123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
เจ้าของ: Admin

เรือนเมิ่งเหยา | 梦瑶五所

[คัดลอกลิงก์]

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2377
ความชั่ว
1202
ความโหด
2595
โพสต์ 2024-8-12 20:33:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Longyue เมื่อ 2024-8-12 20:35





.ถึงวันที่สามแล้ว…เย่! @Admin


CHAPTER 18


วันที่สามเดือนแปดแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ
วันอังคาร ช่วงบ่าย


ช่วงเวลาที่หลงเยวี่ยพำนักในตำหนักเล็กเมิ่งเหยาผ่านไปอย่างสงบเงียบไร้คลื่นลม ซ่างกวนเหม่ยเหรินผู้ได้รับความโปรดปรานให้รับใช้ในพระตำหนักเว่ยหยางไร้การเคลื่อนไหว เว่ยเจียเจี๋ยอวี๋ที่มีตำแหน่งสูงส่งในวังหลัง เวลานี้ได้รับบัญชาจากสวรรค์เลื่อนขั้นเป็นเสียนอี๋ หนึ่งในตำแหน่งฉือผิน ถือเป็นพระสนมที่มากเกียรติที่สุดในวังหลัง นางคลับคล้ายมีอุปนิสัยเรียบง่ายไม่สุงสิงกับผู้ใดเกินงาม จวบจนวันนี้ก็ยังไม่พบความผิดพลาดของนาง ข้างฝ่ายลู่เหม่ยเหรินหลังจากสิ้นคดีเฮ่อถูกเจี๋ยอวี๋ก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยอวี๋ทั้งยังได้รับความโปรดปรานไม่เสื่อมคลาย—

หากว่าทุกอย่างกับเงียบสงบจนคล้ายผิดปกติ

คนในตำหนักเมิ่งเหยาได้ยินเสียงเล่าลือของหลงเยวี่ยมาบ้างก็ยังไม่เท่ามองเห็นความจริง ว่านางนั้นเป็นเพียงนายหญิงเสือกระดาษ เมื่อไม่มีผู้ใดใส่ใจมารยาทและธรรมเนียม นางกำนัลรับใช้รุ่นเยาว์ในตำหนักก็เริ่มทำงานอย่างขอไปที ลานกว้างที่สะอาดสะอ้านมีไม้ใบร่วงโรยขาดการดูแล

นกรู้ย่อมเลือกไม้ทำรัง ยามนี้ความรุ่งโรจน์อยู่ที่ใดบ่าวทาสย่อมมีใจรับใช้เอนเอียง ยังไม่นับว่าหลงเยวี่ยคลับคล้ายวางเฉย

บริวารก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน

วันนี้เลยเวลาพักเที่ยงแล้ว ทว่าบ่าวรับใช้ในตำหนักก็ยังนั่งจับกลุ่มสนทนา เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังบางเบาเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ หลงเยวี่ยตื่นนอนนานแล้ว— แต่ยังไม่มีผู้ใดยกสำรับมื้อเที่ยง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสุกใสวามวาวด้วยความง่วงงุนพลันได้ยินเสียงแว่วเอ่ยมา

“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเสด็จประพาสนอกวังยังพาเว่ยเจียเสี๋ยนอี๋ไปด้วย ตอนที่พาพระนางกลับมาตำหนักข้าเห็นกับตาว่าประคองกอดเสียนอี๋ด้วยความรักใคร่! สองร่างแนบชิดอ่อนแรง คงจะไปเปลี่ยนบรรยากาศนอกวังกระมัง!” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวถ้อยคำไร้ยางอายน่าตาเฉย รอบด้านกลับหัวเราะครื้นเครง หญิงอีกผู้เอ่ยตอบ

“แถมต่อมายังพลิกป้ายเสียนอี๋ต่ออีกด้วย ถึงซ่างกวนเหม่ยเหรินจะทำตัวอ่อนแอน่าสงสารจนฝ่าบาทเมตตาให้รับใช้ในตำหนักเว่ยหยางทั้งวันทั้งคืนแต่ว่าท้ายที่สุดก็เป็นตำหนักเถียนเซี่ยที่ฝ่าบาทเสด็จไปประทับค้างคืน ทั่ววังหลวงต่างก็ทราบว่าเวลานี้ฝ่าบาทโปรดปรานใคร แม้แต่ตำแหน่งเจี๋ยอวี๋ก็มอบให้นางเป็นคนแรก อีกหน่อยคงตั้งครรภ์มังกรและมีวาสนาได้เป็นหวงโฮ่ว กลับเป็นพวกเราเสียอีกที่ต้องมาติดแหง็กที่นี่กับสตรีที่มีแต่กำลังไร้สมอง วันๆ ไม่นอนก็หายตัวไปเลยกว่าจะกลับมาก็มืดค่ำ ยังจะหวังพึ่งอะไรนางได้อีก”

เสียงกระซิบพลันเบาลง “จุ๊ๆ เจ้าอย่าเอ็ดไป…ถึงนางจะไร้น้ำยาก็เป็นถึงลูกเจ้าพระยาขั้นกง ในวังมีคนของนางตั้งมากเท่าใด วันก่อนหนีเอ๋อร์จากตำหนักหย่งเชวี่ยไม่ระวังตำหนิถึงนาง ยังถูกพวกขันทีนางกำนัลจากแถบระเบียงเหอซีดักลอบทำร้ายจนปางตาย หากเจ้าไม่ระวังปากเสียหน่อยเดี๋ยวก็กลายเป็นศพไปหรอก”

นางกำนัลใช้อีกคนพลันสะดุ้งเสียงเงียบหายไปในทันที คลับคล้ายว่ากลัวเสียบรรยากาศเสียงแหลมสูงพลันเอ่ยแทรกอย่างสดใส “ทางตำหนักฉางชุนน่ะ ยิ่งมีเรื่องน่าเหลือเชื่อ—- วันนี้ข้าได้ยินคนใหม่ในกองซักล้างเล่ามาว่า ตอนที่พระสนมลู่ถูกกักตัวที่ตำหนักไท่โฮ่ว พวกนางเห็นลู่เจี๋ยอวี๋ลอบนัดพบชู้กลางดึก!”

“ห๊า กล้าถึงขั้นนัดพบชู้ในตำหนักของไท่โฮ่วเชียวหรือ นางช่างใจกล้าจริงๆ” อีกคนคล้ายว่าไม่เชื่อ

“ทีแรกข้าก็ไม่เชื่อ แต่พวกนางเล่าว่าเห็นจริงๆ น่าเสียดายที่ฟ้าไร้ตา เมื่อนางท้วงถามถึงเรื่องนี้กลับถูกลงโทษให้ต้องใช้แรงงานชั่วชีวิต”

“แล้วรู้หรือไม่ว่าใคร”

“วันนั้นฝนตกหนัก แถมยังมืด มองเห็นคนไม่ชัด— ทว่ารูปร่างสูงใหญ่คงจะเป็นองครักษ์ในวังกระมัง”

“นางช่างกล้าจริงๆ” นางกำนัลที่ดูท่าทางเฉลียวฉลาดแสร้งยกมือขึ้นปิดปาก “เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ใดเชื่อนางกำนัลพวกนั้นอย่างนั้น…เรื่องนี้คงมีเบื้องลึกเบื้องหลังกระมัง ฝ่าบาทก็ยังโปรดปรานนางไม่เสื่อมคลายเลยนี่?”

“จะเชื่อถือได้หรือไม่ตอนนี้ฝ่าบาทก็โปรดปรานเจี๋ยอวี๋ที่สุด ได้ยินเรื่องนั้นหรือไม่…ตอนนั้นฝ่าบาทโปรดการล่าสัตว์ในอุทยานเม่าหลินมาก ต่างก็บอกว่าเพราะพระองค์โปรดองค์หญิงจากเผ่าซงหนูที่แต่งงานมาเชื่อมไมตรีหลังจากแพ้สงครามกับต้าฮั่น ถึงได้เอาอกเอาใจนางขี่ม้าแข่งกับนาง พวกข้ารับใช้ที่อุทยานพูดว่าตอนที่หญิงจากซงหนูตกจากหลังม้าจนบาดเจ็บทรงเป็นห่วงนางมากถึงกับพาไปส่งที่ตำหนักด้วยพระองค์เอง ใครจะรู้ว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลู่เจี๋ยอวี๋…”

“....ทรงตั้งศาลเฉพาะกิจขึ้นด้วยพระองค์เอง เพราะจางเว่ยถิงได้เบาะแสว่าคนร้ายในคดีเย่เหม่ยเหรินจริงๆ คือเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ แต่ตอนนั้นไม่มีหลักฐานที่โปรดปรานนางก็แค่นั้น…”

คำว่าแค่นั้นพลันกระทบหัวใจของหลงเยวี่ยอย่างบางเบา นางแค่นรอยยิ้มเย็น ข้ารับใช้เริ่มจะไม่เห็นหัวนางเข้าแล้ว ความโกรธเคลื่อนผ่านนัยน์ตา จือซินเพิ่งว่างจากงานที่สวนดอกไม้ จึงเพิ่งเข้าประตูเล็กมาที่เรือนย่อยของหลงเยวี่ย นางได้ยินถ้อยคำของนางกำนัลด้านนอกในตอนท้ายสีหน้าก็แข็งค้าง หลงเยวี่ยชายตามองจือซิน— หญิงสาวชะงักนิ่ง ย่างเท้ามาด้านข้างหลงเยวี่ยประคองถ้วยชากลิ่นหอมละมุนให้นาง

หลงเยวี่ยรับชาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม “ไปเชิญกูกู่คุมระเบียบมา”


ด้านนอกตัวเรือน แสงยามบ่ายสาดทอใบเขียวขจีของต้นเหมย ทาบแสงเงากระดำกระด่างลงบนพื้นหินด้านล่าง กลุ่มนางกำนัลจับกลุ่มพูดคุยยังไม่แยกย้าย พลันนาทีนั้นเมฆก้อนใหญ่เคลื่อนบดบังดวงตะวัน ตำหนักเมิ่งเหยาตกถูกเงาดำใหญ่ทาบทับในพริบตา “...นางทำทีท่าว่าอ่อนโยนอ่อนหวาน แต่เบื้องหลังกลับเจ้าเล่ห์ปล่อยข่าวว่าพระสนมจากตำหนักต่างๆ โหดร้ายทารุณ หวังจะให้ฝ่าบาทมีใจต่อนางผู้เดียว สุดท้ายก็เป็นแค่ความโปรดปรานปลอมๆ!”

