุษที่สิ้นไปและขอให้พระอรหันต์และทวยเทพคุ้มครองสกุลตวนมู่ แม้นางจะมิได้เชื่อจนหมดใจ แต่ก็ยินดีทำหวังให้ท่านย่าคลายความเศร้าโศกลงบ้าง
“เจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความกตัญญูของคุณหนู ยังแสดงถึงปณิธานและความตั้งใจของท่าน”
“อืม” หลงเยวี่ยวางพัดลง “เจ้าคิดได้ละเอียดรอบคอบ ไปเตรียมกระดาษกับพู่กันให้ข้า”
การคัดบทสวดมนต์แม้จะง่าย แต่เนื่องจากนิยมให้เปี่ยมด้วยความมงคล จึงต้องคัดบทสวดจำนวน 88 บท ให้ได้ 88 รอบ เปลืองเวลาเป็นอย่างยิ่ง หากไม่เร่งคัดตั้งแต่วันนี้คงจะไม่ทันวันจัดงานวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็นแน่
ห้องอบอุ่นทางด้านข้างเรือนเล็กของหลงเยวี่ยถูกเปลี่ยนเป็นห้องอักษรชั่วคราว ตั่งนั่งไม้จันทน์มีกลิ่นหอมอ่อนหวานโชยอย่างบางเบา ชวนให้ผู้คนสงบใจ พู่กัน แท่นหมึก และกระดาษอีกหลายแผ่น
หลงเยวี่ยนั่งหลังเหยียดตรง อักษรวุ่นวายทำให้นางปวดตาเล็กน้อย
ปลายพู่กันจรดลงบนแผ่นกระดาษ... เขียนบทที่หนึ่ง “ขอนอบน้อมบูชาด้วยชีวิต พระเทวะราชาผู้สถิต ณ กึ่งกลางแห่งสวรรค์ สี่มหาบรรพตเข้าเฝ้าสรวงสวรรค์ ก่อตั้งสายใยแห่งชีวิตทั้งห้า ยังชีวิตให้แก่ประชาชนนับหมื่นนับแต่โบราณกาล รากฐานทะลุไปยังยอดแห่งปฐพี เดิมคือความศักดิ์สิทธิ์สีขาวแห่งสวรรค์ สยบดาวอวมงคลร้ายทั่งแปดทิศ ประทานความสุขให้แก่ทิศทั้งสี่ มหาเมตตามหาอริยะ มหาปณิธาน มหากรุณา ปกครองปฐพีทั้งห้าทิศ ขุนเขากลาง ใจกลางสวรรค์ มหาผาสุกบรมอริยะราชันย์ ทหารอากาศยิ่งใหญ่กว้างขวางมิอาจประมาณ สัจจะบุรุษผู้กำหนดการคำนวณ มหาเทพผู้ดูแลศูนย์กลางสวรรค์ผู้ทรงประทับ ณ ทิศกลาง”
“ขอน้อมบูชาด้วยคำสัตย์ พึ่งน้อมใจกลายเป็นคุณธรรมทั้งมวลบนดินแดนแห่งนิรันดร์ ตั้งมั่นปกครองความชั่วร้ายทุกเหล่าในดินแดนมิคสัญญี สัจจเทพผู้ประทับในวจนะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งสัตตะสวรรค์หัตถ์ มหาเทพผู้เจิดผู้ปกปักษ์สรวงสวรรค์ ขอน้อมนอมสักการะภาวนาแด่ท่าน”
บทสวดมนต์แปดสิบแปดบทไม่สามารถคัดเสร็จได้ในหนึ่งวัน หลงเยวี่ยคัดอักษรสามวันติดกันอย่างขะมักเขม้นจนเจ็บข้อมือ นัยน์ตาทั้งสองข้างปวดล้าจากการใช้สายตาในเวลากลางคืนร่วมด้วย
และเพราะเป็นการคัดเพื่อถวายกุศลนางจึงตั่งมั่นรักษาศีลจนกว่าจะคัดเสร็จ นุ่งห่มอาภรณ์เรียบง่ายและรับประทานอาหารเจ จนช่วงยามดึกของวันที่เจ็ดจือซินก็เดินเข้ามาด้านในห้อง “เกรงว่าเสียงทำโทษบ่าวที่ทำผิดกฎจะรบกวนนาง บ่าวจึงบังอาจก้าวล่วงคำสั่งของท่าน สั่งให้หลินกูกู่ยกเลิกโทษของพวกนางเพื่อมิให้ขัดต่อลางอันเป็นมงคล”