สิ้นคำประตูหลักของตำหนักย่อยอันเป็นที่พำนักของเหม่ยเหรินสกุลตวนมู่ก็เปิดออก จือซินประคองหลงเยวี่ยออกมาที่เก้าอี้ไท่ซือด้านหน้า รอยยิ้มหวานละมุนประทับบนดวงหน้างาม กลับดูน่าพรั่นพรึงราวกับอสุรกาย หญิงสกุลตวนมู่แม้ไม่ได้รับความโปรดปรานก็ยังแต่งกายประณีตงดงามอย่างไม่เกียจคร้านอยู่เป็นนิจ ทว่ายามนี้กลับแผ่รังสีอันน่าครั่นคร้ามออกมา แต่ต่างจากทีท่าอึมครึมตลอดหลายวันมานี้

บรรดาหญิงรับใช้มีสีหน้าตกประหวั่นครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มประจบเอาใจ สาวเท้าเข้ามาคุกเข่าคารวะหลงเยวี่ย “ถวายบังคมตวนมู่เหม่ยเหริน ขอตวนมู่เหม่ยเหรินสุขสมหวังทุกประการ”

นัยน์ตาล้ำเสน่ห์คู่นั้นหาได้สนใจไม่ ข้อมือขาวบางประดับด้วยกำไลกัลปังหาสีทับทิมละมุนตาไกวล้อแสง นางประคองถ้วยชาลายมงคลจากสาวใช้ กลิ่นอายอันหอมละมุนอบอวลไปทั่วอาณาบริเวณ พลางเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่ยากจะคาดเดาการกระทำ “จะว่าไป…ตำหนักเมิ่งเหยาเวลานี้มีข้าเป็นนายหญิงเพียงคนเดียว บ่าวรับใช้ในตำหนักก็มีมากเหลือเกิน มากเสียจนมีงานไม่พอให้คนทำจึงว่างจับกลุ่มนินทาเจ้านายจนข้านอนไม่หลับ”

ประดุจอัสนีบาตฟาดลงมากลางกบาล บ่าวในตำหนักลนลานเอ่ยว่า “หม่อมฉันไม่กล้าแล้วเพคะ” เสียงสั่น ความหวั่นหวาดนั้นกลับยิ่งทำให้ใบหน้าอ่อนหวานเผยรอยยิ้ม หลงเยวี่ยจิบชารสอ่อนบางทำเป็นไม่ได้ยิน เสียงแก้วกระเบื้องกระทบจานรองดังกังวานดุจเสียงหยกใส

“...ได้ยินมาว่า ที่โรงซักล้างมีงานมากเสียจนล้นมือ กว่าจะทำงานเสร็จแต่ละวันมือและเท้าถูกน้ำกัดจนแตกและบวม…” มีผู้ใดบ้างว่ากองซักล้างมีงานเช่นไรรอถ้า สถานที่แห่งนั้นมีไว้ลงโทษบ่าวทาสในวัง งานก็หนักหนา ต่างหวาดกลัวกันมาก พวกนางร้องเสียงเบา “นายหญิงน้อย…” ทว่าเสียงหวานละไมของหลงเยวี่ยเอ่ยกลบจนไม่ได้ยิน นางเอ่ยด้วยมากเมตตา “ข้าตรองดูแล้ว อยากให้พวกเจ้าส่วนหนึ่งย้ายไปช่วยงานเสียหน่อย”

“นายหญิงน้อยเพคะ พวกเราไม่กล้าอย่างเด็ดขาด เมื่อสักครู่เพียงแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอนายหญิงน้อยโปรดเมตตาด้วยเพคะ! นายหญิงจะลงโทษพวกบ่าวอย่างไรก็ได้แต่ได้โปรดอย่าส่งพวกเราไปที่กองซักล้างเลยนะเพคะ”

หลงเยวี่ยยกรอยยิ้ม นัยน์ตาเย็นชืด พลันมีหลินกูกู่เดินเข้ามาพร้อมนางกำนัลวัยสาว ท่วงท่าสุขุมอ่อนโยนบรรยากาศเคร่งขรึม เมื่อมาถึงก็คารวะนางแล้วถอยไปยืนด้านล่างสองขั้น หลินกูกู่ส่งสัญญาณให้ขันทีรุ่นเยาว์ปิดประตูหลักของเรือน

“ก็ดี—” นัยน์ตาดำขลับปรายมองด้านล่าง “เห็นแก่ที่รับใช้ข้ามาหลายวัน ข้าจะไม่ส่งพวกเจ้าไป”

นางกำนัลพลันมีสีหน้าดีขึ้นโขกหัวขอบพระทัยจนน่าระอา หาว่าถ้อยคำถัดมากลับทำพวกนางสีหน้าซีดเผือดอีกครา “นางกำนัลในตำหนักของข้าระเบียบหละหลวม ปากเปราะไม่สำรวม หลินกูกู่ช่วยอบรมพวกนางให้ข้าด้วย”

“เพคะ” หลิวกูกู่รับคำ ก่อนจะหันไปที่หน้าลานกว้าง นางมาเพื่อสิ่งใดย่อมแจ้งแก่ใจดี เมื่อสักครู่ก่อนเข้ามาก็ลอบฟังวาจาสามหาวในตำหนักแล้ว เวลานี้คนในตำหนักเมิ่งเหยาถูกขังไว้ด้านในจงใจปกปิดความวุ่นวายในตำหนัก หลินกูกู่มองความไร้ระเบียบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยเสียงกังวาน “เรียกรวมบ่าวในตำหนักที่นี่!”

นางกำนัลดูแลกฎระเบียบเป็นที่หวาดกลัวในสำนักฝ่ายใน บ่าวรับใช้ในตำหนักเมิ่งเหยาเป็นเพียงนางกำนัลระดับเล็กผ่านการอบรมอย่างเข้มงวดจากพวกนางมาทั้งสิ้น ความหวาดกลัวยังฝังลึกอยู่ในใจเพียงไม่นานก็เร่งรีบรวมตัวกันมาจนครบ

เนื่องจากพระสนมในตำหนักเมิ่งเหยาต่างย้ายออกไปแล้ว นอกจากบ่าวที่มีหน้าที่ปัดกวาดตำหนักย่อยอื่นๆ ก็มีบ่าวรับใช้ชาย (ขันที) และนางกำนัลรุ่นเยาว์ซึ่งต้องทำงานมือเป็นประวิงแทนหญิงสาวที่นั่งจับกลุ่มพูดคุย นับรวมแล้วมีเพิ่มมาอีก 7 คนเท่านั้น

“มีมือสองข้างไม่คิดทำงานรับใช้เจ้านาย มีปากไม่รู้จักสงบคำพูดจาส่อเสียดสร้างความวุ่นวายในวัง ขวัญกล้าเทียมฟ้าไร้ระเบียบเหลือเกิน! ควรถูกส่งไปรับโทษที่สำนักลงทัณฑ์เสียให้สำนึก เห็นแก่นายหญิงน้อยเมตตาพวกเจ้า ปากที่ไม่รู้จักวิธีพูดให้ตบปาก 10 ครั้งตามระเบียบ มือที่ไม่อยากทำงานรักสบายก็ให้ถูกตีหนึ่งร้อยที เด็กๆ!”

ได้ยินเช่นนั้นนางกำนัลทั้งสามก็หน้าซีดเผือด การตบปากและตีมือแม้จะเป็นการลงโทษขั้นเบา แต่ไม้ที่ใช้ในการลงโทษคือไม้บรรทัดลงทัณฑ์

ไม้ลงทัณฑ์นี้มีความกว้างประมาณสองชุ่น ทำจากไม้เนื้อแข็งยามถูกตีเจ็บมาก หลงเยวี่ยจิบชาชมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ประดับที่มุมปาก ยามถูกไม้ฟาดที่ใบหน้านางกำนัลแต่ละครั้งพวกนางต่างก็เจ็บจนล้มทรุดไปที่พื้น สีหน้าหวาดหวั่นระคนสิ้นหวัง เลือดแดงฉานยอมอาบริมฝีปากบาง หน้าทั้งสองข้างต่างแดงเถือกและบวมเป่งอัปลักษณ์หาใดเทียม! คนของกูกู่ดูแลระเบียบมิออมมือสักนิด เสียงเพี๊ยะฝาดขึ้นคราใด บ่าวรับใช้รอบด้านที่ก้มหน้ารับฟังก็พลอยเจ็บแสบตามไปด้วย

“ดูไว้ให้ดีแล้วจดจำไว้ นี่คือโทษของการปากพล่อยพูดจาถึงเจ้านายลับหลัง อย่าได้มีใครคิดเอาอย่างปากสามหาวเหล่านี้! หากมีครั้งหน้าบทลงโทษก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นเดิม หากไปล่วงเกินผู้ไม่สมควรเข้าหัวของพวกเจ้าน่ากลัวว่าจะไม่ตั้งอยู่บนบ่าแล้ว! ตีให้หนักอย่าได้ออมแรง!”

หลงเยวี่ยพลันรู้สึกว่าชาวันนี้รสชาติดีกว่าปกติ แม้ว่านางจะชอบสุรามากกว่าแต่เขตพระราชฐานมาเรื่องมากราว นางมึนเมาได้ง่ายซ้ำยังมีนิสัยชอบเหยียบเล็บขบผู้อื่น หากถูกลอบตลบหลังเช่นคราวของเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋เกรงจะรับมือไม่ทัน

ดวงหน้าอ่อนหวานฉีกรอยยิ้มบางๆ เสียงกรีดร้องปะปนน้ำตาของนางกำนัลทั้งสามทำให้ใบหน้าของหลงเยวี่ยแลดูงดงามขึ้นอีกหลายขุม… จนมือไม้ลงทัณฑ์ครั้งสุดท้ายฟาดลงบนมือที่แดงก่ำราวจะคั้นออกมาเป็นเลือด หลงเยวี่ยถึงแสดงสีหน้ามากเมตตาประดุจพระโพธิสัตว์

“สิบวันให้หลังก็ให้พวกนางรับโทษตามนี้แล้วกัน”

นางกำนัลวัยสาวที่กำลังบานสะพรั่งเบื้องหน้าสีหน้าหวาดกลัวประดุจกลีบใบถูกฝนจนร่วงก่อนเวลาอันควร ทว่าเวลานี้ดวงหน้าต่างบวมช้ำเปรอะด้วยเลือด มองไม่ได้เลยสักนิด หลินกูกู่เบิกตามองหลงเยวี่ยระคนแปลกใจ คิ้วเรียวงามของนางเลิกขึ้นบางๆ “คำสั่งของข้าหลินกูกู่ไม่ยินดีทำหรือ?”

จือซินเห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงละมุน “หากเรื่องที่บรรดาพี่สาวพูดคุยกันวันนี้หลุดออกไปที่ด้านนอกจนถึงพระกรรณของท่านทั้งหลายให้ทรงกริ้วขึ้นมา ด้วยฐานะของนายหญิงในตอนนี้คงมิอาจปกป้องได้… กล่าวกันว่ายิ่งสำนึกตรึกตรองนานเท่าใดก็จะยิ่งจดจำได้ขึ้นใจ ความเมตตาของนายหญิงก็เพื่อเตือนให้คนในตำหนักเมิ่งเหยาพึงระลึกให้ดี หากวันข้างหน้าพบว่าข่าวลือใดมาจากที่ประทับของนายหญิงน้อยของเรา จนใจว่าแม้แต่นายหญิงน้อยก็ต้องถูกลงอาญาไปด้วย”

กล่าวถึงท่านทั้งหลายคนในตำหนักเมิ่งเหยาก็เข้าใจว่าคือเจ้านายฝ่ายในที่มีอำนาจในตอนนี้

รอบด้านเงียบกริบ หลินกูกู่เอ่ยในท้ายที่สุดว่า “หม่อมฉันรับคำสั่งนายหญิงน้อย”

หลงเยวี่ยยิ้มบาง “ดี ขอบคุณหลินกูกู่ที่ช่วยข้าตักเตือนพวกนาง จือซินตกรางวัล” จือซินนำถุงทองเล็กๆ ใบหนึ่งมอบให้หลินกูกู่ ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ หลงเยวี่ยผินใบหน้าเอ่ยเบาๆ “ท่านมีหัวใจที่ซื่อตรง แต่น้ำใจนี้หากไม่รับคนภายนอกจะมองไม่ดี”

ถ้อยวาจาก้าวร้าวที่นางกำนัลทั้งสามออกปากหลินกูกู่ได้ยินกับหู โทษทัณฑ์ของพวกนางสมควรได้รับแล้วถือเป็นการทำงานตามหน้าที่จึงออกปากไม่รับเงิน ทว่าในหลักการทั่วไปผู้คนในวังมักจะตกตำลึงให้บ่าวรับใช้อยู่เสมอถือเป็นอามิสสินน้ำใจ หากออกปากไม่รับเงินจะกลายเป็นว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่น่าชม… หากได้รับมากเกินไปก็ถืออาจถูกมองว่าติดสินบน เงินจำนวนที่หลงเยวี่ยให้หลินกูกู่สามารถรับได้อย่างไม่ลำบากใจ สิ้นคำของนายหญิงน้อย หลินกูกู่ก็ยอบตัวคำนับรับเงินไว้ “ขอบพระทัยนายหญิงน้อย”

ใบหน้าของหญิงสาวผินกลับไปที่หน้าลานกว้าง ซึ่งบัดนี้มาหยาดเลือดเปรอะเล็กน้อย มองดูเผินๆ คล้ายกลีบเหมยร่วงโรยกลางหน้าร้อน เป็นภาพแปลกตาที่หาได้ยากยิ่ง หญิงสาวเปิดฝาถ้วยชาแกว่งไล่ไอร้อนเบาๆ

“เรื่องในวันนี้ข้าใจดีมากแล้ว หากยังไม่ตระหนักให้ดี…วันหน้าอย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้พูดอีก!

นางเอ่ยอย่างเย็นชา ทั่วตำหนักพลันเอ่ยเสียง “หม่อมฉัน/กระหม่อมรับคำสั่งนายหญิงน้อย” อย่างพร้อมเพรียง ความเคารพนอบน้อมต่อหลงเยวี่ยเพิ่มขึ้นในพริบตา นางยื่นแขนให้จือซินประคองกลับไปที่ห้องอุ่นด้านในตำหนัก วันนี้เพียงแค่เชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น หากตำแหน่งเหม่ยเหรินไม่อาจสยบคนในตำหนักเมิ่งเหยาได้ ก็มีแต่ต้องเป็นเสือร้ายเท่านั้น

“คุณหนูทำเช่นนี้ไม่บุ่มบ่ามไปหรือเจ้าคะ…ภายหน้าอาจเป็นผลเสียต่อพวกเรา” จือซินหลุบนัยน์ตาใคร่ครวญ หลงเยวี่ยเอนกายลงบนเตียงอุ่น “สิ่งที่ข้าทำล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล”

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่มองไปที่ด้านหนึ่งของวัง ริมฝีปากเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “หญิงสกุลเฮ่อถูเวลานี้เป็นเช่นไรบ้าง”

“ออกจากคุกกรมราชทัณฑ์แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ถูกคุมตัวไว้ที่ตำหนักเหมันต์ อีกไม่นานก็จะมีราชโองการประทานความตายแก่นางแล้ว”

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกอย่างเริงร่า… “ล้วนแต่เป็นพี่สาวน้องสาว แม้ข้าจะพบนางเพียงไม่นานก็ควรไปอำลาส่งนางกลับดินแดนป่าเถื่อน”

“คุณหนู…ตำหนักเหมันต์เป็นที่คุมขังสนมนางในที่กระทำความเป็น เป็นสถานที่อัปมงคล ท่านอย่าไปเลยนะเจ้าคะ”

“มีข้าอยู่เจ้าจะกลัวอะไร” นางเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ดื่มชาอีกถ้วยจึงได้นึกระแวงขึ้นมา “อีกหน่อยข้าจะไปพบไท่โฮ่ว รีบเตรียมตัวให้ข้า”




++ ข่าวลือ ++

- ฝ่าบาทพาเว่ยเจียเหม่ยเหรินมาส่งที่ตำหนัก ฝ่าบาทดูเหนื่อยๆ + ฝ่าบาทพลิกป้ายเว่ยเจียเหม่ยเหริน 

15 EXP

- ฝ่าบาทโปรดปรานเว่ยเจียเหม่ยเหรินเป็นพิเศษ เลื่อนขั้นเป็นเจี๋ยอวี๋คนแรก

15 EXP

- นางกำนัลในตำหนักฉางชุนพบเงาผู้ชายในห้องลู่เหม่ยเหรินกลางคืนฝนตก

15 EXP

- ซ่างกวนเหม่ยเหรินทำตัวอ่อนแอน่าสงสารจนได้ปรนนิบัติฝ่าบาท

15 EXP

- ฝ่าบาทโปรดปรานเว่ยเจียเจี๋ยอวี๋มากกว่าซ่างกวนเหม่ยเหริน ไปประทับที่ตำหนักเถียนเซี่ย

15 EXP

- ฝ่าบาทขี่ม้าแข่งกับเฮ่อถูเจี๋ยอวี่โปรดปรานนางมาก นางบาดเจ็บไปส่งที่ตำหนักด้วยตนเอง

10 EXP

- ฝ่าบาทตั้งศาลพิจารณาคดีเย่เหม่ยเหรินเสียชีวิต คนร้ายคือเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ที่ที่อยากให้ฝ่าบาทโปรดปรานแค่ตนเอง

15 EXP

รวม 100 EXP



แสดงความคิดเห็น

คุณได้รับ 100 EXP โพสต์ 2024-8-12 21:04
โพสต์ 44527 ไบต์และได้รับ 24 EXP!  โพสต์ 2024-8-12 20:33
โพสต์ 44,527 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)  โพสต์ 2024-8-12 20:33
โพสต์ 44,527 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +8 ความโหด จาก บาดเจ็บสาหัส  โพสต์ 2024-8-12 20:33
โพสต์ 44,527 ไบต์และได้รับ +15 คุณธรรม +10 ความโหด จาก กระบี่คู่สลักจันทรา  โพสต์ 2024-8-12 20:33
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x5
x2
x19
x4
x1
x4
x8
x9
x2
x3
x5
x4
x2
x1
x2
x1
x3
x5
x2
x4
x20
x1
x7
x3
x1
x2
x6

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2377
ความชั่ว
1202
ความโหด
2595
โพสต์ 2024-8-20 20:56:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Longyue เมื่อ 2024-8-20 21:10




CHAPTER 20.3
วันที่หกถึงเก้าเดือนแปดแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ


ทิวทัศน์ของพระราชวังต้องห้ามล้อมรอบไปด้วยกำแพงสูงสี่ทิศชวนให้ผู้คนอึดอัด

 

ใบหน้าของหลงเยวี่ยประทินโฉมอย่างงดงาม วงคิ้วทรงสายมุกขับให้ดวงตาเรียวยาวของนางแลดูเฉี่ยวคม ปิ่นประดับมุกห้อยระย้าคลอเคลียดวงหน้าล้วนทำจากเครื่องเงินและพลอยงดงาม ยามขยับร่างกายระย้าไข่มุกจะกระทบกันเกิดเสียงกังวานราวกับแว่วเสียงสกุณาร้องระบำ พัดกลมลายวิหคเกี้ยวดอกเบญจมาศในมือโบกพัดเบาๆ โอบควันขาวบางของไอเย็นที่ลอยกำจายออกมาจากน้ำแข็งสู่กาย


ในพระตำหนักเล็กเมิ่งเหยาไม่มีบ่าวไพร่คนใดกล้าสบตานางสักคน จนถึงวันนี้หลินกูกู่ก็ยังมาตบปากและตีมือนางกำนัลทั้งสามอยู่ทุกวัน จึงมีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ


จือซินถือพัดอีกตัวโบกให้หลงเยวี่ยเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงสุขุม “คุณหนูเจ้าคะ อีกไม่นานก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไท่โฮ่ว นี่เป็นงานใหญ่ของราชสำนักฝ่ายในที่เพิ่งจัดหลังมีการคัดเลือกสาวงามเข้าวัง เรื่องของขวัญจะต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ”


“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


สิ่งของล้ำค่ามากมายที่หลงเยวี่ยเคยเห็นล้วนไม่อยู่ในสายพระเนตรของไท่โฮ่ว วังหลวงเปี่ยมด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่า นางในยามนี้ก็ยังคงคิดไม่ตกว่าจะถวายสิ่งใด


จือซินเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตั้งแต่เด็ก ดื่มนมร่วมเต้าจากแม่นมคนเดียวกันมา นอกจากจะนับถือกันเป็นนายบ่าวแล้ว ยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นราวกับพี่น้องร่วมอุทร จะสิ่งใดหลงเยวี่ยก็ฟังคำของนางถึงเจ็ดส่วน