นางเอ่ยพลางวางชาดอกเบญจมาศลงด้านข้าง “เจ้ามารบกวนข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้หรือ” หลงเยวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ ฝีพู่กันป่ายปัดใต้แสงเทียน เงาข้อมืออันวูบไหวแลดูคล้ายกิ่งไหวเอนส่าย หลงเยวี่ยจดจ่อเพียงการคัดอักษรให้ทันเวลาในวันที่สิบแห่งเดือนแปด ย่อมไม่มีแก่ใจจะสนใจเรื่องบ่าวไพร่ งานใดในตำหนักเล็กก็ให้อำนาจแก่จือซินจัดการแทน แม้แต่หัวหน้าบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลตำหนักย่อยของนางก็ยังต้องฟังคำสั่งจือซิน
นางกำนัลทั้งสามถูกลงโทษสามวันจนมือแตกปากระบม แม้จะนึกแค้นเคืองก็ยังขอบคุณสวรรค์อยู่ลึกๆ ที่มีงานเฉลิงฉลองจัดขึ้นปาดหน้า เพราะเกรงว่าหาต้องรับทัณฑ์นี้ไปจนครบสิบวันจริงๆ แม้แต่ฟันก็คงจะไม่เหลือไว้ให้เคี้ยวข้าว
จือซินมีไหวพริบดี เห็นหลงเยวี่ยไม่ถือสาก็ไม่ทำให้นางขุ่นใจอีก ประคอองถ้วยชาร้อนส่งถึงมือนาง “กลางวันอากาศร้อน ท่านยืนยันไม่ใช้น้ำแข็งป้องกันกระดาษชื้น ตกกลางคืนจะจุดไฟให้ความอบอุ่นก็เกรงกระดาษจะไหม้ ในอดีตผู้บำเพ็ญธรรมในศาสนาพุทธแม้จะไม่ดื่มกินอาหารหลังตะวันคล้อย แต่ก็ยังดื่มน้ำปานะผลไม้เพื่อบรรเทาความกระหาย นายหญิงน้อยบ่าวนำผลเหง้าบัวมาคั้นเป็นน้ำสดๆ ให้ท่านดื่ม ลองจิบดูจะทำให้สดชื่นขึ้นนะเจ้าคะ”
หลงเยวี่ยดื่มน้ำจากผลเหง้าบัวแล้วจึงคัดอักษรต่อ มาถึงบัดนี้ก็ผ่านมาจะครึ่งทางแล้ว เดิมทีจือซินอาสาจะเป็นผู้คัดให้เอง เพียงแต่การทำสิ่งนี้จะต้องทำจากใจจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ไท่โฮ่วนับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของนางจึงไม่อาจทำอย่างขอไปที่
พู่กันขนแกะสำหรับคัดอักษรซึ่งพลิ้วไหวประดุจสายธาร จรดลงอย่างคงที่สม่ำเสมอ
หยิน-หยางแยกสุริยันจันทรากาศ
เบญจธาตุหลอมรวมดินฟ้าประสาน
มหาคุณธรรมเสกสร้างจักรวาล
ปัญญาญาณหยั่งได้ด้วยจิตรี
ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุไม้แห่งทิศตะวันออก
ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุไฟแห่งทิศใต้
ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุดินแห่งทิศเบื้องกลาง
ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุทองแห่งทิศตะวันตก
ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุน้ำแห่งทิศเหนือ
ขออัญเชิญปวงทวยเทพยดาทั้งหลาย
เนื่องจากต้องการคัดบทสวดมนต์เพื่อขอพร ช่วงเวลาหลายวันนี้หลงเยวี่ยจึงไม่ได้ออกจากตำหนักเมิ่งเหยา แม้แต่ตำหนักย่อยของตนเองก็มิได้ก้าวออกไปสักครึ่งก้าวเก็บตัวอย่างเงียบสงบราวกับเป็นเพียงอากาศธาตุในพระราชวังอันยิ่งใหญ่
บรรดาข่าวสารมากมายกวนใจ บ่าวในตำหนักได้รับบทเรียนแล้วจึงไม่กล้าพูดพล่อยๆ กระนั้นบรรยากาศก็ยังคลายความตึงเครียดลงมามาก ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบ จือซินเองแม้จะได้ยินข่าวจากภายนอกมากมาย แต่ใคร่ครวญแล้วก็ไม่ให้ผู้ใดเอ่ยปากเพื่อรักษาความสงบของนายหญิง ล่วงเข้าวันที่แปดแล้ว อีกเพียงสองวันก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไท่โฮ่ว