“ไท่โฮ่วเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ทุกสัปดาห์จะสวดมนต์ภาวนาให้แผ่นดินและฝ่าบาทอยู่เสมอ ช่างคล้ายคลึงกับนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเรา ท่านมักจะคัดอักษรเผาถวายแก่สัจจเทพอี๋เหออยู่เสมอ”


“คัดบทสวดขอพรหรือ?” หลงเยวี่ยเคยคัดบทสวดมนต์อยู่หลายครา เพื่อขอพรให้บรรพบุรุษที่สิ้นไปและขอให้พระอรหันต์และทวยเทพคุ้มครองสกุลตวนมู่ แม้นางจะมิได้เชื่อจนหมดใจ แต่ก็ยินดีทำหวังให้ท่านย่าคลายความเศร้าโศกลงบ้าง


“เจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่แสดงถึงความกตัญญูของคุณหนู ยังแสดงถึงปณิธานและความตั้งใจของท่าน”


 “อืม” หลงเยวี่ยวางพัดลง “เจ้าคิดได้ละเอียดรอบคอบ ไปเตรียมกระดาษกับพู่กันให้ข้า”


การคัดบทสวดมนต์แม้จะง่าย แต่เนื่องจากนิยมให้เปี่ยมด้วยความมงคล จึงต้องคัดบทสวดจำนวน 88 บท ให้ได้ 88 รอบ เปลืองเวลาเป็นอย่างยิ่ง หากไม่เร่งคัดตั้งแต่วันนี้คงจะไม่ทันวันจัดงานวันคล้ายวันพระราชสมภพเป็นแน่


ห้องอบอุ่นทางด้านข้างเรือนเล็กของหลงเยวี่ยถูกเปลี่ยนเป็นห้องอักษรชั่วคราว ตั่งนั่งไม้จันทน์มีกลิ่นหอมอ่อนหวานโชยอย่างบางเบา ชวนให้ผู้คนสงบใจ พู่กัน แท่นหมึก และกระดาษอีกหลายแผ่น


หลงเยวี่ยนั่งหลังเหยียดตรง อักษรวุ่นวายทำให้นางปวดตาเล็กน้อย


  ปลายพู่กันจรดลงบนแผ่นกระดาษ... เขียนบทที่หนึ่ง “ขอนอบน้อมบูชาด้วยชีวิต พระเทวะราชาผู้สถิต ณ กึ่งกลางแห่งสวรรค์ สี่มหาบรรพตเข้าเฝ้าสรวงสวรรค์ ก่อตั้งสายใยแห่งชีวิตทั้งห้า ยังชีวิตให้แก่ประชาชนนับหมื่นนับแต่โบราณกาล รากฐานทะลุไปยังยอดแห่งปฐพี เดิมคือความศักดิ์สิทธิ์สีขาวแห่งสวรรค์ สยบดาวอวมงคลร้ายทั่งแปดทิศ ประทานความสุขให้แก่ทิศทั้งสี่ มหาเมตตามหาอริยะ มหาปณิธาน มหากรุณา ปกครองปฐพีทั้งห้าทิศ ขุนเขากลาง ใจกลางสวรรค์ มหาผาสุกบรมอริยะราชันย์ ทหารอากาศยิ่งใหญ่กว้างขวางมิอาจประมาณ สัจจะบุรุษผู้กำหนดการคำนวณ มหาเทพผู้ดูแลศูนย์กลางสวรรค์ผู้ทรงประทับ ณ ทิศกลาง”


“ขอน้อมบูชาด้วยคำสัตย์ พึ่งน้อมใจกลายเป็นคุณธรรมทั้งมวลบนดินแดนแห่งนิรันดร์ ตั้งมั่นปกครองความชั่วร้ายทุกเหล่าในดินแดนมิคสัญญี สัจจเทพผู้ประทับในวจนะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งสัตตะสวรรค์หัตถ์ มหาเทพผู้เจิดผู้ปกปักษ์สรวงสวรรค์ ขอน้อมนอมสักการะภาวนาแด่ท่าน”

 

บทสวดมนต์แปดสิบแปดบทไม่สามารถคัดเสร็จได้ในหนึ่งวัน หลงเยวี่ยคัดอักษรสามวันติดกันอย่างขะมักเขม้นจนเจ็บข้อมือ นัยน์ตาทั้งสองข้างปวดล้าจากการใช้สายตาในเวลากลางคืนร่วมด้วย


และเพราะเป็นการคัดเพื่อถวายกุศลนางจึงตั่งมั่นรักษาศีลจนกว่าจะคัดเสร็จ นุ่งห่มอาภรณ์เรียบง่ายและรับประทานอาหารเจ จนช่วงยามดึกของวันที่เจ็ดจือซินก็เดินเข้ามาด้านในห้อง “เกรงว่าเสียงทำโทษบ่าวที่ทำผิดกฎจะรบกวนนาง บ่าวจึงบังอาจก้าวล่วงคำสั่งของท่าน สั่งให้หลินกูกู่ยกเลิกโทษของพวกนางเพื่อมิให้ขัดต่อลางอันเป็นมงคล”


นางเอ่ยพลางวางชาดอกเบญจมาศลงด้านข้าง “เจ้ามารบกวนข้าด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้หรือ” หลงเยวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ ฝีพู่กันป่ายปัดใต้แสงเทียน เงาข้อมืออันวูบไหวแลดูคล้ายกิ่งไหวเอนส่าย หลงเยวี่ยจดจ่อเพียงการคัดอักษรให้ทันเวลาในวันที่สิบแห่งเดือนแปด ย่อมไม่มีแก่ใจจะสนใจเรื่องบ่าวไพร่ งานใดในตำหนักเล็กก็ให้อำนาจแก่จือซินจัดการแทน แม้แต่หัวหน้าบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลตำหนักย่อยของนางก็ยังต้องฟังคำสั่งจือซิน


นางกำนัลทั้งสามถูกลงโทษสามวันจนมือแตกปากระบม แม้จะนึกแค้นเคืองก็ยังขอบคุณสวรรค์อยู่ลึกๆ ที่มีงานเฉลิงฉลองจัดขึ้นปาดหน้า เพราะเกรงว่าหาต้องรับทัณฑ์นี้ไปจนครบสิบวันจริงๆ แม้แต่ฟันก็คงจะไม่เหลือไว้ให้เคี้ยวข้าว


จือซินมีไหวพริบดี เห็นหลงเยวี่ยไม่ถือสาก็ไม่ทำให้นางขุ่นใจอีก ประคอองถ้วยชาร้อนส่งถึงมือนาง “กลางวันอากาศร้อน ท่านยืนยันไม่ใช้น้ำแข็งป้องกันกระดาษชื้น ตกกลางคืนจะจุดไฟให้ความอบอุ่นก็เกรงกระดาษจะไหม้ ในอดีตผู้บำเพ็ญธรรมในศาสนาพุทธแม้จะไม่ดื่มกินอาหารหลังตะวันคล้อย แต่ก็ยังดื่มน้ำปานะผลไม้เพื่อบรรเทาความกระหาย นายหญิงน้อยบ่าวนำผลเหง้าบัวมาคั้นเป็นน้ำสดๆ ให้ท่านดื่ม ลองจิบดูจะทำให้สดชื่นขึ้นนะเจ้าคะ”


หลงเยวี่ยดื่มน้ำจากผลเหง้าบัวแล้วจึงคัดอักษรต่อ มาถึงบัดนี้ก็ผ่านมาจะครึ่งทางแล้ว เดิมทีจือซินอาสาจะเป็นผู้คัดให้เอง เพียงแต่การทำสิ่งนี้จะต้องทำจากใจจึงจะศักดิ์สิทธิ์ ไท่โฮ่วนับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของนางจึงไม่อาจทำอย่างขอไปที่


พู่กันขนแกะสำหรับคัดอักษรซึ่งพลิ้วไหวประดุจสายธาร จรดลงอย่างคงที่สม่ำเสมอ 


หยิน-หยางแยกสุริยันจันทรากาศ

เบญจธาตุหลอมรวมดินฟ้าประสาน

มหาคุณธรรมเสกสร้างจักรวาล

ปัญญาญาณหยั่งได้ด้วยจิตรี

ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุไม้แห่งทิศตะวันออก

ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุไฟแห่งทิศใต้

ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุดินแห่งทิศเบื้องกลาง

ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุทองแห่งทิศตะวันตก

ขออัญเชิญเทพเจ้าธาตุน้ำแห่งทิศเหนือ

ขออัญเชิญปวงทวยเทพยดาทั้งหลาย


เนื่องจากต้องการคัดบทสวดมนต์เพื่อขอพร ช่วงเวลาหลายวันนี้หลงเยวี่ยจึงไม่ได้ออกจากตำหนักเมิ่งเหยา แม้แต่ตำหนักย่อยของตนเองก็มิได้ก้าวออกไปสักครึ่งก้าวเก็บตัวอย่างเงียบสงบราวกับเป็นเพียงอากาศธาตุในพระราชวังอันยิ่งใหญ่


บรรดาข่าวสารมากมายกวนใจ บ่าวในตำหนักได้รับบทเรียนแล้วจึงไม่กล้าพูดพล่อยๆ กระนั้นบรรยากาศก็ยังคลายความตึงเครียดลงมามาก ทิ้งไว้เพียงความเงียบสงบ จือซินเองแม้จะได้ยินข่าวจากภายนอกมากมาย แต่ใคร่ครวญแล้วก็ไม่ให้ผู้ใดเอ่ยปากเพื่อรักษาความสงบของนายหญิง ล่วงเข้าวันที่แปดแล้ว อีกเพียงสองวันก็จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของไท่โฮ่ว 


“ช่วงนี้นายหญิงมีเวลานอนพักไม่ถึงวันละสองชั่วยาม จึงให้หมอหลวงช่วยจัดยาบำรุงและทำอาหารว่างที่มีรสชาติติดเปรี้ยวให้นายหญิงได้ลิ้มลอง” จือซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าหลงเยวี่ยกินอะไรไม่ลง นางชอบกินของคาวมาแต่เด็กต้องเว้นจากอาหารที่มีเนื้อสัตว์ก็ทำให้ร่างกายไม่สบายตัว ไร้เรี่ยวแรงกว่าแต่ก่อน