“ช่วงนี้นายหญิงมีเวลานอนพักไม่ถึงวันละสองชั่วยาม จึงให้หมอหลวงช่วยจัดยาบำรุงและทำอาหารว่างที่มีรสชาติติดเปรี้ยวให้นายหญิงได้ลิ้มลอง” จือซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าหลงเยวี่ยกินอะไรไม่ลง นางชอบกินของคาวมาแต่เด็กต้องเว้นจากอาหารที่มีเนื้อสัตว์ก็ทำให้ร่างกายไม่สบายตัว ไร้เรี่ยวแรงกว่าแต่ก่อน
นางเหยียดแขนออกไปที่ด้านข้างวางอิงลงบนหมอนให้นางกำนัลในตำหนักช่วยบีบนวดให้คลายความเมื่อยล้า จือซินวางชาเบญจมาศเติมน้ำแข็งลงกลางมือของหลงเยวี่ย แล้วเปลี่ยนมานวดคลึงศีรษะให้นางเบาๆ
หลงเยวี่ยหลับตาลง “ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วหรือ?” หลงเยวี่ยสับสนเรื่องวันเวลาเล็กน้อย นางจึงหลงลืมไปว่าฝ่าบาทเสด็จประพาสที่อุทยานล่าสัตว์เพียงสามวันเท่านั้น
นางยกรอยยิ้มขึ้นแค่นเสียงอย่างไม่เหมาะสมสักเท่าไร “คงจะพักที่ตำหนักของลู่เจี๋ยอวี๋ล่ะสิ…” จือซินเงียบบเสียงลง เวลานี้ลู่เจี๋ยอวี๋เลื่อนขั้นเป็นเจาอี๋แล้ว เพียงแต่พระตำหนักเล็กเมิ่งเหยาซึ่งตอนนี้มีเพียงหลงเยวี่ยเก็บตัวจนแทบจะเรียกได้ว่าปิดตาย เรื่องอวมงคลไม่กล้าพูด เรื่องมงคลก่อนจะพูดก็ยังต้องดูสีหน้าเจ้านายก่อน เมื่อตัดสินชี้ขาดได้ยากว่าควรพูดหรือไม่ เพื่อมิให้นายหญิงที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ขุ่นเคืองจนมีภัยมาสู่ตน จึงเลือกที่จะไม่พูด
จือซินประคองถ้วยชาออกจากมือของหลงเยวี่ย ถ้วยชาลายครามวาดลายสัตตบงกชงดงามนี้นางจำได้ว่าหลงเยวี่ยโปรดปรานมาก จึงถือออกมาวางให้ห่างจากนาง “เจ้าค่ะ” จือซินมีสีหน้าอึกอัก หลงเยวี่ยขมวดคิ้วนางไม่ชมชอบสีหน้าเช่นนี้เป็นที่สุด “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น!”
จือซินมีรอยยิ้มเย็นชืดประดับที่ริมฝีปาก “เวลานี้เป็นลู่เจาอี๋แล้วเจ้าค่ะ”
หลงเยวี่ยเบิกตากว้างดวงตาสั่นไหวอย่างสุดจะกลั้น ฝ่ามือกำแน่นราวกับจะจิกให้ถึงเนื้อ ดวงหน้าปรากฏรอยประหวั่นพรั่นพรึ่งไม่กล้าเชื่อ “เป็น…เป็นไปได้…อย่างไรกัน….” เพียงแค่สามวันเท่านั้น…เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นจากเหม่ยเหรินก็กลายเป็นเจาอี๋แล้ว “ทรงโปรดปรานนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ดวงตาของนางปรากฏรอยน้ำตาคลออย่างเลือนราง
จือซินส่งสายตาให้นางกำนัลในตำหนักหลบออกไปด้านนอก ประตูเรือนถูกปิดลงแสงเจือจางสลัวทำให้ตำหนักย่อยแลดูว้าเหว่ขึ้นมา
หลงเยวี่ยเจ็บปวดที่กลางใจ นางเข้าวังมาทีหลังย่อมไม่รับรู้ถึงช่วงรุ่งเรืองของเว่ยเจียเสียนอี๋ แต่กลับสดับรับรู้ในทุกย่างก้าวของลู่เจาอี๋ ท่วงท่าอันงดงามประหนึ่งวาดเขียน การวางตัวที่เหมาะสมจนยากหาข้อตำหนิ แม้จะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสนมนางในก็พลันอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมา
นางไม่เคยวาดหวังถึงตำแหน่งไท่โฮ่วมาก่อน เพียงแต่คิดว่าหากได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทเพียงสักนิดก็คุ้มค่าแล้ว มีชีวิตเป็นสนมคนโปรดก็เพียงพอแล้ว ทว่าสายตาที่ฝ่าบาทมองหญิงสกุลลู่ในวันนั้นช่างเปี่ยมด้วยความเสน่หา กาลเวลาผ่านมาไม่กี่ราตรีก็เลื่อนยศสองขั้น ยากจะไม่ตื่นตระหนก
“...ข้ายังมีโอกาสอีกหรือ”
กาลก่อนมีเว่ยเจียเสียนอี๋กับเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ เวลานี้มีลู่เจาอี๋ สาวงามประดุจดอกไม้ให้ฝ่าบาททรงเชยชมและทอดทิ้ง หลงเยวี่ยคือดอกไม้หนึ่งที่เบ่งบานในพระราชวังต้องห้ามนางย่อมมีโอกาสอย่างแน่นอน แม้นางจะหุนหันพลันแล่นอย่างไรก็ไม่ถึงกับโง่งมสมองเลอะเลือนจะต้องรู้ความจริงข้อนี้ดี ที่ยังรำพึงว่า มีโอกาสอีกหรือ ก็เป็นเพราะความคาดหวังที่จะเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของบุรุษที่ตนรักมั่น
ในครอบครัวของหลงเยวี่ยไม่ได้เคร่งครัดเรื่องหนึ่งสามีภรรยาแต่ก็ไม่มีบ้านน้อยและแม่รองเช่นบ้านอื่น บุรุษให้ความเคารพเทิดทูนภรรยา อีกทั้งสะใภ้ที่แต่งเข้ามาก็ให้กำเนิดบุตรชายมากมายจึงไม่มีข้อขัดแย้งเรื่องทายาท จนมาถึงรุ่นของพี่ใหญ่เจวี๋ย (ตวนมู่เจวี๋ย) พี่สะใภ้ใหญ่ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งถือเป็นลางไม่ดี จึงถูกกดดันให้รับอนุภรรยาเข้ามา แม้พี่สะใภ้ใหญ่จะมาจากตระกูลบัณฑิตที่นับถือขนบขงจื๊อ แต่เมื่อเห็นสามีของตนร่วมหอนอนเคียงกับอนุภรรยาก็มีสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนจนมิอาจรับน้ำชาคารวะ ความคับแค้นใจนี้ก็คงมีแต่ผู้ที่เปี่ยมด้วยรักจึงจะต้องทุกข์ทน
จือซินเห็นเจ้านายของตนคล้ายไร้สติก็รินชาร้อนใส่ถ้วย นั่งลงกุมมือนางให้โอบถ้วยเอาไว้ ถ้วยกระเบื้องร้อนจนหลงเยวี่ยสะดุ้ง ทว่าแรงบีบของจือซินไม่เบาทำให้นางไม่สามารถถอดมือ หัวใจที่เบาหวิวจนคล้ายดอกสาลี่ที่ปลิวไปค่อยๆ หวนคืนกลับมา
นางลูบปลอบฝ่ามือของหลงเยวี่ยอย่างบางเบา “ถึงอย่างไรฝ่าบาทและคุณหนูก็เคยมีบุญวาสนาต่อกันมาก่อนสมัยยังเด็กพระองค์ก็เมตตาคุณหนูเป็นอย่างมาก จะไร้โอกาสได้อย่างไรเจ้าคะ…เป็นเพราะคุณหนูมีใจให้ฝ่าบาทถึงได้เศร้าโศกเสียใจเมื่อเห็นพระองค์โปรดหญิงอื่นเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองมาตลอด นายหญิงผู้เฒ่าจึงรักใคร่เอ็นดูคุณหนูมากที่สุด ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่นายหญิงผู้เฒ่าเป็นกังวลมากที่สุด วันนี้แม้จะต้องเสี่ยงถูกท่านลงโทษที่บ่าวบังอาจก้าวล่วงเจ้านาย ก็จำต้องนำความของนายหญิงผู้เฒ่ากล่าวเตือนสติท่านให้ได้…”
หลงเยวี่ยเคลื่อนสายตามองนาง “ปณิธานหนึ่งเดียวในใจของท่านคือกำจัดศัตรูร้ายที่เข่นฆ่านายท่านอาวุโส นายท่าน และคุณชายในปีนั้นจนสิ้นชีพ ทำให้จวนสกุลเรามีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว… ในยามนั้นการเข้าวังเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ท่านมีอำนาจเพียงพอที่จะทำสิ่งนั้น คุณหนูต้องการเป็นที่โปรดปรานก็เพื่อให้รู้ถึงลึกตื้นหนาบางของศึกระเบียงเหอซี ทว่าท่านเป็นผู้ที่มีน้ำใจงาม นายหญิงผู้เฒ่าเกรงว่าจะเกิดลังเลเพราะหัวใจซื่อตรงที่มีต่อฝ่าบาท”