นางเหยียดแขนออกไปที่ด้านข้างวางอิงลงบนหมอนให้นางกำนัลในตำหนักช่วยบีบนวดให้คลายความเมื่อยล้า จือซินวางชาเบญจมาศเติมน้ำแข็งลงกลางมือของหลงเยวี่ย แล้วเปลี่ยนมานวดคลึงศีรษะให้นางเบาๆ


หลงเยวี่ยหลับตาลง “ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วหรือ?” หลงเยวี่ยสับสนเรื่องวันเวลาเล็กน้อย นางจึงหลงลืมไปว่าฝ่าบาทเสด็จประพาสที่อุทยานล่าสัตว์เพียงสามวันเท่านั้น


นางยกรอยยิ้มขึ้นแค่นเสียงอย่างไม่เหมาะสมสักเท่าไร “คงจะพักที่ตำหนักของลู่เจี๋ยอวี๋ล่ะสิ…” จือซินเงียบบเสียงลง เวลานี้ลู่เจี๋ยอวี๋เลื่อนขั้นเป็นเจาอี๋แล้ว เพียงแต่พระตำหนักเล็กเมิ่งเหยาซึ่งตอนนี้มีเพียงหลงเยวี่ยเก็บตัวจนแทบจะเรียกได้ว่าปิดตาย เรื่องอวมงคลไม่กล้าพูด เรื่องมงคลก่อนจะพูดก็ยังต้องดูสีหน้าเจ้านายก่อน เมื่อตัดสินชี้ขาดได้ยากว่าควรพูดหรือไม่ เพื่อมิให้นายหญิงที่มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ขุ่นเคืองจนมีภัยมาสู่ตน จึงเลือกที่จะไม่พูด


จือซินประคองถ้วยชาออกจากมือของหลงเยวี่ย ถ้วยชาลายครามวาดลายสัตตบงกชงดงามนี้นางจำได้ว่าหลงเยวี่ยโปรดปรานมาก จึงถือออกมาวางให้ห่างจากนาง “เจ้าค่ะ” จือซินมีสีหน้าอึกอัก หลงเยวี่ยขมวดคิ้วนางไม่ชมชอบสีหน้าเช่นนี้เป็นที่สุด “มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น!”


จือซินมีรอยยิ้มเย็นชืดประดับที่ริมฝีปาก “เวลานี้เป็นลู่เจาอี๋แล้วเจ้าค่ะ”


หลงเยวี่ยเบิกตากว้างดวงตาสั่นไหวอย่างสุดจะกลั้น ฝ่ามือกำแน่นราวกับจะจิกให้ถึงเนื้อ ดวงหน้าปรากฏรอยประหวั่นพรั่นพรึ่งไม่กล้าเชื่อ “เป็น…เป็นไปได้…อย่างไรกัน….” เพียงแค่สามวันเท่านั้น…เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นจากเหม่ยเหรินก็กลายเป็นเจาอี๋แล้ว “ทรงโปรดปรานนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”


ดวงตาของนางปรากฏรอยน้ำตาคลออย่างเลือนราง


จือซินส่งสายตาให้นางกำนัลในตำหนักหลบออกไปด้านนอก ประตูเรือนถูกปิดลงแสงเจือจางสลัวทำให้ตำหนักย่อยแลดูว้าเหว่ขึ้นมา


หลงเยวี่ยเจ็บปวดที่กลางใจ นางเข้าวังมาทีหลังย่อมไม่รับรู้ถึงช่วงรุ่งเรืองของเว่ยเจียเสียนอี๋ แต่กลับสดับรับรู้ในทุกย่างก้าวของลู่เจาอี๋ ท่วงท่าอันงดงามประหนึ่งวาดเขียน การวางตัวที่เหมาะสมจนยากหาข้อตำหนิ แม้จะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสนมนางในก็พลันอันตรธานหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมา


นางไม่เคยวาดหวังถึงตำแหน่งไท่โฮ่วมาก่อน เพียงแต่คิดว่าหากได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทเพียงสักนิดก็คุ้มค่าแล้ว มีชีวิตเป็นสนมคนโปรดก็เพียงพอแล้ว ทว่าสายตาที่ฝ่าบาทมองหญิงสกุลลู่ในวันนั้นช่างเปี่ยมด้วยความเสน่หา กาลเวลาผ่านมาไม่กี่ราตรีก็เลื่อนยศสองขั้น ยากจะไม่ตื่นตระหนก


“...ข้ายังมีโอกาสอีกหรือ”


กาลก่อนมีเว่ยเจียเสียนอี๋กับเฮ่อถูเจี๋ยอวี๋ เวลานี้มีลู่เจาอี๋ สาวงามประดุจดอกไม้ให้ฝ่าบาททรงเชยชมและทอดทิ้ง หลงเยวี่ยคือดอกไม้หนึ่งที่เบ่งบานในพระราชวังต้องห้ามนางย่อมมีโอกาสอย่างแน่นอน แม้นางจะหุนหันพลันแล่นอย่างไรก็ไม่ถึงกับโง่งมสมองเลอะเลือนจะต้องรู้ความจริงข้อนี้ดี ที่ยังรำพึงว่า มีโอกาสอีกหรือ ก็เป็นเพราะความคาดหวังที่จะเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของบุรุษที่ตนรักมั่น


ในครอบครัวของหลงเยวี่ยไม่ได้เคร่งครัดเรื่องหนึ่งสามีภรรยาแต่ก็ไม่มีบ้านน้อยและแม่รองเช่นบ้านอื่น บุรุษให้ความเคารพเทิดทูนภรรยา อีกทั้งสะใภ้ที่แต่งเข้ามาก็ให้กำเนิดบุตรชายมากมายจึงไม่มีข้อขัดแย้งเรื่องทายาท จนมาถึงรุ่นของพี่ใหญ่เจวี๋ย (ตวนมู่เจวี๋ย) พี่สะใภ้ใหญ่ให้กำเนิดบุตรสาวซึ่งถือเป็นลางไม่ดี จึงถูกกดดันให้รับอนุภรรยาเข้ามา แม้พี่สะใภ้ใหญ่จะมาจากตระกูลบัณฑิตที่นับถือขนบขงจื๊อ แต่เมื่อเห็นสามีของตนร่วมหอนอนเคียงกับอนุภรรยาก็มีสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนจนมิอาจรับน้ำชาคารวะ ความคับแค้นใจนี้ก็คงมีแต่ผู้ที่เปี่ยมด้วยรักจึงจะต้องทุกข์ทน


จือซินเห็นเจ้านายของตนคล้ายไร้สติก็รินชาร้อนใส่ถ้วย นั่งลงกุมมือนางให้โอบถ้วยเอาไว้ ถ้วยกระเบื้องร้อนจนหลงเยวี่ยสะดุ้ง ทว่าแรงบีบของจือซินไม่เบาทำให้นางไม่สามารถถอดมือ หัวใจที่เบาหวิวจนคล้ายดอกสาลี่ที่ปลิวไปค่อยๆ หวนคืนกลับมา


นางลูบปลอบฝ่ามือของหลงเยวี่ยอย่างบางเบา “ถึงอย่างไรฝ่าบาทและคุณหนูก็เคยมีบุญวาสนาต่อกันมาก่อนสมัยยังเด็กพระองค์ก็เมตตาคุณหนูเป็นอย่างมาก จะไร้โอกาสได้อย่างไรเจ้าคะ…เป็นเพราะคุณหนูมีใจให้ฝ่าบาทถึงได้เศร้าโศกเสียใจเมื่อเห็นพระองค์โปรดหญิงอื่นเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองมาตลอด นายหญิงผู้เฒ่าจึงรักใคร่เอ็นดูคุณหนูมากที่สุด ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่นายหญิงผู้เฒ่าเป็นกังวลมากที่สุด วันนี้แม้จะต้องเสี่ยงถูกท่านลงโทษที่บ่าวบังอาจก้าวล่วงเจ้านาย ก็จำต้องนำความของนายหญิงผู้เฒ่ากล่าวเตือนสติท่านให้ได้…”


หลงเยวี่ยเคลื่อนสายตามองนาง “ปณิธานหนึ่งเดียวในใจของท่านคือกำจัดศัตรูร้ายที่เข่นฆ่านายท่านอาวุโส นายท่าน และคุณชายในปีนั้นจนสิ้นชีพ ทำให้จวนสกุลเรามีชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัว… ในยามนั้นการเข้าวังเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ท่านมีอำนาจเพียงพอที่จะทำสิ่งนั้น คุณหนูต้องการเป็นที่โปรดปรานก็เพื่อให้รู้ถึงลึกตื้นหนาบางของศึกระเบียงเหอซี ทว่าท่านเป็นผู้ที่มีน้ำใจงาม นายหญิงผู้เฒ่าเกรงว่าจะเกิดลังเลเพราะหัวใจซื่อตรงที่มีต่อฝ่าบาท”


“หลายวันมานี้ท่านเห็นฝ่าบาทโปรดปรานหญิงอื่นก็เสียใจ ลืมเลือนสถานะพระสนมของตนเองจนสิ้น บัดนี้ที่นี่คือวังหลวงมิใช่จวนสกุลตวนมู่อีกแล้ว แม้ท่านจะเสียใจไม่ยินดีก็จำต้องท่องจารีตของสตรีใส่พระทัยฝ่าบาทให้มากๆ แม้ใจจะเจ็บปวดก็จะต้องยิ้มให้กว้างเมื่อพบกับพระสนมอื่น… คุณหนูของบ่าวมีจิตใจที่ดีอย่างไรท่านก็ไม่คิดจะทะเลาะวิวาทกับสตรีอื่นอย่างเด็ดขาด” แม้จะคิดเช่นนั้นจือซินก็ไม่อาจวางใจ นิสัยไม่ครุ่นคิดให้มากความของหลงเยวี่ยน่าปวดหัวเป็นที่สุด ดังที่คาด— หลงเยวี่ยที่ถูกความตั้งใจเดิมชักจูงจนคลายจากความเศร้าแค่นหัวเราะ “หรือข้าจะต้องทนให้พวกนางข่มเหงหรือ?” กล่าวกันว่า พยัคฆ์ตกที่ราบลูกสุนัขรังแก นางไม่ยอมเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด 


หลงเยวี่ยพกพาความหยิ่งผยองมาเต็มหัวใจไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะต้องเผชิญความทุกข์เพราะรักมากเกินไป