“หลายวันมานี้ท่านเห็นฝ่าบาทโปรดปรานหญิงอื่นก็เสียใจ ลืมเลือนสถานะพระสนมของตนเองจนสิ้น บัดนี้ที่นี่คือวังหลวงมิใช่จวนสกุลตวนมู่อีกแล้ว แม้ท่านจะเสียใจไม่ยินดีก็จำต้องท่องจารีตของสตรีใส่พระทัยฝ่าบาทให้มากๆ แม้ใจจะเจ็บปวดก็จะต้องยิ้มให้กว้างเมื่อพบกับพระสนมอื่น… คุณหนูของบ่าวมีจิตใจที่ดีอย่างไรท่านก็ไม่คิดจะทะเลาะวิวาทกับสตรีอื่นอย่างเด็ดขาด” แม้จะคิดเช่นนั้นจือซินก็ไม่อาจวางใจ นิสัยไม่ครุ่นคิดให้มากความของหลงเยวี่ยน่าปวดหัวเป็นที่สุด ดังที่คาด— หลงเยวี่ยที่ถูกความตั้งใจเดิมชักจูงจนคลายจากความเศร้าแค่นหัวเราะ “หรือข้าจะต้องทนให้พวกนางข่มเหงหรือ?” กล่าวกันว่า พยัคฆ์ตกที่ราบลูกสุนัขรังแก นางไม่ยอมเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด
หลงเยวี่ยพกพาความหยิ่งผยองมาเต็มหัวใจไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะต้องเผชิญความทุกข์เพราะรักมากเกินไป
ปราณสังหารประดุจเจอเทพฆ่าเทพแผ่ซ่านออกมา หลงเยวี่ยเป็นคุณหนูสกุลใหญ่จึงมีกิริยาเย่อหยิ่งและอารมณ์ร้อนไปบ้าง ทว่าจือซินรับใช้มานานย่อมเข้าใจดีว่านางไม่ชมชอบรังแกผู้ใดก่อน เพียงแต่บางเรื่องก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน “ลู่เจาอี๋มีบารมีของไท่โฮ่วคอยคุ้มครอง จางกงกงก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดี อีกทั้งเสียนอี๋สกุลเว่ยเจียและนางก็มีความสัมพันธ์อันดี วังหลังมีคนจ้องจะเล่นงานนางมากมาย ครั้งก่อนท่านเคยถูกใส่ความเพราะมีคนของทัพพยัคฆ์ตวนมู่อาศัยอยู่ในวัง แม้พวกเขาและชาวระเบียงเหอซีจะเป็นขุมกำลังที่มีค่าของท่าน แต่ก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน หากมีพระสนมที่ได้รับอันตรายก็สามารถป้ายสีท่านได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเมื่อนางประสบเคราะห์ภัยท่านอย่าได้วางเฉยเด็ดขาด”
จือซินปล่อยให้หลงเยวี่ยค่อยๆ ใคร่ครวญ หลงเยวี่ยคลายความกลัดกลุ้มในที่สุด นางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสีแดง ขอบฟ้าครามกระจ่างราวกับอัญมณีแต่งแต้มด้วยเมฆาเพียงน้อยนิด ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งแก่หัวใจ “วังหลังซับซ้อนดำมืด ผู้ที่มีวาสนาสูงส่งคือผู้ที่มีชีวิตอย่างสดใสจนถึงวันพรุ่ง” หญิงสกุลลู่มีวันพรุ่งที่สดใสจะไหนเลยจะยังต้องใส่ใจว่านางวางเฉยหรือไม่ “แต่ละวันข้ามีชีวิตอย่างไรแก่นสาน หากไม่มีเจ้าคอยเตือนสติ เกรงว่าความวาดหวังคงจะต้องดับสิ้นลงไปแล้ว”
“คุณหนูปราดเปรื่องเช่นนี้บ่าวก็วางใจ…ขอท่านดื่มชาเพื่อผ่อนคลายก่อนนะเจ้าคะ”