ปราณสังหารประดุจเจอเทพฆ่าเทพแผ่ซ่านออกมา หลงเยวี่ยเป็นคุณหนูสกุลใหญ่จึงมีกิริยาเย่อหยิ่งและอารมณ์ร้อนไปบ้าง ทว่าจือซินรับใช้มานานย่อมเข้าใจดีว่านางไม่ชมชอบรังแกผู้ใดก่อน เพียงแต่บางเรื่องก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน “ลู่เจาอี๋มีบารมีของไท่โฮ่วคอยคุ้มครอง จางกงกงก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดี อีกทั้งเสียนอี๋สกุลเว่ยเจียและนางก็มีความสัมพันธ์อันดี วังหลังมีคนจ้องจะเล่นงานนางมากมาย ครั้งก่อนท่านเคยถูกใส่ความเพราะมีคนของทัพพยัคฆ์ตวนมู่อาศัยอยู่ในวัง แม้พวกเขาและชาวระเบียงเหอซีจะเป็นขุมกำลังที่มีค่าของท่าน แต่ก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน หากมีพระสนมที่ได้รับอันตรายก็สามารถป้ายสีท่านได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเมื่อนางประสบเคราะห์ภัยท่านอย่าได้วางเฉยเด็ดขาด”


จือซินปล่อยให้หลงเยวี่ยค่อยๆ ใคร่ครวญ หลงเยวี่ยคลายความกลัดกลุ้มในที่สุด นางเหม่อมองออกไปนอกกำแพงสีแดง ขอบฟ้าครามกระจ่างราวกับอัญมณีแต่งแต้มด้วยเมฆาเพียงน้อยนิด ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งแก่หัวใจ “วังหลังซับซ้อนดำมืด ผู้ที่มีวาสนาสูงส่งคือผู้ที่มีชีวิตอย่างสดใสจนถึงวันพรุ่ง” หญิงสกุลลู่มีวันพรุ่งที่สดใสจะไหนเลยจะยังต้องใส่ใจว่านางวางเฉยหรือไม่ “แต่ละวันข้ามีชีวิตอย่างไรแก่นสาน หากไม่มีเจ้าคอยเตือนสติ เกรงว่าความวาดหวังคงจะต้องดับสิ้นลงไปแล้ว”


“คุณหนูปราดเปรื่องเช่นนี้บ่าวก็วางใจ…ขอท่านดื่มชาเพื่อผ่อนคลายก่อนนะเจ้าคะ”


จือซินตัดดอกเบญจมาศสดนำกลีบดอกโปรยลงในถ้วยชา เติมน้ำร้อนและน้ำผึ้งหมักดอกหอมหมื่นลี้ ปิดผาถ้วยชาแล้วผสมให้เข้ากัน เมื่อเปิดออกมาก็มีกลิ่นที่หอมชวนดื่ม หน้าที่ของนางเวลานี้คือคัดบทสวดมนต์เพื่อถวายแก่ไท่โฮ่ว หญิงสาวรับอาหารเที่ยงแล้วก็ขังตัวไว้ในห้องอบอุ่นข้างพระตำหนัก บรรจงขัดบทสวดมนต์ต่อ


อักษรสีหมึกร้อยเรียงลงบนหน้ากระดาษขาว กล่าวถึงเทพีผู้เป็นใหญ่ในสามพิภพ “เทพบรรพกาลซ่างกู่ผู้ปกครองบรรพสวรรค์ องค์สัจจเทพอี๋เหอมหาอติเทพ ทรงห่วงใยกลียุคครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นแก่โลก ทรงเปี่ยมด้วยมหากรุณาจิต ดำเนินการเผยแผ่คุณธรรมน้อมนำมนุษย์เพื่อฉุดช่วยให้พ้นผ่านทุกข์เข็ญทั้งปวง ทรงเกื้อกูลสงเคราะห์หมู่ชน กุลบุตรทั้งหลาย หลักคำสอนต้องไม่ห่างจากกุศลธรรม แลคุณธรรมต้องไม่ห่างจากจิตใจ ด้วยอนุสัยเดิมของมนุษย์พิสุทธิ์สะอาดด้วยฟ้าลิขิต พึงน้อมนำใจคืนกลับสู่สัจจะวิถีนั้น ดังนั้นจงตั้งใจปฏิบัติตามธรรมทั้งหลายนี้ ไม่ฉ้อฉลข่มเหง ไม่ปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่เหย่อหยิ่งจอง ไม่เกียจคร้านเฉื่อยชา เพื่อให้โลกมนุษย์ปราศจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ทั้งไม่ให้ร้ายทำลายกัน ไม่ทะเลาะวิวาทบาดหมางต่อกัน”


ถ้อยสำนวนในพระคัมภีร์ที่คัดทำให้หัวใจของหลงเยวี่ยสงบลงมาก กระนั้นความรู้สึกไม่เห็นด้วย “อนุสัยเดิมของมนุษย์พิสุทธิ์สะอาด”  ช่างขัดกับ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” และ “ปลาไวกินปลาช้า” ยิ่งนัก อีกทั้งความมุ่งมาดที่จะกำราบปีศาจก็เป็นความอยู่รอดที่มนุษย์คำนึงอยู่ทุกขณะจิต ทว่ามนุษย์ผู้หลงงมงายในธุลีดินแดงเฉกเช่นหลงเยวี่ยไฉนจะเข้าใจความคิดล้ำลึกของปราชญ์ผู้อยู่เหนือผู้คนเล่า


ย่อมไม่ต่างกับเรื่องเล่าการพบกันของขงจื่อและเล่าจื่อ


ถ้อยอักษรยังคงจารจดลงบนแผ่นกระดาษต่อไป ประดุจไม่มีวันจบสิ้น


“จงทำใจให้ใสบริสุทธิ์ดุจดวงจิตเดิมของความเป็นมนุษย์ บำรุงรักษาพลังชีวิตให้มีกำลังขวัญอยู่เสมอ เช่นนี้ก็ปลอดพ้นพิบัติภัยจากน้ำ ไฟ ศัสตราวุธ และสงคราม ปราศจากเคราะห์ฆาต โรคระบาด โพยภัยนานา มีความเป็นอยู่อย่างสงบและสมถะ สติปัญญาก็จะสะอาดและสว่าง พึงหมั่นสวดภาวนาคัมภีร์คุณธรรมนี้ก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อพ้นจากสังสารวัฏไปสู่อริยภูมิ เมื่อจิตใจเปิดกว้างร่างกายก็สมบูรณ์พูนสุข ครอบครัวจะร่มเย็นเป็นสุข สวรรค์ก็ประทานลาภยศสรรพสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลบันดลให้มีความเจริญรุ่งเรือง ด้วยศรัทธาอันมิอาจหาสิ่งใดเทียบ ก็จะเข้าถึงหลักแห่งธรรมวิถีซึ่งประณีตวิเศษสุด ด้วยปสาทะความจริงใจในจิตวิญญาณ”


จวบจนรุ่งเช้าวันที่เก้าเวียนมาถึง บทสวดจำนวนหนึ่งก็วางเรียงทับซ้อนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะเขียนหนังสือ


หลงเยวี่ยนวดฝ่ามือเบาๆ พอดีกับที่จือซินเข้ามาปรนนิบัติล้างหน้า แปรงฟัน และอาบน้ำ จิตที่วุ่นวายของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลงมามาก นางกำนัลเตรียมน้ำอุ่นกำลังพอเหมาะ ในน้ำแช่ด้วยสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผิว และโปรยด้วยกลีบดอกกุหลาบ กลีบดอกหอมหมื่นลี้ จนมีกลิ่นหอมรัญจวนใจ เตาเครื่องหอมจุดกลิ่นเฟยฮวาเทียนเซียงที่อ่อนละมุนหอมติดปลายจมูก หลงเยวี่ยจึงคลายความเหน็ดเหนื่อยตลอดหลายวันที่ผ่านมา


เมื่อตอนที่ตื่นจากการนอนกลางวันขึ้นมารับอาหารมื้อเที่ยง นางกำนัลในตำหนักจัดสำรับอาหารรสชาติอ่อนมาเป็นโจ๊กเนื้อข้นที่เมล็ดขาวสุกอวบขาววาววามน่ารับประทานมาก กินคู่กับผัดผักและผักดอง ให้ความรู้สึกเข้ากันเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีน้ำซุปใสที่เกิดจากการเคี่ยวผักที่มีรสหวานจนงวด กรองเฉพาะน้ำที่ใส่และหวานหอมมาขึ้นโต๊ะ หลงเยวี่ยเอ่ยชมคนจัดสำหรับไปหลายคำ พลันได้ยินเสียงดังโครมมาจากห้องอบอุ่นปีกข้างพระตำหนัก หัวใจของหลงเยวี่ยพลันสะดุดขึ้นมา


จากนั้นจึงมีเสียงดุด่าตำหนิ “เจ้าทำงานประสาอะไร! นี่เป็นกระดาษคัดลอกบทสวดมนต์ที่นายหญิงน้อยตั้งใจคัดมาตลอดหลายวัน เจ้าทำเช่นนี้จงใจใช่หรือไม่! หุบปาก! จะร้องไห้ให้ได้อะไรขึ้นมา กระดาษกลายเป็นเศษขี้เถ้าไปหมดแล้ว! เจ้ามีกี่ชีวิตกันจึงจะชดใช้ได้หมด”


หลงเยวี่ยวางตะเกียบกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง นางถลันตัวลุกขึ้นวิ่งปราดไปที่ห้องอบอุ่น แม้แต่จือซินยังวิ่งตามไม่ทัน เมื่อไปถึงก็เห็นนางกำนัลหญิงสองคน คนหนึ่งคือเซี่ยเหลียนที่เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ อีกคนคือชิ่งเอ๋อร์สาวใช้รุ่นเยาว์ที่คล่องแคล่วว่องไว จือซินถูกใจนางจึงให้มารับใช้ในตำหนักแทนพวกเซี่ยเหลียนที่ถูกลงโทษเมื่อคราวนั้น


บนโต๊ะมีกองกระดาษกองหนึ่งมุมกระดาษมีรอยถูกไฟเผาไหม้


ชิ่งเอ๋อร์น้ำตานองหน้าเอ่ยว่า “บ่าวผิดไปแล้ว” พลางโขกหน้าผากจนแดงเถือก หลงเยวี่ยเห็นความตั้งใจตลอดหลายวันของนางถูกไฟลามเลียไปต่อหน้าก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ปรี่เข้าไปคิดจะตบหน้าชิ่งเอ๋อร์! แม้อย่างไรกระดาษเหล่านี้จะต้องถูกเผาก็ต้องให้ไท่โฮ่วได้เห็นก่อนไม่เช่นนั้นวันงานพรุ่งนี้นางจะต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน


ทว่าฝ่ามือกลับถูกจือซินคว้ายึดเอาไว้เสียก่อน “นายหญิงน้อยโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ กระดาษถูกไฟเผาไปแล้วไม่อาจกอบกู้กลับคืนมาได้ ตบตีชิ่งเอ๋อร์ไปก็ไม่มีประโยชน์พวกเราหาวิธีอื่นกันเถอะนะเพคะ”


หลงเยวี่ยวู่วามไปชั่วครู่ชั่วคราว ได้ยินเสียงเตือนสติก็สงบใจ ใบหน้าของนางบึ้งตึง “นอกจากชิ่งเอ๋อร์และจือซิน ออกไปให้หมด!”