จือซินตัดดอกเบญจมาศสดนำกลีบดอกโปรยลงในถ้วยชา เติมน้ำร้อนและน้ำผึ้งหมักดอกหอมหมื่นลี้ ปิดผาถ้วยชาแล้วผสมให้เข้ากัน เมื่อเปิดออกมาก็มีกลิ่นที่หอมชวนดื่ม หน้าที่ของนางเวลานี้คือคัดบทสวดมนต์เพื่อถวายแก่ไท่โฮ่ว หญิงสาวรับอาหารเที่ยงแล้วก็ขังตัวไว้ในห้องอบอุ่นข้างพระตำหนัก บรรจงขัดบทสวดมนต์ต่อ
อักษรสีหมึกร้อยเรียงลงบนหน้ากระดาษขาว กล่าวถึงเทพีผู้เป็นใหญ่ในสามพิภพ “เทพบรรพกาลซ่างกู่ผู้ปกครองบรรพสวรรค์ องค์สัจจเทพอี๋เหอมหาอติเทพ ทรงห่วงใยกลียุคครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแก่โลก ทรงเปี่ยมด้วยมหากรุณาจิต ดำเนินการเผยแผ่คุณธรรมน้อมนำมนุษย์เพื่อฉุดช่วยให้พ้นผ่านทุกข์เข็ญทั้งปวง ทรงเกื้อกูลสงเคราะห์หมู่ชน กุลบุตรทั้งหลาย หลักคำสอนต้องไม่ห่างจากกุศลธรรม แลคุณธรรมต้องไม่ห่างจากจิตใจ ด้วยอนุสัยเดิมของมนุษย์พิสุทธิ์สะอาดด้วยฟ้าลิขิต พึงน้อมนำใจคืนกลับสู่สัจจะวิถีนั้น ดังนั้นจงตั้งใจปฏิบัติตามธรรมทั้งหลายนี้ ไม่ฉ้อฉลข่มเหง ไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่เหย่อหยิ่งจอง ไม่เกียจคร้านเฉื่อยชา เพื่อให้โลกมนุษย์ปราศจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทั้งไม่ให้ร้ายทำลายกัน ไม่ทะเลาะวิวาทบาดหมางต่อกัน”
ถ้อยสำนวนในพระคัมภีร์ที่คัดทำให้หัวใจของหลงเยวี่ยสงบลงมาก กระนั้นความรู้สึกไม่เห็นด้วย “อนุสัยเดิมของมนุษย์พิสุทธิ์สะอาด” ช่างขัดกับ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” และ “ปลาไวกินปลาช้า” ยิ่งนัก อีกทั้งความมุ่งมาดที่จะกำราบปีศาจก็เป็นความอยู่รอดที่มนุษย์คำนึงอยู่ทุกขณะจิต ทว่ามนุษย์ผู้หลงงมงายในธุลีดินแดงเฉกเช่นหลงเยวี่ยไฉนจะเข้าใจความคิดล้ำลึกของปราชญ์ผู้อยู่เหนือผู้คนเล่า
ย่อมไม่ต่างกับเรื่องเล่าการพบกันของขงจื่อและเล่าจื่อ
ถ้อยอักษรยังคงจารจดลงบนแผ่นกระดาษต่อไป ประดุจไม่มีวันจบสิ้น
“จงทำใจให้ใสบริสุทธิ์ดุจดวงจิตเดิมของความเป็นมนุษย์ บำรุงรักษาพลังชีวิตให้มีกำลังขวัญอยู่เสมอ เช่นนี้ก็ปลอดพ้นพิบัติภัยจากน้ำ ไฟ ศัสตราวุธ และสงคราม ปราศจากเคราะห์ฆาต โรคระบาด โพยภัยนานา มีความเป็นอยู่อย่างสงบและสมถะ สติปัญญาก็จะสะอาดและสว่าง พึงหมั่นสวดภาวนาคัมภีร์คุณธรรมนี้ก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อพ้นจากสังสารวัฏไปสู่อริยภูมิ เมื่อจิตใจเปิดกว้างร่างกายก็สมบูรณ์พูนสุข ครอบครัวจะร่มเย็นเป็นสุข สวรรค์ก็ประทานลาภยศสรรพสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลบันดลให้มีความเจริญรุ่งเรือง ด้วยศรัทธาอันมิอาจหาสิ่งใดเทียบ ก็จะเข้าถึงหลักแห่งธรรมวิถีซึ่งประณีตวิเศษสุด ด้วยปสาทะความจริงใจในจิตวิญญาณ”
จวบจนรุ่งเช้าวันที่เก้าเวียนมาถึง บทสวดจำนวนหนึ่งก็วางเรียงทับซ้อนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะเขียนหนังสือ
หลงเยวี่ยนวดฝ่ามือเบาๆ พอดีกับที่จือซินเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้า แปรงฟัน และอาบน้ำ จิตที่วุ่นวายของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลงมามาก นางกำนัลเตรียมน้ำอุ่นกำลังพอเหมาะ ในน้ำแช่ด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผิว และโปรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ กลีบดอกหอมหมื่นลี้ จนมีกลิ่นหอมรัญจวนใจ เตาเครื่องหอมจุดกลิ่นเฟยฮวาเทียนเซียงที่อ่อนละมุนหอมติดปลายจมูก หลงเยวี่ยจึงคลายความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เมื่อตอนที่ตื่นจากการนอนกลางวันขึ้นมารับอาหารมื้อเที่ยง นางกำนัลในตำหนักจัดสำรับอาหารรสชาติอ่อนมาเป็นโจ๊กเนื้อข้นที่เมล็ดขาวสุกอวบขาววาววามน่ารับประทานมาก กินคู่กับผัดผักและผักดอง ให้ความรู้สึกเข้ากันเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปใสที่เกิดจากการเคี่ยวผักที่มีรสหวานจนงวด กรองเฉพาะน้ำที่ใส่และหวานหอมมาขึ้นโต๊ะ หลงเยวี่ยเอ่ยชมคนจัดสำหรับไปหลายคำ พลันได้ยินเสียงดังโครมมาจากห้องอบอุ่นปีกข้างพระตำหนัก หัวใจของหลงเยวี่ยพลันสะดุดขึ้นมา
จากนั้นจึงมีเสียงดุด่าตำหนิ “เจ้าทำงานประสาอะไร! นี่เป็นกระดาษคัดลอกบทสวดมนต์ที่นายหญิงน้อยตั้งใจคัดมาตลอดหลายวัน เจ้าทำเช่นนี้จงใจใช่หรือไม่! หุบปาก! จะร้องไห้ให้ได้อะไรขึ้นมา กระดาษกลายเป็นเศษขี้เถ้าไปหมดแล้ว! เจ้ามีกี่ชีวิตกันจึงจะชดใช้ได้หมด”
หลงเยวี่ยวางตะเกียบกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง นางถลันตัวลุกขึ้นวิ่งปราดไปที่ห้องอบอุ่น แม้แต่จือซินยังวิ่งตามไม่ทัน เมื่อไปถึงก็เห็นนางกำนัลหญิงสองคน คนหนึ่งคือเซี่ยเหลียนที่เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ อีกคนคือชิ่งเอ๋อร์สาวใช้รุ่นเยาว์ที่คล่องแคล่วว่องไว จือซินถูกใจนางจึงให้มารับใช้ในตำหนักแทนพวกเซี่ยเหลียนที่ถูกลงโทษเมื่อคราวนั้น
บนโต๊ะมีกองกระดาษกองหนึ่งมุมกระดาษมีรอยถูกไฟเผาไหม้
ชิ่งเอ๋อร์น้ำตานองหน้าเอ่ยว่า “บ่าวผิดไปแล้ว” พลางโขกหน้าผากจนแดงเถือก หลงเยวี่ยเห็นความตั้งใจตลอดหลายวันของนางถูกไฟลามเลียไปต่อหน้าก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ปรี่เข้าไปคิดจะตบหน้าชิ่งเอ๋อร์! แม้อย่างไรกระดาษเหล่านี้จะต้องถูกเผาก็ต้องให้ไท่โฮ่วได้เห็นก่อนไม่เช่นนั้นวันงานพรุ่งนี้นางจะต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน
ทว่าฝ่ามือกลับถูกจือซินคว้ายึดเอาไว้เสียก่อน “นายหญิงน้อยโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ กระดาษถูกไฟเผาไปแล้วไม่อาจกอบกู้กลับคืนมาได้ ตบตีชิ่งเอ๋อร์ไปก็ไม่มีประโยชน์พวกเราหาวิธีอื่นกันเถอะนะเพคะ”
หลงเยวี่ยวู่วามไปชั่วครู่ชั่วคราว ได้ยินเสียงเตือนสติก็สงบใจ ใบหน้าของนางบึ้งตึง “นอกจากชิ่งเอ๋อร์และจือซิน ออกไปให้หมด!”