ความโกรธแล่นจากช่องท้องจุกอยู่ที่หน้าอก นางหยิบแจกันเคลือบชั้นดีที่วางอยู่มุมหนึ่งปาลงพื้นเกิดเสียงเพล้ง! ดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนต่างก็รู้ว่านางเกรี้ยวกราดรอเพียงแต่จะปะทุขึ้นมาเมื่อใด ครั้งนี้เป็นชิ่งเอ๋อร์ที่เคราะห์ร้ายต้องถูกระบายอารมณ์


หญิงสกุลตวนมู่มีกำลังวังชาหากตบตีบ่าวรับใช้จะต้องทิ้งร่องรอย ถึงแม้การตบตีบ่าวไพร่จะมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปจะต้องถูกตั้งคำถามถึงคุณธรรมแน่ อีกทั้งหากมีบ่าวไพร่ตายในตำหนักของตนเอง จุดจบคงจะต้องมาถึงอย่างรวดเร็ว


เซี่ยเหลียนลอบคิดคำนวณในใจ รอยยิ้มวาดผ่านดวงหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าออกห่างจากห้องอบอุ่น


ด้านในห้องอุ่นซึ่งถูกปิดตายจนแม้แต่เงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในยังมองไม่เห็น จือซินประคองหลงเยวี่ยนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยด้านหลังโต๊ะเขียนอักษร เอ่ยรายงานเสียงเรียบหลังรอจนเงาด้านนอกหายไปแล้ว “มีเพียงสิบฉบับเท่านั้นเพคะ ที่เหลือสอดไส้ด้วยกระดาษเปล่า”


“ดีที่เจ้าไหวตัวทันถึงคิดแผนซ้อนแผนเช่นนี้ขึ้นมาได้” หลงเยวี่ยปรายสายตามองชิ่งเอ๋อร์ที่กำลังลังเลระคนหวั่นใจว่าจะทำเช่นใดกับถ้วยชาลายครามในมือ ดวงหน้าเปรอะหยาดน้ำตาสะอื้นเบาๆ หลงเยวี่ยเผยรอยยิ้มละไม “ไม่เป็นไรนะ— เจ้าปาถ้วยชาเหล่านั้นต่อไปไม่ต้องกังวล ร้องไห้ดังๆ จะดียิ่ง”


ชิ่งเอ๋อร์พยักหน้าดวงตาสุกใสของนางวาววามด้วยหยาดน้ำตา มองหลงเยวี่ยจิบชาร้อน “นายหญิงน้อยให้หม่อมฉันคัดแทนนะเพคะ…”


หลงเยวี่ยหรี่เสียงลง หัวคิ้วขมวดมุ่น “คัดบทสวดมนต์เป็นงานที่ละเอียดอ่อน เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า”


ชิ่งเอ๋อร์เป็นเด็กดี ครู่เดียวก็ปล่อยน้ำตามามายร่วงหล่นลงมา พลางส่งเสียงสะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว กรี๊ด—” และอีกมากมายที่นางคิดจะสรรหาขึ้นมาได้ หลงเยวี่ยรู้สึกปวดหัว จึงให้นางแสร้งเจ็บตัวจนสลบและถูกลากออกไป จากนั้นก็เริ่มต้นคัดบทสวดมนต์ต่ออีกเล็กน้อยจนครบ 88 บท


ขอนอบน้อมแด่องค์เทวราชอี๋เหอผู้เป็นมเหศักดิเทพ

ทรงมหาเมตตาคุณอันวิเศษยิ่งด้วยเดชไพบูลย์

ขอจงประทานความเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ทั่วหน้า

มวลควันธูปลอยลู่สู่สวรรค์ทุกชั้นฟ้า

เป็นสื่อพาดลบันดาลวิญญาณได้

คนกับเทพสื่อสัมพันธ์โดยทางใจ

ด้วยศรัทธาสัมผัสได้ถึงฟ้าเบื้องบน

ขอนอบน้อมต่อปวงพระอริยเจ้า

และทวยเทพยดาทั้งหลาย

.

.

.

cr.  บทสวดเต๋า จี้กง และบทอัญเชิญเซอร์แวนต์

คนกำยำ สกิลพิเศษฝึกฝนยุทธ์
     +2 Point เมื่อ Level up ( LV. 18 )

คราฟท์ บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
     โรลเพลย์ (โดยสวมพู่กัน) คัดบทสวดมนต์ จำนวน 20000 ไบต์ 1 โรลเพลย์ [เช็ค]
     ส่งม้วนกระดาษ 8 แผ่น และ แท่นหมึก 8 แท่น มาที่ไอดี Admin [เช็ค] 



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 68715 ไบต์และได้รับ 36 EXP!  โพสต์ 2024-8-20 20:56
โพสต์ 68,715 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2024-8-20 20:56
โพสต์ 68,715 ไบต์และได้รับ +8 EXP +25 ความชั่ว +35 ความโหด จาก คนกำยำ  โพสต์ 2024-8-20 20:56
โพสต์ 68,715 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)  โพสต์ 2024-8-20 20:56
โพสต์ 68,715 ไบต์และได้รับ +3 EXP +10 คุณธรรม +10 ความโหด จาก ผีผา  โพสต์ 2024-8-20 20:56
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x5
x2
x19
x4
x1
x4
x8
x9
x2
x3
x5
x4
x2
x1
x2
x1
x3
x5
x2
x4
x20
x1
x7
x3
x1
x2
x6

3

กระทู้

122

ตอบกลับ

3259

เครดิต

เริ่มมีชื่อเสียง

พลังน้ำใจ
2168
ตำลึงทอง
110
ตำลึงเงิน
441
เหรียญอู่จู
15357
STR
66+13
INT
65+0
LUK
0+5
POW
50+0
CHA
15+0
VIT
13+5
คุณธรรม
2377
ความชั่ว
1202
ความโหด
2595
โพสต์ 2024-9-14 11:37:19 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Longyue เมื่อ 2024-9-14 11:39





CHAPTER 27.1

วันที่สามเดือนเก้าแห่งรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบ
วันอังคาร ตลอดวัน

เดือนแปดลับหายไปอย่างรวดเร็วเพียงครู่เดียวหลงเยวี่ยก็อาศัยที่วังหลวงต่างบ้านได้ถึงหนึ่งเดือนแล้ว ขณะที่อยู่ในพระราชวังหลงเยวี่ยยังคงแต่งกายอย่างหรูหรางดงามโบกพัดเล็กๆ ให้สำราญใจ มีเวลาว่างก็ดีดผีผาและเดินหมากกับตนเอง…กาลเวลาผ่านไปอย่างเงียบเหงา กระทั่งเมื่อใกล้เริ่มใหม่จึงได้มีแก่ใจวางงานอดิเรกของสนมนางในมาคัดอักษร

นางเคยคัดบทสวดมนต์กับท่านย่าจนชิน มาเวลานี้ก็ยังคงรู้สึกสบายใจที่จะทำเช่นเดิม ในหีบของที่นำมาจากบ้านเก่ามีม้วนคัมภีร์ทางศาสนาหลายชิ้น เนื่องจากไม่ได้ถูกบีบคั้นด้วยระยะเวลา หลงเยวี่ยจึงค่อยๆ คัดอย่างอลุ่มอลวยแก่ตนเอง นางพลิกหน้ากระดาษของคัมภีร์

ใต้หล้าฟ้านี้ เทพเทวผีสางต่างตื่นกระหนกกระวนกระวายไม่สงบสุข เพราะถึง ยุคสุดท้ายมหันตหภัยจะกวาดล้างทั้งสามโลก แต่เบื้องบนปรกโปรดประทานหนทางรอด แก่ชีวิตจิตญาน ที่จะเก็บไว้เป็นกุศลพันธุ์ต่อไปในกาลข้างหน้าได้ ทุกชีวิตจิตญาน จึงต่างวุ่นวายใฝ่หาพระวิสุทธิอาจารย์ผู้นำทาง

ปลายพู่กันจุ่มลงในถาดหมึก ป้ายตวัดตัวอักษรลงบนแผ่นกระดาษขาว ราวกับว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ลืมวันเวลา ทว่ายิ่งหลงเยวี่ยคัดอักษรมากเท่าใดก็ยิ่งชำนาญมากเท่านั้น ระยะเวลาย่นสั้นลง ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือลายอักษรที่ตวัดอย่างคมกล้า…

วันนั้นใช่ว่านางจะไม่เข้าใจที่ไทเฮาตรัสแนะนำ ‘อักษรคมราวกับมีด’ กล่าวถึงนิสัยของนาง ทว่าแม้จะทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ก็เป็นสิ่งที่วางไม่ลง

พู่กันของนางยังคงตวัดราวกับใบมีด มองเผินๆ ไม่คล้ายสตรีฝักใฝ่ทางธรรมคัดอักษร กลับเหมือนนักพรตกำลังฝึกวิชาดาบ จรดอักษรวาดแขนเนิ่นนานถึงสองชั่วยามหลงเยวี่ยถึงหยุดพัก

จือซินยกสำรับอาหารเข้ามา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโจ๊กลูกบัวโชยบางเบา นางมีสีหน้าเฝื่อนฝืดขณะฉีกยิ้มเอ่ยเอาใจ “นายหญิงน้อยคัดได้ไวนัก ท่านพักเหนื่อยแล้วรับสำรับนี้สักครู่เถิด ลูกบัวเหล่านี้เพิ่งเก็บมาจากทะเลสาบกำลังหวานได้ที่ โจ๊กเพิ่งต้มร้อนๆ บ่าวยังเสริมสมุนไพรที่ช่วยคลายอาการล้าและบำรุงสายตาเพิ่มเข้าไป มีประโยชน์นัก”

“เป็นโจ๊กอีกแล้วหรือ?”