ความโกรธแล่นจากช่องท้องจุกอยู่ที่หน้าอก นางหยิบแจกันเคลือบชั้นดีที่วางอยู่มุมหนึ่งปาลงพื้นเกิดเสียงเพล้ง! ดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนต่างก็รู้ว่านางเกรี้ยวกราดรอเพียงแต่จะปะทุขึ้นมาเมื่อใด ครั้งนี้เป็นชิ่งเอ๋อร์ที่เคราะห์ร้ายต้องถูกระบายอารมณ์
หญิงสกุลตวนมู่มีกำลังวังชาหากตบตีบ่าวรับใช้จะต้องทิ้งร่องรอย ถึงแม้การตบตีบ่าวไพร่จะมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องถูกตั้งคำถามถึงคุณธรรมแน่ อีกทั้งหากมีบ่าวไพร่ตายในตำหนักของตนเอง จุดจบคงจะต้องมาถึงอย่างรวดเร็ว
เซี่ยเหลียนลอบคิดคำนวณในใจ รอยยิ้มวาดผ่านดวงหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าออกห่างจากห้องอบอุ่น
ด้านในห้องอุ่นซึ่งถูกปิดตายจนแม้แต่เงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในยังมองไม่เห็น จือซินประคองหลงเยวี่ยนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยด้านหลังโต๊ะเขียนอักษร เอ่ยรายงานเสียงเรียบหลังรอจนเงาด้านนอกหายไปแล้ว “มีเพียงสิบฉบับเท่านั้นเพคะ ที่เหลือสอดไส้ด้วยกระดาษเปล่า”
“ดีที่เจ้าไหวตัวทันถึงคิดแผนซ้อนแผนเช่นนี้ขึ้นมาได้” หลงเยวี่ยปรายสายตามองชิ่งเอ๋อร์ที่กำลังลังเลระคนหวั่นใจว่าจะทำเช่นใดกับถ้วยชาลายครามในมือ ดวงหน้าเปรอะหยาดน้ำตาสะอื้นเบาๆ หลงเยวี่ยเผยรอยยิ้มละไม “ไม่เป็นไรนะ— เจ้าปาถ้วยชาเหล่านั้นต่อไปไม่ต้องกังวล ร้องไห้ดังๆ จะดียิ่ง”
ชิ่งเอ๋อร์พยักหน้าดวงตาสุกใสของนางวาววามด้วยหยาดน้ำตา มองหลงเยวี่ยจิบชาร้อน “นายหญิงน้อยให้หม่อมฉันคัดแทนนะเพคะ…”
หลงเยวี่ยหรี่เสียงลง หัวคิ้วขมวดมุ่น “คัดบทสวดมนต์เป็นงานที่ละเอียดอ่อน เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า”
ชิ่งเอ๋อร์เป็นเด็กดี ครู่เดียวก็ปล่อยน้ำตามามายร่วงหล่นลงมา พลางส่งเสียงสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว กรี๊ด—” และอีกมากมายที่นางคิดจะสรรหาขึ้นมาได้ หลงเยวี่ยรู้สึกปวดหัว จึงให้นางแสร้งเจ็บตัวจนสลบและถูกลากออกไป จากนั้นก็เริ่มต้นคัดบทสวดมนต์ต่ออีกเล็กน้อยจนครบ 88 บท
ขอนอบน้อมแด่องค์เทวราชอี๋เหอผู้เป็นมเหศักดิเทพ
ทรงมหาเมตตาคุณอันวิเศษยิ่งด้วยเดชไพบูลย์
ขอจงประทานความเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า
มวลควันธูปลอยลู่สู่สวรรค์ทุกชั้นฟ้า
เป็นสื่อพาดลบันดาลวิญญาณได้
คนกับเทพสื่อสัมพันธ์โดยทางใจ
ด้วยศรัทธาสัมผัสได้ถึงฟ้าเบื้องบน
ขอนอบน้อมต่อปวงพระอริยเจ้า
และทวยเทพยดาทั้งหลาย
.
.
.
cr. บทสวดเต๋า จี้กง และบทอัญเชิญเซอร์แวนต์