“เพคะ ทางสำนักครัวหลวงเอ่ยว่าระยะนี้เสบียงอาหารแพงขึ้นมาก ขอให้ฝ่ายในช่วยกันประหยัด…”

“เฮอะ…” หลงเยวี่ยป่ายน้ำชา ยกขึ้นจิบ แล้วเอ่ยเสียงละไม “เกรงจะมีแต่เรือนของข้ากระมังที่จะต้องประหยัด”

จือซินไม่ต่อคำคงเพราะคิดในทางเดียวกัน เพลิงในใจลุกโหมเพียงชั่วคราวก็ดับลง “เอาเถอะ— ข้าไม่มีแก่ใจจะวิวาทกับผู้ใด ระหว่างออกไปด้านนอกข้าได้ของมามาก ส่วนหนึ่งติดสินบนขันทีน้อยแซ่อวี๋ช่วยจัดการให้ ของของข้าเจ้าก็รอรับจากเขาแล้วกัน…”

จือซินรับคำ เมื่อปรนนิบัติหลังมื้ออาหารแล้วเสร็จ ก็ยกสำหรับออกไปทิ้งชิ่งเอ๋อร์ให้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ตอนคัดอักษร

ครั้งก่อนเซี่ยเหลียนทำเรื่องงามหน้านัก จือซินจึงส่งนางไปที่สำนักลงทัณฑ์แล้ว คนในตำหนักเมิ่งเหยาจึงพลอยสงบเสงี่ยมลงอีก หลงเยวี่ยคัดอักษรต่อเนื่องจากบทที่แล้ว พู่กันอ่อนยามอุ้มน้ำหมึกปาดลงหน้ากระดาษ บางคราวเมื่อมีคำผิดก็จำต้องคัดใหม่ทั้งแผ่น

เป็นกุศโลบายที่ทำให้จดจ่อ หลงเยวี่ยจึงค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องอื่นไป

ทุกชีวิตจิตญาน จึงต่างปรารถนาจะสนิทชิดใกล้ฟ้าอันการุณ กลับคืนไปยังอนุตตรธรรมมารดา จึงต่างใคร่รู้ธรรมญานอันเจิดจรัสในศูนย์กลางกายแห่งตน อีกนัยหนึ่ง คือ ต่างปรารถนาชิดใกล้ พระอริยมาตาจงฮว๋า พระผู้ทรงรับพระภาระเก็บจิตวิญญาณอันเจิดจรัส ของผู้บำเพ็ญดีทุกคน เรียกว่า เก็บงานสมบูรณ์ผล ช่วงสุดท้ายในการปรกโปรดครั้งนี้

อักขระภาพบนหน้ากระดาษร้อยเรียงทีละตัวอย่างหนักแน่นมั่นคง การคัดอักษรกินเวลามากความจริงนี่ก็ล่วงเข้าวันที่เจ็ดแล้ว หลงเยวี่ยวางพู่กันลงแล้วนำกระดาษที่เพิ่งคัดเสร็จไปผึ่งตากให้แห้ง ชิ่งเอ๋อร์ทยอยนำกระดาษที่แห่งแล้วมาซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบ พลางช่วยชุนเย็บกระดาษแต่ละแผ่นให้กลายเป็นหนังสือเล่ม

ผ่านไปจนล่วงเข้าสู่ยามอาทิตย์ตรงหัว ผืนดินไร้เงา พระคัมภีร์ก็มีมากมายถึงเจ็ดสิบเจ็ดบท หลงเยวี่ยยังคงคัดบทต่อจนถึงยามสายัณห์ ใกล้ตะวันรอนร่างของจือซินก็ยอบกายลงตรงหน้า เอ่ยว่า “จี๋รุ่ยกูกู่ นางกำนัลจากตำหนักเซวียนเต๋อมาขอพบนายหญิงน้อยเจ้าเพคะ เวลานี้รอท่านอยู่ที่ห้องรับรอง”

“ข้ารู้แล้ว ชิ่งเอ๋อร์…” ชิ่งเอ๋อร์เข้ามาประคองแขนของหลงเยวี่ยไปที่ห้องรับรอง พบนางกำนัลหญิงที่คุ้นหน้ากันดียอบกาย พลางเอ่ยถวายการเคารพตามระเบียบ หลงเยวี่ยบอกปัดตามมารยาท อีกฝ่ายจึงเอ่ยต่อว่า “วันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงวันไทเฮามีพระประสงค์เสด็จพระราชดำเนินไปที่ศาลเจ้าแห่งสัจจเทพอี๋เหอที่นอกวังหลวง ทรงนึกถึงนายหญิงน้อยจึงมีรับสั่งให้ท่านตามเสด็จไปด้วยเพคะ ”

หลงเยวี่ยยิ้มพลางเอ่ยรับพระราชเสาวนีย์ “ฝากจี๋รุ่ยกูกู่ขอบพระทัยไทเฮาแทนข้า พวกเราเป็นคนใกล้กัน เชิญดื่มชาพักผ่อนเสียหน่อยค่อยกลับไปเถิด”

“หม่อมฉันจะเรียนให้ไทเฮาทราบเพคะ” จี๋รุ่ยยิ้มบางแฝงความสุขุมตามฉบับของตำหนักเซวียนเต๋อ “หม่อมฉันมีงานในตำหนักที่ยังคั่งค้างไม่อาจรับน้ำใจนายหญิงน้อย”

หลงเยวี่ยพยักหน้าให้จือซิน นางหยิบเงินกำนัลถุงเล็กมอบให้อีกฝ่ายตามมารยาทก่อนให้เสี่ยวโหย่วจื่อเดินไปส่งนาง ชิ่งเอ๋อร์ยิ้มร่าเริง “ไทเฮาทรงเมตตานายหญิงน้อยยิ่งนัก หม่อมฉันทราบมาว่านอกจากนายหญิงน้อย ก็มีนายหญิงอื่นๆ ไม่กี่พระองค์ที่ได้ตามเสด็จไทเฮาไปสวดมนต์ไหว้พระ”

หลงเยวี่ยยิ้มบาง ไทเฮาทรงเห็นคุณค่าของนางแม้เพียงเล็กน้อย ชีวิตในพระราชวังก็ไม่ลำบากแล้ว นางสนมซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นหลงเยวี่ย เวลานี้ไม่มีผู้ใดฉวยโอกาสรังแก ก็เพราะระยะหลังไปมาหาสู่กับไทเฮาเป็นประจำ กล่าวกันว่าตีสุนัขต้องดูเจ้าของ หลงเยวี่ยประหนึ่งคนของตำหนักเซวียนเต๋อ ผู้ใดจะข่มเหงนางก็ต้องดูสีพระพักตร์เจ้าของตำหนักตะวันตกบ้าง การกระทำของนางอาจมิใช่เพื่อหวังผลในลักษณะนี้ ทว่าความกรุณาของไทเฮาเป็นดั่งยันต์คุ้มภัย…นั่นคือเรื่องจริง

จือซินดุชิ่งเอ๋อร์เบาๆ “วาจาของเจ้าพูดในที่รโหฐานได้ แต่จงระวังอย่าพูดต่อหน้าผู้อื่นให้ถูกหัวเราะเยาะ จะถูกตำหนิเอาได้ว่านายหญิงน้อยของเราโอ้อวด”

“ข้าไม่กล้าแล้ว…” ชิ่งเอ๋อร์ยังเด็กถูกตำหนิเท่านี้ก็หน้าซีดแล้ว กระนั้นก็สดชื่นไว้นัก หลังปรนนิบัตินางรับอาหารเย็นก็รีบหยิบจับตระเตรียมกระดาษให้หลงเยวี่ยคัดอักษรอยู่จนดึกดื่น

พรุ่งนี้มีนัดหมายไหว้พระกับไทเฮานางจึงเร่งคัดพระคัมภีร์ให้เสร็จวันนี้ ยามราตรีสงัดยังคงมีเสียงกระดาษแผ่วเบาจากตำหนักเล็กในหมู่พระตำหนักเมิ่งเหยา ดังคลอเคล้ากับสายลมให้ได้ยิน

ทุกชีวิตจิตญานต่างปรารถนาจะปฏิบัติบำเพ็ญในศาสนา อันอาจบรรลุมรรคผลแห่อริยะ กลับไปยังยานระดับสูงประทับบนบัลลังค์บัวเก้าระดับ

cr. บทสวดคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ

และเงียบหายไปก่อนรุ่งเช้าของวันใหม่จะเบ่งบาน

คราฟท์ บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก

โรลเพลย์ (โดยสวมพู่กัน) คัดบทสวดมนต์ จำนวน 20000 ไบต์ 1 โรลเพลย์ [เช็ค]

ส่งม้วนกระดาษ 8 แผ่น และ แท่นหมึก 8 แท่น มาที่ไอดี Admin [เช็ค]

@@Admin 



แสดงความคิดเห็น

โพสต์ 21522 ไบต์และได้รับ 12 EXP!  โพสต์ 2024-9-14 11:37
โพสต์ 21,522 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 ความชั่ว +8 ความโหด จาก บาดเจ็บสาหัส  โพสต์ 2024-9-14 11:37
โพสต์ 21,522 ไบต์และได้รับ +3 EXP +6 คุณธรรม จาก พู่กันคัดอักษร  โพสต์ 2024-9-14 11:37
โพสต์ 21,522 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 ความชั่ว +15 ความโหด จาก คนกำยำ  โพสต์ 2024-9-14 11:37
โพสต์ 21,522 ไบต์และได้รับ +5 EXP +10 คุณธรรม +6 ความโหด จาก ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)  โพสต์ 2024-9-14 11:37
←อุปกรณ์ที่สวมใส่อยู่→
นักสู้
บทสวดมนต์ฉบับคัดลอก
บาดเจ็บสาหัส
พู่กันคัดอักษร
ชุดเหวินเฉิน(เหม่ยเหริน)
ผีผา
←ไอเท็มที่มีอยู่→
x1
x1
x5
x2
x19
x4
x1
x4
x8
x9
x2
x3
x5
x4
x2
x1
x2
x1
x3
x5
x2
x4
x20
x1
x7
x3
x1
x2
x6
123
ตั้งกระทู้ใหม่ กลับไป
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

เว็บไซต์นี้ มีการใช้คุกกี้ 🍪 เพื่อการบริหารเว็บไซต์ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของท่าน (เรียนรู้เพิ่มเติม)

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้